PANTIP.COM : X7345974 มีข้อสงสัย: ยีราฟ กับ evolution [วิทยาศาสตร์]

ความคิดเห็นที่ 25

ทฤษฎีเผ่าพันธุ์นิยมในวิชามานุษยวิทยาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกี่ยวข้องกับสำนึกความเหนือกว่าของชาวยุโรปในสมัยวิคตอเรีย ทฤษฎีดาร์วินเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา ซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องจากทัศนคติแบบวิคตอเรีย และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีของไอแซค นิวตันเคยอธิบายว่าสิ่งต่างๆเคลื่อนที่ไปตามกฎจักรวาลแต่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามทฤษฎีวิวัฒนาการก็เข้ามาแทนที่ทฤษฎีนิวตัน ในยุคของนิวตัน นักธรณีวิทยาหลายคนพยายามสำรวจเรื่องวิวัฒนาการ โดยให้ความสนใจต่อเรื่องกำเนิดของโลก ในสมัยกลางมีความเชื่อว่าโลกเป็นสิ่งพิเศษ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และพระเจ้าก็สร้างมนุษย์ขึ้นมา ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความคิดนี้ก็ยังคงอยู่ ต่อมาโธมัส เบอร์เน็ตต์ อธิบายว่าหลังจากพระเจ้าสร้างโลกแล้ว โลกจะเย็นและมีพื้นดินเป็นชั้นๆ มีน้ำทะเลล้อมรอบ รูปร่างของโลกจะเป็นทรงกลม เมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้น มนุษย์จะมีบาปพระเจ้าจะลงโทษมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก ทำให้แผ่นดินจมหายไปในน้ำ เหลือแต่ยอดเขาที่มีรูปทรงบูดๆเบี้ยวๆ

วิลเลียม วิสตัน อธิบายว่าหลังจากที่พระเจ้าสร้างโลก ดาวหางจะเคลื่อนผ่านโลกและทำให้เกิดฝุ่นละอองที่ตกลงกลายเป็นพื้นดิน ต่อจากนั้นดาวหางอีกดวงหนึ่งก็นำน้ำมาโปรยลงบนโลกและทำให้เกิดน้ำท่วม ความคิดของวิสตันและเบอร์เน็ตต์เป็นความคิดเชิงศาสนา แต่เมื่อศาสนาเริ่มรับความคิดวิทยาศาสตร์ ก็เริ่มมีปัญหา นักธรณีวิทยาหลายคนพบว่าซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลฝังตัวอยู่ในชั้นหิน ซึ่งครั้งหนึ่งหินเหล่านั้นเคยอยู่เหนือน้ำทะเลมาก่อน คำถามคือทำไมซากฟอสซิลเหล่านี้จึงอยู่ใต้ทะเล คำอธิบายในระยะแรกๆ กล่าวว่าหินเกิดมาจากการสึกกร่อนทางธรณีวิทยา นักธรณีมีความเห็นต่างกันสองแบบ แบบแรกเชื่อว่าระดับน้ำลดทำให้เกิดฟอสซิล แบบที่สองเชื่อว่าแผ่นดินยกตัวขึ้นทำให้เกิดฟอสซิล เนื่องจากหินจะเกิดใต้น้ำ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดทำให้เกิดแรงดัน

