ความคิดเห็นที่ 1 บทแรกที่จะนำเสอ ความจำ-การลืม และการคิด ความจำ -ขั้นตอนของความจำ ความจำของคนเรานั้น ถึงเราไม่รู้สึก แต่จริงๆแล้วมันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน นักจิตวิทยา บอกว่าความจำประกอบด้วย3ขั้นตอน คือ ..การรับรู้ข้อมูล ..การเก็บรักาาข้อมูล ..และการระลึกได้ แผนภาพ สิ่งเร้า-->|การรับข้อมูล-->การเก็บ-->การระลึกได้|-->การตอบสนอง จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 12:44:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การระลึกได้ ข่าวสารบางอย่างเราระลึกได้ง่าย บางอย่างก็รู้สึกติดขัด วิธีที่จะทำให้เราระลึกได้ง่ายคือ ..สิ่งชักนำ มีหลายๆอย่าง เช่น ตัวอักษรตัวหนึ่งของชื่อ ข้อมูลแวดล้อมที่อยู่รอบตัวของสิ่งนั้น เช่น เพื่อนชื่อ สมศักดิ์ เรานึกไม่ออก จดมีคนแนะว่า อะไร สอเสือนี่แหละ ...ปรากฏปลายลิ้น(tip of the tongue) เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเป็นปรากฏการณ์ที่แสนจะทรมานนี้ คือเรารู้สึกว่าเรารู้ชื่อนั้นๆ คำนั้นๆ แต่ยังนึกไม่ออก เหมือนกับว่าติดอยู่ที่ปลายลิ้น ปรากฏการณ์นี้จะรบกวนจิตใจเราจนกว่าเราจะนึกออกมาได้ และจากการทดลองของBrown and Mc.Neill 1966 พบว่า ไอคำที่มาจากปรากฏการณ์ปลายลิ้นนั้น จะมีบางอย่างที่คล้ายกับคำตอบจริง เช่น พยัชนะตัวน่าเหมือนกัน สระเหมือนกัน เช่น ผมนึกคำว่า มาซิโดเนียไม่ออก(อยู่ที่ปลายลิ้น) ผมอาจจะบอกว่าคาซิโดเนีย  ..ทำนองนั้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 12:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาปาดจ้า ไม่เคยเรียนจิตวิทยา แต่เป็นศาสตร์หนึ่งที่สนใจมากและค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองเสมอๆเลย ^^ เสียดายให้กิฟไม่ได้ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 20 ก.พ. 52 12:54:30 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปาดก่อนเลย... ขอชื่นชม น้องๆรุ่นใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ปรบมือ แปะๆๆๆ จากคุณ : ฝนฟ้ากะพายุ - [ 20 ก.พ. 52 12:55:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ช่วยผมที จิตไม่ค่อยจะลงร่องลงรอยเท่าไหร่แล้ว จากคุณ : มนุษย์หน้าเขา (pon2007) - [ 20 ก.พ. 52 12:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 6 วิธีทดสอบความจำ วิธีทดสอบความจำมี3วิธี คือ 1.การจำได้    2.การระลึกได้  3.การเรียนซ้ำ 3แบบนี้แตกต่างกันอย่างไรเรามาทำความเข้าใจกัน 1.การจำได้(recognition) คือการที่เราต้องมีสิ่งของ หรือทางเลือกอยู่ตรงหน้า เช่น การชี้ตัวผู้ต้องสงสัย การทำข้อสอบช้อย  การเห็นหน้าเพื่อนเก่าแล้วก็จำได้ เป็นต้น 2.การระลึกได้(recall) การระลึกต่างจากการจำได้  กล่าวคือ ไม่ได้มีเหตุการณืหรือสิ่งใดตรงหน้า แต่ต้องให้สมอง ระลึกออกมาเอง เช่นการทำข้อสอบเขียน ต้องนึกออกมาเอง หรือการอธิบายรูปพรรณ-หน้าตาคนร้าย ให้ตำรวจ 3.การเรียนซ้ำ คือการพยายามทำซ้ำๆ ฟังซ้ำๆ อ่านซ้ำๆ ดูซ้ำๆ เพื่อให้เก็บในความทรงจำ การรับรู้อะไร บางทีเวลายิ่งผ่านไปนาน ยิ่งจางหาย การเรียนซ้ำจะทำให้ความจำอยู่ได้นาน เช่น ตอนแรกต้องท่องบทสวด8ครั้งจึงจะท่องได้โดยไม่ต้องดู เวลาผ่านไป เราลืม   แต่เมื่อต้องมาท่องใหม่ เราอาจท่องแค่ 5ครั้ง ก็ท่องได้ เขามีสูตรคะแนนประหยัดความจำ = จำนวนครั้งที่เรียนครั้งแรก - จำนวนครั้งที่เรียนครั้งหลัง ------------------------------------------------------------   x 100        จำนวนที่เรียนครั้งแรก จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 13:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอ เทคโนโลยีสมัยนี้ล้ำหน้า เพื่อนผมเคยเอาเนื้อหา+เก็งสอบ ไปโพสเว็บบอร์ดเหมือนกัน แล้วมันก็ใช้ i_pod touch เปิดอ่านในห้องวางใต้กระดาษคำตอบเนียนเลย ไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอกนะ จขกท หรือผู้ใดก็ตามอย่าได้ทำตามเป็นอันขาด ได้ไม่คุ้มเสีย จากคุณ : กุหลาบหลงเงา - [ 20 ก.พ. 52 13:10:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จากการทดลองของ Ebbinghaus 1850-1909 ความจำจากการเรียนซ้ำจะลดลงอย่างรวดเร็วในระยะแรกๆ หลังจากนั้นก็จะลดลงที่ละน้อยๆ กล่าวคือ ใน2วันแรก ความจำจะลดลงไปกว่า70กว่าในร้อย(เหลือเกือบ30ในร้อย) และจะค่อนข้างคงทีในระดับเกือบ30ใน100 ต่อไปอีกนาน (แสดงว่าอ่านแล้ว พอผ่านไปสัก2วัน เราจะจำได้แค่3ในสิบของที่อ่านหรือนี่-*-  แต่มันคงมีอะไรที่ซ้ำซ้อนกว่านั้นอยู่เบื้องหลัง) จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 13:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อมาจะเข้าเรื่อง ทฤษฎีความจำ 2กระบวนการ ดูจากชื่อแล้วยังงงๆ ว่า2กระบวนการอย่างไร ที่จริงทฤษฎีนี้ก็คือ ความจำระยะสั้น กับ ระยะยาวนั่นเอง (แต่จริงๆมีความจำสัมผัส หรือ Sensory register ด้วยนะ ที่จะทำให้ภาพติดตาเราสักวิหนึ่ง ตรงนี้ไม่เน้น แต่หาอ่านได้จากhttp://gotoknow.org/blog/mind/8566) 1. ความจำระยะสั้น Short-term Memory เป็นความจำชั่วคราว สิ่งใดก็ตามที่เรารับสัมผัสแล้ว ไม่ได้ทบทวน ท่องซ้ำ มันจะสลายเป็นอย่างรวดเร็ว เช่น การจำเบอร์โทร จากสมุดโทรศัพท์ เราท่องหมายเลขครั้งเดียว แล้วหมุนโทรศัพท์  พอหมุนติด เราก็ลืมมันไป/ขออภัยในความโบราณของตัวอย่าง/ ความจำระยะสั้นเราจำได้ค่อนข้างจำกัด คือ เราจะจำได้แค่7+- 2หน่วย การทดลองว่าเราจำได้เฉลี่ยแค่7นี้ มีตั้งแต่สมัยของEbbinghaus 1885 และได้ทดลองซ้ำโดย Miller 1956 เพื่อยืนยัน พิสูจน์ด้วยตัวคุณเองว่าจำได้แค่7+-2 ท่องครั้งเดียว(ความจำระยะสั้น) แล้วระลึกออกมา 4 5 1 2 7 5 จำได้มั้ย? จำได้สิ เพราะแค่6ตัว (เว้นแต่ความจำคุณจะอยู่ที่ระดับ5ตัว) ต่อมา 5 4 2 3 3 6 9 7 8 4 จำไม่ได้สิ เพราะมันตั้ง10 ทั้งนี้หน่วยที่ว่า อาจหมายถึงตัวเลขมากกว่า1ตัว เช่น 01 ของเบอร์โทรศัพท์  หรือ 073(เบอร์ของปัตตานี-ยะลา แถวๆนั้น) ของเบอร์บ้าน