ความคิดเห็นที่ 1 ขอบจักรวาลขยายตัวด้วยความเร็วมากกว่าแสง แสงมันจะตามไปสะท้อนทันได้ไง ไม่ได้สะท้อน มันก็มองไม่เห็นอยู่แล้วล่ะ จากคุณ : StVaIkyrie - [ 11 พ.ย. 51 10:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่า..............อยากกอ่านต่อ จากคุณ : . (Antornz) - [ 11 พ.ย. 51 10:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะว่า....ไม่มีอะไรมาดูดซับแสงนั้นๆ ไว้หรือเปล่า ครับ จากคุณ : X~JunioR - [ 11 พ.ย. 51 10:43:04 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด จากคุณ : อะธีลาส - [ 11 พ.ย. 51 10:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เดาด้วยว่า... ข้อ 1. เพราะจักรวาลกว้างไม่มีที่สิ้นสุด แสงสว่างจากดาวจำนวนอนันต์จึงเห็นจึงเป็นจุดเล็ก ๆ เพียงจุดเดียว ข้อ 2. ไม่รู้ว่าใคร แต่เดาว่าคงอ้วน เพราะคาดไม่ถึง จากคุณ : Lanoz - [ 11 พ.ย. 51 10:55:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ คห 5 คำตอบข้อ 2 จากคุณ : เกียรตินำ - [ 11 พ.ย. 51 11:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วคำตอบคืออะไร อยากรู้ๆ จากคุณ : (-_-") - [ 11 พ.ย. 51 11:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องนี้น่าจะมีกล่าวถึงในหนังสือของ Hawking , A Brief history of time เหมือนกัน สาเหตุที่ตอบกันไม่ได้ เพราะสมัยนั้นเชื่อว่าเอกภพมีสภาพคงตัว (เรียกถูกหรืิอเปล่า?) คือมีอยู่อย่างนั้นมานานนับอนันต์ คำตอบของคำถามจึงกลายเป็นว่า เอกภพไม่ได้อยู่อย่างนั้นอย่างที่เชื่อ แต่มันเพิ่งจะเกิดขึ้น เมื่อเวลาไม่นาน (เทียบกับอนันต์) แสงของดวงดาวต่างๆที่อยู่ไกลๆ จึงยังมาไม่ถึง จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นผู้ตอบ และคำตอบทำให้้เกิดทฤษฎี Big Bang หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ จากคุณ : Chirayut - [ 11 พ.ย. 51 11:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 9 #1 เวลาเรามอง "แหล่งกำเนิดแสง" นี่ต้องรอให้มันสะท้อนกับอะไรครับ? เวลาเรามองเห็นดวงอาทิตย์ มองเห็นเปลวเทียน แสงมันไปสะท้อนกับอะไร? ลองคิดใหม่นะ ------- Olber's Paradox อธิบายอีกอย่างก็เหมือนกับเวลาเราอยู่กลางป่า มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้เสมอ ไม่มีทิศไหนเลยที่จะไม่เห็นต้นไม้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด มองไปทางไหน ก็น่าจะเห็นดาว ต่อให้ใกล้หรือไกลยังไงแสงดาวก็ควรจะเดินทางมาถึงจนได้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นมืด มีดาวให้เห็นเป็นจุดๆบนฟ้าสีดำ จากคุณ : ikkyu - [ 11 พ.ย. 51 12:13:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ จักรวาลไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสงนิครับ จากคุณ : ninji - [ 11 พ.ย. 51 12:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แสงที่เปล่งออกมา อาจไม่อยู่ในช่วงที่ตามองเห็นเสมอไป ลองเอาภาพที่ถ่ายรังสีต่างๆ มารวมๆกัน ก็น่าจะได้สิ่งที่เป็นคำตอบ จากคุณ : ksk - [ 11 พ.ย. 51 12:27:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่รู้คำตอบ ไม่รู้เหตุผล เข้ามาเดาคนตอบถูกคนแรก ว่าเป็นชาวประมงแล้วกัน จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day - [ 11 พ.ย. 51 12:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 รอฟังเฉลย จากคุณ : Rumbles - [ 11 พ.ย. 51 13:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพราะมีสสารมืด บังแสงอยู่ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 11 พ.ย. 51 13:37:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คงเพราะสัดส่วน ของพื้นที่ของดวงดาว เมื่อเทียบกับพื้นที่ของช่องว่างระหว่างดวงดาว มันต่างกัน คือ ดาวมีพื้นที่น้อยกว่าช่องว่างเสมอ ครับ เช่น ใน100 ส่วน มีดาว หนึ่งส่วน เสมอ เมื่อเรามองลึกลงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอแสงจากดาวแต่ขนาดเล็กลงไป และจะเจอพื้นที่ส่วนช่องว่าง ในปริมาณ 99 ต่อ 1 อีกเช่นเดิมไปเรื่อยๆ จากคุณ : รวมพล คนธรรมดา - [ 11 พ.ย. 51 14:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 16 #10 "แหล่งกำเนิดแสง" ในที่นี้ก็คือดาวต่างๆ ในจักรวาลเอง ไงครับ ถ้าจะพูดถึงคุณสมบัติทาง optic ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นี้ ก็จะเป็นคุณสมบัติของวัตถุต่างๆ ในจักรวาล เช่นดาว ฝุ่นละออง ก๊าซ และยังมีการเคลื่อนที่ การขยายตัวของจักรวาล ที่เป็นผลให้ "จักรวาลที่เรามองเห็น" มีขนาดจำกัด แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 51 14:27:39 จากคุณ : ikkyu - [ 11 พ.ย. 51 14:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมตอบตาม #15 แสงดาวมันน้อยไป ผมว่ายิ่งกว่า 1:100 เยอะมาก ๆ ๆ เลยล่ะ จากคุณ : [Zero] - [ 11 พ.ย. 51 14:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ส่วนใหญ่ในจักรวาลเป็นที่ว่างครับ เหมือนกับในอะตอม ว่างขนาดที่ว่า ถึงกาแล็คซี่ 2 กาแล็กซี่มาชนกัน (อันนี้มองจากสเกลใหญ่) ดาวที่อยู่ในนั้นก็แทบไม่มีดวงไหนที่ชนกันเลย กาแล็กซี่ทั้งสองก็จะเปลี่ยนวงโคจร รวมกันจนเป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด แต่ดวงดาวภายในก็ยังโคจรไปเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไป อาจจะมีเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นมามากหน่อย จากคุณ : หมั่นไส้ - [ 11 พ.ย. 51 14:48:42 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แสง ณ ขอบจักรวาล ส่งมาไม่ถึงดวงตาเรา... สมมติกาแลคซี่ A อยู่ห่างจาก B อยู่ X ปีแสง แต่แสงจาก กาแลคซี่ B มีระยะที่มองเห็นได้แค่ X - 1,000 ปีแสง แน่นอนหละว่า กาแลคซี่ A จะไม่เห็นแสงจาก B แน่นอน... หากนึกไม่ออกลองนึกว่า กาแลคซี่ A เป็น ยอดตึกใบหยก มองเห็นไปรอบทิศได้โดยไม่มีสิ่งใดมาบัง กาแลคซี่ B เป็น ยอดดอยสุเทพ สมมติให้ว่าไม่มีอะไรมาบังสายตาถ้ามองจาก A ถ้ามองจาก A ไป B แล้ว ไม่มีอะไรมาคั่นกลาง สภาพอากาศโล่งโปร่ง 100% แน่นอนว่า ในเวลากลางคืน จะมองเป็นดำมืดสนิท ทั้งๆที่ยอดดอยสุเทพมีแสงอยู่ !! ฉนั้น ก็พอสรุปได้ว่า "จักวาลเป็นสีดำเพราะ แสงส่องมาไม่ถึงสายตาเรา" ... จากคุณ : Cocopok - [ 11 พ.ย. 51 15:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รอฟังคำตอบอยู่ - -; จากคุณ : Holic (โฮลิก) - [ 11 พ.