ในปี ค.ศ.1795 เจมส์ ฮัตตันเขียนหนังสือเรื่อง Theory of the Earth อธิบายว่าหินมิได้มาจากน้ำทุกชนิด หินบางชนิดมาจากแผ่นดิน หินที่เป็นของเหลวจะไหลลงสู่ทะเลและตกตะกอนเป็นชั้นและเมื่อมีภูเขาไฟระเบิดหินก็จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ กระบวนการทางธรณีวิทยานี้ใช้เวลายาวนาน ผู้ที่สร้างวิชาภูมิศาสตร์สมัยใหม่คือ ชาร์ลส์ ลีเอล ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง Principles of Geology ลีเอลอธิบายว่าโลกมีอายุเก่าแก่มาก และเชื่อว่าโลกมีความสมดุลระหว่างผู้สร้างและผู้ทำลาย การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์จะทำให้เกิดวิวัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทฤษฎีของลีเอลเรียกว่า uniformitarianism นักวิทยาศาสตร์ชาวคริสต์เชิงอนุรักษ์นิยมเชื่อว่าโลกเพิ่งเกิดมาได้ไม่นานเพราะยังพบเห็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ได้ เช่น น้ำท่วม จอร์จ คูเวียร์อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงที่ถูกบันทึกไว้ในฟอสซิลคือหลักฐานที่แสดงว่ามีสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

ประวัติศาสตร์ของแนวคิดวิวัฒนาการทางชีววิทยา มีข้อถกเถียงสำคัญคือเรื่องจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตหมายถึงสัตว์หรือพืชซึ่งสามารถสืบพันธุ์ได้ คำถามคือสิ่งมีชีวิตมาจากไหน คำตอบของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก่าที่เชื่อศาสนาอธิบายว่าพระเจ้าคือผู้สิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อตามความคิดนี้ได้แก่ คาโรลัส ลินเนียส เป็นนักชีววิทยาชาวสวีเดน ซึ่งได้จัดประเภทของสิ่งมีชีวิตในระดับสูงต่ำต่างกัน สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มต่างๆและมีชื่อเรียก ต่อมานักชีววิทยาในยุค Enlightenment ได้ทำลายความคิดแบบเดิมโดยอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายถูกสร้างมาจากธรรมชาติ มีการเปลี่ยนแปลง และกลายพันธุ์ สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่จะเกิดขึ้นและหายไปด้วยสาเหตุทางธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องมีลำดับชั้นที่ตายตัว นักชีววิทยาที่เชื่อแนวคิดนี้ได้ฉายาว่านักคิดแนว transformists, developmentalists และ evolutionists

ก่อนสมัยของดาร์วิน มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา เช่น จอร์จ-หลุยส์ เลอเคอร์ซ, คอมท์ เดอ บัฟฟ่อน และอีลาสมุส ดาร์วินซึ่งเป็นปู่ของดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากคือฌอง-แบบติสท์ ปิแอร์ แอนทอยนี เดอ โมเน่ต์ ลามาร์ก ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง Zoological Philosophy(1809) ความคิดของลามาร์กแตกต่างจากดาร์วิน กล่าวคือ ลามาร์กอธิบายว่าบรรพบุรุษของยีราฟคอยาวคือยีราฟที่มีคอสั้น ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตทุ่งหญ้าสวันน่า ต่อมาเมื่อหญ้าหมด ยี่ราฟจะค่อยๆยืดคอไปกินใบไม้บนต้นไม้ที่สูงขึ้น ลูกหลานของยีราฟจึงมีคอยาวขึ้นเรื่อยๆ ตอลดเวลายาวนานกระบวนการพัฒนาสายพันธุ์นี้ทำให้ยีราฟมีคอยาว อย่างไรก็ตามลามาร์กก็ไม่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของเขาได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับยีราฟคอสั้น

นักชีววิทยาสมัยใหม่แสดงให้เห็นว่าลักษณะทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตถ่ายมชทอดมาทางพันธุกรรมและดีเอ็นเอ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทฤษฎีวิวัฒนาการของลามาร์กเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง ชาร์ลส์ ดาร์วินเติบโตในอังกฤษในยุคทองของสมัยวิคตอเรีย และเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ.1831 ดาร์วินได้ออกเดินทางโดยเรือเพื่อไปสำรวจดินแดนต่างๆเป็นเวลา 5 ปี ในระหว่างการเดินทางดาร์วินได้อ่านหนังสือของลีเอลเรื่อง Principles of Geology และทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะค้นหากระบวนการทางชีววิทยาที่เป็นแบบแผน ดาร์วินสังเกตเห็นความแตกต่างของภูมิประเทศ พืชพันธุ์และสัตว์ชนิดต่างๆซึ่งอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เมื่อดาร์วินมาถึงเกาะกาลาปากอส นอกชายฝั่งเอกัวดอร์ เขาก็สังเกตเห็นนกฟินช์และเต่าหลายชนิดที่แตกต่างจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมนกและเต่าบนเกาะนี้จึงต่างจากที่อื่นๆ

