ความคิดเห็นที่ 1 นอกจากนี้พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "หอชัชวาลเวียงชัย" ขึ้นในบริเวณพระนครคีรี หรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี หอชัชวาลเวียงชัยเป็นกระโจมทรงกลม หลังคาประดับด้วยกระจกโค้ง ห้อยโคมไฟมองเห็นได้ไกลจากทะเลใช้เป็นเสมือนประภาคารของนักเดินเรือที่จะเข้าอ่าวบ้านแหลมในเวลากลางคืนด้วย พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ ใช้เป็นที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศ โดยทรงสถาปนาเส้นแวงที่ 100 องศาตะวันออก ผ่านใกล้พระนครคีรีใช้เป็นเส้นแวงหลักของระบบเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะหอดูดาว 4 ชั้นในพระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตามแบบเดิม พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งพิไสยศัลลักษณ์"   พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์     ในรัชสมัยของพระองค์ ได้ปรากฏดาวหางดวงใหญ่ 3 ดวงคือ ดาวหางฟลูเกอร์กูส์ ในปี พ.ศ. 2353 ดาวหางโดนาติ (Donati) ในปี พ.ศ.2401 และดาวหางเทบบุท(Tebbutt) ในปี พ.ศ. 2404 ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดกลัวเพราะเชื่อว่าเป็นลางร้าย พระองค์ทรงออกประกาศเตือนล่วงหน้า และทรงอธิบายอย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่า ดาวหางเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มีผู้คนเห็นกันทั่วโลกไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น      พระองค์ทรงคำนวณว่าจะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ปีมะโรง หรือวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 เห็นได้ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก่อนล่วงหน้าถึง 2 ปี แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 09:13:04 จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ้อ ได้ความรู้ขอบคุณจขกท.มักๆเด้อ จากคุณ : ช้างนาโน (ช้างนาโน) - [ 23 ก.ย. 51 09:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รูปใหญ่เกิน เดี๋ยวลงใหม่นะค่ะ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 09:20:13 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 09:19:35 จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:19:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 .. จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:28:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว " นักวิศวกรวังหน้าคนแรกของไทย "      ในสมัยรัชกาลที่ 3 เริ่มมีฝรั่งมิชชันนารี เข้ามาเผยแพร่ในสยามประเทศแล้ว ซึ่งพวกมิชชันนารีได้นำเอาวิทยาการสมัยใหม่ของชาวตะวันตก เข้ามาด้วย ซึ่งพระองค์ก็สนพระทัยที่จะศึกษาหาความรู้โดยทรงเริ่มเรียนภาษาอังกฤษก่อน ซึ่งจะช่วยให้พระองค์ทรงเข้าใจและเข้าถึงวิทยาการเหล่านั้นได้      ซึ่งพระปรีชาของพระองค์ถึงขนาดจัดทำ พจนานุกรมไทยเป็นภาษาอังกฤษ และพจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย     สำหรับวิทยาการใหม่ๆ ที่ทรงศึกษา และสนพระทัยมากคือ การซ่อมนาฬิกาตามหลักฐานที่ปรากฏระบุไว้ว่า ในวังของพระองค์รับทำและซ่อมแซมนาฬิกาและทรงเป็นผู้รู้เรื่องนาฬิกาคนแรกของไทยอีกด้วย     การศึกษาด้านวิศวกรรมเครื่องกล คือ การต่อเรือสินค้าขนาดเล็กแบบยุโรป, การสร้างเรือกลไฟขนาดเล็ก ติดเครื่องยนต์ลำแรก เรือที่พระองค์ทรงต่อแบบมีมาตรฐาน ได้แก่ เรืออาสาวดีรส เรือยงยศอโยชณิยา และเรือวรารัตนพิไชย ซึ่งเป็นเรือกลไฟลำแรกของกรุงสยาม     ผลงานของพระองค์มีมากมาย เช่น ทรงเปิดโรงกลั่นลม พระประทีปขึ้นในพระบรมราชวัง การสร้างตำราปืนใหญ่ โดยการแปลมาตำราต่างประเทศ การทำดินปืน และปืนใหญ่ กับพระปรีชาสามารถอันมากมายของพระองค์จนทรงได้รับพระฉายาว่าทรงเป็นวิศวกรวังหน้าคนแรกของไทยอย่างแท้จริง จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:30:27 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลืมรูปอีกหล่ะ.. จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม " พระบิดาการแพทย์แผนปัจจุบัน "   พระองค์ทรงเสด็จไปศึกษาวิชาสาธารณสุข ณ สหรัฐอเมริกา โดยทรงร่วมกับคณะของพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นชัยนาทนเรนทร และหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี ระหว่างที่เสด็จกลับก็ได้ทรงงานในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของศิริราชพยาบาล ร่วมกับนักศึกษาแพทย์ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และทรงสอนนักศึกษาเตรียมแพทย์อีกด้วย พ.ศ. 2469 เสด็จกลับ สหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาต่อด้านแพทย์ศาสตร์ แต่พระวรกายพระองค์เสื่อมโทรมมากและทรงประชวร ทรงสำเร็จการศึกษาได้ M.D. เกียรตินิยม เสด็จกลับประเทศไทยในปี พ.