ความคิดเห็นที่ 1 แล้วคนบนยาน A กับ คนบนยาน B แก่เท่ากันไหมคะ ?? จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 00:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ต่อครับ กลับมาที่ เรื่องความขัดแย้งแฝด ถ้ามีคนนั่งยานไปแกแลกซี่หนึ่งอยู่ห่างไปหกล้านปีแสงด้วยความเร็วใกล้แสงมาก ๆ แล้วกลับมาโลกเวลาบนโลกผ่านไปหกล้านปีกว่าๆ แต่คนบนยานเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ถานว่าทำไมโลกก็เคลื่อที่เมื่อเทียบกับยานทำไมไม่เวลาหดด้วย หรือทำไมไม่กลับกัน เวลาบนยานผ่านไปหกล้านปี บนโลกผ่านไปนิดหน่อย คำตอบคือ เพราะคนบนยานได้รับทั้งความเร่งและความหน่วง คือคนบนยานเป็นฝ่ายเคลื่อที่ แต่คำตอบนี้ยังไม่ทำให้เรา(คนธรรมดาไม่ใช่เทพ)เข้าใจได้ เพราะใน ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษไม่สนใจเรื่องความเร่งเลย เราก็เลยต้องเอาแนวคิดเรื่องการเบี่ยงแบนของประวัติศาสตร์(ในคห.แรก)มาอธิบาย ในกรณีนี้ผมขอเอาโลกเป็นกรอบหยุดนิ่ง ยานเคลื่อที่ไปอีกแกแลกซี่หนึ่ง ขาไป ความเร็วจาก 0 ไป 99.9999999c เมื่อเคลื่อที่ไปประวัตศาสตร์ด้านหน้า(ของนักบิน)จะมาเร็วกว่าประวัติศาสตร์ด้านหลัง(เมื่อมองจากโลกประวัติศาสตร์ทั้งสองมาพร้อมกัน) ดังนี้ นักบินจะไปอยู่ประวัติศาสตร์ของอีก 6 ล้านปีข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มองกลับมาที่โลก โลกยังเป็นเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน ขาไป ความเร็วจาก 99.9999999c ไป 0 พอหยุด เมื่อมองกลับมาที่โลก มองจากแสงที่มาจากโลก เวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่ถ้ามีแว่นวิเศษให้ดูโดยไม่คำนึงถีงระยะเวลาที่แสเดินทางมาโลกจะเปลี่ยนไปหกล้านปีเช่นกัน ขากลับ ความเร็วจาก 0 ไป 99.9999999c โลกอยู่ข้างหน้าของยาน ดังนั้นยานจะวิ่งไปอยู่ในประวัติศาสตร์อีกหกล้านปีของโลกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ิอธิบายแบบนี้จะเห็นภาพกว่านะครับ ว่าทำไม่ที่เขาบอกว่านักบินได้รับทั้งความเร่งความหน่วงจีงเวลาหด จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 00:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบคห 1 แก่เท่ากันครับ แต่ถ้าอยากอ่อนกว่าให้วิ่งกลับไปหาB นักบินAจะอ่อนกว่า สมมตินักบินทั้งสองอายุยึ่สิบตอนสวนกัน ผ่านไปสิบปีนักบินAอยากอ่อนกว่าB AบินกลับไปหาB  Aอาจอ่อนกว่าB 8ปี (มากน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วที่วิ่งสวนกัน) จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 00:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สามรูปนี้มีค่าเท่ากันไหมคะ?? จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 01:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 .... คนบนยานทั้งสองจะเห็นพร้อมกัน ทั้ง  x  y  เพราะ มันไม่ขึ้นกับทิศทาง   ณ จุดสังเกต   แต่จะเร็วกว่าผู้สังเกต  เพราะกำลังเคลื่อนที่....   ส่วนเรื่อง.....ถ้ายาน a  กลับหัวแล้ว  a จะอ่อนกว่า b ก็ไม่ใช่อีกครับ เพราะเวลาจะช้าลงมันไม่ขึ้นกับทิศทางแต่มันขึ้นกับความเร็ว ตาม ทฤษฎี สัมพัทธภาพ  ไม่ได้บอกว่าเดินทางไปทิศไหนเวลาจะเหลื่อมกับ  ยานอื่นที่ทิศทางไม่ตรงกันไม่ว่าจะทิศไหน.....ครับ และในมิตินี้ที่คิดว่า  เวลามี  ลักษณะ  forward   ด้านเดียว.......และเหลื่อมล้ำกันได้  ไม่มีลักษณะ  backward ครับ อิๆๆ   จริงๆผมเดาเอาทั้งนั้น............. ว่าแล้วต้องมีคนรู้  ออกมาอธิบาย........ จากคุณ : นิ้วจิ้ม - [ 20 ม.ค. 52 01:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คห4 เท่ากันแบบนิวตัน(แบบประมาณของสัมพัทธภาพ) ไม่เท่ากันแบบลอเลนซ์(แบบสัมพัทธภาพ) ต้องแปลงลอเลนซ์ ==-======= แก้ไข ขออภัยผมเข้าใจผิดคิดว่า f คือความเร็ว ขอแก้เป็นแต่ละกรณีไม่เหมือนกันครับ แต่กรณีนี้ผมไม่พิจารณาความเร่งครับ ลองดู คห 17 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 09:31:49 จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 01:16:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 #6 คือ ยังไม่เข้าใจเรื่อง ความเร่งความหน่วงน่ะค่ะ ภาพ#4 อยากจะอธิบายว่า ถ้าเรา เป็น วัตถุ A ซึ่งมอง B วิ่งหนีไปด้วยความเร่ง แต่จริงๆแล้ว วัตถุ B อาจอยู่เฉยๆ โดยเราวิ่งหนีด้วยความเร่งเองก็ได้นะคะ เพราะ ในอวกาศจุดที่อ้างอิงจริงๆไม่มี (ถามง่ายไปขออภัยด้วยค่ะ สงสัยจริงๆ) เพิ่มเติม ช่วยขยายความ "เท่ากันแบบนิวตัน(แบบประมาณของสัมพัทธภาพ) ไม่เท่ากันแบบลอเลนซ์(แบบสัมพัทธภาพ) ต้องแปลงลอเลนซ์" ทีค่ะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 01:56:44 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 01:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าความแตกต่างเป็นแค่ ความเร่ง ดังนั้น ทำไม ดาวเทียม ต้องปรับเวลาอยู่เรื่อยๆ ในเมื่อ โคจรด้วยความเร็วคงที่ คะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 01:31:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 20 ม.