ย. 51 15:16:42 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จักรวาลมีการขยายตัว กาแลคซี่ต่างๆวิ่งออกห่างจากทางช้างเผือกของเราเกือบทั้งหมด แหล่งกำเนิดแสงที่วิ่งออกห่าง จะเกิด Red Shift ทำให้มองไม่เห็นครับ จากคุณ : เถ้าลอย - [ 11 พ.ย. 51 15:57:11 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ยังไม่ว่างนะครับ แวะมาให้ give คห.ที่ถูกที่สุด และคห.ที่ตีความคำถามให้กระจ่างขึ้นได้มากที่สุด เจอกันอีกทีหัวค่ำนะ ^^ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 11 พ.ย. 51 16:05:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เพิ่มเติมนิดนึง หลายความเห็นยังตีความ "จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด ดวงดาวมีมากมายไม่มีสิ้นสุด" ได้ไม่กระจ่างนะ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 11 พ.ย. 51 16:08:28 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คำถามนี้ดูเหมือนยาก แต่ไม่ยากครับ พวกเราคิดว่า ดาวในจักรวาลมากมายเต็มไปหมดนี้ควรจะทำให้จักรวาลสว่างมาก เหมือนกับห้องมืดๆที่เต็มไปด้วยหลอดไฟ แต่อันที่จริงแล้ว แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรง แม้ว่าในอวกาศจะมีคลื่นแสงมากมาย แต่ถ้าหากคลื่นแสงนั้นไม่ตกกระทบบนตาเรา ก็จะไม่สามารถมองเห็นคลื่นแสงนั้นได้ครับ ถ้าอธิบายให้ยากขึ้น แนวคิดของ Olber ก็คือ ถ้าหากว่า ดาวในอวกาศกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ แสงต้องมากระทบตาเราทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะลากไปทางไหนจากโลก เพราะสมัยนั้นเชื่อว่าจักรวาลเป็นอนันต์ หลายท่านอาจแย้งว่า ความเข้มแสงต้องลดลงตามระยะทางยกกำลังสองสิ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นกำลังสองเหมือนกันคือ จำนวนดาวครับ ทำให้ระยะทางไม่มีผลต่อความเข้มแสงเฉลี่ยครับ ในยุคสมัยนั้น คำถามนี้เป็นที่ขบคิดของนักดาราศาสตร์มากมาย เพราะไม่มีคำตอบที่จะอธิบายได้ นักดาราศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้เมื่อทราบว่าแสงมีความเร็วและต้องใช้เวลาในการเดินทางครับ จากการคำนวนพบว่า ถ้าต้องการให้เป็นไปตามคำถามของ Olber นั้น ต้องมีดาวกระจายตัวกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ(ตามทฤษฎีเท่ากันในทุกทิศทาง) ในระยะทาง 10ยกกำลัง24 ปีแสง แต่ปัจจุบัน เราทราบว่า จักรวาลมีอายุเพียง 10ยกกำลัง11 ปี เท่านั้น เป็นการตอบคำถามของ Olber ว่าทำไมอวกาศถึงเป็นสีดำ นั่นคือ ที่ 10ยกกำลัง24ปี ที่แล้วนั้น ดาวต่างๆยังไม่เกิด หรือ จักรวาลย่อมไม่เป็นอนันต์ แต่มีขอบเขต และมีจุดเริ่มต้น  นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีบิ๊กแบงครับ ส่วนคนที่ตอบคำถามนี้ได้คนแรก ผมจำไม่ได้จริงๆต้องขอขี้โกงเข้าไปถามอากู๋ ได้คำตอบมาว่าคือ Edgar Allan Poe นักเขียนชาวอเมริกันครับ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 51 16:37:51 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 51 16:37:50 จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 11 พ.ย. 51 16:25:50 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ปล. #12 ผมไม่ใช่ชาวประมงนะ *----* ปล.2 คลาดกับคุณ จขกท. ไปนิดนึงแหะ -.- แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 51 16:31:12 จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 11 พ.