ความคิดเห็นที่ 1 "ไฟ" คือ "การเผาไหม้" องค์ประกอบการเกิด "ไฟ" 1.เชื้อเพลิง 2.อุณหภูมิ 3.ออคซิเจน จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 24 ก.พ. 52 17:21:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 "ไฟ" คือ  Plasma จากคุณ : AVAVA - [ 24 ก.พ. 52 17:23:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 น่าสนใจกระทู้นี้ ให้กระทู้นี้อยู่นานๆคับ รอดูว่า จริงๆแล้วคืออะไร รออยู่นะึคับ จากคุณ : เหงาใจคับ (Chaisri) - [ 24 ก.พ. 52 17:30:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เหมือน คห #2 เป็นสถานะที่ 4 จริงๆสสารมีถึง 5 สถานะนะครับ (ไม่แน่ใจว่ามีเพิ่มมากกว่านี้หรือยัง) จากคุณ : ชาลีฟ - [ 24 ก.พ. 52 17:42:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไปลอกจากวิกิพีเดียมาให้อ่าน ได้ความดังนี้ครับ พลาสมา จริงๆคือ แก๊สที่มีสภาพเป็นไอออน และมักจะถือเป็นสถานะหนึ่งของสสาร การมีสภาพเป็นไอออนดังกล่าวนี้ หมายความว่า จะมีอิเล็กตรอนอย่างน้อย 1 ตัว ถูกดึงออกจากโมเลกุล ประจุไฟฟ้าอิสระทำให้พลาสมามีสภาพการนำไฟฟ้าเกิดขึ้น สถานะที่ 4 ของสสารนี้ มีการเอ่ยถึงครั้งแรก โดยเซอร์ วิลเลียม ครูกส์ (Sir William Crookes) เมื่อ ค.ศ. 1879 และคิดคำว่าพลาสมา (plasma) โดย เออร์วิง แลงมัวร์ (Irving Langmuir) เมื่อ ค.ศ. 1928 เนื่องจากเขานึกถึงพลาสมาของเลือด พลาสมาจัดได้ว่าเป็นสถานะที่ 4 ของสสาร เนื่องจากมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากสถานะอื่นอย่างชัดเจน พลาสมาประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุทั้งประจุบวกและลบ ในสัดส่วนที่ทำให้ประจุสุทธิเป็นศูนย์ การอยู่รวมกันของอนุภาคเหล่านี้เป็นแบบประหนึ่งเป็นกลาง (quasineutral) ซึ่งหมายความว่าอิเล็กตรอนและไอออนในบริเวณนั้น โดยรวมแล้วมีจำนวนเท่า ๆ กัน และแสดงพฤติกรรมร่วม (collective behavior) พฤติกรรมร่วมนี้หมายถึง การเคลื่อนที่ของอนุภาคในพลาสมา ไม่เพียงแต่จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในบริเวณนั้นๆ เท่านั้น แต่เป็นผลโดยรวมจากพลาสมาส่วนใหญ่ มากกว่าจะเป็นผลมาจากการชนกันของอนุภาคที่อยู่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากอนุภาคในพลาสมาที่สถานะสมดุล จะมีการสั่นด้วยความถี่ที่สูงกว่าความถี่ในการชนกันของอนุภาค 2 ตัวที่อยู่ใกล้กัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรมร่วมนี้เป็นพฤติกรรมที่กลุ่มพลาสมาแสดงออกมา ร่วมกัน พลาสมาสามารถเกิดได้โดย การให้สนามไฟฟ้าปริมาณมากแก่ก๊าซที่เป็นกลาง เมื่อพลังงานส่งผ่านไปยังอิเล็กตรอนอิสระมากพอ จะทำให้อิเล็กตรอนอิสระชนกับอะตอม และทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากอะตอม กระบวนการนี้เรียกว่ากระบวนการแตกตัวเป็นไอออน (ionization) ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้จำนวนอิเล็กตรอนที่หลุดออกมานี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากซึ่งจะทำให้ก๊าซ แตกตัวและกลายเป็นพลาสมาในที่สุด พลาสมามีความแตกต่างจากสถานะของแข็ง สถานะของเหลว และสถานะก๊าซ โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ ในเรื่องดังต่อไปนี้คือ ความยาวคลื่นเดอบาย จำนวนอนุภาค และความถี่พลาสมา ซึ่งทำให้พลาสมามีความจำเพาะเจาะจงที่แตกต่างจากสถานะอื่นออกไป จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 24 ก.