ค. 52 01:44:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คห.8 การยืดออกของเวลาเกิดจากความเร็วครับไม่ใช่ความเร่ง ดังนั้นดาวเทียมจึงได้รับผลกระทบจากการยืดออกของเวลานี้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องความเร่งมาเกี่ยวข้องกันเลย ส่วนในเรื่องของTwin paradox นั้นที่แฝดคนที่อยู่บนยานมีอายุน้อยกว่าแฝดคนที่อยู่บนโลก ก็เพราะว่าคนที่อยู่บนยานนั้นได้มีการเปลี่ยนกรอบอ้างอิงอันเป็นผลมาจากการวกกลับของยาน ส่วนคนที่อยู่บนโลกนั้นอยู่ในกรอบอ้างอิงเดิมไม่ได้เปลี่ยนทำให้เวลาของทั้งคู่ไม่เท่ากัน จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 02:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 11 #10  เพราะ "การยืดออกของเวลาเกิดจากความเร็วครับไม่ใช่ความเร่ง " ก็เลยรู้สึกว่า แค่มีความเร็วคงที่ก็ทำให้แ่ก่ช้ากว่าได้แล้วน่ะค่ะ ลองคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ "แฝดสามคน คนหนึ่งอยู่บนโลก คนหนึ่งอยู่บนดาวเทียม10ปี แล้วกลับโลก คนหนึ่ง อยู่บนดาวเทียม 20ปี แล้วค่อยกลับโลก " >>ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรคะ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 03:09:39 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 03:05:46 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 03:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เรียงตามอายุนะครับ คนบนโลก>คนที่อยู่บนดาวเทียม10ปี>คนที่อยู่บนดาวเทียม20ปี จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 03:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คิดเหมือนกันเลยค่ะ แม้ว่า คนที่สองและสาม ผ่านความเร่งมาเท่ากัน แต่ก็แก่ช้าเร็วต่างกัน ก็เลยสงสัย ว่าคุณจขกท. เขียนว่า เป็นเพราะความเร่งอย่างเดียวหรือเปล่า ที่ใช้อธิบาย paradox ตรงนี้ เท่านั้นเองน่ะค่ะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 03:23:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 #13 อยู่ที่เราจะใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ หรือสัมพัทธภาพทั่วไปในการอธิบายครับ จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 03:31:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #14 คิดว่า น่าจะ ใช้ทั้งสองทฤษฎี เพราะมีผลทั้งคู่ ^^ เท่านั้นเองค่ะ ไม่มีอะไร ความคิดเห็นส่วนตัวเฉยๆ ค่ะ ก็เลย ถาม ดูเพื่อความแน่ใจ ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ ^^ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 04:46:35 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 03:45:45 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 03:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้าใจละ! จากคุณ : PanJ - [ 20 ม.ค. 52 07:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมจขกท ตอบคุณหลานแว่น ในกระทู้นี้ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ไม่พิจารณาความเร่งครับ ผมเข้าใจผิดเกี่ยวกับรุปของคุณ ผมคิดว่าเป็นความเร็วไม่ใช่แรงน่ะครับ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจตัวทฤษฎีก่อนไม่งั้นงงมากๆ ถ้ามีความเข้าใจตัวทฤษฎีแล้วลองอ่านที่ผมเขียนดี ๆ เรื่องนี้ทำความเข้าใขได้ยาก หากไม่เปิดใจ ถ้าเปิดใจยอมรับว่าที่ผ่านมาเราอาจเข้าใจผิดแล้ว จะเข้าใจได้ไม่ยาก เรื่องยากของทฤษฎีนี้อยู่ที่การยอมรับว่าเราโง่เราเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต ครับ (ที่จริงตลอดสายวิวัฒนาการ ทำให้เราจินตนาการไม่ออก) ทำให้แม้ในปัจจุบันมีคนเข้าใจทฤษฎีนี้(จริง) น้อยมาก (ส่วนมากจะเข้าในแบบจำ ๆ มา มวลความยาวเวลา ยืดหดได้ e=mc²) ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะรู้สึกว่า "สุดแสนจะประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก" อย่างที่ไอนสไตน์ว่าไว้ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 09:38:08 จากคุณ : Ao+ (Ao+) - [ 20 ม.ค. 52 09:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เข้าใจมากกว่าเดิมเยอะเลยอ่ะ ขอบคุณทุกคนที่มาให้ความรู้ค่ะ พวกคุณทำให้เราที่ไม่มีความรู้ด้านฟิสิกส์เลยเข้าใจได้ จากคุณ : นู๋ขี้สงสัย - [ 20 ม.