ย. 51 16:28:20 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แล้วคนที่ตอบเค้าเป็นคนที่คาดไม่ถึงตรงไหนอ่ะ จากคุณ : Lanoz - [ 11 พ.ย. 51 16:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ว้าว  ความรู้ใหม่อ่ะ จากคุณ : zolek - [ 11 พ.ย. 51 16:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ความคิดเห็นที่ 27 แล้วคนที่ตอบเค้าเป็นคนที่คาดไม่ถึงตรงไหนอ่ะ ---------------------------------------------------------- เอ็ดการ์ด อลัน โป เป็นนักเขียนมีชื่อครับ เป็นบิดาแห่งนิยายสืบสวนสอบสวน แต่ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ พอตอบคำถามนี้ได้ทั้งๆที่นักวิทยาศาตร์ตอบไม่ได้ เลยเป็นที่คาดไม่ถึงไงครับ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 11 พ.ย. 51 17:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยัง งงๆๆๆๆๆ  ตกลง คห.ไหนเป็นคำตอบครับ   ยิ่งอ่านยิ่ง งง จากคุณ : apadechi - [ 11 พ.ย. 51 17:39:30 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจครับ สรุปคือ ที่เรามองเห็นพื้นจักรวาลเป็นสีดำก็เพราะ: 1. เราไม่ได้มองไปที่ดาวดวงนั้น 2. แสงในทิศทางที่จะมาเข้าตาเรายังเดินทางมายังไม่ถึง ถูกต้องรึเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ช่วยอธิบายเป็นภาษาบ้าน ๆ หน่อยครับ ฟิสิกส์ห่วย+ความรู้ดาราศาสตร์เป็น 0.03 ครับ ไม่ใช่เพราะดาวมันมีน้อยกว่าพื้นที่ว่าง มาก ๆ ๆ ๆ ๆ เหรอครับ เหมือนเราเอาดินสอเขียนจุดดำเล็กมาก ๆ ขึ้นมาซักจุดในกระดาษขาว ถ้าเราไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไ่ม่เห็นจุดดำ แต่ถ้าเอากล้องส่องเข้าไปลึก ๆ ก็จะเห็นอิเลกตรอนของอะตอมคาร์บอนอยู่กันเป็นกลุ่มหมอกและเคลื่อนที่ไปอย่างไม่เป็นระเบียบ อิเลกตรอนก็เหมือนดวงดาว ส่วนภาพที่เราเห็นก็เปรียบเป็นจักรวาล (คือเรามองไม่เห็นอิเลกตรอนซักตัว = เห็นแต่ฉากหลัง = มองไม่เห็นดาว) มันไม่ใช่แบบนี้เหรอครับ อยากเป็นคนที่คาดไม่ถึงครับ แต่ไม่อยากอ้วน จากคุณ : Lanoz - [ 11 พ.ย. 51 17:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คุณต้องตีความ "อนันต์" ให้ได้ก่อน สมมติมีป่าที่มีพื้นที่กว้างเป็นอนันต์ ต้นไม้มีจำนวนเป็นอนันต์ แต่ละต้นอยู่ห่างกัน 10 กิโลเมตร คุณยืนอยู่ใจกลางป่า ถามว่าคุณเห็นช่องว่างระหว่างต้นไม้หรือไม่? คำตอบคือไม่นะครับ น้องวินเก่งมากๆครับ (แม้จะแอบใช้ตัวช่วย ^^) ตอบได้ทั้งสองคำถาม ต้องขอบคุณคำถามของ Olber ที่ทำให้เรารู้ว่าจักรวาลไม่ได้ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ด้วยคำตอบอันแสนเรียบง่าย 1.ตามที่คุณ Chirayut กล่าวครับ ในอดีตเคยมีความเชื่อว่าจักรวาลดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ เป็นอนันต์ และเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั่วทั้งจักรวาล แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ จักรวาลของเราเพิ่งจะเกิดได้ไม่นานเอง (สเกลจักรวาลนะ) ถ้าจักรวาลดำรงอยู่มาเป็นนิรันดร์แล้ว แสงสะท้อนจากดวงดาวทุกดวงต้องส่องมากระทบถึงโลกเราแล้ว คำอธิบายอย่างละเอียดตามน้องวินครับ 2.