เมื่อวานนี้ช่วงบ่ายอ่อนๆ ... นึกคลึ้มใจอะไรขึ้นมาไม่ทราบ ... ผมชวนแฟนขับรถไปที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ย่านเอกมัย
เป็นการย้อนเวลากลับเข้าไปเยือนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในชีวิต ที่เคยได้เข้ามาแสวงหาความรู้วิทยาศาสตร์เบื้องต้นเมื่อราว 25 ปีก่อน ... จำรูปปั้นลิงที่ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นจนกลายเป็นมนุษย์ได้ติดตา ...
คำถามข้อที่ 1 .... คุณไปดูดาวที่ท้องฟ้าจำลองครั้งแรกเมื่อไรครับ?
ไปถึงท้องฟ้าจำลองเวลาประมาณ 14.15 น. แล้วก็พบว่า รอบแสดงต่อไปคือเวลา 14.30 น. ช่างโชคดีเหลือหลายที่ไม่ต้องรอนาน และเข้าใจว่าเป็นรอบสุดท้ายของวันเสียด้วยสิครับ ...
มีเด็กๆ จำนวนน่าจะหลักร้อย ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต เต็มไปหมด ... เข้าใจว่าถูกเกณฑ์ให้มาเที่ยวชมนิทรรศการที่ยังคงอยู่ในช่วงสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ผมตีตั๋วเข้าชมห้องฉายดาวก่อนเป็นอย่างอื่น ... เนื่องเพราะเป็นเป้าหมายหลักที่ดึงดูดให้ผมแวะเวียนกลับเข้าไปที่นั่นอีกครั้ง ... สนนราคาค่าตั๋ว ผู้ใหญ่ 20 บาท .... แวบแรกที่เห็นค่าตั๋ว ความทรงจำที่ไหลเวียนเข้ามาในหัวคือ ผมเคยจ่ายค่าตั๋วเข้าห้องฉายดาวที่ราคา 5 บาท
20 บาท แลกกับความทรงจำเก่าๆ ... ที่เลือนลางหายไปแล้ว ไม่แพงเลย
ที่ห้องฉายดาว ... ซึ่งยังคงตั้งอยู่ที่อาคารเพดานครึ่งทรงกลมหลังเดิม ด้านข้างมีเครื่องบินโดยสารเก่าๆ กับซากตู้รถไฟ ที่ผมจำได้ว่า 25 ปีที่แล้ว ... ในวัยเด็กมันช่างใหญ่โตอลังการ แฝงกลิ่นอายวิทยาศาสตร์ล้ำยุค
ปี พ.ศ.2527 ผมเคยเป็นตัวแทนโรงเรียนมาประกวดวาดภาพวิทยาศาสตร์ที่นี่ ... บรรยากาศเก่าๆ ฟุ้งอยู่ในหัว ในขณะที่การแสดงฉายดาวกำลังจำเริ่มต้นขึ้น
เครื่องฉายดาวเครื่องเดิม รูปร่างเหมือนผลมะกรูด 2 ลูก เชื่อมต่อกันด้วยท่อทรงกระบอกสีดำ ขยับตัวได้รอบทิศ อย่างน้อยก็คงครอบคลุมครึ่งทรงกลมได้ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ... คะเนด้วยสายตา เชื่อว่าคงเป็นเครื่องฉายดาวเครื่องเดิมๆ แน่ .... ครั้งแรกที่ได้เห็นอยู่ในช่วงราวปี 2525 และครั้งสุดท้ายที่มาเยือน จำได้ว่าลางๆ ว่าราวปี 2529 และคงเป็นเครื่องฉายดาวที่จุดประกายความสนใจด้านดาราศาสตร์ให้คนมาแล้วไม่รู้สี่หมื่นกี่แสนคน
คำถามข้อที่ 2 .... คุณรู้มั๊ยว่าเครื่องฉายดาวที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ทำหน้าที่มาแล้วกี่ปี ?
การแสดงเริ่มต้นขึ้นเมื่อวิทยากร (ที่ไม่ใช่อาจารย์ระวี ภาวิไล หรืออาจารย์นิพนธ์ ทรายเพชร เมื่อ 25 ปีก่อน ฮ่าๆๆ) กล่าวต้อนรับ แต่ก็เริ่มต้นด้วยบทบรรยายคล้ายๆ สิ่งที่ผมเคยฟังเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ... ว่าจุดศูนย์กลางของเพดานทรงกลม ตรงกับแนวดิ่งนั่น คือจุดสมมติว่ากลางท้องฟ้า ลากเส้นพาดผ่านลงมาจะพบกับทิศเหนือ ซึ่งมีตัวอักษรไฟรูปตัว "N" สีแดงจางๆ ที่มุมห้องข้างหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามคือทิศใต้ มีตัวอักษรรูปตัว "S" สีแดงบอกตำแหน่งไว้เหมือนกัน
"เวลาในขณะนี้คือบ่าย 3 โมง .... และพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าลง"
พิธีกรเกริ่นนำ .... พร้อมๆ กับบังคับให้พระอาทิตย์เริ่มตก ขอบฟ้าเริ่มเป็นสีแดง มืดลงๆ และดวงดาวต่างๆ ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น พระอาทิตย์สีแดงกำลังจะลับหายไป ...
