ความคิดเห็นที่ 1 กินโยเกิดแล้วรูดปื้ด รูปปื้ด จากคุณ : ตามหานักร้องนำ - [ 2 ธ.ค. 51 20:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 บทความนี้ ผมว่ามันเกี่ยวกับน้ำผึ้งซะส่วนใหญ่นะ  แต่ก็ขอบคุณสำหรับข้อมูล แล้วเราจะทราบได้ยังไงคัรบว่าเราแพ้นมวัว  ถ้าแพ้จะท้องเสียแบบนี้ป่าวครับ ถ้าผมไม่แพ้นมวัวผมก็สามารถทานโยเกิร์ตได้ปกติใช่ไหมครับ จากคุณ : sUnTaO - [ 2 ธ.ค. 51 21:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 บางหมอก็บอก....กินนมเถอะ แคลเซียมมาก ประโยชน์เยอะ คนไทยต้องกินนม.. บางหมอก็บอก...อย่ากินเลยนม ไม่เหมาะกับท้องคนไทย.. ตกลงเชื่อใครดีค่ะเนี่ย... จากคุณ : primjang - [ 2 ธ.ค. 51 21:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 น้ำผึ้ง ฆ่าแบคทีเรียได้จริง และทั้งน้ำผึ้งกับโยเกิร์ต ก็ให้พลังงานเยอะ ใครที่บอกว่ากินแล้วจะไม่อ้วน ให้อ่านฉลากร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันด้วย ในข้อ2ก็เหมือนกับให้เลิกกินนมเพราะมีคนแพ้นมวัวมาก อันนี้เป็นการอ้างที่น่าเกลียดมาก ถ้าคนไม่รู้ก็อาจจะหลงผิดคิดว่า กินผลิตภัณฑ์นมวัวทำให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งไม่จริง เป็นการหลอก ชาวบ้านเพื่อเสริมเหตุผลให้ตัวเองเท่านั้น ส่วนข้อ3อันนี้ก็ขอสนับสนุน จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 2 ธ.ค. 51 21:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เว่อร์ไปหน่อยนะ ก็จริงบางส่วน แต่ไม่ใช่กับทุกคน ถ้ากินโยเกิร์ตชนิดไม่ใส่น้ำผึ้ง ข้อแรกก็ตกไปแล้ว (กินโยเกิร์ตรสธรรมชาติดิ ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่ผลไม้) มันก็อร่อยดีนะ ถ้าไม่แพ้นมวัว ข้อสองก็ตกไป (ถ้ากินนมได้ ก็กินโยเกิร์ตได้) กินไฟเบอร์มากๆก็เป็นการดี แต่การกินโยเกิร์ตที่ไม่ใส่น้ำตาล ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ก็ได้แคลเซียมเยอะกว่ากินนม ในปริมาณเท่ากัน และขอโทษทีเถอะ อย่ามั่ว น้ำผึ้งไม่เหมือนฟอร์มาลินนะ ที่มันรักษาแผลได้ เพราะแบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตในแผลที่เคลือบด้วยน้ำผึ้งได้ แต่ไม่ได้แปลว่า มันมีความเป็นพิษร้ายอะไรที่จะมาทำร้ายลำไส้เราได้ปานนั้น จากคุณ : *Cookies* - [ 2 ธ.ค. 51 21:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอตอบแบบไม่มีหลักการนะครับ 1. น้ำตาลจากน้ำผึ้ง ถ้าจะบอกว่ามันเป็นโทษเพราะมีคาลอรี่มันก็ถูก แต่คิดว่าน่าจะเป็นแหล่งพลังงานให้จุลินทรีย์ซะมากกว่า ที่เราต้องการก็คือสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์จากน้ำผึ้ง แต่ นพ.บรรจบ มุ่งไปมองที่โทษของน้ำตาลจากน้ำผึ้งเสียเพียงอย่างเดียว 2. เด็กเอเชียแพ้โปรตีนจากวัว 50-80% ผมไม่ทราบว่า นพ.บรรจบ อ้างจากแหล่งข้อมูลไหน แต่ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะโยเกริตมาจากนมวัวจากยุโรป แล้วถ้าเป็นวัวจากเอเซียด้วยกัน จะมีเด็กแพ้กันขนาดนั้นหรือเปล่า? (นพ. บรรจบ เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องโทษของนมมานานแล้วนะครับ แล้วถ้านมไม่ดีพอแล้วจะหาแหล่งโปรตีนจากไหนมาแทนล่ะครับ) จากคุณ : T7Promoter - [ 2 ธ.