Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ในฐานะนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่ง ขอพูดหน่อยครับ

    ตลอดชีวิตการศึกษาคุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่ามีความสุขกับการเรียนหรือไม่? ถ้าไม่แล้วเป็นเพราะอะไร?



    การที่ชีวิตช่วงก่อนหน้าของผมไม่เคยผ่านกับคำถามเหล่านี้อาจเป็นเพราะผมไม่เคยจริงจังกับการเรียนมาก่อนก็ได้

    เมื่อก่อนตอนสมัยเรียนประถมและมัธยมต้นถ้าทำงานดึกดื่นจนเข้านอนหลังเที่ยงคืนจะถือเป็นเรื่องแปลก (และเป็นเรื่องแย่)
    แต่ทุกวันนี้ถ้านอนก่อนเที่ยงคืนจะทำให้ผมรู้สึกผิดว่านอนเร็วเกินไปยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นอัน
    ก่อนหน้านี้ผมนอนกลางวันไม่เคยหลับ แต่ทุกวันนี้กลับรู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา
    ก็จะไม่ให้ง่วงอย่างไรในเมื่อบางวันเข้านอนตีสี่และต้องตื่นไปโรงเรียนตอนเจ็ดโมงเช้า
    ผมพยายามจดจำตัวเองเข้านอนเวลาประมาณเท่าใดในทุกๆวัน
    ตัวเลขเฉลี่ยที่น่าตกใจคือเวลาตีสอง ถ้านำมาเทียบกับเวลาตื่นนอนแล้วจะพบว่าได้นอนเพียงวันละห้าชั่วโมง
    ซึ่งตามหลักแล้วควรนอนประมาณแปดชั่วโมง พอนานวันเข้าจึงเกิดสะสมและทำให้รู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา

    ผมถามตัวถามตัวเองว่าทำไมจึงต้องนอนดึก คำตอบที่ได้คงจะเป็นเพราะไม่มีเวลา
    แต่ถ้าถามว่าทำไมไม่มีเวลา มีคนตอบแทนให้ว่าผมบริหารเวลาไม่เป็น
    เห็นดังนี้แล้ว ผมจึงลองวิเคราะห์ลึกลงไปว่าการบริหารเวลาไม่เป็นคืออะไร

    หลังเลิกเรียน ส่วนใหญ่ผมจะเล่นฟุตบอลจนถึงประมาณหกโมงเย็นหรือไม่ก็กลับมาเปลี่ยนชุดไปเล่นบาสเกตบอลจนถึงประมาณทุ่มครึ่ง
    หลังเสร็จจากการเล่นกีฬาแล้วผมจะอาบน้ำและไปทานข้าว
    (ทานข้าวไม่ได้หมายถึงก้มหน้าก้มตากินคนเดียวจนหมดจานแต่รวมถึงการพบปะพูดคุยกับเพื่อนด้วย)
    ถึงตรงนี้จะเป็นเวลาประมาณสามทุ่ม
    ซึ่งถ้ารวมความเหนื่อยล้าจากการเล่นกีฬาและความเบื่อหน่ายจากการเรียนในโรงเรียนเข้าด้วยกันแล้ว
    จะทำให้ไม่อยากทำการบ้านอ่านหนังสือในทันที
    ผมจึงเลือกที่จะทำกิจกรรมอื่นๆที่ผ่อนคลายมากกว่า เช่น ดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์ อ่านหนังสือ เล่นคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
    ซึ่งอาจกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงสามชั่วโมง
    พอเสร็จจากกิจกรรมเหล่านี้แล้วจะเริ่มทำให้รู้สึกตาลายและง่วงนอน
    ผมอาจนอนพักผ่อนหนึ่งชั่วโมงก่อนตื่นขึ้นมาทำการบ้านและอ่านหนังสือ
    ถึงจุดก็เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนแล้ว
    ในวันที่โชคดีมีภาระน้อยหน่อยผมจะได้นอนประมาณตีหนึ่ง
    แต่ถ้าวันไหนโชคร้ายการบ้านเยอะอาจได้นอนประมาณตีสี่ตีห้าหรืออาจไม่ได้นอนเลยก็ได้

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างของวันธรรมดาๆวันหนึ่งซึ่งถือว่าไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากมาย
    แต่ลองนึกถึงวันอื่นๆดู เช่น วันที่โรงเรียนมีกิจกรรมต้องเลิกค่ำๆ
    วันที่มีงานวันเกิดเพื่อน วันที่อาจารย์ขอให้ช่วยงานก่อนเลิกเรียน ฯลฯ
    ยังไม่ได้พูดถึงเพื่อนบางคนที่เรียนพิเศษหลังเลิกเรียน
    ผมนึกไม่ออกเลยว่าเขาเหล่านั้นบริหารเวลากันอย่างไร

    หลายคนอาจมีคำถามว่าทำไมหลังเลิกเรียนผมไม่รีบกลับมาทำการบ้านอ่านหนังสือเสียเลยล่ะ
    แล้วจากนั้นก็รีบเข้านอน จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นว่าง่วงนอนอีก

    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมคงไม่คาดหวังให้ตัวเองมีชีวิตนานเกินหนึ่งเดือนหลังเปิดภาคเรียน
    ผมอาจเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตตั้งแต่สัปดาห์แรกด้วยซ้ำ

    แล้วนี่ตกลงผมบริหารเวลาเป็น หรือไม่เป็นกันแน่?