ศ.2471 พระองค์มีพระประสงค์จะปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำบ้านเยี่ยงแพทย์ท่านอื่น ๆ แต่ติดที่ฐานันดรศักดิ์และราชประเพณี จนพระองค์สิ้นพระชนม์ในวันที่ 24 กันยายน 2472 ขณะมีพระชนมายุได้ 37 พรรษา พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อวงการแพทย์สาธารณสุข     สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระองค์ทรงทุ่มพระวรกายและพระราชหฤทัยต่อวงการแพทย์สาธารณสุข โดยมิได้ทรงเหน็ดเหนื่อย แม้นาทีสุดท้ายของพระองค์เป็นการพระราชทานทุนแก่นักเรียน ข้าราชการในโรงพยาบาลให้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศ การเจรจากับมูลนิธิรอกกี้ฟลาวเวอร์เพื่อขอความช่วยเหลือในด้านการปรับปรุงด้านการศึกษาของไทย การเป็นพระอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ทรงมีปาฐกถาแก่แพทย์ พยาบาลการพระราชทานเงินในการสร้างตึกศิริราชพยาบาล จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี " เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ "    เจ้าฟ้าพระองค์แรกของโลกกับพระวิริยะเพื่อมวลมนุษยชาติ จนเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่นของโลก พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ประสูติ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500     พระองค์ทรงเป็นองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทำหน้าที่วิจัย พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนาในจังหวัดทางภาคใต้ รวมทั้งโครงการหมู่บ้านทับทิมสยามในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา พระองค์ทรงปฏิบัติพระภาระกิจนานัปการอันทรงคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนด้วยพระปณิธานอันแน่วแน่ที่ทรงเจริญรอยตามเบื้องยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการระดับโลกว่าเป็นแหล่งผลิตและพัฒนาบุคลากรในวงวิทยาศาสตร์ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติและของโลก โดยเฉพาะผลงานวิจัยต่าง ๆ อาทิ เช่น ด้านผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของพืชสมุนไพรและการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งระดับชาติ ระดับภูมิภาคและนานาชาติ     นอกจากนี้ ยังมีศูนย์พิษวิทยาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมนานาชาติหรือหน่วยงานองค์การระหว่างประเทศ เช่น ทรงเป็นคณะผู้บริหาร IOCD ; IFS, เอกอัครราชทูตสันถวไมตรีขององค์การอนามัยโลก (WHO) และ UNEP พระเกียรติประวัติดีเด่นผลงานที่ได้รับรางวัล     ผลงานล่าสุดที่พระองค์ได้รับการตัดสินจากสมาคมวิชาการนานาชาติของสหรัฐอเมริกาในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่นของโลกในสาขาเคมีก่อมะเร็งและพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมจาก EMS-Hollaender Internation Fellow Award หรือ EMS=(Environmental Mutagen Society) ทรงได้รับเหรียญทองไอน์สไตน์จาก UNESCO และทรงเป็นอาจารย์พิเศษแก่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายแห่ง จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ศจ.ดร.รวี ภาวิไล " นักดาราศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องทั่วโลก "    เกิด 17 ตุลาคม พ.ศ.2468 การศึกษาเริ่มจากชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนหุตะวณิช มัธยมศึกษาจากสวนกุหลาบวิทยาลัย เตรียมอุดมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ ปริญญาโท-เอก จากออสเตรเลียด้านฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ     ด้านการทำงาน เข้ารับราชการ สอนหนังสือยู่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดอายุการทำงาน รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของอธิการบดี ตลอดเวลาอาจารย์ได้ทำการสอนนิสิตทุกระดับ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ด้าน Astrophysics รวมทั้งงานวิจัยหลายเรื่องที่สำคัญ เช่น โครงสร้างละเอียดของโคโมสเฟียร์ ดวงอาทิตย์, งานวิจัยเรื่องโครงสร้างอาณาจักรบริเวณกัมมันต์บนดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาดูงานและวิจัยในต่างประเทศอยู่เสมอ ๆ เช่น การทำวิจัยเรื่องโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของบรรยากาศระดับโครโมสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ที่ประเทศออสเตรเลีย การประชุมของนักดาราศาสตร์นานาชาติที่ประเทศฮังการี     การวิจัยเรื่องบรรยากาศของดวงอาทิตย์ และเป็นผู้อำนวยการธรรมสถานในปี พ.ศ.2521 จนถึงปัจจุบัน ดร.ระวี ท่านเป็น นักดาราศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลก เป็นนักคิดนักปรัชญาที่มีผลงานค้นคว้าที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติ จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ศจ.ดร.