พ. 52 18:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ^ คคห5 แล้วนอกจากไฟ อะไรที่มีสถานะ plasma คคห4 อะไรคือสถานะที่5 ขอบคุณครับ จากคุณ : mohicann - [ 24 ก.พ. 52 21:17:27 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไฟคือก๊าซที่ร้อนจนเปล่งแสงออกมา จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 24 ก.พ. 52 21:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไฟ คือ "พลังงานความร้อน และพลังงานแสง".... "คือพลังงาน".... "พลังงาน" จัดเป็น "สสาร" หรือครับ??? ผมว่าไม่นะ... เพราะว่า นิยามของสสาร คือต้องการที่อยู่ ฯลฯ บลาๆๆ ... และประกอบด้วยตอมหรืออะไรก็แล้วแต่.... ซึ่งโดยสรุป ผมว่าไฟไม่เข้าข่ายสสารเลยนะ หากความคิดผมถูกต้อง ไฟ จึงไม่ใช่สสาร และจึงไม่สามารถจัดสถานะตามที่คุณกล่าวมาได้... ปล. คุณเอาไฟไปแช่เย็นให้เป็นของเหลวได้ป่ะล่ะ... จากคุณ : pcplant - [ 24 ก.พ. 52 22:10:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 #6 การSpark ของไฟฟ้า ก็น่าจะนับว่าเป็นพลาสม่าได้นะครับ หรือท่านอื่นว่ายังไง? จากคุณ : เทาทองวอร์ริเออร์ - [ 24 ก.พ. 52 22:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Plasma ในธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ฟ้าผ่า  ปรากฏการณ์ Aurora ที่ขั้วโลกเหนือ เป็นต้น พลาสมาจริงๆ แล้วจัด เป็น fourth state of matter หรือ สถานะที่ 4 ของสสาร อย่างที่หลายๆท่านกล่าวมา พลาสมา   คือ แ ก๊สที่มีการแตกตัวเมื่อได้รับพลังงานที่มากพอ โดยมีอนุภาคไอออนและ อิเลคตรอนในปริมาณที่เท่ากัน การแตกตัวนี้จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับพลังงานเสมอ ถ้าการแตกตัวเกิดอย่างสมบูรณ์หรือเกิดการแตกตัวมากจะเรียกเป็น Hot Plasma ในขณะที่ถ้าแตกตัวเพียงบางส่วนจะเรียกเป็น Cold Plasma พลาสมา มีลักษณะสำคัญเป็น Quasineutral คือ มีลักษณะประจุรวม (coulomb net charge) มีสภาพที่เป็นกลางทางไฟฟ้า และอนุภาคที่เป็นกลางมีสมบัติ collective behaviour อันดับแรก นิยาม collective property ของพลาสมา โดยอธิบายพฤติกรรมของ neutral gas ด้วยทฤษฎีจลน์ของแก๊ซ จากทฤษฎีนี้กล่าวว่า neutral gas จะไม่มีแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของแก๊ซ ซึ่งการเคลื่อนที่ของโมเลกุลถูกควบคุมด้วยการชนกันของตัวมันเอง และผนังของระบบ ผลของการชนกันจะเป็นไปตาม random Brownian motion จากคุณ : oakemon - [ 24 ก.