ค. 51 21:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขออภัย คุณหมอบรรจบ .. ชำนาญเวชศาสตร์ "ทางเลือก" ครับ เหตุผลต่างๆเหล่านั้น เป็นเพีัยงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ รับรอง ในขณะที่ หลักฐานทั้งมวล ทั้งเรื่องกลไกการย่อย การดูดซึมอาหาร การป้องกันภัยจากอาหาร ของระบบทางเดินอาหาร และสรีระวิทยาของระบบทางเดินอาหาร ที่มีผู้ค้นคว้า วิจัีย ทดลอง ทดสอบ ฯลฯ เป็นจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่ชี้ถึงประโยชน์ของโยเกิร์ต และน้ำผึ้ง ไม่พบหลักฐาน ที่เกิดจากการค้นคว้า วิจัย ทดลอง ทดสอบ ที่มีผลคัดค้าน หรือ บ่งชี้ว่า โยเกิร์ต และน้ำผึ้ง มีโทษต่อร่างกายคนปกติ (คนที่ไม่แพ้โยเกิร์ต, หรือน้ำผึ้ง,หรือส่วนประกอบของทั้งสองอย่าง) เลือกที่จะเชื่อเองแล้วกัน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 2 ธ.ค. 51 21:35:10 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอถามอีกนิดครับ เวลาพิมพ์ความเห็น ทำอย่างไรให้เป็นตัวขาวหนาๆอ่ะครับ จากคุณ : Preceda2 - [ 2 ธ.ค. 51 21:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คนเอเชียร้อยละ 50 -80 แพ้โปรตีนในนม  คนเอเชียไม่ได้แพ้โปรตีนในนม  แต่ไม่มีเอ็นไซม์ lactase ที่จะย่อยน้ำตาล lactose ในนม  ทำให้น้ำตาล lactose เหลือไปถึงลำไส้ใหญ่ และเป็นอาหารให้แบคทีเรีย  ตัวน้ำตาล lactose เองก็ดูดซึมน้ำได้ดีมาก ทำให้น้ำในกากอาหารเหลือค้างมาก  ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ หลังกินนมจำนวนมากได้  http://en.wikipedia.org/wiki/Lactose_intolerance  http://www.medicinenet.com/lactose_intolerance/article.htm  ปัญหาการขาดแคลนเอ็นไซม์ lactase เป็นปัญหา world wide  ประมาณว่า เป็นถึง 75% ในผู้ใหญ่  ไม่ใช่เป็นเฉพาะในคนเอเซีย และร้ายแรงที่สุดก็คือ โรคลำไส้เรื้อรังค่ะ  ไม่มีโรคนี้ ในตำราแพทย์มาตรฐาน แม้เพียงเล่มเดียว จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 2 ธ.ค. 51 21:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 #8 ตามนี้ครับ  [b]ข้อความที่ต้องการให้หนา[/b] http://www.pantip.com/cafe/help.html#formattext จากคุณ : THE_AR - [ 2 ธ.ค. 51 22:13:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 น่าจะลงท้ายด้วยว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของ นพ. ที่ว่านะครับ... คนจะได้ไม่เอาตีข่าวให้มันแรงขึ้น ทำให้ โยเกิร์ต และ น้ำผึ้ง เป็นผู้ร้ายไปซะงั้น... จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 2 ธ.ค. 51 22:13:05 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เตรียมพบกับภาคต่อได้ ทางหน้าจอทีวี จากคุณ : ZoRtA - [ 2 ธ.ค. 51 22:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หืม... อ่านทั้ง 2 ข้อแล้วยังสงสัยครับ... ข้อแรก...