แถบ นีละนิธิ " บิดาแห่งวิชาเคมีของไทย "      เกิด 1 กรกฎาคม 2450 กรุงเทพฯ เสียชีวิต 10 สิงหาคม 2523 ที่กรุงเทพฯ การศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 จากโรงเรียนสวนกุหลาบ แล้วสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาที่วิทยาลัยของเทศบาลนครปอร์ตสมิธ ประเทศอังกฤษ สาขาวิทยาศาสตร์ 2 ปี จึงเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล อีก 4 ปี จนได้ปริญญาทางเคมี จบปริญญาโท-เอก(เคมี) จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา โดยทุนของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์        กลับมาเมืองไทยรับราชการสอนหนังสือที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ งานชิ้นแรกคือ ร่างและจัดทำหลักสูตรปริญญาบัณฑิตทางเคมี เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เป็นผู้สอนเอง จึงนับได้ว่า อาจารย์เป็นต้นตำรับการผลิตวิทยาศาสตร์บัณฑิตคนแรกของประเทศ     งานด้านบริการ ท่านเคยเป็นหัวหน้าแผนกเคมีในปี 2500 ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มีการขยายหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาธรณีเคมีเทคนิค จนท่านเกษียณอายุในตำแหน่งรองอธิการบดี ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้จัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัย ในปี พ.ศ.2506 อาจารย์ก็ได้แต่งตั้งให้เป็นคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยคนแรกและได้จัดตั้งหน่วยคอมพิวเตอร์ขึ้นมาในจุฬาฯ ผลงานชิ้นสำคัญ ๆ เช่น เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย เป็นฝ่ายอุปนายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน เป็นผู้แทนไทยไปประชุมในต่างประเทศ เช่น ยูเนสโก ประชุมเกี่ยวกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ที่กรุงเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ ดูงานเกี่ยวกับพลังงานปรมาณูที่ยุโรปและอเมริกา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภามหาวิทยาลัยแห่งชาติ และการประชุมทางวิทยาศาสตร์ภาคแปซิฟิกครั้งที่ 9 และยังได้รับคำเชิญเป็นกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาสหประชาชาติ จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดร.ตั้ว ลพานุกรม " รัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี "      เกิด 21 ตุลาคม พ.ศ.2411 กรุงเทพฯ เสียชีวิต 27 สิงหาคม พ.ศ.2484      การศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนราชวิทยาลัย หลังจากนั้นได้ไปต่อวิชาสามัญในโรงเรียนที่เมือง บัลเกนแบร์ก ประเทศเยอรมนี แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เยอรมนีอยู่ฝ่ายอักษะจึงทำให้ไทยกับเยอรมนีต้องประกาศสงครามกันและ ดร.ตั้วก็เลยถูกส่งตัวไปเป็นเชลยศึก ช่วงนี้ท่านได้ศึกษาวิชาการต่าง ๆ เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จึงสามารถทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับฝ่ายทหารได้     ก่อนหน้านี้ท่านเคยศึกษาวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยกรุงเบิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต เกียรตินิยมในสาขาเคมี ในปี พ.ศ.2471 ได้เข้าร่วมกับคณะราษฎรในกรุงปารีสในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย และท่านยังได้ศึกษาวิชาเภสัชกรรมศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยมิวนิค และสาขาวิชาพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส ประเทสฝรั่งเศส และได้ดูงานด้านวิทยาศาสตร์ งานวิจัย อุตสาหกรรม ประเทศอเมริกาและญี่ปุ่น จึงกลับสู่เมืองไทยในปี พ.ศ.2473 กลับมาเมืองไทยเพื่อรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยแยกธาตุ 2 ต่อมาเปลี่ยนชือเป็นกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯในปัจจุบัน ซึ่งทำหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์ ยาพิษโลหะสำหรับโรงกษาปณ์ เภสัชวัตถุ เงินปลอม ฝิ่น แร่และธาตุ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นนักเคมี ขณะนั้นมีอยู่เพียง 7 คน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดร.ตั้วได้เลื่อนขั้นเป็น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯ คนแรก ท่านได้ขยายงานออกไป รวมทั้งบุคลากรและสถานที่และด้านการทำงานท่านได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับพืชสวนทางการเกษตร เช่น ด้านพืชสวนทางการเกษตร วิจัยน้ำมันสน น้ำมันหมู สำรวจดิน ส่งเสริมกิจการถั่วเหลือง กำหนดมาตรฐานอาหารและยังได้กิ่ตั้งกองเภสัชกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมในปี พ.ศ.2482 ซึ่งก็คือ องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน     ดร.ตั้ว ลพานุกรม เป็นบุคคลที่มีผลงานดีเยี่ยม เป็นรัฐบุรุษผู้บุกเบิกพัฒนาสร้างสรรค์และส่งเสริมบำรุงวิทยาศาสตร์ของชาติให้รุ่งเรือง ชาติจะเจริญต้องมีวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการจัดการอุตสาหกรรม ท่านได้วางรากฐานการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เป็นคนแรกของไทยจึงสมควรได้รับการยกย่องให้เป็น รัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะตลอด 43 ปีของการทำงาน ท่านเป็นผู้มีความรู้หลายด้าน เช่น ภาษา การเมือง การปกครอง ฯลฯ จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 รศ.ดร.