ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณครับ ได้รู้ประวัติความเป็นมาสะที จากคุณ : หมาอมฮอลล์ - [ 15 ก.พ. 52 18:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปูเสื่อรอฟังครับผม!! จากคุณ : Calypsol_Red - [ 15 ก.พ. 52 18:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปูเสี่ยๆ กี๊ดๆๆๆๆ ดีใจ ไม่เคยปูเสี่ยรอฟังมาก่อน จากคุณ : อย่ามาห้ามผม - [ 15 ก.พ. 52 18:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รอๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : หมาอมฮอลล์ - [ 15 ก.พ. 52 18:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ว่าจะลงของเล่นรอบค่ำ มาปูเสื่อรอท่านเจไดแทนดีกว่า จากคุณ : bbiggy - [ 15 ก.พ. 52 18:37:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ***          ก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่อง "โคล่า" นั้นเพื่อนๆทุกท่านต้องทำความเข้าใจกันอย่างหนึ่งก่อนครับว่า  ความจริงแล้วมันมีน้ำอัดลมที่มีรสซาบซ่าอยู่ตัวหนึ่งซึ่งได้ถูกคิดค้นแลพัฒนาขึ้นมาก่อนหน้าโคล่าเป็นระยะเวลานานแล้วครับ  โดยเจ้าน้ำดังกล่าวนั้นก็คือ "โซดา" นั่นเองครับ      โดยจากบันทึกหลายแห่งเชื่อว่าผู้ที่คิดค้นโซดาเป็นคนแรกก็คือนักวิทยศาสตร์ชาวผู้ดีตีนแดงอังกฤษที่ชื่อว่า "โจเซฟ พริสต์ลีย์" ซึ่งในวงการเคมีจะยกย่องกันให้บุรุษผู้นี้เป็น "บิดาแห่งก๊าซ" ครับ  เพราะพี่แกเล่นค้นพบก๊าซต่างๆจากการทดลองเป็นจำนวนมากทั้ง ออกซิเจน คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนตรัส แอมโมเนีย แลก๊าซที่เราๆท่านๆรู้จักกันดีอีกหลายตัวนั่นเอง (รูปของนาย "โจเซฟ พริสต์ลีย์" บิดาแห่งก๊าซ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 18:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ปูเสื่อรอๆ จากคุณ : oppertunity - [ 15 ก.พ. 52 18:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รอๆๆ จากคุณ : AniRathRiX - [ 15 ก.พ. 52 18:40:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ชอบกินโคคาเหมือนกัน เส้นหมี่น้ำใสอร่อย จากคุณ : หิวแล้ว (vegetable) - [ 15 ก.พ. 52 18:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มานั่งรอกิน จากคุณ : i love my boss - [ 15 ก.พ. 52 18:47:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เอ่อ... ทักนิดนึงนะครับ กระทู้มีดสปาต้าจบยังอะครับ? ถ้าจบแล้วของลิงค์หน่อยครับ --- ต้นโคคา ใช่ที่สามารถผลิต โคเคน ได้หรือเปล่าครับ? แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 18:50:48 จากคุณ : ซายูบิ - [ 15 ก.พ. 52 18:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่เห็นหน้ากันนานนะครับ คิดถึง จากคุณ : Cryptomnesia - [ 15 ก.พ. 52 18:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ***      โดยต้นกำเนิดของโซดานั้นมาจากการที่วันหนึ่ง "พริสต์ลีย์" มานั่งพินิจดูเจ้าฟองอากาศแปลกๆในถังหมักเบียร์แลเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าเจ้าฟองนี้มันคืออะไรกันแน่  เขาจึงได้ทอลองจุดเทียนจนพบว่าก๊าซในถังเบียร์สามารถเหนี่ยวนำควันของเทียนให้ไหลไปตามถังไม้โอ๊คได้  ดังนั้นเขาจึงนำแก้วน้ำสองใบมาเทสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วเหนือถังหมักเบียร์ที่มีฟองฟอด      จนปรากฏว่าเจ้าก๊าซในถังได้ผสมเข้ากับน้ำเปล่าในแก้วจนเกิดฟองขึ้นมา  เมื่อ "พริสต์ลีย์" ทดลองชิมจึงพบว่ามันมีรสซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนซึ่งนี่จึงเป็นต้นกำเนิดของ "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์" แล "น้ำโซดา" นั่นเองครับ (รูปเครื่องไม้เครื่องมือในห้องทดลองของ "โจเซฟ พริสต์ลีย์" ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 18:59:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หวัดดีครับท่านเจได นึกว่าจะเล่าแค่โคล่า ที่ไหนได้ เล่นซะตั้งแต่โซดาเลย ^^' จากคุณ : Epinephrine - [ 15 ก.พ. 52 19:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ปูเสื่อค่ะ จากคุณ : Synthia - [ 15 ก.พ. 52 19:04:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 *ตอบคุณความคิดเห็นที่11* กระทู้มีดสปาร์ต้ายังไม่จบครับเพราะเผอิญช่วงเดือนตุลา-พฤศจินั้นผมย้ายไปซุกหัวนอนอยู่ที่เกาะสิงคโปร์พักใหญ่เพื่อทำธุระบางอย่าง  เลยทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาตอบตั้งกระทู้เท่าไหร่  ไปๆมาๆเลยเริ่มรู้สึกขี้เกียจตัวเป็นขนขึ้นมาซะงั้นเลยไม่ได้มาต่อซักที(เป็นการกระทำที่น่าเตะแลไม่ควรเอาอย่างที่สุด)  แต่สัญญาก็คือสัญญาครับเอาเป็นว่าเร็วๆนี้ "เจไดหนุ่ม" จะกลับมาต่อเรื่องราวของมีดให้จบแน่นอน (รูปของกระทาชายนาย "เจไดหนุ่ม" ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาในกระทู้นี้เลยซักกระติ๊ด  แต่ในเมื่อเจ้าตัวเขาอยากจะโพสก็หยวนๆกันไปเถอะนะ -_-") (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 19:05:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โค๊ก เค้าเป็นยาแก้ท้องผูกหรือท้องเสียหรือยาแก้ปวดหรือยาอะไรครับ แล้วปัจจุบันยังเป็นยาอยู่หรือเปล่า แล้วน้ำเขียว แดง ส้ม สไปรท์ เป็นยาเหมือนโค๊กหรือไม่ จากคุณ : หลับตา - [ 15 ก.พ. 52 19:11:34 A:58.64.63.236 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ปาดดดดด "พริสต์ลีย์" มานั่งพินิจดูเจ้าฟองอากาศแปลกๆในถังหมักเบียร์ แสดงว่า ก่อนเครื่องดื่มโซดา  มีเบียร์ (ที่ซาบซ่าน) มาก่อนสิเนี่ย อ่ะ อีกเรื่องนึง เมื่อ "พริสต์ลีย์" ทดลองชิมจึงพบว่ามันมีรสซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน นึกถึงกระทู้เด็กทดสอบแก๊สรั่วโดยจุดไฟเลย..... นี่ถ้าโซดามันเป็นพิษ จะมีข่าวพาดหน้า นสพ มั้ยเนี่ย นักวิทย์ชื่อดังทดลองซดน้ำดื่มฟองปุดๆๆ ถูกหามส่งโรงพยาบาลวุ่น T_T จากคุณ : ginosty - [ 15 ก.พ. 52 19:21:43 ]

ความคิดเห็นที่ 19 *****      ด้วยการค้นพบอันสุดวิเศษนี้เองจึงทำให้ "พริสต์ลีย์" เขียนผลการทดลองแลวิจัยออกมาให้ผู้คนในวงกว้างได้ทราบ  นอกจากนี้เขาได้ทำการปรับปรุงวิธีผลิตน้ำโซดาขึ้นใหม่ด้วยอุปกรณ์ที่ใช้หลักการถ่ายเทของก๊าซ(ในรูป)  แลยังได้เขียนหนังสือเรื่อง "Impregnating water with fixed air" ขึ้นในช่วงประมาณปี1772 เพื่อเผยแพร่สรรพคุณของน้ำโซดาซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วยครับ        ถึงแม้ว่า "พริสต์ลีย์" จะเป็นบิดาของน้ำโซดาก็ตามแต่เรื่องตลกอย่างหนึ่งก็คือคนที่สามารถหากำไรเข้ากระเป๋าจากโซดานั้นกลับเป็นเภสัชกรชาวอังกฤษชื่อ "โทมัส เฮนรี่"  ที่คิดค้นอุปกรณ์ผลิตน้ำโซดาจากน้ำแร่ซึ่งเขาเชื่อว่ามีสรรพคุณมากกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป  อีกทั้งนายเฮนรี่ยังได้ทดลองใส่ส่วนผสมจำพวกน้ำตาลแลน้ำมะนาวเข้าไป  จนเกิดเป็นน้ำอัดลมรสหวานซาบซ่านตัวแรกของโลกขึ้นอีกด้วยครับ (รูปอุปกรณ์ผลิตน้ำโซดาเวอร์ชั่นปรับปรุงของนาย"พริสต์ลีย์" ซึ่งถูกนักธุรกิจหัวเสรายอื่นนำไปดัดแปลงจนนำไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตน้ำอัดลมในเวลาต่อมา) ปล. "โซดา" มาจากคำว่า "โซเดียมคาร์บอเนต" ซึ่งเป็นสาร(แก้ไขข้อความ) ที่ผสมอยู่ในน้ำอัดลมจำพวกนี้ครับ (ขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกใน "ความคิดเห็นที่140" ด้วยครับ  ที่เข้ามาชี้แจงเรื่องข้อมูลที่ถูกต้อง) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 07:47:55 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 19:34:52 จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 19:24:37 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รออ่าน .. จากคุณ : apple_meppo - [ 15 ก.พ. 52 19:26:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โซดาพร้อม รอคนซื้อกับแกล้ม จากคุณ : หยดฟ้า - [ 15 ก.พ. 52 19:31:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 รอ สปาต้าร์ ด้วยคน อิอิ.. จากคุณ : รักสาว มธ. (NoahComeBack) - [ 15 ก.พ. 52 19:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 23 *****     ดังนั้นจึงทำให้ในประเทศอังกฤษช่วงปลายคริสตศตวรรษที่18นั้นมีนักธุรกิจจำนวนมากต่างพากันผลิตน้ำอัดลมออกมาวางขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จแลล้มเหลว  แต่ทว่าในสงครามโซดาครั้งนี้กลับมีชายสองคนก้าวขึ้นมายืนอยู่ในหัวแถวได้ก็คือ "นายนิโคลาส พอล" กับ "นายจาคอป ชเวป" นั่นเอิงครับ (ชื่อนี้คุ้นๆหูกันรึเปล่าครับ^_^)      โดยสองคนนี้แต่แรกนั้นเป็นคู่หูในการทำธุรกิจกันซึ่งประสบความสำเร็จจนร่ำรวยเพราะสามารถส่งน้ำอัดลมรสหวานไปขายยังตลาดต่างประเทศได้ตอนช่วงปี ค.ศ.1800  แต่เพราะเงินแลผลประโยขน์มูลค่ามหาศาลนี้เองที่เป็นตัวการทำให้ความสัมพันธ์ของชายทั้งสองต้องขาดสะบั้นจนต่างฝ่ายต่างแยกไปขายน้ำอัดลมในแบรนด์ของตัวเอง  ซึ่งนาย "ชเวป" นั้นดูจะสามารถผลิตน้ำอัดลมซึ่งเป็นที่นิยมของผู้คนได้มากกว่า (เห็นได้จากน้ำอัดลมแบรนด์ของเขายังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเองครับ) (รูปขวดบรรจุน้ำอัดลมยุคแรกๆของบริษัท "ชเวป" ครับ  ซึ่งสติ๊กเกอร์ดำแดงในภาพนั้นเป็นของที่ทำออกมาติดเองในยุคนี้) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 19:47:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รอดู โค้ก จากคุณ : Seydlitz - [ 15 ก.พ. 52 19:49:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ... เข้ามารออีกที จากคุณ : หมาอมฮอลล์ - [ 15 ก.พ. 52 19:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มาปูเสื่อ จากคุณ : env42_tay - [ 15 ก.พ. 52 19:51:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แวะมาอ่านค่า จากคุณ : ~~ช้างน้อยร้อยโล~~ - [ 15 ก.พ. 52 19:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาจ่อคิวรอดูแล้วค่า เร็วๆหน่อยค่าจขกทผู้น่ารัก (แหนะ ... เขาอุตส่าห์หาของดีมาให้ดูยังมาเร่งอีก น่าเตะจังเลยเรา) จากคุณ : ท่อน้ำทิ้ง - [ 15 ก.พ. 52 20:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มาอ่านด้วยคน อ้อแล้ว Sparkling Wine กับ โค้กใครเกิดก่อนกันครับ (May the newtype be with you) ขอให้นิวไทป์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : Norah - [ 15 ก.พ. 52 20:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 30 *****      ตอนนี้เจไดหนุ่มจะพักเรื่องของโซดาในเกาะอังกฤษไว้ก่อนแล้วมองมายังแผ่นดินอเมริกาซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำอัดลมโคล่าอันลือชื่อบ้างครับ  โดยต้นกำเนิดของโคล่าอัดลมในมะริกันนั้นต้องกล่าวถึงบุคคลผู้หนึ่งคือ "นายเบนจามิน ซิลลิแมน"  โดยเขาเป็นนักเคมีที่ออกเดินทางไปยังเกาะอังกฤษเพื่อค้นคว้าหาตำรับตำราแลอุปกรณ์ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเยลที่เขาเป็นอาจารย์อยู่  โดยที่อังกฤษนี้นายเบนจามินพบว่าผู้คนล้วนชอบดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อชเวปกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  นายเบนจามินเลยนำวิธีผลิตน้ำโซดารสหวานนั้นกลับมาทำที่อเมริกาจนพัฒนากลายเป็นกิจการที่ทำกำไรให้แก่เขาได้จำนวนหนึ่ง      ในที่สุดธุรกิจโซดานี้ก็แผ่ขยายไปทั่วอเมริกาอย่างเป็นล่ำเป็นสันแต่ชาวอเมริกันส่วนมากในยุคนั้นก็ยังมองว่าโซดาเป็นเพียงยาแขนงหนึ่งที่ใช้รักษาโรคเล็กๆน้อยๆเท่านั้น  ในยุคแรกๆชาวอเมริกันจึงหาซื้อโซดาได้ตามร้านขายยาต่างๆ  จนกระทั่งได้มีหนุ่มหัวเสนาม "โจเซฟ ฮอกกินส์" ผลิตอุปกรณ์ซึ่งมีชื่อว่า "น้ำพุโซดา" ขึ้นมา(Fountain Soda)  โดยใช้หลักการให้น้ำโซดาในถังเก็บไหลผ่านท่อเหล็กมายังก๊อกจนเป็นต้นกำเนิดของเครื่องกดน้ำอัดลมในสมัยนี้นั่นเองครับ (รูป "เครื่องน้ำพุโซดา" ในช่วงประมาณปี1890ครับ  ซึ่งอันที่จริงมันยังมีอีกรุ่นหนึ่งซึ่งเก่ากว่านี้แต่ "เจไดหนุ่ม" หารูปไม่ได้จริงๆครับ T_T) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 20:19:40 จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 20:17:53 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สาระ ๆ ๆ ๆ จากคุณ : PUMPKINbig - [ 15 ก.พ. 52 20:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 *****      เมื่อมีการคิดค้นเครื่องน้ำพุโซดาออกมาธุรกิจการบรรจุโซดาใส่ขวดก็เริ่มซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะผู้คนมักจะออกไปซื้อหาโซดาใส่แก้วเย็นเจี๊ยบจากเครื่องพวกนี้ตามร้านขายยามากกว่านั่นเองครับ  จนกระทั่งช่วงปลายคริสตศตวรรษที่19ซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังรุ่งเรืองแลเครื่องจักรไอน้ำก็กำลังเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศใหญ่ๆจำนวนมาก  "นายจอห์น แมททิวส์" ชาวอเมริกันได้ทำการประดิษฐ์เครื่องผลิตโซดาบรรจุขวดซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่การเติมน้ำ อัดก๊าซ ใส่รสชาติยันล้างทำความสะอาดขวดออกมา        ซึ่งเครื่องจักรของนายแมททิวส์นี้เองที่เป็นตัวเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมน้ำอัดลมบรรจุขวดอีกครั้งครับเพื่อนๆ  เพราะมันสามารถลดเวลาการผลิตแลจำนวนแรงงานลงไปได้มาก  ธุรกิจการผลิตโซดาบรรจุขายในขวดจึงเริ่มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งพร้อมๆกับการกำเนิดของน้ำโคล่านั่นเอง  แลจุดเริ่มต้นของโคล่านั้น "เจไดหนุ่ม" จะต้องขอเล่าย้อนไปในทวีปอเมริกาใต้ยุคบุกเบิกครับ        โดยในสมัยก่อนนั้นชาวอเมริกาใต้เช่นเผ่าอินคารึมายันได้มีการรู้จักแลเพราะปลูกพืชที่ชื่อว่า "โคคา" มานมนานแล้ว  โดยใบของต้นโคคานั้นจะมี "สารอัคคาลอยด์" ซึ่งพวกเรารู้จักกันดีในชื่อของ "โคเคน" ที่มีฤทธิ์ไปกระตุ้นการทำงานของประสาทได้อย่างดี  ใบโคคาจึงมักถูกนำไปใช้ทำยากระตุ้นแลรักษาอาการเหนื่อยล้าจนกระทั่งกลางคริสตศตวรรษที่19ก็ได้มีการสกัดสารเสพย์ติดโคเคนออกมาจากใบโคได้สำเร็จแลใช้เป็นยารักษาอาการป่วยบางโรค  โดยคนสมัยนั้นเองก็ยังไม่รู้ซึ้งว่าความจริงแล้วโคเคนก็ไม่ต่างกับ "ฝิ่น" ซึ่งเป็นสารเสพย์ติดอันตรายซึ่งมีการปลูกในประเทศจีนเลยนั่นเอง (รูปบางส่วนของเครื่องผลิตโซดาบรรจุขวดฝีมือ "นายจอห์น แมททิวส์" ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 20:46:06 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามารอชมครับ จากคุณ : หมูกระเทียม+ไข่ดาว - [ 15 ก.พ. 52 20:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปูเสื่อ... จากคุณ : Zew - [ 15 ก.พ. 52 21:06:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 รอๆๆ วันนี้ก็กินไปขวดนึง พักนี้ชักจะกินบ่อยแฮะ ติดโคเคนป่ะเนี่ยเรา - -" จากคุณ : ความจริงโหดร้ายเสมอ - [ 15 ก.พ. 52 21:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 รออ่านครับผม จากคุณ : สุกี้๒จาน - [ 15 ก.พ. 52 21:10:54 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เบนจามิน อีกละ ทำไมคนชื่อนี้เก่งจัง ไว้มีลุกจะให้ชื่อ เบนจามิน มั้ง จากคุณ : Napoleonic - [ 15 ก.พ. 52 21:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 38 หิ้วของกินมารอชมด้วยคน จากคุณ : คุณหนูชามะนาว - [ 15 ก.พ. 52 21:12:54 ]

ความคิดเห็นที่ 39 *****      แลเพราะความวิเศษของเจ้าต้นโคคานี่เองจึงทำให้มีเภสัชกรจากเมืองแอตแลนต้าชื่อนาย "จอห์น เพมเบอร์ตัน" ซึ่งก็มีความคิดเหมือนหมอคนอื่นๆในยุคนั้นที่ได้ทดลองนำใบแลสารสกัดจากต้นโคคาไปทำยารักษาโรคแขนงต่างๆ  แล้วเรื่องบังเอิญที่จะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์วงการน้ำอัดลมของโลกก็บังเกิดแก่เขาในช่วงปี*1886*(แก้ไขข้อความ)  (เรื่องนี้ทางบริษัทโค้กในอเมริกาเป็นผู้บันทึกไว้เองว่าคือต้นกำเนิดน้ำอัดลมของตนครับ)  เมื่อนายเพมเบอร์ตันรู้สึกหน้ามืดตาลายวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมจนต้องเรียกหายาหม่องตาลิงถือลูกท้อ เอ๊ย! ม่าย~ช่ายยย -_-"  ความจริงคือนายเพมเบอร์ตันรู้สึกปวดหัวมากจึงได้อาศัยประสบการณ์ของเภสัชกรนำตัวยาหลายขนานรวมทั้งใบโคคามาปรุงรวมกันจนกลายเป็นของเหลวข้นหนืดสีน้ำตาลเข้ม  ก่อนที่เขาจะนำมันไปผสมกับน้ำโซดาจนกลายเป็นเครื่องดื่มโคล่าอย่างที่เราๆท่านๆรู้จักกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ ** สูตรในการทำหัวเชื้อของน้ำอัดลมโคคา-โคล่านั้นถูกปิดเป็นความลับมาตลอดเวลา  แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันคนที่รู้ก็จะมีเพียงผู้บริหารแลนักวิจัยระดับสูงของบริษัทเท่านั้น**      แต่ก็มิใช่ว่าความสำเร็จจะมาเยือนนายเพมเบอร์ตันเสียทีเดียวเมื่อโคล่าในยุคแรกยังมีรสประหลาดๆคล้ายยาแลต้องใช้แอลกออลล์เป็นส่วนผสมจนถูกต่อต้านจากทางการ  ทำให้นายเพมเบอร์ตันต้องปรับปรุงสูตรอีกครั้งโดยตัดแอลกอฮอลล์ทิ้งลดโคเคนแลเพิ่มความหวานเข้าไปก่อนจะตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า "โคคา-โคล่า"  ตามส่วนผสมที่ใช้ทำแลเริ่มออกวางขายให้ผู้คนทั่วไปได้ลิ้มลอง        นอกจากนี้เขายังว่าจ้างให้นาย "แฟรงค์ โรบินสัน" หุ้นส่วนของตนให้โหมกระหน่ำโฆษณาในสื่อต่างๆรวมทั้งสร้างตัวอักษรโคคา-โคล่าอันเป็นที่จดจำง่าย  ซึ่งต่อมาตัวอักษรที่ออกแบบโดยนายโรบินสันนั้นจะเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่จะใช้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  ทว่าแม้หนทางข้างหน้าจะดูสดใสแต่ผู้ที่สามารถคว้าชิ้นปลามันของธุรกิจโคคา-โคล่าไปครองจากมือ "นายเพมเบอร์ตั้น" นั้นกลับเป็นบุคคลอีกนายหนึ่งซึ่ง "เจไดหนุ่ม" กำลังจะกล่าวถึงในความคิดเห็นถัดไปครับ (รูปภาพนาย "จอห์น เพมเบอร์ตัน" บิดาของน้ำอัดลม "โคคา-โคล่า" หรือ "โค้ก" ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 07:12:30 จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 21:23:22 ]

ความคิดเห็นที่ 40 "เจไดหนุ่ม" ขอตัวไปทำธุระบางอย่างซักครู่เดียวครับ  อีกเดี๋ยวจะกลับมาต่อเรื่องราวให้จบแน่นอนในคืนนี้แหละครับ (ชัวร์ครับขอเอาไลท์เซเบอร์เป็นประกัน -_-") (พักสายตาด้วยรูป "แม่นางฟ้าน้อยซีซี" ขวัญใจของผมไปพลางๆก่อนละกันนะครับ ^_^) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 21:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 41 2รูปคั่นเวลาแล้วอีกซักพักมาเจอกันใหม่ครับ ^_^ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 15 ก.พ. 52 21:42:51 ]

ความคิดเห็นที่ 42 รอครับ รอติดตามอย่างติดหนึบต่อไป จากคุณ : ปัจเอนก เจกชน - [ 15 ก.พ. 52 21:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เข้ามาปาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด จากคุณ : handghost - [ 15 ก.พ. 52 22:03:48 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ่า... จากคุณ : OrganizerO - [ 15 ก.พ. 52 22:23:35 ]

ความคิดเห็นที่ 45 กำลังมันส์ ตกลงตอนนี้มันยังใช้สารโคเคน จากต้นโคคา อีกรึป่าว ถ้ายังใช้อยู่ นั่นมันสารเสพติดนี่หว่า??? หรือเปลี่ยนเป็นคาเฟอีนแทนแล้ว << เพื่อยังคงความกระชุ่มกระชวยแทนโคเคน จากคุณ : หยดฟ้า - [ 15 ก.พ. 52 23:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ปาดดดด รอชม จากคุณ : zix6_6 - [ 15 ก.พ. 52 23:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เอิ๊อก จากคุณ : ไฟลามทุ่ง - [ 15 ก.พ. 52 23:12:47 ]

ความคิดเห็นที่ 48 รอชมต่ออีกคนนะคะ ^^ จากคุณ : Co-Arrange - [ 15 ก.พ. 52 23:16:25 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จากคุณ : anurak_jun - [ 15 ก.พ. 52 23:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 50 รอติดตาม และตามติด จากคุณ : GOldenMEan - [ 15 ก.พ. 52 23:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ปาด รอชมครับ จากคุณ : Junkyjoke - [ 15 ก.พ. 52 23:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 52 รออยู่จ้าาา จากคุณ : Faxes - [ 15 ก.พ. 52 23:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ** สูตรในการทำหัวเชื้อของน้ำอัดลมโคคา-โคล่านั้นถูกปิดเป็นความลับมาตลอดเวลา  แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันคนที่รู้ก็จะมีเพียงผู้บริหารแลนักวิจัยระดับสูง ของบริษัทเท่านั้น** สูตรของน้ำดำเป็นความลับ แล้วอย่างงี้ทาง โค้กในไทยผลิตโดยใช้วิธีแบบไหน ้ต้องซื้อหัวเชื้อเข้มข้้นมาจากทางบริษัทแม่เลยหรอครับ แล้วหัวเชื้อนี้มันจะเหมือนกับ หัวเชื้อที่ส่งขายให้กับตามร้านขายน้ำที่มาอัดแก๊สเองหรือเปล่าครับ จากคุณ : fa_beer - [ 15 ก.พ. 52 23:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 54 A lot of knowledge, you have. A true scholar, you are. Appreciate a lot, I am. จากคุณ : ขอปลอมเป็นโยดาแป๊บนึง (abarat cat) - [ 16 ก.พ. 52 00:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 55 มาปักหมุดรอเจ้าค่ะ จากคุณ : nutchanunu - [ 16 ก.พ. 52 00:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อย่าหนีนะคุณเจไดหนุ่มสปาตันผมยังไม่จบเลย -*- จากคุณ : PUMPKINbig - [ 16 ก.พ. 52 01:00:46 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขาดตอนซะแล้ว   จะรออ่านต่อไหวมั้ยเนี๊ยะ   วันนี้ไม่ไหว รอพรุ่งนี้แล้วกัน  *-* จากคุณ : วนิลาหล่นใส่ชาเย็น - [ 16 ก.พ. 52 01:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ความคิดเห็นที่ 39 "นายเพมเบอร์ตันต้องปรับปรุงสูตรอีกครั้งโดยตัดแอลกอฮอลล์ทิ้งลดโคเคน..." ใช้โคเคนด้วยเหรอครับ??? จากคุณ : AniRathRiX - [ 16 ก.พ. 52 01:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จะโดนดองอีกมั้ยนี่. . . T_____T จากคุณ : ปีกแห่งรัก - [ 16 ก.พ. 52 02:41:04 ]

ความคิดเห็นที่ 60 #39 น่าจะเป็นปี 1886 มากกว่านะครับ จากคุณ : Lueng - [ 16 ก.พ. 52 03:20:07 ]

ความคิดเห็นที่ 61 มานั่งรอด้วยคนคะ จากคุณ : p-annipe - [ 16 ก.พ. 52 05:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ลงชื่อกะทู้ดี ๆ ด้วยครับ...... จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 16 ก.พ. 52 06:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 63 (มาต่อแล้วครับขอโษทีเมื่อวานกลับดึกก็เลยเพลียไปหน่อยเผลองีบแป๊ปเดียวเช้าซะแล้ว -_-"  เอาเป็นว่ายังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงผมจึงเลยจะมาลงข้อมูลให้เพื่อนๆเท่าที่สามารถจะทำได้ครับ) (ขอแก้ไขข้อมูลที่ผิดครับ) โดยในความคิดเห็นที่39ตรงช่วงย่อหน้าแรก "แล้วเรื่องบังเอิญที่จะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์วงการน้ำอัดลมของโลกก็บังเกิดแก่เขาในช่วงปี "1986" ความจริงแล้วข้อมูลที่ถูกต้องควรจะเป็นปี "1886" อย่างที่คุณ "Lueng"  ในความคิดเห็นที่60บอกครับ  เป็นเพราะความสะเพร่าของผมเองที่รีบพิมพ์ไปหน่อย -_-" จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 07:11:46 ]

ความคิดเห็นที่ 64 *****      เรื่องที่คุณ "หยดฟ้า" ในความคิดเห็น45สงสัยว่าโคคา-โคล่าในยุคแรกมีโคเคนผสมด้วยหรือ?คำตอบก็คือ "ใช่" ครับ  โคล่าในยุคแรกๆจะมีส่วนผสมของสารโคเคนในปริมาณเล็กน้อย  เพราะในสมัยนั้นโคล่าถูกชวนเชื่อว่าเป็นยาวิเศษที่ช่วยคืนความสดชื่นแลพลังกายแก่ผู้ดื่มอย่างรวดเร็ว  สาเหตุหนึ่งก็เพราะเจ้าสารเสพย์ติดโคเคนแลคาเฟอินที่ผสมอยู่ด้วยนี่เอง  จวบจนกระทั่งช่วงต้นคริสศตวรรษที่20เมื่อวงการแพทย์ต่างรับรู้ถึงความอันตรายจากโคเคนแลจัดให้มันเป็นสารเสพย์ติดที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง  บริษัทโคคา-โคล่าจึงต้องตัดโคเคนออกจากสูตรน้ำดำคงเหลือแต่ใบโคคาแลส่วนประกอบดั้งเดิมชนิดอื่นๆเท่านั้นครับ *ต่อกันที่เนื้อหาหลักครับ*      ความร่ำรวยดูเหมือนจะมาเยือนนายแพมเบอร์ตันอย่างรวดเร็วเพราะในห้วงเวลานี้เขาสามารถขายน้ำโคล่าจำนวนมากให้แก่ร้านขายยาต่างๆทั่วเมืองแอตแลนต้าที่ตนเองอาศัยอยู่  โคล่าแลเครื่องน้ำพุโซดาจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในภาพลักษณ์ของร้านขายยาที่ผู้คนทั่วไปคุ้นตากันแล้ว  แต่แล้วเค้าลางแห่งความวุ่นวายก็ตามมาเมื่อลิขสิทธิ์ในการผลิตโคล่าได้ถูกขายต่อไปให้นักธุรกิจจำนวนหลายต่อหลายคนเพราะเพมเบอร์ตั้นต้องการหาเงินมารักษาโรคมะเร็งที่ตนเองเป็นอยู่  จนลิขสิทธิ์นี้มาถึงมือของนาย "อาซา คันเลอด์"  ซึ่งซื้อมันมาด้วยเงิน2300ดอลลาร์จนกระทั่งนายเพมเบอร์ตันเสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคมปี1888  นายคันเลอด์จึงกลายเป็นผู้ผูกขาดการผลิตน้ำดำยี่ห้อโคคา-โคล่าแต่เพียงเจ้าเดียว      ซึ่งแม้คันเลอด์จะสามารถขายโคล่าได้มากแค่ไหนแต่เขาเองก็ยังเป็นแค่เภสัชกรครับเพื่อนๆ  ดังนั้นการวางจำหน่ายโคล่าของเขาจึงมีเพียงแค่การผลิตหัวเชื้อจากโรงงานแล้วส่งไปขายตามร้านยาต่างๆเพื่อเอาไปใส่ในเครื่องน้ำพุโซดาเอง  โดยธุรกิจโคล่านี้ได้แผ่ขยายแตกกระจายออกไปยังหลายๆมลรัฐทั่วอเมริกา  กระทั่งในปีค.ศ.1899ได้มีนักธุรกิจหัวเส2คนซึ่งกำลังจะกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีในอนาคตข้างหน้าก็คือ "นายเบนจามิน โทมัส" (เบนจามินอีกแล้ว-_-") กับ "นายโจเซฟ ไวต์เฮด" มาขอคันเลอด์ว่า  เราสองคนอยากจะเอาโคล่านี่ไปบรรจุขวดขายจะได้ไหม"  ซึ่งนับเป็นความผิดพลาดเมื่อคันเลอด์เองกลับมองการณ์ใกล้ๆไม่ต่างจากเจ้าของผู้บุกเบิก "ร้านอาหารแมคโดนัลด์" เลยตอบไปแบบลอยๆว่า "เอ็งอยากจะเอาไปบรรจุขวดบรรจุหม้อบรรจุปิ๊ปอะไรวางขายก็ช่างเถอะ  อั๊วไม่สนใจอยู่แล้วฮ่าๆๆ"  นั่นก็เพราะในตอนนั้นคันเลอด์เชื่อว่าต่อให้2คนนี้นี่ขายดียังไงแต่หัวเชื้อน้ำโคล่าที่ใช้ก็ต้องสั่งจากเขาเท่านั้น  ดังนั้น2นักธุรกิจหัวเสจึงสามารถนำโคล่ามาใส่ขวดขายในชื่อ "โคคา-โคล่า" ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์อะไรให้คันเลอด์เลยซักแดงเดียว -_-" (รูปขวดโคคา-โคล่าในยุคแรกๆที่มีการออกวางจำหน่ายครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 07:44:34 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เรื่องราวในธุรกิจโคล่ากำลังเข้มข้นทีเดียว  แต่เมื่อเหลียวมองนาฬิกาก็พบว่าเวลาของเจไดหนุ่มในช่วงเช้าหมดแล้วครับ-_-"  ไว้เย็นนี้ผมจะกลับมาต่อเรื่องราวที่น่าสนใจให้อีกครับ (ปิดท้ายด้วยรูป "ใบโคคาสด" ครับเผื่อเพื่อนๆท่านใดไม่เคยเห็น) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 07:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 66 (รูปทหารโคลัมเบียกับ "ต้นโคคา" ในระหว่างปฏิบัติการการตรวค้นแลทำลายแหล่งปลูกโคคาเพื่อใช้ในการการผลิตสารเสพย์ติดครับ) **น้ำอัดลมโคคา-โคล่าเองก็มีส่วนผสมซึ่งผลิตมาจากเจ้าโคคาตัวนี้แหละครับ  ดังนั้นใครที่ชอบดื่มโคล่ามากๆก็น่าจะรู้ข้อมูลตรงส่วนนี้ไว้บ้างนะครับ** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 07:56:31 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ตามติด...... จากคุณ : หัวโต๊ะโต่ะ~ - [ 16 ก.พ. 52 08:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ตามมาอ่านครับ จากคุณ : G_AOD - [ 16 ก.พ. 52 09:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ค้าง.... ทุกครั้งที่ดื่มโคล่า=เสพโคเคนด้วยซิเนี่ย -*- จากคุณ : ณปัณณ์ - [ 16 ก.พ. 52 09:34:01 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ลงชื่อ ๆ (3รอบแล่ว - -) จากคุณ : PUMPKINbig - [ 16 ก.พ. 52 09:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 71 มาติดตามอ่านด้วยคน จากคุณ : SkullHeart - [ 16 ก.พ. 52 09:39:43 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จบโคล่า อย่าลืมต่อเป๊บซี่นะครับ จากคุณ : น้องหยิก (hotnuy) - [ 16 ก.พ. 52 09:40:24 ]

ความคิดเห็นที่ 73 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7529999/X7529999.html พี่เจไดครับ ศิษย์น้องพาราวันของฝากตัว... ช่วยไปตอบกระทู้ผมหน่อย จากคุณ : atthaphong - [ 16 ก.พ. 52 10:11:13 ]

ความคิดเห็นที่ 74 แปรดดดดดดดดดด จากคุณ : บะหมี่^^ผีแดง - [ 16 ก.พ. 52 10:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ลงชื่อว่าอ่านถึงนี่ จากคุณ : quartzite - [ 16 ก.พ. 52 11:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ไปถึงกระทิงแดงโคล่าด้วยหรือเปล่าครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 16 ก.พ. 52 11:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 77 นั่งรอกำลังมันส์เรย จากคุณ : Tears - [ 16 ก.พ. 52 12:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 78 แล้วเป๊ปซี่ มีส่วนผสมต่างจากโคล่าหรือเปล่าคะ? ทำไมรู้สึกว่าเป๊ปซี่จะซ่ากว่า หวานน้อยกว่า(หลอนไปเอง??) จากคุณ : ShongkoryO - [ 16 ก.พ. 52 12:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ปูเสื่อรอครับ จากคุณ : bank09 - [ 16 ก.พ. 52 12:27:23 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ลงเสาเอกรอ จากคุณ : Valkyrie Randgris - [ 16 ก.พ. 52 12:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 81 มารออ่านครับผม จากคุณ : AODAOD29 - [ 16 ก.พ. 52 12:46:23 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คงไม่หายไปอีกนะ (อย่าทำให้อยากแล้วก็จากไปนะ) จากคุณ : sassathx - [ 16 ก.พ. 52 13:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เคยไปเที่ยวโรงงานโค้ก วิศวะควบคุมโรงงงานหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็ไม่รู้ สูตรโค้กที่ว่านี้ ถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสุโค่ย ในประเทศไทยอาจจะมีคนรู้ สูตรอยู่ไม่กี่คน ปล.ภาพกระป๋องโค้กไทยในตำนาน  ค้นหามาหลายปีไม่ เคยเจอใบเป็นๆสักที จากคุณ : DEDETE - [ 16 ก.พ. 52 13:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 84 รูปไม่ติด -*- จากคุณ : DEDETE - [ 16 ก.พ. 52 13:35:21 ]

ความคิดเห็นที่ 85 --- รอต่อไป ^o^ จากคุณ : myth - [ 16 ก.พ. 52 15:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 86 (ตั้งหน้าตั้งตารอ ทำตาปริบๆ) จากคุณ : สมบัติดี - [ 16 ก.พ. 52 15:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 87 สวัสดีครับคุณเจไดหนุ่ม หายไปนานเลยนะครับ :) จากคุณ : welcome back .. (silence.screamer) - [ 16 ก.พ. 52 16:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามา จะรออ่านว่า กำเนิด pepsi มันมายังไงตอนไหน เกิดคิดสูตรได้เอง หรือขโมยโคคาโคล่ามาได้ คิดๆ แล้วท่าทางจะมันส์พิลึก จากคุณ : ดุก (ดุก) - [ 16 ก.พ. 52 16:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 89 แล้วเป๊ปซี่กับโค้กนี่สูตรในการทำเหมือนกันหรือเปล่าครับ หรือแตก ต่างกันในกรรมวิธีการผลิต จากคุณ : หมาอมฮอลล์ - [ 16 ก.พ. 52 16:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ขอขอบคุณท่านเจไดหนุ่ม จากคุณ : nakai_dam-maker - [ 16 ก.พ. 52 17:04:56 ]

ความคิดเห็นที่ 91 The kola nut (cola nut) is the edible seed of several species of tropical trees of the Cola genus native to Africa (especially Cola acuminata and Cola nitada). They are cultivated today in both Africa and the American tropics, where they are chewed to retard fatigue and hunger. Kola nuts have a bitter initial taste, then sweet, and also sweeten any food or drink taken immediately afterward. Kola nuts contain caffeine and theobromine, and are famous for their use in 'Cola' soft drinks. จากคุณ : ไม่เกี่ยวกะโคเคน - [ 16 ก.พ. 52 17:56:05 A:118.174.160.120 X: TicketID:201770 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ("เจไดหนุ่ม" กลับมาแล้วครับเพื่อนๆวันนี้เหนื่อยจริงๆ  แถมอากาศก็ร้อนตับแล่บ-_-"  เอาเป็นว่าเรามาเติมความสดชื่นกันด้วยเรื่องราวของน้ำอัดลมโคล่าเย็นเจี๊ยบชื่นใจกันต่อเลยนะครับ  แต่ก่อนจะเริ่มเรื่องผมขอตอบข้อสงสัยของเพื่อนๆบางท่านก่อนครับ) **ตอบคุณความคิดเห็นที่69และเพื่อนๆที่มีคำถามคล้ายกัน**      ทุกวันนี้โคล่าไม่มีส่วนผสมของโคเคนแล้วครับเพราะอย่างที่ผมกล่าวไปมันได้ถูกตัดออกไปจากส่วนผสมเมื่อช่วงต้นคริสตศตวรรษที่20  โดยเรื่องส่วนผสมของโคคาโล่นั้นผมต้องขอบอกอีกครั้งครับว่ามันเป็นสูตรโคตรลับมากๆๆๆๆๆๆๆๆ~~~(ลากเสียงยาว)  ซึ่งส่วนผสมในการทำหัวเชื้อน้ำเชื่อมของทั้งโค้กแลเป๊ปซี่นั้นจะผลิตกันที่อเมริกาครับ  ก่อนจะจัดส่งหัวเชื้อนั้นไปยังแหล่งจำหน่ายต่างๆทั่วโลก  ซึ่งที่เมืองไทยนั้น "เจไดหนุ่ม" ไม่ทราบนะครับว่าผู้บริหารบ้านเราจะรู้สูตรรึเปล่า  เพราะขั้นตอนการทำโคล่าในบ้านเราก็ล้วนต้องสั่งหัวเชื้อมาจากประเทศแม่อย่างเดียวครับ        แต่ในอเมริกานั้นคนที่จะรู้ส่วนผสมได้ต้องเป็นผู้บริหารระดับบิ๊กที่สุดของบริษัทเท่านั้น  ซึ่งผู้บริหารนี้จะต้องมีการลงนามในเอกสารครับว่าจะไม่เอาสูตรลับดังกล่าวไปเผยแพร่เด็ดขาดต่อให้ออกจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม  นั่นจึงทำให้เราไม่เคยเห็นข่าวว่ามีผู้บริหารเอาสูตรลับมาเผยแพร่นอกเสียจากคนงานในบริษัทที่พยายามลักลอบเอาวัตถุดิบไปขายแก่บริษัทคู่แข่งเท่านั้น  แลเรื่องพิลึกอีกอย่างก็คือวิธีการผลิตครับเนื่องจากมันเป็นสูตรที่โคตรลึกลับมาก        ดังนั้นแม้แต่พนักงานในโรงงานก็จะไม่รู้ครับว่าส่วนผสมที่ตนเองใส่เข้าไปนั้นคืออะไรบ้าง  เพราะทางบริษัทจะใช้วิธีกำหนดหมายเลขขึ้นมาเรียกแทนชื่อวัตถุดิบต่างๆซึ่งชื่อของส่วนผสมพวกนี้เขาจะเรียกกันว่า "7X" ครับ  ทำให้ไม่ว่าเวลาจัดซื้อหรือปรุงส่วนผสมเขาก็จะเรียกวัตถุดิบเหล่านั้นเป็นหมายเลขนั่นเองครับ  ซึ่งวิธีดังกล่าวนี้ทั้งโคล่าของบริษัทคู่แข่ง ไก่ทอดลุงผู้พัน แลเบอร์เกอร์ตัวตลกก็จะใช้วิธีคล้ายๆกันหมดครับ  คือคนที่รู้สูตรจริงๆจะมีอยู่ไม่กี่คนเพื่อกันความลับในเรื่องรสชาติรั่วไหลนั่นเอง      และขอบอกเพื่อนๆอีกอย่างครับว่าการที่ "เจไดหนุ่ม" มาเน้นเล่าในเรื่องโคล่าของบริษัทโคคาโคล่า(โค้ก)นั้นก็เพราะ "โค้ก" เป็นผู้นำวัฒนธรรมการดื่มโคล่าไปเผยเพร่ยังทั่วโลกครับ  ส่วน "เป๊ปซี่" นั้นแม้จะกำเนิดมาในเวลาใกล้เคียงกันแต่ก็ต้องอาศัยผลประโยชน์จากการที่ "โค้ก" ไปตีตลาดจนคนทั่วโลกรู้จักโล่แล้วจึงค่อยเข้าไปขายแข่งกับโค้กอีกทีครับ  ซึ่งนี่เป็นเรื่องจริงที่บริษัทเป๊ปซี่น่าจะยอมรับตรงจุดนี้  ยิ่งช่วงสงครามโลกครั้งที่2นั้นเวลาทหารจี.ไอ.มะริกันไปรบที่ไหนไหนโค้กก็จะต้องตามไปด้วย  โดยเรื่องราวตรงจุดนี้ผมจะกล่าวถึงต่อไปครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 18:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อันนี้คือเนื้อหาข่าวที่ผมไปเจอในเว็บครับ  เป็นเรื่องของพนักงานในบริษัท "โค้ก" ที่อเมริกาพยายามขโมยวัตถุดิบไปให้เป๊ปซี่แต่ถูกจับได้ก่อน  (เป๊ปซี่เองก็ซื่อสัตย์ดีครับที่ไม่ยอมรับสูตรพวกนั้น) Joya Williams a former Coca-Cola secretary was sentenced to eight years in federal prison after being convicted for conspiring to steal trade secrets from Coca Cola, the world’s largest beverage maker. Joya Williams, 42, was involved in a failed scheme to sell the materials to rival Pepsi for at least $1.5 million dollars. She was convicted on February 2 following a jury trial in U.S. District Court in Atlanta, where Coca-Cola Co. is based. A co-defendant, Ibrahim Dimson, was sentenced to five years in prison. The secret was offered to Pepsi in May 2006 when a letter appeared at Pepsi’s New York headquarters offering to sell the trade secret. Instead of exploiting this unique opportunity to get their hands on the world’s most famous trade secret, Pepsi officials immediately notified Coke of the offer. Coca Cola executives contacted the FBI and a sting operation was initiated. “We were just doing whatever any responsible company would do,”Pepsi spokesman Dave DeCecco said. Had Pepsi accepted information about Coke’s products, it would have risked discovery. Furthermore, it would have told the consumer that Pepsi needs Coke’s formula. Investigators linked Ms. Williams to the offer through images from a security camera and she, Edmund Duhaney and Ibrahim Dimsonwas were arrested Wand charged with fraud and stealing and selling trade secrets. (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 18:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 94 โหวตนะ จากคุณ : Natthanuch1 - [ 16 ก.พ. 52 18:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 95 รออ่าน  ค่ะ รอ ร๊อ รอ ต่อปาย~ จากคุณ : วนิลาหล่นใส่ชาเย็น - [ 16 ก.พ. 52 19:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 96 มาลงชื่อว่าอ่านถึงตรงนี้แล้ว จากคุณ : =TURN ON= - [ 16 ก.พ. 52 19:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เอารูปขวด coke มาให้ดูกันหลาย version จากคุณ : Pigusto - [ 16 ก.พ. 52 19:40:55 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ลืมรูป... จากคุณ : Pigusto - [ 16 ก.พ. 52 19:41:24 ]

ความคิดเห็นที่ 99 โอ้ ยังไม่จบเลย รออ่านต่อครับ จากคุณ : bigwores - [ 16 ก.พ. 52 19:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 100 สูตรพวกนี้ คล้ายๆกับกรณีบุหรี่อ่ะครับ บุหรี่นี่ ถ้าให้เล่าตำนานก็ยาวนะครับ บริษัทผลิตไม่ยอมเผยซะทีว่าใส่สารร้ายแรงอะไรไปบ้าง สุดท้าย(ในปีไหนผมจำไม่ได้) ก็ต้องออกมายอมรับว่าบุหรี่ที่พี่ๆท่านผลิต ทำให้ก่อเกิดมะเร็งได้ <<< เนื่องจากสารผสมของพี่แกนั่นเอง ประวัติสงครามบุหรี่กับสาธารณสุขไทยนี่ก็ยาวครับ ^^ จากคุณ : หยดฟ้า - [ 16 ก.พ. 52 20:05:24 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ไปเซเว่นดีกว่า จากคุณ : apadechi - [ 16 ก.พ. 52 20:29:59 ]

ความคิดเห็นที่ 102 #64 ขวดรุ่นนี้ใช้ลูกแก้วเป็นจุกปิดหรือเปล่าครับใครช่วยยืนยันทีครับ เพราะเคยได้ยินผู้ใหญ่ยุคโน้นพูดถึงแต่นึกภาพไม่ออก เขาว่าเวลาจะเปิดขวดให้กดลูกแก้วตกลงไปในขวดเลย จากคุณ : คุณตุ่น - [ 16 ก.พ. 52 20:34:57 ]

ความคิดเห็นที่ 103 **ตอบคุณความคิดเห็นที่102** ไม่ใช่ครับ!  โดยขวดที่ใช้ลูกแก้วนั่นคนไทยสมัยก่อนเขาจะเรียกว่า "น้ำมะเหน็ด" ครับ(เพี้ยนมาจากชื่อน้ำคือ "Lemonade")  โดยมันจะเป็นน้ำอัดลมรสมะนาวซึ่งเวลาดื่มจะต้องกระแทกตัวลูกแก้วกลมๆลงไปในร่องของขวดก่อน  ซึ่งลูกแก้วนี้มีไว้เพื่อกันก๊าซที่อัดไว้ในด้านในเล็ดรอดออกมาจนน้ำในขวดเสียรสชาติไปครับ (รูปขวดชนิดนี้ซึ่งภาษาอังกฤษจะเรียกว่า "Codd Bottle" โดยมาจากชื่อของคนที่คินค้นก็คือนาย "Hiram Codd" นั่นเองครับ  ถ้าเพื่อนๆท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมลองเอาคำสองคำนี้ไปค้นในอากู๋ดูจะเจอข้อมูลเพียบเลยครับ^_^) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 20:52:31 จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 20:51:26 ]

ความคิดเห็นที่ 104 โดยวิธีบรรจุขวดแบบนี้ค่อนข้างวุ่นวายครับเพื่อนๆเพราะมันต้องอาศัยหลักการของแรงดันอากาศเวลาใส่น้ำเข้าไปเพื่อให้ลูกแก้วสามารถล็อคติดกับยางที่ขอควดได้(เหมือนในภาพ)  พอเวลาเราจะกินก็เปิดฝาแล้วเอานิ้วกระแทกลูกแก้วลงไปซึ่งมันจะมีร่องซึ่งทางผู้ผลิตเขาทำเอาไว้กันลูกแก้วไหลย้อนมาปิดทางออกของน้ำครับ  แต่ด้วยขั้นตอนอันวุ่นวายบวกกับการที่กรรมวิธีในการผนึกขวดน้ำอัดลมได้ถูกพัฒนาไปมากแล้ว  ปัจจุบันน้ำอัดลมที่บรรจุขวดแบบนี้จึงมีเหลืออยู่น้อยเต็มทนแล้วครับ (อันนี้เป็นรูปขวดที่ยังมีขายกันในปัจจุบันครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 21:01:52 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ... เข้ามารอชมต่อ จากคุณ : หมาอมฮอลล์ - [ 16 ก.พ. 52 21:06:06 ] ... เข้ามาดู กระทู้พังซะแล้ว แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 21:18:02 จากคุณ : Mr. Fusion - [ 16 ก.พ. 52 21:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 21:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 108 อ้าว...กระทู้พังซะแล้ว จากคุณ : อาแปะชาเขียว - [ 16 ก.พ. 52 21:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 109 อืม......... จากคุณ : บ้านอยู่ kokat (บ้านอยู่ korat) - [ 16 ก.พ. 52 21:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 110 คุณ ฟิว ทำกระทู้พัง จากคุณ : Nibiru - [ 16 ก.พ. 52 21:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ... #107 มันคือการทำ Fusion ครับ จากคุณ : Mr. Fusion - [ 16 ก.พ. 52 21:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 112 โอ้ววว!! ไม่นะจอร์จ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 21:37:01 จากคุณ : หมาอมฮอลล์ - [ 16 ก.พ. 52 21:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ชะ จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 16 ก.พ. 52 21:47:21 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ***** (สงสัยกระทู้นี้จะมีปัญหาอะไรบางอย่างซะแล้วครับ  เอาเป็นว่าผมจะโพสไปเรื่อยๆก่อนครับ  โดยถ้าช่วงไหนที่โพสแล้วมีปัญหาจนกู่ไม่กลับ "เจไดหนุ่ม" ก็ต้องขอตัวไปต่อเรื่องราวในกระทู้ใหม่นะครับ)      รู้สึกเราจะค้างกันถึงตอนที่สองนักธุรกิจหัวใสได้ลิขสิทธิ์โคคา-โคล่ามาฟรีๆใช่มั๊ยครับ  โดยเรื่องราวคร่าวๆต่อจากนั้นคือสองคนนี้ก็ได้ผลิตโคล่าบรรจุขวดขายจนโด่งดังแลทำกำไรเข้ากระเป๋าบานเบอะแล้วก็เกิดปิ๊งไอเดียคือ  เอาลิขสิทธิ์โคคา-โคล่าไปขายต่อครับกล่าวคือคนที่ซื้อลิขสิทธิ์นี้ไปจะสามารถเอาหัวน้ำเชื่อมไปบรรจุขายลงขวดในชื่อโคคา-โคล่าได้เช่นกัน  แต่สิ่งที่สองคนนี้ประสบความสำเร็จมากกว่านายคันเลอด์ก็คือเขาตั้งราคาของค่าลิขสิทธิ์นี้ไว้สูงมากครับ(แต่ตัวเองได้มาฟรีๆ -_-")  แลด้วยวิธีการเช่นนี้นั่นเองโคล่าบรรจุขวดจึงได้ถูกผลิตแลวางขายออกไปในวงกว้างทั่วอเมริกาครับ      จวบจนกระทั่งต้นยุคศตวรรษที่20ได้นำเนินผ่านไปบริษัทโคคาโคล่าก็ได้กระหน่ำโฆษณาแลปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโคล่าให้กลายเป็นเครื่องดื่มของทุกผู้คนในครอบครัว  ในอเมริกาตอนนั้นจึงสามารถหาซื้อโคล่าได้มากมายอีกทั้งยังมีผู้ผลิตรายอื่นต่างพากันคิดค้นน้ำโคล่าในสูตรต่างๆออกมาวางขายจนเกร่อ  แลเมื่อยุค30ดำเนินมาถึงยักษ์ใหญ่แห่งวงการโคล่าที่เหลือรอดอยู่จากพิษเศรษฐกิจตกต่ำจนมายืนอยู่ในแถวหน้าได้ก็คือ "โค้ก" แล "เป็ปซี่" นั่นเองครับ  (เป๊ปซี่เองก็ตุปัดตุเป๋มานานครับจนมีผู้ถือหุ้นรายใหม่จึงเริ่มโอเคขึ้นในสมัยนี้)      แลในยุคนี้นี่เองที่โคล่ากำลังจะกลายเป็นเครื่องดื่มที่นิยมไปทั่วโลก  เมื่อจอมเผด็จการ "ฮิตเลอร์" แห่งเยอรมันได้สั่งกรีฑาทัพทหารนาซีอันเกรียงไกรเข้าเหยียบย่ำแลยึดครองแผ่นดินโปแลนด์ใน "เดือนกันยายนปีค.ศ.1939"  สงครามโลกครั้งที่2จึงอุบัติขึ้นพร้อมๆกับการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรในยุโรปเริ่มเพลี่ยงพล้ำให้กับกองทัพนาซีอันเข้มแข็ง  จนกระทั่งอเมริกาต้องมาทบทวนถึงบทบาทของตนในเวทีโลกใหม่ครับ (รูปจำลองของตู้ขายโคล่าบรรจุขวด  ในอเมริกาช่วงทศวรรษที่1930ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 21:52:11 จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 21:48:59 ]

ความคิดเห็นที่ 115 อ่าว...โพสต์ต่อได้แล้วเหรอ แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 52 18:57:07 จากคุณ : คุณตุ่น - [ 16 ก.พ. 52 21:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 116 คุณเจไดหนุ่มครับ โคล่า นี่ ตั้งชื่อต่อท้ายเฉยๆ หรือว่าี่เป็นหนึ่งในชื่อส่วนประกอบ รบกวนด้วยนะครับ จากคุณ : ปัจเอนก เจกชน - [ 16 ก.พ. 52 22:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 117 *****      ช่วงต้นๆของสงครามนั้นชาวมะริกันชนคนเสรียังยึดติดอยู่กับหลักการไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของประเทศในยุโรปครับ  จึงทำเพียงแค่จัดส่งทหารอาสาจำนวนหนึ่งกับเครื่องอุปโภคบริโภคแลยุทธภัณท์ไปช่วยเกาะอังกฤษซึ่งกำลังถูกล้อมกรอบอยู่อย่างเดียวดาย  เพราะในห้วงเวลานั้นฝรั่งเศสแดนน้ำหอมก็โดนทัพนาซีใช้ "ยุทธวิธีสายฟ้าแลบ"(Blizkerg) เข้าใส่จนแตกกระเจิงโดนยึดครองอย่างรวดเร็วในปีค.ศ.1940แล้วครับ        ส่วนพวกมะกะโรนีอิตาลีก็ดันมาตลบหลังเข้าร่วมกับฝ่ายนาซีอีก  แถมเฮียหนวดสตาร์ลินแห่งโซเวียตที่แม้พึ่งจะส่งยอดนายพล "ซูคอฟ" กับกองทหารดาวแดงไปตีกองทัพญึ่ปุ่นในแมนจูเรียจนกระเจิงมาหมาดๆ  แต่ก็ยังดันมาเซ็นสัญญาไม่รุกรานกันกับเยอรมันซะนี่  ตอนนี้ชาวผู้ดีตีนแดงในยุโรปจึงถูกล้อมกรอบอย่างเดียวดาย  หันไปทางไหนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้ตายเท่านั้นครับ      แต่ก็เหมือนฟ้าช่วยเมื่ออีกฟากหนึ่งของโลกกองทัพญี่ปุ่นในแปซิฟิคดันไปโจมตีฐานทัพเรือของมะริกันที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์เข้าในปี1941  จนยักษ์หลับอย่างอเมริกาได้กระโดดเข้าสู่สนามรบครั้งนี้อย่างเต็มตัว  อาวุธยุทธภัณท์ในการรบแลกองทหารจำนวนนับสิบล้านนายได้ถูกจัดสร้างแลฝึกฝนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทหารจำนวนมากนี่แหละครับที่จะกลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของบริษัทโคคา-โคล่าแลช่วยปูพรมให้โคล่าเป็นที่นิยมไปในต่างแดนนั่นเองครับ (รูปโปสเตอร์ของโคคา-โคล่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่2  ที่มักใช้ทหารมะริกันมาเป็นตัวชูโรง) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 16 ก.พ. 52 22:25:41 ]

ความคิดเห็นที่ 118 สมกับเป็น Mr.Fusion จากคุณ : ERWA - [ 16 ก.พ. 52 22:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 119 อยากรู้ว่าเวลาส่ง อย. มันไม่ต้องเปิดเผยส่วนผสมหรือครับ หรือมันไม่มีอย. หรือ มันเส้นใหญ่พิเศษ?? แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 22:33:59 จากคุณ : Tamจัง - [ 16 ก.พ. 52 22:33:42 ]

ความคิดเห็นที่ 120 กรำ กระทู้ด๋อย ซะงั้น - -* จากคุณ : vn, man - [ 16 ก.พ. 52 22:56:02 ]

ความคิดเห็นที่ 121 แหง่ววววววววว รับผิดชอบเลยยยยยยย   ใึีครทำ จากคุณ : pipek (yukraider) - [ 16 ก.พ. 52 23:02:37 ]

ความคิดเห็นที่ 122 Test จากคุณ : Humble - [ 16 ก.พ. 52 23:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 123 โหล ๆ ทดสอบ ๆ จากคุณ : bank09 - [ 17 ก.พ. 52 00:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ยังไงละนี่ อ่านต่อที่ไหนล่ะ กะลังหนุกเลย อยากดูรูปขวดเยอะๆอ่ะ คุณเจได จากคุณ : HeLL_Is_HeRe - [ 17 ก.พ. 52 10:14:22 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ลองโพสซิ จากคุณ : i.everyday - [ 17 ก.พ. 52 13:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 126 โหล ๆ เทส ๆ (รอบ 4 อิ อิ) จากคุณ : PUMPKINbig - [ 17 ก.พ. 52 13:21:32 ]

ความคิดเห็นที่ 127 กระทู้ด๋อยแล้ว ปะเนี่ีย... จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ - [ 17 ก.พ. 52 13:50:54 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เข้ามารอฟังประวัติเครื่องดื่มคลาสสิคนี้อีกคนค่ะ จากคุณ : โค้กใส่น้ำแข็ง - [ 17 ก.พ. 52 18:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 129 -*- จากคุณ : ฟินจัง - [ 17 ก.พ. 52 21:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 130 00" rowspan จากคุณ : nick (nickkunta) - [ 18 ก.พ. 52 01:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 131 00" rowspan="2" valign="top"> มัยขึ้นงี้ก่อนโพสอะ - - ข้างบนที่โพสเนี่ย - - แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 01:34:51 จากคุณ : nickkunta - [ 18 ก.พ. 52 01:33:55 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ชอบครับ โหวตไปเลยครับ ^^ จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี - [ 18 ก.พ. 52 03:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ***** (ขอโทษทีครับ!เมื่อคืนเจอโรคหวัดมาเยือนจนงอมพระรามเลย  เช้านี้เจไดหนุ่มขอต่อเรื่องราวกันอีกซักหน่อยนะครับ  แล้วเย็นๆนี้ผมจะมาบรรเลงต่อให้จบซะที)      จาการที่อเมริกาเข้าร่วมสงครามทำให้บริษัทโคคา-โคล่าพลอยได้อนิสงค์ไปด้วย  ก็เพราะการที่เหล่าทหารในกองทัพนั้นนิยมดื่มโคล่ามากเนื่องจากมันเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานคืนความสดชื่นแลที่สำคัญคือมันสะอาดแลรสชาติดีกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่นซึ่งทางกองทัพแจกจ่ายให้บรรดาทหาร  เพราะไม่ว่าจะเป็นกาแฟหรือน้ำผลไม้ชนิดซองนั้นทหารหลายต่อหลายคนต่างก็ลงความเห็นว่ามีรสชาติสุดแสนเกินจะบรรยาย-_-"  แลเมื่อโคล่าได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจึงทำให้ทางบริษัทโคคา-โคล่าต้องเร่งสร้างโรงงานผลิตแลบรรจุขวดขึ้นในฐานทัพตามดินแดนต่างๆซึ่งพวกทหารจี.ไอ.ไปรบครับ        กระทั่งทางกองทัพถึงกับต้องเข้ามาควบคุมการบรรจุโคล่าด้วยตนเองเพราะมันก็เปรียบสเมือนกับยุทธภัณท์อย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อเหล่าทหารหาญไปเสียแล้ว  โดยในห้วงเวลานี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่โคล่าได้สร้างชื่อให้ตนเองเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกพร้อมๆกับกับการรุกคืบของทหารมะริกัน  ที่ไหนมีทหารจี.ไอ.ที่นั่นต้องมีโคล่าให้เห็นอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิทะเลทรายในแอฟริกาเหนือ  การรุกคืบในคาบสมุทรอิตาลี  ยุทธภูมิวันดี-เดย์ที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นฝั่งที่นอร์มังดี  กระทั่งสงครามกับพี่ยุ่นบริเวณหมู่เกาะในแปซิฟิค  โคคา-โคล่านับร้อยนับพันล้านขวดก็ยังถูกส่งไปขายแก่บรรดาทหารจี.ไอ.ผู้กล้าให้ได้ลิ้มลองรสชาติของมัน  (แม้ว่าบางที่โคล่าจะหาได้ยากจนมีราคาแพงกว่าปรกติก็ตาม) (รูปนายทหารมะริกันที่โกดังของบริษัทโคคา-โคล่าในอเมริกา  ซึ่งยุคนี้ทางกองทัพได้เข้ามาควบคุมการผลิตแลบรรจุขวดแทนเอกชนชั่วคราว) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 07:39:06 จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 18 ก.พ. 52 07:35:26 ]

ความคิดเห็นที่ 134 *****      แม้สงครามจะดำเนินไปอย่างดุเดือดโคค่า-โคล่าจำนวนมากก็ยังถูกผลิตเพื่อป้อนเข้าสู่กองทัพอย่างเต็มที่  แลเมื่อกองทัพมะริกันสามารถเข้าควบคุมแลปลดปล่อยฝรั่งเศสรวมถึงประเทศในแถบที่ราบต่ำได้  เวลานี้ชาวยุโรปจำนวนมากต่างก็ได้ลิ้มรสของเครื่องดื่มอันสุดแสนจะวิเศษ  นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่โคคา-โคล่าได้เข้าไปทำตลาดในประเทศแถวยุโรปจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในเวลาต่อมา      กระทั่งเยอรมันแลญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในปี1945  ทหารจี.ไอ.จำนวนมากได้พกพาชัยชนะกลับสู่แผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง  แต่ทว่าจาการที่อเมริกาได้ทิ้งกองกำลังทหารไว้เพื่อควบคุมดูแลกรุงเบอร์ลินแลยุโรป  นั่นจึงทำให้สายการผลิตแลจัดส่งโคล่าในยุโรปไม่ได้ขาดตอนไปด้วย  จนนำไปสู่การตั้งโรงงานแลวางขายโคคาโล่กันอย่างจริงจังนั่นเองครับ  แต่ทว่าเมื่อสงครามเย็นระหว่างอเมริกาแลโซเวียตเริ่มระอุโคล่าก็เริ่มถูกแบนในประเทศคอมมิวนิสต์  เพราะชาวค้อนเคียวจะถือกันว่า "โคล่า" เป็นสินค้าตัวแทนของพวกทุนนิยมอเมริกันครับ  ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทางบริษัทโคคา-โคล่ากำลังเตรียมจะผลิตโคล่าไร้สีซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนเหล้าว๊อดก้าของชาวรัสเซียไปส่งขายอยู่ทีเดียวเชียว  แต่เพราะความขัดแย้งดังกล่าวโครงการนี้จึงต้องล้มเลิกไปอย่างน่าเสียดาย (รูปอันโด่งดังที่ประธานาธิบดี "นิกิตา ครุสชอฟ" แห่งโซเวียตกับ รองประธานาธิบดี "ริชาร์ด นิกสัน" กำลังดื่มโคล่ายี่ห้อ "เป๊ปซี่" ที่ซุ้มในงานมหกรรมสินค้ากลางกรุงมอสโคเมื่อปี1959ครับ) ปล. ขอพักเท่านี้ก่อน!เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะมาเล่าเรื่อวราวของโคล่าต่อครับ ^_^ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 18 ก.พ. 52 08:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 135 รออ่านอยู่ครับ .. จากคุณ : s m l xl - [ 18 ก.พ. 52 09:06:19 ]

ความคิดเห็นที่ 136 มาตามอ่าน จากคุณ : sassathx - [ 18 ก.พ. 52 10:11:50 ]

ความคิดเห็นที่ 137 คห. 84  มีกระป๋องเป็นๆอยู่ที่บ้านเจ้าค่ะ ... ซื้อมาจากริมคลองอัมพวา    น้ำแดงกะน้ำส้มก็มี กระป๋องละสิบบาทจ้ะ  ตอนนี้ก็ยังมีขาย จากคุณ : cottonfactory - [ 18 ก.พ. 52 11:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ก็ยังรออ่านอยู่นะคะ ว่าแล้วโฉบไปกิน "โค้ก" หน่อยดีกว่า จากคุณ : นู๋ขี้สงสัย - [ 18 ก.พ. 52 15:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 139 แจ่ม จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 18 ก.พ. 52 19:36:39 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ปล. "โซดา" มาจากคำว่า "โซเดียมคาร์บอเนต" ซึ่งเป็นก๊าซที่ผสมอยู่ในน้ำอัดลมจำพวกนี้ครับ >>> ก๊าซที่ผสมเป็น คาร์บอนไดออกไชด์ ส่วนโซเดียมคาร์บอเนตเป็นของแข็งเมื่อมาละลายน้ำจะเกิดฟองของก๊าซดังกล่าว จากคุณ : RadoN - [ 19 ก.พ. 52 02:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 141 *****(มาต่อกันครับเพราะใกล้จบแล้ว)***** (ขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิก"ความคิดเห็นที่140"  ที่เข้ามาช่วยแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องเรื่อง "สารโซเดียมคาร์บอเนต" ครับ)      เมื่อเวลาดำเนินผ่านไปพร้อมๆกับที่สงครามเย็นเริ่มครุกกรุ่น  บัดนี้ดูจะเป็นที่แน่นอนเสียแล้วว่าโคล่าของบริษัทโคคา-โคล่าแลคู่แข่งกำลังเสียสิทธิ์ในการจะผันตัวเองเข้าไปเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของชาวค้อนเคียว  เพราะเนื่องมาจากคำสั่งห้ามของบรรดาสหายท่านผู้นำที่ทำให้ภาพของโคล่ามะริกันกลายเป็นสิ่งต้องห้าม  โดยในดินแดนโซเวียตสมัยนั้นการจะหาซื้อโคคา-โคล่าซักขวดดูจะเป็นเรื่องที่ยากแลวุ่นวายมากกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกครับ  เนื่องจากโคล่าจำนวนน้อยนิดนั้นล้วนมีขายอยู่ในร้านค้าซึ่งจำหน่ายสินค้าของฝั่งประเทศโลกเสรี  แถมไม่ต้องมาพูดเรื่องราคาเนื่องจากสินค้าแต่ละตัวในร้านจำพวกนี้ล้วนแพงระยับจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเอื้อม  จะมีก็เพียงสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์แลผู้มีเงินถุงเงินถังเท่านั้นที่มีสิทธิ์ซื้อสินค้าดังกล่าวมาใช้  ซึ่งข้อห้ามแลความแตกต่างทางสังคมที่มากมายนี้เองที่ทำให้อาณาจักรโซเวียตต้องล้มครืนลงในกาลเวลาต่อมา      แม้ว่าชาวคอมมิวนิสต์พากันแบนโคล่าของฝั่งอเมริกาแต่มีรึว่าโคล่าจะหยุดการเติบโตไปด้วยเพราะ  "ในเมื่อขายที่นี่ไม่ได้ก็ไปขายมันที่อื่นซะสิ"  โคล่าจึงได้แพร่กระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆในประเทศโลกเสรีทั้งเอเซียตะวันออก แอฟริกา อเมริกาใต้  ตะวันออกกลางจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่ต้องการแสวงหาความสดชื่นในราคาถูก  ส่วนในประเทศไทยเองนั้นโคล่าเจ้าแรกๆที่มีการนำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการก็คือ "โค้ก"  ซึ่งมาถึงประมาณปีพ.ศ.2492พร้อมๆกับพวกทหารจี.ไอ.อเมริกาที่เข้ามาตั้งฐานทัพในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเองครับ  (ประมาณ60ปีมาแล้วซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงก่อนสงครามเกาหลีนิดเดียวครับ) (รูปใบโฆษณาของโคคา-โคล่าในประเทศไทยยุคแรกๆครับ) *เครดิตลิงค์ของรูปภาพใบปิดโค้กในประเทศไทยครับ* http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://interbrand-coke.exteen.com/images/thai1.jpg&imgrefurl=http://interbrand-coke.exteen.com/coke-1&usg=__3nXpikHHmp4c76BjvL7PaVxySDQ=&h=533&w=400&sz=75&hl=th&start=4&um=1&tbnid=cdGaDLt2-MipYM:&tbnh=132&tbnw=99&prev=/images%3Fq%3Dcoke%2B%2B2492%26um%3D1%26hl%3Dth (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 19 ก.พ. 52 07:46:18 ]

ความคิดเห็นที่ 142 *****     แล้วเรื่องตลกร้ายอย่างนึงก็บังเกิดกับโคล่าของสองผู้ผลิตยักษ์ใหญ่นั่นก็คือสงครามระหว่างชาวอิสราเอลกับบรรดาประเทศอาหรับซึ่งปะทุขึ้นอย่างรุนแรงครับ  โดยฝ่ายอาหรับนั้นมีอียิปต์ซึ่งตอนนี้เป็นเอกราชจากอังกฤษแล้วเป็นหัวหอกโดยได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากฝั่งโซเวียต  ขณะที่อิสราเอลนั้นได้รับการสนับสนุนด้านกำลังอาวุธยุทธภัณท์จากพวกมะริกันแลบางประเทศในยุโรปครับ  ซึ่งในเวลานั้นโคล่าของโคคาโคล่าเองได้มีการวางจำหน่ายในดินแดนตะวันออกกลางของชาวอาหรับมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้วครับ        แต่เมื่อเกิดสงครามขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่60ชาวอาหรับลูกค้าคนสำคัญของโคคาโคล่าก็เริ่มพากันบอยค็อตโคล่าครับ  สาเหตุก็มาจากการที่บริษัทเตรียมจะเข้าไปจำหน่ายหัวเชื้อให้แก่โรงงานบรรจุในอิสราเอลซึ่งเป็นศัตรูของพวกอาหรับครับ  โดยการรบของสงครามครั้งนั้นผลไปจบลงที่อิสราเอลสามารถตีโต้พวกอาหรับแลยึดพื้นที่ในแหลมไซนายจวบจนไปสุดที่คลองสุเอชซึ่งแต่เดิมเป็นของชาวอียิปต์ได้  ส่วนสงครามน้ำอัดลมนั้นไปสิ้นสุดเมื่อโคคา-โคล่าเลิกการจำหน่ายสินค้าของตนแก่ประเทศแถบอาหรับเพื่อรักษาลูกค้าชาวยิวจำนวนมากในดินแดนมะริกัน(โค้กกลับมาทำตลาดในแถบนี้อีกครั้งช่วงทศวรรษที่80จนถึงปัจจุบันครับ)  ซึ่งในห้วงเวลานั้นทำให้เป๊ปซี่มีโอกาสเข้าไปสร้างแบรนด์ของตนจนกลายเป็นโคล่ายอดนิยมของชาวอาหรับแทนค้กไปโดยปริยายครับ ปล. ดึกๆวันนี้ค่อยมาต่อครับ  แปดโมงกล่าแล้วเดี๋ยวไปสาย -_-" (รูปขวดโค้กที่มีการวางจำหน่ายอยู่ในอิสราเอลยุคปัจจุบันครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 19 ก.พ. 52 08:09:17 ]

ความคิดเห็นที่ 143 .. จากคุณ : ใจบงการ - [ 19 ก.พ. 52 08:23:43 ]

ความคิดเห็นที่ 144 เอาขวด Coca-Cola Collection มารวมแจมด้วยครับ จากคุณ : T-E-N-A - [ 19 ก.พ. 52 08:54:54 ]

ความคิดเห็นที่ 145 พูดถึงวัตถุดิบที่กำหนดเรียกเป็นหมายเลขนั้นผมมีข้อมูลจากหนังสือรู้ืรอบตอบได้ของReader Digestฉบับภาษาไทย ซื้อเมื่อนานหลายปีแล้วมาเสนอให้ทราบกัน ข้อมูลจากหนังสือBig Secretของวิลเลียม พาวน์สโตน เมื่อปี1983 1.น้ำตาล 2.น้ำตาลไหม้ 3.กาแฟ 4.กรดฟอสเฟอริก 5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว)และสารสกัดจากเมล็ดโคคาปริมาณเล็กน้อย 6.กรดน้ำส้มและโซเดียมซิเตรด 7x.มะนาวฝรั่ง สัมมะนาว cassia(อบเชยชนิดหนึ่ง) น้ำมันลูกจันทน์เทศ และสารอื่นๆ 8.กลีเซอรีน 9.วานิลลา การวิเคราะห์ทางเคมีช่วยให้รู้สัดส่วนของส่วนผสมบางอย่างได้ แต่ที่ค้นพบยากที่สุดคือ7xนี่แหละครับ เพียงนำหัวน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นรสตรงตามสูตร เพราะหัวน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยากันและกันจนเกิดกลิ่นรสอื่นๆได้อีก ใครที่คิดจะลอกเลียนสูตรก็ต้องรู้ส่วนผสมที่แท้จริงซึ่งยากที่จะวิเคราะห์แน่นอนและทราบถึงสัดส่วนที่ถูกต้องด้วย เป็นปริศนาที่ท้าทายอยู่จนถึงตอนนี้ จากคุณ : ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร (spiralhead) - [ 19 ก.พ. 52 10:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 146 สะสมโค้กกันดีก่า ลองแปะรูป เพี้ยง จากคุณ : HeLL_Is_HeRe - [ 19 ก.พ. 52 11:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 147 อิ่มความรู้เลย สุดยอดมากๆ ครับ อย่าลืมมาต่อนะครับ จากคุณ : art_sarawut - [ 19 ก.พ. 52 13:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 148 มาแจมกระทู้ดีมีสาระ แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 16:19:13 จากคุณ : LigerZero - [ 19 ก.พ. 52 16:15:39 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ว้าว ด้านบนสุดยอดครับ Cherry Coke อร่อยมากมาย, vanilla Coke ก็สุดยอด แต่ท่าทางผมจะเป็นส่วนน้อยที่ชอบ......เลิกขายซะงั้น -___-' จากคุณ : AMIYAMA - [ 19 ก.พ. 52 22:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 150 Cherry Coke < ผมก็ชอบกลิ่้นมากๆเลย แต่ดันเลิกขายงิ. Vanilla Coke < อันนี้ผมไม่ชอบแฮะ ส่วนตัวรู้สึกรสชาติแปลกๆ. จากคุณ : Kooly - [ 20 ก.พ. 52 09:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ยังรออยู่นะครับ จากคุณ : สัญรัก - [ 21 ก.พ. 52 09:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 152 มายังหว่า จากคุณ : PUMPKINbig - [ 21 ก.พ. 52 14:52:23 ]

ความคิดเห็นที่ 153 โค้ก เป๊ปซี่  สามารถใช้ลดแก๊ซในท้องได้ครับ แต่ ต้อง ตด ต้อง เรอ ประกอบด้วยครับ จากคุณ : PakToon - [ 21 ก.พ. 52 15:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 154 ***** มาต่อกันครับหลังจากจขกท.หายหน้าหายตาไปพักนึงเพราะงานยุ่งพอสมควร  แต่ยังไงๆวันนี้ผมก็ต้องจบเรื่องโคล่าให้ได้ T_T      ครั้งก่อน"เจไดหนุ่ม" ค้างเรื่องของโคล่าไว้ที่สงครามระหว่างยิว-อาหรับครับ  ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงยุค60ซึ่งสถาณการณ์ความเป็นไปของโลกเริ่มจะง่อนแง่นพอสมควรเนื่องจากสงครามเย็นระหว่างอเมริกันกับโซเวียตนั้นกำลังบานปลายแลทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ  โดยสงครามโคล่านั้นก็รุนแรงไม่แพ้กันครับเมื่อมีการคิดค้นโคล่ากระป๋องขึ้นมาในช่วงปลายยุค50  ทำให้ทั้งโค้กแลเป็ปซี่สองผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ต่างก็เริ่มทุ่มทรัพยากรสุดขีดเพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าตลาด  แต่ในเวลานี้โค้กดูจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในประเทศรวมทั้งชาวยิวมากกว่านั่นก็เพราะบริษัทโค้กได้ทำการสนับสนุนแลจัดจำหน่ายโคล่าของตนในดินแดนอิสราเอลอย่างเปิดเผย  ขณะที่เป๊ปซี่เองก็เข้ามาแย่งฐานการตลาดของลูกค้าชาวอาหรับจากโค้กซึ่งในห้วงเวลานั้นชาวอาหรับจำนวนมากกำลังเป็นศัตรูกับชาวอิสราเอลอยู่พอดีครับ      แต่แล้วความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศเล็กๆทางตะวันออกซึ่งชื่อว่า "เวียดนาม" ก็ปะทุขึ้นจนกลายเป็นสงครามขนาดใหญ่  เมื่อประธานาธิบดี "ลินดอน จอห์นสัน" ได้หว่านล้อมแลยื่นมติต่อสภาครองเกสให้อนุมัติการจัดส่งกองกำลังทหารมะริกันจำนวนมหาศาลเข้าสู่พื้นที่เวียดนามใต้เพื่อปราบปรามคอมมิวนิสต์แลกองทัพเวียดนามเหนือ(ก่อนหน้านั้นมะริกันส่งแต่ที่ปรึกษาทางทหารแลอาวุธยุทธปัจจัยเข้าไปครับ)  แลเป็นที่แน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้งว่าเมื่อทหารจี.ไอ.ไปไหนโคล่าของ "โค้ก" ก็ต้องตามไปด้วยครับ        โดยในยุค60นี้โค้กได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองในการสนับสนุนเหล่าทหารหาญด้วยการบรรจุน้ำดำลงกระป๋องซึ่งเป็นวัสดุภัณท์ที่กำลังเป็นที่นิยมในเวลานั้น(เพราะน้ำหนักเบาแลทนทานต่อการขนส่งกว่า)  จนเราสามารถเห็นภาพของทหารมะริกันในเวลาพักผ่อนพร้อมด้วยบุหรี่แลเครื่องดื่มกระป๋องในมือกันจนชินตาครับ  แลเมื่อสงครามทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นยุทธปัจจัยจำนวนมากจึงถูกส่งไปสนับสนุนทหารหาญในแนวหน้ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสันซึ่งนี่เป็นโอกาสดีของโค้กที่จะสร้างชื่อให้กระฉ่อน  โดยโคล่าของโค้กทั้งรูปแบบขวดแลกระป๋องจำนวนนับล้านๆได้ถูกจัดส่งไปยังเวียดนามแลประเทศพันธมิตรของมะริกันในแถบนั้นจนทำให้ภาพของทหารมะริกันกับโคล่าดูจะเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออกเสียแล้ว (รูปทหารจี.ไอ.ผิวดำชาวมะริกันกับแรงงานชาวเวียดนามใต้กำลังดื่มโค้กบรรจุขวด  ระหว่างการขุดดินเพื่อเตรียมตัวสร้างบังเกอร์ครับ) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 21 ก.พ. 52 21:21:32 ]

ความคิดเห็นที่ 155 แจ่ม จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 21 ก.พ. 52 22:41:14 ]

ความคิดเห็นที่ 156 เห็นขวดในคห.144 ขวดแรกทรงมัน simple มากเลย ถ้าเอากลับมาทำใหม่ตอนนี้คงจะ chic น่าดู จากคุณ : Avexiouz - [ 21 ก.พ. 52 23:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 157 โอ๊ะ... มีข้อผิดพลาด เลยเผลอกดโพสต์ซ้ำซ้อนไปหน่อย แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 52 00:23:22 จากคุณ : ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร (spiralhead) - [ 22 ก.พ. 52 00:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ต่อจากนี้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่หนังสือBig Secretของวิลเลียม พาวน์สโตน ระบุเพิ่มเติมจากที่โพสต์ไว้ก่อนนะครับ ปีค.ศ.1885 เพมเบอร์ตันคิดสูตรดั้งเดิมโดยนำ แวง มาริอานิ(vin mariani)เครื่องดื่มผสมเหล้าองุ่นแดงที่เป็นที่นิยมในยุคนั้นมาดัดแปลงใหม่โดยผสมใบโคคาลงไป แต่ก็ยังขายไม่ดี ปี1886ก็เลยตัดสินใจเอาเหล้าองุ่นออกและเติมลูกโคคาพันธ์แอฟริกาที่มีสารกระตุ้นประสาท กาเฟอีน และก็เติมน้ำตาลและน้ำเชื้อกลิ่นรสแก้รสขม ส่งขายตามร้านขายยาในชนบทโดยโฆษณาว่าเป็น"ยาบำรุงสมองที่คนนิยมยกย่อง" ช่วงแรกขายไปได้เรื่อยๆประมาณวันละ13แก้ว ช่วงที่เพมเบอร์ตันขายลิขสิทธิ์การผลิตโคล่านั้น ขายให้ไปถึง4คนด้วยกัน(มีระบุชื่อผู้ซื้อในหนังสือด้วยแต่ไม่ขอโพสต์นะไม่สำคัญเท่าไหร่)โดยไม่นับเอซา จี แคนด์เลอร์กับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสันซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทCoca Cola Companyในปีค.ศ.1892 ปีที่เพมเบอร์ตันถึงแก่กรรมนั้น แคนด์เลอร์เป็นคนแรกที่ผสมน้ำเชื่อมนี้กับน้ำโซดาและปรับปรุงสูตรใหม่เพิ่มเติมอีก ครั้นถึงปีค.ศ.1903มีเพียงแคนด์เลอร์และโรบินสันเท่านั้นที่มีสิทธิ์ผสมน้ำเชื่อมในห้องที่ปิดประตูล็อกกุญแจ ทั้งสองจะแกะฉลากส่วนผสมที่ส่งมาโดยบริษัทจัดหาเคมีวัตถุแคนด์เลอร์เป็นผู้เดียวที่จัดการกับไปรษณีย์ของบริษัท เขาจะชำระเงินด้วยตนเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรบ้างและถือกุญแจตู้เก็บสินค้าไว้แต่ผู้เดียว เมื่อบริษัทขยายตัวจนคนทั้งสองไม่อาจปรุงส่วนผสมเองได้อีกต่อไปเขาจึงกำหนดหมายเลข1-9ขึ้นมาใช้เรียกส่วนผสม ผู้จัดการโรงงานสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น โดยเอกสารสูตรลับของโคคาโคล่านั้นถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตู้นิรภัยที่บริษัททรัสต์ คอมพานีแห่งรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าผู้ที่มีอำนาจเปิดได้คือผู้บริหารบริษัทCoca Cola Companyเท่านั้น จากคุณ : ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร (spiralhead) - [ 22 ก.พ. 52 00:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 159 *****      จวบจนกระทั่งยุค70เริ่มขึ้นพร้อมๆกับการพ่ายแพ้สงครามในเวียดนามของยักษ์ใหญ่อเมริกาจนสร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาประเทศเสรีทั่วโลก(ยกเว้นโซเวียตที่นั่งขำแลยิ้มร่าจนฟันแทบหลุด)  แต่ทว่าแม้อเมริกาจะแพ้แต่โคล่าก็ไม่ได้แพ้ครับเพราะในยุคนี้สื่อทีวีได้มีอิทธิพลมากขึ้นกว่าทุกคราจนสร้างกระแสวัฒนธรรมใหม่ๆมากมาย  ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นผลจากการที่ราคาของทีวีรุ่นต่างๆนั้นถูกลงจนประชาชนคนมะริกันต่างมีทีวีไว้ติดบ้านกันแทบทุกครัวเรือน        นั่นจึงมาถึงยุคของสงครามโฆษณาที่โคล่ายักษ์ใหญ่ต่างก็คิดค้นกลเม็ดเด็ดพรายในการเรียกลูกค้ามาบลัฟใส่กันอย่างสุดฝีมือ  เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับโคล่าของคู่แข่งแล้วยังต้องมาเจอกับเครื่องดื่มชนิดอื่นทั้ง กาแฟ น้ำหวาน หรือแม้กระทั่งยาชูกำลังที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคเช่นกัน  จนโคล่าของสองยักษ์ใหญ่ได้มีการใช้ดาราแลศิลปินที่ประชาชนชื่นชอบมาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าของตนเองเรื่อยมาอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันครับ      ซึ่งทริคในการใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นคนดังนั้นดูท่าโคล่าของบริษัทเป๊ปซี่จะเดินเกมส์ได้เก่งกว่าโค้กอยู่หลายเท่าตัว  จะเห็นได้จากการที่เป๊ปซี่ได้ปรับแบรนด์สินค้าของตนเองให้กลายเป็นเครื่องดื่มของคนยุคใหม่ภายใต้สโลแกน "New Generation"  จึงทำให้ยอดขายของทั้งเป๊ปซี่แลโค้กสูสีคู่คี่กันมาติดๆ  แต่แล้วบริษัทโคคาโคล่าก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในช่วงกลางยุคทศวรรษ80เมื่อมีการผลิตโค้กรสชาติใหม่ออกมา  โดยนักวิจัยแลผู้บริหารของบริษัทนั้นหมายมั่นปั้นมือว่าโค้กรสชาติใหม่นี้จะสามารถมาแทนที่โค้กรสชาติเดิมๆที่วางขายกันมาหลายสิบปีได้        ทว่าเมื่อตัวสินค้าวางตลาดออกไปจริงๆเสียงบ่นจากผู้บริโภคก็ดังระงมไปทั่วถึงความไม่ถูกปาก  นั่นก็เพราะผู้คนจำนวนมากต่างคุ้นเคยในรสชาติของโค้กรสดั้งเดิมไปแล้วดังนั้นการจะมาเปลี่ยนรสชาติไปดื้อๆแบบนี้จึงมีแต่ผลเสียกับเสีย  ซึ่งผลของความผิดพลาดครั้งนั้นคือโคคาโคล่าต้องขาดทุนมหาศาลกับการผลิตโค้กรสชาติใหม่ซึ่งทำยอดขายขาดทุนบานเบอะจนต้องนำสินค้าบางส่วนไปทิ้ง  แลหวนกลับมาผลิตโค้กรสชาติเก่าโดยได้นำคำว่า "Classic" มาต่อท้ายเพื่อตอกย้ำถึงรสชาติแบบดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซึ่งผู้คนทั่วไปชื่นชอบนั่นเองครับ (รูปของทหารมะริกันกับ2เครื่องดื่มกระป๋องสุดฮิตในสมรภูมิเวียดนาม "โค้ก" กับ "เบียร์ บัดไวเซอร์" ครับ ^_^) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 22 ก.พ. 52 07:18:04 ]