ความคิดเห็นที่ 1 ย่อหน่อยแล้วกัน จากคุณ : granun - [ 11 ก.พ. 52 21:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 บริษัทผลิต ขาย สารเคมีปราบศัตรูพืช ลป ลบภาพ1ด้วยครับ ใหญ่ไป แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 52 21:30:30 จากคุณ : ผู้ครอบครองจักรยาน - [ 11 ก.พ. 52 21:27:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มีแนวโน้มว่ากฏหมายนี้จะถูกต่อต้านอย่างแน่นอน จากคุณ : ผู้ครอบครองจักรยาน - [ 11 ก.พ. 52 21:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บางคนเข้าใจว่า พอขึ้นชื่อสารสะกัดธรรมชาติ แล้วหล่ะก้อ ไม่อันตราย ทำเล่นเองที่บ้านก็ได้ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ สารพิษในธรรมชาติมีเยอะแยะ  บางคนไม่รู้วิธี ไม่รู้ส่วนผสม ใช้มั่วๆก็อันตรายได้ คงต้องมาดูรายละเอียดว่า สารดังกล่าว เป็นอันตรายจริงหรือไม่อย่างไร ทั้งในแง่ผู้ใ่ช้ และผู้บริโภคด้วย เช่น การฉีดสารดังกล่าววันนี้ แล้วพรุ่งนี้เอามากินเลยได้ไหม , ฉีดไปดมไปได้ไหม (พวกนี้ ขึ้นเป็นสารอันตราย เวลาใช้ต้องมีวิธีใช้บอก) จากคุณ : xxx (TaizoXXX) - [ 11 ก.พ. 52 21:44:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่ารอดูก่อนดีกว่าครับ เพราะที่ไปค้นๆมา แต่ก่อนสารสกัดพืชสมุนไพรหลายตัวที่ใช้ทำยาฆ่าแมลงเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่2 แต่เนื่องจากมีความต้องการที่จะสนับสนุนให้คนไทยและเกษตรกรไทยได้ใช้วัตถุและสารจากธรรมชาติ เค้าก็จะลดระดับมันลงมา http://www.tj.co.th/optnews/modules/articles/article.php?id=362 ถ้าอ่านจากข่าวที่ว่านี้ ปัญหาคือ เกษตรกรไทยอยากใช้ แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า! ไม่ได้ผลิตเอง ถ้าจะนำเข้า เราต้องมีมาตรฐานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม อีกอย่างครับ ข่าวนี้ผมว่าอย่างเพิ่งเอามาเป็นอารมณ์เลยนะครับ เพราะที่ประกาศนี้ ประกาศจากรมช.สาธารณสุข เพื่อระบุว่าไม่มีผลในกรณีที่บริโภคหรือใช้เป็นยา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเรื่องการใช้เป็นวัตถุฆ่าแมลง เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงสาธษรณสุข อย่างไรก็ตาม ผมว่ารอก่อนดีกว่าครับ รอข้อมูลครบๆก่อนจะตำหนิใคร เพราะอย่างที่ผ่านมา สารสกัดจากสะเดาอยู่ในชนิดที่2ซึ่งเข้มงวดกว่า แต่ตอนนี้ปรับลงมาที่ชนิดที่1 วัตถุอันตรายชนิดที่2 มีไว้ขายปลีกยังไม่ต้องแจ้งเลยนะครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 11 ก.พ. 52 21:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 6 นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยืนยันว่า การประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชสมุนไพร 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 จะควบคุมเฉพาะการนำสมุนไพรเหล่านี้ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กำจัดแมลง หรือยาฆ่าแมลง และต้องทำเพื่อการค้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการปลูกหรือนำสมุนไพรมารักษาโรค และไม่กระทบกับวิถีชีวิตของคนไทยที่ต้องใช้พืชสมุนไพรประกอบอาหาร ด้านนางสาวสุวภี ภัทรวิมล หัวหน้าฝ่ายวัตถุมีพิษ กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยด้วยว่า เดิมพืชสมุนไพรทุกชนิดที่นำมาแปรรูปเพื่อป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืช จะอยู่ในวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 คือต้องขึ้นทะเบียน ทดสอบประสิทธิภาพ และประเมินความเป็นพิษ ที่ต้องใช้เวลานานจึงจะได้รับอนุญาตให้จำหน่ายได้ แต่เพื่อความสะดวก กรมวิชาการเกษตร จึงย้ายพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิด มาเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งต้องแจ้งการผลิต การนำเข้าและส่งออกเท่านั้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพที่ยุ่งยาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความสับสน ทางกรมวิชาการเกษตรจะเผยแพร่เอกสารให้เกษตรกร และผู้ประกอบการเข้าในเรื่องนี้มากขึ้น http://www.ch7.com/news/2/6/12069/ คือ แรกเริ่มเดิมที ผมก็เข้าใจว่าNGOทำเพื่อเกษตรกร แต่พอลองค้นๆดู กลายเป็นกฎหมายใหม่เอื้อประโยชน์ให้เกษตรกรมากขึ้น และจะเป็นผลเสียต่อบนิษัทยาฆ่าแมลง ... ผมเลยงงเลย ตกลงมันยังไงกันแน่ จากคุณ : หมอแมว - [ 11 ก.พ. 52 21:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าเคยศึกษาเรื่องสมุนไพรกำจัดวัชพืช  หรือหนังสือการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตามเศรษฐกิจพอเพียงจะพอทราบว่า สะเดา --  เป็นพืชสมุนไพรหลักที่สามารถเอาไปผลิตน้ำยากำจัดศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยได้  และคงกำจัดศัตรูพืชได้อีกหลายตัว พริก และสมุนไพรตัวอื่นที่เขาว่ามาก็เช่นกัน สามารถนำไปทำยาฆ่าแมลงแบบธรรมชาติ ส่วนตัวคิดว่า  บริษัทขายยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีได้ประโยชน์เต็มๆ และเป็นเพราะกระแสการปลูกพืชตามเศรษฐกิจพอเพียงมันเริ่มดังขึ้นๆ  และดังขึ้น  เลยมีกฎหมายแบบนี้ออกมา แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 52 22:01:39 จากคุณ : ออกตัวแรง (หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน) - [ 11 ก.พ. 52 21:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เพิ่งได้อ่านของคุณ หมอแมว อยากรู้เหมือนกันครับว่า  มันเป็นผลเสียกับบริษัทยาฆ่าแมลงยังไง  ถ้ามีข้อมูลก็รบกวนบอกหน่อยนะครับ   ไว้ผมจะลองไปดูเหมือนกัน จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน - [ 11 ก.พ. 52 21:58:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ก็ แต่เดิม ใครจะผลิตหรือนำเข้าเพื่อการค้า ต้องขออนุญาตเสมอ จะขนส่งแต่ละครั้งก็ดูเหมือนต้องแจ้งต้องทำเรื่องยุ่งยาก เพราะมันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ตอนนี้ลดระดับมาเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ก็กลายเป็ฯว่า คุณจะผลิตในชุมชนเพื่อการค้าก็ได้ แต่คุณต้องทำให้ดี ให้ปลอดภัย ไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น ไม่ให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ... ผลิตได้ไม่ต้องขออนุญาต ขนส่งได้ ไม่ต้องขออนุญาต  แต่ขอให้ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัย .... ประโยชน์ตกแก่ประชาชนที่ไม่ได้ใช้สารแต่อาศัยในชุมชนที่มีการผลิต .... (อย่างคุณgranunผมเชื่อว่าทำได้ถูกต้อง) แต่ในกรณีบางกรณี คนที่มีพืชอันตรายสมุนไพรอันตรายไว้เพื่อการค้าขาย ไม่ได้ป้องกันอันตรายให้ดี ...