สกล พันธุ์ยิ้ม " ผู้บุกเบิกการวิจัยด้านพันธุวิศวกรรม "     นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น สาขา ชีวเคมี ประจำปี 2528 เกิด 3 มีนาคม 2486 อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายเจริญและนางสะอาด พันธุ์ยิ้ม จบการศึกษาระดับประถมโรงเรียนในจังหวัดอ่างทอง มัธยมปลายที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมและเตรียมแพทย์ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาฯ ได้รับปริญญาตรี สาขาชีวเคมี ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ เบอร์คเลย์และปริญญาเอก สาขาชีวเคมี ที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา และได้รับทุนวิจัยจากสวิสเซอร์แลนด์ และ องค์การต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น องค์การอนามัยโลก ทุนวิจัยมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดล ทุนวิจัยจากสภาวิจัยแห่งชาติ ผลงานการวิจัยต่าง ๆ มีการนำมาอ้างอิงในวารสารต่างประเทศกว่า 3500 ครั้งซึ่งส่วนใหญ่ผลงานจะทำในประเทศไทย         อาจารย์เป็นผู้ริเริ่มงานวิจัยซึ่งใช้เทคนิคพันธุวิศวกรรม เพื่อการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านการสาธารณสุข     ผลงานที่สำคัญคือ การศึกษาอนุพันธุศาสตร์ของยุง จนสามารถจำแนกชนิดของยุงก้นปล่อง ซึ่งเป็นพาหะของเชื้อมาลาเรีย อันจะนำไปสู่ความเข้าใจและควบคุมการแพร่ของเชื้อมาลาเรีย นอกจากนี้ยังมีผลงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง คือ การค้นหาสาเหตุที่ระดับอณูของโรคครรภ์ไข่ปลาดุก หรือที่เรียกว่า โรคตั้งครรภ์เทียม ซึ่งมีมากในประเทศไทย จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:47:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ศจ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล " ผู้วางรากฐานการศึกษาชีววิทยา "     เกิด 17 มิถุนายน พ.ศ. 2450 จังหวัดลำปาง เสียชีวิต 7 ธันวาคม พ.ศ. 2530     ท่านได้รับการศึกษาขั้นต้นที่จังหวัดเพชรบุรี จบชั้นประถมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบมัธยมปลายที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เข้าเรียนต่อที่คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ โดยเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์และข้ามไปเรียนต่อคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล สอบชิงทุนสมเด็จพระราชบิดาเจ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ได้ไปศึกษาต่อประเทศอังกฤษที่มหาวิทยาลัยลอนดอนตั้งแต่ปริญญาตรี-เอก และประกาศนียบัตรชั้นสูง หลังจากนั้นได้มีโอกาสไปศึกษาค้นคว้าด้าน Biochemistry ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อีกด้วย     ผลงานดีเด่นของท่าน เป็นผู้วางรากฐานการศึกษาชีววิทยา เป็นผู้แต่งตำราชีววิทยาภาษาไทยทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเป็นเล่มแรกของประเทศไทย เช่น สัตววิทยาภาคปฏิบัติ ชีววิทยา คำอธิบายศัพท์ในสารานุกรมไทย นอกจากนี้ท่านยังเคยเป็นราชบัณฑิตในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นเลขาธิการสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นผู้แทนประเทศไทยประชุม เรื่อง สมาคมวิทยาศาสตร์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้แทนประเทศไทยไปประชุม Pacific Science Congress ครั้งที่ 10 ที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดร.ณัฐ ภมรประวัติ " สร้างชื่อไทยก้องโลกคว้ารางวัลหลุยส์ ปาสเตอร์ "     เกิด 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2471 บุตรหลวงอายุรกิจโกศล และท่านผู้หญิงยุพา อายุรกิจโกศล การศึกษาเป็นศิษย์เก่ามัธยมมงฟอร์ดวิทยาลัย และเตรียมอุดมศึกษา แพทยศาสตร์ บัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ หลังจากนั้นได้ทุนไปศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา จนสำเร็จในปี 2500 กลับมารับราชการที่มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าภาควิชา รองอธิการบดี และตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลในปี 2522 จนเกษียณอายุราชการใน 2534     ด้วยความเป็นนักวิชาการผู้มีความรู้อุทิศตนให้กับวงการแพทย์มาโดยตลอด จนเป็นที่ยอมรับของคนในวงการวิชาการทั้งในและต่างประเทศ ได้รับรางวัลต่างๆมากมาย เช่น ข้าราชการพลเรือนดีเด่น, เหรียญรางวัล Health For All Meadal จากองค์การอนามัยโลก, นักสาธารณสุขดีเด่น, และนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ในปี พ.ศ.2536 จากการศึกษาค้นคว้าเรื่องวิทยาศาสตร์พื้นฐานทางด้านพยาธิวิทยาภูมิคุ้มกันของไข้เลือดออก อันนำไปสู่การพัฒนาเป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันไข้เลือดออก จนได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาสังคม พ.ศ.2527 และผลงานก้องโลกด้วยการได้รับรางวัล “ปาสเตอร์” ของ ยูเนสโก จากการศึกษาพัฒนาค้นพบวัคซีนป้องกันโรคไข้แดง หรือไข้ส่า ซึ่งเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดข้อต่อและกล้ามเนื้อ     องค์การยูเนสโก หรือ ชื่อเต็ม “องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งรางวัลแก่ “หลุยส์ ปาสเตอร์” นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสำเร็จเป็นคนแรก ในโอกาสตรบรอบ 100 ปี แห่งการจากไปของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:52:43 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ศจ.ดร.วิรุฬห์ สายคณิต " ผู้บุกเบิกความรู้ใหม่ทางฟิสิกส์ทฤษฎี "      เกิด 12 สิงหาคม พ.