เมื่อดาร์วินกลับมาอังกฤษ เขาก็เริ่มเขียนทฤษฎีวิวัฒนาการ ดาร์วินอาจบทความของโธมัส โรเบิร์ต มัลธัส เรื่อง An Essay on the Principle of Population (1798) มัลธัสอธิบายว่าประชากรมนุษย์บนโลกเพิ่มจำนวนมากขึ้นแบบทวีคูณ แต่ทรัพยากรบนโลกเพิ่มแบบจำนวนนับ สิ่งที่ตามมาก็คือจะมีคนบางคนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดาร์วินนำความคิดนี้มาใช้ โดยอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตมีการต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตรอด และผู้ที่แข่งแรงที่สุดจะมีชีวิตอยู่ได้ ดาร์วินและเพื่อนคืออัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ ได้เสนอบทความเกี่ยวกับวิวัฒนาการครั้งแรกที่การประชุมของสมาคมลินเนียนแห่งลอนดอน และต่อมาในปี ค.ศ.1859 ดาร์วินก็พิมพ์หนังสือเรื่อง Origin of Species หลังจากนั้นทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติของดาร์วินก็เป็นที่รู้จัก หรือมีชื่อเรียกว่าทฤษฎีดาร์วิน

วิธีที่จะทำความเข้าใจทฤษฎีของดาร์วินได้ดีที่สุดคือการเปรียบเทียบกับแนวคิดของลามาร์ก ซึ่งใช้ตัวอย่างของคอยีราฟ ตามทฤษฎีดาร์วินกล่าวว่าบรรพบุรุษที่เป็นยีราฟคอสั้นอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสวันนา แต่มียีราฟบางตัวที่คอยาวกว่าซึ่งสามารถกินใบไม้ในที่สูงๆได้ ยีราฟที่มีคอยาวก็จะสามารถมีชีวิตอยู่รอด ส่วนยีราฟคอสั้นก็จะตายไป เมื่อเวลาผ่านไป ยีราฟคอยาวก็จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่ายีราฟคอสั้นและมีลูกหลานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทฤษฎีของดาร์วินพิสูจน์ว่าธรรมชาติมีการคัดเลือกลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามปัญหาของทฤษฎีดาร์วินก็คือหลักฐานที่ดาร์วินนำมาอ้างเชื่อถือไม่ได้ ทำให้เกิดข้อโต้แย้งทางศีลธรรม ศาสนาและสังคม นักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่าดาร์วินไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ ชาวคริสต์ส่วนใหญ่เชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดไม่มีความคิด จิตใจ และศีลธรรม ซึ่งต่างจากมนุษย์ คำถามคือทฤษฎีวิวัฒนาการจะอธิบายสิ่งนี้อย่างไร ชาร์ลส์ ลีเอลเคยกล่าวว่าวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นก้าวกระโดดของธรรมชาติ แต่วอลเลซโต้แย้งว่าสัตว์ไม่มีจิตใจและศีลธรรม โะมัส เฮนรี ฮักลีย์ได้แบ่งแยกมนุษยืและลิงอยู่ในสายตระกูลเดียวกัน โดยเขียนหนังสือเรื่อง Evidence as to Man’s Place in Nature (1863)