ค. 52 09:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แต่ผมกลับรู้สึกว่าการใช้คำอธิบายเรื่อง twin paradox นั้นควรใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพเท่าไปมาอธิบายจะดีที่สุด เพราะข้อสงสัยว่าทำไมทั้งๆ  ที่คนบนโลกก็เคลื่อนที่สัมพัทธ กับ ยาน และยานเคลื่อนที่สัมพันธ์กับโลกแล้ว เวลาคนบนยานลดไปเฉย  ๆ จะมีหลักการหนึ่งที่ Einstein ได้กล่าวไว้คือ Principle of Equivalent ที่กลับว่าคนบนลิฟท์ที่มีความเร่งกับคนบนลิฟท์ที่อยู่บนโลก จะแยกแยะระหว่างความเร่งที่ตัวเองได้รับกับแรงดึงดูดไม่ออก และการที่คนไปอยู่บริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงสูง ๆ เวลาจะเดินช้ากว่าผู้อื่น การเคลื่อนที่ด้วยความเร่งจึงทำให้เวลาคนบนยานเดินช้ากว่า เพราะทันที่ที่คนเอายานจอดเพื่อเทียบเวลากับคนบนพื้นดิน หรือคนเริ่มเร่งความเร็วแล้ว ตรงนั้นจะทำให้เวลาเดินช้าลง ส่วนตรงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ต่างคนก็ต่างคิดว่าตัวเองเวลาหดสั้นกว่าอีกคน จึงไม่มีผล เพิ่มเติม http://en.wikipedia.org/wiki/General_relativity http://en.wikipedia.org/wiki/Twin_paradox ผิดพลาดอะไรมาบอกกันด้วยเน้อ แก้ไขเพิ่มเิติม อยากที่หลาย ๆ คนรู้ special relativity จะอธิบายเฉพาะกรอบที่ไม่มีความเร่งเท่านั้น ถ้าระบบเรามีความเร่งก็จะคิดไม่ได้ แต่ที่จริงก็มีการสมมติและการประมาณ ให้กรอบที่เร็วพิจารณานั้นมีความเร็วคงที่ชั่วขณะ ผลของการคิดด้วยวิธีนั้น ก็ให้ผลคล้ายกับการคิดแบบสัมพัทธภาพทั่วไปเลยทีเดียว แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 11:04:25 จากคุณ : handghost - [ 20 ม.ค. 52 10:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคห19 general relativity อธิบาย twin paradox ไม่ได้ครับ เพราะเราไม่สนใจความเร่ง สนใจแต่ความเร็ว ให้ตัดผลจากความเร่งไปก่อนเพื่อความง่ายในการพิจารณา (ให้ใช้เวลาเร่งเป็น0เลย) ลองอ่านที่ผมเขียนดี ๆ ครับ อ่านยากหน่อย ต้องเปิดใจ โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์หนึ่งเดียว หรือความจริงเดียว ต้องตัดทิ้งไปจากใจ และยอมรับว่าความจริงของแต่ละคน(ที่ความเร็วไม่เท่ากัน)จะไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ทำใจยาก ไม่งั้นคงไม่มีเสื้อเหลืองเสื้อแดงหรอก(อ้าวไปการเมืองซะงั้น) จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 13:07:06 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #20 แต่ผมกลับคิดว่าgeneral relativityอธิบายเหตุการณ์นี้ได้ครับ โดยถ้าเอาเหตุผลง่ายๆก็คือspacial relativityก็เป็นเพียงกรณีหนึ่งของgeneral relativityซึ่งก็คือระบบที่มีความเร่งเพียงแต่ว่าความเร่งเท่ากับศูนย์เท่านั้นเอง ถ้าเอาgeneral relativityมาคิดจริงๆก็จะได้ว่า คนที่อยู่บนยานจะได้รับความเร่งทั้งหมด4ครั้งคือ 1.ตอนยานออกตัว 2.ตอนยานหยุดเพื่อเลี้ยวหัวกลับ 3.ตอนยานออกตัวเดินทางขากลับ 4.ตอนยานลงจอด แต่คนที่อยู่บนโลกไม่ได้รับความเร่งอะไรเท่าไหร่เลย นอกจากจากแรงโน้มถ่วง จากPrinciple of Equivalent ทำให้เราทราบว่าแรงโน้มถ่วงสมมูลกับความเร่งโดยที่ทั้งคู่สามารถทำให้เวลายืดออกได้เหมือนกัน ดังนั้นเวลาของคนที่อยู่บนยานจึงช้ากว่าคนที่อยู่บนโลก แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 13:34:51 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 13:34:15 จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 13:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แหะๆ F = แรงนะค้าาาา ถ้าเป็นความเร็วต้องใช้ v ตะหาก  จริงๆเป็นไปดังที่คุณ CozyMKIV  บอกนะ คือคิดได้ทั้งสองแบบ  อันนี้เป็นความเข้าใจแบบง่ายๆค่ะ เพิ่มเติม คุณ จขกท.ลองดู #8 เรื่องดาวเทียม ที่โคจรด้วยความเร็วคงที่ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าดาวเทียมอยู่กับที่ โลกก็เสมือนโคจรรอบดาวเทียมเช่นกันค่ะ (แต่ต้องปรับเวลาอยู่เรื่อยๆนะ โดยไม่ต้องลงมายังโลก) และ #11 เรื่องแฝดสามคน ว่าอธิบายว่าอย่างไรบ้าง น่าจะเข้าใจตรงกันเพิ่มขึ้นน่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 14:09:08 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 13:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบคห 21 ใช่ครับ Special เป็นส่วนหนึ่งใน General แต่โดยสามัญสำนึกแล้วเราจะนึกถึง General เมื่อมีความเร่งน่ะครับ ผมหมายถึงความเร่งไม่ได้หักล้างผลของ Twin Paradox สมมติ เราสามารถหายตัวได้ เราหายตัวขึ้นไปบนยานที่ใกล้ความเร็วแสงแล้วเราก็หายตัวไปอยู่ในยานอีกลำที่สวนมาแล้วกลับมาโลก ผมของ Twin Paradox ก็ยังเหมือนเดิม คือคนที่หายตัวมีอายุน้องกว่าคนบนโลก ลองคิดดูนะ ตัดความเร่งออก