เกิดผลเสียต่อคนในชุมชนคนอื่นๆ ประโยชน์ตกแก่เกษตรกรที่ไม่มีความรู้ด้านนี้แต่ต้องการจะผลิต ซึ่งต่อไปการผลิตต้องมีหลักเกณฑ์ ดังนั้นเมื่อมีหลักเกณฑ์ก็ย่อมมีวิธีทำที่ถูกต้องและปลอดภัย ... ไม่ต้องไปครูพักลักจำหรือใช้วิธีผิดๆที่เป็นอันตราย ... รวมทั้งต้องรู้วิธีแก้ไขเมื่อเกิดพิษจากการผลิตหรือการขนส่ง ผลเสียตกกับบริษัทยาฆ่าแมลง ... เพราะพอเกษตรกรทำเป็นและมีคนแนะนำ ... ยอดขายย่อมตกลงแน่นอน จากคุณ : หมอแมว - [ 11 ก.พ. 52 22:12:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ด้วยความเคารพครับ ท่านผู้มีอำนาจ มันจะเหมือนกับภูมิปัญญาเหล้าไทยที่ทำมาแต่อดีตหรือปล่าวครับ จะได้เกิดเจ้าสัว เพิ่มขึ้นอีกสัก สองสามตระกูล จากคุณ : สมภพ - [ 11 ก.พ. 52 22:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผูกขาด!? จากคุณ : ชีวิตยังอยู่จงสู้ต่อไป - [ 11 ก.พ. 52 22:15:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หมอแมวครับ ขอข้อมูลเพิ่มเติมครับ 1. มันจะเป็นผลเสียกับบริษัทย่าฆ่าแมลงได้อย่างไร 2. มีระบุไว้แน่ชัดไหมว่า ห้ามในการแปรรูปเพื่อใช้ฆ่าแมลง กรณีเพื่อการค้า จากคุณ : granun - [ 11 ก.พ. 52 22:17:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ^ ข้อ 1 ผมตอบในคห9ครับ ข้อ 2 ผมเลยบอกว่ารอดูก่อนดีไหมครับ ที่เราวิจารณ์กันตอนนี้ตั้งบนความไม่รู้แบบครบถ้วน กระทู้ก่อนหน้านี้หลายๆท่านตำหนิโดยที่น่าจะไม่รู้ว่าวัตถุอันตรายคืออะไร ผมก็ไม่รู้จัก แต่พอไม่รู้จักผมเลยไปค้น เลยรู้ว่ามันไม่ได้ถึงขนาดว่ามีในบ้านแล้วจะโดนจับ เลยรู้ว่านิยามของวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 คือผลิตได้แบบไม่ต้องขออนุญาต   เลยรู้ว่าเรื่องนี้เค้าพูดกันมานานแล้ว ในการจัดระเบียบและในการลดระดับจากที่เดิมห้ามเยอะมาเป็นปล่อยให้ผลิตหรือซื้อขายได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นขอข้อมูลเพิ่มเติมเหมือนกันครับ 1. มันจะเป็นผลดีกับบริษัทย่าฆ่าแมลงได้อย่างไร (ในการให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่1 ที่ใครๆก็ผลิตได้) 2. มีระบุไว้แน่ชัดไหมว่า ห้ามในการแปรรูปเพื่อใช้ฆ่าแมลง กรณีเพื่อการเกษตร แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 52 22:34:04 จากคุณ : หมอแมว - [ 11 ก.พ. 52 22:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คห.4 ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านนี้ไหมครับ คุณรู้ไหมว่า เกษตรกรชาวนาแถวบ้านผม เอาพริกตำเอาไปฉีดที่ไร่ สามารถใช้กันหนู และลดผลผลิตเสียหายจากแมลงรบกวนได้แค่ไหน ในไร่ส้มเป็นที่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากที่สุด มากขนาดที่เจ้าของไร่ไม่กล้าทานเอง แต่พอมีสะเดากับพริก แล้วก็ยาสูบ ใช้ฉีดสลับกันพอเอาอยู่ สิ่งที่สำคัญ เกษตรกรไม่มีปัญญาสกัดเข้มข้นมากมายอะไรหรอกครับ เขาใช้หมักตามธรรมชาตินั่นแหละ บางทีก็มีบ้านนั้นบ้านนี้ทำออกมาขาย หรือพูดง่ายๆ คือ รวบรวมมาเยอะๆแล้วทำทีเดียว เอามาแบ่งๆกันใช้นั่นแหละ (เยอะของชาวบ้านนะครับ ไม่ใช่เยอะแบบอุตสาหกรรม) สิ่งที่สบายใจ คือ เราเองก็ขายได้ ทานได้ โดยไม่รู้สึกผิด คนในเมืองอยากได้ผลผลิตงามๆ สวยๆน่าทาน ไม่ทำก็ขายไม่ได้ราคา พอมาใช้พวกสานธรรมชาติ เราก็สบายใจขึ้น คนปลูกไม่กลัวตาย และคนกินไม่กลัวตาย ไม่กลัวสารตกค้าง ไม่ดีหรือครับ ที่ชาวนาชาวไร่อย่างผมอยากทราบ คือ มันจะช่วย หรือมันจะซ้ำพวกเรา และผลต่อเนื่องไปถึงสำหรับคนกินทั่วประเทศล่ะ นี่แหละบทสรุปที่สำคัญ เหตุผลที่ผมพึ่งผู้รู้เพื่อตอบคำถามชาวบ้านแถวนี้ จะได้รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป จากคุณ : granun - [ 11 ก.พ. 52 22:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ อ่านดูแล้ว ผมยังไม่เห็นว่าผิดกฎหมายตรงไหนเลยนี่ครับ (จริงๆถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะไม่แน่... แต่ตอนนี้ดูแล้วไม่น่าผิดเลยนี่ครับ) จากคุณ : หมอแมว - [ 11 ก.พ. 52 22:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 16 1" อยากรู้ชัดๆว่าประกาศนี้ จะมีประโยชน์ต่อใครมากที่สุด...!!???!! บริษัทยาฆ่าแมลง ต่าชาติ ฝรั่ง 2"ต่อประชาชนอย่างไร...!!???!! ประชาชนสับสน SME เดี่ยง มาตรฐานการดำเนินการตามประกาศไม่มี เหมือนจะมีการบังคับแต่ไม่บอกแนวทาง ว่ามาตรฐานในการนำไปใช้สาร ต้องห้ามมีอย่างไร 3" ต่อเกษตรกรอย่างไร...!!???!! อาจเลิกแนวทางเกษตรทางเลือก เพราะมีขั้นตอนยุ่งยาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะโดนจับหากเอาสมุนไหรมาใช้ 4"มีเอื้อแฝงไหม...!!???!! แน่นอน บอกว่าชาวบ้านได้ประโยชน์แต่ไม่เห็นมีใครมาบอกรายละเอียดเลย ว่าข้อดีมีอะไร ข้อเสียมีอะไร แค่บอกว่าดีต่อเกษตรกร ผู้บริโภคว่าสารที่มาใช้ มาจากไหน 5"จะๆชัดๆ ถึงวัตถุประสงค์มากกว่า วัตถุประสงค์ไม่ชัด เห็นแต่ละคนตอบโทรทัศน์ไม่เห็นใครตอบเข้าเป้า อำอึ่งแค่ว่า ดี ดี แล้วมันดีกว่าเก่าไง มันทำให้ยุ่งยากไง 6"หลักมันอยู่ที่ว่าแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อใคร แล้วชาวไร่ชาวนาที่ทำยาฆ่าแมลงชีวภาพใช้เอง(ไม่มีสารเคมี) จะสามารถทำใช้เองได้เหมือนเดิมไหม ไปซื้อมอนซันโต้ดีกว่ามั๊งง่ายดี ไม่โดนจับด้วย 7"และถ้าต้องขออนุญาตทุกครั้ง และถ้าไม่อนุญาตล่ะ จะเป็นไงต่อ... โดนจับดิ มีขบวนการยัดน้ำสมุนไพรหมักจากสะเดาแหง่มๆ  คิดแง้ลบม๊าก 8"ง่ายๆของชาวบ้าน จะเป็นยาก และเป็นค่าใช้จ่ายทุกเม็ดนะครับ ใช่แล้ว มีทางหากินเพิ่มขึ้นด้วย ประเทศไทย 9"ระแวงครับ ขอบอก ขอเคสนี้ชัวร์ๆ คุ้นไหมเหมือนเคส ยาหรือเปล่า 10"ไม่งั้นต้องกลับไปซื้อสารเคมีฆ่าแมลงอีก คนในเมืองก็กินกันไปนะครับ 11"ที่สำคัญ มันจะทำให้ต้องกลับไปอยู่ในอุ้งมือธุรกิจยาฆ่าแมลงไหม แทนที่จะพึ่งตัวเองได้อย่างที่ทำมา ใช่แล้วชัวร์ เห็นทูตประเทศหนึงมาหาใครในรัฐบาล คุ้นๆ ว่าแต่เขาเรื่องสิทธิบัตรยา ทำไมมาทำเองฟะ โอบาร์มารค์ จากคุณ : ฮิปโป (jiravd) - [ 11 ก.พ. 52 22:52:45 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นั่นสิครับ มันไม่น่าจะผิด แต่ไม่แน่่ใจว่ามันจะได้รับผลกระทบอะไรไหม กับการขึ้นทะเบียน ถึงต้องถามให้มั่นใจ ถ้ามันไม่ได้รับผลกระทบ ทำไมหลายกลุ่มถึงเคลื่อนไหว สมเหตุผล หรือไม่สมเหตุผล ตาสีตาสาอย่างพวกผมงงไปหมดแล้วน่ะครับ สรุปว่ายังไงแน่...........