ศ.2483 กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายหลง นายเฮียง สายคณิต การศึกษาปริญญาตรี สาขาฟิสิกส์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ทฤษฎีจาก Instite of Theoretical Physics ประเทศสวีเดน หลังจบการศึกษาได้รับไปทำวิจัยหลายที่ เช่น ที่อิลาลี อังกฤษ แคนาดา สวีเดน และสหรัฐอเมริกา กลับมารับราชการสอนหนังสือคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนายกสมาคมฟิสิกส์ไทย ได้รับรางวัลวิจัยดีเด่นมากมาย เช่น จากสภาวิจัยแห่งชาติ ในปี 2529 รางวัลนักวิทยาศาตร์ดีเด่น ปี 2525     ผลงานการวิจัย จะเน้นเรื่อง สารกึ่งตัวนำ เช่น “การประยุกต์ทฤษฎีอินทิเกรตตามทางของฟายน์กับปัญหาของสารกึ่งตัวนำ” ซึ่งอาจารย์คณะ จะทุ่มเทให้กับการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับกลศาสตร์ ควอนตัมแนวใหม่ ของฟายน์แบน ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีแนวใหม่โดยท่านได้ศึกาาเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี ซึ่งช่วยในการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ไทยได้ดี โดยเฉพาะวงการอีเล็กทรอนิกส์ให้ก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ซึ่งสารกึ่งตัวนำใช้ในการผลิตแสงเลเซอร์ เซลแสงอาทิตย์ อุปกรณ์อีเล็กทอรนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ อีกมาก และเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ศจ.ดร.วิสุทธิ์ ใบไม้ " ผู้ริเริ่มการวิจัยด้านพันธุกรรม "       เกิด 1 เมษายน พ.ศ.2485 จังหวัดสุโขทัย เป็นบุตรของนายเกี๊ยด นางแขก ใบไม้ การศึกษาขึ้นต้นจากจังหวัดสุโขทัย จบ ม.8 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เข้าศึกษาต่อคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และปริญญาตรีเอกจากประเทศออสเตรเลีย กลับมารับราชการสอนที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จนปัจจุบัน ท่านได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับยุงชนิดต่างๆ ทั้งยุงก้นปล่อง ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของเชื้อมาเลเรีย ซึ่งเป็นงานดานพันธุกรรมระดับเซล ซึ่งมีน้อยมากหรือไม่มีผู้ใดกระทำมาก่อน ซึ่งทำการวิจัยมาเกือบ 20 ปี ซึ่งผลงานก็เป็นที่ได้รับการยกย่อง และนำไปใช้อย่างกว้างทั้งภายในและต่างประเทศ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในด้านวิชาการ เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนการแพทย์ สาธารณสุข ในปี พ.ศ.2529 สภาวิจัยแห่งชาติ จึงคัดเลือกให้เป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2529 สาขาเกษตรศาสตร์ และชีววิทยา จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 09:59:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ศจ.ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว " ผู้ผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ "     เกิด 1 มกราคม พ.ศ.2490 เป็นบุตรของนายชิต และนางทองดี ปัญญาแท้ การศึกษาจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่มหาวิทยาลัยโอซากา จนสำเร็จการศึกษาทั้งปริญญาตรี-โท-เอก กลับมารับราชการสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัยสิ่งประดิษฐ์สารกึ่งตัวนำขึ้นเป็นแห่งแรก และทำการศึกษา วิจัยเกี่ยวกับเซลแสงอาทิตย์ได้ทำการผลิตและค้นคว้าการใช้งาน ทั้งยังศึกษาวิจัย สารประกอบกึ่งตัวนำในการประยุกต์ใช้เลเซอร์ในกระบวนการกึ่งตัวนำ ซึ่งในการศึกษาค้นคว้าผลงานเป็นที่ยอมรับและเป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก จนได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ เช่น คณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ ในปี พ.ศ.2529 ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นในหัวข้อ เรื่อง “ เซลล์แสงอาทิตย์” จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 10:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ศจ.นพ.ดร.สำรวย โชติช่วง " ผู้ศึกษาเนื้องอกของสมองเล็กฯ "      นักวิจัยดีเด่น ปี พ.ศ.2528 เกิด 5 ตุลาคม 2477 จังหวัดสมุทรปราการ จบแพทย์ศาสตร์จากจุฬาฯ ไปศึกษาต่อต่างประเทศในสหรัฐอเมริกาด้านพยาธิวิทยา และเป็นคนไทยคนแรก ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแพทย์ดีเด่นในปี พ.ศ.2521 จากสมาคมวิทยาลัยศัลยแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย มีชื่อใน Directory of International Biography ของ International Biographic Center เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ.2521 และได้รับทุนจากหน่วยงานต่าง ๆ และเรียบเรียงตำรา “ประสาทพยาธิวิทยา” เป็นภาษาไทยและตำรา Choroid pluxus เป็นภาษาอังกฤษ     งานวิจัยเด่น ๆ เช่น การวิจัย เรื่องประสาทพยาธิวิทยาในประเทศไทย ในปี 2531 ผลงานวิจัย เรื่อง “เมดัลโลพลาสโตมาของสมองเล็ก ศึกษาเนื้องอก 35 ราย โดยเน้นที่การแตกตัวของเซลล์ของเนื้องอก” ได้รับรางวัลผลงานดีเยี่ยมประจำปีจากสภาวิจัยแห่งชาติ นับว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการศึกษาเรื่อง เนื้องอกที่ศึกษามากที่สุดใช้เทคโนโลยีชั้นสูงได้รับการยอมรับทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างเครื่องมือช่วยผ่าตัดหมันหญิงหลังคลอด (จุฬาสโคป) เครื่องมือนี้จะช่วยให้ผู้ฝึกหัดใหม่หรือผู้มีประสบการณ์น้อยผ่าตัดทำหมันหญิงหลังคลอดได้อย่างรวดเร็ว รบกวนต่ออวัยวะอื่นในช่องท้องน้อยน้อยลงราคาถูกเพียง 200 บาทเท่านั้น จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 10:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ศจ.