ก็ยังมี Twin paradox ระยะเวลา และความเร็วมีผลโดยตรงกับ เวลา(อายุ)ที่ต่างกันของแฟด คิดดู ดี ดี มันล้ำลึก ไม่งั้นโลกคงไม่ยกย่องไอนสไตน์ ลองดู http://en.wikipedia.org/wiki/Twin_paradox จะเห็นได้ว่า "In physics, the twin paradox is a thought experiment in special relativity,..... " special relativity แน่นอนผมไม่ได้มั่วมีฟรั่งยืนยัน คนที่เข้าใจก็จะเข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจก็จะไม่ยอมเข้าใจ ไม่มองต่างมุม ไม่มองนอกกรอบ ไม่เปิดใจ นี่แหละความยากของ ทฤษฎีนี้ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 14:08:16 จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 14:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 24 #20 "general relativity อธิบาย twin paradox ไม่ได้ครับ " >> จริงๆคือ คุณ CozyMKIV เค้าต้องการบอกว่ามันอธิบายได้สองแบบ ไม่ใช่แค่แบบเดียวมั้งนะคะ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 14:18:38 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 14:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 http://en.wikipedia.org/wiki/Hafele-Keating_experiment ลองดูผลการทดลองนาฬิกาบนเครื่องบินดีกว่าค่ะ จะเห็นได้ว่าทั้ง general และ special มีผล ด้วยกันทั้งคู่นะคะ ไม่ใช่แค่อันใดอันหนึ่ง เอ๊ะ หรือเราเข้าใจผิดตรงไหนหว่า 55 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 14:20:46 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 14:18:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #23 หายตัว=ความเร็วมากกว่าแสงหรือครับ ผมคิดแบบนี้นะ การหายตัวคือการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความเร็วที่สูงมาก(v=ds/dt โดยที่dt มีค่าน้อยมากๆ) แล้วจากการที่ dt มีค่าน้อยมากๆนี้แสดงว่า a ซึ่งก็คือ dv/dt ก็มีค่ามากด้วย ดังนั้นจึงยังคงได้รับผลกระทบจากความเร่งเช่นกัน แต่ถ้าการหายตัวในความหมายของคุณเป็นอย่างอื่นก็ช่วยอธิบายหลักการให้ผมเข้าใจด้วย จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 14:19:36 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขออ่านด้วยคนครับ จากคุณ : ninji - [ 20 ม.ค. 52 15:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ลงชื่อ แล้วค่อยอ่าน น่า สนใจ ครับ จากคุณ : eping - [ 20 ม.ค. 52 15:16:51 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ในความเข้าใจ(ที่ไม่เข้าใจ) คือ การมองเห็นเหตุการณ์ ที่ไม่ตรงกับเวลาที่เกิดขึ้นจริง ไม่น่าจะมีผลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คือผมนึกให้ตายยังงัยก็นึกไม่ออก ว่าทำใมคนที่อยู่ในยาน(หรืออยู่ในความเร็วสูง)จึงมีผลกับเวลา ต่างจากคนปกติ อย่างตัวอย่างที่ #22 อันนี้ผมเข้าใจ เนื่องจากแสงต้องใช้ระยะเวลาเดินทาง จึงทำให้เรามองเห็นภาพที่เกิดขึ้นเมื่ออดีต(5ปี ที่แล้ว) แต่ก็ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกับเวลาปกติยังงัย โดยสมมติ ให้เด็กคนที่อยู่ในยานเดินทางไปก่อนที่ดาวจะระเบิดแล้วกลับมาตอนที่ดาวระเบิดพอดี ถ้าเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับแสงเค้าก็จะใช้เวลา 5 ปีในการเดินทาง ซึ่งก็จะเท่ากับคนที่อยู่บนโลก ถูกไหมครับ แต่ถ้าเดินทางด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง เค้าก็จะเดินทางมาถึงก่อนที่โลกจะเห็นว่าดาวระเบิด แต่เวลาก็น่าจะผ่านไปเท่ากัน (ตามความเข้าใจของผม) ปล.ผมพยายามทำความเข้าใจกับทฤษฏีนี้มาหลายครั้งแล้ว (จากหลายๆตัวอย่างแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี) จากคุณ : เด็กโง่ - [ 20 ม.ค. 52 16:24:13 A:203.144.157.251 X: TicketID:165515 ]

ความคิดเห็นที่ 30 รบกวนถามนะครับ............ สมมุติเกิดบิ๊กแบง และเรารู้มาว่า โลกเคลื่อนที่จาก จุดศูนย์   ด้วยความเร่ง... จนขณะนี้  โลกเคลื่อนที่ด้วยความเร็วครึ่งนึงของแสง  150000 กม ต่อ วินาที..... ถามดูนะครับ.......... 1  ถ้ามียาน a วิ่งจากโลกไปยังจุดศูนย์ด้วยความเร็ว  150000 เช่นกัน..........เวลาบนยานและโลก  ใครช้าเร็วกว่า 2  ถ้ามียาน b เคลื่อนที่ตั้งฉากจากโลกและจุดศูนย์ ไปด้วยความเร็ว  150000  เช่นกัน  เวลาในยาน a  b  และโลกต่างกันอย่างไร 3  เวลาของโลกกับเวลาของดาวอื่นที่ยังออกจากจุดศูนย์ไม่ไกลมาก เวลาไม่เท่ากันใช่หรือไม่..... 4  มวลดาวเคราะห์  ที่เห็นจากจุดต่างๆ ที่ห่างจากจุดศูนย์ไม่เท่ากัน  ไม่ใช่มวลที่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้  เพราะเคลื่vนที่ด้วยความเร็วต่างกันครับ.... ประมาณนี้ครับ................. คือผมก็    งง   แล้วหล่ะ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 16:45:09 จากคุณ : นิ้วจิ้ม - [ 20 ม.ค. 52 16:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตอบคห 25 26 เข้าใจครับว่ามันมีผลทั้ง Gen และ special reltvity แต่เวลาเราจะเรียนรู้เราต้องเรียนทีละส่วน Twin paradox เป็นความขัดแย้งในมุมของ special relativity ผลจาก Gen หรือความเร่งมีจริงแต่ไม่ค้านความรู้สึก (จึงไม่เป็นประเด็น และถูกตัดทิ้งในเรื่อง twin paradox) ผลของ Special Rel. มันค้านความรู้สึกในแง่ที่ว่า ทำไม แฝดบนโลกไม่เวลาหดบ้าง เพราะเคลื่อนที่เทียบกับยาน และ special Rel ไม่คำนึงถีงความเร่งดังนั้น ความเร่งที่เกิดบนยานไม่มีผลต่อการคำณวนใน special rel ในกรณีที่ผมบอกให้หายตัวจะตัดผลของความเร่งไปได้คือ แม้จะมีความเรงเป็นอนันต์ ทำให้เวลาหยุดเดิน แต่เวลาที่ใช้(ขึ้นลงยาน)เป็นศูนย์ ดังนั้นจะไม่ได้ย่อเวลาลงโดยความเร่งเลย แต่ขอให้คิดง่าย ๆ แบบไม่เอาความจริงเป็นกรอบ ให้เอาแบบในจินตนาการ เพื่อจะไม่ต้อง พิจารณาผลของ Gen Rel ก็พอ(คือจะพิจารณา Spec. Rel เท่านั้น) คือเอาแบบหายตัวได้แบบผีในหนังเป็นต้น เมื่อตัดผลของ Gen Rel ออกแล้วคุณก็จะพบว่ายังมี TWinparadox อยู่ดี จากการยืดหดเวลา ตามสูตรการแปลงลอเร็นซ์ แล้วก็จะตั้งคำถามว่าทำไม ไม่พิจาณาว่าโลกเคลื่อที่เทียบกับยาน คำตอบคือ ยานเป็นผู้เปลี่ยนกรอบอ้างอิง คือ เร่งไป เบรค เร่งกลับ เบรค ยานเป็นผู้เปลี่ยนความเร็ว หรือยานมีความเร่ง(แต่อย่าเพิ่งใช้ GEn rel มาตอบเพราะมันเป็นคนละส่วน) คำถามถัดไปคือแล้วทำไมยานที่เปลี่ยนกรอบอ้างอิงจึงได้ต้องเวลาหดด้วย ซึ่งคำตอบคือ ต้องกลับไปอ่านด้านบนที่ผมอธิบาย จริง ๆ คำตอบนี้คนจะเข้าใจต้องรู้ประเด็น spec. rel มาพอสมควร ไม่งั้นจะงงเหมือนอย่างหลาย ๆ ท่านในนี้ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 16:32:06 จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 16:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ 30 ข้อ 1,2 ทั้งสามกรอบ a b และ โลก จะมองเห็นคนอื่นเวลาช้าลงครับแต่มองตัวเองปกติ เพราะกรอบสามกรอบนี้เคลื่อนที่สัมพัทธกันด้วยความเร็วคงที่ ถ้ามีแฝดสาม อยู่บน a, b โลก คุณต้องการให้แฝดคน a อายุน้อยสุดคุณก็ เอาaวิ่งมา ที่โลก หรือ ที่ b ถ้าปล่อยให้วิ่งไปเรื่อย ๆ มันก็จะมองเห็นเวลาคนอื่นช้าสัมพัทธกับตัวเอง ตอ้งเข้าใจนะครับ นี่คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ คือทุกอย่างสัมพัทธหมด ปกติคนจะคิดว่าสัมพัทธคือ การเคลื่อนที่ A เทียบกับ B ซึ่งเป็นแนวคิดเก่าตั้งแต่กาลิเลโอ โน่น แต่ที่จริง มวลก็สัมพัธ เวลาสัมพัทธ ประวัติศาสตร์สัมพัทธ ความยาวก็สัมพัทธ คือความจริงของแต่ละคน(กรอบอ้างอิงเฉื่อย)ไม่เหมือนกัน คือถ้าเราไปอยู่บนยาน a เราจะมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวต่างออกไปซึ่งไม่ได้เกิดจากภาพลวงตา แต่มันปลี่ยนไปจริง ข้อ 3 ขึ้นอยู่กับความเร็ว ไม่ขึ้นกับตำแหน่ง จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 16:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบ 29 คุณต้องทำความเข้าใจ ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษก่อน โดยเฉพาะ สมมติฐาน ที่ว่าแสงเดินทางด้วยความเร็วคงที่ไม่ขึ้นอยู่กับความเร็วของแหล่งกำเนิดและผู้สังเกต ข้อนี้เป็นต้นกำเนิดของความพิสดารทั้งปวง ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่อีเธอร์ ตัวกลางนำแสง นักวิทย์สมัยก่อนคิดว่าแสงเป็นคลื่นต้องมีตัวกลาง ตั้งชื่อว่า อีเธอร์ เขาคิดว่าแสงจะเดินทางด้วยความเร็วคงที่ในอีเธอร์ ดังนั้นถ้าเราเคลื่อนที่เทียบกับอีเธอร์ เราจะวัดความเร็วแสงได้ต่างออกไป มีการวัดความเร็วแสงเมือโลกคลื่อนที่ด้วยทิศต่างๆ  วัดความเร็วในทิศต่าง ๆ ก็ไม่พบว่าแสงเดินทางด้วยความเร็วผิดไปจากเดิม ทำให้นักวิทย์งงกันมาก ไอนสไตน์ เลยตัดปัญหาเรื่องอีเธอร์โดยเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ สมมติฐาน ที่ว่าแสงเดินทางด้วยความเร็วคงที่ไม่ขึ้นอยู่กับความเร็วของแหล่งกำเนิดและผู้สังเกต ตัดปัญหาข้อนี้ไปและนำมาซี่งความพิสดารแต่ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง ตัวสมมติฐานเองก็เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ แล้วนำผลสรุปที่แปลกประหลาด เช่น เมื่อเคลื่อนที่เร็วมวลจะเพิ่ม ความยาวจะลด เวลาหด เป็นต้น ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ออกจะแปลกหน่อย ตรงที่ว่า ไอน์ไสตน์ เสนอสมมติฐาน แล้วนำสมมติฐานมาคำณวนหาผลลัพธ์คำตอบเลย แล้วค่อยผลลัพธ์นั้นมาพิสุจน์ ไม่ใช่เอาสมมติฐานมาพิสูจน์ก่อนแล้วสรุปผล จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 17:14:05 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขออภัยครับ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 18:46:48 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 18:35:48 จากคุณ : นิ้วจิ้ม - [ 20 ม.