ยังไม่เข้าใจเลย .............. การผลิตยาฆ่าแมลงจากสมุนไพร แถวบ้านก็ใช้สูตรธรรมดา สะเดาสด 4 กิโลกรัม ข่าแก่ 4 กิโลกรัม  ตะไคร้หอม 4 กิโลกรัม นำแต่ละอย่างมาบดหรือตำให้ละเอียด หมักกับน้ำ 20 ลิตร 1 คืน น้ำน้ำยาที่กรองได้มา 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ใช้ฉีดฆ่าแมลงในสวน 1. สูตรธรรมดาๆแบบนี้ ถ้าชาวบ้านซื้อขายกัน จะผิดไหม (เพื่อการค้าเหมือนกันนะ) 2. อย่างที่ถาม   สรุปว่าประกาศชิ้นนี้มีผลดีอย่างไร และผลเสียอย่างไร กับเกษตรกร 3. ที่หมอแมวว่ามันมีผลเสียต่อบริษัทยาฆ่าแมลง ไม่น่าจะแตกต่างจากปัจจุบันมาก ปกติ ชาวบ้านธรรมดานิยมใช้สารเคมีมากกว่า (ไม่พูดถึงยี่ห้อนะครับ) การใช้สารธรรมชาตินี้ส่วนใหญ่ต้องนำร่องทำให้ดู ด้วยซ้ำ มาเปรียบเทียบผลผลิต กับค่าใช้จ่าย ปัจจุบัน ก็ยังมีการใช้ในบางพื้นที่ เพราะชาวบ้านไม่ค่อยมีความรู้ บางทีไม่มีเวลาทำเอง สิ่งที่เขาทำก็คืดตัดปัญหา ซื้อสำเร็จเคมีมาใช้ บางพื้นที่เราแนะนำให้ร่วมลงแขกทำกัน แล้วแบ่งๆกันไปใช้ ก็พอจะเข้ารูปเข้ารอยหน่อย เพราะหลายคนทำนำร่อง ที่เหลือเห็นแล้วปีต่อไปอาจจะตามมาทำด้วย การขออนุญาตทำให้ดูยุ่งยากสำหรับชาวบ้าน ต้องเดินทางไหม ต้องใช้ใบอะไร เข้าเมืองครั้งนึ่งต้องเหมารถ เสียเวลาเป็นวัน แถมจะเป็นช่องทางหาเงินไหม สรุปส่วนที่เคยๆทำมาแบบเคมีสำเร็จจากบริษัท ก็จะหวนกลับไปใช้แบบเดิมๆเพื่อตัดปัญหา นี่คือพฤติกรรมชาวบ้านครับ สะท้อนมาจากฝั่งภาคเกษตรกรจริงๆในพื้นที่นะครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 52 23:17:57 จากคุณ : granun - [ 11 ก.พ. 52 23:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ปล. ในข้อ 2 ต้องรอดูจริงๆนั่นแหละครับ ข้อมูลน่าสับสนมากทั้งที่ประกาศออกมาแล้ว ฝากผู้รู้ในหว้ากอด้วยนะครับ จากคุณ : granun - [ 11 ก.พ. 52 23:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คิดว่าหลายคนที่ได้รับข่าวสารนี้ ก็คงจะรู้สึกไม่ชัดเจนนะ และจะมีอีกไม่น้อยคนเลยที่จะเข้าใจ และเชื่อว่า วัตถุอันตรายเนี่ย ก็คืออันตราย ไม่ใช้ ไม่กิน คือมันไม่ชัดเจนไง ดูในทีวีเมื่อกี้ก็ไม่เห็นหัวงอกหัวดำที่เกี่ยวข้องคนใหนจะตอบอะไรให้เข้าใจหรือชัดเจนขึ้นมาเลย ก็ไม่อยากจะคิดหรอกนะว่ากีดกัน หรือมีขาใหญ่ที่ใหนกลัวสมุนไพรไทยดังไปทั่วโลก ..... (หรือจะต้องคิด) จากคุณ : ตะลุกปุ๊ก - [ 11 ก.พ. 52 23:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตรงที่ผมแจงไป ถ้าเป็นไปตามข่าวที่อ่านมาในnetถึงจุดประสงค์ในการขยับจากวัตถุอันตราย2มาเป็น1 จะทำให้เกิดความสะดวกต่อการนำเข้าและสั่งซื้อวัตถุดิบ ผมมองเล่นๆว่าถ้าเราอยากจะเปลี่ยนประเทศเราให้มาใช้สารกำจัดศัตรูพืชแบบธรรมชาติ เราทำไม่ได้แน่ๆเพราะวัตถุดิบไม่พอ เกษตรกรที่อยากใช้สะเดาเพราะมันถูกกว่าเป็นพิษน้อยกว่า ก็อาจจะไม่มีสะเดาให้ใช้ ก็ต้องหาซื้อสะเดาหรือสารสกัดจากสะเดา ผมลองไปไล่ๆดู ... ปัญหาเดิมอยู่ที่ว่ามันเป็นชนิดที่2 ... คุณจะนำเข้าสะเดาจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่ได้ เพราะอาจต้องขออนุญาต คุณจะเอาจากสุพรรณขนเป็นรถกระบะไปนครสวรรค์ ก็อาจต้องขออนุญาต เพราะเดิมมันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2  (สารสกัด) สมมุติโดนตรวจระหว่างทาง เกิดมีคนมาชี้บอกว่ามันเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 2 .... คุณเถียงไปว่ามันเป็นส่วนประกอบพืช ไม่ได้เป็นสารสกัด ... วุ่นวายนะครับ และผมเชื่อว่าการที่สารสกัดจากสะเดา(ต้ม หมัก)พวกนี้มันเป็นสารควบคุม มันทำให้่การเกษตรผสมผสานและการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชที่ผลิตเอง ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะคนไม่กล้าขนส่ง เพราะคนไม่กล้าผลิต ชาวบ้านที่ไม่รู้อะไร ในชุมชนไม่มีคนที่คอยให้คำแนะนำ ... พอจะทำสะเดา ไปเปิดเจอว่า สารสกัดจากสะเดา เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่2 ต้องแจ้งขออนุญาต เค้าก็ไม่ทำ เพื่อนบ้านจะทำ ก็หวังดีไปเตือนว่าอาจจะผิดกฎหมาย .... ก็ไม่ทำอีก ทั้งที่จริงๆ ผมว่ากฎหมายที่ออกมาไม่ได้ห้ามกรณีทำเองใช้เองเลย สนับสนุนให้ทำด้วยซ้ำ มาถึงพืช 13 ชนิด เดิมไม่ได้มีการจำกัดอะไร ... แต่ตอนนี้มันปรับมาเป็นชนิดที่ 1 มันก็ไม่ต้องขออนุญาตนี่ครับ ... จะขนไปไหนมาไหนก็ได้ แต่ขอให้ถูกหลักเกณฑ์ ซึ่งผมเห็นผ่านๆมาในเรื่องอื่นเค้าก็มีหลักการอยู่ ถ้าจะผลิต ก็ผลิตให้ห่างจากแหล่งน้ำสักหน่อย ... มีการกำหนดว่าต้องห่างจากแหล่งน้ำกี่เมตรในกรณีที่ดอน ... ห่างได้กี่เมตรในกรณีที่ลุ่ม ต้องสร้างห่างจากโรงเรียนเท่าไหร่ (ป้องกันเด็กมาเล่นและได้รับพิษ) ทางระบายน้ำเป็นอย่างไร ต้องสร้างแบบไหน (หรือแม้แต่สมุนไพรตัวไหนหากมีอันตรายได้ ต้องพักน้ำไว้ก่อนหรือไม่ ) ดังนั้นสูตรธรรมดาแบบนี้ ผมตั้งธงไว้ก่อนเลยว่าไม่ผิด ประกาศชิ้นนี้ ผลดีต่อประชาชนคือ ถ้าหากมีเกษตรกรรายใดทำการผลิตโดยไม่ใส่ใจต่อชุมชน ปล่อยน้ำเสียจากการผลิตลงสู่แหล่งน้ำ ... ไปตั้งการผลิตใกล้ชุมชนจนเกิดความรำคาญ ก็สามารถเแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ผลดีกับเกษตรกรคือสร้างความชัดเจนในการใช้ ว่าสามารถใช้ได้และผลิตใช้เองได้ (เดิม พอเอาไปแปรรูปแล้วสกัด ก็กลายเป็นสารสกัด ... กลายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่2ซึ่งต้องขออนุญาต)  ......... และอีกข้อคือ ถ้าประกาศว่ามีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ต่อไปชาวบ้านทั่วไปก็สามารถไปสอบถามกรรมวิธีการผลิตเพื่อใช้เองได้จากหน่วยงานของรัฐซึ่งควรจะต้องสอนการผลิตที่ถูกวิธีและไม่เป็นอันตรายต่อชุมชน ดังนั้นในระยะยาวถ้าคนหันไปใช้สมุนไพรหรือยาฆ่าแมลงจากธรรมชาติมากขึ้น จากการที่เข้าถึงข้อมูลง่ายขึ้น และไม่ต้องขออนุญาตให้วุ่นวาย บริษัทยาฆ่าแมลงก็จะเสียรายได้ ถ้าผมเป็นบริษัทยาฆ่าแมลง สิ่งแรกที่ผมจะทำเมื่อมีประกาศนี้ออกมา คือ ช่วยประโคมข่าวประกาศนี้ให้หนักๆ ทำให้คนงง ... ถ้าให้ดีปล่อยข่าวไปเลยว่าเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทสารเคมีและยาฆ่าแมลง ชาวบ้านที่เข้าไม่ถึงแหล่งข้อมูล คงไม่ไปนั่งค้นหาหรอกครับว่า วัตถุอันตรายชนิดที่1ตามกฎหมายกำหนด เขาแค่บอกว่า ต้องทำให้ถูกต้องตามมาตรฐานกรรมวิธี(ไม่จำเป็นต้องแจ้งอะไรทั้งนั้น) คนที่ได้ยินครั้งแรกได้ยินคำว่าวัตถุอันตราย ก็ตกใจ นึกว่ามันผิดกฎหมาย ก็จะไม่กล้าผลิตใช้เองซะอีก ผมเลยคิดว่า NGO หรือคนที่ออกมาเคลื่อนไหวให้เป็นข่าว สื่อที่เอาข่าวมาลงโดยไม่ไปยกตัวอย่างกฎหมายมาให้เห็น คนที่กระพือข่าวโดยไม่รอการชี้แจง