ดร.เทพ เชียงทอง " ผู้ริเริ่มการวิจัยสมุนไพรไทย "     เกิด 25 สิงหาคม พ.ศ.2473 อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายผ่อน และนางเสงี่ยม เชียงของ จบชั้นมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนสูงสุมารย์ผดุงวิทย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้รับปริญญาวิทยาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท-เอก จากมหาวิทยาลัยเทกซัส สหรัฐอเมริกา กลับมารับราชการสอนหนังสือที่ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดมา อาจารย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มในการวิจัยสมุนไพรไทย และทำการวิจัยตลอดมาจนได้พบสารใหม่ๆ จากสมุนไพรไทยถึง 10 ชนิด และสารอนุพันธุ์ใหม่อีกกว่า 10 ชนิด ซึ่งท่านอาจารย์ได้ทำการศึกษาและสกัดสารเคมีจากสมุนไพรต่างๆ เช่น ต้นประยงค์ ต้นกระชาย ต้นหัวกวาง ต้นรางจืด โดยมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คนไทยเรามียาดีแต่มีราคาถูกไว้ใช้ ซึ่งผลงานของท่านก็เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จนเคยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากสำนักงานวิจัยแห่งชาติ เช่น โครงการวิจัยสารประกอบเคมี ในพืชสมุนไพร และอีกโครงการวิจัยการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของประยงค์ ประยงค์เป็นทั้งไม้ประดับ และพืชสมุนไพร ใช้เป็นยาถอนเสมหะ ถอนพิษเมื่อเมา แก้หอบ และทั้งเป็นยาบำรุงหัวใจ และใช้ลดไข้อีกด้วย จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 10:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สุดท้ายนะค่ะ ศจ.ดร.สง่า สรรพศรี " นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกที่เป็นที่ปรึกษายูเนสโกฯ "     เกิด 9 มกราคม พ.ศ.2475 จังหวัดเชียงใหม่ เสียชีวิต 29 มกราคม พ.ศ.2542 ได้รับปริญญาเอกทางนิเวศวิทยาป่าไม้ จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน การทำงานรับราชการเป็นคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี พ.ศ.2512 ย้ายมาเป็นคณบดีคณะวนศาสตร์ และรองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นเลขาธิการสภาวิจัยแห่งชาติ สำนักงานใหญ่กรุงนิวยอร์ค ผลงานเด่นๆ และเป็นที่ยอมรับคือการที่ท่านได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขององค์การสหประชาชาติ จำนวน 28 คน จากกลุ่มประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้วและยังไม่พัฒนา อยู่ในวาระครบ 3 ปี มีหน้าที่คอยให้คำแนะนำแก่ องค์การและหน่วยงานในเขตภูมิภาค เพื่อให้คำปรึกษาแก่ประเทศต่างๆ ทุกประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศกำลังพัฒนา      และอีกงานหนึ่ง คือ การเป็นกรรมการที่ปรึกษามหาวิทยาลัยสหประชาชาติที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น มีหน้าที่เสนอแนะปัญหาและการวิจัย หัวข้อในการวิจัยในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ยังเป็นนายกสมาคม วิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทย กรรมการสภามหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอาเซียนเป็นประธานกรรมการมนุษย์และไบโอสเฟีย ที่มาอ้างอิง http://61.19.46.190/school/main1/science/thai_scientist.html จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 10:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีสาระดีครับ ทำให้ทราบชื่อนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มีผลงานดีเด่นแต่ไม่ค่อยเป็นข่าวดังเท่าไหร่ จากคุณ : T7Promoter - [ 23 ก.ย. 51 10:22:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เอาออกให้นะค่ะ .. แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 22:37:48 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 11:21:23 จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 10:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่อ ค.ห. 22 ครับ อย่าเอาเขามาอยู่ให้เสื่อมเสียผู้ทรงเกียรติท่านอื่นๆเลยครับ เดี๋ยวคนที่ไม่รู้เรื่องจะเข้าใจผิด ว่าหม้อตุ๋นเป็ดไทยอยู่ในระดับโลก อิอิ จากคุณ : dial-up - [ 23 ก.ย. 51 10:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านประวัติและผลงานของแต่ละท่านแล้วทึ่ง ---  แก้ไข  เอาข้อความเกี่ยวกับ #22 ออก ค่ะ --- . แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 51 15:12:02 จากคุณ : suttimon - [ 23 ก.ย. 51 11:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ชื่นชมมากเลย  ทุกคนร่วมพัฒนาประเทศไทย อยากทราบประวัติ นักวิทยาศาสตร์ไทย   ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันด้วยอ่ะครับ จากคุณ : netkuff72 - [ 23 ก.