ค. 52 18:29:41 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ครับ ถ้าใช้สัมพัทธภาพพิเศษหัวใจหลักของการอธิบายปัญหานี้คือการเปลี่ยนกรอบอ้างอิง ซึ่งผมก็ได้พูดไปแล้วในคห.ที่10 แต่ถ้าเรามองว่าความเร่งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงกรอบอ้างอิงอย่างหนึ่งแล้ว การแก้ปัญหานี้จะเชื่อมโยงกันได้ทั้งสัมพัทธภาพพิเศษและสัมพัทธภาพทั่วไป จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 20:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมว่า ใช้ สัมพัทธภาพทั่วไป ก็จะจบไปนานแล้ว พอจะใช้ สัมพัทธภาพพิเศษ มาอธิบาย ตั้งหลายแบบ ดัน ไม่ยอมย้ำเรื่อง การเปลี่ยนกรอบอ้างอิง (ตาม คท35 นี่หละ) ผมก็งงอยู่หลายปี จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day - [ 20 ม.ค. 52 20:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบคุณเด็กโง่ "โดยสมมติ ให้เด็กคนที่อยู่ในยานเดินทางไปก่อนที่ดาวจะระเบิดแล้วกลับมาตอนที่ดาว ระเบิดพอดี ถ้าเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับแสงเค้าก็จะใช้เวลา 5 ปีในการเดินทาง ซึ่งก็จะเท่ากับคนที่อยู่บนโลก ถูกไหมครับ" >>> ใช่ค่ะแต่เค้าจะรู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปแปปเดียว ตามสูตร t' = t(1/sqrt(1-(v/c)^2)) t' = 5 ปี นะ แล้ว v ไม่มีทางเท่า c เพราะไม่งั้นส่วนจะเป็น 0 แล้วคำนวณ t ออกมา ถ้า v ใกล้ c มากๆ t จะมีค่าน้อยมากๆด้วยน่ะค่ะ ไม่ถึง  5 ปี รายละเอียดดูกระทู้ที่แตกออกมาค่ะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 21:43:52 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผมว่านะ ทฤษฎีมันแปลกประหลาด และมีหลายแง่มุม จะอาศัยภาษาให้เข้าใจกันง่าย ๆ คงยาก ถึงแม้เราเน้นเรื่องการเปลี่ยนกรอบอ้างอิง บางคนอาจเข้าใจ แต่คนส่วนมากก็จะงงอีก(อย่างผมเป็นต้น) ก็จะบอกว่า "กรอบอ้างอิงมันเกี่ยอะไรฟระ" คนพวกนี้ก็จะตอ้อธิบายให้ลงลึกลงไปว่า ทำไมเปลี่ยนกรอบอ้างอิงแล้วเวลาจะหดกว่าคนที่ไม่ได้เปลี่ยน ขอแย้งคุณ 36 เรื่อง twin paradox เป็นข้อพิศวงใน ทฤษฎืสัมพัทธภาพพิเศษ (เป็นความขัดแย้งในตัวทฤษฎี)คือถ้าต้องอธิบายด้วยสัมพัทธภาพทั่วไป ตัวทฤษฎีก็จะล้มไปเลย หรือมีข้อบกพร่องขนาดใหญ่ หรือต้องรวมสองทฤษฎีเป็นอันเดียว แต่ สัมพัทธภาพพิเศษ สมบูรณ์ในตัวของมันเองไม่จำเป็นต้องเอา ทฤษฎีอื่นมาอธิบาย และมีการพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมากมาย ดังนั้น twin paradox ไม่ควรเอาสัมพัทธภาพทั่วไปมาอธิบาย มันสามารถ ใช้ สัมพัทธภาพพิเศษ อธิบายได้ และเราจะพบแง่มุมที่สำคัญอีกอันของสัมพัทธภาพพิเศษ ผลของ สัมพัทธภาพทั่วไป ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งบวกเข้าไป ตอนคิดจะคิดแยกกัน เช่น ดาวเทียม อยู่บนวงโคจรด้วยความเร็ว ถ้าคิด สัมพัทธภาพพิเศษก็เวลาจะสั้นกว่าบนโลก แต่บนโลกมีแรงดึงดูดมากกว่าดังนั้นโลกก็จะเวลาสั้นกว่าดาวเทียมด้วย สัมพัทธภาพทั่วไป แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 22:09:29 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 22:01:04 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 52 21:51:12 จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 21:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอแย้ง #33 "เมื่อเคลื่อนที่เร็วมวลจะเพิ่ม ความยาวจะลด เวลาหด เป็นต้น" พิมพ์ผิดมั้งคะ ต้องเป็นเวลาจะยืดออกต่างหาก จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 20 ม.ค. 52 22:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตอบ39 เวลายืดก็ได้ครับ ถ้ามองว่ามันเดินช้าลงเมื่อมองจากภายนอกหยุดนิ่ง หรือเวลาหดก็ได้เมือมองว่า เวลาสิบปีจะเหลือหนึ่งปี อันที่จริงผมใช้คำไม่รัดกุม ต้องใช้ว่าเวลาเดินช้าลงน่ะครับ จากคุณ : Ao+ - [ 20 ม.ค. 52 23:19:52 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่ต้องยึดถือหรอกครับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ต้องใช้ทฤษฎีไหนในการแก้ปัญหา ขอแต่มันออกมาสอดคล้องกับผลที่ได้จากการสังเกตุการณ์และการทดลองก็เพีบงพอแล้ว และที่สำคัญ สัมพัทธภาพทั่วไปก็คือสัมพัทธภาพพิเศษที่มีความเร่งเข้ามาเกี่ยวข้อง และให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่าสัมพัทธภาพพิเศษมาก ซึ่งสามารถดูได้จากเรื่องวงโคจรของดาวพุธก็ได้ครับ จากคุณ : CozyMKIV - [ 20 ม.