คาดไม่ถึงตรงที่ Edgar Alan Poe เป็นนักเขียนนิยายแนวสยองขวัญ หาใช่นักดาราศาสตร์ไม่ (แม้ว่าเขาจะมีความสนใจในดาราศาสตร์ด้วยก็ตาม) กลับตอบคำถามที่นักดาราศาสตร์หลายๆคนตอบไม่ได้ ลุงโปเหนือชั้นมากๆครับ ลุงโปได้ตอบไว้ใน Eureka: A Prose Poem ดังนี้ Were the succession of stars endless, then the background of the sky would present us an uniform luminosity, like that displayed by the Galaxy - since there could be absolutely no point, in all that background, at which would not exist a star. The only mode, therefore, in which, under such a state of affairs, we could comprehend the voids which our telescopes find in innumerable directions, would be by supposing the distance of the invisible background so immense that no ray from it has yet been able to reach us at all. แหม ว่าแล้วก็อยากเห็นท้องฟ้าสุกสกาวด้วยดาราตามที่ลุงโปว่าจริงๆ แต่เกิดใหม่อีกสักสิบชาติก็คงไม่ทันเห็น ^^ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 11 พ.ย. 51 18:38:52 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แนะนำหนังสืออีกที Parallel worlds, by Michio Kaku เขียนดีมากๆครับ อ่านง่าย อ่านจบไปบทเดียวรู้สึกติดใจวางไม่ลงทีเดียว ไว้อ่านจบเมื่อไรอาจจะมา review ให้ฟังครับ ^^ (แต่คงอีกนาน เป็นคนอ่านภาษาอังกฤษช้าครับ - -") จากคุณ : Cryptomnesia - [ 11 พ.ย. 51 18:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คนเขียนครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 11 พ.ย. 51 18:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อืม เข้าใจละค่ะ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 51 19:08:59 จากคุณ : หลานแว่นจอมซน (mint_la) - [ 11 พ.ย. 51 19:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อ๊า ไม่เข้าใจ ๆ ๆ สรุปว่าที่มันไม่สว่างไปหมด เพราะ จักรวาลไม่ได้มีขนาดเป็นอนันต์ และดวงดาวก็ไม่ได้มีจำนวนเป็นอนันต์ แถมยังอยู่มานานไม่พอ ใช่มั๊ยครับ จากคุณ : [Zero] - [ 11 พ.ย. 51 19:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เท่าที่อ่านมาผมเข้าใจว่า ที่เราเห็นพื้นจักรวาลเป็นสีดำเพราะแสงที่มาจากดาวต่างๆทั่วทั้งจักรวาล มันยังเดินทางมาไม่ถึงดวงตาของเรา ดังนั้นถ้ารอไปเรื่อยๆ(นานมากๆู^มากๆ)เราก็สามารถเห็นสีพื้นของจักรวาลสว่างขึ้นได้ จากคุณ : satitpor - [ 11 พ.ย. 51 19:47:40 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จักรวาลขยายตัวไปเรื่อยๆไง จากคุณ : StreamRider - [ 11 พ.ย. 51 19:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมว่า แค่ดวงดาว ไม่ได้มีปริมาณเป็นอนันต์ แต่มีปริมาณน้อยมากเมื่อเที่ยบกับ space ก็สามารถอธิบายได้รึเปล่า (แต่ดวงดาวต้องกระจุกตัวกันอยู่ แล้วเราก้บังเิอิญอยู่ตรงกลางกระจุกดาวพอดี  (อวกาศไม่สมมาตร)) จากคุณ : xxx (TaizoXXX) - [ 11 พ.ย. 51 20:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จักรวาลไม่ใช้ ครีมกันแดด หึหึหึ (สิ้นคิดสุดๆ) จากคุณ : DJ-kornkyoko - [ 11 พ.ย. 51 21:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 11 พ.