ความคิดเห็นที่ 1 เด็กสมัยนี้ก็ได้อย่างเสียอย่างฮะ... แต่ถ้าอาจารย์ว่างพอ ลองแอบๆ test "จริยธรรม" หรือพวก EQ ไปด้วยสิฮะ... บางที เด็กสมัยนี้อาจจะทำให้อาจารย์เป็นลมได้นะ... ดูจากที่อาจารย์เล่ามา มันเกิดอะไรชึ้นกับเนื้อหาวิทยาศาสตร์ หรือข้อสอบความถนัดเนี่ย ...ไอ้ present เก่ง มันก็ ok อยู่หรอก แน่ส่วนตัวข้าเจ้าว่านัยแฝงในแง่ลบมันน่ากลัวมากอะ... ดูจากสังคมไทยเดี๋ยวนี้ดิฮะ จากคุณ : _K_F_C_ - [ 19 ก.ย. 51 06:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าไม่รู้เป็นส่วนใหญ่  สาเหตุน่าจะมาจากกระบวนการผลิตเค้ามาหรือเปล่า  รุ่นต่อมามีอาการเดียวกันหรือเปล่า เรื่องที่ยกตัวอย่างมันน่าจะเรียนตั้งแต่ ประถม ด้วยมั๊ง จากคุณ : 2498 (cpbu) - [ 19 ก.ย. 51 06:55:49 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมเป็นลมสลบไปเรียบร้อยแล้ว  ขนาด ป.โท สารสนเทศ ... ยังใช้ google ไม่เป็น!!  ไม่เป็น ก็คือไม่เป็น  ไม่ใช่ไม่คล่อง จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 19 ก.ย. 51 07:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าถามแบบนี้ผมก็คิดนานเหมือนกันนะครับ ฮาๆๆ 1 ลบ.ซม = 1 ซีเอ็มกำลังสาม = 1 ซีซี = 1 มิลิลิตร -   -! จากคุณ : ผมไม่ได้เป็ด - [ 19 ก.ย. 51 07:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อาจารย์ ม.4 ก็เปรยอย่างที่อาจารย์ว่าล่ะครับ ว่าเธอน่าจะรู้มาตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว อาจารย์ ม.ต้นก็บ่นว่านักเรียนควรได้เรียนตั้งแต่ประถมแล้ว ว่าแต่ว่า จะหมดเทอมอยู่แล้ว อาจารย์สอนเนื้อหาถึงครึ่งรึยัง จากคุณ : ตี้หลง - [ 19 ก.ย. 51 07:22:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สอนเสร็จหมดแล้วครับ อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้าย นำเสนอผลงาน จากคุณ : Practical x 2 - [ 19 ก.ย. 51 07:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ ความตั้งใจพยายามที่จะพัฒนาตนเองเพื่อได้มาซึ่งความรู้/ทักษะ น้อยลงครับ รอให้บอกให้สั่งอย่างเดียว ซึ่งจะขัดกับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่างมาก ส่วนที่เป็นFactual information หรือทักษะที่อาจารย์prac ว่ามา ถ้าสนใจหน่อยก็สามารถหาได้ด้วยตนเองครับ "Good teaching is more a giving of right questions than a giving of right answers." แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 07:57:00 จากคุณ : KL - [ 19 ก.ย. 51 07:55:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ยังดีที่ จขกท เปิดกะลาให้นักศึกษา บางเรื่องผมก็ไม่กล้าถาม อ.หญิง "จารย์ครับ จริงหรือเปล่าที่ผู้หญิง 70%.....ตัวเอง" จากคุณ : nowkung - [ 19 ก.ย. 51 07:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 1 ลบ.ม. จากคุณ : หลับตา - [ 19 ก.ย. 51 08:05:11 A:58.64.62.5 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรียนเพื่อสอบเท่านั้น สอบเสร็จลืม จากคุณ : proudtobethai - [ 19 ก.ย. 51 08:14:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แปลงหน่วย ม.ต้น เนี่ยนะ ?? อาจารย์ก็ต้องทำใจครับ ดีแล้วที่อาจารย์ค่อยๆอธิบายไป แต่หวังว่าคงไม่เสียแรงนะครับ หาก นศ. ของอาจารย์ไปเจอศัพท์วิทย์พวกตระกูล 10^n หลายๆตัวนั้น... จากคุณ : Cocopok - [ 19 ก.ย. 51 08:23:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อาจารย์ ม.4 ก็เปรยอย่างที่อาจารย์ว่าล่ะครับ ว่าเธอน่าจะรู้มาตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว มันอยู่ในเนื้อหาตอน ม.4 ครับ.... จากคุณ : ginosty - [ 19 ก.ย. 51 08:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 13 "อย่างไรก็ตามทักษะที่พวกเขามีค่อนข้างดีถึงดีมาก คือทักษะการนำเสนอ เอกสารประกอบ รายงานต่าง ๆ จะทำคุณภาพค่อนข้างดี คงเพราะเป็นสิ่งที่ ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในระบบการศึกษาใหม่ เสียงดังฟังชัด กล้า แสดงออก ความตรงต่อเวลาค่อนข้างดี จะว่าไปบุคลิกภาพนั้นเหมาะสมกับ สายงาน ที่ต้องคุมคนหลายร้อยคน แต่ความรู้ต้องให้มากกว่านี้จึงจะสมบูรณ์ ก็ต้องพยายามกันต่อไปครับ" ... ... ... โดนใจหลาย ๆ ครับ 'จารย์ จากคุณ : Skyman (Analayo) - [ 19 ก.ย. 51 08:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เด็กคนละรุ่น รุ่นนี้เป็นรุ่น google ไม่ค่อยอยากจดอยากจำ แต่ดีตรงกล้าคิดกล้าถาม ไม่มาเก็บกดนั่งนิ่งๆแบบรุ่นก่อนๆจะถามก็กลัวนู้นอายนี่แล้วอ.ก็ดีใจว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย โลกเรามันก็เปลี่ยนแปลงตลอด อ.อย่าไปยึดติดเลย จากคุณ : หลับตา - [ 19 ก.ย. 51 08:34:42 A:58.64.62.5 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเป็นกรรมการคุมสอบ ข้าราชการ สอบคอมพิวเตอร์ (จากระดับ 5 ขึ้นระดับ 6 ต้องมีความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์) ข้อสอบ เป็น เวิร์ด กับ เอ็กเซล ธรรมดา 3 ชั่วโมง กับการ สร้างตาราง 4 แถว 4 คอลัมภ์  ที่มีเลขบวกกัน หาค่าเฉลี่ย ทำเป็นร้อยละ แล้วก็ ทำกราฟวงกลม 60 คน สอบ 3 ฃั่วโมง ไม่มีใครเสร็จทัน ซักคน จากคุณ : greeny pony - [ 19 ก.ย. 51 08:47:51 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นอาจารย์ต้องใจเย็นมากอย่างที่อ.แพรคว่าล่ะครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 19 ก.ย. 51 08:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 บางครั้งก็ควบคุมอารมณ์ยากเหมือนกันนะคะอาจารย์ นิสิตที่สอนอยู่ตอนนี้ทั้ง ๆ ที่เรียนผ่านรายวิชา Analytical Chemistry มา ด้วยเกรด A แต่ ... คำนวณความเข้มข้นของสารโดยใช้สูตร N1V1 = N2V2 ไม่เป็น ... เตรียมสารในความเข้มข้นที่สั่งให้เตรียม (ไม่ว่าจะเป็น Molar, Normal หรือ Formal ก็ตามแต่) จากสารที่มีสภาพเป็นของเหลว เช่น HCl, H2SO4, Glycerol etc. ไม่เป็น ... ในสูตรอาหารเลี้ยงเชื้อระบุ K2HPO4.12H2O แต่ในแล็ปมีเฉพาะ anhydrous    ก็ไม่สามารถเตรียมได้อีกเช่นกัน หนักกว่านั้นไม่รู้ว่า anhydrous คือ อะไร ... ไตเตรทกรด lactic ที่แบคทีเรียผลิตปล่อยออกมาใน fermentation broth โดยใช้ 0.1N NaOH แล้วพบว่าเลยจุดยุติตั้งแต่ 1 หยดแรก แต่คุณ ๆ กลับเพิ่มความเข้มข้นเป็น 1N NaOH ในการไตเตรทรอบถัดไปเพื่อหาจุด ยุติให้ได้ แทนที่จะลดความเข้มข้นของ NaOH ลง หรือเลือกที่จะเจือจาง fermentation broth เพื่อให้มีปริมาณกรด lactic ลดลงจะได้ตรวจสอบได้ . . จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้มาก อาทิ Polysaccharide มีโมโนเมอร์เป็นกรด อะมิโน ไม่รู้ว่ากรดอะมิโนมีทั้งกลุ่มที่มีคุณสมบัติเป็น กรด กลาง และด่าง แรง g คืออะไร ? ทำไมในเปเปอร์รายงานความเร็วในการปั่นเหวี่ยงแยก เซลล์ด้วยเครื่องเซ็นตริฟิวซ์เป็นค่า g แล้วอาจารย์บอกว่ามันไม่เท่ากับ rpm นะจ๊ะหนู กรุณาดูที่ roter แล้วเอาค่ามาคำนวณ...โฮ้ย...เหนื่อยใจ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ก็ไม่รู้จัก มันคืออะไรคะอาจารย์ มันหามาจาก ไหนคะ ทั้ง ๆ ที่เรีย Biostatisiics มาแล้ว . . สอน Microbial Physiology แต่ดูเหมือนจะต้องสอน Biochemistry, Organic Chem. และ Genetics ไปด้วยพร้อม ๆ กันอีก 3 วิชา ไม่ต้องนับตอนสอน Industrial Microbiology ......แทบจะฆ่าตัวตายเอา เลยทีเดียว จนป่านนี้ยังไม่เคยกล้าเปิดรายวิชา Microbial Cell Growth and Cultivation ให้นิสิตลงทะเบียนเรียนเลย กลัวนิสิต F ยกกลุ่ม . . คิด ๆ แล้วอยากลาออกไปทำไวน์ ทำปุ๋ยชีวภาพขายดีกว่า จากคุณ : จุลินทรีย์มีประโยชน์ (MissMicrobe) - [ 19 ก.ย. 51 08:50:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทำไมสอนนักศึกษาสมัยนี้ต้องใจเย็นๆ เพราะนักศึกษาสาวๆ สวยๆ เยอะครับ :) จากคุณ : TonMai2K - [ 19 ก.ย. 51 08:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ฟังแล้วปวดหัวเลย เหอะ ๆ จากคุณ : ac (capricornjr) - [ 19 ก.ย. 51 08:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดีครับ เป็นผมนะ เอามาดักออกข้อสอบซะ 555 สะใจ จากคุณ : Pixzz - [ 19 ก.ย. 51 09:19:44 A:125.26.114.84 X: TicketID:185824 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผลพวงจากอาจารย์ตู้ไงครับ พวกนี้จะสอนแต่วิธีลัดในการทำข้อสอบ แต่พื้นฐานต้องไปเรียนเอง จากคุณ : Waterman (LN106) - [ 19 ก.ย. 51 09:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ คห.20 ดีค่ะ............ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 09:24:57 จากคุณ : ช่อเอี้อง - [ 19 ก.ย. 51 09:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมก้อเรียนมหาลัยน่ะครับ แต่ผมจบ ปวช มา เรียนกับ เด็กสายตรง ก้อไม่รู้เรื่องได้เหมือนกัล แต่กลับกันเช่นอ่านค่า ตัวต้านทาน ทำไมเด็ก ม.6 ถึงไม่เข้าใจว่ะ อ่านง่ายๆ สรุปได้ว่ามันอยู่ที่ประสบการณ์ครับ ควรสนับสนุนหลักสูตร TVQ ให้รัฐบาลใช้เร็วๆ  ประเทศไทบได้ก้าวตามต่างประเทศได้ทัน จากคุณ : ลายเคง - [ 19 ก.ย. 51 09:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นักศึกษาอาจจะรู้แต่ไม่กล้าตอบรึปล่าวครับอาจารย์ จากคุณ : LivingMachine - [ 19 ก.ย. 51 09:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ต้องมาไล่ตอบคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ ความรู้พื้นฐานเป็นสิ่งที่นักศึกษาควรรู้และทบทวนก่อนมาเรียนอยู่แล้ว อีกอย่าง พวกไร้ความรู้แต่พรีเซ็นต์เก่งนี่ทำประเทศวิบัติมาเยอะแล้วครับ ไม่ได้น่าชื่นชมแต่อย่างใด จากคุณ : Jacare - [ 19 ก.ย. 51 09:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 นึกถึงสมัยเรียน ม.ปลาย แหะ เพราะ อาจรย์ จะพยายามสอนพื้นฐานให้ แน่น .... นักเรียน ก้อมองว่า พื้นแน่น แต่ ทำข้อสอบไม่ได้ เลยไปให้ติวเตอร์ ติววววววววววว  เพื่อที่จะทำข้อสอบเอนได้ อย่าง บางสูตร เพื่อนที่ไปติว มันจำได้แต่สูตร ว่า เจอโจทย์แบบนี้ ต้อง สูตรนี้ๆๆ  อย่าถามนะครับ ว่า ที่มาสูตร จากไหน มันไม่รู้อ่ะ - -* ///// ดูจากที่อาจารย์เล่ามา มันเกิดอะไรชึ้นกับเนื้อหาวิทยาศาสตร์ หรือข้อสอบความถนัดเนี่ย ...ไอ้ present เก่ง มันก็ ok อยู่หรอก แน่ส่วนตัวข้าเจ้าว่านัยแฝงในแง่ลบมันน่ากลัวมากอะ... ดูจากสังคมไทยเดี๋ยวนี้ดิฮะ จากคุณ : _K_F_C_   - [ 19 ก.ย. 51 06:50:46 ] ผมว่า พวกนักวิทย์ Prresent ไม่เก่ง เป็นเรื่องปกติ นะครับ พวกPresent เก่งๆ นี่น่าจะเป็นพวก Sale มากกว่า -..- จากคุณ : vn, man - [ 19 ก.ย. 51 09:49:44 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าพื้นฐานดี แต่ หลับในห้องเรียนทุกวัน ดีไหมครับ อิอิอิ สมัยเรียน ผมนั่งหน้าติด อาจารย์เลย หลับประจำ แต่ผมว่า การศึกษาบ้านเรา เริ่มต้นคิดก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนแล้ว นับประสาอะไร จะให้เด็กพื้นฐานแน่น สนใจเรียน มีความรู้และใช้ความรุ้ได้ 100% จากคุณ : Humandroy - [ 19 ก.ย. 51 09:57:56 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ^ ^ มันแล้วแต่ว่าอาจารย์แต่ละท่านจะเน้นหรือไม่เน้นครับ สมัยโน้นผมอยู่ประถมไปเดินเล่นในโรงเรียนมัธยมข้างบ้านไปนั้งดูรุ่นพี่ต่อวงจรขมักเขม้น พอถึงตอนผมเรียนทำไม่มันหายไปเหลือแต่กระดาษอธิบายสีแต่ละแถบ 4-5ใบ ไม่มีวงจรให้ต่อไม่มี R C ใหดูให้ต่อเล่นทุกวันนี้ หัวแร้ง(ร่นมีหลอดไฟฉายสีแดง) มันเคยวางอยู่ตรงไหน มันก็ยังอยู่เช่นเดิม มิเตอร์ต่าง ๆ กล้องจุลทรรศน์ กล้องดูดาว วางให้ฝุ่นเกาะ จะเอาออกมาใช้ทีก็โน่นงานโน่นงานนี้ ปีละหนเท่านั้น โรงเรียนที่ผมเรียนทุกวันนี้อาจารย์เก่า ๆ เหลือซักกี่คน คงราว ๆ 7-8 คนได้เปลี่ยนไปทุกปี นักเรียนโรงเรียนข้างบ้านผมมี 1,300 กว่าคน ครู 37 คน ในจำนวน 37 คน ปีละ 15 คนเป็นอย่างน้อยที่ย้ายออกไป บ้างก็อยู่ ปีสองปี สามสี่ปีแล้วก็ย้าย นั่นหมายความว่าครูจบใหม่ ๆ ต้องมาสอนทุกปีประสบการณ์สอนน้อยคุมเด็กไม่ได้ อายุ 21-23 เจอเด็กปีนเกลียวหน่อยก็เหวอแล้วใจเย็นใจนิ่งไม่พอ สมัยนี้ผลการเรียนนักเรียนมีแต่เวอร์ ๆ เกินความจำเป็นเกรดห้องคิงต้องไม่ต่ำกว่า เกรด 3.00 ทั้งที่ผลคะแนนต่างกันตรงที่ส่งการบ้านกับไม่ส่งเท่านั้น ส่งการบ้านครบทุกครั้ง เกรด 1-2 มารออยู่แล้วแน่ ๆ สอบนิดหน่อยก็ได้เกรด 4 ไม่ยากเย็นแต่บางคนส่งบ้างไม่ส่งบ้างมาเน้นสอบคะแนนก็พอเอาตัวรอดได้ เกรด 1-2 ไป แต่กลับกันความรู้ความสามารถพวกที่สอบได้เกรด 1-2 กับ 3-4 ต่างกันตรงที่การบ้านเท่านั้นเอง ตอนผมอยู่ ม.ปลายมีสอบวัดผลทักษะการเรียนรู้ ปรากฏว่าพวกที่ได้เกรด 3.00+ ได้คะแนนน้อยกว่าหรือเท่า ๆ กับพวก 1.00+ถึง2.00+แทบไม่ต่างกันแต่ที่ฮาสุดก็ไอ้คนที่เรียนได้ 1.97เนี่ยมันดันสอบวัดผลได้คะแนนมากกว่าชาวบ้านเขา ทั้งสองครั้ง - -'' ไม่ต้องโรงเรียนต่างจังหวัดหรอกครับใน กทม.เองมันก็เก่งก็เน้นแค่ห้องหลัก ๆ อย่างมากก็ห้อง 1-2-3 แต่โรงเรียนใหญ่ ๆ บางที่มี 18 ห้อง!!! ลองดูได้ครับ พวกจบสูง ๆ อวดเบ่งกรูจบมาสูงเจอมาหลายแนว ยิ่งรู้ว่าผมจบเพียง ปวส.เทียบเท่าไม่มีใบประกาศ เท่านั้นพวกละทับถมเชียวความรู้น้อยสมัยนี้หางานลำบาก(ก็กรูทำงานอยู่นี่ไง) โอกาสก้าวหน้าไม่ค่อยมี แต่เจ้าประคุณครับช่างเทคนิคปริญญาตรี เจอพาสเวิร์ด BIOS เข้าไปพวกลงวินโดวส์ไม่ได้!!!!! มัน Jumper ที่เขียนว่า Clear CMOS ไม่เจอ เพราะมันเขียนว่า Clr Cms !!!!! กล้วยยยยยทอดดดดด จากคุณ : PUMPKINbig - [ 19 ก.ย. 51 09:59:58 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อาจารย์แพรคครับ.... หลังจากเด็กพวกนี้จบไปแล้ว ถ้าจับพลัดจับผลูส่งเด็กพวกนี้ไปทำงานแถวสเปน-โปรตุเกส ก็ลำบากอีก เคยเจอว่าแถวนั้นเค้าใช้ เฮกโตรลิตร - เดคาลิตรด้วยครับ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของจำนวน ปริมาตรที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คงน่าจะต้องปูพื้นคนของเราที่เกี่ยวข้องด้วย จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) - [ 19 ก.ย. 51 10:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 30 present เก่งแล้วไงอ่ะ เพราะ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ถูก (ไม่ได้พิมพ์ผิดนะ) จากคุณ : meddy hao - [ 19 ก.ย. 51 10:10:01 ]

ความคิดเห็นที่ 31 hahaha i think so... จากคุณ : kiwiboyz - [ 19 ก.ย. 51 10:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เล่าสู่กันฟังค่ะ เมื่อวานนี้ หลานเรา ป.5 ใกล้จะจบเทอมอยู่แล้ว ตัวอักษร  A B C  ไม่รู้สักตัว เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง การท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ พอดีไปรับหลาน เจอคุณครูที่โรงเรียน ก็เลยถามพฤติกรรมหลานซะเลย ปรากฏว่า แย่มาก พูดคำหยาบ การบ้านไม่ทำ คุณครูบอกว่า คุณครูสอนพอให้ผ่านๆไปเป็นวันๆแค่นั้นเอง อึ้ง!ค่ะ กับคำพูดของคุณครู คุณครูบอกว่า เข้มงวดมาก สั่งสอนมาก ทำโทษมาก คุณครูนั่นแหละจะแย่ เพราะเคยมีผู้ปกครองนักเรียนมาดักตีหัวคุณครูระหว่างทางกลับบ้าน เฮ่ออออออ อนาคตเด็กไทย ลูกเทวดาทั้งนั้น แต่ก็จริงของคุณครูนะ ลูกจุดประทัดเล่นตอน 3 ทุ่ม พ่อแม่นั่งฟังกันเฉย เรานี่แหละทนฟังไม่ได้ ชั้นจะพักผ่อนแล้ว ก็เลยออกไปด่ามา 1 รอบ ด่าพ่อแม่ด้วย สรุปว่า พ่อแม่บอกว่า แหมมมม เด็กมันเล่นกัน จะหาความอะไรนักหนา เล่นจุดประทัด ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตอน 3 ทุ่มนี่นะ บ่นๆๆค่ะบ่น จากคุณ : golf pk - [ 19 ก.ย. 51 10:55:54 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ.คะ ไม่ใช่เฉพาะสายวิทย์หรอกค่ะ เหอๆๆๆๆ สัมภาษณ์งาน เด็กจบป.ตรีใหม่ๆสมัยนี้ บางสถาบันเด็กจบมาคิดร้อยละไม่เป็นค่ะ ทั้งๆที่จบการตลาดมานะคะ พอถามว่ารู้จักบัญญัติไตรยางค์ไหม ตอบเต็มปากเต็มคำมากว่า ไม่รู้จัก ไอ้เราล่ะอยากจะเอาหัวโขกกำแพง T__________T ช่วงนั้นนี่ปลงกับการศึกษาของไทยมากๆๆ เพราะไม่ได้เจอแบบนี้คนเดียวซะด้วย จากคุณ : kannasan - [ 19 ก.ย. 51 11:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 34  ถ้าคนเล่าเรื่องนี้ ไม่ใช่อาจารย์แพรคฯ   ผมจะไม่เชื่อครับ เฮ้อออ อีกหน่อย ทุกคณะคงต้องเปลี่ยนมา  รับตรง  ทั้งหมด   จากคุณ : 447 - [ 19 ก.ย. 51 11:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าเป็นกันเยอะๆเราคงต้องมองหาปัญหาอย่างอื่นก่อนดูจากนักเรียนล่ะมั่งเนี่ย จากคุณ : infernaldevilking - [ 19 ก.ย. 51 11:39:46 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เอ.. ผมจำได้ว่าเรื่องพวกนี้อาจารย์เค้าสอนมาตั้งแต่ ป.6-ม.1 แล้วนะครับ ใช่จริงๆอ่ะครับ พวกติวเตอร์ส่วนมาก ไม่เคยสอนว่าสูตรมาจากไหน สอนแต่ว่าสูตรคืออะไร จากคุณ : Junkyjoke - [ 19 ก.ย. 51 11:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 37 จาก กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7010678/X7010678.html ความคิดเห็นที่ 24   อืม เขา ตอบ เข้าเรื่อง กันไปหมดแล้ว ขออกนอกเรื่องมั่ง อันที่จริงผม ว่าการสอบไม่ควรใช้เพื่อ แบ่งเกรด เด็ก เหมือนแบ่งเกรด ผลไม้จากสวนเลย (ระบบปัจจุบันทำให้คิดแบบนั้น) ที่จริงเราน่าจะใช้การสอบ ทำให้ครูเข้าใจเด็ก แล้ว จะได้สอนถูก ว่า เด็กคนไหน ควรสอนอะไร ด้วยวิธียังไง ในเบื้องต้น ต้องมีมาตรฐาน ว่า เด็กทุกคนควรจะรุ้เรื่องอะไรบ้างเป้นอย่างน้อย จากนั้นก็สอนต่อยอดในสิ่งที่เด็กแต่ละคนมีความสนใจหรือมีพรสวรรค์ ปัจจุบัน เรา หลับหูหลับตาสอนไปตาม หลักสูตร ของกระทรวง ที่เขียนขึ้นมา โดยไม่รุ้ว่า เหมาะสมกับใคร จากคุณ : Humandroy     - [ 18 ก.ย. 51 14:40:16 ] จากคุณ : Humandroy - [ 19 ก.ย. 51 11:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณครูนั่นแหละจะแย่ เพราะเคยมีผู้ปกครองนักเรียนมาดักตีหัวคุณครูระหว่างทางกลับบ้าน ^ ^ คุณครู รู้ได้งัยว่าคนดักตีหัวเป็นผู้ปกครองของนักเรียน อาจเป็นศัตรูจากเรื่องอื่นก็ได้ เพราะถ้าผู้ปกครองของนักเรียนทำแบบนั้นเขาคงไม่ให้ลูกเรียนต่อที่ รร แล้วล่ะ... หรือถ้าคุณครูแน่ใจว่าเนผู้ปกครองจริงๆ ก็ต้องดูด้วยว่า เขาทำโทษเด็กถูกต้องตามสมควรหรือไม่ เราขอยก ตัวอย่าง อันนี้น้องเรา ป.6 รร คริสแห่งหนึ่ง ใน กทม (ขอย้ำเป็น รร เอกชน) ครูวิชาโครงงานที่ต้องpresent งานหน้าชั้น เรื่องโครงงานหุ่นยนต์ (หัวข้อเลือกเองโดยนักเรียน) แล้ววันที่ต้องpresent งานหน้าชั้น คนที่เก็บสมุดที่จดงานไว้ ไม่มา รร เพราะทำสมุดหายแล้วรู้ว่า วันนี้มีรายงานหน้าชั้น และตัวเองก้ยังหาข้อมูลมาให้กลุ่มไม่ได้ น้องเราและเพื่อนๆในกลุ่ม จึงเดินไปบอกครู ว่าไม่สามารถpresent งานได้ เพราะ คนที่เอางานไปไม่มา ครูตอบว่า "แล้วมาบอกชั้นทำไม" แล้วก็ลงโทษทั้งกลุ่ม any comment ?? จากคุณ : Choco-Mix - [ 19 ก.ย. 51 11:53:44 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ทำไมสอนนักศึกษาสมัยนี้ต้องใจเย็นๆ - เย็นไว้ เย็นไว้ ยุบหนอ พองหนอ (หารูปที่เซฟที่สุดแล้วนะเนี่ย) 66666 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 18:46:34 จากคุณ : monsungja - [ 19 ก.ย. 51 11:56:09 ]

