ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อก่อนมีหมอจับชีพจรแบบนี้อยู่ที่ อ.ภูเรือ จ.เลย คนนึง  ปากแกแหว่ง  เค้าเลยเรียกหมอปากแหว่ง แต่แกเสียได้หลายปีแล้วล่ะ  เห็นว่าแกเป็น  1  ใน  2  หมอที่ได้จับชีพจร สมเด็จพระเทพฯ อีก  1 หมอ  อยู่ที่สกลฯ ว่างั้นนะ ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่รึป่าว  แต่ที่ภูเรือน่ะ ผมเคยเห็นตัวจริงแก เคยไปที่บ้านแกด้วย  แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้กิติศัพท์แกหรอก  เห็นที่บ้านแกกำลังจัดทำสมุนไพร ลูกๆหลานๆช่วยกันตัดท่อนไม่  ผ่าเป็นท่อนเป็นชิ้นเล็กๆ  (ยาหม้อต้ม)  ตัวแกเป็นคนจัดเป็นชุด สมมุติว่า  มี  10  ตัวยา  แกจัดตัวยาที่ 1, 6, 7, 9  รวมกันเป็นยาแก้โรคนึง จัดอีกชุดนึงก็แก้โรคนึง สลับกันไปมา  รักษาสารพัดโรคตามแต่แกจะจัด บางทีเอาตัวยานี้ออก  เอาตัวนี้เข้าแทนกลายเป็นรักษาอีกโรคแล้ว ตัวยาบางตัวเคยเป็นเสารั้วมาก่อน  ผมเห็นเป็นเสารั้วจริงๆ มีรอยของขี้ตมที่ติดตามวัวควายครูดติดเสาด้วย เสานั้นก็เก่ามาก  แต่แกเอามาตัดเป็นท่อนแล้วผ่าเป็นซีกเล็กๆเพื่อทำเป็นชุดยาต้ม  แกบอกว่าต้นไม้เกือบทุกต้นในโลกนี้ สามารถทำเป็นยาได้หมด  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรู้วิธีนำมาใช้แค่ไหน  ใช้เป็นก็เป็นยา ใช้ไม่เป็นก็อาจตายได้ เสียดายที่วันที่ผมไปวันนั้น  ผมไม่ได้ให้แกจับชีพจรดู  เพราะยังไม่รู้จักแกว่าแกเป็นหมอดัง มีชื่อเสียง มารู้ทีหลังก็แกตายไปแล้ว จากคุณ : อ้ายเซียงจ่อย - [ 17 ก.ย. 51 12:30:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การแพทย์แผนจีน  มีสืบทอดกันมานานมากมาย ถามว่าทำไมไม่สอนหมอรุ่นใหม่ๆ  เพราะเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ต้องอาศัยการสังเกต และความเข้าใจมากมาย   ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยก็เริ่มเปิดคณะการแพทย์แผนจีนขึ้น  ที่ม.หัวเฉียว  ไม่ใช่แค่มีนักศึกษาไปเรียน  แต่มีแพทย์เก่งๆ หลายคนก็เข้าคอร์สเรียนเพิ่ม ไม่ว่าจะคอร์สการฝังเข็ม  ซึ่งตอนนี้มีนำมาใช้รักษาหลายโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โรคปวดหัวข้างเดียว เป็นต้น ส่วนที่ จขกท.ถามเรื่องการจับชีพจร   จริงๆ ศาสตร์การแพทย์แผนจีน ไม่ใช่แค่การจับชีพจรอย่างเดียว แต่ต้องมีการสังเกตลักษณะ อย่างอื่นด้วย กล่าวคือ  การดู  <สีหน้า ลิ้น>  การฟังเสียง   การสอบถามอาการ  การตรวจชีพจร  จึงจะสามารถวินิจฉัยอาการได้ จากคุณ : ~ก้านกฤษณา~ - [ 17 ก.ย. 51 12:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หมอแมะ น่าจะจับจังหวะหัวใจมั๊ง ว่ามันเต้นติดขัดรึเปล่า ดูหน้าตา ดูลักษณะร่างกายควบไปด้วย อ่า แต่หัวใจเราเป็นจังหวะ ฮิปฮอปนะ จากคุณ : Natthanuch1 - [ 17 ก.