ย. 51 12:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เสียดายจัง ปลายเดือน give เหลือน้อยมาก จากคุณ : Cryptomnesia - [ 23 ก.ย. 51 12:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จะเป็นไรไหมเนี่ย เช้าๆ อ่านประวัตินักวิทยาศาสตร์ไทย บ่ายๆ จะอ่านประวัติฆาตกรชื่อดังระดับโลก... # 26 คุณ Cryptomnesia เหลือ give น้อย อ่ะ เราให้.. จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 12:25:36 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มา อ่านด้วยความ ชื่นชม จากคุณ : ก้นกบ - [ 23 ก.ย. 51 12:28:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ชื่นชมทุกท่านเลยครับ จากคุณ : sariell - [ 23 ก.ย. 51 13:12:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กระทู้มีสาระดีๆ แบบนี้ต้องโหวตครับ จากคุณ : I'AM - [ 23 ก.ย. 51 13:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แล้ว ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ล่ะ ไม่มีใครเอามาลงหรอ จากคุณ : พอลทินัส (Paultinus) - [ 23 ก.ย. 51 14:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอเสริมด้วยจ้า ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ใคร ๆ ก็เรียกเธอว่า ซิมบาจิเค ซึ่งเป็นภาษาสวาฮิลีแปลว่า นางสิงห์ ชาวแอฟริ-กันชื่นชอบนิสัยที่อบอุ่นและชื่นชมในความเข้มงวดของเธอ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ประกาศยกย่องให้ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ เภสัชกรหญิงชาวไทย วัย 55 ปี เป็นบุคคลแห่งปีของเอเชียประจำปี 2551 เป็นผลจากความทุ่มเทอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อผลักดันให้ผู้ป่วยยากไร้มีโอกาสใช้ยารักษาโรคเอดส์และมาลาเรีย แม้ว่าบริษัทยาข้ามชาติเริ่มผลิตยาต้านเอดส์ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แต่ยามีราคาแพงมาก รัฐบาลไทยจึงไม่สามารถหาจัดหายาให้แก่ผู้ป่วยยากจนได้ มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อยานี้มารักษาตัว จนกระทั่งปี 2545 โครงการสำคัญของดร.กฤษณา ผลักดันให้ไทยมีการผลิตยาต้านเอดส์ราคาถูก ทำให้อัตราเสียชีวิตลดลง ปัจจุบันไทยเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่มีโครงการรักษาโรคเอดส์ระดับชุมชนดีที่สุดในโลก ผู้ป่วยยากจนส่วนใหญ่สามารถรับยาฟรี วิสัยทัศน์และความทุ่มเทของ ดร.กฤษณาไม่ได้อำนวยประโยชน์เฉพาะชาวไทยเท่านั้น ยาของเธอยังนำไปใช้รักษาผู้ป่วยยากจนในประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม นอกจากนี้ เธอยังทุ่มเทเวลาถึง 5 ปีที่ผ่านมาช่วยเหลือชาวแอฟริกันกวาดล้างโรคเอดส์และโรคมาลาเรีย ดร.กฤษณา ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเภสัชกรตั้งแต่แรก แต่รักศิลปะและใฝ่ฝันจะเป็นวาทยกร ในวัยเด็กเธอได้รับอิทธิพลจากยายซึ่งเป็นแม่ชี “ยายชอบนั่งหน้าบ้าน และเหมาซื้อผักที่แม่ค้าหาบมาขาย เขาจะได้ไม่ต้องเดินไกลไปถึงตลาด” เธอเล่า “ยายบอกเสมอว่า จงทำดีทุกครั้งที่มีโอกาส” หลังจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบาธ ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2524 ดร.กฤษณาเข้ารับตำแหน่งอาจารย์หัวหน้าภาควิชาเภสัชเคมี ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นเวลาสองปี จากนั้นลาออกไปทำงานที่องค์การเภสัชกรรม ปี 2532 เธอได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา ด้วยอายุเพียง 37 ปี ดร. กฤษณาเป็นหัวหน้าที่ขยันและเอาจริงเอาจัง เธอเร่งพัฒนายาราคาถูกสำหรับรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่ความดันโลหิตสูงไปถึงเบาหวาน ยาสามัญที่เธอผลิตมีราคาถูก เพราะเป็นยาที่ผลิตเลียนแบบยาต้นตำรับจากต่างประเทศ ซึ่งสิทธิบัตรหมดอายุการคุ้มครองไปแล้ว ความยากของขั้นตอนผลิตจึงอยู่ที่การวิจัยและทดสอบเพื่อค้นหาส่วนประกอบยาที่ถูกต้อง ปี 2535 โรคเอดส์แพร่กระจายในไทยอย่างรวดเร็ว ดร.กฤษณา ตัดสินใจผลิตยาสามัญของยาต้านเอดส์ (antiretrovirals-ARVs) โดยยาที่สนใจเป็นพิเศษคือ ซิโดวูดีน (Zidovudine-AZT) เนื่องจากมีสรรพคุณลดการถ่ายทอดเชื้อไวรัสจากสตรีสู่ทารกในครรภ์ ดร. กฤษณาพบอุปสรรคทันที ซิโดวูดีนเป็นยาที่คิดค้นขึ้นเพื่อรักษาโรคมะเร็ง จึงมีความเป็นพิษสูง เหล่าเพื่อนร่วมงานไม่อยากทำงานนี้ “เพราะคิดว่าดิฉันกำลังจะวางยาพิษพวกเขา” เธอย้อนความหลัง ดร.กฤษณา มั่นใจว่าหากใช้ความระมัดระวัง การดำเนินการกับสารเคมีตั้งต้นของยาซิโดวูดีนคงไม่ใช่เรื่องอันตราย เธอทำงานเพียงลำพังแต่เช้า ตั้งแต่ 5.30 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด โดยสวมหน้ากาก ถุงมือ และแว่นตาป้องกันสารเคมี ภายในหกเดือนเธอพัฒนาสูตรยาสำเร็จและเริ่มลงมือทดสอบยา เพื่อนร่วมงานเห็นว่าเธอยังมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม จึงหันมาช่วยงาน ปี 2538 ดร.กฤษณา ผลิตยาสามัญของซิโดวูดีนชนิดแคปซูลสำเร็จเป็นครั้งแรก ด้วยต้นทุนเพียงหนึ่งในห้าของยาต้นตำรับ นับเป็นประเทศแรกในโลกกำลังพัฒนาที่ผลิตยาสามัญของยาต้านเอดส์สำเร็จ ยาสูตรผสมชนิดใหม่นี้กินเพียงวันละสองครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องกินวันละหกเม็ดเหมือนเดิมและราคาถูกกว่าถึง 18 เท่า ดังนั้นสามในสี่ของผู้ป่วยโรคเอดส์จำนวนกว่า 100,000 คนในไทยจึงหันมาใช้ยาสูตรผสมของดร.