มีปัจจัยสำคัญในน้ำผึ้งหลายประการในการฆ่าเชื้อโรคครับ... 1. น้ำผึ้งมี Water activity ต่ำมาก ซึ่งช่วงที่เกี็บเกี่ยวน้ำผึ้ง ถ้าอากาศแห้งมาก Aw หรือ Water activity จะต่ำมาก โดยอาจต่ำถึง 0.5 หรืออาจมากกว่าเล็กน้อย ซึ่งการมี Active water หรือน้ำที่เป็นอิสระน้อย เชื้อโรคก็ไม่สามารถเจริญได้เพราะขาดน้ำครับ 2. Enzyme บางชนิดในน้ำผึ้งอย่าง Lysozyme ทำลายเชื้อโรคได้ 3. pH ของน้ำผึ้งเป็นกรดอ่อนๆ pH ราวๆ 3 กว่าๆถึง 4 นิดๆครับ 4. Hydrogen peroxide ที่ทำให้เกิด Oxidative injury อย่างอ่อน ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้ 5. สารเคมีจากพืช เช่น pinocembrin, terpenes, benzyl alcohol, 3,5-dimethoxy-4-hydroxybenzoic acid (syringic acid), methyl 3,5-dimethoxy-4-hydroxybenzoate (methyl syringate), 3,4,5-trimethoxybenzoic acid, 2-hydroxy-3-phenylpropionic acid, 2-hydroxybenzoic acid and 1,4-dihydroxybenzene แต่มีประเด็นที่ว่า สารที่พบนี้มีในปริมาณเล็กน้อยและต่ำกว่า Effective dose ของสารแต่ละชนิดครับ ซึ่งอาจต้องมีการศึกษาต่อในแง่ Synergism ต่อไป 6. อาจมีสารอื่นๆซึ่งสังเคราะห์จากผึ้งอีกครับ แต่จุดที่สำคัญที่ผมจะกล่าวถึงคือ การกินอาหารของคนเราไม่ได้กินแค่น้ำผึ้งอย่างเดียวหรอกครับ ดังนั้นกว่าจะไปถึงลำไส้ น้ำจากการดื่มหรืออาหารอย่างอื่นก็คงไปเจือจางน้ำผึ้งนั้นให้ความสามารถอื่นๆในการฆ่าเชื้อน่าจะลดลงมากครับ ที่สำคัญ ความเข้มข้นขนาดนั้นถ้าเอาไปดองศพคงจะเน่าเร็วขึ้นเพราะมี Glucose source ที่ย่อยได้ง่ายกว่าเนื้อเยื่อต่างๆครับทำให้โตดีกว่าเดิมได้อีกนะ -_-" (สังเกตการใช้น้ำผึ้งเพื่อการนี้จะต้องใช้รูปที่เข้มข้น ซึ่งไม่มีการเจือจางใดๆทั้งสิ้นครับ) ประเด็นข้อ 2 สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากปรากฏการณ์ที่กล่าวมานี้จะต้องเกิดจากการแพ้จริงๆเท่านั้นครับ ซึ่งคนที่แพ้ถึงขนาดไส้บวมน้ำได้นี่กินเข้าไป น่าจะทราบตัวเองได้นะครับว่าตัวเองแพ้นม คงจะไม่กินเข้าไปหรอกครับ 3. การใช้ Fiber ในการแก้ท้องผูกนั้นอาจเป็นการแก้ไขเรื่องลำไส้ได้จริงครับ แต่ประเด็นนี้ต้องขอเสริมด้วยว่า ต้องดื่มน้ำเยอะๆ ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 51 00:32:27 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 22:54:23 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 22:53:50 จากคุณ : sivpeer - [ 2 ธ.ค. 51 22:53:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เป็นจินตนาการส่วนตัวครับ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาตร์ งานวิจัย หรืออะไรอ้างอิงทั้งสิ้น เห็นเพ้อมาเป็นสิบปีแล้ว คงเพ้อต่อไป เพราะยิ่งเพ้อ คนยิ่งไปจ่ายเงินให้ เรื่องจริง แต่ดูธรรมดาๆ พื้นๆ ได้ยินกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน คนไม่ยักกะเชื่อแฮะ พอมีคนยกทฤษฎีประหลาดๆ มา ทั้งที่ไม่จริง ก็ดันไปเชื่อซะงั้น จากคุณ : อะธีลาส - [ 2 ธ.ค. 51 23:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มันต้องกินให้พอเหมาะ อาหารยังต้องมีห้าหมู่เลย จากคุณ : ของเล่นใหม่ - [ 3 ธ.ค. 51 00:20:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาแก้ต่างให้น้ำผึ้งครับ ผมเป็นคนเลี้ยงผึ้ง  ศึกษาเรื่องน้ำผึ้งมาพอสมควร -สาเหตุที่แบคทีเรียไม่สามารถดำรงชีวิตได้ในน้ำผึ้งนั้น เกิดจากน้ำผึ้ง มีความเข้มข้นสูง(น้ำมีน้อย)  ซึ่งปริมาณน้ำในน้ำผึ้งถือเป็นตัวกำหนดคุณภาพอย่างหนึ่ง  ยิ่งมีน้อยยิ่งดี เพราะจะทำให้น้ำผึ้งเก็บไว้ได้นาน  และมีสารอาหารในอัตราส่วนที่มากขึ้น(ก็น้ำมันน้อย) -เมื่อน้ำผึ้งมีน้ำน้อยแล้ว  เมื่อแบคทีเรียตกลงไป  จะเกิดการออสโมซิสดึงน้ำในเซลล์ของแบคทีเรียออกมา  ทำให้แบคทีเรียตาย  ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับการใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ -แต่กระบวนการนี้ของน้ำผึ้งจะเป็นไปแบบช้า ๆ เพราะความหนืดของน้ำผึ้ง ตัวอย่าง----เมื่อเรากินเหล้าดีกรีสูง  จะแสบคอ ระคายเคืองทางเดินอาหารเป็นอย่างมาก แต่การกลืนน้ำผึ้งสด ๆ โดยไม่ผสมอย่างอื่น  เราจะรู้สึกแสบคอเล็กน้อย  ทั้งที่ความเข้มข้นอาจมีมากถึง82% (มาตารฐานน้ำผึ้งที่ดีควรมี น้ำไม่เกิน 20%  บางที่อาจตั้งไว้ที่ 18%) นั่นก็เป็นเพราะความหนืด -เมื่อน้ำผึ้งตกลงไปในกระเพาะอาหาร  มันจะไปผสมกับของเหลวในกระเพาะ  ทำให้คุณสมบัติที่ดึงน้ำออกหายไปเพราะมันละลายไปแล้ว -แน่นอนว่าไม่มีใครกินน้ำผึ้งทีเป็นแก้ว ๆแน่นอน -เนื่องจากการนำน้ำผึ้งผสมโยเกิร์ต   การออสโมซิสของน้ำในเซลล์จึงไม่เกิดขึ้น  (แน่นอนเพราะความเข้มข้นไม่พอ) จากคุณ : ดวงฉลุย - [ 3 ธ.ค. 51 00:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมไม่ชอบโยเกิร์ต ยังไงก็ไม่กิน มีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี และราคาถูกกว่า จากคุณ : นายเดชา - [ 3 ธ.ค. 51 00:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 18 วันนี้ทานไป 3 ถ้วย!!! รสนี้แหละครับ อร่อยมากกกก หยุดไม่ได้จริงๆ ของเมจิ อิอิ จากคุณ : 76 (KuMp) - [ 3 ธ.ค. 51 00:35:07 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อบทความต้นฉบับ เกิดจากความเชื่อของคนคนเดียว โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันใดๆทั้งสิ้น ผมก็ขอเสนอความเชื่อ ที่มีหลักฐานยืนยัน ตัวผมเอง กินน้ำผึ้งทาขนมปังตอนเช้า ต่างอาหารเช้ามาเกินยี่สิบปีแล้ว ใครๆก็บอกว่า หน้าอ่อนยิ่งกว่ากินแบรนด์รังนกเป็นลังๆซะอีก เกือบหล่อกว่าหมอ j แล้ว -------------------------- และผมขอฟันธงว่า ... ข้า่วเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับการบริโภคของชาวเอเซีย โดยเฉพาะคนไทย เป็นที่สุด 1. มีข้อมูล สถิติ ยืนยันชัดเจน ด้วยจำนวนตัวอย่างมากกว่า 20,000 ราย อาชญากรที่ติดคุก และนักโทษต่างๆ ที่เป็นคนไทย ล้วนกินข้าว  การวิจัยเพิ่มเติม ยังยืนยันชัดเจน ด้วย p < 0.0001 ด้วยซ้ำ  ไม่มีอาชญากร และนักโทษคนไหน กินโยเกิร์ต หรือน้ำผึ้งแทนข้าว แม้เพียงคนเดียว 2. สถิติที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น .. เก็บข้อมูลมายาวนานนับร้อยปี ในคนนับแสนๆคน  ข้อมูล หลักฐาน และการวิเคราะห์ทางสถิติอย่างเข้มงวด ยืนยันว่า คนไทยที่กินข้าว ทุกคน ... ต้องตายทุกคน  ในขณะเดียวกัน การวิจัยเพิ่มเติม ยังยืนยันชัดเจน ด้วย p < 0.0001 ด้วยซ้ำ  ไม่มีคนไทยคนไหนที่เสียชีวิต กินโยเกิร์ต หรือน้ำผึ้งแทนข้าว