พ. 52 22:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แต่จะพบว่า จริงๆแล้วพลาสมาแสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งออกไป เนื่องจาก ความเข้มข้นของไอออนในระบบ ความเข้มข้นของประจุทำให้เกิด Coulombic fields โดยส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของอนุภาค ซึ่งจะขึ้นกับระยะห่างจากความเข้มข้นของประจุ   ดังนั้นพลาสมาจะมีพฤติกรรมเป็น collective behavior โดยอนุภาคในพลาสมาจะเคลื่อนที่อยู่ในสนามไฟฟ้านี้ บริเวณความเข้มข้นของประจุในพื้นที่ ขนาดหนึ่ง ซึ่งปริมาณขนาดนั้น ในเรื่องพลาสมานี้ กำหนดให้เรียกว่า “Debye length” จากคุณ : oakemon - [ 24 ก.พ. 52 22:45:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จะรักษาสภาพพลาสมาไว้ได้อย่างไร ?? เป็นที่รู้กันว่า สถานภาพพลาสมานั้น อยู่ในสภาวะที่มี ไอออนบวก อิเลคตรอน และ อนุภาคที่เป็นกลาง โดยจะเกิดได้เมื่ออุณหภูมิและหนาแน่นที่เหมาะสม จากกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง อุณหภูมิและความหนาแน่นของอิเลคตรอนพบว่าสถานะพลาสมา จะเกิดที่อุณหภูมิ หรือ ความหนาแน่นสูงๆ โดยพลาสมานั้นมีทั้งไออนบวก และอิเลคตรอนซึ่งมีสภาวะทางไฟฟ้า  ดังนั้นการ รักษาสภาพพลาสมาจึงนิยมอาศัยสนามแม่เหล็กมาเหนี่ยวนำประจุ เพื่อรวบรวมไอออนต่างๆ ให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน และมีความหนาแน่นของไอออนมากเพียงพอที่จะเกิด พลาสมา จากคุณ : oakemon - [ 24 ก.พ. 52 22:46:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 รักษาสภาพพลาสมาได้ เราก็สร้างพลาสมาเองได้ใช่หรือไม่ ?? เราสามารถสร้างพลาสมาเอง เพื่อนำมาใช้งานทั้งด้านบันเทิง คือสร้างเป็นจอพลาสมา ด้านปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุ ด้านพลังงานทนแทนเป็นต้น  โดยการจะสร้างพลาสมานั้นควร คำนึงถึงองค์ประกอบต่างๆดังนี้ คือ แหล่งกำเนิดพลาสมา  การรักษาเสถีรยภาพพลาสมา และการใช้งาน ตัวอย่างเช่น การใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ กระตุ้นให้เกิดพลาสมา แล้วใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ให้ไอออนต่างๆ รวมกัน ณ บริเวณจุดหนึ่ง ทำให้เกิดพลาสมา เกิดที่บริเวณหนึ่งๆ เป็นต้น จากคุณ : oakemon - [ 24 ก.พ. 52 22:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จะเกิดพลาสมาได้อย่างไร ?? Fundamental  Process in a Plasma 1.  Scattering : e-  +  A     A  +  e-   อิเล็กตรอนชนกับอะตอมหรือไอออนแบบอิลาสติก และมีการถ่ายเทพลังงานจลน์ปริมาณเล็กน้อยให้กับอะตอมหรือไอออน 2. Excitation : e-    +  A    A*  +  e-   อิเล็กตรอนที่มีพลังงานเพียงพอชนกับอะตอมหรือไอออนแบบอิลาสติก และพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนถูก inner shell electron ของอะตอมหรือไอออน ดูดกลืนเอาไว้ ทำให้ inner shell electron มีระดับพลังงานสูงขึ้น ขณะที่อะตอมหรือไอออน อยู่ใน excited state excited state มีระยะเวลาสั้น excited electron จะกลับสู่สถานะพื้นพร้อมกับปล่อยแสงออกมา ขั้นตอนนี้เรียก de-excitation หรือ relaxation 3.  