ความคิดเห็นที่ 1 อันตรายของไฟ เรื่องที่ควรรู้กันเป็นอันดับแรก คนที่ตายเพราะไฟ ไม่ได้ตายเพราะความร้อน แต่ตายเพราะการสำลักควันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรคำนึงมากที่สุดคือ เรื่องของควัน ไม่ใช่เรื่องของไฟ เราจึงควรอยู่ด้านล่างของไฟ เพราะควันไฟจะลอยขึ้นข้างบน แม้ไฟมาไม่ถึง แต่หากเราอยู่ข้างบนของไฟ ควันไฟก็อาจจะมาให้เราสำลักตายได้ และที่สำคัญ อากาศร้อนจะลอยตัว ไฟมักจะลามขึ้นข้างบน ดังนั้นหากเป็นไปได้ หนีลงข้างล่างก่อน อย่าหนีขึ้นข้างบน ตายสถานเดียว เคยมีกรณีไฟไหม้ในอุโมงค์รถไฟ อีกร้อยเมตรจะถึงทางออกแล้ว แทบทุกคนเลยเลือกที่จะหนีขึ้นข้างบน แต่ว่าการหนีขึ้นข้างบนนี้เป็นสิ่งที่คิดผิด ไม่มีใครรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว แม้จะมีนักวิ่งมาราธอนระดับโลกอยู่ด้วย เขาก็ไปไม่ถึง กลับกัน คนที่เลือกลงมาข้างล่างซึ่งไกลกว่าเป็นกิโลกลับรอดหมดทุกคน และนอกจากนี้ ไฟยังมีส่วนทำให้โครงสร้างอาคารวิบัติได้ (หมายถึงโครงสร้างรับน้ำหนักไม่ได้ดีเหมือนเดิมแล้ว และมันอาจจะพัง) โดยเฉพาะพวกโครงสร้างเหล็กจะพังทลายได้ง่ายกว่าโครงสร้างคอนกรีต ถึงแม้จะเป็นเหล็กเส้นในคอนกรีตก็ตาม หากไฟมันลามไปถึงเหล็กเส้นข้างในเมื่อไหร่ อาคารนั้นมีหวังต้องทุบทิ้ง ฉะนั้นระวังให้ดีกับอาคารสูงที่ประกอบด้วยเหล็กเป็นส่วนใหญ่ >>เสริมวิธีรอดอื่นภายในเปลวไฟ จาก คห14 -ควรใช้ "ผ้าชุบน้ำ" ปิดจมูก -เดินไปตามกำแพง -ก่อนเปิดประตูให้จับลูกบิดดูก่อน ถ้าร้อนอย่าเปิด ใบหยก 2 ที่สูงสุดในประเทศไทย ก็ใช้โครงสร้างเหล็ก ดังนั้นเกิดเพลิงไหม้ขึ้นก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 52 16:59:03 จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 วิธีดับไฟ อย่างที่รู้กัน ว่าไฟจำเป็นต้องมีองค์ประกอบด้วยกันทั้งสามอย่าง หากขาดอันใดอันหนึ่ง หรืออันใดอันหนึ่งหมดไป ไฟก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้อีก ดังนั้นวิธีการดับไฟคือวิธีการง่าย ๆ โดยการทำให้อย่างใดอย่างหนึ่งหมดไปนั่นเอง น้ำ เป็นวิธีที่นิยมกันที่สุด แต่เพราะอะไรหลายคนอาจจะไม่รู้ เรามาลองตีความด้วยกัน น้ำคงไม่ได้ดับไฟด้วยการชนะธาตุ แต่ด้วยที่มันสามารถเป็นตัวกลางส่งต่ออุณหภูมิได้ง่าย มันมีอุณหภูมิสูงสุดแค่ 100 องศาก็ระเหยเป็นไอไปแล้วดังนั้นมันจึงช่วยลดความร้อนได้ อีกทั้งการราดน้ำลงไปมากก็เป็นการขัดขวางการเข้าถึงอ๊อกซิเจนได้ และมันยังไม่ใช่เชื้อเพลิงที่ติดไฟ จึงเรียกได้ว่า มันเป็นสิ่งที่สามารถขัดขวางทั้งสามองค์ประกอบเลยทีเดียว >> เสริมเรื่องการใช้น้ำของจนท ดับเพลิง คห21 แต่น้ำ ก็ยังใช้ไม่ได้ในหลายกรณี เนื่องจากแค่100 องศาก็ระเหย มันจึงไม่สามารถใช้ดับเพลิงที่อุณหภูมิสูงมากได้ เพราะยังไม่ทันถึงตัว น้ำก็อาจจะระเหยไปเสียหมด อีกทั้งเชื้อเพลิงบางชนิดเบากว่าน้ำ จึงไม่สามารถทำให้น้ำใช้เป็นตัวกลางถ่ายเทอุณหภูมิ หรือขัดขวางการเข้าถึงอ๊อกซิเจนได้ เช่นน้ำมัน ดังนั้นการราดน้ำลงไปจึงไม่มีประโยชน์ อีกทั้งอาจจะทำให้เปลวเพลิงกระจายตัวกินพื้นที่มากเข้าไปอีก ดังนั้นวิธีอื่นที่เหมาะสมกับการดับเพลิงยังมีต่อไปนี้ เช่น การเอาของมาคลุม ฉีดโฟม (เช่นในถังดับเพลิง) เพื่อไม่ให้ก๊าซอ๊อกซิเจนเข้าได้ การเผาป่าบางส่วนล่วงหน้าในการสร้างแนวกำแพงกันไฟ เพื่อให้เชื้อเพลิงหายไป เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 52 16:53:35 จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:24:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องน่ารู้อื่นเกี่ยวกับไฟ อย่างที่ทราบกันว่า ไฟต้องประกอบด้วยกันถึงสามอย่างถึงจะเกิดไฟขึ้น แต่หากมีครบสอง แล้วอย่างที่สามกำลังจะมา แล้วจะเกิดอะไรขึ้น กรณีแรกเรียก Flash Fire เป็นปรากฎการณ์ที่ทุกสิ่งมีพร้อมหมดไม่ว่าจะเชื้อเพลิง หรืออ๊อกซิเจน เหลือแต่อย่างเดียวก็คืออุณหภูมิ หากถึงเมื่อไหร่ จะเกิดปรากฎการณ์คล้ายระเบิด ไฟลุกพรึ่บทั้งบริเวณขึ้นมาในทันที ไม่ใช่แค่กองเล็ก แล้วค่อยขยายเป็นกองใหญ่เรื่อย ๆ และหมายรวมถึงการลุกเป็นกองเล็ก ๆ แล้วขยายไปทั่วห้องภายในวินาทีเดียวได้ด้วยเช่นกัน กรณีที่สองเรียกBackdraft เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา แล้วบางอย่างหมดไปก่อน เช่นอ๊อกซิเจน แต่ที่้เหลือทั้ง อุณหภูมิและเชื้อเพลิงยังคงอยู่ หากอ๊อกซิเจนกลับมาเมื่อไหร่ เช่นห้องปิดตาย ที่ลมเบา ๆ ไหวกระเพิ่มจนกระจกร้าวให้อ๊อกซิเจนเข้าไปได้ หรือ ใครบางคนเดินเซ่อซ่าเข้าไปเปิดประตู ให้อากาศภายนอกเข้าไป ก็จะเกิดการระเบิดขึ้น แล้วก็ไฟลุกท่วมขึ้นอีกครั้ง ปรากฎการณ์หลังเป็นสิ่งที่นักดับเพลิงกลัวมากที่สุด ดังนั้นจึงพยายามฉีดน้ำเลี้ยงไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ไฟจะดับไปแล้ว เพื่อไม่ให้ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นอีก เมื่อเขาเข้าไปสำรวจสถานที่ ทางการพิสูจน์ ทั้งสองปรากฎการณ์แม้จะเกิดด้วยวิธีที่ต่างกัน แต่การสืบสวนมักจะแยกไม่ออกว่าปรากฎการไหนเป็น Backdraft หรือ Flash Fire กันแน่ เพราะสภาพที่เกิดเหตุคล้ายกัน รูปประกอบ หนังที่ใช้ปรากฎการณ์นี้เป็นชื่อ จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:25:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อุปกรณ์ตรวจจับ ป้องกัน และดับไฟ โดยปรกติคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้ในอาคารทั่วไป ลองมาเข้าใจความแตกต่างและลักษณะเด่นของแต่ละอย่างกันดีกว่า ฮีทดีเทคเตอร์ (Heat Detector) เป็นสิ่งที่ใช้ในการดักความร้อน เพื่อสั่งให้สปริงเกอร์ทำงาน และ/หรือ แจ้งต่อศูนย์ควบคุมของอาคารว่าเกิดเหตุการณ์ผิดปรกติขึ้น สโม๊คดีเทคเตอร์ (Smoke Detector) เป็นสิ่งที่ใช้ในการดักควัน เพื่อสั่งให้สปริงเกอร์ทำงาน และ/หรือ แจ้งต่อศูนย์ควบคุมของอาคารว่าเกิดเหตุการณ์ผิดปรกติขึ้น หมายเหตุ Smoke Detector รับทราบถึงเหตุเพลิงไหม้ได้เร็วกว่า Heat Detector เพราะควันมักจะเกิดก่อนในช่วงที่การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ แต่ Heat Detector มักจะจับได้ในช่วงที่เกิด Flash