ความคิดเห็นที่ 40 1. เด็กสอบเข้ามาได้ เพราะ สอบ ไทย กะสังคม ได้คะแนนมาก 2. เขาเอา เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ รวมกัน เป็น วิชาวิทย์ วิชาเดียว เด็กจึงไม่ต้อง ใส่ใจในวิชาที่ไม่ชอบ 3. เรื่องบัญญัติไตรยางศ์ นั้น เขาไม่สอนกันแล้ว เขาเปลี่ยนมาเป็น เลข สัดส่วน ครับ  ดังนั้น เด็กจึงตอบว่า  ไม่รู้จัก 4. # 17 ครับ ต้องดูว่า ที่คุณถามเด็กแล้ว เด็กตอบไม่ได้นั้น มัน search ใน google แล้วเจอใน link แรกหรือไม่ ถ้าไม่เจอ เด็ก จะตอบว่าไม่มี ไม่รู้ ครับ 5. เด็กที่เข้ามาได้ ส่วนหนึ่ง เพราะ เกรด สูงมาก มากเกินกว่าคนธรรมดาสามัญอย่างเราจะทำได้ และค่าน้ำหนัก ทางกระทรวงให้มากถึง 30 % ผลมันก็ออกมาเป็นอย่างนี้ แหละ   กรุณาอย่าอยู่เฉยๆ ครับ ควรทำหนังสือร้องเรียนไปยัง กระทรวงครับ จะได้รับรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับวิธีการคัดเลือกคน ที่พวกเขาตั้งเกณฑ์แบบจับฉ่าย ทศกัณฑ์เรียกพ่อแบบนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก จากคุณ : น้าพร - [ 19 ก.ย. 51 11:56:24 ]

ความคิดเห็นที่ 41 บอกครู ว่าไม่สามารถpresent งานได้ เพราะ คนที่เอางานไปไม่มา ครูตอบว่า "แล้วมาบอกชั้นทำไม" แล้วก็ลงโทษทั้งกลุ่ม ^ ^ ก็ถูกต้องแล้วนี่ ครับ ทำงานกลุ่ม ถูกก้อรับชอบทั้งกลุ่ม ผิดก้อรับผิดทั้งกลุ่ม จะโยนขี้ไปให้ใครคนใดคนหนึ่งนั้นไม่เหมาะ ทั้งนี้เพราะ เราถูกฝึกให้เห็นแก่ตัว ทำอะไร เพียงคนเดียว จะขับรถ ก็ไม่มีน้ำใจ ไม่แบ่งปันกัน ไม่ยอมคนอื่น หลายครั้ง ผมขับรถจะเลี้ยวเข้าซอยเพื่อนเข้าบ้าน (เลี้ยวขวา) เปิดไฟเลี้ยวมาแต่ไกล พอรถคันหน้าที่สวนทางมา เห็นว่า ผมจะเลี้ยวขวางทางเขา เขากลับเลื่อนรถมาปิดช่องเข้าซอยซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ บริเวณนั้น รถหนาแน่น ขับเร็วไม่ได้ และข้างหน้าก็มีแยกไฟแดงอยู่ แม้นเขาปิดทางผม เขาก็ไปต่อไม่ได้ ตรงกันข้าม ผ่านไปอีกคัน เป็นรถเมล์ คนขับกับ หยุด แล้วโบกให้ผมเข้าไปก่อน อย่างนี้ครับ  ความเห็นแก่ตัวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้  ช่างน่าละอายนัก แต่คนขับรถเก๋งไม่รู้ตัวดอก ลูกหลานเห็น ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องปกติ ทำให้ไม่มีจิตสำนึกของการทำงานเป็นทีม เป็นกลุ่ม ดังนั้น การลงโทษทั้งกลุ่มทั้งทีม เหมาะสมที่สุดแล้ว เวลาฟุตบอลแพ้ โค้ชจะไม่ดุด่ากองหน้า ว่ายิงประตูไม่เข้า แต่โดนทุกคนครับ  เพราะพวกเขาทำงานเป็นทีม  ไม่ใช่เล่นคนเดียว เรื่องนี้ ต้องมองภาพให้ออกว่า คืออะไร ไม่ใช่บอกว่า เรื่องนี้ ไม่เป็นความผิดของฉัน  ฉันไม่เกี่ยว ทำไมฉันต้องถูกลงโทษด้วย มองแคบไปครับ ประเทศชาติ จะเจริญได้ ก็ด้วย คนในชาตินึกถึง ส่วนรวมก่อน นึกถึงทรัพยากรของประเทศชาติก่อน ก่อนที่จะนึกถึงตัวเอง มาวันนี้ การกลับตรงกันข้าม คนกลับนึกถึงตัวเองก่อน อะไรที่ไม่ใช่เรื่องของkru โดยตรง kru ไม่เกี่ยว ถ้ามีเฉียดๆ เข้ามา kru ก้อหาทางเลี่ยงออกไปซะ แล้วก็มานั่งบ่น นั่งด่าทอ ว่า  เนี่ยยยยย  รัฐบาลเฮงซวย ทำอะไรไม่เห็นสำเร็จเลย รถติด การศึกษาแย่ คนไทยทำงานเป็นทีม ไม่เป็น  หรืออย่างน้อย ก็ไม่มีจิตสำนึก ของการทำงานแบบทีมครับ  เรื่องนี้ต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข ทุกอย่างในสังคม จะดีจะเลวเริ่มที่บ้านครับ ถ้าฝึกให้เห็นแก่ตัวกันตั้งแต่แรกเกิด แล้ววันหนึ่ง ความchipหายจะมาเยือนแผ่นดินไทยโดยไม่รู้ตัว .......................................................................... ถูกใจให้ give ครับ ไม่พอใจ กดลบ ครับ ไม่ว่ากัน แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 12:12:43 จากคุณ : น้าพร - [ 19 ก.ย. 51 11:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ครูส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคำว่า  เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ  มักจะเน้นหลักสูตรเป็นสำคัญ ก็นักเรียนยังไม่ได้  จะให้ข้ามไปสอนให้จบ ๆ ไปได้อย่างไร   ไม่ทันก็ต้องยอมไม่ทัน  เพราะหลักสูตรมันจะวนกลับมาเรื่องเดิม  แต่เนื้อหาจะลึกซึ้งขึ้น  ถ้าพื้นฐานดี  ก็จะต่อยอดได้ทันอยู่แล้ว ต้องไปคิดไปค้นหาวิธีมาสอนจนกว่านักเรียนจะได้เรื่องที่เป็นพื้นฐานก่อน  ถ้าพื้นฐานแน่น  ก็จะไปได้ไว ปกติจะสนใจเด็กที่เรียนปานกลางถึงอ่อน  เด็กเก่งจะไม่ห่วงหรอก  เพราะเขาจะไปหาเรียนข้างนอกอยู่แล้ว เด็กปานกลางถึงอ่อนนี่  ต้องดูแลใกล้ชิดให้มีพื้นฐานดี  เขาเรียนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเป็นทุกข์มาก  เพราะเนื้อหาจะยากขึ้นเรื่อย ๆ อยากแก้ปัญหานี้  ต้องไปทำความเข้าใจกับครูประถม  และครูมัธยมต้น ว่า  การเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ  หรือเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางคืออะไร  ไม่ใช่ให้นักเรียนไปหาความรู้เองแน่นอน ถึงยังไงคนที่รู้มากกว่าก็ต้องสอนนั่นแหละ  แต่สอนตามนักเรียน  ไม่ใช่สอนตามหลักสูตร จากคุณ : jedi-jaidee - [ 19 ก.ย. 51 12:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เห็นด้วยกับน้าพร ถ้าให้ผมมาสอบตอนนี้คงสอบไม่ได้ เพราะตอนนั้นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยความรู้แค่ 2 วิชาคือ คณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ ตอนเรียนก็ทำคะแนนได้ดีเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ วิชาอื่นๆแค่เอาตัวรอดได้ ดูแล้วมันต่างกันเด็กที่จบใหม่ส่วนใหญ่(เด็กรุ่นใหม่ที่เก่งจริงๆก็มี) ลูกชายผมจบ ป.4 แล้วไปเรียนที่ออสเตรเลีย เขาสนุกกับการเรียนที่นั่นมาก ไม่อยากกลับมาเรียนเมืองไทย จากคุณ : freefeel - [ 19 ก.ย. 51 12:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 44 #41 ก็เป็นความเห็นที่ดีนะครับ แต่คงเป็นคนละเรื่องกับคำว่าเหมารวมใช่มั้ยครับ จากคุณ : Jacare - [ 19 ก.ย. 51 12:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 45 กลับมาอ่านอีกที นึกถึงอดีตกระทู้แนะนำของข้าพเจ้าเอง 1.2 พันโรงเรียนปล่อยเกรด... จากคุณ : Cryptomnesia - [ 19 ก.ย. 51 12:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เราตอบเด็กไม่ได้ว่า เขาเรียนไปเพื่ออะไร เข้ามหาวิทยาลัย ?? ประกอบอาชีพ ?? สมัยผมเรียน เด็กที่ไม่สนใจ วิทย์ ก็ต้องมาเรียนสายวิทย์ พอสอบเอนท์ มันก็เลือก พยาบาล -*- (ตอนนี้มันซื้อรถใหม่ป้ายแดงได้ละ ผมยังขับรถเครื่องอยู่เลย 555+) เรื่องแบบนี้ ไม่ต้องโทษเด็กหรอกครับ เพราะว่า ระบบการศึกษาบ้านเรามันเป็นแบบนี้ (โทษระบบอีก-*-) แต่พิมพ์ไปพิมพ์ เด็กเองนั้นแหละ ที่ไม่สนใจ ผมจัดโครงการให้ความรู้ด้านยาเสพติดเด็ก เหอ เหอ ข้างหน้าก็สนุกสนานกับกิจกรรมดี แต่ไอ้ข้างหลังมันหลับ -*- จากคุณ : Ice-man - [ 19 ก.ย. 51 12:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คนเรามักจะถามหาความรับผิดชอบจากคนอื่น แต่ลืมถามหาความรับผิดชอบของตนเองไปครับ เอาแต่โทษว่าครู ไม่ได้เรื่อง เด็กไม่ดีไม่ได้เรื่อง ลองย้อนกลับมามองตัวเองซิครับ เด็กก็เอาแบบอย่างมาจากผู้ใหญ่ที่เห็นๆ วันนี้ สื่อก็ทำธุรกิจเพื่อตอบสนองตัณหาของผู้ใหญ่ในวันนี้ ผู้ใหญ่ในวันนี้ชอบอะไร สื่อก็ทำมาป้อน เด็กก็ดูกับผู้ใหญ่ด้วยนั้นแหละ ลองดูซิครับ เด็กที่ดีๆ ทั้งหลายนั้น เริ่มจากครอบครัวที่ดีทั้งนั้น ไม่ใช่โรงเรียนที่ดีครับ จากคุณ : kanoomtan - [ 19 ก.ย. 51 13:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อ่านหลายๆความเห็น รู้สึกว่า เด็กจะเอาแต่ได้แต่ไม่พยายาม ทำอะไรเลย ใช้ชีิวิตตามสัญชาตญาณ สนองตัณหาตัวเองไปวันๆ ไม่สนใจการเรียน นศ ที่เข้ามาเรียนต้องรู้ตัวก่อนว่า อาจารย์ที่มาสอนไม่ได้หมายความว่าเราต้องเก่ง ความสามารถทั้งหมดเราต้องหาเอง อาจารย์เป็นเพียงแค่แนะแนวเท่านั้นและคอยให้คำปรึกษาด้านการเรียน หรือ อื่นๆ ปล.มหาลัยผมก็เป็น เพื่อนแต่ละคนสอบเข้ามาได้ยังไง จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 19 ก.ย. 51 13:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 49 #41...น้าพรคะ ขอบคุณที่แสดงความเห็นตรงไปตรงมา แต่น้าพร ตีความหมายหนูผิดไป หรือหนูขึ้นประเด็นเรื่องทำโทษเด็กก่อน เลยคิดว่าหนูจะพูดเรื่องทำโทษ.... ขออภัย... ประเด็นของหนู ไม่ได้อยู่ที่ครูทำโทษเด็กทำไม ..ครูทำถูกแล้วค่ะ ที่ทำโทษ แต่ทำไมถึงใช้คำพูดแบบนั้นกับเด็ก  ถ้าเด็กโต เกเร โดดเรียน ก็ว่าไปอย่าง นี่เด็กประถม ถึงวันอังคารทีไรน้องจะบ่นว่าไม่อยากไป รร ทุกที เพราะเจอครูคนนี้ ชอบตวาดนักเรียน ตะคอก และใช้คำพูดที่รุนแรงให้นักเรียนฟัง (บางทีมีคำหยาบ เช่นคำว่า ร่าน ออกมาด้วย ด่า นร หญิงคนอื่นนะ) ซึ่งน้องเขาก็เอามาถาม ว่า มันแปลว่าอะไร การทำโทษ ตีมือ ตีก้น เคาะเล็บ เคาะข้อนิ้ว ยังไม่โกรธ เท่าครูตะคอกใส่เด็กเลยค่ะ ที่เราจะสื่อคือ ครูบางคนมีพฤติกรรมแย่น่ะค่ะ เด็กที่เจอครูแบบนี้ จะไปเอากะจิตกะใจที่ไหนไปเรียน กลัวขี้หดตรดหายกันหมด ถ้าครูมีจิตวิทยาสักหน่อยก็คงจะดี ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเป็นแม่พิมพ์ที่ดีเลิศ หรือรักเด็กแต่อย่างใด แต่มีความเป็นครูอย่างชื่อของอาชีพก็พอ ยิ่งน้องต้องเข้า ม.1 ในปีหน้า ก็พยามเคี่ยวเข็ญให้เขาอ่านหนังสือเยอะๆ ตั้งใจเรียนให้มากกว่าเก่า เกรดเฉลี่ยแก 3.0 กว่านิดๆ ถ้าขยันอีกหน่อยอาจจะได้เข้า รร รัฐบาลดีๆกะเค้าบ้าง แต่รู้สึกว่า ครู ป.6 ในปีนี้แย่กว่าครู ป4-5 อย่างเห็นได้ชัด และคาดว่า ผลการเรียนของน้องเราคงdrop ลงแน่ๆค่ะ แต่ก็ว่างแผนไว้แล้วว่าจะให้ไปเรียนติวเตอร์วิชาหลักก่อนสอบแข่ง ขอบคุณค่ะที่อ่านจนจบ จากคุณ : Choco-Mix - [ 19 ก.ย. 51 13:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เห็นด้วยกับ คห 40 ข้อ 1 ครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ตัดสองวิชานี้ทิ้งเลย เพราะสองวิชานี้จริงๆ ก็มีความจำเป็นต่อสายวิทยาศาสตร์เหมือนกัน (แม้เด็กจะยังมองไม่เห็นในตอนนั้น แต่เมื่อถึงเวลาทำงานจริงจะรู้ครับ) น่าจะปรับการถ่วงน้ำหนักคะแนนใหม่ให้น้อยลง หรือไม่ก็ตัดสองวิชานี้ไปอยู่ในระบบ ผ กับ มผ เลย แบบว่าเด็กที่จะเข้าคณะสายวิทย์ได้จะต้องสอบสองวิชานี้ให้ผ่าน (อาจจะซักประมาณ 35-40 จาก 100) แต่จะไม่เอาคะแนนมารวมในการคัดเลือก ส่วน คห 42 จริงๆ เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับว่า ครูควรจะต้องเน้นให้เด็ก "รู้เรื่อง" ก่อนมากกว่าจะมุ่งให้จบไวๆ ตามเทอมอย่างเดียว แต่มันก็จะมีปัญหาตามมาอีก เช่น ถ้าในห้องมีทั้งเด็กเก่งและไม่เก่งปนกันอยู่ ขืนมามัวแต่รอเด็กไม่เก่งกลุ่มเดียวไม่คืบหน้าเสียที พวกที่เรียนเก่งก็จะพลอยเบื่อหน่ายที่ต้องเรียนอะไรซ้ำๆ ซากๆ อยุ่ทุกวี่วัน พาลจะทำให้เด็กเกลียดขี้หน้ากันด้วยซ้ำ ปัญหานี้ยังไม่หนัก พอแก้ได้ด้วยการแบ่งกลุ่ม จับเด็กที่เรียนเก่งไปอยู่ด้วยกัน ห้องนี้ก็จะเรียนได้เร็วหน่อย ส่วนเด็กไม่เก่งก็เอามารวมกลุ่มกันแล้วสอนแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปจนเข้าใจหมดทุกคน แต่ปัญหาสำคัญกว่านั้นก็คือ ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อสอบเขาจะออกครอบคลุมทุกเรื่องตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นยังไงๆ ครูก็ต้องพยายามสอนเด็กให้ครบทุกเรื่องให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเป็นผลเสียกับเด็กหนักเข้าไปอีก เช่น ข้อสอบออกเรื่องตรีโกณฯ แต่ครูยังไม่ได้สอนเลยซักนิดเพราะมัวแต่ติดอยู่ที่ Log อยู่นั่นแหละ แล้วแบบนี้เด็กจะไปทำข้อสอบตรีโกณฯ ได้ไง เท่ากับเสียไปฟรีๆ หลายคะแนนแล้ว ซึ่งตรงนี้คงต้องขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เพื่อให้การเรียนการสอนครอบคลุมตามเนื้อหาที่กำหนดมา ครูก็ต้องวางแผนการสอนให้ดีว่าจะสอนแต่ละเรื่องในเวลากี่ชั่วโมง ส่วนเด็กก็ควรต้องช่วยตัวเอง (แฮ่ม อย่าคิดไปเป็นอย่างอื่นน้า ) ด้วยการเตรียมตัวมาล่วงหน้าและหมั่นคอยทบทวนเนื้อหาวิชาที่เรียนด้วย ไม่ใช่ว่ารอให้ครูป้อนๆๆๆๆๆ อย่างเดียว แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 13:55:43 จากคุณ : เกียรตินำ - [ 19 ก.ย. 51 13:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เห็นด้วยกับคุณเกียรตินำครับผม จากคุณ : 447 - [ 19 ก.ย. 51 13:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เห็นด้วยกับอาจารย์ Practicalx2 แต่หนูมองว่า ปัจจุบันนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่บทเรียนแต่อย่างใด ปัญหามันอยู่ที่ตัวเด็กเองที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าตัวเองต้องไปทางไหนมากกว่า (ยังหาตัวเองไม่เจอ) บางคนมาเรียนเพราะคิดว่าอาชีพนี้ทำเงินได้มาก บางคนมาเรียนเพราะ คิดว่าเด็กเรียนดีต้องเลือกเรียนนี้ เท่านั้นเอง ไม่ได้เรียนในสิ่งที่คิดว่าอยากจะเรียน แล้วก็เรียนผ่านซะด้วย คือไม่ได้หัวไม่ดี สอบเข้าได้ ขยัน (โดยเฉพาะตอนสอบ) สุดท้าย คือ เสียเวลาเปล่า จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 19 ก.ย. 51 14:06:18 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าคนเล่าเรื่องนี้ ไม่ใช่อาจารย์แพรคฯ   ผมจะไม่เชื่อครับ จากคุณ : amited - [ 19 ก.ย. 51 14:09:52 ]