แม้เพียงคนเดียว  คุณหมอทุกท่าน ล้วนออกมายืนยันความจริงสองข้อนี้  คนที่ไม่เชื่อความจริงที่ผมบอก .. ปรินท์ออกมา แล้วเอาไปถามกับหมอคนไหนๆก็ได้  ข้าว .. อันตรายกว่าที่คุณคิด  ข้าว .. อันตรายกว่าน้ำผึ้ง  ข้าว .. อันตรายกว่าโยเกิร์ต    การกินข้าวประจำ .. ก่อให้เกิดอาชญากรรม และความตาย  ไม่พบว่าการกินโยเกิร์ต และน้ำผึ้งประจำสม่ำเสมอ แทนข้าว 100% ก่อให้เกิดอาชญากรรมหรือความตาย แม้แต่เพียงรายเดียว  คุณยังจะกินข้าวต่ออีกไหม? จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 3 ธ.ค. 51 00:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โอ้.. อ่าน  คห.6 ของคุณ T7Promoter นมวัวจากยุโรป กับนมวัวจากเอเซีย มันมีอะไรต่างกันเหรอครับ น่าสนใจ ๆ พาลให้คิดไปว่า คนและวัวที่อาศัยอยู่ในแถบเดียวกันมีการปรับตัวเข้าหากัน ช่วยขยายความแนวคิดในข้อ 2 ด้วยครับ จะวิชาการหรือไม่วิชาการก็ได้ อยากทราบมาก ๆ จากคุณ : กินไม่ได้แต่ขอจับก็ยังดี (Lanoz) - [ 3 ธ.ค. 51 00:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณแมวเหมียวพูดซะน่ากลัวเลย  5555555 ข้าวน่ากลัวจริง ๆ ถึงว่า.................................................... เมืองไทยถึงได้วุ่นวาย จากคุณ : ดวงฉลุย - [ 3 ธ.ค. 51 00:45:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เชื่อร่างกายตัวเอง อะไรกินแล้วรู้สึกว่าดีต่อร่างกายก็กิน อะไรไม่ดีก็ไม่กิน สำคัญว่าเอาให้ครบสารอาหารและปริมาณพอเหมาะกะร่างกาย อย่างผัก ถึงจะไม่ค่อยชอบ แต่ช่วงไหนรู้สึกว่าไม่ค่อยได้กิน ก็จะพยายามกินให้มากหน่อยค่ะ คือเป็นพวกฟังคนอื่นมากแล้วจะกินอาหารไม่อร่อยพาลเสียสุขภาพจิตน่ะค่ะ ตอนมีฟอร์เวิร์ดเมล์เรื่องกินแล้วดี ก็ลองพิสูจน์ดูสัปดาห์เศษ แต่ก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงและยุ่งยากเลยเลิก พอเห็นข่าวก็คิดว่าวุ่นวายจริง จริ๊ง หนอ จากคุณ : atihasita - [ 3 ธ.ค. 51 00:46:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แม้กระทั่งน้ำ.. คนกินน้ำ ต้องตายทุกคน อันตรายมาก ต้องบอกทุกคนให้ทราบ จะเป็นฟอร์เวิร์ดแมวก็ได้... แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 51 00:49:42 จากคุณ : เด็กน้อยขี่ม้าก้านกล้วย - [ 3 ธ.ค. 51 00:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อยากให้กิ๊ฟ คห.16 จัง ไม่เคยได้ยินบทความทางการแพทย์ที่ว่าถึงโทษของน้ำผึ้งซักครั้งนึง จากคุณ : PUMPKINbig - [ 3 ธ.ค. 51 00:51:27 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ต้นเหตุของอาชญากรรมและความตาย ผมว่าคืออากาศที่เราหายใจไปนะครับ อากาศบนโลกอาจจะไม่เหมาะกับสิ่งมีชีวิต ร่างกายเลยป้องกันตัวเองด้วยการหยุดหายใจ จากคุณ : Lanoz - [ 3 ธ.ค. 51 01:01:36 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ทำนองเดียวกับ FWD เมล์ เรื่องกินขาเขียวเย็นอันตราย กินมาม่าอันตราย กินน้ำเปล่าก็ยังมีสิทธิตายสินะ จากคุณ : CARAGIO - [ 3 ธ.