Fire กำลังจะเกิด หรือเกิดขึ้นมาแล้ว ส่วน Smoke Detector เองก็ต้องได้รับควันในระดับหนึ่งก่อน ถึงจะสั่งการขั้นมา แค่ควันบุหรี่อย่างเดียว ไม่อาจจะทำให้เครื่องนี้ทำงานได้ สปริงเกอร์ Springer เป็นหัวฉีดน้ำนั่นแหละ แต่ขอเสริมอย่างอื่นต่อ สปริงเกอร์ที่ติดตั้งถูกต้องควรหันหัวขึ้นบนเพดาน! เพราะหากไฟมันติดที่ท่องานระบบด้านบน หรือฉนวนด้านบน มันจะฉีดดับยังไง หลายที่จึงเห็นได้ว่ามีสปริงเกอร์ที่หันหัวขึ้นด้านบนด้วยเหมือนกัน >> เสริมเรื่องแค่สปริงเกอร์ดับไฟไม่ได้ ได้จาก คห10 >> คัดค้านเรื่องการใช้สปริงเกอร์ ที่จริงใช้ดับไฟได้ คห14 >> ยืนยันเรื่องแค่สปริงเกอร์ดับไฟไม่ได้อีกครั้ง ได้จาก คห21 และที่สำคัญ มีคนเข้าใจผิดกันเยอะ สปริงเกอร์ ฉีดแค่ทีละหัวที่ไฟไหม้เท่านั้น ไม่ได้ฉีดพร้อมกันทั่วอาคาร อย่าไปเชื่อในหนังมาก คุณควรรู้ไว้ว่า สปริงเกอร์ส่วนใหญ่จะใช้น้ำจากในแทงค์ ลำพังน้ำประปาธรรมดามันสูบขึ้นมาใช้ไม่ได้หรอก ต้องผ่านปั้มน้ำเสียก่อน เนื่องจากมันแรงไม่พอ ดังนั้นสปริงเกอร์จึงฉีดน้ำได้จำกัด เพียงแค่ 30 นาที แล้วหากต้องฉีดทั่วอาคารมันจะเหลือกี่วิ? นอกจากนี้ ในบางห้อง เช่นห้องเก็บข้อมูลในเซอร์เวอร์หรือคอมพิวเตอร์ ห้องพวกนี้จะใช้สปริงเกอร์ฉีดน้ำไม่ได้ เครื่องมันจะเจ๊ง จึงต้องใช้อย่างอื่นฉีดดับเพลิงแทน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 52 16:54:15 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 52 16:50:49 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 52 01:29:19 จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:25:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อุปกรณ์ตรวจจับ ป้องกัน และดับไฟ (ต่อ) วัสดุกันไฟ - วัสดุทนไฟ อย่าเข้าใจผิดว่าวัสดุที่อยู่ข้างหน้าท่านจะเป็นวัสดุุกันไฟ เพียงแค่มันสามารถทนอยู่ในไฟได้เฉย ๆ นั่นมันอาจจะแค่วัสดุทนไฟเฉย ๆ แต่หากเป็นวัสดุกันไฟ ต้องประกอบด้วยความสามารถต่อไปนี้ ทนไฟ - ไม่เสียหายเวลาไฟไหม้ อันนี้มีข้อกำหนดไว้ว่าอย่างน้อยต้องทนได้ถึงกี่ชั่วโมง ถึงจะเข้าข่าย ป้องกันไม่ให้ความร้อนอีกมาอีกด้าน - ลองคิดดูหากว่าคุณหนีเข้าไปในทางหนีไฟแล้ว แต่ความร้อนกลับผ่านเข้ามาได้ แค่เพียง 100 องศา คุณจะผ่านมันไปได้ไหม? ไม่บิดงอ เวลาโดนความร้อน - นี่แหละข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด บางทีประตูเหล็กที่คุณเห็นว่ามันเหลือรอดหลังไฟไหม้ สภาพมันดีอยู่ก็จริง แต่เวลาไฟไหม้อยู่ มันอาจจะบิดงอให้ไฟผ่านเข้ามาอีกฝั่งก็ได้ แล้วคนที่อยู่อีกฝั่งล่ะ? เขตปลอดภัย เป็นบริเวณที่ทางกฎหมายกำหนดไว้ว่าเป็นเขตที่สามารถหนีมาเพื่อรอความช่วยเหลือยังที่นี่ได้ โดยไม่มีเปลวเพลิงรุกล้ำเข้ามาย่างกายชีวิตคุณ! ซึ่งอาจจะได้แก่ บันไดหนีไฟ โถงรอลิฟต์(บางอาคาร) พื้นที่โถงชั้นแรก(บางอาคาร) เป็นต้น บางครั้งอาจจะรวมถึงบางพื้นที่ ซึ่งแยกไว้ต่างหากของชั้นนั้นด้วยฉนวนกันไฟ เพื่อป้องกันการลุกล้ำเข้ามาของไฟก็ได้ จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กฎหมายไทยที่เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีเพลิง มีอยู่มากมาย ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า กฎหมายอาคารที่คุณรู้จักเกินครึ่ง ล้วนแต่เป็นกฎหมายเพื่อป้องกันเรื่องอัคคีภัยทั้งนั้น - การถอยร่นระยะอาคารหรือสิ่งก่อสร้าง มีหน้าต่างปิดตาย 1 ม. หน้าต่างเปิดได้ 2 ม. อาคารสูงเท่านี้ห่าง 3 ม. 6 ม. ล้วนแต่เป็นการป้องกันไม่ให้เพลิงไหม้ลุกไปอาคารด้านข้าง - การสร้างอาคารได้สูง 2 ส่วน ต่อระยะห่างทางสาธารณะฝั่งตรงข้าม 1 ส่วน เป็นการกำหนดเพื่อให้รถดับเพลิงฉีดไฟได้ - การกำหนดว่าอาคารสูงเกิน 23 เมตร เป็นอาคารสูง ซึ่งต้องทำตามกฎหมายกำหนดเพิ่มเติม เนื่องจากบันไดรถดับเพลิงสูงสุดได้ 23 มเตร - การกำหนดอาคารสาธารณะ ที่แปลว่าเปิดให้คนภายนอกใช้ได้ (รวมถึงผับ) ต้องมีมาตรการป้องกันอัคคีภัย - การกำหนดให้ไม่ว่าจุดที่ซิกแซ็กเท่าไหร่ต้องห่างจากบันไดหนีไฟไม่เกิน 60 เมตร - การกำหนดว่า ต้องให้ทุกคนในอาคารหนีออกมายังนอกอาคารหรือพื้นที่ปลอดภัยได้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งถูกวิจัยออกมาแล้วว่า เวลานานเท่าสุดที่คนจะมีโอกาสรอดอยู่ในอาคารที่มีไฟไหม้ได้ - การกำหนดว่าอาคารใหญ่ อาคารสูง ต้องมีถนนขนาด 6 เมตร วิ่งรอบ เพื่อให้รถดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำได้ทั่วทุกจุด - การกำหนดว่าจะสร้างอาคารใหญ่ต้องติดกับถนนขนาดเท่านี้เป็นระยะเท่านี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้รถดับเพลิงเข้าไปได้ - การกำหนดพื้นที่ว่างหน้าอาคารขนาดหนึ่ง เพื่อให้ผู้ใช้อาคารสามารถหนีออกมายังด้านนอกและมีที่รวมคนได้ - การกำหนดไฟฉุกเฉิน การกำหนดให้ป้ายบันไดหนีไฟสว่างพอที่จะเห็นได้ในกลุ่มควัน ก็เพื่อให้คนในอาคารหนีได้ถูก - การกำหนดให้สปริงเกอร์ฉีดน้ำเลี้ยงไฟไว้ได้อย่างน้อย 30 นาที เพราะเวลาตรงนี้คือเวลาที่รถดับเพลิงจะสามารถมาถึงยังที่เกิดเหตุได้ และอีกเยอะมาก เลยไม่ขอพูดในรายละเอียด คุณคิดว่ามันมากพอหรือยังกับกฎหมายไทยในการป้องกันอัคคีภัย ? จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ช่องโหว่ ? ไม่มีใครทำตามกฎหมาย ! นี่แหละประเด็นใหญ่ที่สุด โดยส่วนตัวคิดว่า หากผู้ประกอบการณ์ทุกคนสามารถทำตามกฎหมายที่กำหนดได้ ไม่ว่าเกิดอัคคีภัยแบบไหน ผู้เคราะห์ร้ายก็จะไม่มีอยู่อย่างแน่นอน แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะไม่ได้ทำกัน มันเป็นเรื่องปรกติ ที่การสร้างอาคาร จะยื่นขออีกอย่าง แล้วทำอีกอย่าง มันเป็นเรื่องปรกติ ที่การสร้างอาคาร จะยื่นแบบส่งเขตอีกอย่าง แล้วสร้างจริงอีกอย่าง มันเป็นเรื่องปรกติ ที่ใช้อาคารแล้ว จะยกเลิกหรือลืมที่จะดูแลระบบป้องกันไฟให้อยู่ในมาตรฐาน แล้วมันเป็นเรื่องปรกติ ที่ผู้ประกอบการจะเห็นเรื่องเงินสำคัญสุด ไม่โทษผู้ประกอบการในเรื่องนี้ แต่อยากจะโทษในส่วนภาครัฐดีกว่า เพราะการบังคับใช้ มันไม่ได้ใช้อย่างจริงจังยังไงล่ะ กฎบางอย่าง มันไร้สาระมาก จนผู้ประกอบการณ์ทำไม่ได้ จนทำให้พานละเลยเรื่องอื่น