ความคิดเห็นที่ 1 มาเริ่มกันที่ร่องรอยแรก ที่เมื่อมีการทำร้ายร่างกายมักจะเห็นร่องรอยเหล่านี้เสมอ รอยช้ำ........ รอยช้ำจะเกิดขึ้นได้เฉพาะในคนที่มีชีวิตเท่านั้นคะ หลังตายไปแล้วเลือดไม่มีแรงดันไหลออกมาจากเส้นเลือดได้อีก ถ้ามีการกระทบรุนแรงที่ศพก็อาจทำให้เกิดสภาวะคล้ายรอยช้ำและมีขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับแรงที่มากระทำ ซึ่งการชันสูตรศพจะเห็นได้ถึงความแตกต่างจากรอยช้ำที่เกิดก่อนหรือหลังตาย รอยช้ำอาจบอกเหตุการณ์ของการตายรวมถึงวัตถุที่ทำให้เกิดรอยช้ำ ในบางคดีเช่นคดีข่มขืนกระทำชำเรา ตำแหน่งและรูปร่างของรอยช้ำจะบอกเรื่องราวได้มากมาย เช่น รอยช้ำที่แขน แสดงว่า เหยื่อถูกจับแขนกดยึด หรือรอยช้ำที่ไหล่ แสดงว่าร่างกายถูกกดลงบนพื้น มีกรณีรอยช้ำที่เส้นเลือดไม่ได้ฉีกขาดจากการกระแทกแต่เกิดจากการดูด หรือที่เรียกว่า “Love bite” ซึ่งมักพบที่ คอ หน้าอก อันนี้มักเกิดในกรณีความผิดทางเพศ (รอยอันนี้ถ้าถามห้องสวนลุม นิยมให้ใช้ ฮีรูดอร์ยทา..) จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 21:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สืบจากรอยช้ำ เนวิล ฮีท (Neville Heath) ในบ่ายวันที่ 20 มิถุนายน 1946 พบศพหญิงสาวนาม มาร์เจอรี การ์ดเนอร์บนเตียงนอนในโรงแรมเพมบริดจ์ คอร์ท เธอเสียชีวิตจากการถูกอุดปากอุดจมูก เต้านมทั้งสองข้างถูกกัดอย่างรุนแรง ช่องคลอดมีรอยฉีกขาดยาวถึง 7 นิ้ว ตามตัวมีรอยช้ำที่เห็นได้ชัดเจนมาก ซึ่งรอยนี้เหมือนกับถูกตีด้วยแส้ม้า ซึ่งมีรอยหยักคล้ายเพชร.. แพทย์นิติเวช ดร.คีท ชิมป์สัน กล่าวว่า “ถ้าหาแส้ที่มีลักษณะแบบนี้ได้คุณก็จะรู้ได้ว่าใครเป็นฆาตกร” เมื่อตำรวจตรวจทะเบียนห้องพัก พบว่าห้องที่พบศพถูกเปิดในชื่อของ นายพลเนวิล ฮีท ตำรวจเริ่มสืบสวน พบว่าไม่กี่วันต่อมา เนวิล ฮีทเปลี่ยนชื่อเปิดห้องอีกครั้งในนาม กัปตันรูเบิร์ต บรูค มีคนเห็นเขารับประทานอาหารกับ โดรีน มาร์แชล เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะไปแจ้งความว่า โดรีน มาร์แชล หายตัวไป ตำรวจเริ่มสงสัย และตรวจเสื้อแจ็กเกตของฮีท พบผ้าพันคอเปื้อนเลือด และนอกจากนี้ยังพบแส้หนังที่มีขอบเป็นรูปเพชร.. และเนวิล ฮีทถูกจับไม่กี่ชั่วโมง ก็มีผู้พบศพ โดรีน มาร์แชล ลำคอถูกตัด ลำตัวถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ในชั้นศาล ลูกขุนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า เขาเป็นฆาตกร และได้ตัดสินให้ประหารชีวิตโดยการแขวนคอ. จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 21:57:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาปูเสื่อรออ่านค่า จากคุณ : Living Extreme - [ 15 ธ.ค. 51 21:59:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ร่องรอยที่เกี่ยวกับบาดแผล แผลฉีกขาดขอบไม่เรียบ........ แผลฉีกขาดคือรอยแยกของผิวหนังที่เกิดจากการกระแทก ขอบของแผลจะมีรอยหยักและมีรอยช้ำ รอบๆแผลจะมีแผลถลอกตื้น ที่บริเวณก้นแผลอาจมีเส้นประสาทหรือเส้นเลือดเป็นเยื่อบางๆ การตีด้วยของแข็งจนเป็นเหตุที่ทำให้เสียชีวิตที่เห็นได้ชัดคือ การตีที่หัว กะโหลกแตก อาวุธก็มีทั้ง ขวาน ค้อน ก้อนอิฐ ก้อนหิน ซึ่งอาจทำให้กะโหลกแตกยุบไปทิ่มเนื้อสมอง ถึงบางครั้งกะโหลกไม่แตกแต่สมองก็ฉีกขาดมีเลือดออกได้ ตายเหมือนกัน.. การตีด้วยท่อนเหล็กทรงกระบอกเพียงครั้งเดียว อาจทำให้เกิดแผลฉีกขาดเป็นรูปตัววาย และบางครั้งการตีเพียงครั้งเดียวอาจก่อให้เกิดแผลฉีกขาดมากกว่าหนึ่งแนว เช่น การตีที่ด้านข้างของศีรษะจะพบแผลฉีกขาดที่ด้านล่างของ กราม หู และ คิ้ว และในทางกลับกันการตีที่ร่างกายส่วนล่างอาจไม่มีแผลฉีกขาดที่ผิวหนังเลย ทั้งๆที่อวัยวะภายในฉีกขาด (เช่นในกรณี ตำรวจในประเทศสาระขัณฑ์  ใช้ผ้านุ่มๆ พันกระบอง ตีลำตัวผู้ต้องหาเพื่อสอบสวน ) จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 21:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 5 บาดแผลอีกชนิดหนึ่งที่พบ แผลถูกของมีคม....... บาดแผลที่เกิดจากของมีคม แบ่งเป็นสองชนิดคือ 1. แผลถูกฟัน (ไม่ใช่แผลถูกกัดนะคะ ) ซึ่งแผลมีลักษณะถูกเชือดด้วยมีด เหล็กคมๆ หรือ เศษแก้วแตก เป็นต้น บาดแผลมีลักษณะเป็นเส้นตรง โค้ง หรือเป็นรูปตัววี ก็ได้ แผลชนิดนี้มันถ่างออกทำให้ความยาวของแผลไม่ตรงกับความกว้างของอาวุธที่ใช้ฟัน ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินได้ว่า บาดแผลน่าจะเกิดจากอาวุธชนิดใด 2. แผลถูกแทง อันนี้จากมีด หรืออาวุธที่มีลักษณะยาว แหลม ลักษณะบาดแผลคือ ขอบของแผลทั้งสองด้านจะเรียบคม บาดแผลถูกแทงอาจมีเลือดไหลออกมาไม่มากนัก แต่เลือดออกภายในอาจรุนแรงถึงตายได้.. คนที่ถนัดมือขวาจะเชือดคอในลักษณะที่ขึ้นต้นจากด้านบนทางซ้ายลากลงมาทางขวาและกดลึกขึ้น จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จนมุมจากรอยแผล ออกัสท์ แซนเกรด (August Sangret) ในวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1942 มีคนพบร่างของ โจฮัน โวล์ฟ  ถูกฆ่าโดยกะโหลกของเธอถูกตีแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึง 40 ชิ้น เธอยังถูกแทงด้วยมีดอีกด้วย นายแพทย์คีท ซิมป์สัน ผู้ชันสูตรพลิกศพ พบว่า กะโหลกที่แตกๆ นั้นเมื่อนำแต่ละชิ้นมาปะติดปะต่อกัน พบว่ามีรอยถูกแทงถึงสามแห่งที่บริเวณด้านหน้าของศรีษะ คำถามแรกที่มีคือ รอยแผลนั้นเกิดก่อนหรือหลังตาย คุณหมอพบว่า บาดแผลเหล่านั้นเกิดขึ้นในขณะที่มีชีวิต ซึ่งนี่แสดงว่า เธอถูกตีที่ศีรษะ และจากบาดแผลส่วนใหญ่ที่พบอยู่ใกล้กับทางด้านซ้ายของศรีษะ แปลได้ว่า คนที่ตีถนัดขวา คุณหมอได้ให้ความเห็นว่า อาวุธที่ใช้น่าจะมีลักษณะเหมือนปากนกแก้ว และมีการหมุนหรือบิดก่อนดึงอาวุธออกจากแผล ในที่สุด ตำรวจก็พบผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นเพื่อนชายของเธอเอง นามว่า ออกัสท์ แซนเกรด ซึ่งพักอาศัยอยู่ในกองทัพแคนาดา ถึงแม้ว่าตำรวจจะไม่พบมีดต้องสงสัยในตัวเขา แต่มีพยานให้ความเห็นว่า มีดน่าจะเป็นของกองทัพอังกฤษซึ่งปลายด้านหนึ่งเป็นตะขอ และหนึ่งเดือนต่อมาก็มีผู้พบมีดในทางระบายน้ำในค่ายทหารแคนาดา ซึ่งเป็นหลักฐานมัดตัวฆาตกรได้ในที่สุด “ความรักของฉันเต็มเปี่ยมทั่วทั้งมหาสมุทร โปรดนำเขากลับมาหาฉัน” และนี่คือข้อความของ โจฮัน โวล์ฟ เขียนถึงชายที่เธอรัก ออกัสท์ แซนเกรด ผู้ซึ่งฆ่าเธออย่างโหดเหี้ยม.. จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:04:28 ]

ความคิดเห็นที่ 7 กะโหลกและกระดูก....... เมื่อเสียชีวิตลงร่างกายจะค่อยๆ สลาย ภายในไม่กี่วันก็จะเริ่มจำหน้าตาไม่ได้ ภายในระยะเวลาหลายอาทิตย์เนื้อเยื่อต่างๆ ก็จะค่อยๆย่อยสลายเป็นเพียงเศษเนื้อ กระดูก และกำของเส้นผม กะโหลกและกระดูกบอกอะไรเราได้บ้าง มาดูกันค่ะ.. เพศ อายุ ส่วนสูง เพศ.....บอกได้จากการตรวจกระดูกเชิงกราน และกะโหลกศีรษะ เช่น จากรูปร่างของจมูก ในของผู้หญิงจะมีรูปร่างคล้ายลูกแพร์ในขณะที่ผู้ชายมีรูปร่างคล้ายหยดน้ำตา เป็นต้น อายุ.....ประเมินจากกะโหลก และกระดูกชิ้นอื่นๆ เช่น ในกะโหลกศีรษะจะมีกระดูกหลายชิ้นต่อกันตามรอยต่อเรียกว่า “Sutures” ซึ่งมีการปิดในช่วงอายุต่างๆ กัน รอยต่อด้านหน้า หรือ “Frontal suture” จะปิดเป็นแห่งแรกตอนช่วงอายุน้อยๆ รอยต่อส่วนอื่นๆ จะทยอยปิดในช่วงอายุ 20-30 ปี และรอยต่อแนวสุดท้ายของกะโหลกจะปิดลงที่อายุ 70 ปีหรือมากกว่า.. ส่วนสูง....สามารถคำนวณโดยเอากระดูกยาววางบนไม้วัดพิเศษที่เรียกว่า “Ostiometric board” ซึ่งหลักการคำนวณนี้ค้นพบโดยแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ โรลเลท ในปี 1888 (เลขสวยจัง ) หลักการคำนวณก็เช่น ความยาวกระดูกต้นแขนท่อนบน คิดเป็น 20% ของความสูง กระดูกต้นขา คิดเป็น 27% ของความสูง เป็นต้น จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กะโหลกและกระดูกบอกชื่อเหยื่อ ดร.จอห์น ไวท์ เวบสเตอร์ (Dr. John White Webster) ในปี 1849 นายแพทย์จอร์จ ปาร์คแมน หายตัวไป นายแพทย์ปาร์คแมนเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติของสังคมบอสตัน ได้มองเงินจัดตั้งกองทุนกายวิภาคและสรีรวิทยาของโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และจัดตั้งห้องปฎิบัติการให้แก่ ศาสตราจาร์ยทางเคมี นายแพทย์ จอห์น ไวท์ เวบสเตอร์ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายแพทย์เวบสเตอร์ได้ยืมเงินนายแพทย์ปาร์คแมน และทั้งสองมีนัดเจรจาตกลงคืนเงินกัน ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1849 และนับจากวันนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นนายแพทย์ปาร์แมนอีกเลย ในวันหยุดขอบคุณพระเจ้า ภารโรงชื่อ เอฟเฟรม ลิตเทิลฟิลด์ ได้พบกระดูกเชิงกราน และกระดูกขา ของมนุษย์ในห้องปฎิบัติการของนายแพทย์เวบเสตอร์ และเมื่อตำรวจมาถึง ก็พบลำตัวส่วนบนวางอยู่บนหีบใส่ชาและในเตาเผา ตำรวจยังพบชิ้นส่วนของกระดูกและฟัน และจากชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์บุคคลระบุว่า เป็นชิ้นส่วนกระดูกและฟันของ นายแพทย์จอร์จ ปาร์คแมน ที่หายตัวไป เวบสเตอร์ถูกพิพากษาว่ามีความผิด ระหว่างถูกจำคุกก่อนถูกประหารชีวิต เขาพยายามกินยาฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เขาสารภาพว่า เขาทั้งคู่โต้เถียงกันและปาร์คแมนทวงบุญคุณว่าทำให้เขามีวันนี้ และขู่จะทำลายเขา เขาจึงเกิดโทสะหยิบท่อนไม้ฟาดไปที่ตัวอขงปาร์คแมนทำให้เขาตาย แล้วจึงหั่นศพและนำบางส่วนไปเผาในเตาและเก็บชิ้นส่วนใหญ่ๆ ไว้เพื่อทำลายในภายหลัง จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:07:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ฟัน....... ฟันบอกอะไรได้บ้าง ฟันคงสภาพได้นานกว่ากระดูก แม้จะถูกกระทบรุนแรงเช่นไฟไหม้ และฟันใช้ประเมินอายุของผู้ตายได้ดีพอๆกับการใช้การพิสูจน์บุคคล การประเมินอายุจากฟันจะใช้ได้ง่ายที่สุดในช่วงอายุน้อยๆ โดยดูจากการขึ้นของฟันแท้หรือฟันน้ำนม นอกจากนี้ประวัติการทำฟัน ลักษณะเฉพาะหรือความผิดปกติของฟัน ยังสามารถนำมาใช้ในการพิสูจน์บุคคลได้ง่ายและมีความน่าเชื่อถือได้เกือบ 100% ตัวอย่างก็เช่น ในเหตุการณ์ที่บุคคลเสียชีวิตหมู่ ในคราวเกิดซึนามิที่เมืองไทย เป็นต้น เทคนิคในการตรวจพิสูจน์บุคคลจากฟัน มีชื่อเรียกเฉพาะในทางนิติวิทยาศาสตร์ว่า “Odontology” จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ฟัน ระบุอายุของเธอ ดร. บัค รักษ์ตัน (Dr.Buck Ruxton) หญิงสาวสองคนจากเมืองแลงคาสเตอร์หายตัวไปอย่างลึกลับ นายแพทย์ชาวอินเดีย ชื่อ บัค รักษ์ตัน ได้เข้าแจ้งความคนหาย ว่า อิสเบลลา ภรรยาอายุ 34 ปี หายตัวไปพร้อมกับแม่บ้าน อายุ 20 ปี ชื่อ แมรี่ เจน โรเจอร์สัน ในวันที่ 12 ตุลาคม คำให้การของเขาค่อนข้างสับสน และต่อมาคุณหมอก็ถูกจับในข้อหาทำฆาตกรรมภรรยา ก่อนหน้านั้น ในเดือนกันยายน หญิงสาวคนหนึ่งพบห่อของหลายชิ้นถูกห่อด้วยหนังสือพิมพ์และมีเสื้อผ้าวางไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำข้างล่าง และเมื่อตำรวจไปถึงก็พบชิ้นส่วนมนุษย์มากกว่าเจ็ดสิบชิ้น เท้าซ้ายถูกพบห่อด้วยหนังสือพิมพ์ แขนขวาท่อนปลายและมือถูกวางทิ้งไว้ข้างถนน แพทย์นิติเวชได้ทำการตรวจชิ้นส่วนที่พบ และระบุว่ามีส่วนของศรีษะสองคน มีลำตัวสองท่อนของร่างเดียว มีแขนขามนุษย์สองคนครบชุด 15 ชิ้น ร่างกายถูกหั่นอย่างประณีตด้วยมีด ลูกตาทั้งสองข้างถูกควักออกจากกะโหลก ฟันหลายซี่ถูกถอน ตา จมูก ปลายลิ้น และริมผีปากถูกเฉือนออกหมด นิ้วมือเกือบทั้งหมดหายไปและมือก็ถูกหั่น จากการปะติดปะต่อข้อมูล พบว่า ร่างทั้งสองเป็นผู้หญิง กะโหลกของร่างหนึ่งยังไม่มีการปิดของรอยต่อที่กะโหลกศรีษะ แสดงว่าน่าจะอายุน้อยกว่า 30 ปี และแนวการเจริญเติบโตของกระดูกยาวก็ยังปิดไม่สนิท จึงน่าจะมีอายุระหว่าง 18-25 ปี ฟันกรามซี่ที่สามยังไม่ขึ้นแสดงว่าน่าจะมีอายุระหว่าง 18-21 ปี ส่วนอีกกะโหลกหนึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ตายน่าจะมีอายุระหว่าง 35-55 ปี และในศพนี้มีกระดูกครบทุกชิ้นจึงสามารถคำนวณความสูงได้ว่า น่าจะสูง 5 ฟุต 3 นิ้ว จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ศาสตราจาร์ยเจมส์ แบรช  แห่งภาควิชากายวิภาคของมหาวิทยาลัยเอดินเบิรก์ ผู้บุกเบิกศาสตร์อย่างใหม่ในงานนิติวิทยาศาสตร์ เขาได้นำรูปถ่ายของอิสเบลลาที่มีคุณภาพดีมาเปรียบเทียบกับรูปถ่ายของกะโหลกของร่างที่สองในมุมเดียวกัน ซึ่งปรากฏว่าเข้ากันได้ทุกจุดเมื่อนำมาซ้อนกัน และศ.แบรช ยังได้เตรียมหลักฐานอีกชิ้นคือ ใช้ส่วนผสมของเจลาตินและกลีเซอรีนมาสร้างเป็นเท้าของหญิงสาวทั้งสองคน ซึ่งเท้าจากร่างหมายเลขหนึ่งสามารถเข้าได้กับรองเท้าข้างซ้ายของ โรเจอร์สัน และเท้าจากร่างหมายเลขสองก็เข้ากันได้กับรองเท้าของ อิสเบลลา รักซ์ตัน ดร.บัค รักซ์ตัน จึงถูกตัดสินว่าเป็นฆาตกรฆ่าหญิงสาวทั้งสอง ซึ่งในที่สุดก็ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในวันที่ 12 พฤษภาคม 1936 จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 12 รอยกัด...... รอยกัดของคนจะมีความแตกต่างจากรอยกัดของสัตว์นะคะ คน ....เป็นรูปตัวยู รอยกัดที่เกิดจากฟันเขี้ยวมักเห็นไม่ชัด รอยกดจะกว้างและฟูกว่ารอยกัดของสัตว์ หมา....เป็นรูปสี่เหลี่ยมโค้งแคบกว่า มีรอยกดของเขี้ยวเห็นได้ชัด แมว....มีวงกลมเล็กๆและมีรูทะลุจากรอยเขี้ยว หนู....  รอยกัดมีขนาดเล็ก และมีแนวกดยาวเกิดจากฟันหน้า โดยทั่วไปรอยฟันกัดจากสัตว์ มักมีรอยข่วนจากเล็บของสัตว์ชนิดนั้นๆ ด้วย ในกรณีไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ ฟันอาจถูกใช้เป็นอาวุธ การกัดจะแรงและเร็วไม่มีการดูดเนื้อเข้าไป โดยทั่วไปมักมีสีแดงและไม่มีการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอย บางครั้งอาจพบการกัดที่นิ้ว ปลายจมูก ลิ้นหรือหู ส่วนในกรณีที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ มักมีการดูดช้าๆ (รอยกัดแห่งรัก) ซึ่งกรณีนี้ฟันจะจับยึดไว้ขณะดูด ทำให้เกิดสีแดงตรงกลางหรือเป็นวงโดยรอบ แต่บ่อยครั้งไม่พบรอยกดของฟัน จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:13:12 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอแก้ไข คห. นี้นะคะ เนื่องจากรูปประกอบใหญ่มาก น่ากลัวเกินค่ะ แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 51 22:15:50 จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปาดดดด & โหวตก่อน จากคุณ : winterpluk (Winter_pluK) - [ 15 ธ.ค. 51 22:15:57 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โพสใหม่ค่ะ ย่อรูปแล้ว. รอยกัด จับฆาตกรต่อเนื่องผู้โด่งดัง เท็ด บันดี้ (Ted Bundy) ในวันที่ 15 มกราคม 1978 ชายคนหนึ่งบุกเข้าไปในบ้านทาลลาฮาสซี ซึ่งเป็นสมาคมสตรีในมหาวิทยาลัยฟลอริดา สเตท เขาได้ทำร้ายผู้หญิงสี่คนอย่างโหดร้าย สองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกสองคนคือ มาร์กาเร็ต โบร์แมน และ ลิซ่า เลวี ถูกฆ่าเสียชีวิต คนร้ายทิ้งไว้เพียงรอยกัดที่แก้มก้นของเลวี.. หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ชายคนหนึ่งถูกจับ เขาชื่อ เท็ด บันดี้ ฆาตกรที่กระทำผิดร้ายแรงและต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอีกด้วย เมื่อถูกขอให้พิมพ์ฟันเพื่อพิสูจน์ บันดี้ปฎิเสธ แต่นักสืบก็ได้รับอนุญาตให้พิมพ์ฟันแม้บันดี้จะไม่ยอม คุณหมอริชาร์ด ซูไวรอน ฑันตแพทย์ได้ถ่ายรูปภาพสีของฟันอันขรุขระของเขา ทั้งจากด้านหน้าและด้านในของปากก่อนจะสร้างพิมพ์ฟัน การพิจารณาคดีฆาตกรรมของบันดี้ได้เริ่มขึ้น โดยบันดี้ได้เป็นทนายแก้ต่างให้ตัวเอง คุณหมอซูไวรอน ได้นำหลักฐานชิ้นสำคัญแสดงในศาล โดยนำพิมพ์ฟันที่ทำไว้เทียบกับภาพถ่ายขนาดใหญ่จากรอยกัดที่ก้นของเลวี และได้แสดงให้เห็นว่าหลักฐานทั้งสองตรงกันทุกประการ บันดี้ถูกตัดสินว่ามีความผิด ก่อนที่จะถูกส่งไปประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า เขาได้พูดเป็นนัยๆว่า “เหยื่อที่เขาฆ่ามีมากกว่าสี่สิบคน” แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 51 07:08:51 จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 การปั้นใบหน้าจากกะโหลก....... ในบางสถานการณ์ไม่สามารถใช้การตรวจกะโหลกและฟัน ในการพิสูจน์บุคคลได้ เช่นในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่าหนึ่งคนอยู่ในสภาพชิ้นส่วนกระจัดกระจาย คงต้องมีนักกายวิภาคและนักมานุษยวิทยาที่เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยพิสูจน์ และอาจต้องมีช่างปั้นทางนิติวิทยาศาสตร์มาจินตนาการบนพื้นฐานนของโครงสร้างกะโหลกแล้วปั้นใบหน้าออกมา การปั้นใบหน้าเริ่มจากการหล่อกะโหลกศีรษะด้วยพลาสติกที่ยืดหยุ่นแต่แข็งให้เหมือนกะโหลกที่พบ หลังจากนั้นทำความสะอาด ต่อมาใส่ลูกตาที่ทำจาก โพลีสไตรีน ตำแหน่งสำคัญทางกายวิภาคให้เจาะรูและใส่หมุดที่ทำจากไม้ลักษณะคล้ายไม้จิ้มฟัน เพื่อกำหนดความหนาของเนื้อในบริเวณนั้น ส่วนของกล้ามเนื้อและลักษณะอื่นๆ ถูกเติมโดยปั้นดินตามความสูงของหมุด รูปร่างของหูและจมูก อาจยากที่สุดในการปั้น เนื่องจากกะโหลกให้ข้อมูลน้อยมาก ประสบการณ์ของนักปั้นจึงมีส่วนสำคัญมาก โหนกแก้มและขมับจะถูกเติมเป็นลำดับถัดมา เนื้อบางๆ ที่หนังศีรษะจะถูกติดเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นก็เติมผมปลอม แต่ขนคิ้ว ขนตา ก็จบขั้นตอนการปั้น จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ปั้นใบหน้า พิสูจน์รายชื่อเหยื่อ มัดตัวฆาตกรโหด จอห์น เวนย์ เกซี (John Wayne Gacy) สำหรับสังคมเมืองเดส์ เพลนส์ แล้ว จอห์น เวนย์ เกซี เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่ดูภูมิฐาน เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงในสมาคมการค้าของนักธุรกิจรุ่นใหม่ แถมยังชอบแต่งตัวเป็นตัวตลกในงานการกุศลซะด้วย แต่เมื่อมีเด็กหนุ่มชื่อ โรเบิรต์ เพียส อายุเพียง 15 ปี ได้หายตัวไป และมีพยานเห็นว่า เขาไปหาเกซีที่บ้าน ตำรวจจึงเริ่มตรวจสอบประวัติของเขา จากประวัติพบว่าเกซีเคยตกเป็นจำเลยในคดีทางเพศติดคุกมานานกว่าสิบปี ในข้อหารักร่วมเพศทางทวารหนักกับเด็กชายคนหนึ่ง และเมื่อตำรวจไปค้นที่บ้านของเขา ก็ถึงกับผงะ ในบ้านพบชิ้นส่วนมนุษย์เน่าเฟะปะปนกับขี้โคลนสีดำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการพิสูจน์บุคคลโดยนายแพทย์ โรเบิรต์ สไตน์ โดยใช้ประวัติฟันเอกซเรย์ ลายพิมพ์นิ้วมือ และยังได้นายแพทย์ไคลด์ สโนว์ผู้มีชื่อเสียงด้านนี้เข้าร่วมพิสูจน์ด้วย นายแพทย์ สโนว์ ได้ใช้หลักการเปรียบเทียบตำแหน่งเฉพาะบนกะโหลกแต่ละใบ รอยต่อที่กะโหลก การปิดของแนวการเจริญเติบโตของกระดูกยาว แต่เนื่องจากมีศพเป็นจำนวนมาก นายแพทย์สโนว์จึงตัดสินใจเชิญเบ็ตตี้ แอนกัทลิฟ ผู้เชี่ยวชาญการปั้นใบหน้า เธอได้ทำการปั้นใบหน้าจากกะโหลก และส่งรูปภาพไปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จากทุกวิธีการที่ทำการพิสูจน์บุคคล ระบุได้ว่า ชิ้นส่วนที่พบมากมายในบ้านของเกซีนั้น ล้วนเป็นร่างของเด็กหนุ่มและเด็กชายถึง 33 คน จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Let vote this topic+bookmark I'll read it tomorrow na primjang thanks ja. จากคุณ : Cryptomnesia - [ 15 ธ.ค. 51 22:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 กะโหลกกระดูกบอกได้เพียงถูกฆาตกรรม อัลเฟิร์ด แพคเกอร์ (Alferd Packer) ในฤดูหนาวที่หนาวจัดมากในปี 1874 คณะสำรวจหกคนได้ขุดอุโมงค์อยู่ในหุบเขาที่โคโลราโด เมื่อหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิมีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด และดูแข็งแรงสมบูรณ์ดี เขาผู้นี้ชื่อ อัลเฟิร์ด แพคเกอร์ แพคเกอร์ยอมรับว่าเขากินเนื้อของเพื่อนร่วมงานห้าคน แต่เขาอ้างว่าพวกนั้นเสียชีวิตตามธรรมชาติ และเขาฆ่าเพียง แชนนอน เบล คนเดียวโดยอ้างว่า เพราะ เบลจะฆ่าเขา เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในปี 1883 เพราะลูกขุนไม่เชื่อที่เขาเล่า แต่อย่างไรก็ตามเขาถูกลดโทษเหลือเพียงจำคุก 15 ปี หลังออกจากคุกเขากลายเป็นผู้นำชุมชนในท้องถิ่นอยู่หลายปี  และในปี 1989 ศาสตราจารย์ทางกฎหมายและนิติวิทยาศาสตร์ชื่อ เจมส์ สตาร์ส แห่งมหาวิทยาลัย จอร์จ วอชิงตัน ได้นำทีมนักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา มาค้นหาร่างของเหยื่อที่เหลือ เขาได้พบครบทั้งห้าศพ ร่องรอยบนกระดูกชี้ให้เห็นว่าสี่คนในเหยื่อทั้งหมดถูกตีจนตายโดยด้ามขวาน และมีร่องรอยใช้มีดแล่เนื้อออกอย่างระมัดระวัง และจากการใช้เวลาร่วมเดือนในการศึกษาโครงกระดูก เขาพบเพียงว่าทั้งหมดถูกฆ่า แต่ เขากล่าวว่า.. ”เราไม่รู้ว่าใครทำ จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่และเราคงไม่สามารถรู้ได้แน่นอน” จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ร่องรอยสุดท้ายค่ะ ร่องรอยที่ฆาตกรมักกลัวที่จะทิ้งไว้เสมอ.. ลายนิ้วมือปริศนา ทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ลายนิ้วมือ ลายฝ่ามือ และฝ่าเท้า เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน ซึ่งรอยพิมพ์นิ้วมือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้านี้ ก็เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือในการพิสูจน์บุคคล และยิ่งมีระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใช้ ก็ทำให้การแยกแยะลายพิมพ์นิ้วมือเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ลายนิ้วมือของบุคคลจะประกอบด้วยลายรูปแบบต่าง ๆ กันหลากหลายรูปแบบ โดยลายจะประกอบด้วยเส้นร่อง (Valleys) และเส้นนูน (Ridges) โดยเส้นเหล่านี้จะวิ่งคู่ขนานกันไปเกือบทุกตำแหน่งในลายนิ้วมือ โดยจะมีทั้งเอกลักษณ์หลักและเอกลักษณ์รองที่สามารถหาได้จากลายนิ้วมือ โดยจะมีลักษณะเป็นเส้นที่เชื่อมต่อกัน, ลายตัด, รอยจ้ำ, รอยแตก และรอยด้าน ในลายนิ้วมือ สิ่งเหล่านี้สามารถใช้ระบุเจ้าของลายนิ้วมือได้ ซึ่งในการตรวจลายนิ้วมือในที่เกิดเหตุ ก็สามารถทำได้หลายวิธี เทคนิคพื้นฐานก็คือการปัดฝุ่น โดยการใช้ฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากๆ โดยใช้แปรงขนอูฐหรือที่เป่าคล้ายๆ ขวดสเปรย์น้ำหอม ฝุ่นที่ใช้ในการตรวจในช่วงแรกๆ คือผงปรอทและชอล์ก แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว เช่น ผงฝุ่นแม่เหล็ก ฝุ่นสีและเรืองแสงก็มีการนำมาใช้ในการตรวจด้วย จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:27:01 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ฆาตกรจนมุม จากลายนิ้วมือ ริชาร์ด รามิเรซ (Richard Ramirez) “นักล่าเหยื่อกลางคืน” ในระหว่างเดือนมิถุนายน ปี 1984 ถึงเดือนสิงหาคม ปี 1985 ชาวเมืองในแถบชานเมืองของลอส แองเจลีส ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัว ฆาตกรต่อเนื่องที่มีฉายาว่า “นักล่าเหยื่อกลางคืน” เขามักจะบุกเข้าไปในบ้านตอนเช้ามืด และมักจะยิงเหยื่อที่เป็นผู้ชายที่ศรีษะ จากนั้นก็ลงมือข่มขืนผู้หญิงซึ่งบางรายเขาก็ฆ่าทิ้งเสียด้วย มีผู้หญิงรายหนึ่งที่เขาไว้ชีวิต และเธอให้การกำตำรวจว่า ฆาตกรมีลักษณะผอม ผิวดำ ผมหยิก ดวงตาเป็นประกาย ฟันผุเต็มปาก และกลิ่นตัวแรงมาก ในคืนวันที่ 17 สิงหาคม ฆาตกรบุกเข้าไปในบ้านของ วิเลียม คาร์นส์ ยิงคาร์นส์ถึง 3 นัด และยังข่มขืนคู่หมั้นของคาร์นส์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม คาร์นส์ ไม่เสียชีวิตแต่สมองถูกทำลายถาวร ส่วนคู่หมั้นต้องอยู่กับประสบการณ์ที่เลวร้ายไปตลอดชีวิต และเธอเห็นฆาตกรขับรถโตโยต้าสีส้ม วันหนึ่งมีวัยรุ่นพบรถคันดังกล่าวจอดทิ้งไว้ในที่จอดรถ ตำรวจได้นำรถไปตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือโดยใช้เลเซอร์แสกน และไม่กี่วันหลังจากนั้น หน่วยคอมพิวเตอร์ก็ประมวลข้อมูล ลายนิ้วมือทั้งหมดที่พบ ชื่อของ ริชาร์ด รามิเรซ อายุ 25 ปี คนจรจัดจาก เอล ปาโซ ก็ปรากฏขึ้น ภาพถ่ายพร้อมรายละเอียดได้ถูกกระจายไปตามสื่อทันที โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ และเมื่อเขาเขาไปในร้านขายเหล้า ผู้คนก็จำเขาได้ และเขาก็ถูกจับ วันที่ 20 กันยายน 1989 รามิเรซถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม 13 ราย และคดีอาชญากรรมรุนแรงอื่นๆ อีก 30 ราย และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:28:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 Every Contact Leaves a Trace ทุกครั้งที่มีการกระทำต่อกัน จะต้องมีการทิ้งร่องรอยไว้เสมอ คำกล่าวของนักนิติวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ ดอกเตอร์ เอ็ดมอนด์ โลคาร์ด (Edmond Locard 1877 – 1966) ขอบคุณ http://www.google.co.th/ สำหรับภาพประกอบค่ะ จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ.. ไปนอนก่อนแล้ว เมื่อวานตากฝนมานิดหน่อยค่ะ..พรุ่งนี้เช้า จะแวะเข้ามาดูใหม่นะคะ. ฝันดีทุกคนค่ะ..(แล้วให้อ่านกระทู้แบบนี้เนี่ยนะ primjang ) จากคุณ : primjang - [ 15 ธ.ค. 51 22:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านก่อนนอน  หลอนก่อนนอนค่ะ ^^~ จากคุณ : วนิลาหล่นใส่ชาเย็น - [ 15 ธ.ค. 51 22:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มาอ่านจร้า.... จากคุณ : iamnid - [ 15 ธ.ค. 51 22:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ม่วนดี จากคุณ : PIMMIE - [ 15 ธ.ค. 51 22:50:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณค่ะ  หลอนก่อนนอนจริงๆด้วย จากคุณ : rosella - [ 15 ธ.ค. 51 23:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากค่ะ เราสนใจทางด้านนี้มากเลยชอบ ๆ คดีก้องโลก นี่มี2เล่มใช่ปะคะ เราเพิ่งอ่านเล่ม1ไปเอง จากคุณ : ญ.มะขวิดศรี - [ 16 ธ.ค. 51 00:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ชอบ และเป็นกำลังใจให้ จขกท โพสเรื่องโหดๆ ก่อนนอนต่อไป ได้ความรู้มากๆ เลยค่า จากคุณ : คืนนี้ไม่เหมือนคืนนั้น - [ 16 ธ.ค. 51 00:58:51 ]

ความคิดเห็นที่ 30 . . . น่าสนใจ . . . จากคุณ : MIG-ON-THE-WAY - [ 16 ธ.ค. 51 01:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ซาหนุกหลายๆค้า  เหมือนได้ดู CSI จากคุณ : nuch_tiew - [ 16 ธ.ค. 51 03:32:56 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวต คะแนน give และขอบคุณที่ติดตามอ่านกันค่ะ.. (ขอบคุณเหมือน สส.เลยวุ้ย..) จากคุณ : primjang - [ 16 ธ.ค. 51 08:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ ขอบคุณที่ทำให้มีกระทู้สาระได้อ่าน  .... จากคุณ : ช่อเอี้อง - [ 16 ธ.ค. 51 08:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ได้ความรู้มากมายจริง ๆ เป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ เห็นด้วยกับคห. 31 ค่ะ ชอบซีรีย์เรื่องนี้มาก ๆ ^ ^ จากคุณ : PhanEh - [ 16 ธ.ค. 51 09:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 นึกถึงเรื่อง สืบจากศพเลยอ่ะ จากคุณ : vn, man - [ 16 ธ.ค. 51 09:13:31 ]