คนกลุ่มนี้กำลังทำให้คนที่ยังไม่รู้เรื่อง กลายเป็นเข้าใจผิดและไม่กล้าใช้ไปเลย มาเพิ่มเติมในส่วนของประโยชน์ที่จะได้แก่ประชาชน เรามีกฎหมายบางฉบับที่อ่อนแอและไม่ชัดเจน เกี่ยวกับการควบคุมพืชชนิดต่างๆ และสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อประชาชน ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างกรณีสบู่ดำ ช่วงนึง ประเทศไทยมีการบูมเรื่องสบู่ดำกันมาก บูมกันอย่างคุมไม่ได้ มีคนเคยไปตั้งข้อสงสัยว่า สบู่ดำมันจะได้น้ำมันคุ้มค่าจริงหรือไม่ ... เจอด่าเปิงเลยว่าเป็นพวกเสียผลประโยชน์จากธุรกิจน้ำมัน -_-' พอมาตอนนี้ซาๆไปแล้ว แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ สบู่ดำดันไปแทรกอยู่ในชุมชน เพราะตอนที่เอามาขาย บางคนเอากิ่งพันธุ์มาขายเป็นบ้านๆ ทุกบ้านมีปลูก !!! เอาไปปลูกในโรงเรียน เอาไปปลูกติดรั้วโรงเรียน ปลูกใกล้สนามเด็กเล่น ผมเจอกรณีเด็กที่ไปกินหลายครั้ง ต้ิองนอนโรงพยาบาลอำเภอบ้าง หรือบางคนอาการหนักต้องส่งไปโรงพยาบาลจังหวัดบ้าง นี่คือตัวอย่าง "การผลิต" ที่ไม่มีการควบคุม และเกิดปัญหาในชุมชน ไม่มีการคุม เปิดเสรีในการผลิต พอเปิดเสรีก็ไร้มาตรฐานและหลักเกณฑ์ พอไร้หลักเกณฑ์ก็เกิดอันตรายกับผู้ผลิตรายย่อยที่อาจจะไม่รู้ ชาวบ้านที่ไหนที่ลูกหลานในหมู่บ้านไปกินเมล็ดจนต้องเข้าโรงพยาบาล ... เขาโบกมือลาสบู่ดำกันหมดครับ เพราะตอนปลูกไม่มีใครบอกเค้าว่ามันอันตราย ไม่มีใครมาบอกว่าไม่ควรปลูกในชุมชน ไม่มีใครบอกว่าห้ามกินเมล็ด .... ในทำนองเดียวกันนี้ เราไม่รู้ว่ากระบวนการผลิตยาปราบศัตรูพิชจากสมุนไพร เกิดอันตรายอะไรต่อคนไหม "ในกรณีที่ทำผิดวิธี" อย่างพริก ... เกิดมีคนที่จะทำสารสกัด เอาพริกมาเคี่ยวต้ม ... แล้วดันไปตั้งอยู่ติดโรงเรียน ... เด็กๆจะเป็นอย่างไร หรือถ้ามีการผลิตสารฆ่าแมลงพวกนี้ แต่ปล่อยน้ำเสียทั้งหมดลงสู่สิ่งแวดล้อม .... จะเกิดอะไรกับระบบนิเวศ ผมเชื่อมั่นว่าคนที่ทำเป็นอยู่แล้วหลายๆคน ที่เป็นกำลังสำคัญให้กับการเกษตรไร้สารพิษ ทำอย่างถูกต้องอยู่แล้ว และเชื่อว่ากฎหมายนี้ จะเป็นการวางแนวทางและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต เมื่อคนหมู่มากจะเข้ามาใช้สมุนไพรในการกำจัดศัตรูพืชแทนการใช้สารเคมี จะเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่1 เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นการ วัวหายล้อมคอก ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้มงวดจนต้องไปขออนุญาตให้วุ่นวาย แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 52 00:08:08 แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 52 00:03:24 จากคุณ : หมอแมว - [ 11 ก.พ. 52 23:45:29 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คือ ที่เขาประกาศว่าเป็นสารอันตราย เพราะว่ามันเป็นอันตรายเมื่อทำไม่ถูกวิธีใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นเลยให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 1 เพื่อให้มี ระเบียบแบบแผนในการผลิตเพื่อความปลอดภัย ที่ผมเข้าใจนี้ถูกไช่ไหมครับ จากคุณ : Finnaja - [ 12 ก.พ. 52 00:08:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าสรุปอย่างที่หมอแมวว่าก็จะดีครับ.. ตอนนี้ได้แต่เกาะสถานการณ์และฟังบทสรุปที่ชัดเจน...เฮ้อ จากคุณ : granun - [ 12 ก.พ. 52 00:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ .... ผมเบื่อคนที่กินยาฆ่าแมลงกับยาฆ่าหญ้าเหลือเกินแล้ว ล้างท้องกันไม่หวัดไหว ผลเสียที่เกิดจากยาฆ่าแมลงแบบเคมีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ผมว่าสูงมากเหลือเกิน จากคุณ : หมอแมว - [ 12 ก.พ. 52 00:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมว่าหลาย ๆ คนคงจะไม่ได้ฟังข่าวหรือคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมวิชาการเกษตรเมื่อตอน 5 โมงเย็น ทางวิทยุ อสมท. คลื่น 100.5 MHz โดยสรุปคือ การขึ้นบัญชีอันตรายพืชทั้ง 13 ชนิด ก็เพื่อป้องกันคนฉวยประโยชน์ แอบอ้าง นำคุณสมบัติของพืชทั้ง 13 ในการลด หรือกำจัดศัตรูพืช ไปใช้ในสารกำจัดศัตรูพืชที่ขายให้กับเกษตรกร โดยที่สารกำจัดศัตรูพืชที่ขายไป ไม่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวอ้าง หรือพูดง่าย ๆ คือ ของด้อยคุณภาพ หรือของเทียม เมื่อเกษตรกรนำไปใช้ก็เท่ากับเสียเงินไปเปล่า ๆ และอาจจะได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ใช้ ในกรณีที่เกษตรกร จะใช้พืชในบัญชีนั้น ไปทำยากำจัดศัตรูพืชเอง ฉีดพ่นในสวน ไร่ของเกษตรกรเอง สามารถทำได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งกรมวิชาการเกษตรสนับสนุนให้ทำเช่นนี้ ที่นำพืชทั้ง 13 ชนิดมาขึ้นบัญชี ก็เพื่อเอาผิดกับผู้ที่นำพืชในบัญชีนี้มาทำยากำจัดศัตรูพืชเพื่อจำหน่าย แล้วทำออกมาไม่ได้คุณสมบัติตามที่กล่าวอ้าง ที่คุณหมอแมวกล่าวในคห.ที่ 20 นั้นถูกต้องครับ เป็นเจตนารมณ์ของการกำหนดขึ้นบัญชีของพืชสมุนไพร13 ชนิดนี้ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 52 00:47:09 จากคุณ : Mr. SJ - [ 12 ก.พ. 52 00:40:02 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่มีความก้ำกึ่งที่อาจอยู่ในความดูแลตามกฎหมายหลายฉบับ ก็ต้องดูวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์นั้นว่าใช้เพื่ออะไร และมีการปฏิบัติเพื่อให้เข้ากับหลักเกณฑ์ตามกฎหมายใดด้วย ยกตัวอย่างเช่น 1. วิตามิน อาจจะจัดเป็นยา (เข้าข่าย พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) อาหารโดยเป็นรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522) เครื่องสำอาง (พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2535) เป็นต้น 2. warfarin (วาร์ฟาริน) หากมีวัตถุประสงค์เพื่อกินป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน ก็จะจัดเป็นยาอันตราย ตาม พ.ร.บ.