เราถือเป็น1หน่วย เพราะมันคู่กัน มันเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 52 13:32:56 จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 13:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 2. ความจำระยะยาว เป็นความจำที่ค่อนข้างคงทน ถาวร เช่น จำเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนได้  ท่องสูตรคูณได้ จำเนื้อหาสำคัญๆได้ จำงานเลี้ยงรุ่นได้ พูดถึงงานเลี้ยง ผมอยากจะบอกว่าการเลี้ยงสังสรรค์นี้มีประโยชน์นะครับ สำหรับบุคคล หรือองค์กร  การเลี้ยงสังสรรค์ เหมือนเป็นจุดเซฟ ประสบการณ์ดีๆของของเรา หรือพนักงาน เป็นเหมือนภาพถ่ายที่มีชีวิตคอยฉายอยู่ในใจ จะทำให้บุคคลากร สามารถระลึกถึงช่วงเวลานั้น และมีไฟในการทำสิ่งต่างๆ (แจ็ค เวลล์ อดีต ซีอีดอของจีอี ก็บอกอย่างนี้) ความจำระยะยาวนั้นแบ่งเป็น เหตุการณืที่เกิดกับตัว เช่น เหตุการร์ในอดีต อย่างผมทำน้องฟันหัก และสิ่งเรียนรู้ที่ติดตัว เช่นสูตรคูณ เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 13:40:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ชอบด้านจิตวิทยาเหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องกับเค้าหรอก จากคุณ : Time & Trust - [ 20 ก.พ. 52 13:48:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มาถึงสิ่งที่หลายๆคนคงอยากรู้ ...วิธีการปรับปรุงความจำ นักจิตวิทยาให้วิธีปรับปรุ่งความจำมาหลายแบบ ได้แก่ 1)   การจัดระเบียบ แบ่งเป็น -การจัดหมวดหมู่ เช่น จัดความคิดให้ถูกต้อง ส้มโอ น้อยหน่า มังคุด เป็นผลไม้ คะน้า ตำลึง เป็นผัก ....แต่ทั้งนี้ในชีวิตจิตจะพบว่าของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง การจัดหมวดหมู่จะยากขึ้น หรือจัดไม่ได้เลย  ก็ต้องอยู่ที่การเรียนรู้ของแต่ละคน ว่าจะจับเจ้า สิ่งเข้าใจยากมาไว้ในหมวดหมู่ใด การจัดกลุ่ม ก็ไม่อยาก ก้อย่างเช่นการจำหมายเลขโทรศัพท์ 084-968-2018( ตรงกับเบอร์ใครก็ขออภัย)  จำเป็นจังหวะๆ บางคนอาจสร้างความหมายให้กับตัวเลขได้  เช่นเลข4ตัวหลัง ปี 2018 เราจะอายุ30   มันจะวนเวียนอยู่ในความคิดเรา ช่วยเบาแรงในการจำ จะแต่งงาน เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 13:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาขอทบทวนด้วยคนค่ะ get A นะคะ จากคุณ : i Lost my way - [ 20 ก.พ. 52 13:55:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 2) การสร้างภาพในใจ อันนี้มีตั้งแต่ระดับง่ายๆ จนถึงซับซ้อน ระดับง่ายๆ มีการทดลองของ Bower 1972 แบ่งคนเป็น2 กลุ่ม ให้จำการเข้าคู่กันของบัตรภาพ โดยจะมีบัตรภาพอยู่เป็นคู่ ตอนแรกจะให้กลุ่มตัวอย่างได้ดูภาพ ที่เป็นคู่กัน เช่น รูปหมา คู่กับ รถจักรยาน เมื่อถึงเวลา ให้ผู้รับการทดลองเปิดภาพ ได้ภาพใด ก็จะถามภาพว่าภาพนี้จะคู่กับภาพอะไร ...โดยช่วงที่ฝึกจำภาพนั้น กลุ่มทั้ง2ได้รับคำแนะนำต่างกัน กลุ่มแรกบอกให้จำเป็นชื่อๆ เช่น หมา-จักรยาน แต่อีกกลุ่มนึกบอกให้จำเป็นภาพและสร้างสิ่งเชื่อมโยง เช่น นึกภาพหมาที่มีเชือกผูกกับจักรยาน ปรากฏว่า กลุ่มที่สร้างภาพในใจจำได้ดีกว่า คือ80%  ในขณะที่อีกกลุ่ม แค่ 33%   (ทั้งนี้จริงๆผลอาจต่างกันมากกว่านี้ เพราะบางทีคนที่ถูกสอนให้จำเป็นคำ อาจแอบสร้างภาพในใจได้) จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 13:57:19 ]

ความคิดเห็นที่ 15 3) การเรียนเกินพอ ถ้าฟังจากชื่อคงดูน่ากลัว  จริงๆแล้วก็คือการเรียนซ้ำๆนั่นเอง หรือเรียนให้ลึกกว่าที่เป็นอยู่ เรียนให้ฉ่ำปวด ไม่มีอะไรอธิบายมากกับวิธีนี้ (แต่ทำจริงๆยาก) 4) การทดสอบด้วยตัวเอง ก็เช่น การทำแบบฝึกหัด การอธิบายให้เพื่อนฟัง หรือการมาโพสลงเว็บบอรืดอย่างที่ผมทำอยู่ก็นับได้เหมือนกัน จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 การลืม มีหลายสาเหตุ ได้แก่ ****จากความบกพร่องทางสรีระ เช่น ขาดสารอาหารบางชนิด สมองเสื่อม ความชราภาพ การมีน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้รับยาบางชนิด เป็นโรคลมบ้าหมู บางคนสมองได้รับการการกระทบกระเทือน มีการลืมในลักาณะที่เรียกว่าAmnesia คือ สามารถจำเหตุการณ์ในอดีตได้จนถึงก่อนที่สมองจะได้รับการกระทบกระเทือน จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ****การลืมข้อท็จริงต่างๆ การลืมสิ่งที่เล่าเรียนมาแล้ว สิ่งที่เคยรู้มาก่อน นักจิตวิทยาวิเคาระหืสาเหตุว่า 1. มาจากการไม่ได้ทบทวนใช้ disuse hypothsis มีนักจิตวิทยา ศึกษาในการบวนการของประสาท ที่มีโครงสร้างเป็นประจุไฟฟ้าอยู่ โครงการดังกล่าวแปรเปลี่ยนสภาพได้ง่าย แต่หากขบวนการประสาทสัมผัสได้รับการทบทวนซ้ำ โครงสร้างประจุไฟฟ้นั้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้างทางเคมีที่ทนต่อการเสื่อมสลายมากกว่า และการทบทวนหลายๆครั้ง โครงสร้างจะผนึกแน่น เป็นร่องรอยประสาท หรือที่เรียกว่ารอยความจำ โดยรอยความจำนี้ จะเสื่อมสลายได้ตามกาลเวลา ....นี้คือคำอธิบายนึงของการลืม จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 การนอนนั้นสำคัญต่อความจำ Exstrand 1967 ได้ทดลองเกี่ยวกับการนอน ต่อความจำ โดยให้กลุ่มตัวอย่าง2กลุ่มท่องจำคำที่ไร้ความหมาย เมื่อท่องจำเสร็จ ปล่อยให้กลุ่มนึงไปทำอะไรต่างๆได้ จะทบทวนหรือไม่ก้ได้ กับอีกกลุ่มหนึ่งให้นอนหลับ ..