ความคิดเห็นที่ 54 #48 เวลาที่เกิดปัญหาเด็กไม่เข้าใจเรื่องที่เป็นพื้นฐานมาก ๆ เช่นกรณีอาจารย์แพรกยกตัวอย่าง ไม่อยากให้ไปโทษที่เด็กเลยครับ  ว่าเอาแต่ได้  เพราะไม่มีเด็กที่ไหนอยากเอาแต่ได้หรอกครับ เราต้องมองเด็กของเราว่าดีไว้ก่อนครับ  เป็นทรัพยากรอย่างดีที่เราจะสร้างให้วิเศษอย่างไรก็ได้ แต่ก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องการเรียนรู้ของเขาเป็นอันดับหนึ่ง  แต่บ้านเราให้ความสำคัญเช่นนั้นหรือเปล่า คุณเกียรตินำพูดได้ถูกต้องแล้ว  ว่าจะมีเด็กบางคนเรียนรู้ได้  ก็จะเบื่อ   แต่เชื่อเถอะครับ  ว่าเด็กที่จะเบื่อจะมีน้อยมากในการเรียนการสอนตามหลักสูตรใหม่ ระบบการศึกษาบ้านเราล้มเหลวมาก  เพราะหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานไปเร่งเด็กมากเกินไป เหมือนจะเอาเด็กหัวกะทิเป็นฐานในการสร้างหลักสูตรหรือเปล่า   ลืมเด็กบ้านนอกตาดำ ๆ ซึ่งมีอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งประเทศหรือเปล่า มันหลักสูตรอะไรกัน  แค่เห็นหนังสือก็เหนื่อยแทนเด็กแล้ว   ทุกวันนี้  ครูจึงได้แต่สอนตามหลักสูตรให้ทัน  ซึ่งจะให้ทันได้  ก็ต้องสอนแบบติวเตอร์นั่นแหละ   สอนทำข้อสอบ  ไม่ใช่สอนพื้นฐานความเข้าใจ นี่ยังไม่นับเวลาที่ต้องเอาไปทำกิจกรรมเพื่อผลงานของผู้บริหาร  และอาจารย์ผู้สอนด้วย คนที่เรียนได้ก็ขึ้นสวรรค์ไปเลย  คนที่ไม่ไหว  ไม่ทัน  ก็ได้แต่เอาตัวรอดไปวัน ๆ เพราะเขาไม่มีทางเลือก ช่วงนี้สังเกตว่าตัวเองตอบกระทู้เรื่องการศึกษามากหน่อย  เพราะเห็นปัญหาแล้วมันหนักเหลือเกิน มีเด็กมัธยมจำนวนมาก  ที่เราได้แต่นั่งมองเห็นเขาเรียนหนังสือแบบไม่รู้เรื่อง   จนกลายเป็นความชาชิน  และเลิกใส่ใจการเรียนรู้เป็นจำนวนมาก สะสมไปเรื่อย ๆ จนกลายไปเป็นลูกศิษย์อาจารย์แพรกได้  นี่ย่อมเป็นเรื่องที่คนในแวดวงการศึกษาควรจะตกใจได้แล้ว แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 14:20:55 จากคุณ : jedi-jaidee - [ 19 ก.ย. 51 14:13:16 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เคยไปธุระที่ คณะวิทย์ของมหาวิทยาลัย รัฐ แห่งหนึ่ง ได้ยินคุณน้องนักศึกษาคุยกันแล้วจะเป็นลม เด็ก คณะวิทย์ ไม่รู้จักวิธีไตเตรท   พระเจ้า  ไม่รู้เด็กพวกนี้เรียนผ่านชั้นมัธยมมาได้อย่างไร ? . จากคุณ : suttimon - [ 19 ก.ย. 51 14:25:18 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ลองถามนักศึกษาดูสิ ครั้งแรก อายุเท่าไหร่ แล้วจะตะลึง มันเล่นกันตั้งแต่ ม. ต้น ไปดูคมฟรอกสิ ใส่ชุดนักศึกษานั่งเปิดนมเห็นหน้าให้คนดูทั้งโลก จากคุณ : แต่ก็ชอบดูน่ะ 55 (ตอร์เรสสุไหงโกลก) - [ 19 ก.ย. 51 14:25:48 ]

ความคิดเห็นที่ 57 งั้น ก็จงโทษเด็กต่อไป ครับ อย่าลืมว่าลูกหลานท่าน ก็เด็กนั่นแหละ ทบทวนนิดนึง เด็กอายุเท่าไหร่ ท่านอายุเท่าไหร่ใครผ่านโลกมามากกว่ากัน ทบทวนอีกครั้ง เด้กอยากเรียนในโรงเรียน หรือท่านบังคับให้เด็กไปเรียน ทบทวนอีกซักหน เด็กผ่านความยากลำบามาแล้ว หรือท่านผ่านความยากลำบากมาแล้ว ใครจะโทษเด็ก ว่าไม่สนใจเรียนเอง ผมไม่เถียงเลยครับ "เด็ก ไม่เคย อยากเรียน แบบที่ท่านบังคับเลย" "แล้วท่านส่งเด้กไปเรียนทำไม ?.." ผมถามหน่อย ในที่นี้มีใครมีลูกบ้าง คุณส่งลูกไปเรียน เพื่ออะไร A. เพื่อเอาผลการเรียนดี มาเป็นหน้าเป็นตาในสังคมให้ท่าน B. เพื่อให้ตำรวจไม่มาจับท่านเพราะกฏหมายบังคับ C. เพื่อทำหน้าที่ผู้ปกครองที่ดี D. เพื่อให้ลูกหลานของท่าน มีความสามารถ มีทักษะต่างๆ อันเป็นปัจจัยที่จะนำมาซึ่งความสูขและสมบูรณ์ในอนาคต ถ้าท่านมีคำตอบในใจตัวเอง แล้ว ท่าน จะ สอนพวกเขายังไง A. สอนๆให้เยอะๆ บังคับเข้มงวดมากๆ ให้ได้ A เยอะๆ ได้ทุน ได้เข้าโรงเรียนดังๆ B. สอนตามหน้าที่ รับเงินเดือนมาแล้ว C. สอนเพราะเป็นลูกศิษย์ D. ทำความรุ้จักเขาก่อน เพิ่มสิ่งจำเป็นที่เขาขาด และ ส่งเสิมสิ่งที่เขาสนใจหรือมีพรสวรรค์ สุดท้าย ทิ้งทวน "เด็กอายุเท่าไหร ท่านอายุเท่าไหร ใครกันแน่ที่ต้องปรับปรุง" แก้ไขข้อความ ขอชีแจงเพิ่มนะครับ ที่ผม แสดงความเห็นนี้ ไม่ใช่ เพราะเจ้าของกระทู้ครับ แต่เพราะรู้สึก ว่าเริ่มมีบางคน โยนความผิดให้เด็ก ซึ่ง ไม่ใช่ว่าเด็กไม่ผิด แต่ ปัญหามันต้องแก้ที่"เรา" เท่านั้น ไม่ใช่โทษว่าเด็กผิดแล้วปล่อยปละละเลย แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 17:04:15 จากคุณ : Humandroy - [ 19 ก.ย. 51 15:32:28 ]

ความคิดเห็นที่ 58 สมัยผมเรียนป.ตรี เคยมีอ.ถามประมาณนี้เหมือนกันครับ ว่า 1 ลิตรเป็นกี่ลบ.ซม. ปรากฏว่าไม่มีใครในชั้นตอบได้ซักคนครับ ผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ อ.ก็ว่าเหมือนกันว่าอะไรกัน แค่นี้ทำไมไม่มีใครรู้ คืออยากบอกว่าอะไรที่มันไม่ได้ใช้มันก็ลืมน่ะครับ แล้วพวกผมก็เรียนวิศวะอิเล็กทรอนิกส์น่ะครับ ไม่ได้เรียนเคมี อ.บางคนเอาความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ก็มีนะครับ ว่านี่มันเป็นแค่เรื่องพื้นฐาน ถึงพวกคุณไม่ได้เรียนตรงสาย ก็ต้องรู้ แต่ส่วนตัวคิดว่า คำว่าเรื่องพื้นฐานที่ควรรู้นั้นแต่ละคนนิยามต่างกัน ถ้าสำหรับผมที่ทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าแล้ว คำว่าลิตรที่ผมรู้ คือมันเป็นหน่วยที่นิยมใช้ในวงการผลิตน้ำดื่มเท่านั้นเอง ซึ่งมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เห็นว่าการรู้จักคำว่า ลิตร แค่นี้จะทำให้ผมไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างลำบากขึ้นตรงไหนเลย แต่บางเรื่องมันก็เกินไปเหมือนกัน ตอนผมเรียนปี 3 เคยไปติววิชาเลขให้กลุ่มเพื่อนๆแฟน ปี 1 คณะบริหาร มหาวิทยาลัยของรัฐมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร หลังจากแก้โจทย์ให้ดู ผมจบไว้ที่ x - 8 = 5 แล้วผมก็บอกว่า ข้อนี้จบแล้ว แต่พวกน้องๆก็ท้วงว่ายังไม่จบเลย แสดงวิธีทำให้จบสิคะพี่ ในกลุ่มที่ผมไปติวตอนนั้นมีประมาณ 6 - 7 คน ในนั้นมีประมาณ 2 คนที่พูดขึ้นมาว่า "เอ เหมือนมันจะย้ายข้างได้นะ ถ้าจำไม่ผิด ย้าย -8 ไปฝั่งตรงข้าม น่าจะใช่นะ" พอสองคนนี้พูดเพียงเท่านี้ คนอื่นๆก็เฮเลย ว่าสองคนนี้เก่งเลขมากๆ ตอนนั้นผมอึ้งมาก ว่านี่มันเลขชั้นประถม ย้ายข้างบวกเลขธรรมดา แต่นศ.ปี 1 คณะบริหาร มหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพ กลับทำไม่ได้ แน่นอนว่าเค้าก็มีชีวิตได้โดยไม่ยากลำบาก แต่กรณีนี้มันต่างกับเรื่องลิตร คือ ลิตร ต้องใช้ความจำในการจำ แต่การย้ายข้างบวกเลขนี่มัน เป็นความเข้าใจที่พื้นฐานมากๆ ผมไม่ได้โทษพวกเค้าเลย แต่ผมโทษการศึกษาไทย แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 15:54:45 จากคุณ : FREE_OFFICER - [ 19 ก.ย. 51 15:41:48 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ผมสอนยุคที่บอกว่าใครอยากเรียนต้องได้เรียน สอน ปวส. เจอ นศ. ที่จบมาจาก รร.สอนศาสนาอิสลาม ยังคูณหารเลข ยกกำลังกับติดรากที่สองไม่เ็ป็นครับ แต่อยากเรียน อิเล็กทรอนิกส์ อยากเรียนโทรคม อยากเรียนคอมพิวเตอร์ บอกว่านึกว่าจะมาซ่อมเครื่อง ยอมรับได้เลยว่าพื้นฐานเด็กเดี๋ยวนี้ไม่แน่นครับ แต่ที่ลำบากคือคนที่เก่งก็จะเก่งไปเลย สอนช้าคนเก่งเบื่อ สอนเร็วคนไม่เก่งไปไม่ไหว ต้องจัดคลาสสอนพิเศษให้ ซึ่งเมื่อจัดแบบนี้แล้วคนไม่เก่งก็ไม่สนใจเพราะไม่อยากเรียน หรืออะไรก็แล้วแต่ คนที่สนใจมาเรียนกลับเป็นคนเก่ง คนขยันที่จะมาเอาความรู้เพิ่มให้อีก ของแบบนี้ไม่อยากบังคับ เช่บอกว่ามาเรียนนะ แล้วให้ทำข้อสอบใหม่ ดูตัวเองไม่ไหวยังไม่มาก็ปล่อยไป เรียนใหม่อีกรอบได้ชำนาญขึ้น จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 19 ก.ย. 51 15:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เกรงว่านำไปสู่การหลงประเด็นครับ เรื่องลบ.ม. ลบ.ซม. ที่อ.แพรคยกตัวอย่างมันคงไม่ใช่เรื่องผิดพลาดมหาศาลหรอกครับสำหรับคนที่ตอบไม่ได้ ถ้าผมเดินเข้าไปถามคุณทื่อๆ "1 ลูกบาศก์เมตรเท่ากับกี่ลิตร" คุณก็อาจจะตอบไม่ได้ มันแน่อยู่แล้วสำหรับคนที่ไม่ค่อยใช้งานหน่วยนี้ แต่ถ้าให้เวลาคิดสักหน่อย ทุกคนที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยสายวิทย์ ผ่านการเรียนเลขยกกำลังแล้ว น่าจะตอบได้ครับ ถ้าให้เวลาคิด ให้ช่วยกันคิด (ตัวอย่างของอ.แพรคนี่ให้ช่วยกันคิดทั้ง class เลยนะ -*-) แล้วตอบไม่ได้ มันก็น่าเป็นห่วงนะครับ อยากบอกว่า อาจารย์ทุกคน (หรือเปล่า?) ก็เป็นห่วงลูกศิษย์ครับ ใจเราอยากให้ลูกศิษย์ได้รับความรู้เต็มที่ จบจากมหาวิทยาลัยอย่างมีคุณค่าในชีวิต สร้างประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้ ไม่ใช่ได้แค่กระดาษแผ่นเดียว ดังนั้น อาจารย์จึงต้องใจเย็นมากๆครับ...ตามหัวข้อกระทู้ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 16:02:28 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 19 ก.ย. 51 16:01:55 ]

ความคิดเห็นที่ 61 โหวตครับ จากคุณ : bigwores - [ 19 ก.ย. 51 16:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เห็นด้วยกับหลายท่านว่า ทักษะการนำเสนอ (present) นั้น เป็นทักษะที่จำเป็น ควรมีติดตัว แต่ถ้านำเสนอ โดยไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่นำเสนอ หรือขาดเจตนาที่ถูกต้อง ผมว่าอันตรายครับ... ย้ำอีกครั้งครับ ว่าไม่ใช่แค่ไม่ดี แต่ถึงขั้นอันตรายเลยทีเดียว โดยเฉพาะยิ่ง ถ้าผู้พูด ผู้นำเสนอ ดูน่าเชื่อถือ น่าเลื่อมใส ยิ่งถ้าทรงคุณวุฒิและวัยวุฒิ ด้วยแล้ว จะสามารถปลูกฝังความเชื่อที่ผิด ที่ไม่ถูกต้อง ลงไปในสังคมส่วนใหญ่ ได้อย่างง่ายดาย ลองคิดดูครับ วันนี้เราอ่านอะไรในนสพ. ดูอะไรในทีวี ฟังอะไรในวิทยุ คุยอะไรกับใครบ้าง มีโฆษณาหรือรายการอะไร หรือใคร ที่เราฟังหรือคุยด้วย แล้วคล้อยตามบ้าง แล้วเราย้อนกลับมาคิดตรวจสอบทุกเรื่องที่เราอ่าน ดู ฟัง ได้ยิน ได้ทุกเรื่องไหม สื่อทุกวันนี้ ทรงพลังอย่างยิ่งจริงๆ. ในความเห็นส่วนตัวของผม เมื่อสังคมใดให้รางวัลกับพฤติกรรมรูปแบบใดก็ตาม คนในสังคมนั้นก็จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของตน เข้าหาพฤติกรรมรูปแบบนั้นๆ โดยที่คนทั่วไปแยกออก ระหว่างการสิ่งที่สังคมพยายามปลูกฝัง กับสิ่งที่สังคมให้รางวัลจริงๆ ในสถาบันการศึกษา เราพยายามสร้างคนที่เก่งจริง รู้จริง แต่เวลาไปทำงาน เขาเห็นรุ่นพี่หรือเจ้านาย เน้นบริหารคน ทักษะประชาสัมพันธ์(สร้างภาพ) เก่งๆ กลับรุ่ง และไปได้ไกลกว่าคนเก่ง ที่ขาดทักษะการนำเสนอ อย่างมากมาย จึงไม่แปลก เยาวชนผู้มีเวลาอันจำกัด จะเน้นทักษะใด ระหว่างการนำเสนอ กับความรู้จริงๆ และก็ไม่น่าแปลกใจ ที่คนไทยรุ่นนี้ อยากสวยอยากหล่อ อยากเด่นอยากดัง มากกว่าเป็นคนเก่งคนดี เพราะถ้าเขาเปรียบเทียบ(อย่างผิวเผิน) เขาจะเห็นว่าคนหล่อ คนสวย คนดัง นั้น มีความสุขสบาย มีชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ มากกว่า ครูบาอาจารย์(ที่ไม่ได้ออกมาติวข้างนอก) หรือคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ปู่ย่าตายาย ที่ใช้ชีวิตอย่างสมถะ เป็นไหนๆ เมื่อสมัยยังเด็ก เคยได้ยินคนรุ่นก่อนโน้น บอกว่า สักวันเมืองไทย (ในชั่วชีวิตผมนี่แหละ) จะถึงยุค "กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม" ฟังที่อาจารย์แพรคฯ เล่ามา ผมว่าเข้าเค้าเลยทีเดียว เป็นห่วงประเทศไทยจริงๆ ครับ. จากคุณ : ลุงแว่นใจดี - [ 19 ก.ย. 51 16:31:54 A:202.91.19.194 X: TicketID:183630 ]

ความคิดเห็นที่ 63 พื้นฐานการเรียนตามยุคตามสมัยก็ต่างกันออกไปนะ หากแต่ก่อนจะสอนกันแบบท่องจำตามหนังสืออะไรๆก็ต้องเป๊ะๆตามหนังสือนะ เลยทำให้การซึมวับความรู้มาจากการท่องจำเสียมากกว่า... มาเป็นยุคใหม่ๆ เด็กๆกล้าคิดกล้าทำกล้าลองมากขึ้น การเรียนรู้จึงเกิดจากการลองผิดลองถูก นอกเหนือจากตำราเรียนที่มีอยู่... ฉนั้นส่วนตัวผมเองก็มองว่าเรื่องแปลงหน่วยอาจจะไม่สำคัญอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญอะไรเลย มันก็เหมือนกับการท่อง ก - ฮ แหละ จำได้ไม่หมดก็ไม่ตายหรอก คห บนๆที่ผมลงไว้ก็ไมได้ระบุชัดเจนว่าเป็น นศ คณะไหน ถ้าเป็น นศ คณะวิทย์ก็น่าโกรธอยู่หรอก แต่ถ้าเป็น นศ คณะบัญชีหรืออื่นๆที่ไม่น่าเกี่ยวข้องก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้สมองอย่างคุ้มค่า อะไรที่ไม่จำเป็นมากก็ไม่ต้องจำให้ขึ้นใจหรอก เอาแค่เลือนลางๆพอดึงมาใช้ได้ อะไรที่จำเป็นในแขนงในสาขานั้นๆก็ ทุ่มเทให้เต็มที่ไปก็พอครับ... จากคุณ : Cocopok - [ 19 ก.ย. 51 16:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ปัญหาอยู่ที่ ตรงใหนละครับ ผมว่าปัญหาอยู่ที่ความสามารถในการเรียนรู้ของนักศึกษาเอง นักศึกษาที่เก่ง ๆ โดนคัดไปรวมในที่เดียวกัน .      ทีเหลือที่ไม่มีความถนัดแต่จำต้องเรียนเอามารวมกัน ช้ามากก็ปล่อยผ่านๆ ไป สอนให้ตายยังไงก็ไปได้ช้ามาก แต่ก็ไม่ใช่ประเทศชาติจะทิ้งนักศึกษากลุ่มนี้ด้วยวิธีการปล่อยให้ผ่าน ๆ ไปวัน ...  ต้องเปิดโอกาสให้เขาทำในสิ่งที่เขาถนัดจะดีกว่า ประเทศมันก็เหมือนตึกนะแหละไม่ได้สร้างด้วยเหล็กเส้นอย่างเดียว ต้องมีอิฐ หิน ปูน ทรายด้วย จากคุณ : BigMooHuHu - [ 19 ก.ย. 51 16:57:42 ]

ความคิดเห็นที่ 65 บางอย่างที่ไม่ได้ใช้ก็มีลืมกันมั่ง  แต่ถ้าสะกิดขึ้นมาสักนิดนึงก็จำได้ครับ ถ้าเกิดทำพื้นฐานๆไม่ได้  หรือความเข้าใจไม่มี  ผมว่าค่อยน่าเป็นห่วงครับ จากคุณ : NaTArT - [ 19 ก.ย. 51 17:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 66 แสดงความเห็นแบบแยกส่วนครับ 1. ทักษาะการนำเสนอดี  มีชัยไปกว่าครึ่ง เรื่องทักษะการนำเสนอ ผมถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากและเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี สมัยเรียนผมประสบกับปัญหาเรื่องการpresentมาตลอดตั้งแต่ประถมมัธยมและมหาวิทยาลัย เคยประสบความซวยจนอาจารย์และรุ่นพี่หลายคนไม่ชอบหน้าเพราะความที่presentไม่เป็น ดังนั้นผมสรุปไว้เลยว่า ต่อให้คุณทำงานปิดทองหลังพระแค่ไหน คุณก็สามารถเป็นคนเลวขี้เกียจไม่มีความรับผิดชอบได้ ถ้าหากpresentไม่เป็น และถ้าคุณทำงานห่วยแตกหรือไม่ได้ทำงาน โยนงานให้เพื่อนทำ การPresent faceเป็น จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา - ถามว่าคนที่presentเก่งแต่ทำวิบัติ ดีไหม ... ตอบได้ว่าไม่ดี ... แต่เราคุมคนแบบนี้ไม่ได้ - ดังนั้นการPresentเก่ง เป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องมีในนักศึกษาทุกคนครับ - จากประสบการณ์ส่วนตัว การทำงานเป็นแต่presentไม่เป็นจนโดนเอาเปรียบ ผมถือว่าเป็นความผิดของคนที่โดนเอาเปรียบเอง 2. เรื่องความรู้พื้นฐาน คงต้องสอนให้คิดเอาเอง และผมคงสอนแบบอาจารย์Prac นั่นคือทดลองให้ดู จากนั้นปิดท้ายด้วยเรื่องการแปลงหน่วยตามที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 1 ลิตรมีกี่ซีซี ซีซี กับ ลูกบาศก์เซนติเมตร (อันนี้เรียนตอนประถม เป็นบทที่เกลียดที่สุดแต่มีคุณค่ามากที่สุดบทนึง) แปลงเป็น ลบ.ม.  (อันนี้ต้องสอนแบบวาดภาพ เพราะบอกตามตรงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน) ต่อจากนั้น อาจจะสอนเรื่องการแปลงน้ำหนักตามความถ่วงจำเพาะ แล้วที่เหลือก็ปล่อยตามแต่บุญกรรมต่อไป เพราะถ้าสอนตามขั้นของอาจารย์Pracแล้ว ผมว่าคนที่มีกึ๋นก็ต้องรู้แนวทางเอาเอง 3. เรื่องการลงโทษของครูและผลที่ตามมา ผมถือว่าเป็นเรื่องของผู้บริหารโรงเรียนครับ เพราะสมัยผมเด็กๆ ก็มีครูที่ต้องออกเพราะการตีเด็กแล้วไปตีเด็กที่พ่อแม่ใหญ่เข้า ส่วนต่อมาตอนม.ปลาย ก็ยังมีการตีอยู่เรื่องๆจนผมม.6 เป็นปีแรกที่ห้ามการทำโทษทางกายทุกชนิด ปีนั้นจำได้ว่าเป็นปีที่เด็กนักเรียนท้าทายครูมากที่สุดปีนึง ผมเองก็เคยโดนตีจนก้นช้ำนะ ... อาผมก็เคยโวยวายจะไปเอาเรื่องที่โรงเรียนเรื่องการตี จนตอนหลังถ้าโดนตีมาก็ต้องซ่อนไม่ให้อาเห็น ไม่งั้นเป็นเรื่อง การลงโทษ ถ้าเราจะเอาแบบที่ไม่มีการลงโทษทางร่างกายเด็กเลย ก็ต้องมีมาตรการที่เหมาะสมและเพียงพอ เท่าที่ผมดูเองรู้สึกเอง การลงโทษเดี๋ยวนี้เบามากและเหมือนไม่มีเกณฑ์มาตรฐานที่ดีพอ ถ้าผมมีลูกคงต้องลำบากในการหาโรงเรียนที่มีเกณฑ์มาตรฐานที่เหมาะๆ 4. เด็กสมัยนี้สู้สมัยก่อนไม่ได้ อาจจะจริง และน่าจะเป็ฯทุกสาขา เพราะว่าสมัยก่อนเราพึ่งพาอุปกรณ์น้อยกว่าปัจจุบัน และปัจจุบันในสายอาชีพต่างๆมีการกำหนดบทบาทหน้าที่มากขึ้น อาชีพอื่นอาจจะไม่ชัด แต่ของหมอ ผมว่าชัด เพราะสมัยผมเรียน รุ่นพี่ผมก็บ่นเหมือนกัน .... แทงเส้นไม่เป็น ฉีดยาไม่เป็น รุ่นน้องผมบางคน ใส่ท่อช่วยหายใจไม่เป็น จะไปโทษรุ่นน้องๆก็ไม่ถูก แต่เป็นเพราะสังคมบีบเรื่องบทบาทแพทย์ หมอสมัยก่อนฉีดยาเอง ผสมยาเอง ตรวจเลือดเอง ... ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะถ้าทำก็โดนตั้งคำถามว่าไม่ได้เชี่ยวชาญทำแล้วเชื่อได้หรือ หมอสมัยก่อนผ่าไส้ติ่งได้ทุกคน ... สมัยนี้ขนาดหมอศัลยกรรมโดยตรง บางคนยังถามเลยว่าจบศัลยกรรมทางเดินอาหารมาหรือเปล่า สาขาวิชาอื่นๆก็คงคล้ายๆกัน พอจบไปแล้ว รู้บางเรื่องไปจะไปทำงานอะไรบางอย่างแต่โดนตั้งคำถามในบริษัทว่า "จบสาขาดังกล่าวมาหรือถึงกล้าไปทำงานนั้น" พอทำๆไปก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นกลับไปบอกในวงอาจารย์หรือรุ่นน้อง ... การวางแผนการศึกษาก็คงจะเปลี่ยนไป ดังนั้นโดยรวมแล้ว ผมไม่โทษเด็กที่ทำไม่ได้หรอกครับ ได้แต่เศร้าใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดเพราะสังคมไทยผลักดันเอง เอาใกล้ตัวที่สุดนะครับ ... ใครดูเดี่ยว 7 จะรู้เลยว่าคุณโน๊ต อุดม ... หยิบยกเรื่องนี้มาพูดตบหน้าอาจารย์ในสมัย20ปีก่อนโดยมีคนเห็นดีเห็นงามด้วยเต็มไปหมด จากคุณ : หมอแมว - [ 19 ก.ย. 51 17:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 67 โอมเพี้ยง ขอขึ้นกระทู้แนะนำพรุ่งนี้ แล้วครวต่อไปผมจะโอมเพี้ยงให้การศึกษาไทยดีขึ้น ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วกับการศึกษาสมัยนี้ จากคุณ : SaI (kppaiboon) - [ 19 ก.ย. 51 17:43:56 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมว่าเรื่องจริยธรรมคุณธรรม น่าเป็นห่วงมากกว่า ไม่อยากจะพูดถึงเลยเรื่องนี้ จากคุณ : locomotion - [ 19 ก.ย. 51 18:00:43 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คห.39 อ้าว ไม่ทัน ... จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 19 ก.ย. 51 19:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณครับ . . . จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 19 ก.ย. 51 19:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ผมเคยเจออาจารย์หลายท่าน ที่สอนโดยไม่ได้สนใจว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่ ถือว่าพอครบเทอม ถ้าสอนครบตามหลักสูตรก็ถือว่าหน้าที่ตนเองจบแล้ว เคยเจอกระทั่งอาจารย์ที่เข้ามานั่งหลับ มานั่งดีดกีต้าร์อยู่คนเดียว แล้วสอนเนื้อหาฟิสิกส์ ม.5 ทั้งเทอมในคาบสุดท้าย ให้เด็กไปสอบเอา พวกที่เรียนพิเศษมาก็สบายไปครับ เพราะข้อสอบไม่ยากเท่าไร แต่คนที่รอเรียนในห้องนี่สิ จะเอาอะไรไปสอบครับ? พอเวลาผ่านไป ก็เจอรูปประโยคที่ว่า "เธอน่าจะรู้มาตั้งแต่ ม.4 แล้วนะ" ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้พูดประโยคแบบนี้ก็ไม่สนใจ เร่งสอนให้ครบตามเนื้อหา ที่ตนเองเข้าใจอยู่คนเดียว ส่วนเด็กงงเป็นไก่ตาแตกต่อไป แทนที่จะได้ความรู้บางส่วน ก็กลับกลายเป็นไม่ได้ความรู้อะไรเลย จากคุณ : AUDAC!TY - [ 19 ก.ย. 51 19:59:59 ]

