ความคิดเห็นที่ 1 ใช้สมองใช้ความคิดให้หนักๆ เข้าไว้ เรียกว่า ถ้ายังไม่เข้าใจก็จะไม่ยอมเลิกลา เหมือนกับที่ Albert Einstein ได้กล่าวเอาไว้ว่า "ผมไม่ใช่คนฉลาดอะไรนัก เพียงแต่ผมใช้ความคิดและเกาะติด กับปัญหานานกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเอง" -------------------------------------------------------------------- "เขายกความดีความชอบในการพัฒนาทฤษฎีของเขาว่าเป็นผลมาจากความเชื่องช้าของเขา เอง โดยกล่าวว่าเขามีเวลาครุ่นคิดถึงอวกาศและเวลามากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขาจึงสามารถสามารถพัฒนาทฤษฎีเหล่านี้ได้ โดยการที่เขาสามารถรับความรู้เชิงปัญญาได้มากกว่าและนานกว่าคนอื่น ๆ" http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95_%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C จากคุณ : Satan - [ 19 ก.พ. 52 10:27:41 A:118.172.88.97 X: TicketID:202689 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สมองแพงที่สุดในโลก?‏ คุณอยากมีสมองที่แพงที่สุดในโลกหรือไม่........ มหาเศรษฐีคนหนึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับสมองรักษาไม่มีทางหาย แต่ว่าโชคดีเนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า มีหมอคนหนึ่งสามารถที่จะผ่าตัดเปลี่ยนสมองได้ ญาติของเศรษฐีจึงไปติดต่อกับหมอคนนี้เพื่อเจรจาเรื่องค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด หมอ : เรื่องการเปลี่ยนสมองไม่มีปัญหา แต่คุณจะสู้ราคาค่าสมองได้หรือเปล่า ญาติ : ว่ามาเลยหมอ เราจ่ายได้ไม่อั้น หมอ : สมองมีหลายเกรดหลายราคา ได้แก่ สมองคนยิว เก้าหมื่นเหรียญ สมองคนญี่ปุ่น แสนเหรียญ สมองคนอเมริกัน แปดหมื่นเหรียญ และ สมองคนไทย สองล้านเหรียญ ! ญาติ : (อุทาน) โอ.! พระเจ้า ...ทำไมสมองคนไทยราคาช่างแพงเสียเหลือเกิน หมอ : แน่นอนครับ..สมองที่ไม่เคยใช้งาน มันก็ต้องราคาแพงหน่อย http://www.kamkling.net/question.asp?GID=206 จากคุณ : Hippocampus - [ 19 ก.พ. 52 10:30:51 A:118.172.88.97 X: TicketID:202689 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณสำหรับข้อคิดครับแต่ว่า ถ้าเริ่มอ่านตามหัวข้อนั่น โดยเฉพาะ แคลคูลัส ซึ่งผมไม่มีพื้นฐานมาก่อนจากหัวข้ออื่น ๆ ผมจะทำยังไง ? มันทำให้สับสนหน่ะครับ ขอแค่เรียงหัวข้อว่าอันไหนคือพื้นฐานอันไหนอ่านได้หลังจากมีพื้นฐานมาจากเรื่องนี้แล้ว จะได้ไหมครับ ? คุณมีข้อแนะนำที่มีประโยชน์มากกว่าประโยคที่ว่า " ใชสมอง้คิดมาก ๆ เข้าไว้ " นอกเหนือจากนี้อีกไหมครับ (เพราะคิดมากเสียจนเครียดว่าจะอ่านเรื่องไหนก่อน หลังดี) แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 10:38:35 จากคุณ : kwang_kung86 - [ 19 ก.