ความคิดเห็นที่ 36 น่าสนใจมากครับ จากคุณ : ksk - [ 16 ธ.ค. 51 09:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ชอบเรื่องแบบนี้ โศกเศร้าเคล้าเลือดและน้ำหนอง จากคุณ : AW Milan - [ 16 ธ.ค. 51 09:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณหลายเด้อ.. จากคุณ : จั๋กเด่ะ - [ 16 ธ.ค. 51 09:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณครับ ถึงจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ของคุณหมอพรทิพย์แล้วก็ตาม แต่อ่านอีกทีเหมือนว่าบางอันจะเป็นข้อมูลนอกเหนือหนังสือด้วย สนุกดีครับ จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 16 ธ.ค. 51 10:17:27 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จบข่าว จากคุณ : ไม่มีการศึกษา - [ 16 ธ.ค. 51 10:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 41 - อืม... ขอบคุณครับ (^ ^) จากคุณ : - License To Kill - - [ 16 ธ.ค. 51 10:36:03 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณพริมมากๆ ได้ความรู้อีกแล้ว อ่านแล้วคิดถึงตอนไปสึนามิเลย ตอนไปช่วยหาวัตถุพยาน หมอก็สอนว่า ขนาดของหนอนแมลงวันก็สามารถบอกได้นะ ว่าผู้ตายตายมาแล้วประมาณกี่วัน เพิ่มข้อความจ้า แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 51 10:38:59 จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 16 ธ.ค. 51 10:37:29 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สนุกดีค่ะ.. ขอบคุณมาก.. ^^ จากคุณ : แมลงสาบเทวีราชินีกะจั๊ว - [ 16 ธ.ค. 51 10:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 thk จากคุณ : พิราบเขียว (พิราบเขียวแห่งที่ราบสูง) - [ 16 ธ.ค. 51 11:01:51 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ยอดไปเลย จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน - [ 16 ธ.ค. 51 11:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ดีที่ไม่มีภาพประกอบสยองๆเท่าไหร่ แค่เห็นมือโดนเฉือนก็ต้องรีบเลื่อนแล้ว - -'' ชอบค่ะอ่านเพลินดี อิอิ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 51 12:02:41 จากคุณ : Choco-Mix - [ 16 ธ.ค. 51 12:01:25 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านแล้วคิดถึงความหลัง เมื่อปีก่อนเรานั่งอ่านเรื่องฆาตรกรต่อเนื่องที่ดัง ๆ เยอะแยะ ส่วนใหญ่ที่จับได้ก็เพราะร่องรอยเหล่านี้แหละ จากคุณ : ป่านฉะนี้เธออยู่ดีไฉน - [ 16 ธ.ค. 51 12:56:22 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เยี่ยม.... จากคุณ : ฮักเมาน้องหล้า - [ 16 ธ.ค. 51 13:40:41 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ชอบเรื่องนี้มากเลย จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 16 ธ.ค. 51 15:05:24 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แวะมาให้กิฟก่อนจ้า จากคุณ : maikeet - [ 16 ธ.ค. 51 15:23:12 ]

ความคิดเห็นที่ 51 กระทู้ดีๆก่อนปีใหม่ค่ะ ^^ ชอบจังกระทู้นี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูลทั้งหมดนะคะ โหวต+ให้giveแล้วจ้า จากคุณ : xenonz - [ 16 ธ.ค. 51 15:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณที่นำเรื่องน่ารู้มาให้อ่านค่ะ จากคุณ : เมอแรงก์มะนาว - [ 16 ธ.ค. 51 19:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ^ ^ จากคุณ : ฟินจัง - [ 16 ธ.ค. 51 19:43:14 ]

ความคิดเห็นที่ 54 โหวต จากคุณ : env42_tay - [ 16 ธ.ค. 51 21:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ที่ศิริราชก็มีพิพิธภัณฑ์ นิติเวชวิทยานะครับ มีตัวอย่างให้ดูเยอะแยะเลย หลายแบบด้วย ^^ จากคุณ : HamyLee - [ 16 ธ.ค. 51 22:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 56 โหวตค่ะ ได้ความรู้มากๆ พรุ่งนี้มาอ่านต่อ จากคุณ : Pretty_Cute_Girl - [ 16 ธ.ค. 51 23:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 น่าติดตามมาก แต่น่ากลัวจัง จากคุณ : rainfull - [ 17 ธ.ค. 51 00:09:51 ]

ความคิดเห็นที่ 58 จาก คห.ของ ผุ๋งผิ๋ง ..เรื่องหนอนในศพ..เลยไปค้นมาโพสต่อให้ค่ะ.. หนอนในศพ ในอากาศเปิด ร่างกายของศพจะเริ่มเน่า แมลงก็จะบินมาตอม มันจะวางไข่ และในระยะเวลาสั้นๆ (ตามช่วงเฉพาะตามชนิดของแมลง) จากนั้นไข่ก็เริ่มเป็นตัวอ่อน จากตัวอ่อนเป็น ปิวปา (pupa) จากนั้นก็กลายเป็นแมลงอีกครั้ง และถ้ายังไม่ศพยังไม่ถูกพบ แมลงก็จะวางไข่เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ และถ้าเรารู้พฤติกรรมและวงจรของแมลงแต่ละชนิด ก็จะสามารถคำนวณย้อนกลับเพื่อหาระยะเวลาการเสียชีวิตได้จากช่วงของการวางไข่ แมลงตัวแรกๆที่มาถึงมักเป็น แมลงบลูบอทเทิล และตัวสุดท้ายมันเป็นเต่าทอง (โอ้ว! เต่าทองแสนน่ารัก ) แมลงบลูบอทเทิลมักวางไข่ที่ที่มีแผล ที่ตา ที่ริมฝีปาก และช่องต่างๆ เช่นช่องหู ช่องคลอด หลังจากวางไข่ 8-14 ชม.ต่อมาไข่ก็จะฟักเป็นตัวอ่อน หนอนตัวเล็กๆ จะเริ่มเกิดขึ้น อีก 8-14 ชม.ต่อมาหนอนตัวเล็กๆ จะเริ่มพัฒนา ชอนไชผิวหนัง อีก 2-3 วันจะเข้าสู่ระยะฟักตัวระยะที่สอง อีก 6 วัน เข้าสู่ระยะฟักตัวระยะที่สาม ตัวหนอนจะมีสีครีมขาว กินจุมาก จากนั้นตัวหนอนเหล่านั้นก็จะเคลื่อนที่ออกจากศพไปฝังตัวในพื้นดิน  ก่อนกลายร่างเป็นแมลงบินออกไป ใช้เวลาทั้งวงจร 12 วัน แมลงบลูบอทเทิลชอบกินเนื้อสดๆ ดังนั้นเมื่อมันฟักตัวเสร็จเรียบร้อยมันจึงไม่ย้อนกลับมาที่ศพอีก.. ยังมีแมลงอีกหลายชนิดที่อาจพบได้ในศพ เช่น แมลงวันหลายชนิด แมลงหวี่ แมลงเต่าทอง หนอนผีเสื้อ หรือแม้แต่ตัวต่อ ในภาพคือ บลูบอทเทิล (Bluebottle) จากคุณ : primjang - [ 17 ธ.ค. 51 10:48:58 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แมลงบางชนิดเช่น แมลงโลงศพ (Coffin fly) สามารถฝังตัวในดินแล้วหาทางเข้าใปในโลงศพที่ปิดอยู่จนได้ (น่าจะได้รางวัลความพยายามดีเด่นแห่งปีจริงๆ ) จากคุณ : primjang - [ 17 ธ.ค. 51 10:50:49 ]