ความคิดเห็นที่ 72 #66 ในข้อ 4 อันนี้สนับสนุนเลย ว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ วงการ ดูกันที่ "ปริญญา" กันเกือบทั้งนั้น.. อย่างงานที่ผมทำอยู่.. มีครั้งหนึ่ง ไปจ้าง อ. ท่านหนึ่ง ให้ทำสำรวจที่ค่อนข้างเฉพาะทางให้   (อ. ท่านนี้ก็เคยมีผลงานด้านนี้มา...) แต่โดนกรรมการ (ราชการ) ไม่ยอมรับ.. เพราะว่า.. ไม่ได้จบตรงสาขา.. หรืออย่างตัวผมเอง... ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมมาตอนนี้เข้าปีที่ 8 แล้ว แต่ ยังยื่น "ขอสอบ" เพื่อเป็น "ผู้ชำนาญการด้านการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม" ไม่ได้.. เพราะจบไม่ตรงสาย (ไม่มีคำว่า "สิ่งแวดล้อม") ต้องรอให้มีประสบการณ์ 10 ปี ในขณะที่ คนจบ โท ที่มีคำว่า สิ่งแวดล้อม แค่ 3 ปี ก็ยื่นขอสอบได้ จากคุณ : Wobbegong - [ 19 ก.ย. 51 20:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อย่าว่าแต่เรื่องเรียนเลย  แค่พื้นฐานชีวิต อย่างเรื่อง การคุมกำเนิดเนี่ย ยังไม่รู้กัน แต่.....กันซะแล้ว  พอตั้งท้องมา 99% รู้จักอย่างเดียว คือ  ทำแท้ง เอ่อ ไม่รู้วิชาการยังพอว่า แต่ไม่รู้ถึงเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตตัวเองนี่มัน....  จะว่าเอาแต่สนุก และรอให้คนอื่นยัดข้อมูล หรือ จะว่าอะไรดีล่ะเนี่ย สมัยเรียน มีรุ่นน้องมาขอเงินไปทำแท้ง อืมมม....  ไม่ให้ คำเดียวจบ แล้วไม่ต้องมาพูดอีก ไม่สนับสนุนน่ะ แต่เห็นด้วยนะ เรื่องติวเตอร์ สอนแต่สูตรลัด เพื่อนสอบ 5 ตัว ตกรวด เอาแต่บ่นทำไมตก ทั้งที่มั่นใจทำได้ ไปถาม อ. ก็หาว่า อ. ตรวจไม่ดีอีกซะงั้น อ.ก็บอก ความเข้าใจยังไม่พอนะ แต่เพื่อนก็ยังบ่นว่า ก็เขาทำได้ ได้คำตอบน่ะ คงใช้สูตรลัดตามติวเตอร์มั้ง  แต่พอให้ออกแนวคิดตัวเองทำไม่ได้ คห 71 พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ  เพราะว่า ทำไมต้องรอแต่อาจารย์สอนล่ะ  ไม่หัดอ่านเอง ค้นคว้าทบทวน หรือ ทำแบบฝึกหัดเองบ้าง  พอสอบไม่ได้ก็โทษ อ. หาว่าสอนไม่ดี  แล้วทำไมคนอื่นทำได้ล่ะ  เพราะเขาหัดและฝึกทบทวนความเข้าใจไม่ใช่หรอ  คนที่เรียนพิเศษ อย่างมากก็แค่ ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเท่านั้นเอง แล้วระหว่างที่คนอื่นอ่านหนังสือ  เด็กพวกนั้นทำอะไรอยู่ เล่นบอล เล่นเกมส์ อย่างเดียวหรอ  แล้วเวลาอ่านหนังสือ ทบทวนอยู่ตรงไหน เราเองไม่ได้เรียนพิเศษอะไรหรอก แต่ก็สอบได้ระดับ top อยู่เสมอ หรืออย่างน้อยๆก็ผ่านตลอด บาง sec เราไม่ได้เข้าด้วยซ้ำ อ่านและทำความเข้าใจด้วยตัวเอง หมั่นทบทวนซักหน่อย ก็สอบผ่านตลอด  เราว่าของแบบนี้ไม่ได้ขึ้นกับ อ. อย่างเดียวหรอก มันขึ้นกับตัวเราด้วย  พอไม่เข้าใจ เลยไม่สนใจงั้นหรอ  ตกลงความผิดตัวเองยกให้คนอื่น เพราะเขาทำให้เราสนใจไม่ได้  อืม... แล้วที่ไปสนใจอย่างอื่นหมด จนไม่เหลือเวลาติวให้ตัวเอง แล้วสอบตก นี่ความผิดใครล่ะเนี่ย ส่วนมากเราผ่านโดยค้นคว้าด้วยตัวเองมากกว่าเข้า sec อีก เพราะมีปัญหาสุขภาพ แต่ในหนังสือก็มีแต่ปากกาเน้นข้อความ อ่านเสร็จสรุปเอาไว้สมุดก็จดแยก สมุดสูตร สมุดศัพท์ สมุดย่อ เวลาสอบอัตนัย วิธีทำง่ายๆ อ่านดูเขาต้องการอะไรจากเรา ไม่ใช่โจทย์มาตอบแบบกำปั้นทุบดิน ยังกะ copy , paste แต่เขียนตอบแล้วกำกับความคิดเห็นตามที่เราเข้าใจลงไป  สรุปออกมาเป็นแนวความคิดของเรา โดยอ้างอิงความรู้ข้างเคียง  ถ้าพวกปรนัยก็สบายหน่อย เพราะอ่านและทำความเข้าใจไว้แล้ว ก็แค่เรียกความทรงจำออกมาเท่านั้นเอง  โตกันจนมีบัตรประชาชน บรรลุนิติแล้วเนี่ย ต้องค้นคว้าข้อมูลได้เองซิ  จะมัวแต่ยึดตำราเล่มเดียวทำไม  ตำราข้างเคียง text มีเยอะแยะ แค่เดินไปร้านหนังสือ หรือ ค้นในเนต ก็มีให้ทุกอย่างที่อยากรู้แล้ว แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 21:51:24 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 21:38:54 จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 19 ก.ย. 51 21:25:39 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ไว้อาลัย ให้ระบบการศึกษาไทย จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 19 ก.ย. 51 21:52:21 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เรื่องจริงที่ได้เจอ 1. การหาค่ารากที่สองวิธีต่างกัน แต่ได้คำตอบเหมือนกัน คุณครูบางท่านบอกว่าวิธีที่ต่างจากตัวเองนั้นผิด 2. อาจารย์บางท่านเวลาบรรยายก็บอกให้ไปอ่านเอาเอง (แล้วจะมาบรรยายทำไม) 3. การสอนสมัยนี้เน้นที่ทฤษฎีเกินไป พอก่อนนึกไม่ออก จากคุณ : Thechila - [ 19 ก.ย. 51 22:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 77 อืมมม... ประสบการณ์ที่เป็นนักศึกษาป.โท อาจารย์ให้คำปรึกษามั่ว จะทำอย่างนี้ก็จะให้แก้เป็นอย่างนั้น พอแก้เป็นอย่างนั้นแล้วก็จะแก้กลับเป็นอย่างนี้ ก็บอกไปแล้วว่ามันก็เหมือนเดิมแกก็มีข้ออ้างโง่ๆมาอ้างให้เราแก้งานเรากลับไปกลับมา ตอนตรวจงานไม่เคยดูเนื้อหาดูแต่รูปแบบแล้วค่อยไปเสียบเราเอาในห้องสอบ ขอคำปรึกษาไม่เคยจะได้มีแต่ต้องไปเสนอความคิดให้อาจารย์จับผิดต่อหน้าคนอื่น ขณะที่เราคิดงานอ่านวิจัยแทบเป็นแทบตายอาจารย์มันเอาแต่สอนเก็บตังแล้วตั้งเราเป็น:-)แล้วให้ตัวเองเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมมาปราบเราโดยการรวมพลังกันในหมู่อาจารย์ปรับเราให้สอบตก มันไม่เคยตั้งใจคิดเรื่องสอนเรื่องวิจัยห่าอะไรทั้งนั้น วันๆมันคิดแต่เงินๆๆกรูเก่งมรึงห่วย แค่นั้นแหล่ะ ผู้บริหารประเทศชาติผู้ใหญ่บ้านเมืองมันไม่คิดเรื่องอนาคตบ้านเมืองอะไรกันหรอกวันๆมันคิดแต่งบงบงบ คิดว่าการที่มหาลัยออกนอกระบบนี่ทำให้ระบบการศึกษาดีขึ้นงั้นเหรอป่าวเลย ประเทศจะประหยัดงบกับการศึกษามากขึ้น... แล้วการที่ป.โทบูมขึ้นมานี่เป็นเพราะเรียนป.โทแล้วจะเก่งกว่าป.ตรีงั้นเหรอป่าวเลยเพิ่มงบภาควิชา... แล้วคณะวิทยาศาสตร์เรียนไปไม่มีงานทำแล้วทำไมยังเปิดสอนอยู่เหรอก็มีคนสอน ถ้าไม่มีคนเรียนแล้วจะเอางบมาจากไหน... เนี่ยมันเงี้ย ใครคิดว่ามันจะดีขึ้น ใครคิดว่าประเทศนี้จะดำเนินไปสู่สิ่งที่ดีได้ยังไงก็ว่ามาเลยมา จากคุณ : Catwater (Catwater) - [ 19 ก.ย. 51 22:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 78 บางทีอาจารย์คาดว่าเราจะรู้ แล้วเราไม่รู้ อาจารย์ก็ไม่บอก แต่อาจารย์กั๊กไว้ออกข้อสอบ T_T ตกลงไม่ได้คำตอบอยู่ดี จากคุณ : The_Gof - [ 19 ก.ย. 51 22:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แวะเอากาแฟมาเสริฟทุกคน ใจเย็นๆเด้อ ^^" จากคุณ : Cryptomnesia - [ 19 ก.ย. 51 22:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เป็นห่วงประเทศไทยจริงๆ ครับ. จากคุณ : ลุงแว่นใจดี  - ผมก็ห่วงด้วย  เพราะการศึกษาเป็นความหวังที่สำคัญว่าจะแก้ปัญหาต่าง ๆที่เห็น และเป็นอยู่ในปัจจุบัน   แต่การศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเปรียบเหมือนปลูกไม้ยืนต้น กว่าจะเห็นดอกเห็นผล   ต้องเอาใจใส่ตั้งแต่เล็กจนโต นักการเมืองหรือคนในสังคมเราก็มีค่านิยมที่  ทำอะไร  ก็จะให้เห็นผล   เป็นรูปธรรม ในเวลาสั้น ๆ  เอามาอวดอ้างกัน  เปรียบได้กับการปลูกถั่วงอก ปลูกผักชีกันเท่านั้น ที่จริงถ้าเรามองเห็นและยอมรับว่ามันเป็นปัญหา   โดยไม่ต้องไปโยนว่าเป็นความผิดของใคร   ก็ยังมีโอกาสแก้ปัญหานี้ได้  แต่ก็ต้องช่วยกันออกแรงกันหนักพอควรครับ จากคุณ : ordina - [ 19 ก.ย. 51 23:31:23 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ถ้าพูดถึงการศึกษาไทยแล้วเรื่องยาวเลยนะครับ แทบจะทั้งระบบเลยก็เป็นได้ เอาตั้งแต่หลักสูตรที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตั้งแต่สมัยที่เราเรียนหลักสูตรเดิมปี 2522 (ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็เปลี่ยนมาเรื่อยๆ   คงจำได้ตั้งแต่รุ่น มานี มานะ แต่เดี๋ยวนี้เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าถามคนรุ่นที่อายุ 40 - 50 เขาก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ลองไปคุยกับคนรุ่นนั้นดู แล้วเกือบทุกคนจะท่องอาขยานให้เราฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร หรือจะเป็นเรื่องของตัวครู ตั้งแต่แรงจูงใจในการเข้ามาประกอบอาชีพครู เขาบอกว่า คนมาเป็นครูส่วนใหญ่ (บางส่วน) คือสอบเข้าที่อื่นไม่ได้ก็จะมาเรียนครู ซึ่งก็มีอยู่จริง (บางส่วนนะครับ) หรือ เขาบอกว่าครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง แต่ค่าตอบแทนของคนที่ประกอบอาชีพครู เริ่มต้นที่ไม่กี่พันเองครับ วิชาชีพชั้นสูง แต่ค่าตอบแทนไม่ได้สูง ก็ไม่จูงใจให้คนเข้ามาเป็นครู เพราะฉะนั้นคนเก่งๆ ดีๆ เขาก็ไปทางสายอื่นสิครับ ตัวผู้ปกครอง ทุกวันนี้เลี้ยงลูกให้เป็นเจ้าคนนายคนทั้งนั้น เรียนอย่างเดียวไม่ต้องรับผิดชอบอย่างอื่น ครูจะดุจะว่านี่ต้องคิดแล้วคิดอีก เคยได้ยินมากรณีที่ครูให้นักเรียนทำความสะอาดห้องแล้วโดนผู้ปกครองต่อว่า ว่าให้เด็กมาเรียนไม่ได้ให้มาเป็นกรรมกร ให้จ้างแม่บ้านมาทำ   ตกลงก็คงไม่โทษใครหรอกเนอะ โทษแก๊สโซฮอล์ เอาเป็นว่าคงต้องช่วยกันทั้งหมด ไม่งั้น จะยิ่งถดถอยกันไปใหญ่ ปล.ผมพิมพ์ไปนี่กลับมาอ่านแล้ว งง 5555 จากคุณ : DekChaiDam - [ 19 ก.ย. 51 23:38:40 ]

ความคิดเห็นที่ 83 .. .. เข้ามาอ่าน แล้วก็กลุ้มออกไปเหมือนกัน (-.-") วันข้างหน้าก็อาจจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน เตรียมรับมือดีกว่าแฮะ .. .. จากคุณ : Heian - [ 19 ก.ย. 51 23:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เพิ่งสอบเสร็จไป -*- จากคุณ : ต้มส้มปลากระพง - [ 20 ก.ย. 51 00:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 85 วันสุดท้ายของ Class Object-Oriented Programming (อีก 10 วันสอบ) (ใช้ Java ครับ) น.ศ. : อาจารย์ขา บรรทัดนี้ทำไมมันขีดเส้นใต้แดง compile ไม่ได้คะ อ.จ. : อ๋อ อันนี้หนูต้องไปแก้ที่ Class ไม่ใช่แก้ที่ Instance น.ศ. : Instance คืออะไรคะ อาจารย์ อ.จ. : -.-; (กรูอยากตาย) อ.จ. : เอ่อ หนูต้องไปแก้ที่ Class Student นะครับ ไม่ได้แก้ที่ GUI ครับ น.ศ. : ทำไมต้องแก้ืัที่ Student ด้วย ไม่เห็นเหมือน VB เลย อ.จ. : (แล้วทั้งเทอมมันไปอยู่ไหนมฟะเนี่ย) น.ศ. : อาจารย์ช่วยหนูทำให้หน่อยสิข้อนี้ อ.จ. : แล้วในห้องสอบผมจะต้องทำให้ไหมเนี่ย บรรทัดสุดท้ายคิดในใจ จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) - [ 20 ก.ย. 51 00:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เข้ามายกมือ ในฐานะที่ผมเรียนสายวิทย์ เรียนคณะวิทย์ (สายคอม) ถ้าอยู่ๆมาถามผม ผมตอบไม่ได้ฮะ ถึงแม้จะเรียน Chem1 Phy1 Phy2 มาแล้วก็ตาม แต่ลองให้จับ Google เมื่อไหร่ เท่าไหร่ก็น่าจะตอบได้ฮะ :D จากคุณ : Snowwave - [ 20 ก.ย. 51 00:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เห็นด้วยกับ #57 คุณ Humandroy มากๆๆๆๆเลยครับ สุดๆๆไปเลย ผมขอนอกเรื่องแล้วกันนะครับ เพราะกระทู้การศึกษาทีไรผมต้องขึ้นทุกที คือผมก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะดีที่สุดนะครับ สำหรับการแก้ไขปัญหาการศึกษาของเมืองไทย ปรับตรงนั้นก็มีจุดบอดตรงนี้ เยอะแยะไปหมด พิมทั้งวันก็ไม่ไหว บางความเห็นไม่ชอบใจ แต่อ่านแล้วมันก็เป้นเหตุผลที่ดี เฮ้อ..... ในบางครั้ง ผมเองก็ยังคิดว่า "อ. ครับ ช่วยสอนอะไรที่มันเป็นของจริงหน่อยครับ ไม่ใช่สอนเพราะ กลัว นศ. ไปแจ้งตำรวจจับ ข้อหา อ. สอนของจริงซึ่งต่างจากหลักสูตรที่กระทรวงกำหนด" ผมกับเพื่อนๆ และคาดว่า นศ ที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ก็เพราะแบบนี้เป็นปัจจัยนึง และยังมีปัจจัยอื่นๆที่ไม่ตั้งใจเรียนในสังคมปัจจุบัน เช่น - ทำงานระหว่างเรียน - เป็นห่วงแฟน - เครียดเรื่องที่บ้าน จะมีเงินส่งเราไหม เป็นหนี้เท่าไหร่แล้ว - ห่วงกีฬา ห่วงกิจกรรม - เบื่อขี้หน้า อ. สอนไม่รู้เรื่อง สอนแบบนี้เอาแม่ค้าขายส้มตำมาพูดยังเข้าใจง่ายกว่า - ห้องเรียนบรรยากาศไม่ดี - เพื่อนคุยกัน เพื่อนไม่ชอบเรียน เพือนไม่อยากให้ยกมือถามเพราะจะเลิกเรียนคาบนั้นช้า - เดี่ยวติวข้อสอบ ก้ทำข้อสอบผ่านได้สบายๆ - ขอเกรด อ.ได้ ถวายเหล้า ก็ทำให้เรียนผ่านได้แล้ว ตอนเรียนไม่ต้องเน้น - ฯลฯ สารพันปัญหาครับสมัยนี้ ค่านิยมมันเปลี่ยนไปหมด .................. ผมเองอ่านกระทู้พวกการศึกษาทีไร ก็รู้สึกเหนื่อย และอยากต่อยกระสอบทรายให้มันเหนื่อยเป็นลมไปให้รู้แล้วรู้รอด เพราะบางทีก็น้อยใจ ที่ต้องเจออะไรแบบนี้..... อีกนิดนึงเห็นด้วย กับบาง ความเห็นที่บอกว่า ไม่อยากให้เอาเรื่องสอบมาวัดเป็นเกรดเลย ...เห็นด้วยมากครับ ผมเองก็ไม่เคยคิดถึงแนวคิดนี้เลย มาอ่านแล้วก็มีไอเดียบ้างเหมือนกัน แต่มันคงเป็นจริงยาก อยากให้เอาเรื่องสอบ มาวัดว่า คนคนนี้ อ่อนทางไหน ถนัด ทางไหน แล้วก็ค่อยไปเติมสิ่งเหล่านั้นให้กับเขา มากกว่า (เหมือนการสอบออนไลน์ของ Cisco ที่เค้าจะบอกว่าเราอ่อนตรงไหน) ส่วนการวัดผลจริงๆ มันก็มาจากตรรกกะง่ายๆ คือ "ถ้าเราหมกมุ่นทำอะไรบางอย่างทุกๆวัน มันก็จะชำนาญสิ่งๆนั้น" หรือเรียกได้ว่า "คนเก่งแพ้คนขยัน แต่คนขยันแพ้คนสม่ำเสมอ" พูดง่ายๆคือ สมัยนี้ "สอบไป เกรดออก ผ่านปุ๊บ เดือนสองเดือน ก็ลืม" เพราะไม่ได้ทำทุกวันไงครับ ก็ "สอบ" และ "ไม่ตก" มาแล้วนี่ - -' การวัดผล น่าจะเป็นการสะสมแต้ม หรือ ให้ทำอะไรซ้ำๆทุกๆวันเป็นประจำ แต่ทำแค่วันละนิดวันละหน่อยดีกว่า (อันนี้ความเห้นส่วนตัว ค่อนข้างเพ้อฝัน) จากคุณ : sillygang - [ 20 ก.ย. 51 04:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 88 นี่เป็นตัวอย่างการเก็บคะแนนในกระบวนวิชาที่ผมสอนอยู่ สำหรับกลุ่ม นศ. ในหัวข้อกระทู้ครับ ทุกกิจกรรมจะมีคะแนนให้ทั้งหมด มากน้อยขึ้นกับว่า เป็นกิจกรรมลักษณะไหน เช่นเข้าฟังการบรรยาย ส่งการบ้าน สอบข้อเขียน สอบปากเปล่า นำเสนอผลงาน เป็นต้น จากคุณ : Practical x 2 - [ 20 ก.ย. 51 05:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อืม ก็จริงครับ ผมคิดว่าบางเรื่องที่เป็นเรื่องง่ายๆ บางคนก็ไม่รู้ไม่เข้าใจมาตั้งนานแล้ว ก็ปล่อยมันไป พอมาถามเอาตอนหลังๆก็โดนว่า หรือยิ่งกว่านั้น ไม่รู้แล้วก็ยังไม่ถาม เพราะกลัวอายเพื่อน กลัวโดนครูว่า... เรื่องนี้เกิดจากอะไร เกิดเพราะนักเรียนคนนั้นไม่รู้ไม่เข้าใจมาตั้งแต่ทีแรก แต่สามารถผ่านวิชานั้นมาได้ เพราะรู้และเข้าใจในส่วนอื่น หรือใช้เทคนิค ในการทำข้อสอบ หรือใช้สูตรเป็นส่วนใหญ่ ทำให้พื้นฐานไม่แน่น แล้วจะแก้ยังไง ผมคิดว่าระบบการสอบเข้า ความยากง่ายไม่ได้คัดคน ที่เข้ามาเรียนให้เก่งขึ้น เพราะม.ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งคะแนนขั้นต่ำไว้ คะแนนสอบก็ไม่ได้มีผ่านหรือไม่ผ่าน แต่เป็นการเทียบคะแนนกันเอง เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย อย่างนี้ก็แสดงว่า มีการตกต่ำทั้งระบบ หรือคนเก่งๆได้คะแนนมาก ก็จะไปเรียนใน ม. ที่มีชื่อเสียงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนที่เหลือ ที่ไม่ใช่คนเก่งในระดับ ม.ปลาย ไม่รู้ไม่เข้าใจในหลายเรื่อง มากองอยู่ในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่บอกว่าใช้คะแนนภาษาไทย-อังกฤษเข้าเรียนในสายวิทย์ ก็อาจจะจริง แต่ก็มีการควบคุมกันอยู่แล้วโดยใช้วิธีให้น้ำหนักวิชา ซึ่งถ้ามหาลัยคิดว่าปัญหาเป็นเพราะจุดนี้ ก็สามารถปรับแก้ไขน้ำหนักวิชา ลงได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากมากมายนัก ส่วนตัวคิดว่าที่น่าจะแก้ไขคือการเรียนระดับ ม.ปลาย ให้มีพื้นฐานครบ ไม่ใช่นั่งเรียนแบบผ่านไปวันๆ หรือทำข้อสอบยากระดับเทพซึ่งวิธีทำ แค่จับใส่สูตรตามขั้นตอน และรู้วิธีทำเพราะเคยทำแนวเดียวกันมาก่อน ไม่ใช่มาจากพื้นฐานของวิชาที่ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาในโจทย์ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สถาบันกวดวิชาต่างๆพร่ำสอนมานาน และได้ผล คือนักเรียนทำข้อสอบเข้ามหาลัยได้เพราะเคยทำมาก่อน ใส่สูตรตามขั้นตอน แต่ไม่รู้ว่าพื้นฐานเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น รู้แค่สูตร กับการนำไปใช้ก็พอ...?!# จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 20 ก.ย. 51 06:37:55 ]