แล้วมาถึงเรื่องนี้ กฎบางอย่างสมควรอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องละเลยไม่ใส่ใจ เลยทำให้ผู้ประกอบการณ์เผลอ หรือจงใจละเลยบางอย่างไป ผู้ประกอบการไม่ใช่นักบุญที่ไหน จะให้ทำเรื่องเสียแก่ตัว แต่ดีแก่คนอื่นได้ยังไง ถ้าไม่มีใครมาบังคับ ------ เรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับเรื่องเพลิงไหม้ แทงค์น้ำที่ใช้ในการดับเพลิง รดน้ำไม่ได้ครบ 30 นาทีจริง เพราะดันคำนวนแค่ปริมาตรต่อระยะเวลาโดยตรงเท่านั้น แต่ดันลืมบวกไปว่า ก้นถังน่ะ มันดูดไม่ขึ้น! ช่องงานระบบซึ่งอยู่บนฝ้า เป็นอีกทางที่ทำให้ไฟไหม้มโหฬาร ท่องานระบบ เช่นท่อแอร์ ท่อไฟ มันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่บางขุนเทียน ไฟไหม้อีกฝั่งหนึ่ง แต่ดันโผล่ไปไหม้ที่บาร์อีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปอีกร่วมร้อยเมตรจนเรียบวุธได้ ก็เพราะท่องานระบบ ท่องานระบบมักติดต่อกันทั่วอาคาร ไม่ว่าห้องไหน หรือชั้นไหน มันก็ใช้งานระบบเดียวกัน ดังนั้นควรแน่ใจว่า ติดวัสดุกันไฟที่ช่องงานระบบแต่ละช่วงแล้ว จากคุณ : กระต่ายโลหิต - [ 3 ม.ค. 52 00:27:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ... จากคุณ : ... (mint_la) - [ 3 ม.ค. 52 01:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ^^'  ขอบคุณค่ะ ... อ่านแล้วได้ความรู้ดีทีเดียว .. จากคุณ : Archimandrite - [ 3 ม.ค. 52 01:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอเสริมอ่ะครับ... สปริงเกอร์...ฉีดน้ำออกมาเป็นสายบางๆ ... หน้าที่ของมัน ไม่ได้เอาไว้ดับไฟครับ หัวฉีดสปริงเกอร์เล็กนิดเดียว ไฟโหมกระหน่ำขนาดหนัก น้ำน้อยก็แพ้ไฟ แล้วจะฉีดเพื่ออะไร ? เพื่อลดปริมาณก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ .. พูดง่ายๆ ให้มีอากาศหายใจนั่นเอง ไม่ใช่เห็นสปริงเกอร์ทำงานแล้วนิ่งนอนใจนะครับ มันดับไฟไม่ได้อ่ะ .............. เวลาไฟไหม้ ให้หมอบเพราะว่า ออคซิเจนมีน้ำหนักมากกว่า จะถูกก๊าซพิษดันให้อยู่ต่ำ ในระยะ 5เซนติเมตรจากพื้น จะมีออคซิเจนให้หายใจ (ไม่หมอบคลานไป เขาแนะนำให้เดินเอาจมูกเรียบไปตามผนัง และเอาหลังมือนำทาง..กันเดินไปชนอะไร และไปจับสายไฟ) ปล. เคยอบรมเรื่องการหนีไฟมา เขาว่ามางั้นอ่ะครับ >_< จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 3 ม.ค. 52 01:25:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ จากคุณ : iluvoc - [ 3 ม.ค. 52 01:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ... จากคุณ : Keropii,MCE - [ 3 ม.ค. 52 02:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ลืมรูป จากคุณ : Keropii,MCE - [ 3 ม.