ยา แต่ถ้าใช้เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดสัตว์กัดแทะ ก็จะเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 (ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นอาหาร ก็จะไม่เข้าข่ายวัตถุอันตรายซึ่งจะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 แต่อย่างใด แต่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 แทน ประกาศที่เป็นปัญหา มีชื่อว่า ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 18 ง ราชกิจจานุเบกษา 3 กุมภาพันธ์ 2552 หน้า 4 โดยมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 3 กุมภาพันธ์ 2552 มีผลบังคับใช้ 4 กุมภาพันธ์ 2552) ดู http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF และในประกาศดังกล่าวที่หน้าสุดท้าย เขียนว่า ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก จะเห็นว่าเฉพาะที่มีวัตถุประสงค์ “ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช” โดยมีเงื่อนไข คือ มีคุณสมบัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนด (กำลังรอประกาศและตรวจสอบข้อมูล) เมื่อตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า เดิมประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 นั้นใช้คำว่า สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกัน กำจัดแมลง ศัตรูพืชและสัตว์ และเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 มีการตัดข้อความ (ไม่แน่ใจว่าจงใจหรือเปล่า แต่คิดว่าคงจะจงใจ เพราะว่าในฉบับที่ 3-5 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อความแต่อย่างใด) เป็น “เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกัน กำจัดแมลง ศัตรูพืช” โดยยังคงเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 เหมือนเดิม  แต่ปัจจุบันจัดให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 กับวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้น อันไหนมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่ากัน ก็ต้องตอบว่า วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้นเข้มงวดน้อยกว่า เพราะ วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 เป็นวัตถุอันตรายที่ผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด โดยไม่ต้องขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาต ส่วนวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นั้น เข้มงวดมากที่สุด เพราะอันตรายที่ห้ามมิให้ผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง (พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 43) โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว หากพิจารณาถึงประวัติศาสตร์ของประกาศก่อนหน้านั้นให้ดีมีข้อสังเกตคือ 1. เพิ่มความชัดเจนจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 ที่กำหนดสารสกัดจากพืชไว้อย่างกว้าง ๆ โดยใช้คำว่า “เช่น” แต่ประกาศในปัจจุบันเป็นการกำหนดพืชทั้ง 13 ชนิดแทน ซึ่งจะมีขอบเขตแคบกว่า 2. เดิมในปี พ.ศ.2546 กำหนดเพียงสารสกัดจากพืชเท่านั้น แต่ประกาศปัจจุบันให้รวมถึงผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซึ่งกินความหมายกว้างกว่า (ซึ่งต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียต่อไป) 3. เดิมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ปัจจุบันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ความเข้มงวดน้อยกว่า อาจจะขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป ว่าเลข 1 นี่มันต้องสุดยอดนะ แต่กฎหมายอ่านแล้วตีความได้อย่างนั้นจริง ๆ ไม่เชื่อดูคำอธิบายเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็ได้ (ดู http://www.fda.moph.go.th/psiond/newweb/psiond-web/) 4. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่เคยมีประกาศตั้งแต่ พ.ศ.2546 แล้ว แต่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือมองเห็นข้อมูลนี้หรือเปล่า จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ - [ 12 ก.พ. 52 01:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 12 ก.พ. 52 01:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 27 1. ประกาศนี้ เป็นผลร้ายต่อ เกษตรกร เป็นผลดีต่อนายทุน 2. ทำไมแก๊สน้ำตา ทำให้ เกิดระเบิดแล้วคนตายได้ ถ้าเราตั้งธงไว้ก่อน ก็ป่วยการที่จะถกปัญหากัน หมอแมวคงเหนื่อยน่าดู ผมเข้ามาอ่าน ได้แต่ สลดใจ ในแนวคิดของหลายท่าน ที่รีบฟันธงไปว่า น่าระแวง ว่าจะเอื้อต่อนายทุน เกษตรกรบางกลุ่ม ก็รีบออกข่าวมาเลยว่า ของกินได้ ถือว่าเป็นวัตถุมีพิษ โอ้ยยยย ไปกันใหญ่แล้ว ทำไม ไม่เอาเนื้อความจริงๆ  มาอ่าน มาดู มาศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนเล่าหนอ เหนื่อยใจจริงๆ  คิดในแง่ร้ายไปซะก่อนแล้ว ท่านสวมแว่นสีอะไรอยู่  กรุณาถอดแว่น แล้วถอยห่าง ออกมา ก่อนครับ ไม่นานจะเกิดปัญญา จากคุณ : น้าพร - [ 12 ก.พ. 52 06:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 28 หว้ากอมีคนขายยาฆ่าแมลงด้วย จากคุณ : ผู้ครอบครองจักรยาน - [ 12 ก.พ. 52 06:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ฟังเรื่องเล่าเช้านี้ อ.กรมวิชาการเกษตรให้สัมภาษณ์ ก็เป็นไปตามนั้นครับ ฟังดูแล้วน่าจะเป็นการช่วยเหลือ และสนับสนุนให้เกษตรกรใช้มากขึ้นด้วยซ้ำ NGO รีบออกมาเร็วเกิน ยังไม่ท่านศึกษาอะไรให้ถ่องแท้ก็แถลงข่าวซะแล้ว งานนี้ NGO ปล่อยไก่ แถลงข่าวไปแล้วจะลงยังไง จะลงจากหลังเสือได้มั้ย จะยอมรับความหน้าแตกของตัวเอง หรือจะแถไปยังไง จากคุณ : ชาเขียว - [ 12 ก.พ. 52 06:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เขาไม่คิดถึงความรู้สึกของประชาชนและเกษตรกร คุณได้มองไปถึงคนที่เขาปลูกพืชพวกนี้เพื่อการค้าหรือไม่เกษตรกรรายย่อยที่ปลูกเพื่อขายเลี้ยงตัวไปวันๆหรือเปล่า ก่อนหน้าที่จะออกกฏมาเขายังขายได้ มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว แตพอออกกฏมาปุบลูกค้าที่เคยซื้อไปทานหรือประกอบอาหารเขากลับไม่กล้าซื้อเลย คิดได้ไงประกาศเป็นวัตถุอันตราย ควรชี้แจงให้มันดีกว่านี้หน่อยครับ เกษตรกรเขาเดือดร้อน จากคุณ : สัน - [ 12 ก.พ. 52 07:07:52 A:222.123.191.57 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 เท่าที่ผมอ่านมาทั้งหมดแล้วผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า ส่วนราชการต่างๆทำเพื่อเกษตรกร แต่ผมยังติดใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืชสมุนไพรนั้นและกรรมวิธีผลิตสารสกัดของเกษตรกรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ มีวิธีการผลิตที่ถูกต้องตามหลักวิชาการอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่กรรมวิธีการผลิตมาจากส่วนราชการทางเกษตรมาเผยแพร่ อบรมกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ และเมื่อเกษตรกรได้รับความรู้ไปก็อาจจะไปดัดแปลงสูตร เพื่อให้ง่ายต่อการใช้และการป้องกัน กำจัดศัตรูพืชในพื้นที่นั้น ตามภูมิปัญญา และที่ประกาศมานั้นอะไรที่เป็นอันตราย สารที่อยู่ในพืชนั้นๆ หรือเมื่อนำสมุนไพรนั้นมาใช้รวมกันและสกัดสารต่างๆ ทั้งๆที่สมุนไพรบางอย่างก็ทานได้ ผมจึงอยากรู้ว่าอะไรที่รวมกันไม่ได้และ ที่รวมกันได้ จากคุณ : เกษตรกรปลอดสารพิษ - [ 12 ก.