ย. 51 21:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 42 สงสัยว่า แล้วคำนวณอายุของจักรวาลได้ยังไง? ทำไมรู้ว่ามีอายุเท่านี้ปี? จากคุณ : Holic (โฮลิก) - [ 11 พ.ย. 51 21:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้าใครยังข้องใจ หรือสงสัย ก็ขอให้โพสท์ถามอีกทีก็แล้วกันครับ เมื่อืนไปนอนบ้านเพื่อนมาเลยไม่ได้เข้ามาตอบ ไม่อยากตอบแบบคนที่สงสัยไม่เข้ามาอ่านครับ ตอนนี้ขอตัวไปนอนก่อน ยังไม่ได้นอนเลย =___="a ดู คาสิโนรอยัล ทั้งคืนเรย ปล. นอกจากคุณ ZERO ยท่านอื่นๆยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่นะครับ คุณ Zero เองก็เกือบเข้าใจถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่ถูกต้องซะทีเดียวครับ จากคุณ : nOnG_WinZ - [ วันลอยกระทง 13:25:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 แปลความจากที่คุณ nOnG_WinZ อธิบาย แปลว่าต้องใช้เวลาอีก 10^24 - 10^11 ปีใช่มั้ยครับกว่าแสงของดาวที่อยู่ไกลที่สุดจะเดินทางถึงกันได้หมด...ซึ่งน่าจะทำให้จักรวาลสว่างไปทั่ว แต่ยังสงสัยอีกนิดหน่อย... คือ ดาวต่างๆมีอายุขัย....และอายุขัยมันสั้นกว่า 10^24 - 10^11 ปีอยู่มาก จนน่าจะเชื่อได้ว่ากว่าจะถึงช่วงเวลา 10^24-10^11 ปีนับจากนี้ ดาวส่วนใหญ่ที่เราเห็นตอนนี้ (รวมถึงดาวอีกหลายๆดวงที่จะเห็นในช่วง 10^24-10^11 ปีจากนี้) น่าจะดับหมดและแสงที่เดินทางมาถึงเราน่าจะสิ้นสุดไปแล้ว จริงอยู่ว่าจะต้องมีดวงดาวที่เกิดใหม่ไปด้วย....แต่ด้วยอัตราเดียวกับดาวที่ตายไปรึเปล่่า......ตรงนี้ผมยัง งงๆ นึกไม่ออกจริงๆ ถ้าเป็นตามที่ผมคิด.......ต่อให้อีก 10^24 - 10^11 ข้างหน้า ตามที่คำนวณไว้ จักรวาล ก็ยังไม่สว่างทั่วอยู่ดีใช่มั้ยครับ? อยากถามว่า ที่ผมคิดถูกต้องรึเปล่า? อีกคำถามคือ ถ้าที่ผมคิดมีส่วนถูก......แล้วได้มีการพูดถึงมั้ย ว่าอีกกี่ปีจักรวาลจึงจะสว่างไปทั่ว?....หรือแท้ที่จริงแล้ว จะไม่มีวันเกิดอะไรแบบนั้น จากคุณ : CLK BRABUS - [ วันลอยกระทง 13:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 45 จุดตรงนี้มันอยู่ที่พิจารณาเรื่อง ความเข้มแสงแปรผกผันลดลงตามระยะทางกำลังสอง กับดวงดาวที่เพิ่มมากขึ้นตามระยะทางกำลังสอง ที่จะทำให้อวกาศสว่างได้ครับ นั่นคือ ถึงจะมีดาวตายไป มันก็ยังเกิดขึ้นมาอยู่ดี ถ้าเรายึดตามทฤษฎีอวกาศสมมาตร (มีการกระจายตัวเท่ากันในทุกทิศทาง) ก็หมายความว่า วันใดวันหนึง ในอนาคตข้างหน้านี้ วกาศจะสว่างโร่เลยครับ แต่ผมเชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเพราะ ปัจจุบันเราทราบเแล้วว่าอวกาศขยายตัวด้วยความเร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลข 10^24 น่าจะต้องมากขึ้นตามไปด้วยครับ จากคุณ : nOnG_WinZ - [ วันลอยกระทง 14:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 46 บางทีสิ่งที่เราคิดกันมาตลอด อาจไม่ได้ใกล้ความจริงเลยสักนิด. จากคุณ : Red Freeze - [ 17 ธ.ค. 51 09:53:14 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ชอบคุณ Michio Kaku มากมาย ใครเคยดูซีรี่ส์ชุด The Universe ของ History Channel คงเคยเห็นแก แกอธิบายเรื่องนามธรรมอย่าง cosmology ให้เราๆเข้าใจได้เก่งมาก Parallel Worlds ซื้อที่คิโนะเท่าไหร่คะ จะไปถอยมามั่ง จากคุณ : abarat cat - [ 20 ธ.ค. 51 01:15:31 ]