กฤษณา ปลายปี 2545 ดร. กฤษณา ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของโรงงานในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกว่า คนงานจำนวนมากที่นั่นกำลังจะเสียชีวิตจากโรคเอดส์ พวกเขาจึงต้องการให้เธอช่วยผลิตยาจีพีโอเวียร์ ดร.กฤษณาอยากช่วยเหลือประเทศแถบแอฟริกาในการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตอบตกลงทันที นอกจากนี้ เธอยังช่วยประเทศแทนซาเนีย ผลิตยาสามัญของยาต้านเอดส์ ตลอดจนอบรมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก ให้ผลิตยาอาร์เตซูเนทชนิดเหน็บทวาร ซึ่งเธอพัฒนาขึ้นเพื่อรักษาโรคมาลาเรียรุนแรงในเด็ก ดร.กฤษณา ลาออกจากองค์การเภสัชกรรมเมื่อปี 2545 และทำงานเป็นเภสัชกรที่ปรึกษาอิสระ เธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะ ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมระดับห้าดาวที่ภูเก็ต เธอจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องเงินเดือน บางครั้งถึงกับออกเงินส่วนตัวให้แก่การทำงานด้วยซ้ำ เรื่องราวชีวิตและความสำเร็จของดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารรีดเดอร์ส ไดเจสท์ สรรสาระ ฉบับเดือนมกราคม 2551 พร้อมกับรีดเดอร์ส ไดเจสท์ฉบับภาษาอื่นๆ ทั่วเอเชียเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวเอเชียนับล้านคน ที่มา www.naewna.com/ news.asp?ID=90504 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 15:09:05 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 23 ก.ย. 51 15:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ชามะนาว~ (เลมอน~ไอซ์) - [ 23 ก.ย. 51 17:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 23 ก.ย. 51 18:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เกิด 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483  เป็นวิศวกรชาวไทย ผู้ร่วมออกแบบประดิษฐ์ชิ้นส่วนขาและระบบลงจอดของยานอวกาศให้กับบริษัท Martin Marietta บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งองค์การนาซาของสหรัฐอเมริกาว่าจ้างให้ออกแบบ เพื่อนำไปใช้ในยานอวกาศไวกิ้งส่งไปลงบนดาวอังคาร ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา มีชื่อเล่นว่า "เอ๊ะ" เกิดที่วชิรพยาบาล เป็นบุตรของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย กับเฉลิมขวัญ ชุมสาย ณ อยุธยา (ธิดา พระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคาย) [1] มีพี่ชาย คือ สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา น้องสาว คือ สุชาดา (ชุมสาย ณ อยุธยา) สถิตพิทยายุทธ์ (ถึงแก่กรรม) และ ปาริชาติ ชุมสาย ณ อยุธยา [1] เมื่อแรกเกิด ดร.อาจอง มีชื่อว่า องอาจ เป็นนามพระราชทานจาก สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) [1] เมื่อโตขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น อาจอง ศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จนจบชั้น ป.4 แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ 6 เดือน แล้วย้ายตามบิดาไปอยู่ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ศึกษาที่ Lycée Janson de Sailly จนอายุ 12 ปี ย้ายไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ที่ Enfield Grammar School และ Haileybury and Imperial Service College ดร.อาจอง ศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ที่ Trinity College มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระหว่างศึกษาที่นี่ เริ่มมีความสนใจในพระพุทธศาสนา และเริ่มฝึกหัดการนั่งสมาธิ ดร.อาจองจบปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้า โดยมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับคลื่นไมโครเวฟ และศึกษาต่อปริญญาเอกจนจบในปี พ.ศ. 2509 แล้วจึงเดินทางกลับประเทศไทย เป็นอาจารย์สอนที่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึง พ.ศ. 2516 จึงลาออกมาทำธุรกิจ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา สมรสกับวรลักษณ์ ชุมสาย ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 3 คน ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87_%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2_%E0%B8%93_%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 51 18:38:12 จากคุณ : primjang - [ 23 ก.ย. 51 18:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณทุกข้อมูลครับ จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 23 ก.ย. 51 18:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าเอา คห.22 ออก จะดีมาก จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 23 ก.ย. 51 21:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขนาดกระทู้ดีๆแบบนี้ก็ยังมีชวนออกทะเลแฮะ แต่ขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาให้ครับ จากคุณ : katasaro - [ 23 ก.ย. 51 21:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แจ่ม...พลาดไปได้ไงเนี่ย จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 24 ก.ย. 51 21:48:41 ]