ปรากฏว่า! กลุ่มที่นอนหลับจำได้ดีกว่า การทดลองแบบนี้มีอีกหลายครั้ง และยังยืนยันความดีงามของการนอนหลับ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 19 2. การลืมเพราะการรบกวนจากสิ่งอื่น แบ่งเป็นการรบกวนจากความรู้เก่า และความรบกวนจากความรู้ใหม่ - การรบกวนจากความรู้เก่า(Proactive Interfernce) หมายถึงการเรียนรู้สิ่งหนึ่งมาก่อน  แล้วไปเรียนรู้อีกสิ่งหนึ่ง ปรากฏว่าสิ่งที่เรียนรู้ที่หลังไม่ได้ผล เช่น เราเคยเล่นเทนนิสมาก่อน แล้วมาฝึกเล่นแบด ปรากฏว่าวิธีจับไม้ไม่เหมือนกัน เราจะจับแบบเทนนิส จนทำให้เล่นแบดได้ไม่ดี -การรบกวนจากความรู้ใหม่(Retroactive Interference) การได้หลังลืมหน้านี้ ก็กลับกับอันข้างบน  สาเหตุเพราะเราดันถนัดอันหลังมากกว่า อันหลังมีอิทธิพลมากกว่า จนทำให้ ลืมสิ่งที่เคยเรียนมาก่อน สิ่งที่เคยทำมาก่อน   ฟังดูเหมือนเหมือนการมีรักใหม่เลย จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:27:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 การลืมเนื้อหาสาระ บุคคลมักจะใส่ประสบการณ์ หรือคอนเซปต์ของตนเองลงไปในเนื้อหาสาระที่ได้ยินได้ฟังมา มันเป็นเช่นนี้เสมอ เป็นเหตุผลที่เกมพายกระซิบ ผู้เล่นคนสุดท้ายจะบอกประโยคที่ผิดเพี้ยนไปจากผู้เล่นคนแรกอย่างมากมายเป็นประจำ บางครั้งการใส่ประสบการณ์ลงไปในสิ่งที่อ่าน หรือได้ฟัง ก็ทำให้เราเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น เช่น ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเล่นรถไฟเหาะ เมื่ออ่านถึงการเคลื่อนไหวแบบรถไฟเหาะ ผมก็จะเข้าใจมันลึกซึ้ง และจำมันได้ง่าย ต่างกับคนที่ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์นั้น แต่แค่นึกเอาว่ามันควรจะเป็นอย่างไร และจะลืมมันได้ง่ายกว่า แต่ทั้งนี้การเอาประสบการณ์ของเราใส่เข้าไป อาจทำให้เราเข้าใจผิดได้ เข้าใจบริบทผิด หรือความหมายผิด ดังเช่น เรื่องราวจากข่าวลือ หรือการนินทาต่างๆ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การจงใจลืม เชื่อว่าหลายๆคนคงอยากทำได้ กระบวนการอันนี้เราเรียกมันว่าการเก็บกด(Repression)  อันที่จริงแล้วเนื้อหาเหตุการณ์ต่างๆนั้นยังไม่ได้หายไปไหน แต่ยังอยู่ในสภาพความทรงจำของจิตไร้สำนึก ...ดังนั้น สิ่งนี้อาจถูกระลึกมาเมื่อเวลาเหมาะสม บางทีสิ่งที่ถูกระลึกออกมาจะถูกแปรรูปเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เช่นงู แทนอวัยวะเพศชายเป็นตน เกี่ยวกับเพศๆอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกว่าคุณฟรอยด์นั่นเอง ที่เป็นผู้อธิบายเรื่องนี้ แต่ก็มีอีกแบบ ที่ผู้มีประสบการณ์จงใจลืมโดยเจตนา ปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนรู้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน มีคุณสมบัติเหมือนกัน  จึงเลือกมาจำแค่อันเดียว เช่น เบอร์โทรศัพท์ของมหาวิทยาลัยอาจมีหลายเบอร์ เราเลือกมาจำแค่อันเดียว เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถึงเรื่องสุดท้าย ของบทนี้สักที การคิด การคิดนั้นซับซ้อนนัก การคิดนั้นมีหลายแบบ บางอย่างต้องใช้ความรู้-ความจำ-ประสบการณ์ คอนเซปต์ (ขอนำคำตอบจากกระทู้เก่ามาอธิบายเรื่องคอนเซปต์) ความคิดคนเราตอนเด็กๆจะไม่มีคอนเซปต์เท่าไหร่นัก แต่เมื่อโตๆขึ้นมา เรียนสูงๆขึ้นมา จะเกิดคอนเซปต์มากมาย คอนเซปต์คือเราจะจัดกลุ่มสิ่งที่เรารู้มาอยู่เป็นหมวดๆ เมื่อเราเห็นตู้ เก้าอี้ โต๊ะ ตอนเด็กๆจะแยกๆกัน ตอนโตเราก็คิดว่ามันเป็น เฟอร์นิเจอร์ ถามว่ามีคอนเซปต์นี้ดีมั้ย จำเป็นมั้ย ก็ต้องบอกว่าแน่นอน จำเป็น ...ถ้าเราเคยเห็นหมาพันธุ์เล็กๆตลอดเวลา เราจะมีคอนเซปต์ว่าหมาต้องตัวเล็ก แต่เมื่อเรามาเจอหมาตัวใหญ่เท่านั้นแหละ เราจะงงนิดหน่อย และจัดคอนเซปต์ใหม่ คอนเซปต์นั้นอยู่ในทุกเรื่อง ทุกรายละเอียด คอนเซปต์ของเพลงลูกทุ่งบ้านเรา จริงๆอาจไม่เหมือนกับที่คนอเมริกันคิดถึงเพลงคันทรีของเขา คอนเซปต์มีทั้งรูปธรรม นามธรรม ทุกๆอย่างเราจัดกลุ่มมัน และมันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตด้วย ...หากแต่ถ้าเรายึดคอนเซปต์มากไป เราอาจไม่ฉลาดนัก แต่คนที่ฉลาดจริงๆเขาก็มีคอนเวปต์นะ  แค่เขาไม่ยึดติดกับมัน เขามีความคิดเหมือนเด็กน้อยที่คิดแยกแยะ หากแต่เขาก็ยอดเยี่ยมที่จะคิดแบบองค์รวม เด็กเมื่อเห็นไม้แบดมินตัน เขาอาจคิดว่ามันสามารถ ใช้ตีเพื่อน ใช้เขี่ยของ ใช้ถือกลับด้านทำสิ่งต่างๆ หากแต่ผู้ใหญ่ที่เรียนสูง ภูมิมาก แต่ไม่เทพ อาจติดกับดัก คิดว่ามันเป็นแค่ไม้แบด คนที่คิดเหมือนเด็ก  เมื่อเห้นตู้เสื้อผ้า คิดว่ามันสามารถ เอาลิ้นชักมาเรียงกันไปบันไดใช้ไต่ขึ้นที่สูงเมื่อจำเป็นต้องหนีภัย แต่คนที่ติดกับจะคิดว่ามันเป็นแค่ตู้ ใช้อะไรไม่ได้ มีการทดลองเรื่องทำนองนี้ด้วย(นักจิตวิทยาที่ชื่อดังเคอร์เป็นผู้ทดลอง) มีการเอาของสารพัดมา เช่น เทียน กล่องไม้ขีด ของจุกจิกทั้งหลาย แต่แบ่งเป็นของ2แบบ ให้คน2กลุ่ม กลุ่มนึงจัดของพวกนั้นอย่างเป็นระเบียบ ไม้ขีด เทียนอยู่ในกล่องเรียบร้อย ของทุกอย่างเป็นหมวดหมู่ กับอีกกลุมนึง วางเปะปะ ตัวกล่องแยกจากของ เมื่อให้โจทย์ทั้ง2กลุ่มในการแก้ปัญหาโดยการใช้ของพวกนั้น ...พบว่ากลุ่มที่ของวางเปะปะ เป็นกลุ่มที่แก้ปัญหาได้ดีกว่า เพราะเขาไม่ได้มองว่า กล่องเป็นแค่กล่องไร้ความหมาย แต่คิดว่ามันคือสิ่งของส่วนนึงที่นำมาใช้แก้ปัญหาด้วยนั้นเอง ขณะที่กลุ่มที่ได้ของเรียบร้อยในกล่อง คิดว่ากล่องเป็นแค่สิ่งบรรจุ ดังนั้นการเรียนการสอนที่ดี ไม่ใช่แค่ทำให้มีภูมิรู้สูง หากแต่ต้องรู้วิธีที่จะทำให้คนคิดสร้างสรรค์ได้ ไม่ยึดติดกับความจำเจ มีความลื่นไหล ความสงสัย สิ่งนี้จะทำให้คนมองรอบด้าน ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม เขาจะคิดอะไรใหม่ๆได้เสมอ เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์คิดกัน คิดเหมือนเด็ก แต่ก็มีภูมิเหมือนผู้ใหญ่ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:46:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 หน่วยของความคิด 1. จินภาพ คือการนึกถึง รูป เสียง กลิ่น รส แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูป เช่นเมื่อเรานึกถึงแมว เราจะเห็นภาพแมว แต่บางทีเราก็นึกถึงเสียงมันด้วย บางทีเรานึกถึงกลิ่นน้ำหอมของคนรักที่คุ้นเคย  แต่หลักๆแล้ว เรานึกถึงภาพเป็นส่วนใหญ่ 2.