ในปี ค.ศ.1871 ดาร์วินเขียนหนังสือเรื่อง The Descent of Man โดยอธิบายเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์และให้ความสำคัญกับเรื่องการคัดเลือกทางเพศ กล่าวคือมนุษย์จะสร้างทายาททางเพศเพื่อจับคู่กับเพศอื่น และผสมพันธุ์เพื่อสืบลูกหลาน ดาร์วินอธิบายว่าความฉลาดของมนุษย์เป็นการคัดเลือกตามธรรมชาติ ความฉลาดทำให้มนุษย์มีศีลธรรม หัวใจของศีลธรรมคือเรื่องการเห็นใจผู้อื่น หมายถึงการอุทิศตนเพื่อทำความดีเพื่อผู้อื่น ดาร์วินอธิบายว่าการเห็นใจผู้อื่นจะเริ่มจากคนภายในกลุ่ม เมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้นมนุษย์ก็จะเห็นใจคนที่อยู่นอกกลุ่ม ถ้ามนุษย์เป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ ดังนั้นศีลธรรมต้องเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมด้วยหรือไม่ ปัญหาก็คือ ทฤษฎีของดาร์วินไม่มีเป้าหมายสุดท้าย เพราะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ ถ้าทฤษฎีของดาร์วินเป็นวิวัฒนาการของพระเจ้า สิ่งมีชีวิตก็จะพบแต่การแข่งขัน ต่อสู้ดิ้นรน ทฤษฎีของดาร์วินจะอธิบายว่าเมื่อมีผู้แพ้ก็ต้องมีผู้ชนะ ในแง่นี้ทำให้ศาสนาไม่นิยมทฤษฎีของดาร์วิน

เมื่อถกเถียงเรื่องศีลธรรมทางสังคมในมุมมองของทฤษฎีดาร์วิน มักจะมีการเข้าใจผิด เนื่องจากทัศนะคติเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนใหญ่จะมาจากเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ แนวคิดของสเปนเซอร์มีความคล้ายลามาร์กมากกว่าดาร์วิน สเปนเซอร์เชื่อว่าหน้าที่ของมนุษย์คือการพัฒนาไปสู่จุดสูงสุด มนุษย์แต่ละคนจะสร้างสิ่งที่ดีทางสังคม แนวคิดของสเปนเซอร์ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือเรื่องวิวัฒนาการทางสังคมซึ่งใช้อธิบายความไม่เสมอภาคทางเผ่าพันธุ์ ชนชั้น และเพศสภาพ ในทางตรงกันข้ามฮักซ์ลีย์เชื่อว่าวิทยาศาสตร์จะทำให้เกิดความเป็นกลางทางศีลธรรมและโต้แย้งสเปนเซอร์ ฮักซ์ลีย์เชื่อว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจนถึงระดับที่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ความคิดที่ขัดแย้งกันระหว่างสเปนเซอร์และฮักซ์ลีย์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดวิวัฒนาการทางสังคมมีความแตกต่างกัน

ท่ามกลางบรรยายกาศโต้แย้งเกี่ยวกับศีลธรรมและศาสนา ทำให้ทฤษฎีของดาร์วินถูกวิจารณ์ ทั้งในแง่ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการคัดเลือกตามธรรมชาติจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ปัญหาต่อมาคือการอธิบายเรื่องฟอสซิล นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่ามีกฎทางพันธุกรรมซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตปัจจุบันเหมือนกับอดีต อีกปัญหาหนึ่งคืออายุของโลก นักฟิสิกส์ปัจจุบันอธิบายเกี่ยวกับการะรเบิดของภูเขาไฟซึ่งเป็นเหตุหใเกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ และเชื่อว่าโลกในอดีตร้อนกว่าปัจจุบัน ภูเขาไฟทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน

แปลและเรียบเรียงโดย นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ จาก Paul A. Erickson. A History of Anthropological Theory. Broadview Press, New York. 2001. Pp.59-72.

จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ 22 ธ.ค. 51 16:41:30 ]