ความคิดเห็นที่ 26
อืม...หลายคนในห้องนี้มีทัศนคติ "ทางลบ" กับการกวดวิชากันมากนะครับ...
ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ประกอบอาชีพ "ติวเตอร์" ที่หลาย ๆ คนคงอยากประณามเสียเต็มประดาว่าทำให้ระบบการศึกษาไทยเข้าไปสู่ "ความล้มเหลว"
...ต้องบอกตรงนี้ก่อนว่า ระบบการศึกษาของเรา "ไม่ได้ล้มเหลว" หรอกครับ....
แต่ "คนในระบบการศึกษา" ต่างหากที่นำพาให้ "ระบบการศึกษา" มันล้มเหลวเสียเอง!!
ทำไมเด็กต้องหาความรู้จากภายนอก...และที่ยอดนิยมก็คือ "เรียนพิเศษ" ? ในฐานะติวเตอร์จะตอบข้อสงสัยให้นะครับ...
1.คุณคิดว่าเด็กไทยเรียนสัปดาห์ละกี่ชม.กันครับ? อย่างน้อย ๆ ก็วันละ 6 ชม. 5 วันก็ 30 ชม. เข้าไปแล้ว การเรียนแม้จะเป็นคนเก่งก็ต้องใช้ "สมาธิ" และ "พละกำลัง" มากเหมือนกัน เด็กหลายคนมีสภาวะที่ผมเรียกเองว่า "ภูมิแพ้ห้องเรียน" คืออยู่ในห้องเรียนนานมากไม่ได้ มันผิดธรรมชาติของพวกเขา (วัยรุ่นเป็นวัยที่มีแรงกระตุ้นและพลังงานเหลือเฟือ การจับนั่งอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ๆ ย่อมไม่เกิดผลดี) + แรงกระตุ้นจากภายนอกที่ในสังคมจัดให้อย่างมากมาย (แหล่งอบายมุขที่เข้าถึงได้ง่ายจากนโยบายของรัฐห่วย ๆ,ตัวอย่างจากสื่อไร้จรรยาบรรณที่เสนอให้เด็กดู ฯลฯ) เด็กมันจึงหาทางออกที่ตอบสนองความต้องการของตนเองได้
ครูในโรงเรียน (บางแห่ง) สอนน่าเบื่อ...แต่ติวเตอร์ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความ "เป็นกันเอง" กับตัวเด็กมากกว่า เด็กจึงเป็นมิตรกับติวเตอร์มากกว่าครูในโรงเรียน
2. ค่านิยมงี่เง่าที่ใครที่ไหนก็ไม่รู้คอยยัดใส่หัวเด็กไทยว่า "คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังในกทม. จบมาจะได้ทำงานสบายเงินเดือนสูง ๆ" เด็กมันเลยแย่งกันเข้าม.ดังในกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่แห่ง ทั้ง ๆ ที่ในต่างจังหวัดก็มีม.ให้เรียนอยู่แล้ว และเนื่องจากการแข่งขันมันสูง เด็กต่างจังหวัดจึงต้องหาหนทาง "ทัดเทียมเด็กในเมือง" หนทางหนึ่งที่ง่ายสำหรับพวกเขาคือ "เรียนพิเศษและกวดวิชา" นั่นเอง
3. ระบบมหาวิทยาลัยเองก็เริ่ม "ออกนอกระบบ" กันมากขึ้น ย่อมต้องหาทาง "สร้างรายได้" เพิ่มขึ้น หนทางหนึ่งก็คือ "โควต้าสอบตรง" ซึ่งใช้เนื้อหาในม.ปลาย + มหาวิทยาลัยพื้นฐานในการคัดเลือก ซึ่งถามว่าใครล่ะจะมีโอกาสได้เข้าเรียน? คนในเมืองงั้นซิ? เพราะพวกเขามีแหล่งการศึกษาที่ดีกว่า แหล่งค้นคว้ามากกว่า ส่วนเด็กต่างจังหวัดทำยังไงดีล่ะ? ลำพังเรียนในโรงเรียนก็แย่อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอระบบการคัดเลือกแบบนี้อีก ถ้าไม่ได้ผู้สอนที่ "รู้แนวทาง" และ "ชี้แนะทาง" ได้แล้ว พวกเขาหมดสิทธิ์แย่งเก้าอี้เรียนในม.ชื่อดังตามข้อ 2 เป็นแน่...ติวเตอร์จึงได้เกิด
4. ระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยหรือ "แอดมิดชั่น" ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างสนุกสนาน จากแต่ก่อนสอบ 2 ครั้ง มาปี 47 เป็น O-Net & A-Net ข่าวว่าในปี 52 ก็จะเปลี่ยนเป็นระบบ GAT กับ PAT อีกแล้ว!!! เห็นบอกอีกว่าหลักสูตรการศึกษาของไทยอาจต้องแก้ไขปรับปรุงมันทุก ๆ 5 ปี (คิดเอาเองว่าเหตุผลหนึ่งก็คือกันติวเตอร์เอาไปหากินเพราะจับทางไม่ได้ ฮา!!) คิดว่าเด็กไทยเป็นหนูลองยาเหรอครับ? บรรดาครูอาจารย์ในโรงเรียนก็ต้องทำงานสอนของตัวเองกันวุ่นอยู่แล้ว ไหนต้องมาทำกิจกรรมบ้า ๆ บอ ๆ ที่ส่วนกลางจัดหามาเพื่อปากท้องของตัวเอง (ทำผลงาน,ทำวิจัยในห้องเรียน,ประเมินให้ผ่านเกณฑ์ไม่งั้นถูกหักเงินเดือน ฯลฯ) แถมเจอหลักสูตรที่เปลี่ยนถี่อย่างกับเปลี่ยนรถขับ เด็กย่อมหาทางออกให้กับตัวเองอยู่แล้วล่ะครับ...หลาย ๆ คนมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีมา (บางคนก็อาจ "รักดี" มาตั้งแต่เด็ก) ก็ปรับตัวได้ แล้วคนอื่น ๆ ในประเทศที่เหลือล่ะ? ติวเตอร์จึงมาอุดช่องว่างนี้ให้
...ยังมีเหตุผลอีกมาก (ใครจะว่าเถียงข้าง ๆ คู ๆ ก็เชิญครับ ถ้าใครไม่เชื่อลองไปโรงเรียนไกล ๆ ตามอำเภอแล้วสอบถามดูนะครับ อย่าใช้ความคิดคนเมืองไปตัดสินเขา) ผมสาธยายไม่หมด เอาไว้แค่นี้ก่อน...รอ feedback ก่อนแล้วค่อยสาธยายต่อละกัน
ป.ล. ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวที่มีการติวแบบนี้ ในประเทศที่เจริญแล้วเขาก็มีกันทั้งนั้น เช่น USK,UK ญี่ปุ่น เป็นต้น ถ้าคุณคิดว่าติวเตอร์มาแย่ง "ความมีเกียรติและความเคารพยำเกรง" จากนักเรียนของพวกคุณไปล่ะก็...
"...ก็ทำตัวเองให้เหมาะสมกับเกียรติและความเคารพที่ควรจะได้รับเสียด้วยนะครับ..." ถ้าคุณดีจริง รับผิดชอบเด็กจริง ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้จริง ๆ ไม่มีเด็กที่ไหนอยากมาเสียเงินให้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้ที่อ้างไปวัน ๆ ว่า "สามารถทำให้พวกเธอสอบติดอย่างที่ใจต้องการ" หรอกครับทุกท่าน...
จากคุณ :
gunpen2003
- [
15 ส.ค. 51 00:07:45
]
|
|
|