ความคิดเห็นที่ 60 หนอนไขเวลาการตาย วิลเลียม บริทเทิล (William Brittle) วันที่ 28 มิถุนายน 1964 เด็กชายสองคนกำลังค้นหาตัวหนอนจากร่างของกระต่ายและนกพิราบที่เน่าในป่าเบิร์กเซอร์ในอังกฤษ ทั้งสองพบก้อนไขมันที่เดือดปุดๆมีหนอนบลูบอทเทิลเต็มไปหมด และเมื่อดึงหญ้าที่ปกคลุมออกก็พบสิ่งน่าสะพรึงกลัว..เพราะมันคือท่อนแขนของมนุษย์ที่เน่าเฟอะ และเมื่อตำรวจมาถึง ก็พบร่างที่เน่าเปื่อย ตำรวจประมาณจากการเน่าว่าศพถูกทิ้งไว้ไม่ต่ำกว่า 6-8 อาทิตย์ แต่พยาธิแพทย์คีท ซิมป์สันไม่เห็นด้วย เขาคำนวณจากสภาพหนอน แล้วให้ความเห็นว่า ศพน่าจะถูกทิ้งไว้ประมาณ 9-10 วัน แต่ไม่มากกว่า 12 วัน การตายน่าจะเกิดขึ้นวันที่ 16 หรือ 17 มิถุนายน ตำรวจตรวจแฟ้มคนหาย พบว่า มีชื่อ ปีเตอร์ โทมัส หายไปวันที่ 16 มิถุนายน และจากการพิสูจน์บุคคลจากศพ พบว่า เป็นศพของเขา เขาเสียชีวิตจากการถูกตีอย่างแรงที่ลำคอครั้งเดียว วิลเลียม บริทเทิล คือผู้ต้องสงสัย เขาเป็นหนี้โทมัส และเคยเรียนรู้วิธีต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธจากกองทัพ มีพยานเห็นว่า เขาอยู่กับโทมัสเป็นคนสุดท้าย ในที่สุดคณะลูกขุนก็ตัดสินใน จำคุกตลอดชีวิต วิลเลียม บริทเทิล จากคุณ : primjang - [ 17 ธ.ค. 51 10:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 61 โอ้วๆ! เยี่ยมครับๆ ขอบคุณคุณ primjang สำหรับแบ่งปันความรุ้ด้วยคร้าบ ^__^ จากคุณ : silence.screamer - [ 17 ธ.ค. 51 11:26:12 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โหวตด้วยคนครับ จากคุณ : sommass - [ 17 ธ.ค. 51 12:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 63 กระทู้ดีมีสาระครับ จากคุณ : axquest - [ 17 ธ.ค. 51 13:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 64 โหวตค่ะ เยี่ยม จากคุณ : ข้าวยำหมูตุ๋น - [ 17 ธ.ค. 51 15:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณค่ะ ปล. ขอบคุณคุณหมอพรทิพย์ด้วยค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 17 ธ.ค. 51 15:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 66 แจ่มๆๆ ความจริงอยากได้รูปประกอบแบบถึงใจ แต่อีกใจเกรงจะฝันร้ายซะก่อน แหะๆ จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 17 ธ.ค. 51 22:27:34 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขออนุญาตเสริมข้อมูลเรื่อง กระดูกและกะโหลก ได้มั๊ยเอ่ย   ------------------------------------------- ข้อมูลที่เราสามารถได้จากการตรวจวิเคราะห์กระดูกเบื้องต้นก็จะมี เพศ, อายุ, เชื้อชาติ, ส่วนสูง, ร่องรอยผิดปกติบนกระดูกและโรคที่เคยเป็น [sex, age, race, stature, trauma and pathology] งานทางการด้านการตรวจวิเคราะห์กระดูกทางด้านนิติเวช มีชื่อเรียกว่า นิติมานุษยวิทยา [Forensic anthropology] ซึ่งเป็นสาขาย่อยของ มานุษยวิทยากายภาพ [physical หรือ biological anthropology] อีกทีนึง เดี๋ยวเอาไว้ว่าง ๆ หน่อยจะตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แยกไปเลยดีกว่า เพราะเชื่อว่าคนคงจะไม่ค่อยรู้จักงานทางด้านนี้ซักเท่าไหร่ ตอนแรกว่าจะเขียนรายละเอียดในกระทู้นี้แล้วแต่เขียนไปเขียนมาแล้วมันเยอะมากเลย ก็เลยลบทิ้งไปหมด จะให้เขียนย่อ ๆ ไปก่อนก็กลัวจะไม่เข้าใจกัน เอาไว้มีเวลาแล้วเขียนละเอียด ๆ พร้อมกับเอารูปประกอบมาให้ดูไปเลยดีกว่าเน๊อะ ------------------------------------------- ระหว่างนี้ถ้าใครมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับงานทางด้าน forensic anthro. ก็ถามมาได้เลย [ขออนุญาต จขกท. ไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ] ยินดีตอบค่ะ   จากคุณ : ลูกน้องหมอพรทิพย์ (when i'm feeling .. blue) - [ 17 ธ.ค. 51 23:41:34 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ขออนุญาต จขกท. แก้ไขข้อมูลอีกนิดนะคะ   จาก คห. 7 เครื่องมือวัดกระดูกที่ว่า เรียกว่า Osteometric board จาก คห. 9 การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากฟัน เรียกว่า Forensic odontology หรือ Forensic dentistry ค่ะ [อย่าตกคำว่า Forensic เชียว   ^^" ] จากคุณ : when i'm feeling .. blue - [ 17 ธ.ค. 51 23:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณ คุณ when i'm feeling .. blue มากเลยค่ะสำหรับข้อมูล จากคุณ : primjang - [ 18 ธ.ค. 51 08:40:48 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ด้วยความยินดีจ้า     จากคุณ : when i'm feeling .. blue - [ 18 ธ.ค. 51 10:02:53 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณค่ะมีประโยชน์มากจริงๆ จากคุณ : PJ-Studio - [ 18 ธ.ค. 51 13:02:04 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อ่านกระทู้นี่แล้วนึกถึงหนังฮ่องกงเรื่อง Forensic Heroes เลยค่ะ อารมณ์เดียวกันเป๊ะ จากคุณ : ดาวหางในเมืองมูมิน - [ 18 ธ.ค. 51 19:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 18 ธ.ค. 51 22:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ... เข้ามาดูเช่นกันครับ จากคุณ : Love Krittaya - [ 19 ธ.ค. 51 02:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 75 แค่อ่านชื่อกระทู้  ก็เดาคนเขียนได้แล้วค่ะ จขกท โหดได้ใจจริง ๆ ขอบคุณหน่ะค่ะ จากคุณ : eissee - [ 19 ธ.ค. 51 02:22:38 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยยยย โฮ้วววววววว~ โหวต โหวต โหวต เก็บโลด จากคุณ : ชนวนกลาง - [ 19 ธ.ค. 51 06:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 77 อึ้ง! แนวกระทู้ตรงข้ามกับชื่อ (ล้อเล่นครับ อิอิ) อ่านสนุก ได้สาระ บางจุดไม่เคยรู้มาก่อน เป็นศาสตร์ที่ใส่ใจในรายละเอียดเป็นอย่างมาก ต่อไปเวลาทักแผลใครก็พอจะเดากันออกแล้ว จากคุณ : เข้มเท่านั้น - [ 19 ธ.ค. 51 14:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ^ ^ งั้นเดี๋ยวกระทู้ต่อไป ออกจากโหมดโหด...เป็นโหมดหวาน-หวาน บ้างก็ได้ค่ะ.. จากคุณ : primjang - [ 19 ธ.ค. 51 14:41:34 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ลูกศิษย์ คุณหมอมาเองเหรอป่าวเนี่ย จากคุณ : lightfellow - [ 19 ธ.ค. 51 17:24:34 ]