ค. 52 02:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ด้วยความเคารพ คห.10 ขอเสริมหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ 1. สปริงเกอร์ สปริงเกอร์มีหน้าที่ "ดับไฟ" แน่นอนครับ จุดประสงค์ที่ติดตั้งไว้ก็เพื่อให้ฉีดน้ำออกมาดับไฟ การออกแบบต้องออกแบบให้หลายตัวทำงานร่วมกัน ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ถ้าไฟไม่รุนแรงนัก สปริงเกอร์ดับได้สบายมาก ขอให้ฉีดไปตรงต้นเพลิง และไฟต้องไม่รุนแรงมาก โดยทั่วไปถ้าสปริงเกอร์ได้ทำงานภายใน 5-7 นาที มักจะดับไฟได้ ยกตัวอย่าง ไฟไหม้จากหัวถังแก้ส น้ำแก้วเดียวก็ดับไฟได้แล้ว ไม่ต้องใช้น้ำมากมายอะไร แต่ก็อย่างที่ คห.10 ว่าไว้ อย่าวางใจสปริงเกอร์ เมื่อเกิดไฟไหม้ต้องทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น สำหรับคนทั่วไปก็ให้ "หนี" เอาชีวิตไว้ก่อน คนที่มีหน้าที่ และได้รับการอบรมมาแล้วก็ต้องกดสัญญาณเตือน, ใช้สายยาง หรือถังดับเพลิง ฯลฯ ตามที่ได้อบรมมา 2. อ็อกซิเจนอยู่สูง แต่ควันก็อยู่สูงเช่นกัน เมื่อเทียบน้ำหนักแล้ว อ็อกซิเจนมี O2 ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์มี CO2 จึงหนักกว่า ดังนั้นออกซิเจนจึงควรลอยสูงกว่า แต่ในขณะที่ไฟไหม้ มีควันไฟจำนวนมาก และควันมักจะลอยขึ้นบน จึงแนะนำให้ก้มลงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สำลักควัน การก้มลงต่ำจึงมีโอกาสรอดสูง นอกจากนี้ควรใช้ "ผ้าชุบน้ำ" ปิดจมูกไว้ด้วย 3. เดินไปตามกำแพง เหตุที่ให้เกาะไปตามกำแพง เพราะเมื่อไฟไหม้ ไฟฟ้ามักจะดับ และมีควันอยู่เต็ม เราจะมองไม่เห็นทาง การเดินเกาะไปตามกำแพง จะพาเราไปถึงประตูได้แน่นอน ไม่ว่าจะกี่เลี้ยวกี่มุม ถ้าเรายังอยู่ติดกำแพงเราจะไปถึงทางออกได้แน่ อย่าเดินออกจากกำแพงลุยไปกลางห้อง เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน อาจจะเดินกลับไปทางเก่าก็ได้ 4. ก่อนเปิดประตูให้จับลูกบิดดูก่อน ถ้าลูกบิดร้อนแสดงว่าอีกด้านมีไฟไหม้ ห้ามเปิดประตู เพราะจะเป็นการเติมอากาศให้ห้องที่ไฟไหม้ แล้วไฟจะยิ่งโหมแรงขึ้น 5. เสริม คห.4 ห้องคอมพิวเตอร์ ในห้องที่ใช้น้ำไม่ได้จะมีระบบดับไฟแบบพิเศษ เช่น ใช้ระเบิด เพื่อแย่งก๊าซอ็อกซิเจนให้หมดห้อง แล้วไฟจะดับ หรือพ่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป ไฟดับเหมือนกัน พวกนี้มักจะทำงานได้เพียง 1 ครั้ง น้อยมากที่จะทำงานได้ 2 ครั้ง และทำงานเพียงไม่กี่วินาที ถ้าไฟไม่ดับก็จบกัน สารดับไฟพิเศษพวกนี้บางอย่างมีความร้อนสูง หรือเป็นอันตรายกับร่างกาย ก่อนระบบทำงานมักมีสัญญาณเตือน และมักมีปุ่มยกเลิกด้วย เมื่อระบบดับไฟทำงาน หากเราติดอยู่ในนั้นต้องหมอบ หรือหาที่ปลอดภัย เก็บคอ งอเข่า หลับตา ฯลฯ ตามแต่ระบบที่ติดตั้งครับ จากคุณ : จั๊กกะจี๋ - [ 3 ม.ค. 52 02:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากค่ะ ได้ความรู้อีกแล้ว จากคุณ : Mrs.Beblow - [ 3 ม.ค. 52 03:22:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาเก็บความรู้ จากคุณ : กรุณาเก็บให้พ้นมือเด็ก - [ 3 ม.ค. 52 03:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สำคัญที่สุดต้องมีสติครับ จำที่อ่านมา และสามารถนำไปใช้ได้เมื่ออยู่ในเหตุการณ์จริง จากคุณ : a6mzero - [ 3 ม.