พ. 52 08:13:01 A:118.172.198.229 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 คิดตามมุมปรัชญา การออกกฏใดๆในสังคม แสดงว่ามันต้องมีปัญหา แต่คนออกกฏดันกั๊กไม่บอกว่าปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ต้องมีกฏคืออะไร ชาวบ้านที่ซื้อมาใช้มีปัญหากับผู้ผลิต หรือเกิดปัญหาใดในสังคม หรือแค่ขัดแย้งผลประโยชน์บริษัทปุ๋ยเคมี เห็นเค้าบอกว่าไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับการใช้โดยตรง แต่เกี่ยวกับสารที่สกัดออกมาแล้ว แล้วทำไมไม่ขึ้นเป็นชื่อสารเคมีโดยตรง เช่น มี capsaicin บริสุทธิ์มากกว่า 40% ขึ้นไปให้ลงทะเบียน ส่วนที่บอกว่าทำเพื่อช่วยเกษตรกร ให้ได้ใช้สารสกัดทางชีวะอย่างมีคุณภาพ อันนี้เหตุผลมันเบาหวิว เพราะมันจำเป็นหรือที่ต้องขึ้นทะเบียน คุณก็ออกไปตรวจด้วยกฏหมายโรงงาน กฏหมายสินค้า การปลอมแปลงสินค้า กฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคก็ได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องมาขึ้นทะเบียน สรุปดูจากเหตุผลตอนนี้เรื่องนี้อยู่ในหมวดลึกลับแน่นอน การขึ้นทะเบียนทำให้เก็บตัวเลขได้ ประเมินสถานการณ์มองเห็นศัตรูทางธุรกิจอุตปุ๋ยเคมีได้ชัดจะได้เข้าไปจัดการวางแผนมากกว่า จากคุณ : หลับตา - [ 12 ก.พ. 52 09:07:53 A:58.64.65.140 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เห็นด้วยกับน้าพรครับ อ่านให้จบแล้วค่อยโวยวายจะดีกว่า จากคุณ : ZoRtA - [ 12 ก.พ. 52 10:20:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ตัดตอนไม่ให้ผู้ที่คิดจะผลิต เป็นอุตสาหกรรม แต่พวกทุนใหญ่คิดทำจะสบายเพระมีความพร้อมกว่าทั้งกฏหมายและเงิน พวกที่ออกมาแก้ต่างให้ทางเวบ ก็ไม่สามารถบอกว่าเกษตรกรได้ประโยชน์อะไรบ้าง ในข่าวก็ทุเรสเอา ไปแปะไว้  ยังกะกินแล้วตายทันที จากคุณ : ผู้ครอบครองจักรยาน - [ 12 ก.พ. 52 11:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้มีคนส่ง SMS เสนอให้เปลี่ยนจาก "สารอันตราย" เป็น "สารควบคุม" จากคุณ : Night Claw - [ 12 ก.พ. 52 12:36:06 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน แม้เพียงนิดเดียว เมื่อกรรมให้ผล ผู้ทำย่อมได้รับความเดือดร้อนของทุกๆคนมารวมกัน ทำประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ แม้เป็นประโยชน์เพียงเล็กน้อย เมื่อกรรมดีให้ผล ผู้ทำย่อมได้รับผลอันเป็นประโยชน์ของทุกๆคนมารวมกัน กฏแห่งกรรมเป็นกฏของธรรมชาติ มีผลแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น จากคุณ : ฝนเต็มตุ่ม - [ 12 ก.พ. 52 12:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 37 นี่คือผลร้ายที่เอาคนโง่มาเป็นอธิบดีกรมครับ เดี๋ยวคงได้สาวกัน มีโอกาสโดนเด้งครับ จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 12 ก.พ. 52 12:49:13 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ทำไมไม่บอกเป็นชื่อสารเคมีเลยล่ะ พริกมีตั้งหลายพันธุ์ บางพันธุ์ก็อาจไม่มีสารเคมีที่เป้นอันตรายก็ได้ ทำไมต้องบอกชื่อพืชนั้นๆเลย จากคุณ : กะจังวา - [ 12 ก.พ. 52 12:54:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณครับ มาตามเก็บความรู้ครับ ผมไปดูประกาศเก่าๆ  (2538 - ตัวล่าสุด) เขาระบุไว้ว่าวัตถุอันตรายเป็นสารสกัด  ดูตามรูปการณ์ก็คือเขาปรับลดความอันตรายมันลงมา เพื่อส่งเสริมตามที่หลายท่านพูดไว้   เพราะสารเคมีที่มันเกิด ไม่ว่าคุณจะทำด้วยวิธีไหนก็เหอะ  ถ้าจ๊ะเอ๋มันเป็นตัวเดียวกับที่ระบุไว้  คุณก็ผิด  (เดิมมันอันตรายประเภท 2  ต้องแจ้งและปฏิบัติตามขั้นตอน) เพียงแต่ว่า  พอปรับมาเป็นประเภท 1  มันจะดีกว่าที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ยังไง  (แต่ดีขึ้นแน่ล่ะในทางกฎหมาย มันคล่องตัวขึ้น)  แต่ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฏหมายมากกว่า คงต้องตามดูต่อไปว่า  "ทำให้ถูกกฎเกณฑ์ของกระทรวง"  นี่มันเป็นยังไง มันยากไหม  มีคนมาช่วยทำให้มันง่ายขึ้นและไม่น่ากลัว หรือเปล่า ?? และการปฏิบัติเปรียบเทียบระหว่าง  เกษตรกร  กับ  พ่อค้าขายสารเคมี  มันจะมีข้อแตกต่างหรือไม่ แต่ยังไงต้องขอบคุณทุกท่านครับ  ผมเองก็เป็นเหมือนคนทั่วไป  พอได้ดูข่าว  แล้วปรี๊ด  สงสารเกษตรกรจับใจ   เหมือนโดนซ้ำเติม  ราคาผลผลิตก็ใช่ว่าจะดี  เจอเรื่องกฏหมายอีก  คงปวดเฮด ยังไงก็สู้ๆ ครับ   แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 52 17:06:46 จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน - [ 12 ก.พ. 52 17:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เขียนกม.ไม่เคลียร์ แบบนี้ไม่ควรให้ผ่าน ไม่มีใครรู้วัตถุประสงค์ อีกยี่สิบปีพอคนลืม ไม่รู้ที่มา ลูกหลานสส.ที่ขายปุ๋ยเคมี มันจะเอาประโยคมาตีความตามตัวอักษรเป๊ะๆ แล้วจัดการคุมกำเนิดจับกุมสารที่คนไทยผลิตได้เอง จะเขียนว่าไม่เกี่ยวกับใครก็เขียนมาตรงๆ เขียนลงไปเลยในกม.กันพวกหัวหมอเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ในอนาคต จากคุณ : หลับตา - [ 12 ก.พ. 52 18:56:42 A:192.168.0.17 X:58.64.67.197 TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ ที่วิภาควิจารณ์ กันมานี่ เห็น กฎหมาย เห็นประกาศ แล้วอ่านโดยละเอียดแล้ว ได้พินิจพิเคราะห์ ด้วยปัญญาแล้วหรือยัง หรือว่า เพียงได้ยินแต่ที่เขาเล่ามา  ได้อ่านข่าวผ่านๆตาบ้าง ชั้นจะตามกระแสซะหน่อย ก็เข้ามา post จากคุณ : น้าพร - [ 12 ก.พ. 52 22:18:50 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ อ่านมาแล้ว ฟังมาแล้ว ฟังความเห็นอื่นที่ไม่เข้าใจมาแล้ว คุณอ่านคห.ผมครบหรือยัง หรือว่าแค่เชื่อในสิ่งที่คุณคิด ทุกวันนี้กฏมันอลุ่มอล่วยอยู่ในประเภทสองอยู่แล้วและทุกวันนี้ก็ไม่ต้องมาแสดงบัญชีอะไรทำแบบไทยๆ ผมไม่ชอบกม.ไทยที่ไม่บอกที่มาที่ไป ไม่เหมือนต่างประเทศ เค้ามีกฏเพราะมันเกิดปัญหา A B C เค้าก็ขุดข้อมูลประวัติที่มาของกฏได้ ส่วนคุณผมไม่รู้ว่าคุณนั้นแหละตั้งธงอะไรไว้ในใจตอนอ่านข่าวนี้ หัดปล่อยใจรับข้อมูลจากอีกฝ่ายบ้างว่าสังคมเค้ากลัวอะไร สังคมสับสนอะไร มันก็คือความจริงที่เค้ากลัวจริงๆสับสนจริงๆไม่ใช่หรือ จะไม่ฟังเสียงสะท้อนแห่งความสับสนนี้สักนิดเลยหรือ ทุกวันนี้การบังคับกฏก็ไม่ได้มีคนไม่แจ้งก็ไม่ผิดอะไรเพราะเจ้าหน้าที่อลุ้มอล่วย แต่อนาคตละ จากคุณ : หลับตา - [ 12 ก.