ภาษาเป็นสัญลักษณ์ เป็นตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่าง โครงสร้างของภาษา คือ เสียง การรวมกันของคำ และความหมายของคำ บางครั้งภาษาสื่อถึงจินตภาพ แต่บางครั้งภาษาก็สื่อถึงอะไรที่ยิ่งกว่าได้ เช่นสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือ จินภาพที่ซับซ้อนมากๆ 3. สังกัป หรือคอนเซปต์ คือที่อยู่ที่แบ่งเป็นหมวดๆของความรู้ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม (กล่าวไปมากแล้วในคห.22) จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 14:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 การคิดแก้ปัญหา แบ่งเป็นขั้นๆ 1.รู้จักปัญหา 2.หาแนวทางแก้ 3.ประเมินผล ตัดสินใจทางเลือก มีบางครั้งที่เราพยายามแก้ปัญหา แต่หาไม่เจอ  เราจะต้องหยุดพักการคิดไว้ก่อน ระยะนี้เรียกว่าIncubation นักจิตวิทยาบางคนให้ข้อสังเกตุว่า ระยะพักนี้เราไม่ได้พักจริงๆ เพราะสมองส่วนลึกของเรายังแสวงหาวิธีแก้ปัญหาตลอดเวลา จนบางที่มันหาเจอ และเราจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การหยั่งรู้! (insight) (บางทีการนั่งสมาธิก็อาจทำให้เราเจออะไรดีๆนะ) จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 15:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 บทต่อมา พื้นฐานสรีระของแรงจูงใจ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 15:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 โอ๊วว.. เราเพิ่งผ่านไปเทอมก่อนนี่เองวิชานี้ จขกท สู้ ตายเด้อออ จากคุณ : ปลาหมึกรสเลม่อน - [ 20 ก.พ. 52 15:17:24 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แรงขับ แรงขับ หมายถึง ภาวะที่อินทรีย์ถูกกระต้นจากความต้องการของร่างกาย เช่น หิวข้าว หิวน้ำ ความต้องการทางเพศ ต้องการความอบอุ่น ต้องการความเย็น รักษาระดับน้ำตาลในเลือด รักษาระดับบออกซิเจน-คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด  ปริมาณน้ำในเซลล์ เป็นต้น แรงขับนั้นทำเพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุลย์ ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ สืบพันธุ์ได้ แรงขับทำให้เราปกป้องเผ่าพันธุ์ จริงๆทุกอย่างเกี่ยวข้องกับแรงขับทั้งสิ้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 15:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ทฤษฎีสิ่งชวนใจ นักจิตวิทยานชื่อ Clark Hull เป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ เขาเชื่อว่าพฤติกรรมเราเป็นผลจากแรงขับภายใน และการเรียนรู้ด้วย นั่นคือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นตัวการสำคัญ สิ่งนี้เราเรียกว่า "สิ่งชวนใจ" ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีแรงขับหิว อาจจะเกิดความอยากกินอาหารได้ ทันที่ที่เดินผ่านร้านอาหาร ร้านขนม หรือแม้แต่ดูภาพอาหาร ในกรณีนี้ ความน่ากินของอาหารจะเป็นสิ่งชวนใจที่กระตุ้นความหิวได้ หรือคนที่ขาดอาหาร ก็มีอาหารเป็นสิ่งชวนใจ ปัจุบันนักจิตวิทยาสนใจบทบาทของสิ่งชวนใจที่เป็นบวก ที่จะทำให้อินทรีย์เข้าหา เช่น สัตว์ที่กระหายน้ำ   น้ำคือสิ่งชวนใจที่เป็นบวก และสิ่งชวนใจที่เป็นลบสำหรับมันก็คือ สิ่งที่จะทำให้มันกระหายน้ำมากขึ้น เช่น ความร้อน หรือแสงแดด ดังนั้น สิ่งชวนใจคือ สิ่งที่มีหน้าที่ ทั้ง2ลักษณะ คือสิ่งที่กระตุ้นให้อินทรีย์เข้าหา และหลีกเลี่ยง หรือ ถอยหนี ภาพ Clark Hull จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 15:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เยี่ยมครับกระทู้นี้ ขยันทำจริงๆ ให้ Gift ไม่ได้ เดี๋ยวโหวตให้ก็แล้วกันครับ จากคุณ : Disorder - [ 20 ก.พ. 52 15:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 รส และกิ่น อาจสำคัญต่อความหิว แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีการทดลองกับหนู โดยจะทดสอบเรื่องรส และกลิ่น ดูว่าถ้าไม่มี2อย่างนี้ หนู่จะกินอาหารได้หรือไม่ อย่างไร โดย Epstein and Teitebuam 1962 โดยนำเอาท่อตรง ใส่ลงไปถึงกระเพาะของหนู ไม่ให้หนูได้กลิ่น หรือรสอาหาร  หากแต่มีคานไว้ให้กด เมื่อหนูกดคาน อาหารจะไหลตามท่อลงไปในกระเพาะโดยตรง ปรากฏว่าหนูก็จะกดคานเมื่อหิว ทั้งๆที่ไม่ได้รส หรือกลิ่น หนูก็ยังควบคุมปริมาณอาหารได้ ทั้งนี้เพราะแรงขับ ที่เกิดจากความไม่สมดุล ของน้ำตาล-สารเคมีในเลือด โดยส่วนหนึ่งของสมองคือไฮโปทาลามัส เป็นส่วนควบคุมการกิน ดังนั้น แม้หนูไม่ได้กลิ่น หรือรส แต่พบว่าการกดคานจะกำจัดความหิวมันไปได้ มันก็ทำ มันคือการควบคุมจากธรรมชาตินั่นเอง จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 15:39:08 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แรงขับsex แรงขับนี้เป็นตัวหนึ่งที่มีอำนาจมาก แต่ก็มีความต่างไปจากความหิวหรือกระหาย แรงขับทางเพศคือการดำรงเผ่าพันธุ์ของเรา บางคนกล่าวว่าชีวิตในวัยหนุ่มของเราทำทุกอย่างเพื่อเซ็กซ์ จริงหรือไม่อย่างไร แรงขับเพศอาศัยองค์ประกอบภายนอกและภายในหลายตัว ทั้งฮอร์โมน และกลไกลทางสมอง ในสัตว์จะมีช่วงติดสัดของมัน เช่นชิมแปนซีมีในรอบ36วัน ในคน28วัน ในหนู5วัน ช่วงนั้นเรียกว่าIn Heat เป็นช่วงที่ระดับเอสโตรเจนสูงที่สุด ในสัตว์ทั่วไปความรู้สึกทางเพศและพฤติกรรมทางเพศจะอยุ่ในการควบคุมของไฮโปทาลามัส แต่ในสัตว์เลือดอุ่นชั้นสูง เช่น คน สมองส่วนผิวนอก (cerebral Cortex) จะมีอำนาจควบคุมอยู่  คนจึงเป็นไม่เป็นสัดให้เห็นชัดเจน จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 15:51:21 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แรงขับของความเป็นแม่ ในสัตว์หลายๆชนิด การดูแลรักษาลูกเป็นแรงขับดันที่มีอำนาจมากกว่าความหิว ความกระหาย และsex นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายนั้น การมีเผ่าพันธุ์สืบต่อเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มีการทดลองกับหนู โดยพบว่าหนูที่เป็นแม่จะคาบลูกมันกลับเข้ารัง เมื่อมีคน(มือบอน) หยิบลุกมันออกไป เมื่อแม่หนูถูกแยกมาจากลูกของมัน มันจะฝ่าฟันอันตรายกลับไปหาลูกของมัน กล่าวคือ มันจะข้ามสิ่งกีดขวาง เช่น ตะแกรงที่มีกระแสไฟฟ้า เพื่อกลับไป ในการอธิบายทางสริระวิทยานั้น เป็นเรื่องซับซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อความเป็นแม่คือฮอร์โมน"โพรแลกติน" ฮอร์โมนนี้เกี่ยวกับการสร้างน้ำนมของแม่ จากการทดลองพบว่า ถ้าฉีดฮอร์โมนนี้ไป ในหนูสาวบริสุทธิ์ หรือแม้แต่หนูตัวผู้  หนูเหล่านี้จะมีพฤติกรรมที่จะสร้างรังและดูแลป้องป้องลุกๆของมัน (นี้เป็นความฝัน ที่เราจะสร้างฮอร์โมนมาเปลี่ยนคนได้รึเปล่า เปลี่ยนคนที่ไร้ความรับผิดชอบ ให้เป็นคนดี เปลี่ยนความก้าวร้าวเป็นนุ่มนวลได้รึเปล่า..