ค. 52 23:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คห 33 ที่บอกว่าไอส ตั้งสมมติฐานแสงมีความเร็วคงที่ในทุกผู้สังเกตโดยไม่พิสูจน์สมมติฐานก่อน  เท่าที่ผมได้อ่านประวัติที่มาของทฤษฎีนี้ ก็ไม่เชิงเป็นไปตามที่ คห 33 ชี้แนะครับ ก่อนหน้านั้น สมการแมกซ์เวลได้ให้คำตอบนี้แล้ว และการทดลองเพื่อหาอีเทอร์ก็ได้ให้คำตอบนี้เช่นกัน ไอสไตน์จึงได้นำข้อเท็จจริงนี้มาพัฒนาทฤษฎีต่อ เขาพ้นกรอบของเวลาสัมบูรณ์ได้จากการที่นั่งรถกลับบ้านแล้วจินตนาการว่าถ้ารถวิ่งเร็วเท่าแสงจะเป็นอย่างไร เขาเหลือบไปเห็นหอนาฬิกา ก็เกิดการรู้แจ้งโดยฉับพลันว่าแสงจากนาฬิกาจะไล่ตามเขาไม่ทัน เขาจะเห็นเข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่เดิม เหมือนเส้นผมบังตา เขาเกิดความคิดขึ้นทันใดว่า เวลาไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์  นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทฤษฎี จากคุณ : ผู้รู้น้อย (tytsn1197) - [ 21 ม.ค. 52 11:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เข้ามาอีกที ก็ยาวแล้ว ขอตอบรวดเดียวละกัน คุณAo+ ผมเข้าใจว่า twin paradox เป็น การทดลองทางความคิดเพื่อแย้งทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษครับ เพราะคนที่คิดวิธีนี้คิดว่าจะเกิดปัญหาเกิดขึ้นถ้าใช้สัมพัทธภาพพิเศษในการอธิบาย ถึงแม้ twin paradox จะเป็นปัญหาของสัมพัทธภาพพิเศษก็ตาม แต่การที่จะอธิบายผลให้ละเอียด ก็ความใช้สัมพัทธภาพทั่วไป หรืออย่างน้อยถ้าใช้สัมพัทธภาพพิเศษอธิบายก็ควรใช้ Instantaneous rest frame มาช่วยพิจารณาความเร่งแบบสัมพัทธภาพพิเศษด้วยสิครับ และการหดเวลาจากความเร่งนั้นไม่สามารถละได้เลย เพราะมีค่ามากถ้ามีความเร่งสูงขนาดหนึ่งเพราะถ้าพิจารณาผลจากการทดลองแล้วต้องใช้ทั้งสองส่วนด้วยกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะิพิจารณาก็ควรใช้ทั้งสองส่วนสิครับ จากคุณ : handghost - [ 21 ม.ค. 52 14:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตอบคห 43 ครับ แต่ผมเข้าใจว่า  twin paradox เป็นความขัดแย้งในตัวทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (โดยคนที่ไม่เข้าในถ่องแท้) และตอบได้โดย ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษเอง(แบบคนที่เข้าใจจริง) ผมไม่แน่ใจแต่ว่ามันตอบได้ตั้งแต่ก่อนไอนสไตน์จะคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปแล้ว [คห 23 ลองดู http://en.wikipedia.org/wiki/Twin_paradox จะเห็นได้ว่า "In physics, the twin paradox is a thought experiment in special relativity,..... " special relativity แน่นอนผมไม่ได้มั่วมีฟรั่งยืนยัน ] ผมเข้าใจครับว่าผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจะเกิดขึ้นร่วมด้วย แต่ถึงไมเกิดผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ก็สามารถตอบ เรื่อง Twin Paradox ได้โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ลองถามนะครับว่า ถ้าเราสามารถเร่งด้วยอัรตาเร่งอนันต์ ไปที่ยาน ด้วยเวลาเดินทาง(จากผู้สังเกตุบนโลก)เป็น 0 ที่อัตราเร่งอนั้นต์ผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจะทำให้เวลา ของนักบินเป็น 0 ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไรบนโลก ในกรณีนี้ เวลาของแฝดทั้งสองเท่ากัน คือ 0 แล้วต่อไปแฝดนักบินเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วคงที่ ถ้าคิดแบบนี้ จะตัดผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้และยังเกิด twin paradox ด้วย และสามารถตอบข้อขัดแย้งด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษได้ ไม่เชื่อลองอ่านด้านบนที่ผมเขียนไว้ จากคุณ : Ao+ - [ 21 ม.ค. 52 16:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แนะนำให้ไปอ่าน quantum ส่วนของ dirac ครับ จะพบมิติ ที่ใช้คณิตศาสตร์จินตนาการได้ มันจะช่วยให้เข้าใจอะไรเช่นนี้ได้ง่ายขึ้น จากคุณ : dirac มั๊ง - [ 21 ม.ค. 52 16:06:29 A:192.168.0.17 X:172.16.63.62, 203.185.69.119 TicketID:191178 ]