พ. 52 23:04:29 A:58.64.67.197 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ผมว่าประกาศทางกระทรวงอุตสาหกรรมค่อนข้างเคลียร์นะ ปรับเป็นประเภทที่ 1 เฉพาะที่นำมาใช้กำจัดศัตรูพืชอีก แต่ร่างประกาศของกระทรวงเกษตรนีสิที่พิลึก อ่านข่าวยังงงอยู่ว่าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ยังต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อีกรึนี่ จากคุณ : silverspider - [ 12 ก.พ. 52 23:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สำหรับโทษของผู้ที่ผลิตสารกำจัดศัตรูพืชจากสมุนไพรเพื่อจำหน่ายแต่ไม่แจ้ง กับเจ้าหน้าที่ ตามที่ประกาศจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท ขณะที่ผู้ผลิตทำผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือว่าเป็นสารปลอม จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ในส่วนนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยสุ่มเก็บตัวอย่างนำผลิตภัณฑ์มาตรวจหลังแจ้งเจ้า หน้าที่เพื่อการจำหน่ายแล้ว http://www.komchadluek.net/2009/02/12/a001_336867.php จากคุณ : silverspider - [ 12 ก.พ. 52 23:27:16 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พืชพวกนี้คนกินมาเป็น ร้อยๆ ปีก็ไม่เห็นจะมีเรื่องมีราว หรือเป็นอะไร ถ้าคนกินแล้วไม่ตาย เอาไปทำยาฆ่าแมลง มันจะตายได้ไง มองง่ายๆ ไม่เห็นต้องใช้หลักวิชาการอะไร เรื่องนี้มันมีเบื้องหลังชัวส์ เอาหลักวิชาการมาอ้างเพื่อก่อให้เกิดความสับสน ให้คนเชื่อ เพื่อจะได้ทำอะไร สนับสนุนพวกพ้องของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ถามว่าใครได้ประโยชน์ มันเห็นๆ กันอยู่ว่า ก็พวก รมต ที่ออกกฎ และ พวก บริษัทที่จ้าง รมต พวกนี้มาประกาศนั่นเอง ... ถ้ากฎหมายนี้ไม่ถูกยกเลิกเชื่อเถอะว่า ไม่จบง่ายๆ แน่ ชาวบ้านรากหญ้าไม่ได้มีน้อยๆ นะสังคมไทย.....อยากให้บ้านเมืองสงบ กับทำให้เกิดปมปัญหา ..... จากคุณ : รู้ๆ กันอยู่ - [ 13 ก.พ. 52 10:40:16 A:203.185.97.5 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 ประเด็นซึ่งเกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิด จากที่ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้ 1. เพิ่มความชัดเจนจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 ที่กำหนดสารสกัดจากพืชไว้อย่างกว้าง ๆ โดยใช้คำว่า “เช่น” ซึ่งหมายความว่าสามารถเป็นพืชชนิดใดก็ได้โดยไม่จำกัดชนิด แต่ประกาศในปัจจุบัน ใช้คำว่า “ได้แก่” และกำหนดพืชทั้ง 13 ชนิดแทน ซึ่งจะมีขอบเขตแคบกว่า 2. เดิมในปี พ.ศ.2546 กำหนดเพียงสารสกัดจากพืชเท่านั้น แต่ประกาศปัจจุบันให้รวมถึงผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซึ่งกินความหมายกว้างกว่า (ซึ่งต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียต่อไป) 3. เดิมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ปัจจุบันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ความเข้มงวดน้อยกว่า 4. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่เคยมีประกาศตั้งแต่ พ.ศ.2546 แล้ว ซึ่งความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2538 เสียด้วยซ้ำ แต่ประกาศใน พ.ศ.2538 ได้ยกเลิกไป และใช้ฉบับ พ.ศ. 2546 แทนในปัจจุบัน แต่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือมองเห็นข้อมูลนี้หรือเปล่า ประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย มีดังนี้ เดิมประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 กำหนดเพียง สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกัน กำจัดแมลง ศัตรูพืชและสัตว์ และเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 แต่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 กำหนดเป็นผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ ประกาศฉบับใหม่นี้มีความเข้มงวดมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องแยกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 การนำสารสกัดจากพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช ผลจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ฉบับนี้ส่งผลให้สารสกัดจากพืชซึ่งมิได้มีการปลี่ยนแลงทางเคมี เปลี่ยนสถานะซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งมีความเข้มงวดน้อยกว่ามาก กรณีที่ 2 การนำผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช ผลจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ส่งผลให้ชิ้นส่วนพืชซึ่งเดิมไม่ถูกกำหนดเป็นวัตถุอันตราย กลายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีความยุ่งยากในการนำมาใช้งานมากขึ้น เป็นการเพิ่มภาระของเกษตรกร และอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายของเกษตรกรได้ การจะต่อสู้หรือถกเถียงในกรณีที่อาจจะเกิดขึ้น ต้องถกเถียงในกรณีที่ 2 จะมีความเหมาะสมมากกว่าการถกเถียงในประเด็นอื่น แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อาจทำได้ดังต่อไปนี้ 1. ยกเลิกข้อความในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพรนี้เสียทั้งหมด เนื่องจากทำความเข้าใจได้ยาก หรือมีขั้นตอนที่อาจเกิดความยุ่งยาก แต่ทั้งนี้การยกเลิกต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในระยะยาวด้วย 2. ปรับแก้ข้อความจาก “ชิ้นส่วนของพืช” เป็น “สารสกัดจากพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก” เพราะว่าการใช้ข้อความ “ชิ้นส่วนจากพืช” นั้นมีความหมายกว้างมาก ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการนำมาใช้ แต่หากแก้ไขเป็น “สารสกัดจากพืช” จะมีขอบเขตแคบกว่า ทั้งนี้อาจปรับลดจำนวนชื่อพืชดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม และการใช้คำว่า “ได้แก” จะทำให้ขอบเขตของพืชที่ใช้แคบลงกว่าการใช้คำว่า “เช่น” ด้วย ส่วนการกำหนดจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้นเป็นการลดความเข้มงวดลงมาแล้ว จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติมากนัก และยังช่วยในการติดตามปัญหาในระยะยาวได้ด้วย ส่วนประเด็นที่ว่ามีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่นั้น หากมองในแง่ดี ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ประกาศที่ออกมาอาจเกิดจากการมองไม่รอบด้านเสียมากกว่า จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ - [ 13 ก.