ค. 51 02:34:07 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอตอบเป็นข้อๆ ไปนะคะ 1. โยเกิร์ตส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลที่มาอยู่แล้ว (ถ้วยนึงประมาณ 18 กรัม) ซึ่งถ้าเราเติมน้ำผึ้งลงไปอีกเนี่ย มันจะไปเพิ่มปริมาณน้ำตาล การกินโยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ แต่กลับได้ปริมาณน้ำตาลที่เกินไป อย่างนี้คงไม่ดีต่อสุขภาพซักเท่าไหร่ เรื่องใช้น้ำผึ้งดองศพ.. เราไม่ต้องใช้น้ำผึ้งก็ได้นะ (น้ำผึ้งมันแพง) เราใช้น้ำตาลเคี่ยวๆ ให้มี water activity ต่ำเท่าน้ำผึ้งก็สามารถใช้ดองศพได้เช่นกัน เอาน้ำผึ้งไปโปะแผลแล้วเกิดแผลนูน.. แผลจะนูนหรือไม่นั้น ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลมากกว่า (เหมือนการห้ามกินของไข่หลังผ่าตัดแหละ) 2. อาการแพ้นมวัว กับ ย่อยนมวัวไม่ได้นี่มันคนละเรื่องกันนะคะ อาหารแพ้อาหาร ถ้าแพ้มากๆ อาจถึงตายได้ อาการย่อยนมวัวไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็แค่ท้องเสียไม่ใช่เหรอ ส่วนเรื่องที่บอกว่าคนเอเชียไม่เหมาะกับการดื่มนม แล้วจะดื่มกันทำไมตั้งแต่หย่านมแม่ละนั่น -*- เมื่อก่อนเราดื่มนมเยอะมาก อย่างน้อยวันละลิตร พอไม่ได้ดื่มมาพักนึง มาดื่มอีกที ก็เลยเกิดอาหารท้องเสีย เพราะร่างกายคงไม่ได้ผลิตเอนไซม์ย่อยน้ำตาลในนมแล้ว (มั๊ง) ตอนนี้เลยหันมากินโยเกิร์ตแทนประมาณ 2 ปีได้แล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นมีอาการอย่างที่ จขกท มาโพสต์แต่อย่างใด แถมอาการภูมิแพ้ที่เคยทำให้เข้า รพ. กลางดึก ก็หายไปด้วยนะเออ 3. เรื่องทานอาหารที่ไฟเบอร์เยอะเนี่ยเห็นด้วยนะ ส่วนใครทานอะไรแล้วระบายท้องเนี่ย แล้วแค่คนเลยอะ ถ้าเราท้องผูกมากๆ เนี่ย.. ต้มน้ำมะขาม / ลูกพรุนแค่สองเม็ดก็เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นคนกินผักเยอะ ปล. บางทีกินผักเป็นหัวๆ ต่อวันเนี่ย ก็ไม่ได้ทำให้หายท้องผูกหรอกนะ ต้องดื่มน้ำเปล่าให้พอด้วย จากคุณ : Living Extreme - [ 3 ธ.ค. 51 04:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โอ้ว p<0.0001 O_o ถ้าท้องผูก เราจะ ระดมพล จากคุณ : pedpukking - [ 3 ธ.ค. 51 09:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นหมอ ซะเปล่า แทนที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้อง 100% ปฃแต่กลับให้ความรู้แบบคุลมเคลือ แบบนี้ มันน่านัก จากคุณ : vn, man - [ 3 ธ.ค. 51 09:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณแมวเหมียวขโมยไปตั้ง 3 กิฟ ตอบถูกใจ เบื่อหมอแบบนี้ ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวก็ควรจะเอ่ยอ้างด้วย ยิ่งเป็นการแพทย์ทางเลือกยิ่งต้องเอ่ยอ้าง ใช้คุณวุฒิทำให้คนอื่นเชื่อถือ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 51 09:36:56 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 3 ธ.ค. 51 09:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาอ่านหาความรู้แล้วกัน เพราะ เชื่อน้ำผึ้ง หลงน้ำผึ้ง จุ๊บเวลาแฮงค์ประจำ จากคุณ : MAD Magazine - [ 3 ธ.ค. 51 10:07:54 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จากคุณ : lnwเหมือนกัน - [ 3 ธ.ค. 51 11:05:17 A:10.75.1.167 X:10.1.5.21, 58.137.129.220 TicketID:190719 ]