สร้างโลกใหม่) แต่เช่นเดียวกับเรื่องเพศ ในคนและลิง สิ่งนึงที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมากคือการคิด การเรียนรู้ เพราะเรามีซีรีบัมใหญ่ มีการทดลองแยกลูกลิงชิมแปนซีจากแม่ เอามาอยู่กับขดลวดแทนแม่แท้ๆ ขดลวดที่ไม่อาจแสดงความเป็นแม่ได้ ....พบว่าเมื่อเจ้าลิงตัวนี้โตขึ้น เป็นแม่คน มันไม่ค่อยจะแสดงบทบาทของความเป็นแม่ได้   ต้องรอให้มีลูกคนที่2 จึงจะเป็นแม่ได้ดีขึ้น การเรียนรู้คือธรรมชาติหนึ่ง ของสัตว์ที่ฉลาดอย่างมนุษย์ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอพักสักครู่ครับ กับภาพทดสอบ  ทฤษฏีสิ่งชวนใจ..แรงขับหิว จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คาดว่ากระทู้นี้จะได้รับการโหวตเป็นกระทู้แนะนำ จากคุณ : นายสีเสียด - [ 20 ก.พ. 52 16:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แรงขับที่ไม่ธรรมดา!! แรงขับบางอย่างนั้น เป็นสิ่งที่บุคคลทำขึ้นเอง ตัวอย่างก็เช่น การใช้ยาเสพติดทั้งหลายแหล่ ไม่ได้เสพแล้วแทบขาดใจ แรงขับที่ไม่ธรรมดาอย่างอื่นอีกได้แก่ แรงขับที่ไม่ใช่ทำให้ตอบสนองโดยตรงแก่การอยู่รอดและดำรงเผ่าพันธ์เช่น แรงจูงใจในการสำรวจ การหาความจริง แสวงหาปัญญา การทำเพื่อผู้อื่น  ที่แม้ว่าต้องทุกข์ทรมาน ต้องเสี่ยงภัย เป็นต้น โดยผมเห็นว่าแรงขับที่ไม่ธรรมดา ที่ทำให้คนบางคนดื้อด้านที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คงเกิดจากการเรียนรู้  และการเรียนรู้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ อย่างเช่น เช กูเวรา ที่มุ่งมั่นที่จะไปพนันกับความตาย โดยหวังความยุติธรรมและความกินดีอยู่ดีของผู้คน ในทุกที่ที่เขาไปถึง จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:32:39 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ทฤษฎีลำดับขั้นแรงจูงใจของมาสโลว์อันโด่งดัง ............................................... ภาพของอับราฮัม มาสโลว์ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:37:40 ]

ความคิดเห็นที่ 37 กับพีระมิดอันโด่งดังของเขา จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 38 โหวตๆ จากคุณ : ScaperS - [ 20 ก.พ. 52 16:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาสโลว์ เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยม บอกว่าแรงจูงใจของมนุษย์นั้นแบ่งเป็น5ขั้น ส่วนใหญ่แล้วจะต้องพัฒนาเป็นขั้นๆไป จากรูปข้างบน เริ่มจากฐานคือ 1ความต้องการทางกาย 2 ต่อมาก็เป็นความปลอดภัย 3 ความรัก ความสัมพันธ์ การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม 4 ต้องการเกีรยติยศ ศักดิ์ศรี 5 ความประจักษ์ตน เป็นขั้นสูงสุด  อาจเป็น-ต้องการความรู้ ความเข้าใจ  อาจเป็น-ความต้องการทางสุนทรียภาพ  ต้องการนิพพาน  เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:43:44 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มาสโลว์บอกว่าการตอบสนองขั้นแรกๆเป็นการดิ้นรนที่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะต้องมัวกังวลต่อความหิว กระหาย และความปลอดภัย ......แต่หากไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว จะพบว่าชีวิตจะมีความสุขขึ้น ทั้งนี้ คนเราเมื่อเกิดมา จะต้องตอบสนองความต้องการเป็นขั้นๆต่อไป แต่เมื่อเราได้รู้จักกับขั้นที่สูงกว่า บางที เราก็อาจจะรู้สึกว่าความต้องการของขั้นที่สูงกว่านั้นมีพลังมากกว่า ขั้นที่ต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น คนที่ยอมตายเพื่อศักดิ์ศรี หรือเกียรติ คนที่ยอมอดอาหาร เพื่อความสวย อย่างดารา นางแบบหลายๆคน(เพราะความสวยหมายถึงการยอมรับ อันเป็นขั้นที่สูงกว่า) เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แรงจูงใจของฟรอยด์ รูป ซิกมุนด์ ฟรอยด์ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:58:38 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ..... จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 16:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยาสายจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ฟรอยด์เชื่อว่าพฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์เกิดจากกลุ่มของสัญชาติญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด2ชนิดคือ สัญชาติญาณแห่งชีวิต(Life instincts) อันเป้นสัญชาติญาณสร้างสรรค์ชีวิต และ สัญชาติญาณแห่งความตาย(Death Instincts) อันเป็นสัญชาติญาณที่นำมนุษย์สู่ความพินาศ Life instincts ก็เช่น การอยากมีชีวิตอยู่ การสืบพันธุ์ แรงขับทางเพศ Death Instinctsก็เช่น การทำลายล้าง สงคราม ฆ่า ฆ่าตัวตาย โดยฟรอยด์เชื่อว่า แรงขับทั้ง2จะแสดงออกตั้งแต่เกิด จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 17:15:12 ]