Ionization : e-      +  A    A+  +  2 e-     เมื่อพลังงานสูงพอการเข้าชนของอิเล็กตรอนจะมีการถ่ายเทพลังงานให้กับอะตอมหรือไอออน ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออก เมื่ออะตอมหรือไอออนสูญเสียอิเล็กตรอน เรียกว่ามันถูก ionized ทำให้แระจุเพิ่มขึ้นเป็นบวก 4.  Recombination : e-    A+  +    A  +  (hv) อิเล็กตรอนชนกับไอออนแล้วเข้าไปอยู่ในช่องว่างของไอออน และในสถานะที่มีประจุ ถ้าไอออนเปลี่ยนจากระดับพลังงานหนึ่งไปสู่ระดับพลังงานที่ต่ำกว่า พลังงานส่วนเกินของอิเล็กตรอนจะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของ photon ซึ่งมีการปล่อยพลังงาน hv จากคุณ : oakemon - [ 24 ก.พ. 52 22:47:06 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พลาสมา ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายๆด้าน โดยแรกเริ่มถูกใช้ในอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิค  ปัจจุบันเริ่มใช้งานแพร่หลาย ทั้งด้านการดัดแปรผิวของวัสดุ ก็อาศัยหลักของพลาสมาเช่นกัน  เช่นการทำ corona ผิวของ PE PP เพื่อให้พิมพ์สีติดได้ดีขึ้น  หรือ การดัดแปรสิ่งทอให้มี สมบัติตามที่ต้องการ จอทีวี พลาสมา ก็อาศัยหลักการของพลาสมาเนี่ยแหละครับ คร่าวๆ ก็ดังนี้แหละครับ ไม่ได้เกี่ยวกะ คำถามของ จขกท โดยตรง  ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ Credit : รายงานวิชา Plasma Technology,2009 จากคุณ : oakemon - [ 24 ก.พ. 52 22:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สถานะ ของสะสารมีอย่างนี้ สถานะ 0 : Bose-Einstein condensate สถานะ 1 : ของแข็ง (solid) สถานะ 2 : ของเหลว (liquid) สถานะ 3 : ก๊าซ (gas) สถานะ 4 : พลาสมา (plasma) สถานะ 5 : ฟิลาเมนต์ (filament) สถานะ 6 สสารสถานะใหม่ คือ Fermionic condensate ถูกค้นพบ และประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 28 มกราคม 2547   ตัวนี้หน้าตาเป็นยังไงก็ต้องให้นักฟิสิกส์อธิบายละครับ ส่วนผมแค่จำ ขี้ปากเขามาเล่าแบบงูๆปลาๆ เท่านั้นแหละครับ ส่วนที่ว่าสถานะ 4 พลาสมา มีอะไรบ้างนั้น ก็ตอบยากละครับ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราจะเห็นได้ง่ายๆเหมือน ไฟ ขนาดไฟถ้า เราไม่สร้างสภาวะให้มันเกิด มันยังเกิดไม่ได้เลยนะครับ เพราะฉะนั้นการจะมีพลาสมาได้จึงต้องมีการสั่งสมสภาวะและเป็น ไปตามเงื่อนไขที่ไอออน (อะตอมที่มีประจุสุทธิทางไฟฟ้าเป็น บวกหรือเป็นลบ) อย่างน้อยมีอิเล็กตรอน 1 ตัว ต้องถูกดึงออก จากโมเลกุล ก็หมายความว่า ต้องใช้พลังงานที่สูงมากไปเพิ่ม อุณหภูมิให้ก๊าซ สภาวะที่อิเล็กตรอนถูกดึงออกจากโมเลกุลจึง จะเกิดขึ้น เช่น 100,000 องศาเซลเซียส ก๊าซจะกลายเป็นพลาสมา ทันที แล้วถ้าสูงขึ้นไปถึง1,000,000 องศาเซลเซียส นิวเคลียสจะ แตกออกเป็นอนุภาคเดี่ยวที่มีประจุและมีพลังงานความร้อนสูง ที่เรียกว่า Hight Energy Particle สสารในดาวฤกษ์ทั้งหลายจะ อยู่ในสถานะพลาสม่า ดวงอาทิตย์เรานี่ละครับ พลาสมาในทางฟิสิกส์นี่คนละอันกับทางชีวะนะครับ อย่าไปปนกัน เพียงแต่สถานะที่ก๊าซมันกลายไปเนี่ย คุณเออร์วิง แลงมัวร์ แกหาชื่อ ให้มันไม่ได้ ก็เลยไปดึงเอาคำว่าพลาสม่าในทางชีวะมาเรียกดื้อๆซะงั้น ซึ่งก็ทำให้สับสนได้...