พ. 52 10:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนผมเรียนผมใช้วิธีเรียนรุ้จากที่มา แล้วจะทำให้เราเข้าใจได้เอง อยากแคล มันคือการแก้ปัญหาว่าถ้ามีปริมาตรที่ไม่ใช่ทรางลูกบาศ เราจะทำยังไงหาปริมาตรได้ เช่นก้อนหิน มันก้เลยมีการแก้ปัญหาว่า ตัดมันเป้นชิ้นเล็กๆให้คล้าย 4 เหลืยมมากที่สุดแล้วนับเอาชิ้นเอา พอดีอาจารย์สอนผมมา ทำให้ก่อนที่ผมจะจำสูตรอะไรต่างๆ ก้จะหาที่มาให้ได้ว่าสูตรนี้มีที่มายัง วฺการมีที่มายังไงแล้วเราจะจินตนาการภาพออกในหัวเอง ลองดูวิธีนี้ดุครับน่าจะทำให้เราง่ายขึ้น จากคุณ : Tears - [ 19 ก.พ. 52 10:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ่าฮะ ขอบคุณคุณ Tears มากครับ สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม ขอเอาไป apply ในการเรียน math. นะคับ จากคุณ : kwang_kung86 - [ 19 ก.พ. 52 10:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าไม่คุ้นเคยกับเลข ลองเริ่มจากเซต ความน่าจะเป็น สถิติ ก่อนครับ พวกนี้ถ้าหลักการแม่นจะไม่ปวดหัวกับวิธีทำ ตามมาด้วยตระกูล cal ฟังชั่น เมตริกซ์ พวกนี้ใช้ความเข้าใจและอดทนเป็นหลัก ต่อมาก็พวกตรีโกณ พีชคณิต เวคเตอร์ จำนวนเชิงซ้อน พวกนี้ไม่ยากแต่ใช้จินตนาการสามมิติ จากคุณ : jaycee - [ 19 ก.พ. 52 10:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ครับผม ขอบคุณมาก ๆ นะครับ จากคุณ : kwang_kung86 - [ 19 ก.พ. 52 11:10:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจะอ่าน Cal แนะนำตามนี้ function > limit > cal รับรองว่าเรียนแล้ว Cal จะทำให้เรื่องที่เหลือง่า่ยขึ้นมาทันที เพราะมันสามารถประยุกต์ใช้ได้เยอะมาก จากคุณ : atthaphong - [ 19 ก.พ. 52 11:22:33 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อยากให้give #7 แต่หมด คณิตศาสตร์ ถูกคิดเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ทีนี้เราก็ไปคิดตามเค้า ว่าเค้าแก้ปัญหานี้ยังไง เข้าใจไปทีละstepแล้วก็จะถึงฝั่งเอง แล้วก็หัดเอาโจทย์มาทำ ให้ความเข้าใจมันฝังในสายเลือด คนกระบี่รวมเป็น 1 จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 19 ก.พ. 52 11:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เล่มเดียว แล้วดีทั้งหมด 20 หัวข้อ ที่ว่ามา คำตอบคือ ไม่เคยเห็น และไม่คิดว่าจะมีด้วย อาจมีสองสามหัวข้อในเล่มเดียวที่ดี หลังจากนั้นห่วย หรือดีเพียงบางส่วน เท่านั้น ถ้าไม่มีคนติว ยากมากครับ เพราะ คำนิยามในหนังสือแต่ละเล่มนั้น เขาลอกกันมาทั้งหมด อ่านไปสามตลบหกวัน ห้าคืน แล้วยังไม่เข้าใจ เพราะเขาเขียนเป็นภาษามะนาวต่างดุ๊ด ผมอ่านแล้ว จะเล่าความให้หลานฟัง ยังทำไม่ได้ ต้องหาคนอธิบายความคับ ทีนี้ คนที่จะอธิบายความ ก็มีน้อย ที่จะพูดภาษานิยาม ให้มันเป็นภาษาที่ชาวบ้านร้านตลาดเข้าใจกัน ยังไม่เคยเห็นเลยครับ ผมเอง ก็พยายามจะทำอยู่ ทำได้ 2 - 3 % เท่านั้นเอง ยิ่ง นิยาม ของ Matrix นี่อ่านแล้ว อยากจะให้คนเขียน กลับไป เรียนภาษาไทยซะใหม่ เขียนเอง เข้าใจเอง แต่ถ่ายทอดให้คนอื่นไม่ได้ แม้เขายากจะนิยาม ออกมา ให้มันล้อกับฝรั่ง อย่างน้อย เขาควรจะ มีอธิบายความเป็นภาษาไทย อย่างง่ายไปด้วย แต่ไม่เห็นมีใครทำ  ยังแปลกใจมาถึงทุกวันนี้ จากคุณ : น้าพร - [ 19 ก.พ. 52 11:46:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านให้จบซักเรื่อง แล้วลองทำโจทย์ เริ่มจากง่ายๆ ไล่ไปยากเรื่อยๆครับ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องซิเรียส กลับมาอ่านใหม่ แล้วกลับไปทำอีกทีก็ได้ครับ โชคดีครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง - [ 19 ก.พ. 52 11:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ครูคนแรกที่สอนคอนเซปการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ให้ผมสอนผมว่า วิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชากลุ่มทักษะ ซึ่งหมายถึงว่า คนที่จะเก่งและเชี่ยวชาญในวิชานี้ คือคนที่ฝึกฝน เป็นประจำและสม่ำเสมอ ยกตัวอย่างก็เหมือนกับ การเ่ล่นเกมกดของพวกเธอนั่นแหล่ะ ตอนแรกพวกเธอ ต้องจำให้ได้ก่อนว่า เกมนี้เ่ล่นยังไง กดปุ่มนี้ กดปุ่มนั้น เื่พื่ออะไร จากนั้นพวกเธอก็เล่นๆๆๆๆ ยิ่งเล่น บ่อยเท่าไหร่ พวกเธอก็ยิ่งชำนาญมากขึ้นเท่านั้น ก็เหมือนกับวิชาคณิตศาสตร์ ในระหว่างที่พวกเธอทำแบบฝึกหัด เธอจะเกิดทักษะทางคณิตศาสตร์ ขึ้นมาเรื่อยๆ ตรงนี้แหล่ะที่สร้างความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งทักษะตรงนี้ครูสอนให้ไม่ได้ พวกเธอ ต้องไปสร้างมันขึ้นมาเอง ที่ครูทำได้ก็เพียงแค่ ชี้เส้นทาง หรือ ยกตัวอย่าง กับพวกเธอไปทำเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพวกเธอเอง จากคุณ : Generals - [ 19 ก.พ. 52 11:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คห. 10 ครับ ผมเห็นด้วยอย่างแรง อ่านตำราไทยแล้ว งง มาก มันไม่มีที่มาที่ไปของนิยาม หรือสัญลักษณ์ที่ใช้ แต่อ่านตำราของต่างประเทศแล้วก็โอดีนะครับ แต่เนื้อหา อาจจะเยอะกว่ามากเพราะมันอธิบายซะละเอียดยิบ ดีที่ตัวเองมีสัพย์ภาษาอังกฤษและไวยากรณ์ติดตัวเยอะเลยไม่เป้นปัญหาเท่าไหร่ จากคุณ : kwang_kung86 - [ 19 ก.พ. 52 11:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ราวๆนี้ละัมั้ง ปัญหาคือพอเรียนไปสูงๆแล้วเรื่องพวกนี้จะปนกันหมด เอา vector มารวมกับโน่นบ้างนี่บ้าง นี่ไม่้รู้เรียนลึกแค่ไหนเลยไม่แน่ใจเหมือนกัน จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 19 ก.