ย. 51 12:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถามว่าทำได้ไหม ... ทำได้จริงครับ บางอันพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ : กลุ่มโรคหัวใจและปอดหลายชนิด บางอันก็ขอไม่วิจารณ์ เอาเป็นว่าทางไหนรักษาแล้วหายจริงผมว่าไม่เสียหายที่จะใช้ครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 17 ก.ย. 51 12:48:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 การแพทย์ทางเลือก ปัจจุบันยังเป็นคนละศาสตร์กับการแพทย์แผนปัจจุบันครับ เห็นด้วยกับหมอแมว จากคุณ : Cryptomnesia - [ 17 ก.ย. 51 13:04:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทำได้ครับ เส้นทางเดินของเลือด ครับ ของเหลว เมื่อไหลผ่าน ท่อ ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป ถูกสูบฉีดด้วย กำลังที่ต่างกันไป ลักณะอาการ เช่น ความดัน จังหวะ ความถี่ จะต่างกันไป ถ้านำไปเทียบกับ อาการไม่ปกติของอวัยะ ต่างๆในร่างกาย แล้วบันทึกไว้ ย่อมสามารถ จำแนกได้ ไม่ยาก เพียงแต่อธิบายยากสักหน่อย เพราะมันผ่าน และเกี่ยวเนื่องกับหลายอวัยวะ คนที่มีประสาทสัมผัสละเอียด ย่อมสามารถ จับข้อแตกต่างเหล่านี้ได้ดี ก็สามารถบอกที่มาที่ไปได้   แต่จะมีคนยอมรับหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : น้าพร - [ 17 ก.ย. 51 13:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เคยเหมือนกันที่เมืองจีน แล้วก็ตรงแหล่ะ แต่ว่าไป ยาไม่กล้ากินเท่าไหร่ กลัวสเตียรอยด์ ที่ ม รังสิต ก็มีสอนนะ แพทย์แผนจีน รู้จักหมอ ที่เรียนภาษาจีนด้วยกันคน เค้าก็เรียนภาษาเพื่อจะไปเรียนต่อแพทย์แผนจีนที่เซี่ยงไฮ้ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 17 ก.ย. 51 13:59:07 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยกับ คห6 ค่ะ เค้าจะตรวจความเร็วของจังหวะหัวใจ และความอ่อนหรือแรง สังเกตจากลักษณะคน ว่าเป็นธาตุใด โดยดูจากรูปร่าง แล้วเทียบจังหวะการเต้นหัวใจ จะมีการดูได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก เช่น คนปอดไม่ดีจะกระสับกระส่าย หรือเหงื่อออก หรือมีไข้ ในช่วงเวลาเย็นๆ แล้วหายไป (อันนี้สามารถใช้ปรอทวัดได้ จากประสบการณ์ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่) หาหนังสือ การแพทย์แผนจีนอ่านได้ แต่ยังมีขายหรือปล่าวไม่รู้นะคะ เค้าจะมีตารางว่า เหงื่อออกกี่โมง เกี่ยวกับอวัยวะใด อวัยวะใดคือหยิน หยาง ลองเสิร์ชเพิ่มเติมนะคะ จากคุณ : นั่นน่ะซิ - [ 17 ก.ย. 51 14:14:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีสอนค่ะ...เปิดรับเฉพาะแพทย์ที่สนใจต่อด้านนี้เลย ทางโรงพยาบาลหัวเฉียวแผนกแผนโบราณ มีหมอมาจากที่นั่นเยอะเลย..คนไข้ก็เยอะด้วย จากคุณ : saturn_eyes - [ 17 ก.ย. 51 14:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนอยู่ปักกิ่ง ก็มีรุ่นพี่อีกคนมาเรียนภาษาเพื่อไปเรียนด้านฝังเข็มต่อครับ ต่อนี้พี่คนนั้นกลับไทยไปแล้ว ผมยังติดอยู่ที่จีนเลย จากคุณ : beer2nd - [ 17 ก.ย. 51 15:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าเป็นกลากที่ก้นกบ จะจับชีพจรเจอหรือเปล่าอ่ะ...?? จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 17 ก.ย. 51 16:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ เจอครับ หมอแตะปุ๊บก็รู้ปั๊บเลยครับ ว่าเป็นที่ก้นกบข้างซ้ายหรือขวา จากคุณ : karawara - [ 17 ก.ย. 51 16:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ อันนี้ จริงจัง หรือ เอาฮาครับ แยกไม่ออก ^_^ จากคุณ : [Zero] - [ 17 ก.ย. 51 17:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 บางโรคก็สามารถ รู้ได้ โดย สังเกตจาก อาการของคนด้วย เช่น การเดิน สีผิว สีเล็บ ตา เสียงตอนพูด จากคุณ : Teru - [ 17 ก.ย. 51 17:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พึ่งดูสารคดีเกี่ยวกับเค้าคนนี้มาไม่นาน เค้ารักษาโรคต่างๆโดยใช้พลัง chi ครับ ตอนที่กองถ่ายพบเค้าครั้งแรกเค้าไม่ยอมให้ถ่ายทำ แต่หลังจากที่พี่ของพิธีกรป่วยด้วยโรคตา เค้าจึงยอมให้ถ่ายทำครับ พลังของเค้าเค้าเรียกมันว่า chi เป็นพลังของหยินและหยางในร่างกาย คล้ายๆกระแสไฟ เพราะมันชอตคนได้ แต่ก็ไม่ใช่ไฟฟ้าเลยทีเดียว เนื่องจากว่าเอาอุปกรณ์ตรวจวัดไฟไปใช้ก็วัดไม่ได้ ( สังเกตจากคณะถ่ายทำที่ทดลอง) พลังนี้ใช้งานได้หลายรูปแบบมาก ไม่ว่าจะจุดไฟ หรือดันตะเกียบให้ทะลุโต๊ะ แต่หลังจากที่เค้าทำเพื่อนร่วมงานเจ็บ จากการฟันตะเกียบทิ้งในช่วงตอนท้ายของวิดีโอ เค้าก็บอกว่า อาจารย์ของเค้ามาเข้าฝันและบอกว่าให้เลิกปรากฏตัวต่อสาธารณชนเสีย เค้าถึงบอกเลิกคณะถ่ายทำ และหนีไปธุดงในป่า จนป่านนี้ทางรายการก็ยังไร้การติดต่อครับ ลองดูๆ จากคุณ : CaminoReal - [ 17 ก.ย. 51 17:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอเล่าประสบการณ์นิดครับ เชื่อว่าหลายท่านคงเคยไปปักกิ่งกับทัวร์ และทัวร์พาไปสถาบันเพื่อสุขภาพอะไรซักอย่าง ซึ่งมีแพทย์แผนจีนและยาจีนจำหน่าย มีนวดเท้าเพื่อสุขภาพด้วย ตอนกำลัีงแช่ขาในน้ำอุ่นเพื่อนวดเท้า จะมีแพทย์แผนจีนมาแมะให้ แพทย์ที่ตรวจผม แตะชีพจรอยู่ราว 30 วินาที และกดตรงน่อง บอกผมผ่านล่ามว่า ผมมีโรคความดันโลหิตสูง  และโรคไต ชี้ให้ดูขาว่า บวมนิดหน่อย เกิดจากไตทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ แนะนำให้ซื้อยาที่จัดไว้เป็นชุดไปกิน 3 ชุด ความจริงผมเฉยๆกับศาสตร์แขนงนี้ครับ ไม่เชื่อนัก แต่ก็ไม่ลบหลู่ แต่เจอการวินิจฉัยแบบนี้ ผมหัวเราะเลย เรื่องความดันนี่ ไม่สูงแน่นอน เพราะผมตรวจร่างกายประจำปีก่อนเดินทาง ที่ขาบวมนิดหน่อย เพราะตั้งแต่เช้าเดินไกลหลายกิโลฯ เริ่มที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ต่อด้วยวังกู้กง แล้วยังไปชอปปิ้งต่ออีก ไปถึงโรงพยาบาลตอนเย็น ขาไม่บวมก็คงแปลกละครับ รูปสถาบันครับ จากคุณ : 447 - [ 17 ก.ย. 51 17:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ อ้าว ที่เดียวกับผมเลย หมอบอกผมว่ามีปัญหาเรื่องตับ กับมีภูมิแพ้เรื้อรัง ผมไม่รู้ว่าเผอิญหรือเปล่า เรื่องตับเนี่ยมันไปพ้องกันผลแล็บที่ตรวจที่กรุงเทพฯ สองเดือนก่อนหน้านั้น ส่วนภูมิแพ้เนี่ย ผมเป็นมานานแล้ว ซื้อยากลับมากินอีกเกือบหมื่น - -! ผมไม่คิดว่าเป็นจากยาที่ซื้อมานะ เพราะตอนกินจนยาหมด ภูมิแพ้ดีขึ้นสองสามเดือนก็กลับมาเป็นอีก เรื่องตับนี่ไม่ทันตรวจ สองปีผ่านไป ภูมิแพ้ผมดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติ ตัวเลขการทำงานของตับน้อยลง เพราะผมกินเหล้าน้อยลงมาก และออกกำลังกายเยอะขึ้น ใครมีประสบการณ์มาลองแชร์กันดูครับ จากคุณ : เตยทะเล - [ 17 ก.ย. 51 17:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถามกลับบ้างขอรับ อันนี้ก็ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่ได้ยินเค้าเล่ากันว่า ลามะทิเบต(ลามะ แปลว่า พระ) ที่เก่งๆ แค่ได้ยินเสียงเดิน หรือแค่สัมผัสได้ถึงลมหายใจ ก็สามารถระบุโรคได้ ระบุอุปนิสัยใจคอได้ อันนี้เค้าทำได้ยังไงเหรอขอรับ? ~ เทพมังกรอวยชัย เอนมา เอนมา ~ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 20:39:12 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 17 ก.ย. 51 20:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #15 ของคุณ CaminoReal นะขอรับ (นอกเรื่องไปหน่อย -*-) Qi(Chi) หรือเรียกอย่างติดปากคนไทยว่า "กำลังภายใน" ในศาสตร์ของไท่เก๊ก ได้บอกไว้ว่า พลังนี้มาจากจุดตานเถียน(จุดท้องน้อย) แผ่พุ่งออกไปได้ในระดับรอบทิศทาง (เป็นทรงกลม) นอกจากสามารถนำมาใช้ต่อสู้ได้แล้ว ยังสามารถทำการปรับการโคจรของเลือด และลมหายใจของผู้อื่นได้อีกด้วย (ก็คล้ายกับที่เราเห็นในหนังกำลังภายในจีนน่ะล่ะ -*-) พลังนี้ มีการแผ่พุ่งออกมาได้หลายทาง พลังในระยะเริ่มแรกนั้น เป็นลักษณะพลังตรง แต่พลังที่กล้าแข็งจริงๆ จะเดินทางเป็นรังไหม(เส้นโ้ค้ง)รอบตัว ดังนั้น ไม่ว่าจะเข้าจู่โจมจากทิศทางไหน ผู้มีกำลังภายในสูงจะสามารถรับรู้ถึงการเข้ามาของคนอื่นได้ (ในทรงกลมรอบตัว) ในไท่เก็ก เรียก พลังภายใน "ชี่(Qi)" แต่พลังที่แผ่พุ่งออกมาทำลายคู่ต่อสู้ เรียกว่า "จิ้ง" ขอรับ ^^ ปล. ถึงจะเรียน แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายขนาดนั้นนะขอรับ พลังยังรวมศูนย์ไม่ได้เลย -*- แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 20:52:21 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 17 ก.