ค. 52 04:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #14 มีคำถามอ่ะค่ะ เกี่ยวกับห้องคอม ที่ว่าเป็นระเบิดนี่เป็นระเบิดแบบไหนอ่ะคะ นึกภาพไม่ออก พูดถึงระเบิดนึกออกแต่แบบที่มันบึ๊ม ๆ ที่รุนแรง ๆ แล้วถ้าเป็นระเบิดคอมพิวเตอร์ไม่เสียหายเหรอคะ ขอบคุณสำหรับเนื้อหาค่ะ :) จากคุณ : ญ.มะขวิดศรี - [ 3 ม.ค. 52 04:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #18 ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ผมเคยเห็นโฆษณา Fire ball เป็นลูกบอลดับเพลิง ใช้หลักการระเบิด + สารเคมี เพื่อตัดอากาศให้การทำให้ไฟติดครับ ที่เห็นในคลิปโฆษณา เมื่อถูกความร้อนถึงระดับหนึ่งจะเกิดการระเบิดออก มีสารเคมีด้วย ทำใ้ห้ไฟดับ แต่แรงระเบิดนั้นไม่แรง เห็นในโฆษณาคนที่ใช้ยืนใกล้ๆเลยไม่เป็นไร แล้วใส่ในภาชนะรู้สึกจะเป็นรังกระดาษมั้ง ก็ไม่เป็นไรเลย เหมือนแรงอัดอากาศมากกว่าไม่รุนแรงมั้ง ไม่รู้จะเหมือนกันหรือป่าวนะ จากคุณ : เค - [ 3 ม.ค. 52 05:34:34 A:58.8.54.59 X: TicketID:175329 ]

ความคิดเห็นที่ 20 องค์ประกอบของไฟนั้นมีทั้งหมดด้วยกันสามอย่างดังต่อไปนี้ อ๊อกซิเจน เชื้อเพลิง อุณหภูมิ >>>>>>>> -หน้าหนาว ก็เกิดไฟยาก ... แล้วไฟป่า มันชอบเกิดหน้าร้อนซิ -อากาศหนาว สตาร์ทรถยาก .... จริงนะ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 3 ม.ค. 52 06:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การใช้น้ำดับไฟ.... ตอนอบรมมาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเขาว่า ไฟจะถูกดับได้ ต้องตัดองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งออก 1.ลดอุณหภูมิ 2.ตัดออคซิเจน 3.ตัดเชื้อเพลิง หลายคนอาจจะคิดว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้น้ำฉีดเพื่อดับไฟ แต่ความจริงแล้ว เขาใช้น้ำเลี้ยงบริเวณใกล้เคียง เพื่อไม่ให้ไฟลาม เจ้าหน้าที่เขาไม่เปลืองน้ำเพื่อดับไฟครับ เขาให้เหตุผลว่า 1.วัตถุสิ่งของไหม้ไฟไปแล้ว เอากลับคืนมาไม่ได้ จะไปเสียเวลาดับทำไม 2.การฉีดน้ำใส่กองไฟ น้ำจะละเหยเป็นไอ เป็นการเพิ่มอากาศให้กับไฟ (หลายคนอาจจะคุ้นเคยน้ำในขันดับหัวไม้ขีด ถ้าแบบนั้น ใช่!) 3.ถ้าโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่ ไฟไหม้รุนแรงโครงสร้างจะอ่อนตัว เพิ่มการโหลดน้ำหนักโดยเติมน้ำ อาจทำให้ถล่มง่ายๆ 4.ใช้น้ำเพิ่อเป็นการลดอุณหภูมิของเชื้อไฟใกล้เคียง เพื่อไม่ให้ไฟลาม (เจ้าหน้าที่เล่าว่า เวลาไฟไหม้บ้าน เมื่อเขาไปถึงเขาจะฉีดบ้านข้างๆก่อน) 5.ไม่รู้ว่าวัตถุบางชนิดเป็นวัตถุเคมีซึ่งติดไฟจากภายในหรือไม่ การเติมน้ำ อาจทำให้มีการระเบิดได้ (การดับไฟประเภทนี้ นิยมใช้ทราย..เมื่อไฟดับ จะได้กระจกคลุมชิ้นงาน) ถ้าไฟไหม้กองโต สายยางฉีดน้ำยังแทบไม่ดับเลยครับ นับประสาอะไรกับสปริงเกอร์ ที่อยู่เกือบติดเพดาน กว่าหลอดแก้ววัดอุณหภูมิภายในจะสูงพอที่ทำให้หลอดแก้วแตกเพื่อให้น้ำออกมา คุุณคิดว่าไฟจะมีกองเล็กใหญ่แค่ไหน ส่วนการดับไฟ ต้องฉีดน้ำไปที่วัตถุที่เป็นเชื้อไฟ เพื่อลดอุณหภูมิของวัตถุให้มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเผาไหม้ การใช้น้ำ ลดอุณหภูิของเชื้อไฟ ต้องฉีดน้ำไปที่วัตถุ เป็นการควบคุมเพลิงที่ยาก ส่วนใหญ่ จึงนิยมใช้วิธีตัดอากาศเช่นการใช้ถังดับเพลิงทั่วไป เนื่องจากสารเคมี จะไล่อากาศในบริเวณนั้นออกไป แต่ถังดับเพลิงชนิดคาร์บอน นอกจากไล่ออคซิเจนแล้ว ยังมีอุณหภูมิติดลบช่วยลดอุณหภูมิของวัตุได้ดียิ่งขึ้น อาจจะดับไฟได้ แต่คงไม่ใช่หน้าที่หลัก .. ถ้าไฟไหม้ขึ้นมา ส่วนมากจะมีถังดับเพลิงให้ใช้ เมื่อไฟไหม้รุนแรงจนต้องมีการหนีไฟ ต้องมั่นใจว่าผู้คนสามารถหนีได้โดยไม่สำลักควันตายซะก่อน ดังนั้น จึงต้องมีการติดตั้งสปิรงเกอร์ไงล่ะ คงไม่มีใครออกแบบอาคารให้ไฟไหม้แล้วให้สปริงเกอร์ดับไฟหรอก แบบนั้นใช้ตัวตรวจจับควันน่าจะดีกว่า ก่อนที่ไฟจะลามจนสปริงเกอร์ทำงาน (บางที่ก็ลงทุนติด 2อย่าง) ปล.1 ถ้าไฟไหม้จนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด รถดับเพลิงก็เอาไม่อยู่ครับ ปล.2 แค่มีควันก็หลบๆได้แล้วครับ อย่างน้อยได้ไม่เกะกะคนจะดับไฟ (เดี๋ยวใครหาว่าเราตื่นตูม >_<) จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 3 ม.ค. 52 14:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 5. เสริม คห.4 ห้องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากอุปกรณืคอมพิวเตอร์มีราคาสูงมาก สารดับเพลิงที่ใช้ในห้องเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่อย่างดาต้าเซ็นเตอร์ เขาจะใช้ก้าซเฉื่อย คือ FM2 ในการฉีดพ่นในปริมาณมากๆ เพื่อไล่อากาศที่ประกอบด้วยออกซิเจนให้ออกไปให้หมด เป็นการตัดวงจรการเกิดเปลวไฟ....    การปล่อยก้าซเฉื่อย ก็จะทำงานโดยเซ็นเซอร์ควันและความร้อน. พร้อมสัญญาณเตือนสักหนึ่งนาทีก่อนฉีดก้าซ เพื่อให้คนสามารถมีส่วนร่วมในการประเมิณความเสียหายได้ว่า ถ้าหากดับไฟได้ทัน ก็ไม่ต้องฉีดก้าซ เพราะราคาเรือนแสน หน่ะครับ ส่วนสปริงเกอร์ สามารถเป็นดีเทคเตอร์ได้ด้วย เพราะหลอดแก้วใส่น้ำสีแดงที่เรามองเห็นนั้น มันอุดรูทางออกของน้ำอยู่ เมื่อมันร้อน มันจขยายตัว และแตกออกทำให้น้ำพุ่งออกมาได้ สปริงเกอรืไม่ได้ถูกออกแบบให้ดับเพลิงในขณะที่ลุกลามแล้ว แต่มันออกแบบให้ทำงานสำหรับเพลิงที่เพิ่งเกิดในขนาดเล็กๆ และ ยังทำงานได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยไม่มีคนเฝ้า.. จริงๆ แล้ว CO2 มีน้ำหนักมากกว่าอากาศ แต่ว่าในขณะเกิดเพลิงใหม้ ควันและ CO2 มีความร้อนสูง จึงทำให้มันมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศ  มันจึงลอยตัวเหนืออากาศปกติ ดังนั้น ที่ความสูงไม่กี่เซ็นต์จากพื้น ยังมีอากาศบริสุทธิ์ (แต่ก็ไม่ใช่ O2 บริสุทธ์นะครับ) จากคุณ : oxidation - [ 3 ม.ค. 52 23:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 #20 หน้าหนาวเกิดไฟยาก ....ไม่จริงครับ บ้านผมเป็นสวน จะต้องทำแนวกันไฟในเดือน พย. ครับ เพราะหน้าหนาวอากาศแห้งมาก และ ลมจะแรง มีโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้ได้ง่ายครับ ต้นไม้บางชนิดอยู่ดีๆ บางทีก็เกิดไฟขึ้นมาได้เองครับ เช่น ต้นไผ่ -__-" จากคุณ : Teru - [ 4 ม.ค. 52 15:49:50 ]