ความคิดเห็นที่ 34 หมอคนนี้ เขียนเรื่องเพ้อเจ้อมาหลายครั้งแล้ว มติชนยังปล่อยให้เขียนอยู่ได้ไงก็ไม่รู้ คราวก่อนก็เขียนเรื่องออกซิเจนบำบัด เพ้อเจ้อสุดขีด คงไปลงทุนซื้อเครื่องมาไว้ที่สปาของแก เลยต้องเขียนซักหน่อย น้ำผึ้ง เวลาใช้ดองของ มันดองได้ เพราะของที่ดองมันตายแล้ว ไม่มีเลือดมาเลี้ยง โปรตีนในของที่ถูกดองก็จะถูกดูดน้ำออก เป็น dehydrate แข็งๆ ทำให้ไม่เน่าไม่เสีย การใช้น้ำผึ้งมาทาแผล จะใช้ได้ผลดีกับคนที่เป็นเบาหวานที่เป็นแผลเรื้อรัง ซึ่งจะมีปัญหากับแผลที่ปลายเท้าจะกลายเป็นแผลเรื้อรัง หรือแผลเนื้อตาย เพราะเนื้อที่แผลจะไม่สามารถเอาน้ำตาลมาใช้ได้ ในขณะที่เลือดมีน้ำตาลสูง กลับกลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อต่างๆ พอใช้น้ำผึ้งทำ wet dressing โปรตีนส่วนที่อยู่กับเนื้อตาย ก็จะถูกดูดน้ำแห้งไป รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ก็จะตายไปด้วย แล้วน้ำตาลในน้ำผึ้ง ซึ่งเป็น fructose เป็นส่วนใหญ่ จะสามารถซึมเข้าสู่เซลได้โดยไม่ต้องอาศัย insulin ก็จะเป็นอาหารให้กับเนื้อเยื่อส่วนที่ยังไม่ตาย ทำให้สามารถเติบโต ปิดแผลไปได้ ส่วนแผลเป็น ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำผึ้ง ถ้าทำการขูดแผล ตัดแต่งรักษาแผลให้สะอาด ไม่มีสะเก็ดหรือเนื้อตายมาทำให้ดึงรั้ง แผลเป็นก็จะเกิดได้น้อย หมอแกจินตนาการ แรงกว่าความรู้ (หมายความว่า รู้ก็รู้อยู่ แต่จินตนาการแรงกว่า) จากคุณ : alan the lamb - [ 3 ธ.ค. 51 11:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ผมก็เป็นคนหนึ่งที่แพ้นมวัว แต่ก็สามารถทานนมวัวได้ถ้าในนั้นผสมจูลินซี พวก แล๊กโตบาซิลัล เช่น ยาคูลย์ หรือ โยเกิร์ตบางยี่ห้อดังๆ จะมีผสมอยู่ จากคุณ : veenews2004 - [ 3 ธ.ค. 51 12:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อาจจะเป็นการดีก็ได้นะครับ เขียนให้ร้ายอาหารต่างชาติว่าไม่ดีเป็น FWD คนไทยจะได้กลับมากินน้ำพริกผักลวก อ้อ ลืมไป สำหรับท่านที่ FWD เมล์ที่มีเนื้อหานี้ต่อไป ถ้าบริษัทโยเกิร์ทฟ้องร้อง ท่านก็จะมีความผิดไปด้วยตาม พรบ ICT ใหม่นะครับ มาตรา ๑๔ ข้อ ๑ และ ๕ (๑) ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จหรือเป็นของปลอมทำให้ผู้อื่นเสียหาย คุก 5 ปี ปรับ 1แสน (๕) เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลตามข้อ (๑) คุกอีก 5 ปีปรับอีก 1 แสน รวมๆแล้ว หัวโต กระเป๋าลีบเลยนะครับ ขอให้ทุกท่าน มีสติก่อน FWD ทุกๆเมล์นะครับ จากคุณ : NATSKI13 - [ 3 ธ.ค. 51 14:36:53 ]

ความคิดเห็นที่ 37 น่าจะเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลมากกว่า สงสัยเพิ่งคิดได้สด ๆ เห็นว่าเป็นจินตนาการที่ยังไม่มีใครเริ่ม เลยแหวกแนวปล่อยบทความออกมา โดยเอาคำนำหน้าชื่อให้คนเชื่อถือ ส่วนตัวเราไม่เชื่อนะคะ เพราะเราไม่ได้แพ้นมวัว เราชอบกินนม เราชอบกินโยเกิร์ต กินแล้วไม่ท้องเสีย เลยกินยาคูลท์ซะวันละ 4 โดส :D จากคุณ : เมอแรงก์มะนาว - [ 3 ธ.