ความคิดเห็นที่ 44 พฤติกรรมที่สันนิษฐานว่ามาจากแรงจูงใจไร้สำนึก                 ได้แก่ 1. ในความฝัน เรามักจะแสดงความปรารถนาและความต้องการบางอย่างที่เราไม่รู้ตัวออกมา บางที สิ่งในฝันจะมาในรูปของสัญญะ เช่น งู แทนอวัยวะเพศผู้ชาย ดังนั้นสาวคนใดฝันว่าเล่นงูอย่าไปเล่าให้เพื่อนฟังนะครับ 2.ในอากัปกริยาที่ไม่รู้ตัว หรือในการพุดพลั้งปากออกมา เช่น หญิงสาวที่เรียบร้อยคนนึง สะดุดก้อนหิน ตกใจ ร้อง อีห..ย แสดงว่าท่านผู้นี้มีอะไรขัดข้องอยู่ในใจ 3.ในอาการเจ็บป่วยบางชนิด เช่นอาการป่วยทางจิต บางทีคนไข้ ตอบสนองความต้องการโดยการแสดงกริยาบางอย่าง ที่ปกติไม่ทำ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 17:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ต่อมาอีกทฎษฎีหนึ่ง ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าทฎษฏีทางจิตวิทยานั้นมีหลายสำนัก แต่ละสำนักก็มีดี-ข้อด้อยของมัน ไม่มีใครสมบูรณ์ที่สุด หากแต่อยู่ที่ว่าจะมองมุมไหน อย่างไร ......ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมที่เกี่ยวกับแรงจูงใจ ตามทฤษฎีนี้ พฤติกรรมของบุคคลไม่ได้ถูกผลักดันจากพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่เกิดจากการเรียนรู้ 1 เป็นผลจากการได้รางวัล เมื่อทำการตอบสนองที่ต้องการ เช่น เรียนดี ใครๆก็ชม /เก็บชนะผู้คนชอบ/ เป็นเด้กดีพ่อแม่ซื้อของเล่นให้เป็นต้น 2เป็นผลของการลงดทษ และงดรางวัล  ดื้อแล้วโดนตีนะ/ขโมยดินสอเพื่อน เพื่อนเกลียด/ ฆ่าคนติดคุก 3เป็นผลของการเรียนรู้อดีต 4เป็นผลของการเรียนรู้แบบสรุปรวม เช่น เห็นไฟ หมายถึงมีความร้อน ดังนั้นอะไรที่เป็นแสงไฟอาจร้อนได้   และแยกความต่าง เช่น โดนไฟฉายส่องห่างๆ หรือโคมไฟ้ห่างๆ ไม่ร้อน ไม่เป็นไร 5 เป็นผลของการสังเกตและเลียนแบบผู้อื่น  เห็นนักรบกล้า ได้รับความชื่นชม เห็นเพื่อนๆที่ทำตัวดีใครๆก็ชอบ เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 17:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ครึ่งทางแล้ว   "อารมณ์" จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 17:57:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อารมณ์กับพลังจูงใจ แยกไม่ขาดออกจากกัน เรารู้จัก ความโกรธ ความกลัว ความสำราญ ว่าเป็นอารมณ์ และจัดความหิว ความกระหาย ความอ่อนเพลีย   ว่าเป็นพลังจูงใจ .........อย่างไรก็ตามยังมีวิธีแยกความต่างของมันได้อยู่ มันต่างกันอย่างไร กล่าวคือ ส่วนใหญ่ อารมณ์ ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าภายนอก เช่น มีคนนินทา หนังเศร้า ก้อนหินตกใส่ บลาๆๆๆ แต่พลังจูงใจ เกี่ยวกับ ความต้องการจากภายใน เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำทำให้หิว เป็นต้น ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าเกณฑ์นี้จะแบ่งได้ทั้งหมด เช่นบางที่เราได้เห็นอาหารอร่อย(จากภายนอก)ก็หิว หรือบางทีการขาดอาหารรุนแรงก็ทำให้เรามีอารมณ์โกรธได้   เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 18:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 48 การเปลี่ยนแปลงของร่างกายนั่น แน่นอน มันควบคู่กับอารมณ์ ต่อไปเป็นทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับอารมณ์ครับ 1.ทฤษฎีของ เจมส์-เลงก์ ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เมื่อร่างกายได้รับการกระตุ้น จากสิ่งเร้าใดๆ จะแสดงปฏิกริยาตอบโต้ในทันที ..หลังจากมีพฤติกรรมแล้วจึงเกิดอารมณ์ เช่น เจอเสือ จะหนีก่อน แล้วค่อยกลัว ตกบรรใด จะคว้าราวก่อน แล้วค่อยตกใจ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะภายใน ด้วย หลังจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว สิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นประทาทสัมผัสภายใน แล้วแปลออกมาเป็นอารมณ์ รูปของ วิลเลี่ยม เจมส์ จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 18:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 49 2.ทฤษฎีของ แคนนอน-บาร์ด ทฤษฎีนี้เห็นว่า ปฎิกริยาและอารมณ์นั้นมาพร้อมกัน ไม่ใช่ปฎิกริยาเกิดก่อน อารมณ์เกิดหลัง ทฤษฎีของ เจมส์-เลงก์ มีจุดอ่อนหลายประการที่อธิบายไม่ได้ ทฤษฎีการรู้การคิด เน้นความสำคัยของการคิดว่าทำให้เกิดอารมรณ์ เช่นบางคนกลัวอย่างนึง ในขณะที่อีกคนไม่กลัว หรือฉีดสารอย่างหนึ่งในสถานะการณ์นึง กับอีกสถานการณ์นึง ก็ให้ผลต่างกัน เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 19:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้า จขกท เสริมตรง การรับรู้คืออะไรเข้าไป จะช่วยให้วาดโครงสร้างของการจดจำได้ง่ายขึ้นนะ   การรับรู้ กับ การรับสัมผัส มันแตกต่างกัน  ของที่ผ่านตาในบางกรณีอาจจะจำไม่ได้ก็ได้ ในคนที่ตาบอดการจำของเขาอาจเกิดจากการรับรู้ผ่านอวัยวะรับสัมผัสเสียง คือ หู ซึ่งเราจะรับรู้ได้ก็เกิดเมื่อสมองได้ทำการแปลสัญญาณสิ่งนั้นๆ ถ้าหากมีต่อที่วิชาสรีระจิต ก็จะได้เรียนถึงการทำงานของกระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปกระตุ้นไฮโปธาลามัส ************************************************ เอาส่วนของความจำ มาเสริมให้ เป็นแบบสอบถามตอบ ที่เราทำไว้อ่านตอนสอบวิชา สรีระจิต ในส่วนของความจำนะ  อ่านแล้วก็ตั้งถามตอบไปเรื่อยๆ 379. ความจำมีกี่ขั้นตอน 3 ขั้น 1. บันทึก 2 เก็บ 3 ระลึก 380. การเก็บความจำเกิดเมื่อไร เกิดเมื่อระบบมีสติ 381. ความจำมีกี่ชนิด                2 ชนิด 1. รับความรู้สึก  2. สั้น- ยาว 382. การจำภาพจะคงอยู่นานเท่าไร 250 มิลลิวินาที 383. ความจำระยะสั้น จำได้นานแค่ไหน 2-3 นาที 384. ศักย์ทำงานในชั่วเวลาหนึ่งเรียกอะไร Local reverberating circuit 385. รากฐานความจำระยะสั้น คืออะไร ถ้าหายไปจะเกิดอะไร reverberating circuit  หากหายไปจะลืมความจำ 386. ไฟฟ้าแบบใดที่ตอบสนองนาน และ กระตุ้นที่ใด Train pulses กระตุ้นที่ ไฮโปธาลามัส 387. LTP เกี่ยวกับอะไร ความจำ การเรียนรู้ 388. ความจำตลอดชีวิตคือ Tertiary memory 389.ความจำถาวรเกิดได้อย่างไร Synapse เปลี่ยนรูป 390. ฮอร์โมนจากต่อมใดสำคัญกับความจำ ต่อมไทรอยด์ 391. หากขาดไปจะเป็นอย่างไร ปัญญาอ่อนได้ *********************************************** ><"  สายจิตวิทยาเหมือนกัน จิตวิทยาทั่วไปมันเป็นเหมือนพื้นฐานน่ะ ให้รู้จะเรียนอะไรบ้าง ยังไม่ได้ลงลึกแล้วอธิบายอะไรมากเท่าไร เอาใจช่วยนะ  จิตวิทยาทั่วไป เราว่ามันไม่ค่อยยากเท่าไรหรอก แต่มันกว้าง(มากกกกกกก) เท่านั้นเอง จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 20 ก.พ. 52 19:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณครับ คุณขี้เหงา...เอาแต่ใจ ตอนนี้จขกท.กำลังพักอยู่ ได้ครึ่งทางแล้ว มันกว้างจริงๆครับ อ่านตำราหลายเล่ม ก็มีส่วนเลื่อมล้ำกันเสมอ แต่ดีที่อ.ออกในหนังสือเรียน จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 19:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 52 สติปัญญา ความสามารถ และการวัด จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 20:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ทฤษฎี 2องค์ประกอบของ Charles Spearman ใจความคือ ความสามาถของเรามี2แบบ แบบแรกคือ ความสามารถทั่วไป General (g) ได้แก่ ฟังคำสั่ง อ่านหนังสือ อีกแบบคือ ความสามารถพิเศษ Specific (s) เช่น ดนตรี เครื่องยนต์กลไก เป็นต้น จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 20:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ทฤษฎีโครงสร้างทางปัญญาของกิลฟอร์ด แบ่งโครงสร้างของปัญญาเป็น3มิติ มิติแรก..วิธีการคิด มิติที่2..เนื้อหา มิติที่3..ผลของการคิด มิติแรก  วิธีการคิด ได้แก่ -การรู้ -การจำ -การคิดเอนกนัย(คิดหลายๆทาง คิดสร้างสรรค์) -การคิดเอกนัย คิดหาทางดีที่สุด -การประเมินผล มิติที่2 เนื้อหา -ภาพ -สัญลักษณ์ -ภาษา -พฤติกรรม มิติที่3 ผลของการคิด เช่น หน่วย จำพวก ความสัมพันธ์ ระบบ การแปลงรูป การประยุกต์ เหนื่อยยยยย จากคุณ : i.everyday - [ 20 ก.พ. 52 20:25:16 ]

ความคิดเห็นที่ 55 สอบพรุ่งนี้แล้ว ดีใจที่ได้อ่านซ้ำไปอีกรอบขอบคุณเจ้าของกระทู้ค่ะ จากคุณ : 169 degree BRIX (169 degree BRIX) - [ 20 ก.พ. 52 21:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 56 มาปูเสื่อ .. แอบสนใจจิตวิทยา จากคุณ : -0- (iCeLadyzInW) - [ 20 ก.พ. 52 21:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คห55 ที่เดียวกะผมเปล่า เพราะผมสอบวันนี้3โมง มาต่อ ไม่รู้จบมั้ย แต่อ่านจบแล้ว จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 10:41:42 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณเหมือนกันสงสัยจะที่เดียวกันมั่งๆ เราสอบวันที่ 24 จากคุณ : senior (Senior_Buen) - [ 21 ก.พ. 52 12:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ดูท่าจะไม่ทันแล้ว อีก2ชั่วโมง ขอสรุปสั้นๆและกัน จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 12:44:49 ]

ความคิดเห็นที่ 60 บทต่อมา บุคคลิกภาพ และการประเมิน การวางรปแบบบุคคลิก มีพื้นฐานบางส่วนจาก ประสบการณ์ร่วม เช่น คนที่อยู่ในสังคม-วัฒนธรรมเดียวกัน ประสบการณ์เฉพาะ คือเรื่อง เฉพาะตน เจอในครอบครัวตัวเอง จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 12:47:09 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องบุคลิกภาพ ก็มีหลายทฤษฎี 1 กลุ่มแนวคิดลักษณะนิสัย 2จิตวิเคาระห์ 3การเรียนรู้สังคม 4มนุษย์นิยม จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 12:48:26 ]

ความคิดเห็นที่ 62 1. กลุ่มแนวคิดลักษณะนิสัย มีนักคิดที่ชื่อเครทเมอร์แบ่งบุคคลิกภาพโดยสัมพันธ์กับรูปร่าง pyknic อ้วน เตี้ย อารมณ์แปรปรวน asthenic สูงผอม เก็บตัว ขี้อาย athletic รูปร่างกลางๆ มีเพาเวอร์ กระตือรือล้น ต่อมาก็มีเชลดัน ที่แบ่งเป็น3รูปร่างเหมือนกัน endomorphs  อ้วน ชอบสังคม mesomomrphs สมส่วน ชอบลุย ectomorphs ผอม ชอบคิด เก็บตัว ต่อมา Jung แบ่งเป็น2ประเภท Introvert เก็บตัว Extravert ชอบสังสรรค์ อย่างไรก็ตามพบว่าบุคคลิก-รูปร่างมีความสัมพันธ์กันต่ำ นักจิตวิทยาจึงไม่ได้สนใจแนวคิดนี้มากนัก แต่ก็สนบ้าง จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 12:54:38 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ลักษณะนิสัย Traits มีนักจิตวิทยานาม คะเทล สนใจ บอกว่านิสัยเราประกอบด้วยนิสัย "ส่วนลึก กับส่วนผิว" เช่น อารีอารอบ เป็นนิสัยส่วนลึก ประกอบด้วยนิสัยส่วนผิวได้แก่ ใจดี ,สนใจผู้อื่น,วางใจ และนิสัยส่วนลึกมีคู่ตรงข้าม เช่น อารีอารอบ ตรงข้าม เบียดเบียน เจ้าพิธี  ตรงข้าม เรียบง่าย จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 12:57:38 ]

ความคิดเห็นที่ 64 จิตวิเคราะห์ก็บอกว่านิสัยเป็นผลของ การเลี่ยงสมดุลของ อิด อีโก้ ซุปเปอร์อีโก้ ถ้าไม่สมดุลย์ ก็อาจมีบุคคลิกภาพแปลกๆ และฟรอยด์เชื่อว่า พัฒนาของบุคลิกภาพ มีมาจากขั้นของการพัฒนา ที่เด็กจะเล่นกับอวัยวะ ได้แก่ ปาก อวัยวะขับถ่าย อวัยวะเพศ จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 13:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 65 จากคุณ : เยี่ยมมากกกกกกกก - [ 21 ก.พ. 52 13:11:32 A:203.153.169.74 X: TicketID:151048 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ดูเหมือนผมจะทำไม่หมด ใครมีอะไรเสริมที่เกี่ยวข้องก็โพสได้เลยนะครับ อีก ชั่วโมงกว่า สอบแล้ว จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 13:29:26 ]

ความคิดเห็นที่ 67 แนวคิดมนุษย์นิยม ทฤษฏีเกี่ยวกับตนของโรเจอร์ หลักๆคือ คิดว่าบุคคลิกภาพ เกิดจากแนวคิดเกี่ยวกับ"ตน" เมื่อเผชิญกับความเป็นจริงของประสบการณ์ เช่น ภาวะที่เป็นจริง งาน การแข่งขัน หรือไม่ก้แนวคิดเกี่ยวกัย"ตน" เมื่อเผชิญกับ ตัวเองในอุดมคติที่ตั้ง เช่นบางคนอาจเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่เขามีอุดมคติเกี่ยวกับตนว่า ต้องหล่อ รวย เก่ง มีแฟนสวย เมื่อตัวเองไม่ได้เป็นดังนั้น เขาก็อาจมีความทุกข์ได้ จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 13:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 68 วิธีการประเมินบุคคลิกภาพ อาจทำได้ตั้งแต่การสัมภาษณ์-การสังเกต การทำแบบสอบถามมากมาย  เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยทำ แต่ก็มีวิธีที่ไม่ธรรมดา เช่น การทดสอบโดยการมองรูปภาพและเล่าเรื่อง เช่น Rorschach test เป็นการให้มองภาพหยดหมึก และให้รายงานว่าเห็นอะไร คนบางคนเห็นอะไรแปลกๆ คำตอบนั้นอาจบอกส่วนลึกของจิตใจเขา เช่น บางคนหมกหมุ่นเรื่องเพศ ก็อาจบอกว่าเห็นอวัยวะเพศชาย หรือหน้าอกผู้หญิง รูป 1ในRorschach test จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 13:39:45 ]

ความคิดเห็นที่ 69 อันต่อมาเป็นวิธี Thematic Apperception Test (TAT) เป็นภาพเหมือนกัน แต่ต่างจากวิธีแรก คือเป็นภาพที่เป็นรูปธรรม ใช้ทดสอบโดยการให้คนอธิบายภาพนั้น โดยใช้จินตนาการอย่างเป็นอิสระ และนักจิตวิทยาจะตีความสิ่งที่เขาพูดออกมา เช่นภาพข้างล่างนี้ คนบางคนอาจอธิบายว่า "เป็นแม่ ที่อยู่ข้างหลังลูกตัวเอง" หรือ "คนแก่แอบรักเด็ก" หรือ "คนแก่เห็นเด็ก แล้วคิดถึงตัวเองตอนวัยสาว"  เป็นต้น อย่างไรก็ตามแบบทดสอบทั้งหลายไม่ใช่คำตัดสิน ทั้งนี้เพราะจิตของคนเราซับซ้อนนัก   หากแต่มันก็บอกอะไรเราได้บ้าง แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 52 13:49:20 จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 13:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ยังไม่ไปสอบใช่ไหมคะ .. ขออวยพรให้โชคดีในการสอบละกันค่ะ จากคุณ : เมอแรงก์มะนาว - [ 21 ก.พ. 52 13:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เจ๋งมากครับ ผมก็สนใจเรื่องจิตวิทยาเช่นกัน อ่านทีเผลิน ไม่เบื่อ สบายตาด้วย ขอบคุณนะครับสำหรับกระทู้นี้ จากคุณ : kepok - [ 21 ก.พ. 52 15:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 72 นี่เนื้อหาตอนปี1 ใช่รึเปล่าคะ มหาลัยอะไรหรอ เราเรียน ตอนนี้เรื่อง อารมณ์ แรงจูงใจ บุคลิกภาพ จิตทดลอง การปรับตัว เผื่อเรียนอะไรเหมือนๆกัน จากคุณ : HaJi_OoO_iJaH - [ 21 ก.พ. 52 15:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาลงชื่อ+โหวตค่ะ ชอบอ่านเรื่องจิตวิทยาอะ ถ้ามีสอบเล่มต่อไปเอามาลงให้อ่านอีกนะคะ ^^ จากคุณ : ขอให้จขกท.ได้Aน๊า (calamine) - [ 21 ก.พ. 52 16:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 74 get A ค่ะ พรุ่งนี้มีสอบเหมือนกัน ^^" จากคุณ : atihasita - [ 21 ก.พ. 52 16:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 75 Get A นะครับ ไม่น่าจะพลาด คุณเจ้าของกระทู้แน่นกว่าผมอีก ^^ สอบไปเทอมที่แล้ว เทอมนี้ลืมหมดแล้ว - -" จากคุณ : เด็กเอกจิต (Horz doeuvre) - [ 21 ก.พ. 52 17:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณทุกๆนครับ จขกท.เพ่งสอบเสร็จ แต่มีภาระกิจหรรษาอีกนึดที่ต้องไปทำ หุๆ จากคุณ : i.everyday - [ 21 ก.พ. 52 17:38:09 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ตอบ57 เรียนที่เดียวกันจ้า เพราะเราสอบเวลาเดียวกันเลย จากคุณ : 169 degree BRIX - [ 21 ก.พ. 52 18:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เนื้อหาแน่นจริงๆ ขอบคุณมากนะคะ ปึ๊กมาก ได้ทบทวนไปหลายบท วันจันทร์นี้สอบเหมือนกัน เราชอบแผนภาพอันนี้มาก ของมาสโลว์ อยากเอามาฝากค่ะ จากคุณ : Epiglottis - [ 21 ก.พ. 52 18:37:10 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ให้กิฟไม่ได้ แต่ให้กำลังใจนะคะ get an A จากคุณ : Epiglottis - [ 21 ก.พ. 52 18:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เป็นยังไงบ้างค่ะ  สอบเสร็จสบายใจแล้วหรือยัง ขอให้ได้ A เลยนะ ^^ จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 21 ก.พ. 52 19:07:06 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อ่านง่ายดีค่ะ น่าสนใจดี จากคุณ : rrltai^^ - [ 21 ก.พ. 52 19:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 82 สุดยอดกระทู้ ขอปรบมือให้ เสียดายให้ gift ไม่ได้ครับ จากคุณ : Generals - [ 21 ก.พ. 52 19:58:03 ]

ความคิดเห็นที่ 83 นี่มันโน้ตย่อ หรือ แลคเชอร์ อิอิอิ จขกท.น่าจะลุยเอนะ จากคุณ : rainfull - [ 21 ก.พ. 52 21:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อันนี้จบยังอ่ะครับ จขทก.ทำผมเริ่มอยากเรียนจิตวิทยาเลย 555 จากคุณ : คนเดินบนดิน - [ 21 ก.พ. 52 23:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 85 กำลังจะสอบป้องกันวิทยานิพนธ์จิตวิทยาเดือนหน้า สาธุๆ ขอให้หนูสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ผ่นด้วยเถอะเจ้าค่า... เกี่ยวไหมเนี่ย 555 จากคุณ : Fah4fuN - [ 22 ก.พ. 52 00:21:43 ]

ความคิดเห็นที่ 86 มาให้กำลังใจ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 22 ก.พ. 52 02:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เฮ้อ เป็นวิชาที่เกลียดมาก ได้ C+ จากคุณ : ERWA - [ 22 ก.พ. 52 10:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 88 note มาขนาดนี้  A แน่นอน ^^ จากคุณ : หมูจ้ำม่ำ - [ 22 ก.พ. 52 16:03:00 ]

ความคิดเห็นที่ 89 จริงๆ เป็นวิชาที่ไม่ชอบนะ แต่ทำไม เกรดออกมา ได้เอ ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ในห้องได้ เอ ไม่ถึง สิบคน จากคุณ : โทโมกะ - [ 22 ก.พ. 52 19:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เยี่ยมมาก จากคุณ : lolonoar - [ 22 ก.พ. 52 20:48:52 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ผมก็จะสอบ วันจันทร์หน้า หนังสือเล่มเดียวกันเลย กลางภาควิชานี้อยากมากๆ มีแต่ชีวะ ปลายภาคค่อยดีหน่อย จากคุณ : aristoTuEY - [ 22 ก.พ. 52 22:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 92 กำลังจะสอบ จิตพัฒ กะ ชีวจิต ทบทวนครับๆ AAA จากคุณ : เคซีKcGotchi - [ 22 ก.พ. 52 23:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 93 จบสาขาจิตวิทยาเหมือนกันจ้า แต่ร่วม 10 ปีได้แล้ว ตำรานี่ปลวกแทะหมดแล้วมั้ง ความรู้นี่ก็ลืมๆเกือบหมดแล้วอีก ทั้งๆที่ทำงานทางนี้แท้ๆ เวร อยากร่วมแจมด้วยแฮะ แต่สงสัยต้องคุ้ยตำรามาโพส เหอๆ จากคุณ : มนุษย์การ์ตูน - [ 23 ก.พ. 52 00:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 23 ก.พ. 52 21:37:55 ]