ความคิดเห็นที่ 90 หลังๆชักเริ่มไปกันใหญ่ อย่างที่บอกแหละ การเสนอให้ทุกคนรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่แนวทางที่ไม่ดี แต่มันก็จะนำมาซึ่งการตัดสินคนแบบเหมารวม กระทู้นี้เห็นได้เลยว่า คนที่มองนักเรียนแย่ ก็จะเหมารวมนักเรียนทุกคนแย่ทั้งหมด คนที่มองอาจารย์แย่ก็เหมารวมอาจารย์แย่ทั้งหมด เอ มันจะถือเป็นการรับผิดชอบร่วมกันประเภทหนึ่งได้มั้ย แล้วทุกคนในกระทู้นี้จะรับผิดชอบร่วมกันยังไงดีหว่า จากคุณ : Jacare - [ 20 ก.ย. 51 09:00:17 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เห็นวิศวบางคน ที่ทำงานเดียวกับผมใช้ excel  ไม่เป็น สงสัยจังเวลาทำโปรเจ็คงานหรือทำแล็บเค้าใช้อะไรทำ  ใช้Autocad ไม่เป็นยังพอว่า แต่excel นี่สิ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ - [ 20 ก.ย. 51 09:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เพิ่งได้ยินว่าเด็กสอบตรงปีหน้าต้องสอบอะไรอีกสักอย่างเพิ่ม  สงสารเด็กๆ  ใครรู้ช่วยเล่าที ใครอยู่กระทรวงศึกษา  มาแชร์บ้าง  มาฟังมุมมองของคนออกนโยบายบ้าง เชิญครับ จากคุณ : 2498 (cpbu) - [ 20 ก.ย. 51 09:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG - [ 20 ก.ย. 51 10:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 94 วันหนึ่งผมกำลังขับรถ ได้ยินคุณครูท่านหนึ่งสัมภาษณ์ผ่านรายการวิทยุ " เด็กรุ่นผม ถือว่าโชคดี ที่ได้เรียนกับครูดีๆ แต่เด็กเดี๋ยวนี้ ............." แล้วผมก็นึกถึงคำบูชาครู "..ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตรานุสาสกา ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษา ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน อยู่ในศีลธรรมอันดี ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี แก่ชาติและประเทศไทยเทอญ " ลองนึกถึงคำ บูชาครู ดูนะครับ โดยเฉพาะตรงที่บอก " ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน " เพราะครู ไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่ให้ความรู้เท่านั้น แต่ต้องบ่มเพาะนิสัยที่เหมาะกับการเรียนรู้ด้วยนะครับ ไม่ได้โทษครูนะครับ แต่ก็ไม่ทราบว่า เพราะอะไร อาจเพราะผลของระบบการศึกษา+เรียนรู้ กว่าจะทราบได้ ก็ใช้เวลานานนับ 20 ปี แต่จะให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนก็คงลำบาก เพราะหลายๆอย่างเปลี่ยนไป สังคม ค่านิยมเปลี่ยนไป โลก ดูเหมือนจะถูกเร่งให้หมุนเร็วขึ้น ความอดทนของผู้คนน้อยลง ผู้ปกครองเองก็ต้องการความสัมฤทธิ์ผล (ได้เรียนต่อ ดี งานดี เงินดี) จนอาจลืมวิธีการ แต่ถ้าเน้นการเรียนเพื่อรู้แล้ว จะสอบได้หรือไม่ ผู้ปกครองจะกล้าเสี่ยงไหม เด็กถูกยัดเยียดให้เรียนพิเศษ วิธีทำข้อสอบให้ได้เป็นหลัก ทั้งที่ก็ทราบว่าไม่ได้เพิ่มพูนความรู้ขึ้นเท่าใด การถ่วงน้ำหนักที่ผิดพลาด ได้ส่งสัญญาณที่ผิดพลาดให้ผู้ปกครอง ซึ่งส่วนหนึ่งไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่ตามมาคืออะไร แต่ลูกชั้นต้องสอบได้ สอบได้ก็ต้องเรียนได้ ถ้าส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น ค่าเฉลี่ยทั้งกลุ่มก็จะลดต่ำลง แต่ก็อาจมีเด็กบางคนเป็นข้อยกเว้น อาหารที่ได้รับมากไป ก็ไม่มีประโยชน์ กลายเป็นโรคอ้วน ซึ่งอันตรายไม่น้อยกว่าขาด เด็กไม่มีเวลาที่จะย่อยสิ่งที่ได้รับมาให้ได้เป็นความรู้ที่ติดตัวเด็ก เห็นด้วยกับ คุณหมอแมว #66 (4) นะครับ และ ตามความคิดเห็นของ คุณsnow wave #86 เดี๋ยวนี้ เรามีเครื่องมือมากเหลือเกิน พึ่งเทคโนโลยีกันเหลือเกิน ประมาณว่า คอมฯ เสีย ทำการบ้านไม่ได้ แต่ก็ไม่เฉพาะเด็กหรอกครับ บางส่วนราชการ ถ้าไฟดับถึงขั้นทำงานไม่ได้เลย ผมไม่ได้หมายความว่าเครื่องมือเหล่านั้นไม่ดีนะครับ เพียงแต่หลายคนอาจไม่ได้ใช้เครื่องมือเพื่อขยายการรับรู้ เพิ่มพูนศักยภาพ แต่ใช้เพียงเพื่อให้เรื่องเดิม ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เด็กวันนี้ เป็นผลของระบบการศึกษานับสิบๆปีที่ผ่านมา โอกาสยังมีครับ ช่วยกันประคับประคองเด็กในวันนี้ ดั่งที่ อ.แพรคฯ ได้ทำ ช่วยกันออกแบบและสร้าง ระบบที่ดี เพื่ออนาคตที่ดีสำหรับเด็กรุ่นต่อๆไป นะครับ จากคุณ : Timshel (Timshel) - [ 20 ก.ย. 51 11:10:34 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เราก็แอดมิชชั่นรุ่นแรกล่ะ เหอๆ จากคุณ : Bluedonut - [ 20 ก.ย. 51 12:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 96 เหมือนไม่มีใครให้ความสนใจกับการดูแลของที่บ้านเท่าไหร่เลยครับ ส่วนใหญ่เน้นไปที่ รร อาจารย์ หลักสูตรกันทั้งนั้นเลย พอดีเมื่อวันก่อนไปประชุมผู้ปกครองรรน้องสาวมา ตอนพบอาจารย์ที่ปรึกษา ผมอึ้ง ทึ่ง เสียว กับผู้ปกครองสมัยนี้จัง ส่วนใหญ่คิดว่าส่งเด็กมาเรียนแล้ว ทุกอย่างอาจารย์ต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด เช่น เด็กมาสายประจำ โดยบอกว่าน้ำท่วม(ทั้งปีเนี่ยนะ) ผู้ปกครอง อ่อ ใช่ค่ะดิชั้นมาส่งเอง มารับเอง น้ำมันท่วมค่ะเลยมาสาย ??? แล้วทำไมไม่ออกให้เช้าขึ้น มาสายตั้งกะประถมยันมปลาย ไม่คิดแก้ไขอะไรเลยหรอ เด็กโดดเรียนรักษาดินแดน ผู้ปกครอง ทำไมอาจารย์ไม่ขึ้นรถตามไปดูแลคะ ไม่มีใครตามไปคุมเลยหรอ ??? เด็กมปลาย อายุขนาดนี้บางคนไปอ่ะจึ๋งๆกันแล้ว ยังต้องตามติดแบบเด็กประถมอีกหรอครับ อายุขนาดนี้ไม่มีวุฒิภาวะที่จัรับผิดชอบอะไรเองได้เลยใช่มั้ย แล้วขอโทษนะครับ ไม่มีใครแสดงความเสียใจสักคน ส่วนใหญ่จะถามว่า ถ้าขาดเกินแล้วจะทำยังไงให้เรียนต่อได้ คือ ลูกท่านไม่มีความผิดเลยใช่มั้ย เด็กไม่ทำการบ้านเลย และมาสายด้วย เด็กบอกนอนดึก เพราะช่วยงานบ้าน ผู้ปกครอง ใช่ค่ะเค้าทำงานบ้านได้ดีมาก ทำได้ดีกว่าพี่สาวเค้าอีก(เด็กผู้ชาย) คือห้องนี้ถ้าเด็กมาสายจะทำโทษด้วยการให้ทำเวรครับ ยังมาบอกอีกนะว่า อาจารย์ให้ทำนี่เอง มิน่าเก่งขึ้นเยอะ ??? ส่งลูกมาเรียน หรือมาฝึกทำงานบ้านกันล่ะนั่น นี่แค่ตัวอย่างเบื้องต้นนะครับ จริงๆฟังแล้วเครียดกว่านี้อีก พ่อ แม่สมัยนี้โทษแต่ระบบการศึกษา โดยที่ไม่ได้มองเลยว่าการศึกษาที่ดีเริ่มจากที่บ้านแท้ๆ ครูจะสอนเรื่องระเบียบได้แค่ไหน ถ้าที่บ้านคุณแม่ใส่กางเกงขาสั้นแทบปิดอะไรๆไม่มิด ครูจะสอนเรื่องการพูดจาได้แค่ไหน ถ้าที่บ้านพ่อแม่พูด อึง อู อ่าราก แล้วค่านิยมนี่ ใครเป็นคนปลูกฝังหรอครับ เอ เราสอนเด็กแบบไหนนะครับ เรียนให้ได้ดีๆ จบมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน หรือเราสอนว่า ตั้งใจเรียนนะ เราจะได้เป็นคนมีความรู้ ในเมื่อเด็กมาเรียนเพื่อหวังผล แล้วคิดว่าเค้าจะพยายามในสิ่งที่เค้าไม่เคยอยากได้หรอครับ อย่าว่าแต่เด็กตาดำๆตามต่างจังหวัด หรือนศตามมหาลัยทั่วๆไปเลย สถาบนอันดับต้นๆของประเทศไทยเองก็เถอะ ลองไปถามเค้าสิครับ ว่า - เรียนไปทำไมหรอครับ - จบแล้วอยากทำอะไรหรอครับ - มีแผนชีวิตหลังจากจบไปแล้วมั้ยครับ เชื่อผมเถอะ ร้อยละ90ตอบไม่ได้หรอกครับ ว่าเค้าเข้ามาเรียนเพื่ออะไร แต่ที่เรียน เพราะ "ก็คนอื่นๆเค้าก็เรียนกัน" หลายคนเรียนแล้วก็ลืม ผมเองก็เป็นคนที่เกรดไม่ดีนะ แต่หลายครั้งที่ผมไปถามเรื่องพื้นฐานกับพวกเด็ก3++ ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน หรือบางทีถกเถียงกัน มันบอกว่ามันได้3++นะ ไม่ผิดหรอก แต่พอกลับมาห้องเปิดหนังสือดู เออถ้าเชื่อ3++ผมคงต้องไปกินหญ้าแล้วล่ะ หลายคนที่เข้าไปสอบแบบ อย่าถามนอกเหนือจากที่"จำ"มานะ อย่าออกพลิกแพลงนะ ไม่งั้นอาจารย์โดนประณาม ออกข้อสอบโหดมั่งล่ะ สอนไม่รู้เรื่องมั่งล่ะ แกล้งมั่งล่ะ แบบนี้ผมก็เห็นใจอาจารย์นะครับ ของอาจารย์เองก็มีครับ มาสอนบ้าง ไม่มาสอนบ้าง หน้าที่หลักของอาจารย์คืออะไรหรอครับ เรื่องรับงานนอกนี่ผมสนับสนุนนะ เพราะอาจารย์จะมีประสบการ์เอามาสอน แต่นี่งานราษฏ์ก่อนงานหลวง แล้วเด็กต้องมานั่งรอเป็นชมๆเพื่ออะไรครับ บางคนโดยเฉพาะอาจารย์มัธยม ขอโทษเถอะครับ หนังสืออาจารย์ผมรู้เลยว่าอาจารย์จบมาปีไหน หนังสือเก่ากึ้ก เค้าเปลี่ยนไปไหนๆกันแล้ว ข้อมูลที่สอนโบราณมากๆ แล้วสุดยอดกว่า คือ สอนกฏหมายเบื้องต้น อาจารย์ครับ กกหมายบางข้อในหนังสืออาจารย์ เค้าเลิกใช้แล้วครับ แล้วเวลาสอนต้องมาถามนร ว่าเปลี่ยนไปแล้วหรอ ยังไงบ้าง อาจารย์ไม่เข้าใจคำว่า"กึ่งหนึ่ง" ต้องให้เพื่อนที่พ่อเป็นทนายไปถามพ่อมา อย่างนั้นไม่เชิญพ่อเพื่อนมาสอนเลยล่ะครับ(เพราะต้องไปถามกันทุครั้งที่สอน) อาจารย์บางคนเล่นง่าย เอาข้อสอบเอ็นท์เก่าๆมาให้ทำ(สมัยผมเอ็นท์ครับ) พอผมถามว่า อ้าวนี่มันข้อสอบเก่านี่ครับ รู้ไหมครับอาจารย์ตอบยังไง "ถ้าชั้นเก่งขนาดแต่งหนังสือเองได้ ชั้นจะมาสอนทำไม" ที่พูดๆมาเป็นแค่เบื้องต้นนะครับ จริงๆปัญหามีเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย แต่ถ้าถามว่าสิ่งที่ดีๆมีไหม มีเยอะเลยครับ และน่าจะสนับสนุนด้วย อาจารย์หลายท่านน่านับถือทั้งด้านความรู้ วิธีในการสอน และการวางตัว แต่จะมารออาจารย์อย่างเดียวก้ไม่ถูกครับ เพราะการศึกษานั้นต้องมีหลายส่วน ที่บ้าน มีสภาพเหมาะสมต่อการเรียนรู้ไหม กระตุ้นเด็กได้ไหม อาจารย์ มีความรู้ในด้านนั้นๆไหม กลวิธีในการสื่อสาร ตัวเด็ก อย่าบอกแค่ว่าเค้าคือผ้าขาวครับ คนเราไม่ได้born to be, but learn to be ทำไมคนอื่นเค้าขยัน เค้ามุมานะได้ แล้วเรามีเหตุผลอะไรที่ทำไม่ได้ สื่อการสอน หนังสือ ตำรา ราคาถูกมีไหม ห้องสมุดน่าเข้าหรือเปล่า เด็กได้เข้าlabจริง หรือlabกระดาษ บ่นมายาวเลยครับ อิอิ พูดเรื่องนี้ทีไรจี๊ดทุกที สมัยเรียนปรัชญาการศึกษา นั่งถกกันเป็นชมๆ ว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้ อ่อสุดท้าย งบการศึกษาน่ะ แด๊กกันน้อยๆหน่อยก็ได้นะท่าน อย่าคิดนะว่าคนอื่นเค้ารู้ไม่ทัน อิอิ จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 20 ก.ย. 51 14:12:19 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เด็ก คณะวิทย์ ไม่รู้จักวิธีไตเตรท   พระเจ้า  ไม่รู้เด็กพวกนี้เรียนผ่านชั้นมัธยมมาได้อย่างไร ? จากคุณ : suttimon     - [ 19 ก.ย. 51 14:25:18 ] นึกถึงสมัยเรียนเลยครับ ไม่แปลกครับ สมัยเรียน ม.ปลาย มีแข่ง เคมี โรงเรียนส่งตัวแทน ที่เป้น ห้อง คิง ไปแข่ง ปรากฏแพ้กลับมา เพราะ ทำไตเตรท ไม่เป้น ..... เลยถามอาจารย์ ดูว่า ทำมัยส่งกลุ่มนั้นจากห้อง คิง ไป  อ.ตอบกลับมาได้ น่ารักมากครับ ก้อกลุ่มนั้นเค้าอยู๋ห้อง คิง เลยคิดว่าน่าจะเก่งที่สุด -..- จากคุณ : vn, man - [ 20 ก.ย. 51 15:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ^ ^ มันแหง๋อยู่แล้วครับ อะไร ๆ ก็ห้องคิง ผมทำมึนอยู่ห้องคิงมา 6 ปี ก็ช่วยไม่ได้ผมทำข้อสอบเลือกห้องได้จะให้ผมไปอยู่สายศิลป์ไม่มีทางหรอก 555 ติดอันดับกลาง ๆ สบายตัวไป อิ อิ จริง ๆ แล้วห้องคิงหรือห้องไหนก็เหมือนกันครับความรู้เท่ากัน ต่างกันความขยันของแต่ละคนมากกว่า จากคุณ : PUMPKINbig - [ 20 ก.ย. 51 16:16:41 ]

ความคิดเห็นที่ 99 บางทีที่เด็กไม่ค่อยเข้าใจ มีส่วนมาจากเรื่องที่ว่า อาจารย์ห้ามตีลูกฉันนะ  ห้ามดุลูกฉันนะ  ไม่งั้นฉันฟ้อง  ก็เลยเป็นเช่นนี้แล  อันนี้น่าเห็นใจ แต่บางครั้งอาจารย์ที่สอนบางวิชา ก็แปลงร่างกลายเป็นไม้บรรทัดของสังคม หยุดอยู่กับที่ ทั้งๆที่โลกหมุนไปตลอดเวลา   (ตั้งแต่เรียนมา เรียกครูทุกคนเลย  นับครั้งได้เลยจะเรียกใครว่าอาจารย์ เรียกครูแล้วรู้สึกเหมือนคุยกับแม่) จากคุณ : katasaro - [ 20 ก.ย. 51 16:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ผมว่าต้องโทษระบบการศึกษาครับ จริงนะนี่ ของดีๆก็ตัดออก ทำอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นมีประโยชน์ อย่างเช่นข้างหลังสมุด ยังจำได้สมัยก่อนมีหลังงสมุดปกแข็ง(แข็งจริงๆ)ข้างหน้าเป็นลายไทย ข้างหลังมีสูตรคูณอยู่ข้างบนแม่ 2-12 ข้างล่างเป็นสูตรต่างๆแบ่งเป็นช่อง เช่นเทียบค่า 4 สลึงเป็น 1 บาท                 4 บาทเป็น 1 ตำลึง หรือไม่       2 คืบเป็น 1 ศอก                4 ศอกป็น 1 วา ผมว่าดีออก เห็นบ่อยๆอ่านบ่อยๆก็จำได้ผมว่าคนสมัยก่อนฉลาดนะครับที่คิดแบบ ไม่รู้ว่าสมัยนี้เด็กจะจำได้หรือป่าวมันเป็นทักษะพื้นฐานเลยก็ได้ จากคุณ : ชายพ่ายรัก - [ 20 ก.ย. 51 17:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 20 ก.ย. 51 18:36:55 ]

ความคิดเห็นที่ 102 จำได้ไหมช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ เราบ่นกันว่า การศึกษาไทยสอนให้ท่องจำกันแบบนกแก้วนกขุนทอง ตอนนี้ก็เปลี่ยนแล้วไงครับ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 20 ก.ย. 51 19:07:09 ]