ย. 51 20:50:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 #16 ผมว่าโดนทัวร์ต้มมากกว่า แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจมายาวงการทัวร์ เมืองไทยก็มี พาไปที่นั้นที่นี่ จัดภาพให้ดูว่าเป็นต้นตำรับ (ที่จริงทัวร์มาทีก็เปิดไฟทำงานให้ดูเหมือนวุ่นวาย) เรื่องจับชีพจร ผมว่าอย่างน้อยก็เหมือนช่างเครื่องยนต์นั้นแหละที่ฟังอาการความแตกต่างออก จะให้เก่งๆ ก็ต้องมีให้มาฟังเยอะๆ ประสบการณ์จะทำให้เก่งเอง เสียงสะท้อนแบบนี้โรคหัวใจ แบบนี้โรคตับ ต่อไปตะวันตกคงสร้างวงจรแมะแล้วเก็บข้อมูลความแตกต่างสำเร็จ จากคุณ : หลับตา - [ 17 ก.ย. 51 21:33:37 A:58.64.67.44 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #15 ผมไม่เชื่อนะ อย่าว่ากันเลย #16 ผมว่าคุณอาจเป็นเคสพิเศษนะ อาจโดนต้มด้วย ประเทศนี้นักต้มเยอะ หรือหมอมันห่วยแล้วพูดมาก แต่ว่าไป ผมว่าไม่น่าถึงกับต้องต้มนะ เพราะผมคิดว่าฝึกแมะ ไม่ได้ยากอะไร คนทำได้ตรงๆก็เยอะอยู่ เหมือนวิชาชีพ ไม่ใช่พลังประหลาดอะไร รักษาได้ไม่กี่โรค ตามประสาวิชาของคนโบราณ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 17 ก.ย. 51 23:20:25 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เคยอ่านมาอะ กับผู้ ญ ในวังเค้าห้ามหมอถูกตัว เอาดายพันข้อมือวัดชีพจรเอาอะ อึ้ง แต่ไม่รุ้จิงป่าว จากคุณ : goddestiny (goddestiny) - [ 17 ก.ย. 51 23:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 23 พวกศาสตร์โบราณต่างๆนี่แฝงมากับคำสอนในศาสนาต่างๆในรูปแบบที่เอามาใช้งานซึ่งได้จากการฝึกจิตเข้าสมาธิของแต่ละบุคคลที่เข้าถึงได้ในแต่ละระดับ...คงไม่ได้ฝึกกันง่ายๆเหมือนเข้าสอบในห้องเรียนกาผิดถูกแน่ๆ จากคุณ : toytoytoy - [ 17 ก.ย. 51 23:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คนเก่งจริงคงมี แต่ไม่รู้ว่าใคร เสี่ยงดวงเอาละกัน จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 18 ก.ย. 51 09:05:08 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ไปเจอเอกสารของสถาบันที่ว่า ใครจะสั่งซื้อบ้าง จากคุณ : 447 - [ 18 ก.ย. 51 10:31:23 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จากคุณ : 447 - [ 18 ก.ย. 51 10:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG - [ 18 ก.ย. 51 11:49:44 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ....เรียนด้านนี้อยู่ค่ะ ตอนนี้อยู่จีน เรื่องการแมะ เ็้ป็น 1 การวิธีการ วินิจฉัยโรคแบบแพทย์จีนค่ะ ซึ่ง กว่า 2000ปี ที่ เก็บรวบรวมข้อมุล ตรงนี้ แล้วเอามาสรุป ไว้ แล้วทำเป้น หลักการ แต่มันก้ต้อง ผ่านการถาม การสังเกตุลักษณะคนไข้ ดูลิ้น การฟังด้วย ถึงจะวินิจฉัยออกมาเป้นโรค  โดยปัจจุบัน หมอที่นี่ เอาการแมะเป็นแค่ส่วนประกอบเอาไว้ ยืนยันโรคว่าเรา วินิจฉัยถูกมั้ย เพราะ การแมะต้องใช้ประสบการณ์อย่างมากค่ะ มาณว่า ต้องเทพจริงๆ ซึ่งในการถาม และวินิจฉัยโรคนั่น แพทย์จีน ไม่เหมือน แผนปัจจุบันอ่ะค่ะ เราคิดไม่เหมือนกันเลย แยกแยะอาการไม่เหมือน ... แต่สรุป การแมะ ก้ บอกได้ว่า อวัยวะไหน(โดยส่วนใหญ่คือ อวัยวะภายใน หัวใจ ปอด ตับ ไต ม้าม เป็นต้น) กำลังไม่ปกติอ่ะค่ะ แต่จะเป้นอะไรนั่น ถ้า ผ่านกรรมวิธีอื่นอีก ตาม คห ที่1 อ่ะค่ะ เรื่อง ยา ที่จริง การกินยาต้ม (ต้มสด ต้มเอง) นั่นคือ ลักษณะที่พิเศษของ ยาจีน เพราะ การที่ คุณเป็นหัวใจ เราไม่ได้ เปิดยา ตัวเดิม ซ้ำๆ จะมีตัวยาหลักๆ ที่เหมือนกัน แล้วจะมี ยาอื่น บวกลบ เข้าไปอีก ขึ้นอยู่กับ อาการของคนไข้ และลักษณะร่างกาย ความแข้งแรงของกระเพาะ อะไรทำนองนั่น ดังนั้น ทานยาจีน ควรทานยาต้มค่ะ ตามที่ คุณ คห 15-16 ไปจีน อันนั้น สามารถบอกได้ว่า โดนต้ม เพราะ เราเองก็เคยไปมา ยาที่เขาให้ บางที คือ ยาบำรุง ซึ่งยาบำรุงเนี่ยแพงมาก ของปลอมเยอะด้วย และยาบำรุง บางที ทานไปก็มีโทษต่อร่างกายได้ด้วย ดังนั้น จะทานยา ก็ แนะนำให้พบหมอตรวจร่างกายก่อนนะคะ ไม่รู้อธิบายมาก อ่านแล้วจะงงๆรึเปล่า เพราะ รู้สึกเป้นคน เขียนบทความหรืออะไรไม่ค่อยดีค่ะ จากคุณ : คิม (KheMai) - [ 18 ก.ย. 51 11:58:51 ]

ความคิดเห็นที่ 29 นอกเรื่องครับ แย้งนิดนึงกับความเห็นที่ ๑๙ ผมว่าคำว่าชี่ในบริบทของการนำไปรักษา การฝึกชื่กง หรือกระทั่งชี่ที่พูดถึงในมวยจีน มันคนละบริบทกันเลยนะครับ อีกอย่างการมีใช้ชี่แบบความเห็นที่ 19 ผมว่ามันเป็นความเข้าใจผิดในมวยไทจี๋(ไท้เก็ก)มากกว่า แยกให้ออกนะครับ การที่มีอะไรแบบนั้นมันก็ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่หรอก มวยมันไม่ได้มีแยกหรอกครับว่าภายในภายนอก คนมันเอาไปอุปโลกกันเอาเอง ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องชื่ สรุปคือ มันเป็นความรู้สึกก็เท่านั้นเองนั้นล่ะครับ จากคุณ : Portillo - [ 18 ก.ย. 51 14:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เคยอ่านเจอในหนังสือนานมากแล้ว เค้าเอารูปข้อมือมาโชว์เลย แล้วก็บอกว่า เอานิ้ววางแบบนี้ๆๆ แล้วนิ้วไหน จะจับเจอการทำงานของอวัยวะอะไร จับผิวๆ เจออวัยวะไหนบ้าง กดลึกลงไปอีกชั้นนึง เจออวัยวะไหนบ้าง จำได้แค่นี้ จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 19 ก.ย. 51 23:29:49 ]