พ. 52 12:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ลืมรูป จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 19 ก.พ. 52 12:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เจอภาพ MInd Mapping ของคุณ  house (panote_saechiew) แล้วชัดเจนจังเลยครับ ขอบคุณอย่างสูง จากคุณ : kwang_kung86 - [ 19 ก.พ. 52 12:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาต่อนิดนึงเรื่องนิยามคณิตศาสตร์ที่อาจารย์ผมสอนผมชอบมาก เค้าบอกว่าคณิตศาสตร์ก็คือวิชาที่สอนเรารู้จักแก้ปัญหาเหมือนทุกวิชา นั่นแหละ อย่างภาษาอังกฤษกก็แก้ปัญหาเราอยากสื้อสารกับคนอื่นในโลก พละ เราอยากมีร่างกายแข็งแรง แล้วมาต่อที่คณิตศาสตร์ จารย์บอกว่าทุกสูตรทางคณิตไม่ได้คิดจะตั้งขึ้นมาก็ตั้ง แต่มันตั้งจากปัญหาที่เกิด จารย์ยกตัวอย่างอันนึงผมจำขึ้นใจ เค้าบอกว่าถ้าเรามีก้อนหิน 1 ก้อน อยากหาปริมาตรของมันจะทำยังไง หลายๆคนก็ตอบวิธีของยูเรก้า คือให้น้ำล้นออกมาแล้วเอาไปตวงหาปริมาตร สบายๆ ไม่ต้องลำบาก แล้วอาจารย์ก็มต่อว่า แล้วภูเขา 1 ลูกล่ะ จะทำไง จะตัดมันไปหย่อนในน้ำไหม เงียบ... ทีนี้เรามาหาวิธีว่าเราจะวัดปริมาตรภูเขากันดีกว่า ด้วยไม่ต้องไปตักภูเขาทั้งลูกมาตวงวัด .................. หลังจากนั้นผมจึงเข้าใจคณิตศาสตร์มากขึ้น ว่าถ้าเรารุ้ที่มามันจะทำให้เราเข้าใจง่ายแล้วไม่ยากอย่างที่คิด  แต่อย่างว่าครับหนังสือบ้านเราชอบเอามาแต่สมการแล้วก็สั่งให้เราคิดๆๆๆๆๆ โดยไม่รุ้หรอกว่าสมการนั้นมาจากไหน เด็กบ้านเราเลยคิดว่ามันยากแล้วไม่สนุก แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 12:51:30 จากคุณ : Tears - [ 19 ก.พ. 52 12:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เริ่มไม่รู้เรื่ิองตั้งแต่ตอนไหน ก็กลับไปอ่าน ไปทำ บฝห. เรื่องนั้นใหม่ ไม่ต้องอายเด็กครับ + - * / , % , บัญญัติไตรยางค์, หรม. ครน., พื้นที่, สมการ, ... เอาข้อสอบ ชั้นมัธยมต้น มาลองทำดู ถ้ายังยากไป เอาของชั้นประถมเลยครับ ววว.pratabong.คอม/P_web/math/math.htm รับรองว่าคุณทำได้ไม่เต็ม จากคุณ : PV - [ 19 ก.พ. 52 13:26:14 A:203.155.78.243 X: TicketID:102349 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คำถามของจขกท. มีหลายประเด็นเลย - จะเรียนคณิตศาสตร์ยังไง ให้เข้าใจลึกซึ้ง ตอบว่า เน้นที่ "ความเข้าใจแจ่มแจ้ง" ตั้งแต่พื้นฐานขึ้นไปครับ ถ้าข้ามเรื่องพื้นฐาน มันจะมีปัญหา เวลาเรื่องนั้นโผล่มาอีก ในเรื่องที่ยากขึ้นครับ - ควรจะอ่านเรื่องไหนก่อน-หลัง อันนี้ยาว เดี๋ยวค่อยกลับมาตอบอีกทีครับ - แนะนำตำรา เป็นเรื่องแปลก ที่โดยปกติ ตำราไทยจะเขียนแล้วอ่านรู้เรื่องไม่เท่าตำราฝรั่ง (เดาว่าเป็นที่คนไทย ไม่เก่งในการเรียบเรียงความคิด ไม่ได้ถูกฝึกให้เขียนตั้งแต่ยังเล็ก และการเขียนตำราส่วนใหญ่ มักจะบินเดี่ยว คือทำคนเดียว ไม่มีบก. มาช่วยกันทาน ช่วยกันแก้) แต่ทั้งนี้ ผมขอยกเว้น แบบเรียนคณิตศาสตร์ระดับมัธยม เอาไว้ เป็นตำราที่อ่านเข้าใจง่ายที่สุด มีแบบฝึกหัดพร้อมในตัว ไม่ต้องเรียนพิเศษที่ไหนเลย หาซื้อได้ง่าย (ร้านศึกษาภัณฑ์ฯ) ราคาถูก (แต่ออกตัวหน่อยครับ ว่าผมเคยได้เห็นและพลิกดูตำราระดับมัธยม คราวสุดท้ายก็สิบปีแล้วมั้ง) ดังนั้น จึงขอแนะนำ ให้ซื้อตำรา ม.1-6 นี่แหละครับ มาอ่าน เพราะดูหัวข้อที่ต้องการแล้ว ไม่เกินระดับมัธยมแน่นอน (ยกเว้น Discrete Math ที่น่าจะเป็นระดับป.ตรี) ถ้าเห็นว่า ม.ต้น ง่ายไป จะเริ่มอ่านที่ม.ปลายเลย ก็ได้ครับ จากคุณ : ลุงแว่นใจดี - [ 19 ก.พ. 52 16:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กลับมาที่ประเด็นว่า ควรจะอ่านเรื่องไหนก่อน-หลัง รูปของคุณ house (panote_saechiew) แสดงความเชื่อมโยงของแต่ละเรื่อง ได้ดีอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะขอเจาะลงไปในรายละเอียดมาขึ้นนะครับ ถ้าดูตามหัวข้อ ที่จขกท. ว่ามา ผมคิดว่าเราพอจะแบ่งเนื้อหาออกได้ เป็น 4 หมวดกว้าง ๆ (ผมแบ่งตามความเห็นผมเองนะครับ) ได้แก่ คณิตศาสตร์พื้นฐาน (foundation math), แคลคูลัส (calculus), สถิติ (stat), ตรรกศาสตร์ (logic) ไม่ว่าต้องการจะเรียนต่อด้านไหน ในระดับป.ตรีขึ้นไป ต้องเข้าใจคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ส่วนจะคล่อง ไม่คล่อง อีกเรื่องนึง) ทีนี้ ถ้าอยากต่อคณะวิทยาศาสตร์, คณะวิศวกรรมศาสตร์ ต้องรู้ แคลคูลัส (calculus) ด้วย แต่ถ้าอยากจะต่อบัญชี, การเงิน, การบริหาร, และวิชาชีพอื่น ๆ ที่ต้องมีการวิจัย วิชาสถิติ (statistics) จะมีบทบาทสำคัญ แต่ถ้าต้องการจะต่อสายคอมพิวเตอร์ (computer science, computer engineer, ...) ตรรกศาสตร์ (logic) จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากครับ ทีนี้ มาลองดูกันว่า หัวข้อใด อยู่ในหมวดใดบ้าง หมวดคณิตศาสตร์พื้นฐาน (foundation math): หมวดนี้ ยังแบ่งย่อยออกได้เป็น 3 กลุ่มนะครับ คือ algebra, trigonometry, series กลุ่มแรก (algebra) ก็มีเรื่อง - พีชคณิต - เซต - ระบบจำนวนจริง - ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน คำว่าพีชคณิต (algebra) นั้น กว้างมาก ผมเองก็ลืมไปแล้วครับว่า ถ้าเป็นเฉพาะมัธยมปลายนั้น เขาเรียนกันแค่ไหน แต่อย่างน้อย น่าจะมีเรื่อง การแก้สมการ และรู้จักเรื่องการกระจายพจน์ใน polynomial กันบ้าง วิธีสอน ก็มีหลายแบบ ดังนั้น คงต้องดูที่ตัวตำราด้วยครับ ว่าเขาอยากสอนระับบจำนวน ก่อนการแก้สมการ หรือเขาจะสอนสมการก่อน