ความคิดเห็นที่ 103 มาอ่านจะได้จำไว้ไปปฏิบัติ ค่าา จากคุณ : นู๋นัน - [ 20 ก.ย. 51 19:28:40 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ^ ^ ได้อาจารย์ท่านนึงมาเป็นผู้สอน รับนโยบายอย่างรวดเร็ว... สิ่งที่เลวร้ายคืออะไรรู้ป่ะ อาจารย์อ้างว่า  child-center นะนักเรียน แบ่งกลุ่มตามบทสอน - เรียนกันเองนะ แล้วครูก็ยืนเม้าท์หน้าห้องกับครูคนอื่นทุกคาบสอนของเธอ สุดท้ายโดนศิษย์อย่างเราที่ไม่เคารพผู้ใหญ่แย่ๆ ลองดี .. อาจารย์ไม่มีความรู้ในวิชาที่ต้องสอนพวกเราเลย..  แม้แต่พื้นฐาน present simple (ตอนนั้นอยู่ ม.ปลายแล้ว เด็กยังรู้ก่อนชั้นนี้เลย ครูยิ่งต้องรู้ดิ) จากโรงเรียนชื่อดังกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งนี่แหละ -------------- ที่เดียวกัน  วิชาเลข อ่ะตรงนี้ตรูไม่สอนแล้วนะ  พวกเธอคงเรียนพิเศษกันมาหมดแล้ว O_O!! -------------- เข้ามหาลัยไป เรียนวิชากฎหมาย(ไม่ได้เรียนนิตินะ  แต่ต้องเรียนกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย) พูดอะไรเด็กงงเด็กไม่เข้าใจ ปรากฎว่ามีครั้งนึงเค้าจัดสัมมนากฎหมายที่เปลี่ยนแปลง ให้นักศึกษาไปฟัง อ้าวครูไม่ฟังด้วยกันเหรอคะ "ทำไมครูต้องฟังด้วย พวกเธอควรฟังบลาๆๆ" อ๋อๆ สงสัยครูคงรู้อยู่แล้ว  พอก่อนหมดคลาสสิ้นเทอมคุยกันเรื่องกฎหมายข้อนี้กับครู "โอ๊ยย เธอจะจำไปทำไม  กฎหมายเก่าๆ ที่เลิกใช้ เธอรู้ก็สอบผ่านแล้ว" พอเซ้าซี้เยอะๆ จับได้ว่าเธอไม่รู้ศัพท์กฎหมายใหม่และไม่รู้เรื่องเลย ------------ วิชาอื่นบ้าง มีอะไรสงสัยนักเรียนถามนะ มีเด็กถาม... โอ๊ย เธออย่าถามได้ไหมแค่นี้ครูจะสอนไม่ทันแล้ว และบ่นอีกเกือบชั่วโมง(คลาสนึงมี 90 นาที)  เอ่อ... สอนไม่ทันไม่ใช่หรอ ถ้ายังเป็นช่วงต้นเทอม ก็จะบ่นว่าทำไมต้องถาม แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ บ่นเป็นชั่วโมงเช่นกัน ------------ มุขตลอดกาล.. เป็นคำถามที่ดีนะนักเรียน ไปค้นคำตอบมาแล้วอาทิตย์หน้ามาคุยกัน (ตอนประถมเริ่มแรกเจอแบบนี้ก็ตามน้ำนะ) สมัยมัธยมต้นรอสัก 2 สัปดาห์ถามย้อนคำถามเดิม อ้าวเธอยังไม่รู้อีกหรอ ไปหามาให้ดีนะ(แล้วครูก็ไม่บอก จนกระทั่งวันสอบก็ไม่รู้) และ 95% อาจารย์ไม่มีวันตอบ และครูที่ใช้มุขนี้มีไม่น้อย ----------- ครูไทย คมนาคม อ่านว่าอะไรคะ  นักเรียน คะ-มะ-นา-คม ค่ะ ผิดค่ะนักเรียน ต้องอ่านว่า คม-นา-คม ค่ะ ครูคะในพจนานุกรมมันบอกว่าอย่างงี้ อ๋อพจนานุกรมพิมพ์ผิดค่ะ นักเรียน O_O (มีหลายอย่างที่สอนผิด) ------------- ด้วยความเคารพ อาจารย์ 30% ที่เจอมากับตัวเอง จนถึงปัจจุบันยังไม่กล้าเคารพเป็นอาจารย์เลย เรื่องประหลาดๆ มีอีกเพียบ อาจารย์คนไหนแย่ก็จะแย่อยู่อย่างงั้น  อาจารย์ที่อยู่เกณฑ์ปกติก็มี  อาจารย์ดีๆแบบ จขกท. อ่ะหาได้น้อย  ปกติหงุดหงิดไล่บ่นนักเรียนแล้ววววว หลายๆ เรื่อง ขอให้นักเรียนกล้าลองกลับส่วนใหญ่อาจารย์เองก็ไม่รู้ ไม่พยายามจะให้นักเรียนรู้ และไม่พยายามให้ตัวเองรู้ ที่เล่ามาเจอกัยตัวเองล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของเพื่อนหรือใครเลย ที่เล่ามาไม่ใช่เรื่องของ รร. no name ด้วย ฝากกระทรวงศึกษาตรวจสอบคุณภาพครูทั่วประเทศละกัน จากคุณ : MoonClock~* - [ 20 ก.ย. 51 20:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 105 อืม บางครั้ง อาจารย์ก็ต้องเข้าใจด้วยนะว่า เด็กเรียนหลายวิชา ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเดียวเหมือนอาจารย์ ขอบกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวนะ ที่มหาลัยผมเป็นแบบนี้ คณะของผมที่จบมา เป็นสายวิชาชีพที่เรียนวิชาพื้นฐานเยอะ และ หลากหลายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อาจารย์เป็นคนที่รู้ว่า สิ่งใดจำเป็น สามารถนำไปใช้ในเชิงประยุกต์ได้ อันนั้นก็ควรจะเน้น ไม่ใช่เน้นทุกอย่าง จึงไม่แปลกใจที่อาจารย์บางภาค (จริงๆก็เกือบทุกภาค) ขายยาไม่เป็น (ประเมินโรคไม่ถูก จ่ายยาไม่เหมาะสม ฯลฯ) เข้าทางประมาณ รู้แต่เรื่องที่สอนและวิจัย แต่พอทำงานเข้าจริงๆ ก็ทำไม่ได้ ของแบบนี้ โทษแต่เด็กฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก เวลาสอน ก็นั่งอ่านพาวเวอร์พ้อยให้ฟัง เรื่องที่สอน ก็อัพเดทตาม textbook (ซักห้าปีอัพข้อมูลทีนึง) สอนตามที่ตัวเองทำวิจัย ไม่ได้สอนตามที่เด็กต้องนำไปใช้ประกอบวิชาชีพ ข้อสอบเหมือนเดิมตั้งแต่อาจารย์บรรจุยันเกษียณ และ เป็นข้อสอบสแกนเนอร์ เอาตาสแกนชีท แล้วเขียนใส่กระดาษคำตอบ วันความสามารถในการท่องจำ แต่วัดอย่างอื่นไม่ได้ (จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งหลายคน สอบใบประกอบไม่ผ่าน) ทุกวันนี้คณะต้องปรับหลักสูตรใหม่ ก็ขัดแข้งขัดขากัน สายนี้จะโต สายนั้นจะถูกตัดหน่วยกิต แบ่งเค้กไม่ลงตัว ผมว่า เป็นนิสิตนั่นแหละ ต้องทนกับความ ... ไม่เอาดีกว่า ปล อันที่จริงเด็กที่เรียนคณะผม ก็สุดๆเหมือนกันแหละ แต่โดยส่วนตัวคิดว่า เด็กสมองกลวง เพราะการสอน เนื่องจากเด็กกลวงได้เหมือนกันทั้งชั้นปี แบบไม่ค่อยมีการแปรผัน ถ้าทำยาออกมาไม่ผ่านเกณฑ์ทั้ง lot น่าจะเป็นเพราะเครื่องตอกมากกว่าวัตถุดิบนะ ปล สอง ผมเองไม่ใช่อาจารย์โดยตำแหน่ง แต่ก็มีหน้าที่สอนนิสิตปีห้าขายยาที่ร้านยาของมหาวิทยาลัย ได้เห็นอีกมุมของอาจารย์ในสมัยที่เป็นนิสิตไม่เคยได้รับรู้ว่า อันที่จริง อาจารย์ก็เป็นคน ธรรมดา... และนิสัยที่ตัวเองทำตอนเรียนบางอย่าง พอมาเป็นผู้สอนแล้ว ก็ไม่ชอบเหมือนกัน สรุปว่า ไม่ใช่แค่อาจารย์อย่างเดียวหรอกครับที่ต้องใจเย็นขณะสอน นักเรียนเอง ก็ต้องใจเย็นเหมือนกัน ขณะเรียน ... ไม่น่ารู้เห็นอะไรเยอะเล้ย จากคุณ : Placebosz - [ 20 ก.ย. 51 21:01:28 A:118.174.183.253 X: ]

ความคิดเห็นที่ 106 อืม..ต้องใจเย็น และต้องเข้าใจค่ะ ขึ้นกับสถานการณ์และหลาย ๆ ปัจจัย.. อาจารย์สมัยที่เราเรียน ท่านก็อาจจะต้องใจเย็นกับเรามาแล้วเหมือนกัน อิอิ.. :) จากคุณ : คิมมี่ (*CriMy*) - [ 20 ก.ย. 51 21:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เด็กยุคใหม่ยังไงผมก็ยืนยันว่าสอนเน้นตรรกกะ วิธีprocess ความคิด หลักการ อีกสิบปีส่วนอื่นลืมอาจไม่ใช่แก่นสำคัญแต่หลักการความเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่แหละที่จะติดตัวไป จะไม่เชื่ออะไรถ้าไม่ทดลอง อันไหนไม่รู้ก็คือไม่รู้ การเรียนการสอนเมืองไทย มันเป็นระบบผักชีโรยหน้ามานานแล้ว ต้องทำใจยอมรับกันไป ตอนเรียนวิชาlab ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เข้า lab สิบครั้งมันก็ไม่ได้ผลตาม paper ทุกครั้ง มันมี error เกิดขึ้น แต่ อ.ส่วนใหญ่+ระยะเวลาที่จำกัด ระบบการศึกษาไทยไม่ยอมให้ตอบผลการทดลองตามจริง (ถ้าตอบไปก็ไม่มีคะแนน ต้องไปลอกเพื่อนแล้วเปลี่ยนค่าไม่ให้เหมือนกัน) แทนที่ความจริงของวิทย์ มันคือการเรียนรู้จาก ERROR เราต้องตอบไปตามจริง แล้วยอมเสียเวลาอีกคาบเพื่อวิเคราะห์ ERROR ที่เกิดขึ้น การค้นพบใหม่ๆส่วนใหญ่มันก็มาจากความผิดพลาดและการคาดไม่ถึง แต่ระบบวิทย์เมืองไทยมันต้องตอบให้ตรงโจทย์ ซึ่งมันไม่ใช่วิทย์แท้ๆหรอก จนกว่าจะมาทำงานอยู่บนโลกความจริงนั้นแหละจะต้องใช้วิทย์แท้ๆเพื่อแก้ปัญหา จากคุณ : หลับตา - [ 20 ก.ย. 51 21:44:36 A:58.64.63.167 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เด็กสมัยนี้เรื่องรอบตัวควรรู้ไม่รู้ ไอ้ทีเรื่องไม่น่ารู้เห็นรู้กันดีนัก ไม่รู้โรงเรียนสมัยนี้สอนอะไรให้เด็กเรียนกันบ้าง ยังเคยตบกะโหลกน้องชายตัวเองเลย อายุจะ20แล้ว แต่ไม่รู้ว่าวันปิยมหาราชคือวันอะไร 5ธันวาก็ไม่รู้ว่าเป้นวันพ่อ  มันบอกว่าถ้าถามเพื่อน เพื่อนมันก็ไม่รู้เหมือนมันแหละ ไม่มีคนบอก จากคุณ : Squareback - [ 20 ก.ย. 51 23:28:12 ]

ความคิดเห็นที่ 109 แปลง ลบ.ซม. เป็นลิตรไม่ได้นี่ยังดี ที่ผมเคยเจอ ไม่รู้ว่า 1 ลิตร มีกี่มิลลิลิตร จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 21 ก.ย. 51 01:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ขอระบายซักนิด ... อาจจะทำให้ผมดูไม่ดี หรือใครหลายคนไม่เห็นด้วย แต่ผมอยากจะพูด ... ที่บอกว่า เด็กสมัยนี้พึ่งแต่กวดวิชา ไม่มีความรู้รอบตัว รู้แต่สิ่งที่ไม่ควรรู้ ... แต่ผมอยากถามครับว่า "มีใครเคยถามบ้างมั้ย ว่าทำไมเด็กถึงต้องพึ่งกวดวิชา ทำไมเด็กถึงไม่มีความรู้รอบตัว" ชีวิต ม.ปลาย ต้องเรียนกันกี่วิชา ... อัดเข้ามาเต็มที่ ... ถามหน่อยว่ามีวิชาที่เขาอยากจะเรียนจริง ๆ กี่วิชา ... สมมติผมชอบวิชาฟิสิกส์ ในขณะที่เกลียดชีวะ แต่ก็ต้องเรียน และเรียนแบบออกแนวหนักหน่วงที่เดียว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมจะเรียนไปทำไมด้วย ... แล้วผมจะตั้งใจเรียนชีวะไปทำไมกัน ... อ๋อ เกรดไง ! แต่ทำไงดีเกรดไม่สวย เดี๋ยวเอ็นไม่ติด ... ก็กวดวิชาไง ... เรียนแบบผมทำข้อสอบได้อย่างเดียว ผมคิดว่านะ ... ให้ผมเลือกเ้อาเลยว่าผมจะเรียนวิชาไหน มีใบบอกว่าผมจบมาด้านสาขาไหน ให้ออกแนว ๆ มหาลัยตั้งแต่ ม.ปลายไม่ดีกว่าหรอ ... ให้เวลาผมกับวิชาที่ผมรัก ผมทุ่มเทได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไปช่วยเหลือกับสายงานด้านอื่น ซึ่งก็เป็นคนจบมาจากด้านนั้นโดยตรงไม่ดีกว่าหรอ ... ผมไม่ได้อู่บนโลกคนเดียว ที่ต้องทำงานคนเดียว ... ผมอยู่ในโลกที่มีคนหลายคน ... แต่นี่ดันกลับมายัดเยียดทุก ๆ วิชาให้ผมเรียน ... ผมถามว่าผจะเอาเวลาไหนไปทุ่มเทให้วิชาที่ผมชอบ ถ้าให้ผมเรียนชีวะแบบพอให้มีพื้นฐาน ... เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ก็โอเค ให้ผมเรียนภาษาไทย แบบที่ให้ผได้ซึ่งถึงคุณค่าของวรรณกรรมก็โอเค ให้ผมเรียนสังคมแบบรู้ถึงประวัติศาสตร์ เอามาสอนผมได้ ก็โอเค แต่นี่เหมือนกับว่า เขาต้องการให้ผมไปเป้นทั้ง หมอ เป็นทั้งนักวรรณคดี เป็นทั้งนักกฎหมาย เป็นนักธรณีศาสตร์ กลอน 108 บท ... ปีนี้ที่ไทยเกิดนี่ ที่ฝรั่งเศสเกิดอะไร ... ??? บางทีการโดนยัดเยียด ซึ่งมันก็คือการบังคับแบบนี้ มันทำให้เครียด เหนื่อย เหมือนกัน กวดวิชาก็ช่วยทำให้ลดภาระไปได้บ้าง ให้ผมมีโอกาสได้เลือกบ้างดีกว่า ว่าผอยากจะเรียนอะไร ... แล้วค่อยไปแนะนำอีกทีว่าเรียนอย่างนี้ต้องมีความรู้อย่างนี้ ลองมาอยู่ในสภาพแบบผมซิครับ ... ลอมาอยู่ในยุคนี้ ... ไม่ใช่ยุดเก่าแก่โบราณเหมือนเมื่อก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ... ผมได้หลุดจากวงวนเห่งการเรียน ม.ปลายมาแล้ว ... อาจไม่เห็นด้วย ... แต่ผมอยากระบาย จากคุณ : [:Rexagon:] - [ 21 ก.ย. 51 01:50:30 ]

ความคิดเห็นที่ 111 จริงๆแล้วนะครับ (จริงๆเลยอะ มันน่าจะเป็นในรูปแบบนี้) นร โง่ๆเนี่ย อ. น่าจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ได้สอน..... ประมาณว่า "เจอจุดเน่าของสถาบันของเราแล้วต้องรีบกำจัด" อจ. ที่สามารถสอน นร โง่ๆ ให้ได้เก่งๆได้ ก็รับเงินเดือนไปเยอะๆ เอาให้อิ่ม เพราะทำให้ดินเป็นทองได้ ถือว่ามีความสามารถ แล้วก็การสอนที่ดีนะครับ คือ "ต้องสอนให้ลูกศิษย์ เก่งกว่า อาจารย์ครับ" เพราะ คนที่เป็นลูกศิษย์ ถ้าสมมุติ สอนให้ 100 รับไป 80 พอวันนึงเขาไปเป็น อ. เขาก็มีความรู้แค่ 80 สอนรุ่นต่อๆไป ก็ลดลงไปเรื่อยๆ กลับกันถ้าสอน 100 รับไป 180 ยิ่งสอน ลูกศิษย์ก็ยิ่งเก่ง ผมว่านะ อ.บางคนสมัยนี้ ก็กลัวลูกศิษย์จะเก่งเกินหน้าเกินตา แต่ อ. ที่ดีๆก็มีนะครับ ลูกศิษย์ทีโชว์พาวมากไปก็มีครับ แต่ถ้าผมเป็น อ.นะ ผมก็ไม่สนศักดิ์ศรีอะไรเท่าไหร่นักหรอก จะสอนเพื่อให้ทุกคนรู้เรื่องมากที่สุด สอนให้ทุกคนได้ความรู้ โดยวิธีของผม เพราะผมเป็น นศ มาก่อน ผมเข้าใจดี กับการที่ต้องมานั่งฟัง คนพูดอะไรไม่รู้เรื่องหน้าชั้นเรียน ขออภัย อ.แพรค ที่ผมนอกเรื่องอีกแล้วนะครับ จากคุณ : sillygang - [ 21 ก.ย. 51 04:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 112 มาระบายด้วย เมื่อซักต้นปี มีสัมภาษณ์รับเด็กวิศวกรใหม่ เข้าทำงานที่โรงงานย่าน พระประแดง-มหาชัย ผมเป็นผู้สัมภาษณ์ และตัวอย่างคำถามนั้น เช่น 1.หนึ่งปีมีกี่สัปดาห์? (ตอบ 48 ???) 2.พื้นที่สามเหลี่ยม มีสูตรว่าอะไร? (ตอบ กว้าง*ยาว*ด้าน ???) 3.ปริมาตรทรงกลม มีสูตรว่าอะไร? (Pi * รัศมี * เส้นผ่าศูนย์กลาง ???) 4.หนึ่งวันมีกี่นาที? 5.หนึ่งตันมีกี่กรัม? 6.สิบเมตรต่อวินาที เท่ากับกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง?? 7.มาตราชั่ง-ตวง-วัดต่างๆ รู้จักไหม มีอะไรบ้าง????? โอย...ไม่อยากเขียนคำตอบ คำตอบที่ได้ แทบลมใส่ครับ (เฮ้ย นี่เราหาวิศวกร นะ ไม่ใช่กรรมกร จะได้ไม่ต้องคิด) รู้สึกได้ถึงกระบวนการศึกษาในบ้านเราสอนให้เด็กกล้าคิดกล้าถาม แต่ไม่ได้สอนให้เด็ก รู้จักคิด ตัดสินใจ และเข้าใจ ถึงที่มาที่ไปของคำตอบ เด็กตอบเพราะจำเพื่อไปทดสอบ (เพื่อตอบในปรนัย) ให้ถูกก็พอแล้ว กว่าจะได้เลือก ผมแทบท้อเรื่องนี้ไปเลย ย้ำทุกมหาวิทยาลัยที่ว่าดีที่สุดในไทย ยังตอบไอ้หกคำถามผมไม่ได้เลยงะ..-*- การท่องจำแม้ตอนเด็กจะไม่รู้ความหมายของมัน แต่เมื่อโตขึ้นความเข้าใจถึงสิ่งที่ท่องจำนั้น จะเริ่มทำให้เราเข้าใจ และรู้ว่าไอ้ที่ท่องมีประโยชน์ยังไง..(ผมเชื่อเช่นนั้น) สมัยนี้เด็กมันไม่ท่องกันแล้ว....-*- ไม่ต้องถามเลย...แค่ถามว่า 50 เมตรเท่ากับกี่เซนติเมตร 8 ใน 10 คนที่ถูกสัมภาษณ์ ตอบผิด...คุณเชื่อไหม??? -*- จากคุณ : nuynui - [ 21 ก.ย. 51 09:57:56 ]

ความคิดเห็นที่ 113 อยากเน้น ๆๆ คห 25 อีกอย่าง พวกไร้ความรู้แต่พรีเซ็นต์เก่งนี่ทำประเทศวิบัติมาเยอะแล้วครับ ไม่ได้น่าชื่นชมแต่อย่างใด คห 41 ประเทศชาติ จะเจริญได้ ก็ด้วย คนในชาตินึกถึง ส่วนรวมก่อน นึกถึงทรัพยากรของประเทศชาติก่อน ก่อนที่จะนึกถึงตัวเอง แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 10:43:55 จากคุณ : sb*star - [ 21 ก.ย. 51 10:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 114 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างครับ อจ หลายท่านที่อยู่ในมหาวิทยาลัยก็เจอปัญหาคล้ายๆกัน... สาย มนุษย์-สังคม ก็เป็นนะครับ เกรดเด็กๆดีมาก แต่ความรู้กลับอ่อนกว่ามาตรฐานเยอะเลย .. จากคุณ : นายอึเหม็น - [ 21 ก.ย. 51 10:50:57 ]

ความคิดเห็นที่ 115 สิ่งที่เป็นอยู่นี่ ผมมองว่าเหมือนเปลือกของทุนนิยม ที่สอนให้เด็กมองว่า ควรเก่งในเชิงกว้างมากกว่าเชิงลึก อาทิ รู้จักระบบภาษี รู้ว่าซื้อ LMF จะหักลดหย่อนภาษีได้ รู้ว่า ต้องเรียนโทนะ จะได้มีคอนเนกชั่นดีๆ เงินเดือนดีๆ รู้ว่า ต้องรู้หลายภาษา จะได้ทำงานกับฝรั่งเงินเดือนดีๆ และอีกหลายรู้ ซึ่งเป็นความรู้ที่ ในอีกมุมนึง คือความเห้นแก่ตัว เราจึงมีเด็กที่เหมือนพ่อค้า คือ หมูไปไก่มา เรียกเงินเดือนก่อน แล้วเดี๋ยวทำงานให้ ต่างกับรุ่นก่อน ที่ขอแสดงฝีมือก่อน และความรู้ที่เป็นเชิงกว้าง ทำให้เด็กมองว่า ไม่ต้องไปจำหรอก เปลืองสมอง มีอะไรเดี๋ยวเปิด อากู๋ เปิดหนังสือดูก็ได้ ที่นี้ พอเราเน้นให้เด็กรอบรู้ เก่งในเชิงกว้าง เราจึงขาดบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ที่ต้องอาศัยความรู้เชิงลึก ในแทบทุกสาขาอาชีพ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในยุคนี้ จากคุณ : อีี - [ 21 ก.ย. 51 12:13:52 A:124.120.106.65 X: TicketID:172628 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ความคิดเห็นที่ 111 แล้วก็การสอนที่ดีนะครับ คือ "ต้องสอนให้ลูกศิษย์ เก่งกว่า อาจารย์ครับ" เพราะ คนที่เป็นลูกศิษย์ ถ้าสมมุติ   สอนให้ 100 รับไป 80 พอวันนึงเขาไปเป็น อ. เขาก็มีความรู้แค่ 80 สอนรุ่นต่อๆไป ก็ลดลงไปเรื่อยๆ กลับกันถ้าสอน 100 รับไป 180   ยิ่งสอน ลูกศิษย์ก็ยิ่งเก่ง มองตามความเป็นจริง ด้วยปริมาณเนื้อหา ที่มาก  แต่เวลาน้อย มันเป็นไปได้ยาก  ที่จะสอนแล้วลูกศิษย์ รับไปเกินร้อย 80 นี่น่าจะถือว่าดีมากแล้ว ถ้าลูกศิษย์ จะกลายเป็นอาจารย์ ในอนาคต ก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมแน่ๆ  ให้เป็น 200   300  หรือ  1000 ก่อนที่จะมาสอน เด็กรุ่นต่อไป ถ้าเอาความรู้แค่ 80  มาสอน   สังคมก็คงล่มไป อย่างว่า จากคุณ : sb*star - [ 21 ก.ย. 51 12:43:20 ]