เสียงเด็กๆ ระดับประถมฮือฮาขึ้นเมื่อได้มองเห็นดวงดาวพราวพรายที่เริ่มปรากฏตัวบนเพดานห้อง ... ในขณะที่ประตูทางออกด้านหนึ่งถูกเปิดขึ้น แสงไฟจากด้านนอกสว่างเข้ามา
นักเรียนหญิงคะเนวัยประมาณ 14-15 ปี จำนวน 2-3 คน เดินเข้ามาพร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ 2-3 คน ...
"เก้าอี้ตัวไหน?" เจ้าหน้าที่ที่เดินเข้ามาด้วยกันร้องถาม
"ตัวนั้นค่ะ" หล่อนบอก พร้อมๆ กับเดินดุ่มๆ เข้าไป ...
"ช่วยดูหลังเก้าอี้หน่อย ... โทรศัพท์มือถือของเขาหาย" เจ้าหน้าที่บอก ในขณะที่พระอาทิตย์สีแดงค้างเติ่งอยู่ที่ทิศตะวันตก ค่อนไปทางขวาเล็กน้อย ราวๆ 10 กว่าองศา ไม่ยอมลับขอบฟ้าลงง่ายๆ ...
เด็กประถมจำนวนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง ช่วยกันหาโทรศัพท์มือถือของสาวน้อย
"มันคงไม่อยู่แล้วหละ" เจ้าหน้าที่บอก ... และชักชวนสาวๆ ทั้ง 3 คนเดินจากไป ... ประตูห้องถูกปิดลงอีกครั้ง
เสียงไมค์โครโฟนของผู้บรรยายขยับแกรกกรากอีกครั้ง ...
"ถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะตกเสียที" ...
แล้วฟ้าก็มืดลง .... ขอบฟ้ามองเห็นเงาของอาคารสถานที่สำคัญๆ รอบกรุงเทพ วัดพระแก้ว วัดอรุณ ...
อารมณ์บรรเจิดของผมกำลังถูก build ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงผู้บรรยาย
"เมื่อฟ้าเริ่มมืดลง ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางขวาเล็กน้อย จะเริ่มสังเกตเห็นกลุ่มดาวสำคัญๆ ในกลุ่มจักรราศี" ...
"แชะๆ" แสงไฟกระพริบๆ และสว่างวาบขึ้นกลางท้องฟ้า ...
อุแม่เจ้า! ... เด็กวัยรุ่นฝั่งตรงข้ามยกกล้องดิจิตอลขึ้นถ่ายดวงดาว ...
"มันคงถ่ายติดดาวหรอกนะ ... เปิดแฟลชถ่ายรูปในท้องฟ้าจำลอง" ผมนึกในใจ ...
บรรยากาศเป็นไปแบบเรื่อยๆ เพลินๆ ถูกรบกวนด้วยแสงแฟลชเป็นระยะๆ .... จวบจนเวลาหมดลง พร้อมๆ กับท้องฟ้าวันใหม่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ผู้บรรยายแนะนำให้สำรวจสิ่งของก่อนจะออกจากท้องฟ้าจำลอง ...
ผมเดินไปที่โต๊ะผู้บรรยาย
"พี่ครับ รบกวนสักนิดครับ ... เครื่องฉายดาวเครื่องนี้อายุกี่ปีแล้วครับ?"
"ผมจำได้ว่า 20 กว่าปีก่อน ตอนผมยังเด็ก ผมก็ดูเครื่องนี้"
...
...
ผู้บรรยายยิ้ม ตอบด้วยนำเสียงราบเรียบ ...
"44 ปีแล้วครับ ..."
...
...
ฟังแล้วน้ำตาผมแทบไหล ... นึกขอบคุณท้องฟ้าจำลอง ขอบคุณคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย เมื่อ 44 ปีที่แล้ว ที่ดำริสร้างท้องฟ้าจำลองขึ้น ...
จากเด็กวัยประถม ผมผ่านประสบการณ์ "ครั้งแรก" ที่นั่นจนตัวเองอายุเกือบ 40 ปีในวันนี้ ท้องฟ้าจำลองยังไม่เปลี่ยนไป
แต่ตราบเท่าที่ธรรมชาติยังมีกฏของมัน อีกไม่นานก็คงถึงกาลอวสาน ....
นอนหลับฝันดีครับ
จากคุณ :
นายชนะศูนย์หนึ่ง
- [
21 ส.ค. 51 20:53:37
]