แล้วค่อยมาสอนระบบจำนวนและเซต เพื่อจะได้ต่อเรื่อง relation/function กลุ่มสอง (trigonometry, geometry) - ฟังก์ชันตรีโกณมิติ - ฟังก์ชันและการบวก ลบ คูณ หาร , วงกลม พาราโบลา วงรี ไฮเพอร์โบลา หมายเหตุ: ไม่แน่ใจว่า ฟังก์ชันและการบวก ลบ คูณ หาร กับเรื่อง วงกลม พาราโบลา วงรี ไฮเพอร์โบลา มันมาอยู่ที่เดียวกันได้ยังไงเหมือนกัน กลุ่มสาม (series, exponential, logarithm) - ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและฟังก์ชันลอการิทึม - ลำดับอนันต์และอนุกรมอนันต์ หมวดต่อมา เป็นเรื่อง แคลคูลัส (calculus) นะครับ - จำนวนเชิงซ้อน - เมทริกซ์และดีเทอร์มิแนนต์ - เวกเตอร์ในสามมิติ - แคลคูลัส 1, 2 หมวดต่อมา เป็นเรื่อง สถิติ (calculus) หมายเหตุ: ก่อนจะเรียนสถิติ เขามักจะให้เรียน ตรรกศาสตร์เบื้องต้น, ความน่าจะเป็น ก่อน นัยว่า จะได้เข้าใจแนวคิดเรื่องการแจกแจงพื้นฐานบ้าง (เช่น binomial distribution เป็นต้น) ดังนั้น จขกท. ก็น่าจะอ่านสองเรื่องนั้นก่อนเริ่มเรียนสถิตินะครับ แต่เวลาจัดหมวด ผมคิดว่ามันควรอยู่หมวดตรรกศาสตร์ - สถิติ และข้อมูล - กำหนดการเชิงซ้อน - การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น - ความสัมพันธ์ระหว่างการแจกแจงความถี่ ค่ากลาง และการกระจายข้อมูล หมายเหตุ: ไม่แน่ใจว่า กำหนดการเชิงซ้อน นี่เขาเรียนเรื่องอะไรกัน ที่พอจะทราบก็ กำหนดการเชิงเส้น (linear programming) แต่ก็ไม่ทราบว่าใช่ตัวเดียวกันหรือไม่ หมวดต่อมา เป็นเรื่องตรรกศาสตร์ครับ ถ้าต้องการต่อคอมพิวเตอร์ แนะนำให้เน้นกลุ่มนี้มาก ๆ หน่อย จะมีผลดีในอนาคตครับ - ตรรกศาสตร์เบื้องต้น - ความน่าจะเป็น - ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น - Discrete Mathematics หมายเหตุ: ความจริงทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น (Number Theory) เป็นวิชาที่กว้างมาก (จนอาจถือได้ว่า เป็นเสาหลักต้นหนึ่งเลย ในคณิตศาสตร์ทั้งหมด แต่ที่จัดให้อยู่ในกลุ่มนี้ แทนที่จะเป็นหมวดพื้นฐาน เพราะเห็นว่า สิ่งที่นร.มัธยมเรียนนั้น มันจะเกี่ยวเนื่องกับ Discrete Mathematics มากกว่า เท่านั้นครับ) จากคุณ : ลุงแว่นใจดี - [ 19 ก.พ. 52 17:27:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับคำแนะนำของคุณ  ลุงแว่นใจดี มาก ๆ เลยครับ ละเอียดเกินกว่าที่คิดไว้อย่างมหาศาล อ่านความคิดเห็นแล้วรู้สึกเกิดความมุ่งมั่นอย่างแรงมากครับ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 52 10:24:42 จากคุณ : kwang_kung86 - [ 20 ก.พ. 52 10:21:31 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ลุงแว่นสุดยอดครับ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 20 ก.พ. 52 12:59:08 ]