ค. 51 16:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 38 100 ปีก่อน ส่วนสูงฝรั่ง(ที่จัดว่าสูง)โดยเฉลี่ยแค่ 167-173 ซม. เองครับ (ผู้หญิงไม่ต้องพูดถึง 160 ก็ถือว่าโย่งแล้ว) แต่พอ ซัด นมกับโยเกิร์ต เข้าไป 100 ปีถัดมา พรวดไป 180-190 ซม. กันเป็นแถว จากคุณ : Roh_Z - [ 3 ธ.ค. 51 17:03:53 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเคยทดลองกับตัวเองมาแล้ว สรุปละกัน แต่ก่อนเป็นคนที่เป็นโรคแพ้อากาศเรื้อรัง กินยาลดน้ำมูกเป็นกระปุก แต่ก็ยังไม่สนใจ ยังกินนมต่อไปเรื่อยๆ พอกินนมมากๆเข้าเกินอาการแพ้นมกินแล้วท้องเสีย เลยหันมากินนมเปรี้ยวแทน ต่อมากินนมเปรี้ยวมากๆเข้าท้องเสียอีก ระหว่างนี้ก็เป็นภูมิแพ้ต่อ เลยหันมากินโยเกิร์ต กินได้สักพัก ท้องเสียอีก(ลืมบอกไปผมกินเอาเป็นเอาตายครับซดเป็นลิตร) ต่อมา อ่านหนังสือชีวจิต เขาบอกว่านมวัวอาจเป็นสาเหตุของโรคภูิมิแพ้ พร้อมยกตัวอย่างบุคคลที่มีปัญหาเรื่องกินนมวัว เลยเลิกกินนมวัวตั้งแต่นั้นมา และปัญหาโรคภูมิแพ้ก็แทบจะหายขาดเอาเลย นานๆจะมีอาการเป็นสักทีขึ้นมาถ้าโดนควันเยอะๆเท่านั้น ทั้งๆที่แต่ก่อนเจอฝุ่นนิดก็จามแล้ว ที่เชื่อเรื่องนมเป็นสาเหตุของการแพ้จริง เพราะเจอกับตัวเองครับ แล้วก็ทราบว่ามีหลายคนด้วยที่เป็นแบบผมส่วนสาเหตุไม่แน่ใจครับ จากคุณ : Clarvoyance - [ 3 ธ.ค. 51 21:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่เชื่อหมอคนนี้มานานแล้ว จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม - [ 3 ธ.ค. 51 21:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ยังไงก็จะกินเหมือนเดิม อร่อยดี จากคุณ : lovemaple - [ 3 ธ.ค. 51 23:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ในพงศาวดาร กวนอูโดนซุนกวนตัดหัวแช่น้ำผึ้งแล้วส่งให้โจโฉเป็นบรรณาการ ระยะเดินทางเป็นเดือน จากคุณ : x - [ 4 ธ.ค. 51 00:31:20 A:210.246.64.74 X: TicketID:052378 ]

ความคิดเห็นที่ 43 #42 ขอแก้ความเข้าใจผิดหน่อยนะครับ สามก๊กที่เราๆท่าน ๆอ่านกันทุกวันนี้เนี่ย  ไม่ใช่พงศาวดารครับ เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดย หลอกว้านจง ยกให้เล่าปี่เป็นฝ่ายธรรมะ กดให้โจโฉเป็นฝ่ายอธรรม แต่ในเหตุการณ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้นมันก็คือผู้มีอำนาจ(ทหาร)ในมือ  แย่งอำนาจกัน ใครจะดีจะชั่ว  ไม่รู้แน่ชัด นอกเรื่อง ผมเคยอ่านบทความของอ.นิธิ ท่านว่า ประวัติศาสตร์คือเรื่องแต่ง  ที่อาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ปรากฎ ซึ่งผมเห็นด้วยนะ   ประวัติศาสตร์ไทยควรปฏิรูปใหม่  เพราะแต่งขึ้นเพื่อสร้าง ชาตินิยม แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 51 00:58:58 จากคุณ : ดวงฉลุย - [ 4 ธ.ค. 51 00:57:55 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มาเติมข้อมูลเรื่องแพ้นม ค้นใน pubmed วันนี้ได้มาบทความเดียว เป็นงานวิจัยในสิงคโปร์ ทดสอบในคนไข้เด็กที่มารักษาเพราะมีอาการแพ้ จำนวน 227 คน มีคนไข้แพ้นมวัวแค่ราวๆ 12% Clin Exp Allergy. 2007 Jul;37(7):1055-61. ในคนปกติมีกี่เปอร์เซนต์ที่มีอาการแพ้ นี่เขาวัดในคนที่มีอาการแพ้จนต้องรักษา ยังมีแค่ 12% ตัวเลข 50-80% ในบทความมาจากไหน? จากคุณ : Deckard - [ 4 ธ.ค. 51 03:04:13 ]