ความคิดเห็นที่ 46 http://en.wikipedia.org/wiki/Twin_paradox มีคนอธิบาย ไว้ในปี 1911 http://en.wikipedia.org/wiki/General_relativity ไอน์สไตน์ ตีพิมพ์ไว้ใน 1916 จะเห็นได้ว่าแม้ไม่มี สัมพัทธภาพทั่วไปก็สาารถอธิบาย TwinPrardox ได้ คำอธิบายว่า มีเพียงแฝดนักบินที่ได้รับความเร่งและความหน่วงจึงได้ผลของการหดของเวลา อธิบายให้ชัดอีกหน่อยคือ แฝดนักบินคนเดียวที่ได้ เปลี่ยกรอบอ้างอิง(ความเร็ว) (อธิบายอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับผลของควาเร่งที่ทำให้เวลาสั้นลง) อธิบายสองอย่างข้างบนมีแต่เทพที่เข้าใจ(อย่างน้อยผมคนหนึ่งละที่ไม่เข้าใจ เพราะคนทั่วไปเข้าใจว่าประวัติศาสตร์เป็สสิ่งสัมบูรณ์) ผมจึงต้องอธิบายลงในรายละเอียดตามข้างบนเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจได้ จากคุณ : Ao+ - [ 21 ม.ค. 52 16:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ***** Twin Paradox Version 2 ***** ไม่ทราบว่าเคยเจอกันหรือยังนะครับ ผมเพิ่งลองคิดดูเมื่อกี๊หลังจากไปอ่านเรื่อง GPS กับ Relativity มา ในอนาคต มนุษย์ไปสร้างจักรวรรดิอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งโคจรรอบโลกด้วยความเร็วค่าหนึ่ง วันหนึ่งมีนักบินอวกาศเดินทางออกจากดวงจันทร์ เคลื่อนที่สวนทางการโคจรของดวงจันทร์ ด้วยความเร็วเท่าดวงจันทร์ ฉะนั้นคนบนโลกจะเห็นนักบินอวกาศคนนี้อยู่กับที่ตลอดเวลา เมื่อดวงจันทร์โคจรกลับมาที่เดิมอีกครั้ง นักบินอวกาศคนนั้นก็ลงจอดบนดวงจันทร์ คำถามคือ แฝดของเขาแก่กว่าหรือหนุ่มกว่าเขากันแน่ ถ้าคิดแบบ Twin Paradox ปกติืเมื่อเทียบกับดวงจันทร์ นักบินก็ต้องหนุ่มกว่า แต่ถ้าคิดแบบ Twin Paradox เมื่อเทียบกับโลก นักบินก็น่าจะแก่กว่า ?? สมมติว่าความเร็วดวงจันทร์เทียบกับโลกมากๆหน่อยนะครับ จะได้เห็นความแตกต่างเยอะๆ จากคุณ : 512 - [ 21 ม.ค. 52 16:21:33 A:75.18.198.104 X: TicketID:031931 ]

ความคิดเห็นที่ 48 #47 นักบินหนุ่มกว่าครับ เพราะแฝดอีกคนอยู่บนดวงจันทร์ไม่ใช่โลก จากคุณ : CozyMKIV - [ 22 ม.ค. 52 02:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ที่สำคัญในอวกาศเราไม่รู้อันไหนวิ่งอันไหนหยุด......... เห็นแต่เอา...........การเคลื่อนที่มาถามเวลา ต่างกัน แล้วถ้าเราเอาเวลาต่างกัน    มาถามว่าอันไหนเคลื่อนที่ล่ะ...... จากคุณ : นิ้วจิ้ม - [ 22 ม.ค. 52 09:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบ คห 49 คุณนิ้วจิ้มยังไม่เข้าใจ เราจะไม่รู้ว่าอันใหนเวลาน้อย เพราะเวลากลายเป็นสิ่งสัมพัทธ เราจะเห็นเขาช้า เขาก็จะเห็นเราช้า ลองดูคห 32 ตอ้งเข้าใจนะครับ นี่คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ คือทุกอย่างสัมพัทธหมด ปกติคนจะคิดว่าสัมพัทธคือ การเคลื่อนที่ A เทียบกับ B ซึ่งเป็นแนวคิดเก่าตั้งแต่กาลิเลโอ โน่น แต่ที่จริง มวลก็สัมพัธ เวลาสัมพัทธ ประวัติศาสตร์สัมพัทธ ความยาวก็สัมพัทธ คือความจริงของแต่ละคน(กรอบอ้างอิงเฉื่อย)ไม่เหมือนกัน คือถ้าเราไปอยู่บนยาน a เราจะมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวต่างออกไปซึ่งไม่ได้เกิดจากภาพลวงตา แต่มันปลี่ยนไปจริง จากคุณ : Ao+ - [ 22 ม.ค. 52 15:55:23 ]

ความคิดเห็นที่ 51 รบกวนถามครับ.....   ผมไม่ได้หมายถึงเราไปอยู่บน a  หรือ  b    แล้ว  a มอง  b   หรือ  b มอง  a   เขาเห็นเราหรือเราเห็นเขา   ที่โน่น ผมหมายถึงว่า  พอมาเจอกันอีกครั้ง  มันจะเป็นอย่างไร ทำนายแบบไหน เช่น   ผมหมายถึงว่า  ดาวเทียมไปโคจรรอบโลกแล้วกลับมายังโลก เอานาฬิกามาดูเวลาบนดาวเทียมเดินช้ากว่า  ซึ่งเกิดขึ้นจริง  แล้วมันคืออะไร  แต่ถ้ากลับกัน  ดาวเทียมเดินกลับมาโลก   แล้ว เวลามันเร็วกว่าเป็นไปได้ไหม  ที่โลกต่างหาก เคลื่อนที่  ไม่ใช  ดาวเทียม  ทำนองนี้ครับ.... ครับ........ พอเข้าใจครับ   ว่า  เรื่องทุกอย่างสัมพัทธ  ใช่ครับ  มวลเวลา ทุกอย่าง แต่ยาน  a   และ   b   วิ่งจากกัน ไม่รู้ไปไหนมาบ้างความเร็วเท่าไหร่  สมมุติ  ร้อยปี  แล้วมาเจอกันอีก   เอานาฬิกามาเปรียบเทียบดู a มากกว่า b  มันหมายความว่ายังไง........ เหมือน คห  47  ว่าไว้แหละครับ   อะไรเคลื่อนที่กันแน่  ดวงจันทร์  หรือ นักบินอวกาศ..... แต่ถ้าดาวเทียมไปโคจรแล้วกลับมาโลก   แล้วเวลาไม่แตกต่าง  ทุกอย่างก็จบ... ผมเข้าใจผิดครับ.... แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 52 18:43:45 แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 52 18:42:26 จากคุณ : นิ้วจิ้ม - [ 22 ม.ค. 52 18:40:21 ]

ความคิดเห็นที่ 52 กรณีเคลื่อนที่แบบเป็นวง การเคลื่อที่แบบวงกลมแยกแยะง่ายครับว่าอันใหนเคลื่อนที่ ถ้าดาวเทียมโคจรรอบโลกดาวเที่ยมต้องมีความเร็วมากกว่าโลกแน่นอน ดาวเที่ยมได้รับความเร่งตลอดเวลา(แรงสู่ศูนย์กลาง) และเปลี่ยนความเร็วตลอดเวลา (โคจรวิถีโค้ง) ดังนั้นดาวเทียมต้องเวลาสั้นลงกว่าบนโลก ถ้ามีคนสวนทาง(ตรง)กับคุณคุณอาจบอกว่า เราหยุดเขาเคลื่อน หรือเขาเคลื่อนเราหยุดได้ ถ้ามีคนวิ่งรอบคุณคุณจะบอกว่าเขาหยุดแต่เราเคลื่อนไม่ได้ใช่ใหม กรณีเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง (ความเร่งเป็น0) กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น งานนี้ต้องเปิดใจ เปลี่ยนกรอบความคิด แก้ไขเมื่อ 22 ม.ค. 52 22:07:45 จากคุณ : Ao+ - [ 22 ม.ค. 52 22:00:32 ]