ความคิดเห็นที่ 117 อ่านแล้วปลื้ม  ชาวโลกฉลาดกันปานนี้  อีกไม่นาน กองทัพ เคโรโระ คงยึคครองโลกนี้ได้ อย่างแน่นอน จากคุณ : ห้องสีเทากับR&B - [ 21 ก.ย. 51 12:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 118 #111 ไม่มีทางที่จะสอนลูกศิษย์ให้เก่งกว่าตัวเองครับ ดูเหตุผลได้ใน  #116 สอนให้รู้เป็นพื้นฐานแล้วนศ.ต้องไปหาต่อยอดได้เองครับ อ้ออีกอย่างนึง จะผลิต product ชั้นยอด วัตถุดิบที่เข้ามามันก็ต้องดีด้วยครับ ไม่ใช่ให้วัตถุดิบไม่ดี แล้วมาคาดคั้นกับผู้ผลิตว่าจะเอา product ที่ดีอย่างนู้อย่างนี้ บวกกับโรงงานก็ห่วยด้วย ให้งบมานิดเดียว ให้ วัตถุดิบไม่ดี แล้วบอกว่านี่ ยูไปผลิต...ชั้นยอดมาซิ ผลิตมาเยอะด้วยล่ะ ถ้าทำไม่ได้แสดงว่ายูมันห่วย จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 21 ก.ย. 51 12:58:29 ]

ความคิดเห็นที่ 119 เพื่อนผมรับจ็อบสอนพิเศษภาษาอังกฤษครับ(เด็กนอก เรียนที่มหาวิทยาลัยในลอนดอน) เพื่อน - วันนี้เพิ่งไปสอนเด็กมหาวิทยาลัยACABมา(นามสมมุติ หุหุหุ) ผม    - โอ้โหย..สอนเด็กม.นี้เลยเรอะ สอนแกรมม่าภาษาอังกฤษขั้นสูงเลยอ่ะดิ เพื่อน - เปล่าหร้อก...ไปสอนให้ท่อง A B C หน่ะ  แล้วก็สอนพวก He She It..บลาๆ.. ผม  -  (แล้วมหาลัยฯมันยอมให้เข้าเรียนได้ไงเนี่ย เหอๆ) ปล.อยากจะตั้งกระทู้ "ทำไมเรียนกับอาจารย์สมัยนี้ต้องใจเย็นๆ" เหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ จากคุณ : pathara - [ 21 ก.ย. 51 15:22:21 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ก็ดู กระทรวงดิ แนวทางแต่ละปี ให้ใครคิด(วะ) ผมเด็กศิลป(สมัยมัธยม) ชั่วโมงปฏิบัติ วันละ ไม่ต่ำกว่า 3คาบทุกวัน ออกแสดงผลงาน  ได้รับคำชม นำไปประกอบอาชีพได้ แต่หลายคน ต้องเรียนซ้ำ   เพราะติดวิชาตรีโกณฯ ก็ผมไม่ได้ใช้นะเฮ้ย  ยัดมาทำไมหลักสูตรกลาง เมื่อไหร่จะมีการสัมนา ซักที หลักสูตรกลาง ขอให้ทำแต่ส่วนที่มันจำเป็นต้องใช้ทุกสายเอกจริงๆเหอะครับ แล้วแยกเอาเนื้อหาที่วิชาอื่นเขาไม่ได้ใช้ออกไป อย่างต๋งหม่งเหมียวขื่อ  ก็สอนซัก 10เพลงตลอดหลักสูตรพอแล้ว  ใครจะไปทำงานด้าน นันทนาการ - กิจการกองลูกเสือ ค่อยไปศึกษาเอาเอง (เพลงมันสั้น สอน 5 นาที ก่อนทำกิจกรรมก็เหลือเฟือ ใช้เสร็จก็เลิกจำเหมือนRAM) อย่างวิชาคณิต สังคม    ผมก็แยกไม่ถูกหรอกว่าตอนนี้เด็กควรรู้แค่ไหน แต่ผมรู้ว่าผมรู้แค่ไหนจะมีชิวิตในสังคมได้ กฏหมาย นี่ก็สบายหน่อย หลายๆท่าน(คงคิดแบบผมละมั้ง) แยกมาเป็นกฏหมายที่ประชาชนควรรู้  เผยแพร่ทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือให้คนที่จะเรียนสายนั้นๆไปหาเอาในเอก  มันจะได้ไม่เดือร้อนคนอื่นที่ไม่ได้ใช้ สรุป.. หลักสูตรเดี๋ยวนี้มันรกจนเด็กมันจำไม่ไหว  สมองคนมันก็เท่าๆกัน แต่ข้อมูลข่าวสาร มันเพิ่มทุกวินาที(รุ่นผมเรียนรายชื่อนายกมี20จำได้พอสอบไหว เดี๋ยวนี้กี่คนขี้เกียจจำแล้ว) โทษเด็กไม่จำไม่ได้เต็มปาก ผมว่ามันต้องแก้ระบบ จากคุณ : mkhazard - [ 21 ก.ย. 51 16:06:12 ]

ความคิดเห็นที่ 121 อ่านแล้วก็งงดีนะคะ เรียนจนถึงปี 3 แต่ดันแปลงค่าไม่ถูก เคยเจอประสบการณ์ที่ว่าเพื่อนเรียนเอกอังกฤษแต่ดันไม่รู้ว่าจะใช้ do does did ยังไง ตอนที่โดนถามถึงกับงงมากว่าจบ ม.ปลายมาได้ไง แต่ก็นั้นแหละค่ะ ทำไงได้ ต้องโทษที่ตัวโรงเรียน ครู ที่ไม่ยอมสอนอะไรให้เลยและนักเรียนเองที่ไม่สนใจอะไร จากคุณ : พัดลมตราเรือบิน - [ 21 ก.ย. 51 16:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 122 จะบอกว่าอัดให้เด็กเรียนจนไม่มีเวลาไปค้นคว้าเพิ่มคงไม่ใช่ แล้วที่เห็นหลังเลิกเรียน และเสาร์อาทิตย์ ที่เดินเที่ยวตามห้าง นั่นคืออะไร!!! จากคุณ : kigkeejung - [ 21 ก.ย. 51 21:00:18 ]

ความคิดเห็นที่ 123 จากที่อ่านมา ดิฉันในฐานะ ครูฟิสิกส์ม.4 ขอตอบว่า การเรียนการสอนในคลาสนั้น ยึดหลักสูตรของ สสวท. เป็นหลัก แต่ทว่า การสอนนั้น ไม่ได้ใช้เนื้อหาใน สสวท. เท่าที่ควร การเรียนของนักเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด (อันดับต้นๆของประเทศ) ไม่รู้ว่าเป็นกันเยอะหรือเปล่านะคะ แต่นักเรียนขาด ทักษะทางการกระบวนการวิทยาศาสตร์ การทดลอง เสียส่วนใหญ่ นักเรียนจะมุ่งเน้น แต่ทำเกรดเพียงอย่างเดียว แล้ว ครู อาจารย์ รวมแม้กระทั่งดิฉัน ไม่มีการเตรียมทดลองให้นักเรียนจริงๆ มีแต่ แลปแห้ง ประจำ -*- ในวิชาฟิสิกส์ ส่วนเรื่อง คุณภาพของนักเรียน แย่ลงเรื่อยๆค่ะ ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่า นักเรียนสมัยนี้ มีเกรด แต่ไม่มีสมองค่ะ จากคุณ : Physics~easy~ - [ 21 ก.ย. 51 22:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 124 สมัยผมเรียนมอปลาย ผมใช้เวลาเตะฟุตบอลมากกว่าทำการบ้านแต่การเรียนทำเพราะ ความรับผิดชอบ เข้าใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าหน้าที่หลักเราคือเรียน การบ้านถ้ามีต้องทำ จะสอบต้องอ่าน ผมตั้งใจจะเรียนไม่วิศวะก็วิทยาศาสตร์แต่เลือกเรียนชีววิทยาตอนมอปลายด้วยเพราะอยากรู้อยากเรียน เกรดสองที่เคยได้ก็มาจากวิชานี้แต่ไม่เคยเสียใจ เพราะสนุกกับเนื้อหามากแม้จะจำชื่อไฟลัมไม่ได้ดีก็ตาม เข้าไปปอตรี ก็เลือกเรียนวิชาต่างๆที่อยากเรียน ตั้งแ่ต่จิตวิทยา ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ ตรรกวิทยา อินทรีย์เคมี โดยเฉพาะวิชาสุดท้ายเป็นวิชาที่โหดสุดๆเป็นพิเศษเพราะต้องเรียนเป็นภาษาต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) ที่คำศัพท์ที่เขาใช้ก็ยืมเยอรมันมา้ใช้ต่ออีกที ยังไม่นับว่าบางทีเค้าก็ใช้ภาษาอังกฤษผสมเยอรมันแต่เขียนด้วยคาตาคานะของญี่ปุ่น แต่ก็เลือกเรียนเพราะอยากเรียนรู้ ไม่ได้คิดว่าถ้าเอาไปค้าขายใช้ประโยชน์ไม่ได้จะไม่เจียดเวลาอันมีค่าสุดๆของตัวเองไปเรียน หรือว่าเจียดเนื้อที่สมองอันมีค่าไปเสียเปล่าแต่อย่างใด เพราะทัศนคติคือ อยากเรียนรู้ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ความรู้มีอยู่มหาศาล เรียนกันไม่จบไม่สิ้น ถึงจะเรียนไม่ได้หมดก็เอาเท่าที่สัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ที่มีความใฝ่รู้จะทำได้แล้วกัน คิดอย่างนั้นจริงๆ เรื่องเกรดก็ไม่ได้สนใจ เพราะเชื่อในหลักการที่ว่าเราเรียนไม่ใช่เพื่อเกรด ที่เอามาเล่ามาแชร์เพราะใช้สิทธิที่เหมือนกับหลายความเห็นในที่นี้ที่เล่าทัศนคติส่วนตัวว่า เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่รู้เรียนไปทำไม ไ่ม่เห็นได้ใช้ เอาไปค้ากำไรไม่เห็นได้เลย เลยคันมืออยากแชร์บ้างว่ายังมีคนที่ไม่ได้คิดอย่างนั้นอยู่ ที่จริงคิดตรงข้ามด้วยซ้ำว่า เนื้อหาหลายๆอย่างที่เราเรียนส่งๆไปตอนประถมกับมัธยมนี่มีค่าและอยากเรียนใหม่ด้วยซ้ำ วรรณคดีทั้งหลายของเราตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้า สมัยสุนทรภู่ ที่มีความวิจิตรงดงามทางภาษาเหลือประมาณ ประวัติศาสตร์ของประเทศสมัยต่างๆ เราอยู่รอดเป็นเอกราชมาได้อย่างไรท่ามกลางไอ้พวกบ้าล่าอาณานิคมกลุ้มรุมขนาดนั้น ยิ่งมานั่งคิดยิ่งโทษตัวเองว่าน่าจะตั้งใจเรียนค้นคว้าเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ แม้แต่วิชาที่ผมเรียนไม่ได้เกรดดีผมก็ไม่เคยโทษอาจารย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่คือความสัตย์จริง เกิดมาเป็นคนควรใฝ่รู้ให้สมกับความเป็นคน ระบบการศึกษาอาจจะมีส่วนสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆคือ ทัศนคติที่ถูกต้องของผู้เรียน ถ้าทัศนคติมันแย่ก็หาข้อแก้ตัวได้ตลอด โทษโน่นโทษนี่โทษอาจารย์ โทษระบบ โทษเพื่อน โทษสังคม จากคุณ : บจ - [ 21 ก.ย. 51 23:53:32 A:125.25.148.45 X: TicketID:038839 ]

ความคิดเห็นที่ 125 สวัสดีครับ อ. ความคิดเห็นที่ #123 ไม่ต้องแปลกใจ ที่เดี่ยวนี้เค้าเน้นเกรดกันครับ เพราะ "สังคม" และ"ผู้ใหญ่" ใช้เกรดเป็นตัวตัดสินวัดผลการเรียน วิธีแก้ปัญหาของเด็ก ก้คือ ทำไงก็ได้ให้มีเกรด ที่ไม่ตก หรือยิ่งดีกว่านั้น....ได้เกรดสวยๆ และสิ่งที่เป็น"ตัวช่วย" ในการทำให้ นักเรียน นศ "มีเกรด" ที่ดี มีเยอะแยะมากมาย เช่น ติวเตอร์ ตามสยาม หรือ แถวๆสถาบัน หนังสือใหม่ๆ อินเตอร์เนต ข้อสอบเก่าๆ รร มัธยมก็ปล่อยเกรดซะ เพื่อให้มีหน้ามีตา และมีเหตุผลข้อดีอีกร้อยแปด (ซึ่งคิดว่าคงจะทราบดีนะครับ) เกรดมันคือทุกสิ่งจริงๆครับสมัยนี้...... อีกอย่างนึงผมจะบอกให้ในอีกมุมมองนึงครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่า จะมีกี่เปอเซนต์นะ..............ก็คือว่า ที่ นักเรียน นศ ไม่กล้าถาม ไม่ชอบถามเนี่ย จริงๆแล้ว เพราะเค้าอยากเดินไปคุยกับ อ.ตรงๆ มากกว่า ว่า ทำไงจึงจะทำข้อสอบของอ.ได้ ครับ ต้องอ่านตรงไหนถึงจะเขียนข้อสอบแล้วได้คะแนนและได้เกรด A เค้าต้องการแค่นี้แหละครับ เพราะเรียนไป ก็ต้องไปทำข้อสอบอยู่ดี ใช่มั้ยละครับ ก็สอนให้หนู สอนให้ผม ทำข้อสอบได้เลยสิ -*- เออ เจริญ - -' เพราะฉะนั้น อ.ที่ไหน อยากจะตอบคำถามแบบนี้ครับ ก็ไม่มีหรอกครับ......... อ.ทุกคน(ที่ดี)ก็อยากให้ความรู้กับ นศ ทั้งนั้น อ.ที่ดี ก็หวังดีกับ นักเรียน นศ ทุกคนแหละครับ ก็อยากสอนเนื้อหาให้เต็มอิ่มทั้งนั้นแหละครับ (ยกเว้นพวกติวเตอร์นะครับ ที่จะสอนโดยเน้นทำข้อสอบและมุ่งมั่นเพื่อเกรด) เพราะงั้น นักเรียน นศ เค้ารู้ไงครับ ว่า การไปขอเกรดแบบเนี้ยมันทุเรศเกินไปเวลาเรียน ก็ต้องนั่งเรียนไปเงียบๆ หรือไม่ก็ไปหา "ทางลัดเพื่อเกรด" อย่างที่ผมบอกไปไงครับ ที่ผ่านมาไม่นานก็มีข่าว นศ เอาตัวเข้าแลกเกรด ตั้งเยอะแยะมากมาย น่าสงสารมากครับ หรือไม่ก็จ่ายเงินค่านั่นค่านี่เพื่อให้เรียนแล้วผ่าน มีเกรด...... เพราะผู้ใหญ่ วัดผลเด็ก จากเรื่องแบบนี้ ครับ เกรดทำให้เรียนจบได้ เรียนจบทำให้มีวุฒิได้ มีวุฒิทำให้มีงานทำได้ แต่มีความรู้เฉยๆ ไม่มีวุฒิ จะหางานทำยากกว่าคนที่มีวุฒิ แต่ความรู้ไม่เยอะ(อันนี้มองในแง่ร้ายสุดๆเลยนะครับ เด็กอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน) อย่างของกระทู้ อ.แพรค ที่เขาคำนวณ ลบ. ไม่ได้ เพราะ นศ คงคิดว่าไม่ออกข้อสอบมั้ง ก็เลยไม่รู้ ........ลองบอก นศไป สิว่าจะเอาตรงนี้ออกข้อสอบ รับรองครับ ท่องไม่มีวันลืม.......แต่หลังสอบจะลืมมั้ย ไม่แน่ครับ ปล. (นี่ผมคิดแบบระดับ worst case เลยนะครับ ในภาพรวมของผม) ปล.2 ต้องขออภัยทุกท่านที่ผมนอกเรื่องอีกแล้วนะครับ จากคุณ : sillygang - [ 22 ก.ย. 51 02:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ด้วยความที่ผมซิ่วมาตอนปีแก่ เลยทำให้ตอนนี้ต้องมาเรียนกับเด็กที่ค่อนข้างห่าง เลยรู้สึกได้ถึงความแตกต่างกันกับสมัยที่เรียนเมื่อก่อนนิดหน่อย ถ้าเป็นอะไรที่อยู่ในเนื้อหาโดยตรงอยู่แล้ว เด็กสมัยนี้ถือว่าหัวไว และตามทันเร็วมากครับ เพราะส่วนใหญ่จะเน้นท่องจำกันซะหมด  แต่ถ้ามีอะไรต้องคิดเพิ่ม แปลกไปหน่อย หรือต้องการความคาดเดา พวกนี้ถึงทำแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป อย่างวิชาเขียนโปรแกรม  ข้อสอบมีสองส่วนคือ ทฤษฎี และให้เขียนโปรแกรม เพียงแต่อาจจะไม่ได้เขียนลงในคอม แต่เขียนลงกระดาษ  ส่วนใหญ่ทำในส่วนทฤษฎีได้เพราะท่องจำมา แต่กลับทำส่วนเขียนโปรแกรมไม่ได้เลย คะแนนกว่า 90% เป็นส่วนที่ได้มาจากคำตอบในส่วนทฤษฎีแทบทั้งสิ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ หรือเมื่อก่อน ม.ปลายสอนยังไง เพราะว่าตัวผมนั้นเรียน ปวช.มา แล้วมาต่อ มหาวิทยาลัย  แต่ดูสมัยนี้แล้ว จะเอากันแต่ท่องจำอย่างเดียวเลย ทั้งที่น่าจะใช้วิธีทำความเข้าใจเอาเสียมากกว่า วิชาคำนวนก็ท่องจำ -*- ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดเป็นแบบนี้นะครับ จากคุณ : หมูกระเทียม+ไข่ดาว - [ 22 ก.ย. 51 04:07:52 ]

ความคิดเห็นที่ 127 อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็อยากเป็นอาจารย์มากขึ้นแล้วครับ จากคุณ : Finnaja - [ 22 ก.ย. 51 11:02:28 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เคยถามเด็ก ม.6 ว่า 1 ฟุตมีกี่นิ้ว เด็กตอบไม่ได้ครับ ...ไม่รู้ว่าเล่นมุขหรือเปล่า... จากคุณ : Conservative_Progressive - [ 22 ก.ย. 51 11:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 129 เข้ามาดูบ้าง จากคุณ : chapicha - [ 22 ก.ย. 51 13:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 130 -*- คือคำถามบางคำถาม บางทีจะให้ตอบปุ๊บปั๊บ มันก็ลืมจริงๆนะ แต่วิธีการคิดก็ควรจะคิดเป็น เห็นด้วยอย่างนึงว่า การศึกษาบ้านเรา มันถอยหลังลงคลอง เหอๆ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ผู้บริหารสถานศึกษาตั้งแต่ระดับประถมเลย ..เท่าที่ผมเห็นมา ไม่ไหวๆจริงๆ เฮ้อ..แล้วจะแก้ยังไงดี ปัญหามันใหญ่มากเลยนะ จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน - [ 22 ก.ย. 51 14:42:55 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เข้ามาดูคับ เพราะเรียน ม.ปลาย ไม่จบ ลาออกมาก่อน และำไม่ได้เรียนมหาลัยด้วย เห็นด้วยกับหลาย ๆ ความเห็นจัง จากคุณ : เก่งกว่าผมตายไปหมดแล้ว - [ 22 ก.ย. 51 17:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 132 หุหุ จะมาบอกว่าเคยตอบกระทู้เรื่องนี้ผิดด้วยความเบลออย่างไม่น่าให้อภัย - -" เป็นบทเรียนว่าควรใจเย็นๆอ่านคำถามให้ละเอียด ไม่ใช่อ่านผ่านๆ ไม่งั้นต้องชดใช้ด้วยความหน้าแตก - -" จากคุณ : Ponyo - [ 22 ก.ย. 51 18:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ทำไมไม่นึกถึงตอนที่ตัวเองโง่ จากคุณ : J O H N K U N G (ฮะเก๋ากุ้ง) - [ 22 ก.ย. 51 21:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ขอลบเองค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 51 01:21:42 จากคุณ : nuch_tiew - [ 22 ก.ย. 51 22:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 135 แชร์บ้าง ฝรั่งที่ทำงาน อายุมากล่ะ เคยเป็นMetallurgy  engineer มาก่อนแต่ไปเป็น GM ทำงานบริหารนานล่ะ วันหนึ่งเขาคุยเรื่องฝ่ายผลิตเกี่ยวกับเคมี   พี่GM แกดุลสมการเคมี เลขมวล จำเลขอะตอม (เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ประมาณเคมี ม.5)  แกจำได้หมด เหมือนว่ามันได้บันทึกอยู่ในสมองไปแล้วจะเอามาใช้เมื่อไรก็ได้  แบบว่าอึ้งเหมือนกัน ระบบการศึกษาเขาเป็นอย่างไร อีกคนฟังเพื่อนเล่ามา เป็นคนฝรั่งเศส มาทำเลปร่วมกับเพื่อนเรา - เขาพูดอังกฤษได้ (เหมือนจะธรรมดา) แต่ปกติคนฝรั่งเศสไม่ค่อยพูดอังกฤษ เพราะเขาก็มีภาษาเขาแล้วภูมิใจภาษาเขาด้วย  เพื่อนเราก็ถามประมาณว่า เป็นฝรั่งดีเนอะ พูดอังกฤษได้  เขาตอบเพื่อนเราว่า ก็ลงเรียนตอนมัธยมมา สองตัว (แต่ว่าพูดได้ดีเลย)  เพื่อนเราคิดในใจ ตรูเรียนมาแต่ป. 5 ยังเกือบไม่รอด - ตอนทำแลป เหมือนกัน  ประมาณว่าต้องใส่สาร หรือไตเตรตสาร แต่ต้องเอามาละลายให้ได้ความเข้มข้น เขาก็คำนวนจากสูตรมวลโมเลกุล (ประมาณนี้ อาจไม่ถูกเท่าไร จำไม่ได้เหมือนกัน เคยทำแลปแค่สองตัวตอนเรียนมหาวิทยาลัย ... แต่ตรูจำไม่ได้เหมือนกัน)   ผมว่าการศึกษาเราต่างจากพวกตะวันตกมาก แค่พื้นฐานก็แย่แล้ว ยอดไม่ต้องพูดถึง ทั้งๆ ที่เรา Input ค่อนข้างมาก (มากเลยล่ะ) เราสอนเยอะมาก อัดไปเยอะมาก แต่ Output ที่ได้จากการศึกษา เกือบๆ เท่ากับ 0   เหมือนๆ ถามตัวเองว่าที่เราเรียนมา พอสอบเสร็จแล้วได้อะไรมาบ้าง บางตัวก็บอกกับตัวเองตอนเรียนว่า ไม่ต้องใช้เราไม่ไปทำสายนั้นหรอก แต่วันหนึ่งต้องใช่จริงๆ มันทำไม่ได้ จนคนทำงานด้วยเขาถามว่า เฮ้ย...เอ็งเคยเรียนมาจริงๆ เหรอ (ก็เคยนะ แต่ลืม) ชอบ คห. บนๆ พูดถึงปรัชญาชีวิต เป้าหมายในชีวิต ผมว่าอันนีสำคัญมากเลยล่ะ  ถามตัวเอง ถามเพื่อนๆ ถามน้องๆ  ด้วยคำถามที่ผมชอบถามว่า ตกลงชีวิตนี้ ต้องการทำอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ทำไมมาเรียนคณะนี้  หลายๆ คนตอบไม่ได้  บางทีก็ตอบด้วยคำตอบแบบไม่น่าตอบ เช่น จบมาเงินดี ,พ่อ แม่บอกให้เรียน หรือไม่ก็กำลังบูมเลยคณะนี้   มีน้องอยากเรียนต่อ บริหารทรัพยากรบุคคล เราก็เลยถามว่า ทำไมอยากเรียน (มันตอบว่าชอบ) ก็เลยถามต่อว่าทำไมชอบล่ะ (น้องตอบว่าก็เรียนสายนี้มา) อืมๆ แล้วรู้ป่ะจบไปทำอะไร (ก็บุคคลมั้ง) รู้ไหมบุคคลทำงานอย่างไร (ไม่รู้ แต่ไม่อยากทำงานเอกชน) ...... ตรูไม่ถามต่อล่ะ ให้น้องมันไปคิดต่อว่า อยากทำอะไร .... ประเด็นคือ เรามักจะบอกว่า เอ้ย....วิชานี้ไม่สนหรอก ไม่อยู่ในสายงานเรา เช่นวิศวะ ไม่สนภาษาไทย สังคม เคมี หรือสายบริหาร ไม่สนวิทย  ผมว่าก็ไม่แปลกเท่าไร ถ้ารู้ว่าจะเรียนอะไรแล้วมีเป้าหมายแล้ว เพราะจะให้นักบัญชีมาแตกเวกเตอร์ไม่ใช่เรื่อง  แต่ ... สิ่งที่อยู่ในสายงานคุณ คุณรู้จริงๆ รึยัง สามารถใช้คำว่า ผู้เชี่ยวชาญในสายวิชาชีพได้ยัง  ผมว่าอนาคตมืดมนจริงๆ ถ้านักเคมี ทำแลปไม่เป็น เอกภาษาใช้ภาษาไม่ได้  หรือครูสอนหนังสือให้รู้เรื่องไม่ได้ คงถึงเวลาที่การศึกษา ต้องกลับมาดูเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณแล้ว คงไม่สำคัญแล้วถ้าจะบอกว่าปีนี้เรามีแพทย์จบ พร้อมบรรจุ .... คน  แต่มีแพทย์ที่มีคุณภาพจริงๆ ไม่เท่ากับคนที่จบ  คิดเล่นๆ ว่า แพทย์จบ 100 คนแต่ มีแพทย์ที่ไม่ได้คุณภาพแค่ 3 คน วันๆ หนึ่งแพทย์ต้องรักษาคนไข้ 100 ราย  ไม่อยากจะคิดว่าแพทย์ที่ไม่ได้คุณภาพ 3 คนจะทำความเสียหายขนาดไหนกับชีวิตคนไข้ (กรณีสมมุตินะ) น่าคิด .... หรือถ้าบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่แพทย์จะวินิจฉัยผิด 0.01%  ถ้าวันๆ หนึ่งมีคนไข้ 100,000 รายทั่วประเทศ หมายความว่า เรายอมรับว่าจะต้องมี คนไข้ที่วินิจฉัยผิด จ่ายยาผิด 10 คนต่อวัน เรายอมรับได้หรือไม่ พื้นฐานสำคัญ (มั้ง) จากคุณ : Mine_Knight - [ 22 ก.ย. 51 23:10:39 ]