พ. 52 13:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เห็นด้วยถ้ามีการระบุระเบียบขั้นตอนข้อปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ในขั้นดำเนินการได้โดยสะดวก และแสดงเจตนาว่าเป็นการส่งเสริมใคร กระทำได้อย่างไรให้ชัดเจน มิฉะนั้น สื่อบางจำพวกก็นำเสนอแบบไรสำนึก ให้ชาวบ้านเข้าใจผิดเพี้ยน บ้างก็เข้าใจเฉพาะส่วนที่ห้ามแล้วเหมารวม บ้างก็รู้ว่าไม่ผิดแต่ไม่รู้ว่าจะทำให้ถูกได้อย่างไร  เผลอๆก็เป็นประโยชน์ให้กับคนในเครื่องแบบที่ชอบเคี่ยวโคนมทำนา(กรรโชครีดไถ) จากคุณ : khanasri - [ 13 ก.พ. 52 23:32:28 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สื่อผิดนั่นก็ส่วนนึงครับ เพราะเล่นข่าวมากเกิน จนคนกลัวไปหมด แต่มองในแง่คนออกกฎหมาย ความรอบคอบก่อนออกกฎหมายออกมาน่าจะสำคัญนะครับ  การออกกฎหมายน่าจะมีการเช็คผลกระทบจากกฎหมายก่อนที่จะประกาศออกมา  และวางแผนการสื่อสารให้ดีกว่านี้  เพราะมันมีผลกระทบกับคนในวงกว้าง นิสัยประเภท  ออกไปก่อนแล้วค่อยชี้แจง  ผมว่ามันตลกและดูน่าเกลียดมาก  ดูๆ แล้วยังสงสัยว่า  ถ้าหน่วยงานเขาคุยกับองค์กรผู้นำชุมชนที่ทำเรื่องสมุนไพรก่อนที่จะออกกฎหมายออกมา  มันจะมีปัญหาแบบนี้ไหม?? เพราะจากที่อธิบดีฯ เขาพูด  ว่าวัตถุประสงค์คือช่วยเหลือเกษตรกร  ก็น่าจะได้คุยกันและทำความเข้าใจกันก่อนที่จะออกกฎหมาย  ไม่ใช่นึกจะออกก็ออกเลย  ใครเข้าใจไม่เข้าใจก็ค่อยมาแก้ทีหลัง  ผมว่ามันสะท้อนนิสัยการทำงานแบบมักง่ายนะครับ จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน - [ 14 ก.พ. 52 07:15:10 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผมคิดว่า กรมวิชาการเกษตร เป็นกรมที่ น่าให้ใต้โต๊ะที่สุด จากคุณ : TagMyZky - [ 14 ก.พ. 52 10:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ในพรบ.เดิม สารกำจัดศัตรูพืชแบบพื้นบ้านถูกตีความว่าเป็นวัตถุอันตรายประเภท ๒ อยู่แล้ว ถ้าเอาพืช ๑๓ ชนิดมาบดขายเป็นสารกำจัดศัตรูพืช  จะเป็นตามบัญชี ข. พ.ศ. ๒๕๓๘ ลำดับที่ ๑๑๕ สารสำคัญ จุลชีพ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ หรือจุลชีพที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกัน กำจัด ควบคุมแมลง หรือสัตว์ที่เป็นศัตรู การแก้เป็นวัตถุอันตรายประเภท ๑ มีประโยชน์ต่อเกษตรกรที่ต้องการผลิตสารกำจัดศัตรูพืชจากธรรมชาติขาย ที่ผ่านมาการผลิตสารธรรมชาติกำจัดแมลง ถ้าจะผลิตให้ถูกกฎหมายยากมากๆ ต้องมีผลวิจัยผลิตภัณฑ์ของตนเอง ว่ามีสารออกฤทธิ์เท่าใด นำไปใช้อย่างใด ต้องควบคุมสารออกฤทธิ์ให้เป็นตามเกณฑ์ ทำได้แต่แพงมาก เช่น สะเดาบด แทนที่จะตากแดด ต้องเปลี่ยนมาอบให้มั่นใจว่าไม่ร้อนเกินไป ขณะที่ถ้าผิดพลาดเมื่อตากแดดสารออกฤทธิ์อาจตกลงบ้าง แต่ก็เป็นไปตามปกติของการใช้สารธรรมชาติ เมื่อแก้ พรบ. เป็นวัตถุอันตรายประเภท ๑ จะทำให้มีผู้ผลิตสารธรรมชาติกำจัดแมลงมากขึ้น เชื่อได้ว่าเกษตรกรจะหาซื้อใช้ได้สะดวกขึ้น ในราคาที่ไม่แพง เมื่อการใช้มากขึ้น ก็มีการปลูกเพื่อขายมากขึ้น ที่ต้องระบุชื่อพืช เพราะป้องกันการนำพืชที่ไม่มีข้อมูลว่าไล่ศัตรูพืชได้จริงมาหลอกขาย และพืชบางตัวเช่น หางไหล กลอย ใช้ผิดพลาดถึงตายได้ พริกเองก็ใช่ว่าจะไม่อันตราย แค่สเปรย์พริกไทย ก็ทำให้คนตายมาแล้วครับ อย่าว่าแต่สะเดา Pepper spray has been implicated in the deaths of at least 31 people in California since January 1993, according to the American Civil Liberties Union of Southern California. http://www.nopepperspray.org/levendosky.htm อะไรที่มันอันตราย ก็ต้องยอมรับว่าอันตราย อันตรายมากอันตรายน้อยนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : Pom.com - [ 14 ก.พ. 52 12:16:23 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เรามีหลักในการคิดพิจารณาดังนี้ ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 (ซึ่งยกเลิก ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2538 เรียบร้อยแล้ว) ในลำดับที่ 104 สารสำคัญ จุลชีพ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ หรือจุลชีพที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกัน กำจัด ทำลาย ควบคุมแมลงหรือสัตว์ที่เป็นศัตรูพืชและสัตว์ (ยกเว้นปรสิตภายในตัวสัตว์) เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 (Active ingredients, microorganisms or products containing active ingredients or microorganisms intended for preventing, destroying or controlling insects or animals which are pests to plants and animals (excluding parasites insides animal bodies)) ลำดับที่ 105 สารสำคัญ จุลชีพ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ หรือจุลชีพที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกัน กำจัด ทำลาย ควบคุมโรคพืช เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 (Active ingredients, microorganisms or products containing active ingredients or microorganisms intended for preventing, destroying or controlling plant diseases) เมื่อพิจารณาจากบริบทของข้อความดังกล่าว ในประเด็นของสารสำคัญ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ เห็นว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับจุลชีพมากกว่า ไม่น่าเกี่ยวข้องกับพืชแต่อย่างใด จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ - [ 15 ก.พ. 52 02:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ความคิดเห็นที่ 45 - พืชที่เรากินกันมาเป็นร้อยปี..ก็ฆ่าเราได้นะครับ เพราะที่เรากินแต่ละครั้งมันไม่ได้เยอะหรือเข้มข้นมากเท่ากับที่เราหมักมาใช้ อย่างพริกนี่มื้อนึงเรากิน 10-20 เม็ดก็แย่แล้ว แล้วที่เอามาหมักนั่นมันเป็นกิโล ๆ ใครโดนไปคงได้เข้า รพ. กันจริง ๆ โดยส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับประกาศนี้นะ จากคุณ : 0vvaynar0 - [ 15 ก.พ. 52 02:03:57 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คุณ ผู้สังเกตการณ์ สารสำคัญ เว้นวรรค จุลชีพ จะตีความว่าสารสำคัญต้องเป็นจุลชีพได้ยังไง ที่ผ่านมากากชาก็ถูกตีเข้าข้อนี้ จากคุณ : Pom.com - [ 17 ก.พ. 52 00:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ตามที่เข้าใจ มีแยก 2 แบบ 1. สารสกัด เปลี่ยนความอันตรายจาก 2 เป็น 1 ทำให้ใช้ง่ายขึ้น <- คนที่สนับสนุนก็อ้างข้อนี้ 2. ไม่ได้สกัด แต่ใช้กำจัดศัตรูพืชจากเดิมไม่อันตราย กลายเป็นของอันตราย <- คนด่าก็ด่าข้อนี้ ถูกมะ จากคุณ : Calaglin - [ 4 มี.ค. 52 17:19:56 ]