    ย้อนกลับไปที่ประเด็นหลักอีกครั้ง ผมลองถามตัวเองว่ามีความสุขกับการเรียนหรือไม่? ถ้าไม่แล้วเป็นเพราะอะไร?

    แน่นอน คำตอบที่ได้คือไม่ ส่วนเหตุผลอาจวิเคราะห์ได้หลายทางดังนี้

    1. รู้สึกง่วงนอนตลอดเวลาทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

    2. ปริมาณการบ้านเยอะเกินกว่าที่ควรจะเป็น อย่างที่หลายคนเคยบอกว่า ไปเรียนได้แต่การบ้าน ไม่ได้ความรู้

    และเหตุผลข้อสำคัญ

    3. ได้เรียนในสิ่งที่ไม่อยากรู้ แต่สิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้เรียน

    สิ่งที่อยากรู้ดังกล่าวไม่ได้หมายถึงอยากรู้ในเรื่องไร้สาระ ส่วนตัวผมเองสนใจฟิสิกส์ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์เชิงลึก
    แต่ในขณะที่กำลังสนใจสิ่งเหล่านี้กลับต้องมาเรียน มาท่องจำ มาทำการบ้านในสิ่งอื่นๆที่ยังไม่อยากรู้
    ในช่วงแรกถึงจะไม่มีความสุขนักก็ยังพอทนได้ แต่ช่วงหลังๆมาผมเริ่มรู้สึกว่าเนื้อหามันอัดแน่นและยัดเยียดให้กับนักเรียนจนเกินไป
    ขณะที่กำลังทำความเข้าใจเรื่องนี้กลับมีเรื่องอื่นโผล่มาเรื่อยๆจนในที่สุดไม่ได้อะไรเลย
    ที่สำคัญคือไม่ได้เรียนแค่วิชาเดียวแต่ต้องเรียนถึงสิบกว่าวิชา

    ผมเคยสงสัยว่าผู้ที่วางหลักสูตรการศึกษาคิดว่านักเรียนเป็นทศกัณฑ์มีสิบหน้ายี่สิบมือหรืออย่างไร จึงจะจับทุกอย่างได้พร้อมกันหมด
    ใช่ บางคนอาจเป็นทศกัณฑ์จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดามิใช่หรือ?

    ช่วงหลังๆมานี้ผมเชื่อว่าสมองของผมได้สร้างกำแพงกันความรู้ที่ตัวเองไม่ต้องการไปเสียแล้ว
    ทำให้ไม่ว่าจะพยายามเรียนในห้องเรียนเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องอย่างที่เคยเป็น
    วิธีการแก้ปัญหาของบางคนคือการลงเรียนพิเศษเพิ่มเติมในวิชาที่ไม่เข้าใจ
    ส่วนวิธีของผมคือกลับไปอ่านทำความเข้าใจเอาเองหลังเลิกเรียนซึ่งยิ่งทำให้เวลาว่างในชีวิตน้อยลงไปทุกที
    (แต่ทุกวันนี้ก็ยังรู้ทุกอย่างด้วยการอ่านอยู่)

    มีคำถามว่า ที่จริงแล้วระบบการศึกษาเป็นสะพานสู่การเรียนรู้หรือเป็นกำแพงกั้นสิ่งที่อยากรู้แน่?

    ผมเข้าใจดีว่าในการเล่าเรียนเราจะรู้เฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ไม่ได้
    อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าโตขึ้นจะต้องเจอกับอะไรอีก การมีความรู้รอบด้านไว้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
    แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรามีโอกาสเลือกเรียนรู้ในเวลาที่เราพร้อม

    ถึงจะมีความรู้น้อย แต่อย่างน้อยก็รู้จริง

    ถ้าระบบการศึกษาเป็นเช่นนี้แล้วจงอย่าได้เอาแต่โทษนักเรียนที่เรียนพิเศษอยู่เลย
    เพราะอย่างน้อยเขาเหล่านั้นก็ได้มีโอกาสที่จะเลือกว่าตัวเองอยากเรียนอยากรู้อะไรในเวลาที่ตัวเองพร้อมที่สุด
    (ถึงจะมีบางคนเรียนตามแฟชั่นก็ตาม)


    ปล. คุณอาจจะคิดว่าถ้าผมว่างมากทำไมไม่ไปทำการบ้าน มานั่งตั้งกระทู้ยาวเหยียด

    เรียงความนี้ก็เป็นการบ้านชิ้นนึงครับ *-*

    จากคุณ : Look-Sky-Walker - [ 24 ส.ค. 51 23:02:16 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom