PANTIP.COM : X7535975 พวกนาซีรู้ได้ยังไงว่า ใครใช่หรือไม่ใช่ชาวยิวครับ [เรื่องลึกลับ]

ความคิดเห็นที่ 2

"ยิว" โดย นิติภูมิ นวรัตน์

3 ตอนจากเปิดฟ้าส่องโลก ตามเก็บมาให้อ่านกัน

ยิว (1)

มีผู้ส่งหนังสือมาให้อ่านเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “เพาเวอร์ยิว” เรียบเรียง โดยกองบรรณาธิการ นิตยสาร Thaicoon อ่านแล้วก็ได้รับความรู้ดีมาก โดยเฉพาะเรื่องราวของคนยิวบนโลกใบนี้ ผู้อ่านท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า พระเยซูนั้น พระองค์ก็ทรงเจริญวัยภายใต้การเลี้ยงดูแบบ วัฒนธรรมคนยิวแท้ๆ คาร์ล มาร์กซ ผู้ค้นคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ นี่ก็ยิวของแท้เช่นกัน นอสตราดามุส ผู้สามารถทำนายทายทักเรื่องราวในอนาคต ท่านนี้ก็เป็นยิว อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ซิกมันด์ ฟรอยด์ ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนยิวทั้งนั้น

“เพาเวอร์ยิว” เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก อ่านแล้วจะทราบว่า ประชากรโลกที่มีมากกว่า 6 พันล้านคนในปัจจุบันนี้ มียิวอยู่เพียง 12 ล้านคน ยิวทั้ง 12 ล้านนี่ ที่จริงแล้ว ก็คือคณะผู้ครองโลกของแท้นั่นเอง

ในหนังสือเล่มนี้มีบทสัมภาษณ์นิติภูมิเป็นพิเศษ แต่ขอโทษเถิดครับ เมื่อเวลาท่านนำไปถอด ความจากเทป ผู้ถอดอาจจะไม่ได้ใส่ใจถอดโดยครบถ้วนกระบวนความ หรือไม่ได้สนใจคำอ่าน ตัวสะกด หรือตรวจสอบความถูกต้อง ก็เลยมี “คำพลาด” อยู่หลายคำเหมือนกัน

ศัพท์ทางศาสนา ภาษา และเชื้อชาติ ถ้าหากท่านสะกดผิด เพียงนิดเดียว ความหมายก็จะผิดแผก แตกออกไป สิ่งที่ผู้พูดพูดดี ปรารถนาดี ก็อาจจะกลายเป็น ปรารถนาร้ายไปก็ได้ อยากจะขอ ความกรุณาท่านผู้พิมพ์ช่วย แก้ไขให้ด้วยครับ ถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ หนังสือ “เพาเวอร์ยิว” นี้ จะน่าอ่านมากขึ้นเยอะทีเดียว

เดี๋ยวนี้ มีหลายแห่งไปอัดเทปคำบรรยาย อภิปราย ของนิติภูมิ ตามสถานที่ต่างๆ จากนั้นก็นำไปถอดเทป และไปพิมพ์ขายบ้าง แจกบ้าง นำไปลงหนังสือบ้าง หลายท่านไปจ้างเด็กถอดเทป ถอดทั้งหมดบ้าง ถึงตอนขี้เกียจก็ข้ามไปบ้าง เขียนผิดไปบ้าง อย่างนี้ ก็ก่อให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกันครับ

เอาละ ไหนๆ เขียนถึงหนังสือ “เพาเวอร์ยิว” ก็ขอเอาเรื่องยิวมาเล่าต่อในเปิดฟ้าส่องโลก ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ และแล้ว การเมืองโลกก็ดำเนินไปตามกระแสที่เราเคยคาดการณ์กันไว้ คือ สงครามจะมาจากเรื่องของศาสนา ความเชื่อ และความขัดแย้งที่มีมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิม และจะหมุนมาซ้ำรอยไม่รู้จักจบสิ้น ความขัดแย้งระหว่างไทย-พม่า เกิดมาในสมัยโบราณแล้วก็จบ ระหว่างไทย-เขมร เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครระลึกนึกถึง ระหว่างรัสเซีย-โปแลนด์ ระหว่างฝรั่งเศส-เยอรมัน เยาวชนคนในประเทศเหล่านั้น ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอย่างนี้แล้วครับ

แต่ระหว่างมุสลิม-ยิว นี่ ยังห้ำหั่นกันจนถึงปัจจุบัน

แต่เพราะยิวคุมสื่อสารมวลชนของโลกไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การประชาสัมพันธ์ 2 ด้านพร้อมๆกันของสื่อมวลชนโลก จึง 1. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ทางซีกของชาวยิว หรือกลุ่มคนผู้ถือหางยิว และ 2. โยนภาพลักษณ์ร้ายๆ ให้ผู้คนทางซีกของโลกอิสลาม

ผู้อ่านท่านลองนึกถึงคนยิวบนเวทีโลกซีครับ ภาพลักษณ์แต่ละท่านดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณเฮนรี่ อัลเฟรด คิสซิงเจอร์ ยิวที่เกิดในเยอรมนี อพยพมาอยู่ในสหรัฐฯเมื่อ พ.ศ.2481 แมดาลีน อัลไบรท์ ยิวที่เกิดในกรุงปราก ประเทศเชโกสโล*เกีย ภายหลังอพยพมาอยู่ในอังกฤษและสหรัฐฯ

อลัน กรีนสแปน ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐฯ ซึ่งครองตำแหน่งสำคัญทาง การเงินการธนาคารของสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยที่นายเรแกนเป็นประธานาธิบดี และครองติดต่อกันยาวนานมาเรื่อย จนกระทั่งถึงยุคบุชผู้พ่อ ตามด้วยยุคของคลินตัน*ก 8 ปี ถึงแม้ว่าบุชผู้ลูกเป็นประธานาธิบดี ก็ยังใช้กรีนสแปนเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐฯ เพื่อกอบ*้เศรษฐกิจ

ห้วงช่วง 4-5 ปีมานี้ ผู้อ่านท่านคงจะสังเกตนะครับว่า ชื่อของพอล ครุกแมน เด่นมากใน ด้านเศรษฐศาสตร์ สื่อสารมวลชนต่างๆ ต่างให้สมญาครุกแมนว่า เป็นนอสตราดามุส แห่งโลกเศรษฐศาสตร์ ท่านผู้นี้ก็เป็นยิวของแท้ 100% ที่เกิดในนิวยอร์ก เมื่อ พ.ศ.2496

ลองดูรายชื่อยิวรายอื่นๆซีครับ สตีเวน สปีลเบิร์ก, ดัสติน ฮอฟแมน, พอล นิวแมน, เคิร์ก ดักลาส, แฮร์ริสัน ฟอร์ด, บรูซ วิลลิส, ริชาร์ด เกียร์ ฯลฯ

สตีเวน สปีลเบิร์ก เกิดในโรงพยาบาลยิว มาจากครอบครัวยิวที่เคร่งครัดมากคนหนึ่ง ผู้อ่านลองสังเกต ดารานักแสดงในหนังของสปีลเบิร์ก ส่วนใหญ่จะใช้ดารายิวแทบทั้งนั้น หรือแม้แต่การเลือก สร้างภาพยนตร์ ก็จะสร้างภาพยนตร์ที่ให้คนทั้งโลกเห็นใจยิว อย่างภาพยนตร์เรื่อง Schindler's list ที่ได้รับรางวัลเยอะแยะ เป็นหนังที่ใครดูแล้ว ยากที่จะไม่หลั่งนํ้าตา ให้ยิวที่ถูกพวกนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2

พรุ่งนี้มาว่ากันถึงอิทธิพลของยิวกันต่อครับ.

ยิว (2)

นิติภูมิอ่านจากหนังสือ “เพาเวอร์ยิว” จึงทราบว่า เดิมเจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัทเดอะ วอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี คือ นายวอลท์ ดิสนีย์ ท่านผู้นี้ไม่ใช่ชาวยิว แถมยังเป็นอเมริกันที่เกลียดยิว อย่างเข้ากระดูกดำซะ*ก หนังในสมัยที่คุณวอลท์ ดิสนีย์บริหาร มีแต่การ์ตูนดีๆ ที่สร้างจินตนาการให้เยาวชน อย่างสโนไวท์กับเจ้าหนูมิกกี้

พ.ศ.2527 นายไมเคิล ไอสเนอร์ ชาวยิว ซื้อกิจการวอลท์ ดิสนีย์ ยิวคนนี้ก็ขยายกิจการของบริษัท ไปสู่ความบันเทิงเริงรมย์ และเรื่องของความรุนแรง จากนั้นก็ขยายเครือข่ายต่อไปยัง ธุรกิจ*กหลายอย่าง เป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ดังๆ ทั้ง Touchstone Television และ Buena Television แถมยังเป็นเจ้าของเคเบิลทีวีที่มีสมาชิก*ก 14 ล้าน รวมถึงผลิตวีดิโอ*ก 2 แห่ง จนถึง พ.ศ.2535 นายไมเคิล ไอสเนอร์ ก็เข้าไปซื้อ ABC Television Network ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ ก็คลุมไปทั้งนิวยอร์ก ชิคาโก ฟิลาเดลเฟีย ลอสแอนเจลิส และฮิวส์ตัน นอกจากนั้น ยังขยายเครือข่ายโทรทัศน์ไป*กหลายแห่งทั่วยุโรป

หน้า 124 ของหนังสือเพาเวอร์ยิวเขียนว่า “การซื้อ ABC จึงเท่ากับว่าดิสนีย์กุมเครือข่าย ระดับยักษ์เอาไว้ในมือเลยทีเดียว ทั้งนี้ ยังไม่นับถึงการเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุ*กหลายคลื่น นอกจากนั้น ยังกุมนิตยสารผู้หญิงและนิตยสารรถยนต์ไว้*กหลายชื่อหัว

ABC เป็นเจ้าของ Lifetime Television และ Arts & Enter-tainment Network ซึ่งวัยรุ่นรู้จักกันในนามเคเบิล A&E ที่เด็ดยิ่งกว่านั้น คือ ABC เป็นบริษัทแม่ของ ESPN ที่คอกีฬาทั้งหลายรู้จักกันดี คนที่บริหารช่องกีฬานี้เป็นยิวมีชื่อว่า สตีเฟน บอร์น สไตน์

โทรทัศน์เป็นสื่อที่เข้าถึงทุกครัวเรือนง่ายและราคาถูก ดังนั้น การครอบครอง ESPN ได้ ก็เท่ากับครองใจคนดูกีฬาทั่วโลก และการเป็นเจ้าของ A&E ได้ ก็เท่ากับว่าดิสนีย์เป็นเจ้าของรสนิยมความบันเทิงของวัยรุ่นทั่วโลก มิหนำซ้ำ ยังเป็นช่องทางในการโปรโมตหนังของดิสนีย์ได้เป็นอย่างดี*กด้วย...”

“...เรียกได้เต็มปากว่า ดิสนีย์มีเจ้าของเป็นยิว และคนที่บุกเบิกความยิ่งใหญ่ในวงการหนัง ให้กับดิสนีย์ก็เป็นยิว ทั้งนี้ บริษัทในเครือภายใต้กลุ่มทำหนังของดิสนีย์ ก็อย่างเช่น Touchstone Pictures, Holly-wood Pictures, Caravan Pictures และ Miramax Films...”

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผู้อ่านท่านทั้งหลายคงจะนึกออกนะครับ ว่าภาพยนตร์อเมริกันที่เราดูกันนั้น อำนวยการสร้างโดยชาวยิว แสดงโดยชาวยิว (ที่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม เพื่อใช้ในการแสดงใหม่) นอกจากโกยสตางค์จากกระเป๋าผู้ดูภาพยนตร์ทั่วโลกแล้ว ยังได้ ปฏิบัติการจิตวิทยาไปในตัว ซึ่งก็หนีไม่พ้น ให้คนนิยมชมชอบอเมริกา (ที่มียิวเป็นคนกุมบังเหียนประเทศ) และดูหมิ่นถิ่นแคลนมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นๆ เช่น พันธุ์เอเชีย พันธุ์แอฟริกา

เมื่อวาน ผมเขียนถึงผู้กำกับภาพยนตร์ระดับโลกท่านหนึ่ง คือ สตีเวน สปีลเบิร์ก ท่านผู้นี้เป็นยิว 100% เป็นยิวของแท้แน่นอนและเติบโตมากับ บรรยากาศที่ปู่และพ่อกับแม่ ชอบพูดถึงเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวเสมอ ซึ่งเรื่องราวพวกนี้ซ่อนอยู่ในหนัง ที่สปีลเบิร์กกำกับหลายเรื่อง

คนบนโลกของเรายุคปัจจุบัน ต่างทิ้งความบันเทิงเริงรมย์ในวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของตัว และก็หันไปเสพความบันเทิงจากฮอลลีวูด ความหลากหลายทางประเพณีและวัฒนธรรม จึงถูกทำลายไป มนุษย์หลายพันล้านจึงอยู่ใต้อาณานิคมทางวัฒนธรรมของฮอลลีวูด

วัฒนธรรมฮอลลีวูด ก็คือ วัฒนธรรมอเมริกัน

สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ฮอลลีวูดคือ ยิว ทั้ง นายทุน ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับภาพยนตร์ ดารา คนเขียนบทภาพยนตร์ หรือแม้แต่คนขายภาพยนตร์ รวมถึงผู้ที่สนับสนุนการตลาด ให้แก่หนังของแต่ละสตูดิโอ เกือบแทบทุกทั่วตัวคนล้วนแต่เป็นอเมริกันเชื้อสายยิว เฉพาะค่ายบันเทิงใหญ่ๆ ที่มีส่วนแบ่งตลาดหนังรวมกันประมาณ 74-80% ทั้งหมดมีเจ้าของสตูดิโอเป็นคนยิว เหลือจากนั้น จึงเป็นคนอเมริกัน ฝรั่งเศสและ ออสเตรเลีย

คนเขียนบทภาพยนตร์ดังๆของฮอลลีวูด นอกจากเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้ว ยังเป็นคนยิวซะประมาณ 70%

นี่เป็นเพียง “คำอธิบาย” เพียงบางส่วน ที่พยายามจะอธิบายถึง ทำไม ผู้นำและ ผู้คนทางซีกโลกอิสลามจึงกลายเป็นผู้ร้าย

ก็เพราะคนเขียนบทของโลก ทั้งในชีวิตจริงๆ และในภาพยนตร์และโทรทัศน์ซึ่งใช้ห ล่อหลอมจิตใจของพลโลกส่วนใหญ่ เป็น “คนยิว”

ยิวที่เป็นคู่อาฆาตของมุสลิมมานานนับเป็นพันๆปี นี่เอง.

จากคุณ : Heinrich Himmler - [ 17 ก.พ. 52 15:39:34 A:118.172.95.172 X: TicketID:202689 ]

ความคิดเห็นที่ 15

ถึงแม้ชาวยิวจะเป็นชนกลุ่มเล็กๆ แต่ชาวยิวก็เป็นกลุ่มชนที่มีอิทธิพลต่อโลกแม้กระทั่งปัจจุบัน เพราะชนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลม สามารถควบคุมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ สื่อมวลชนและอำนาจในรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจในโลกไว้ได้แทบทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในปัจจุบัน พวกยิวเป็นกลุ่มชนที่มีอิทธิพลที่สุดในสหรัฐอเมริกา ชาวยิวมีอิทธิพลในสหรัฐฯเพียงใดนั้นจะเห็นได้จากทุกครั้งที่สหรัฐฯมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจะต้องแถลงนโยบายของตนเองต่อประเทศอิสราเอลให้สภาชาวยิวได้รับทราบก่อน

เฮนรี่ ฟอร์ด วิศวกรชาวอเมริกันผู้ประดิษฐ์รถยนตร์ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของพวกยิวในการที่จะครองโลกโดยใช้สหรัฐฯเป็นเครื่องมือหลังจากที่เขาได้รับเอกสารชิ้นหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Protocols of the Elders of Zion ของชาวยิว ดังนั้น เขาจึงได้อุทิศเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้นักวิชาการศึกษาความเป็นมาของชาวยิวในสหรัฐฯและต่อไปนี้เป็นผลงานการศึกษาของเขาซึ่งถูกตีพิมพ์ในหนังสือเรื่อง The International Jew ซึ่งทำให้เราได้ทราบว่าชาวยิวได้เริ่มเข้ามาในอเมริกาพร้อมๆกับโคลัมบัสนักเดินเรือชาวสเปนผู้ค้นพบทวีปอเมริกา กล่าวคือ ในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1492 พวกยิวกว่า 300,000 คนได้ถูกขับไล่ออกจากสเปน และวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสผู้พบทวีปอเมริกาเริ่มเดินเรือมุ่งหน้ามาทางตะวันตกนั้น โคลัมบัสได้นำชาวยิวกลุ่มหนึ่งไปพร้อมกับเขาด้วย

อย่างไรก็ตามชาวยิวที่โคลัมบัสนำขึ้นเรือไปด้วยนั้นมิใช่ผู้อพยพ แต่เป็นพวกยิวที่สนับสนุนและเห็นดีเห็นงามกับแผนการเดินเรือของโคลัมบัสมาเป็นเวลานานแล้ว โคลัมบัสเองก็บอกว่าเขาคบค้ากับพวกยิวมาตลอด จดหมายฉบับแรกที่เขาเขียนเกี่ยวกับการค้นพบของเขาก็มีไปถึงยิวคนหนึ่ง

ความจริงแล้ว เรื่องราวการเดินทางไปยังอีกซีกโลกหนึ่งของโคลัมบัสเกิดขึ้นได้ก็เพราะพวกยิวให้ความช่วยเหลือ แต่เรื่องที่แปลกก็คือเครื่องเพชรนิลจินดาของราชนีอิซาเบลลาแห่งสเปนที่ใช้เป็นทุนสนับสนุนการเดินทางครั้งนั้นได้หายไปจากท้องพระคลัง

ในราชสำนักของสเปนมีพวกมาราโนสหรือ “พวกยิวลับ” ผู้ทรงอิทธิพลอยู่สามคน นั่นคือ หลุยส์ เดอ แซนตาเกิล ซึ่งเป็นพ่อค้าคนสำคัญแห่งเมืองวาเลนเซียและเป็นผู้เก็บภาษีให้แก่ราชสำนักเหมือนกับพวกที่ทำหน้าที่เป็นนายอากรบ่อนเบี้ยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ อีกคนหนึ่งเป็นญาติของแซนตาเกิล ชื่อกาเบรียล ซานเชส ผู้ดูแลคลังมหาสมบัติของราชสำนักสเปน และอีกคนหนึ่งเป็นมหาดเล็กหลวงชื่อฮวน คาเบโร ทั้งสามคนนี้ได้พยายามสร้างภาพให้ราชินีอีซาเบลลาเห็นว่าทรัพย์สินในคลังมหาสมบัติของพระนางกำลังร่อยหรอลง ดังนั้น เพื่อหาทองคำมาเพิ่มในพระคลัง จึงน่าที่จะสนับสนุนโคลัมบัสให้เดินทางไปยังหมู่เกาะอินดีสซึ่งที่นั่นมีทองคำมากมายมหาศาล ในที่สุดราชินีอีซาเบลลาก็คล้อยตามและพร้อมที่จะจำนำเครื่องเพชรนิลจินดาของพระนางเพื่อเป็นทุนในการเดินทางของโคลัมบัส แต่หลุยส์ เดอ แซนตาเกิลได้อ้อนวอนขออนุญาตเบิกเงินล่วงหน้าให้ก่อนเป็นจำนวนถึง 17,000 ดูคาต์ หรือประมาณ 5,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 40,000 ปอนด์ใน ค.ศ.1920

พวกยิวที่ร่วมเดินทางมากับโคลัมบัสมีด้วยกันอย่างน้อยที่สุด 5 คน คือ หลุยส์ เดอ ทอเรส ผู้เป็นล่าม มาร์โค ศัลยแพทย์ เบอร์นัล แพทย์ อะลอนโซ เดอลา เคล และกาเบรียล ซานเชส คนที่ขึ้นฝั่งคนแรกคือหลุยส์ เดอ ทอเรส ซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นพบการใช้ใบยาสูบ เขาได้ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในคิวบาและอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นเจ้าพ่อของพวกยิวที่ควบคุมธุรกิจใบยาสูบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

หลุยส์ เดอ แซนตาเกิลและกาเบรีล ซานเชส ผู้ให้ความอุปการะโคลัมบัสได้รับอภิสิทธิ์มากมายจากการมีส่วนร่วมในการค้นพบครั้งนี้ แต่โคลัมบัสเองกลับกลายเป็นเหยื่อแผนการร้ายของเบอร์นัล แพทย์ประจำเรือและถูกจับกุมคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมเป็นการตอบแทน

พวกยิวได้มองอเมริกาว่าเป็นแหล่งผลประโยชน์มาตั้งแต่เริ่มต้น หลังจากนั้นก็เริ่มอพยพมาทางอเมริกาใต้และตั้งถิ่นฐานกันที่บราซิลเป็นส่วนใหญ่ก่อน แต่เนื่องจากพวกยิวเข้าไปมีส่วนร่วมในข้อพิพาททางทหารระหว่างชาวบราซิลกับพวกดัทช์ พวกยิวในบราซิลจึงจำเป็นต้องอพยพไปอยู่ในอาณานิคมของพวกดัทช์ซึ่งปัจจุบันนี้คือเมืองนิวยอร์ค แต่ในตอนนั้น ปีเตอร์ สตูวีแซนต์ (Peter Stuyvesant) เจ้าเมืองชาวดัทช์ไม่ยอมให้พวกยิวมาตั้งถิ่นฐานในหมู่ประชาชนของเขาและสั่งให้พวกยิวต้องออกไปจากที่นั่น อย่างไรก็ตาม พวกยิวก็ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วในกรณีที่พวกตนไม่เป็นที่ต้อนรับ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะถึงแม้ปีเตอร์ สตูวีแซนต์จะไม่ต้อนรับ แต่คณะกรรมการเมืองก็ให้การยอมรับชาวยิวด้วยเหตุผลว่าคนพวกนี้ลงทุนเป็นจำนวนมากมายมหาศาลในหุ้นส่วนของบริษัท

อย่างไรก็ตาม พวกยิวได้ถูกสั่งห้ามทำงานสาธารณะและเปิดร้านขายของปลีก ดังนั้น จึงส่งผลให้พวกยิวต้องไปทำการค้ากับต่างประเทศซึ่งในที่สุดก็ทำให้พวกยิวกลายเป็นผู้ผูกขาดการค้าระหว่างประเทศไว้เพราะพวกยิวต้องติดต่อกับชาวยุโรป

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายพันตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแหล่งที่มาแห่งความมั่งคั่งของพวกยิว ถ้าห้ามพวกยิวในหนทางนี้ พวกยิวก็จะหันไปเอาดีในอีกทางหนึ่ง เมื่อยิวถูกห้ามขายเสื้อผ้าใหม่ ยิวก็จะขายเสื้อผ้าเก่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของระบบธุรกิจขายเสื้อผ้ามือสอง เมื่อยิวถูกห้ามขายสินค้าใหม่ ยิวก็จะขายของเก่า ยิวคือผู้เริ่มต้นธุรกิจสินค้าทิ้งแล้วของโลก เป็นผู้เริ่มต้นระบบขนของที่กำลังจะได้รับความเสียหาย เป็นผู้ที่พบความมั่งคั่งในขยะแห่งอารยธรรม ยิวสอนผู้คนให้รู้จักการใช้เศษผ้ารู้จักทำความสะอาดขนนก รู้จักใช้ลูกสมอและขนกระต่าย ยิวมักจะชอบการค้าขนสัตว์ซึ่งขณะนี้พวกเขาควบคุมอยู่

ปีเตอร์ สตูวีแซนต์ได้ผลักดันพวกยิวให้ทำนิวยอร์คเป็นเมืองท่าสำคัญของอเมริกาและถึงแม้ว่าพวกยิวในนิวยอร์คส่วนใหญ่จะออกจากนิวยอร์คไปอยู่ที่ฟิลาเดลเฟียในช่วงปฏิวัติอเมริกา แต่พวกยิวส่วนใหญ่ก็กลับมายังนิวยอร์คอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีโอกาสโดยสัญชาติญาณบอกให้พวกยิวให้รู้ว่านิวยอร์คจะกลายเป็นสวรรค์แห่งผลประโยชน์ของพวกตน และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

นิวยอร์คเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ของประชากรชาวยิวในโลก มันเป็นประตูที่สินค้านำเข้าและส่งออกจำนวนมหาศาลถูกเก็บภาษีและเป็นที่ที่ธุรกิจทั้งหมดในอเมริกาจ่ายบรรณาการให้แก่พวกนายเงิน แผ่นดินของเมืองนี้จึงเป็นของพวกยิว ไม่ต้องแปลกใจเลยว่านักเขียนชาวยิวซึ่งมองเห็นความเจริญรุ่งเรืองและความเจริญมั่งคั่งในทรัพย์สินและอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงได้กล่าวว่าสหรัฐฯเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาที่บรรดาศาสดาได้บอกไว้ล่วงหน้าและนิวยอร์คคือเยรูซาเล็ม บางคนเลยเถิดไปถึงขนาดบรรยายว่ายอดเขาร็อคกี้เป็น “ภูเขาแห่งไซออน” ถ้าหากจะพิจารณาความมั่งคั่งจากเหมืองแร่และความมั่งคั่งตามชายฝั่ง

พวกยิวในธุรกิจ

ในสมัยของยอร์จ วอชิงตัน มียิวประมาณ 4,000 คนในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าที่มีอันจะกิน พวกยิวเข้าข้างฝ่ายอเมริกันและช่วยเหลือพวกอาณานิคมที่ปฏิวัติด้วยการให้เงินกู้ในยามวิกฤต

ภายใน 50 ปีประชากรชาวยิวในสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นกว่า 3.3 ล้านคน ปัจจุบันนี้จะเป็นจำนวนเท่าใดนั้นไม่มีใครสามารถประเมินได้อย่างถูกต้อง ธุรกิจต่างๆที่ควบคุมโดยพวกยิวในสหรัฐฯนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอุตสาหกรรมสำคัญๆของสหรัฐฯทั้งสิ้น ธุรกิจเหล่านั้นมีทั้งธุรกิจที่มีความสำคัญจริงๆและธุรกิจที่ผู้คนได้รับการปลูกฝังให้เห็นว่ามันมีความสำคัญ เช่นธุรกิจการแสดง การสร้างบทละคร หนังสือและละครเวทีนั้นเป็นธุรกิจของพวกยิวโดยเฉพาะ ความจริงดังกล่าวนี้จะเห็นได้จากการผลิตส่วนใหญ่ในปัจจุบันล้วนเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ บางครั้งก็เป็นการโฆษณาเชิงพาณิชย์ บางครั้งก็เป็นคำสั่งทางการเมืองโดยตรง

นอกจากนี้แล้ว อุตสาหกรรมภาพยนตร์ อุตสาหกรรมน้ำตาล ยาสูบ ห้าสิบเปอร์เซนต์หรือกว่านั้นของอุตสาหกรรมเนื้อกระป๋อง กว่าหกสิบเปอร์เซนต์ของอุตสาหกรรมทำรองเท้า อัญมณี ข้าว ฝ้าย น้ำมัน เหล็ก นิตยสาร การแพร่ข่าว ธุรกิจสุรา ธุรกิจเงินกู้ เหล่านี้ทั้งในระดับชาติและระดับสากลล้วนอยู่ในการควบคุมของยิวในสหรัฐฯไม่โดยผู้เดียวก็โดยการร่วมกันกับชาวยิวโพ้นทะเล

ตัวอย่างความเจริญมั่งคั่งของพวกยิวในสหรัฐฯเป็นเรื่องที่รู้กันดี แต่ความเจริญมั่งคั่งที่หมายถึงรางวัลอันยุติธรรมของการมองการณ์ไกลและใช้สติปัญญานั้นจะต้องไม่ถูกจำกัดด้วยการควบคุม มันเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์เดียวกันที่คนที่มิใช่ยิวจะเข้าไปควบคุมสิ่งที่พวกยิวได้ควบคุมไปแล้วเพราะคนที่มิใช่ยิวขาดคุณสมบัติของการทำงานร่วมกัน การสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างและความยึดมั่นในชาติพันธุ์อย่างเหนียวแน่นซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะของยิว มันไม่มีอะไรสำหรับคนที่มิใช่ยิวถ้าอีกคนหนึ่งมิใช่ยิว แต่สำหรับชาวยิวแล้วมันเป็นทุกสิ่งถ้าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูของเขาเป็นยิวอีกคนหนึ่ง แผนการของพวกยิวสากลที่จะโยกย้ายตลาดเงินมายังสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ประชาชนอเมริกันไม่ต้องการ คนอเมริกันมีบทเรียนแห่งประวัติศาสตร์มาแล้วว่ามันหมายถึงอะไร มันหมายความว่าสเปน เวนิส เยอรมันหรืออังกฤษจะได้รับการตำหนิหรือถูกโลกสงสัยในสิ่งที่นักการเงินชาวยิวได้กระทำไป มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ความเป็นศัตรูแห่งชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นมาจากความไม่พอใจสิ่งที่อำนาจเงินของพวกยิวได้กระทำไปภายใต้คราบของชื่อประเทศสหรัฐฯ

“พวกอังกฤษทำสิ่งนี้” “พวกเยอรมันทำสิ่งนั้น” ทั้งๆที่ความจริงแล้วพวกยิวสากลเป็นคนทำ ชาติต่างๆนั้นมิได้เป็นอะไรนอกไปจากตารางบนกระดานหมากรุกที่ได้ถูกกำหนดไว้ ปัจจุบันเราได้ยินคำตำหนิไปทั่วโลกว่า “สหรัฐฯทำสิ่งนี้ ถ้ามิใช่เพราะสหรัฐฯ โลกก็คงจะดีกว่านี้ พวกคนอเมริกันเป็นคนเลวทราม ตะกละและโหดเหี้ยม”

ทำไม ? ก็เพราะอำนาจเงินของพวกยิวถูกรวมศูนย์อยู่ที่นี่และอำนาจเงินนี้เองที่พวกยิวใช้สร้างความมั่งคั่งจากความเป็นประเทศที่ปลอดภัยของสหรัฐฯและจากความเดือดร้อนของยุโรปและเพราะบุคคลที่เรียกว่า “นักธุรกิจอเมริกัน” ในต่างประเทศนั้นไม่ใช่คนอเมริกันเลย หากแต่เป็นยิว

ที่มา :

Y2991235 ต้องการความรู้เรื่องของยิวครับ [ 1 ก.ย. 47 20:51:24 ]

http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y2991235/Y2991235.html

Post ล่าสุด ที่

องค์กรลับยึดโลก

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7535043/X7535043.html

จากคุณ : Heinrich Himmler - [ 17 ก.พ. 52 16:46:47 A:118.172.95.172 X: TicketID:202689 ]