ความคิดเห็นที่ 136 อาจารย์สอนอยู่มหาลัยอะไรอะ คณะผม เป็นคณะทางศิลป์ยังตอบได้เลยนะ 1 ลิตรมีกี่cc เนี่ย ผมว่ามันเป็นพื้นฐานที่คนทั่วไปควรรู้เลยแหละ ผมยังใช้บ่อยเลย เอาไว้เทียบราคาหาความคุ้ม อย่างตอนนี้กินโค้ก 600 cc 15 บาท คุ้มกว่ากระป๋อง 325 cc 14 บาทตั้งเยอะ 55 จากคุณ : ERWA - [ 23 ก.ย. 51 01:37:46 ]

ความคิดเห็นที่ 137 ผมอยากบอกให้คิดนิดหนึ่ง ว่าการศึกษามันเป็นผลจากสังคมทุกภาคส่วนนะแหละ ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก อาจารย์ สังคม พ่อแม่ ฯลฯ ส่วนตัวผมมองว่าเกรดไม่ใช่ตัวตัดสินความเก่ง เด็กที่เก่งพลาดเกรดดีๆก็มีถมไป ถ้าเกิดซวยจริงๆ แต่สังคมไม่ใช่หรอ (โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่แหละตัวดี) ที่กำหนดเรื่องเกรดลงมาให้เด็ก ทำให้เด็กต้องทำไงก็ได้ให้ได้เกรดดีที่สุด ถ้าจะไม่ให้ความสำคัญกับเกรด ตอนเข้าทำงานจะดูทรานสคริปทำไม (ผมไม่เชื่อว่าจะดูว่าเรียนอะไรมาบ้าง ส่วนมากก็ดูเกรดด้วย) เกียรตินิยมเอย ก็เอาเกรดเป็นตัววัด (ผมเห็นเพื่อนผมไม่มีใครคบก็เพราะเอาเปรียบเรื่องเรียนนี่แหละ) ตอนให้ทุนต่างๆจะกำหนดเกรดทำไม ก็ให้เด็กสอบไปเลยสิ แล้วตอนเข้ามหาวิทยาลัยจะกำหนดเกรดมาทำไม สอบอย่างเดียวไปเลย ทุกอย่างล้วนเป็นตัวผลักดันให้เด็กต้องทำเพื่อเกรดทั้งนั้น ทำให้หลายครั้งเด็กก็มองข้ามศึลธรรมไป ถ้าไม่ถูกสอนเรื่องสำนึกในศีลธรรมให้แน่นพอควร เกรดนะมันดี แต่มันเหมือนเป็นดาบสองคม เพราะดันตกไปอยู่ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับมันมากเท่านั้นเอง จากคุณ : newuno - [ 23 ก.ย. 51 02:37:21 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ถ้าไม่ให้ใช้เกรด แล้วจะใช้อะไรล่ะครับ มองในมุมของนายจ้างบ้างสิ จะรับคนเข้าทำงานใหม่ ไม่มีอะไรมาแสดงให้รู้เลยว่าคุณเคยทำอะไรได้บ้าง ถึงเกรดมันจะวัดไม่ได้ทั้งหมด แต่มันก็บ่งบอกถึงความขยันบางส่วนแน่นอนครับ ถ้าเกรดไม่ดี แต่คุณมีดีอย่างอื่น ก็ใช้อย่างอื่นเสนอสิ งานกิจกรรม การแข่งขัน ความรู้นอกห้องเรียน ฯลฯ เยอะแยะไปหมด แต่ถ้าไม่มีอะไรดีเลย แล้วจะบ่นอะไร ที่นายจ้างเขาไม่สนใจคุณเพราะเกรดคุณไม่ดี? เพื่อนผมหลายคนเกรดน้อยๆ สองนิดๆ แต่ก็ได้งานดีๆ ไม่แพ้คนเกรดสามกว่า เพราะเขาก็มีดีอย่างอื่นมาพิสูจน์ให้นายจ้างเห็นว่า แม้่เกรดจะไม่สวยแต่ฝีมือก็มีอย่างอื่นทดแืทนนะ ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ ว่าเกรดวัดอะไรไม่ได้ แล้วก็โทษ อาจารย์ โทษระบบ โทษพ่อแม่ แต่ไม่โทษตัวเองที่ไม่ขวนขวายอะไรเลยครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 23 ก.ย. 51 11:02:49 ]

ความคิดเห็นที่ 139 วงการศึกษาบ้านเรายังมานั่งเถียงกันเรื่องสอนให้คิด - สอนให้จำอยู่เลย เพี้ยนจริงๆ มันต้องใช้ทั้งสองอย่าง สูตมยปัญญา (knowledge) + จินตมยปัญญา (imagination) ส่วนฝรั่งเขาสอนให้เด็กมีทักษะการ เรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้  ไม่ได้มานั่งเถียงกันเรื่องไร้สาระอย่าง สอนให้คิด vs สอนให้จำ อะไรนั่นหรอก สุดท้ายก็สรุปว่า ฟายเซนเตอร์ ถ้าคิดไม่ออกจริงๆ ลองสัมภาษณ์ ผู้ปกครองที่เคยส่งลูกไปเรียนที่ยุโรปตั้งแต่อนุบาลดูก็ดีนะกระทรวงศึกษาฯ ดีกว่ามานั่งด้นเดาแล้วเอาเด็กเป็นหนูลองยาทีละ 5 รุ่น 10 รุ่นอยู่อย่างปัจจุบันนี้ ดีกว่าลำบากเสียเวลาไปดูงานเอง รู้หรอกน่าว่าไปทำอะไร จากคุณ : AnotherPractitioner - [ 23 ก.ย. 51 11:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 140 อืม มีไฟแดงด้วยแหละ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 23 ก.ย. 51 12:01:20 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ผมเห็นด้วยกับว่า อาจารย์ไม่มีทางสอนลูกศิษย์ให้เก่งกว่าตัวเองได้น่ะครับ แต่ว่า ที่เห็นเ่ก่งกว่า พอลูกศิษย์ไปต่อยอดกันเอง พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ปล ที่ผมเห็นเป็นงี้จริงๆอ่ะ จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 23 ก.ย. 51 14:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 142 #138 โดนใจค่ะ ตอนนี้มีปัญหา ลูกน้องทำงานไม่เป็น  performance ที่เขียนตอนรับสมัครดีมาก แต่พอทำงานจริง ๆ อยากย้อนเวลากลับไปตอนรับสมัครจังเลย ตอนนี้ได้แต่ชงกาแฟกับทำงานจุกจิกเหมือนธุรการ ทำงานแทนเราไม่ค่อยได้ ผิดพลาดบ่อย แต่ก็นะ ความรู้สอนกันได้ แต่ไหวพริบปฏิภาณนี่สอนลำบากจริง ๆ ต้องสอนทุกอย่างจนอยากจะถามว่า ที่เรียนมาคุณไม่เคยจำได้เลยหรือไง แอบคิดนะว่า ถ้ามีโอกาสเลือกอีกขอเลือกสถาบันด้วยดีกว่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบริษัทส่วนใหญ่ถึงเลือกสถาบัน ปล. จะจำไว้ว่ารับพวกเกรดน้อยน่ะดี เพราะรู้จักขวนขวาย เอาตัวรอดเก่ง เฮ้อ...เครียด จากคุณ : oracle-[gp] - [ 23 ก.ย. 51 18:07:20 ]

ความคิดเห็นที่ 143 คห124 "ที่เอามาเล่ามาแชร์เพราะใช้สิทธิที่เหมือนกับหลายความเห็นในที่นี้ที่เล่าทัศนคติส่วนตัวว่า เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่รู้เรียนไปทำไม ไ่ม่เห็นได้ใช้ เอาไปค้ากำไรไม่เห็นได้เลย เลยคันมืออยากแชร์บ้างว่ายังมีคนที่ไม่ได้คิดอย่างนั้นอยู่ ที่จริงคิดตรงข้ามด้วยซ้ำว่า เนื้อหาหลายๆอย่างที่เราเรียนส่งๆไปตอนประถมกับมัธยมนี่มีค่าและอยากเรียนใหม่ด้วยซ้ำ" นั่นแหล่ะครับ ถึงต้องให้กระทรวงจัดหลักสูตรกลางดีๆ  แล้วจัดวิชาเฉพาะทาง ให้คนที่สนใจได้เรียนเพิ่มเติมเอา  จะได้ไม่ต้องเรียน"ส่งๆ"  เพราะต้องจำข้อสอบทางลึกหลายวิชาทั้งที่ยังไม่ใช่เรื่องที่เราสนใจเต็มที่ "วรรณคดีทั้งหลายของเราตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้า สมัยสุนทรภู่ ที่มีความวิจิตรงดงามทางภาษาเหลือประมาณ ประวัติศาสตร์ของประเทศสมัยต่างๆ เราอยู่รอดเป็นเอกราชมาได้อย่างไรท่ามกลางไอ้พวกบ้าล่าอาณานิคมกลุ้มรุมขนาดนั้น" แล้วจำได้ไหมครับ ม.4 - ม.6 วิชาภาษาไทย สอนอะไร?  สังคมศึกษาเรียนเกี่ยวกับประเทศไหน?   ผมว่าคุณเองก็ต้องนั่งนึกนานแบบผม เพราะสิ่งที่อยู่ในหลักสูตรมันไม่ใช่ทั้งเรื่องที่"เอาไปใช้"  และ เรื่องที่"สนใจ" หรือผมเป็นคนเดียวหว่า - -* จากคุณ : mkhazard - [ 23 ก.ย. 51 20:06:19 ]

ความคิดเห็นที่ 144 มาลงชื่อว่าเห็นด้วยอย่างมากกับส่วนใหญ่ครับ เป็นอาจารย์เหมือนกัน นับหนึ่งถึงสิบไปหลายรอบแล้ว เคยหลุดด่าไปครั้งหนึ่ง ถ้าคนไข้เป็นพ่อเธอ เธอจะทำแบบนี้กับเขาไหม เฮ้อ ไม่รู้จะว่าไงครับ ก็พยายามทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดครับ สอนให้มาก พูดให้มาก อะไรไม่รู้ก็สอนก็บอก แต่บางครั้งบอกเรื่องเดียวซ้ำ มันเซ็งเหมือนกันนะครับ จากคุณ : angel of music - [ 23 ก.ย. 51 21:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 145 มันเป็นผลพวง ที่เกิดหลังจากระบบ admission รึเปล่าครับ ไม่ต้องเก่งวิทย์ ก็สอบเอาคะแนนสังคม ภาษาฯ มาสอบเข้าคณะวิทย์ได้ จากคุณ : Detonator_Pao_ - [ 23 ก.ย. 51 21:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 146 138# ผมบอกแล้วว่าเกรดเหมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งมันก็วัดได้ อีกด้านหนึ่งถ้าไปให้ความสำคัญกับมันมาก มันก็เป็นอย่างที่รู้กัน แล้วที่เขียนไป ก็บอกแล้วผลพวงมาจากทุกอย่าง รวมทั้งตัวเด็กเองด้วย ไม่ใช่โทษแต่ผู้ใหญ่อย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องการสื่อคือ ที่เด็กมันอยากได้เกรดจนต้องมองข้ามศีลธรรมไปเนี่ยมันก็มาจากการที่สังคมให้ค่ากับเกรดมาก แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 22:57:04 จากคุณ : newuno - [ 23 ก.ย. 51 22:55:30 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ก็สอนเอาแต่ทฤษฎีสวยหรูอลังการ ถามหน่อยเหอะ เรียนวิศวกร มา มีซักกี่คน ที่ได้สร้างเครื่องจักร หรือ สร้างวงจรไฟฟ้าเอง สร้างซีพียู หรือ นวัตกรรมใหม่ๆ บ้าง?   สุดท้าย ก็เปนเซลล์  ไม่ก็สั่งซื้อเครื่องจักร จากต่างประเทศ   ดูแลคนงาน   ดูแลเครื่องจักร   เอาใจลูกค้า  ก็แค่นั้น  ดังนั้น เด็กสมัยนี้มาถูกทางแล้ว   พรีเซ้นเก่ง  มีทักษะการนำเสนอ จัดเล่มรายงานได้สวยงาม  เพราะกลุ่มนี้ต่างหาก ที่จะมีงานทำในอนาคตและทำรายได้ได้สูง จากคุณ : Pure Chocolate - [ 23 ก.ย. 51 23:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 148 เห็นด้วยกับคุณ newuno นะครับ เพราะว่าสังคมสมัยนี้ยึดติดกับภายนอกมากๆ ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา เสื้อผ้า เงินทอง พาให้ไปทุกๆเรื่องจนถึงเรื่องการศึกษา ยึดติดไปหมด แก่นแท้ของการศึกษาจริงๆก็คือการมาเรียนแล้วได้ความรู้กลับไป แค่นั้นจริงๆครับ แต่สังคมไทยเขามองไปยิ่งกว่านั้น และมันเป็นของที่อยู่ภายนอกแทบทั้งสิ้น.......... ทุกโพสของผมในกระทู้นี้ ไม่ได้บอกวิธีแก้ปัญหาให้กับการศึกษาไทยครับ แค่มาเล่าให้ฟังว่าปัญหามันคืออะไร และมันเลวร้ายระดับไหน.......(ในมุมมองของผม) เล่าให้ฟังเฉยๆแค่นั้นแหละครับ เพราะหน้าที่ของผมคือเรียนครับไม่ใช่แก้ปัญหาการศึกษา ขอบคุณ กระทู้ อ.แพรคครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 00:57:17 จากคุณ : sillygang - [ 24 ก.ย. 51 00:56:20 ]

ความคิดเห็นที่ 149 อย่าตัดสินคนที google  แปลว่า ...คิดเอาเอง จากคุณ : myheart46 - [ 24 ก.ย. 51 01:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 150 .....ระบบการศึกษาไม่ได้สอนให้แยกแยะ ความถนัด ความสามารถ แต่ละคนน่ะครับ... ค่านิยม คนไทย - เข้า ม.รัฐดังๆ - เรียนคณะดีๆ เช่น หมอ วิศวะ สถาปัตย์ พยาบาล บัญชี นิติ - หาเงินให้เยอะที่สุด แค่นี้มันก็ทำให้คนบางคน ที่เก่งศิลปะ ไปทำงานด้านวิทยาศาสตร์ บางคนเก่งวิทย์ ต้องไป ทำบัญชี เมืองเราไม่ได้เน้นด้าน ความถนัด ของคนเลย.....ด้วยเพราะ รายได้ เป็นตัวแปรสำคัญ ที่มากำหนด อาชีพ หลังจากเรียนจบ เมืองนอก ทำงานเป็นหมอ ไม่ได้รวยไปกว่า จนท.การตลาด เลย.... อาชีพ ที่รวยจริงๆ ของเมืองนอกก็คือ ทนาย , สถาปนิค , ดารา , ดีไซน์เนอร์  เพราะอาชีพพวกนี้จะสามารถ ทำหลายๆงานพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ แต่เมืองไทย รายได้ขั้นต่ำ ก็ต่างกันฟ้ากับเหวแล้ว......นักการตลาดฝรั่ง นอกจากเงินเดือน ก็ยังมีค่า อินเซนทีฟ อีกด้วย เราจะไปโทษอะไรชัดๆคงไม่ได้ เพราะเมืองเราเป็นแบบนี้กันมาหลายชั่วอายุแล้ว... แต่น่าแปลก ที่เด็กปี 3 ไม่รู้จัก ปริมาตรของเหลว ? น่าจะเป็นที่ ยุคนี้ พ่อแม่ ป้อนข้าวให้มากเกินไป เลยไม่รู้จักตักข้าวกินเอง..... เรียน ประถม มัธยม พ่อแม่วิ่งรับส่ง เีรียนพิเศษ เที่ยวห้าง ดูหนัง อ่านการ์ตูน แทบไม่ต้องขวนขวายอะไรเลย.......แค่กระดิกนิ้ว ก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว.... ผมก็พอเข้าใจ คนรุ่น 30 ปีขึ้นไป จะผ่านยุคที่ ขวนขวาย กันมาทั้งนั้น..... รร.กวดวิชา ติวเตอร์ มีน้อยจนนับหัวได้....จะสอบให้ผ่าน ก็ต้องเรียนเอง จดเอง จำเอง ผิดเอง ตกเอง ฯลฯ ผมเรียนรามฯ สอบวิชาระดับปี 3 - 4 มีโอกาส 1 ครั้ง....ถ้าพลาด คือ ตก ลงใหม่ไม่มีคะแนนเก็บ ไม่มีคะแนน จิตพิสัย มาวัดกันที่ปลายเทอมเท่านั้น ถ้าต่ำกว่า 70 คือตก........จะได้ G ต้อง 85 ขึ้นไป...กดดันมาก.... จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 24 ก.ย. 51 10:17:23 ]

ความคิดเห็นที่ 151 #150 คุณ น้ำปลาเดือนห้า ผมก็ผ่านช่วงลำบาก ขวนขวาย ฝ่าฟัน อะไรๆมาพอควร แต่........... ..... ... ผมยังไม่ถึง 30 น่ะครับ ;P จากคุณ : Detonator_Pao_ - [ 24 ก.ย. 51 11:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 152 rep 38 เราขอยก ตัวอย่าง อันนี้น้องเรา ป.6 รร คริสแห่งหนึ่ง ใน กทม (ขอย้ำเป็น รร เอกชน) ครูวิชาโครงงานที่ต้องpresent งานหน้าชั้น เรื่องโครงงานหุ่นยนต์ (หัวข้อเลือกเองโดยนักเรียน) แล้ววันที่ต้องpresent งานหน้าชั้น คนที่เก็บสมุดที่จดงานไว้ ไม่มา รร เพราะทำสมุดหายแล้วรู้ว่า วันนี้มีรายงานหน้าชั้น และตัวเองก้ยังหาข้อมูลมาให้กลุ่มไม่ได้ น้องเราและเพื่อนๆในกลุ่ม จึงเดินไปบอกครู ว่าไม่สามารถpresent งานได้ เพราะ คนที่เอางานไปไม่มา ครูตอบว่า "แล้วมาบอกชั้นทำไม" แล้วก็ลงโทษทั้งกลุ่ม ************************************* แล้วครูผิดตรงไหนคะ ในเรื่องนี้ ? หรือว่าเราเองที่เข้าใจผิด...เด็กไม่ใช่คนที่ควรจะรับผิดชอบในเรื่องการแบ่งงานหรอกหรอคะ ? ทำงานกลุ่ม รับผิดชอบทั้งกลุ่ม ก็ถูกต้องแล้วนี่คะ ถึงเราอาจจะมองว่าไม่ใช่น้องเรา ลูกเรา หลานเรา ที่ทำงานหาย...แต่ถ้าคิดถึงอนาคต... เวลาทำงานหรือทำอะไร มันก็ส่งผลกระทบถึงคนอื่นทั้งนั้นนี่คะ...ถ้าไม่ให้เค้ารู้จักคิดว่า "เราทำผิด" เมื่อไหร่เค้าจะเข้าใจคำว่า "สังคม" ล่ะคะ *********************************** ขอโทษคุณ Choco-Mix ด้วยค่ะ บังเอิญตอนที่อ่าน ตอบก่อนแล้วถึงเห็นคำชี้แจงน่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 51 10:40:31 จากคุณ : วันที่ไม่มีแดด - [ 24 ก.ย. 51 19:57:38 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ^ ^ ผิดตรงที่ใช้คำว่า"แล้วมาบอกชั้นทำไม" มีคำพูดอื่นให้พูดอีกหลายหมื่นประโยคครับ จากคุณ : mkhazard - [ 25 ก.ย. 51 00:27:33 ]