ความคิดเห็นที่ 80 สงสัยอะค่ะ ถ้าเกิดเราไปฆ่าคนโดยที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นเลย เราทิ้งศพคนที่เราฆ่าไว้ตรงที่เกิดเหตุเลย แล้วตำรวจพบรอยนิ้วมือเรา ตำรวจจะไปตรวจสอบกับ อะไรบ้างหรอค๊ะ ถึงจะรู้ได้ว่าเราเป็นคนฆ่าอะค่ะ มีอีกข้อนึงจ้า ถ้าเกิดเราไปฆ่าคน โดยที่ใส่ถุงมือไว้ แบบนี้ก็จะสืบมาถึงเราได้ยากกว่าเดิมใช่มั้ยค๊ะ แล้วจะมีโอกาสรู้ได้มั้ยอ่า ว่าเป็นเรา ปล. คำถามอาจจะดูซื่อบื้อ แต่อยากรู้จริงๆ จ้า ^^ จากคุณ : คิมยูริน - [ 19 ธ.ค. 51 20:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ตำรวจจะเก็บลายนิ้วมือของคนร้าย จากนั้นเจ้าหน้าที่จะแยกประเภท ตามลักษณะของลายนิ้วมือ ให้รหัสเป็นตัวเลข และเก็บไว้ในฐานข้อมูล แล้วทำการนำส่งไปยังแผนกทะเบียนประวัติอาชญากร เพื่อเปรียบเทียบลายนิ้วมือนั้นอีกทีว่าตรงกับใครค่ะ.. ทีนี้ถ้าผู้กระทำผิดไม่เคยมีประวัติอาชญากรมาก่อน ตำรวจก็จะไม่สามารถหาพบ ทำให้ต้องลำบากมากขึ้นไปอีก อาจจะต้องติดตามสืบหาจากสำนักงานเก็บรักษาลายนิ้วมือในท้องที่ใกล้เคียงหรือจากตำรวจหน่วยอื่น อีกที ซึ่งบางทีก็หาไม่พบ ตำรวจจึงต้องใช้หลักฐานแวดล้อม และหลักฐานอื่นๆ รวมทั้งพยาน ประกอบด้วยในแต่ละคดีไปค่ะ.. รวบรวมจากหนังสือที่มีกับโทรถามพี่-พี่ที่เป็นตำรวจมาให้ค่ะ... จากคุณ : primjang - [ 19 ธ.ค. 51 21:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณมากค่ะคุณ primjang ที่นำ่ความรู้มาให้อ่านอยู่เรื่อยๆเลย จากคุณ : kekodes - [ 19 ธ.ค. 51 22:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ตอบ คห.80 ค่ะ "ถ้าเกิดเราไปฆ่าคน โดยที่ใส่ถุงมือไว้ แบบนี้ก็จะสืบมาถึงเราได้ยากกว่าเดิมใช่มั้ยค๊ะ แล้วจะมีโอกาสรู้ได้มั้ยอ่า ว่าเป็นเรา" ยากกว่าเดิมมั๊ย ก็ต้องตอบว่ายากกว่าเดิมค่ะ ส่วนจะมีโอกาสรู้ได้มั๊ยว่าเป็นเรา ตอบเลยว่ามีค่ะ เหตุผลที่ตอบแบบนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปที่ คห.22 นะคะ Locard's exchange principle Every Contact Leaves a Trace ทุกครั้งที่มีการกระทำต่อกัน จะต้องมีการทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ในกรณีที่ใส่ถุงมือเนี่ย อย่างน้อยก็จะช่วยให้ไม่มี fingerprint ของเราอยู่ในที่เกิดเหตุ รวมไปทั้ง DNA ของเรา ที่อาจไปติดอยู่กับวัตถุใด ๆ ที่เราไปหยิบไปจับมันด้วย แต่ ก็ใช่ว่านอกจาก 2 อย่างที่ว่าแล้ว เราจะไม่ทิ้งร่องรอยอื่น ๆ ไว้ในที่เกิดเหตุอีกเลย เส้นผมของเราล่ะ เส้นใยจากเสื้อผ้าของเราล่ะ รอย footprint ล่ะ[หากเดินเท้าเปล่า] รอย shoeprint ล่ะ หรือแม้กระทั่ง DNA ที่อาจะเกิดจากการที่ส่วนอื่นของร่างกายเราไปสัมผัสกับวัตถุใด ๆ ในที่เกิดเหตุ นี่ยังไม่รวมถึงข้อมูลที่อาจได้จากพยานบุคคลหรืออะไรพวกนั้นอีกนะคะ คนร้ายทั่วไปน่ะทิ้งหลักฐานไว้ให้เราเก็บโดยไม่รู้ตัวประจำแหล่ะค่ะ   แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 51 22:37:44 จากคุณ : when i'm feeling .. blue - [ 19 ธ.ค. 51 22:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อ๋อออ เข้าใจละค่า แอบสงสัยมาตั้งแต่เด็กละ ว่าจะตำรวจหารู้ได้ไงว่าเราเป็นฆาตกร ขอบคุณมากเลยค่า ^^ จากคุณ : คิมยูริน - [ 20 ธ.ค. 51 00:51:02 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เคยไปดูงานที่กระทรวงยุติํธรรมมา ที่ประชาชื่น ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์นี่แหล่ะ ไปดูมาละ ได้ความรู้เยอะมาก (เจอในกระทู้นี้ก็เยอะ อิอิ) เท่าที่จำได้คร่าวๆนะ แค่ฝุ่นดินในตัวศพ ก็สามารถตรวจสอบได้ว่าศพถูกนำมาจากที่อื่น และนำมาจากที่ไหน หรือว่าถูกฆาตกรรมตรงนั้น พี่ จนท บอกว่าดินแต่ละที่องค์ประกอบธาตุจะไม่เหมือนกัน   อย่างดินหมู่บ้่่าน a ยังไงองค์ประกอบธาตุก็ไม่เหมือนกับดินที่หมู่บ้่าน b ดินหมู่บ้าน a อาจมีธาตุN  P K  Fe ปริมาณเท่านี้ แต่ดินหมู่้บ้าน b ก็ย่้อมที่จะไม่มีความใกล้้เคียงกันเท่าไหร่ รอย shoeprint  อย่าง ค.ห 83 พี่เค้าก็บอก บอกได้แม้กระทั่ง น.น. แรงกด ประมาณ น.น. คนร้าย ยี่ห้อ เบอร์รองเท้า การทิ้งนํ้าหนัก   DNA จากคนร้าย สามารถตรวจได้ตั้งแต่นํ้าลาย(ก้นกรองบุหรี่) เศษผม ก้นกรองบุหรี่ ยังเอามาตรวจสอบรอยฟันได้อีก แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 01:13:47 แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 01:12:56 จากคุณ : อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ - [ 20 ธ.ค. 51 01:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 86 สนุก+สาระ+สยอง ง่ะ จากคุณ : eping - [ 20 ธ.ค. 51 15:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ชอบมากเลยค่ะ ได้ความรู้ดี โหวตนะคะ จากคุณ : ป่ามป๊าม - [ 20 ธ.ค. 51 21:38:10 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ ^ ^ จากคุณ : 76 (KuMp) - [ 21 ธ.ค. 51 09:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เปิดเจอเมื่อคืน ไม่กล้าอ่านต้องเก็บมาอ่านตอนบ่ายๆ กระทู้ของคุณ primjang สนุกเสมอเลยค่ะ ทำให้เข้าหว้ากอบ่อยขึ้นเยอะเลย ขอบคุณความรู้ดีๆที่แบ่งปันค่ะ จากคุณ : ShongkoryO - [ 27 ธ.ค. 51 18:06:46 ]