เรื่องฟิสิกส์นี่มึนครับ นี่ก็ชักมึนแล้วขออนุญาต พอก่อนละกันครับ จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 24 ก.พ. 52 23:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไฟคือการคายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากการย้ายระดับชั้นในวงโคจรของอิเล็กตรอนในอะตอม ทำให้มีหลายสี ตามระดับพลังงาน เมือ่มีการให้พลังงานความร้อน อิเล็กตรอนจะเพิ่มระดับการโคจรของตัวเองิดไปอยู่ด้านนอก ในขณะเดียวกับที่ก๊าซขยยายตัว และหนีออกจากแหล่งกำเนิดความร้อน และเมื่อหนีออกมาเจออากาศที่เย็นกว่า ทำให้อนุภาคของก๊าซนั้น คายพลังงานความร้อนลง ในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้เกิดแสง และการเผาไม้ จะทำให้เกิดก๊าซใหม่ขึ้นมา และก๊าซที่ว่า มีระดับพลังงานลดลง เลยมีการคายความร้อนออกมาเพิ่ม(เช่น C + O2 = CO2 +พลังงานที่คายออก) และความร้อนนี้ก็ไปเผาไม้อนุภาคที่เหลืออยู่ไปเรื่อยๆ จากคุณ : ไม่ได้แตะเคมีมา6ปี (ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน) - [ 25 ก.พ. 52 05:26:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าไฟคือพลาสม่า ถ้าพลาสม่าคือแก๊สที่มีสภาพเป็นไอออน แล้ว..ไฟคือแก๊สอะไร ? ปล. ความเห็นที่ 17 ดูมีหลักการและเหตุผลมากสุดแล้ว จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 25 ก.พ. 52 10:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คห.18 ถ้าไฟคือพลาสม่า ถ้าพลาสม่าคือแก๊สที่มีสภาพเป็นไอออน แล้ว..ไฟคือแก๊สอะไร ? การเผาไหม้ จะทำให้เกิดก๊าซใหม่ขึ้นมา จากคุณ : Tama2kun - [ 25 ก.พ. 52 13:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แก๊สใหม่ที่เกิด ก็ลอยไปปนกับอากาศ อยู่ที่ว่า สารตั้งต้นที่เผาไหม้คืออะไร ถ้าเผาไม้ก็อาจจะเป็นCO CO2 หรือแล้วแต่ว่าเผาอะไรอะครับ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 25 ก.พ. 52 14:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คห 8 ถ้าคุณอ้างอิงตามกฎเกณฑ์ของคุณ คุณจะต้องบอกว่า ฟ้าผ่า ก็คือ พลังงานรูปหนึ่ง อีกเช่นกัน ถูกต้องมั้ยครับ (คิดว่า ฟ้าผ่า ก็น่าจะ เกิดจาก พลังงานความร้อน + พลังงานแสง ด้วยถูกป่ะ) แน่นอน ตามที่คุณกล่าวมาว่า พลังงาน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมี สถานะเหมือนสสาร และ สายฟ้า หรือ ฟ้าผ่า ไม่สามารถเอามาแช่เย็น ให้เป็นของเหลว ได้เช่นกัน ถูกมั้ย แต่ทำไม ฟ้าผ่า จึงมีสถานะ เป็น พลาสม่า ตามที่ คห 10 ได้บอกมา ผมขอถามหน่อยว่า ทำไม ฟ้าผ่า มีสถานะ เป็นพลาสม่าได้ ทั้งๆที่มันก็ไม่สามารถที่จะเอามา แช่เย็น ให้เป็นของเหลว หรือของแข็งได้ แล้วทำไม ไฟ จึงไม่มีสถานะ เป็นเพียงแค่พลังงาน ทั้งๆที่มันก็ไม่สามารถที่จะเอามา แช่เย็น ให้เป็นของเหลว หรือของแข็งได้ เช่นกัน ไฟ กับ ฟ้าผ่า ต่างกันตรงไหนงั้นหรือ?? จากคุณ : Nitrouz - [ 25 ก.พ. 52 19:07:24 ]

ความคิดเห็นที่ 22 #19 คือผมตั้งข้อสังเกตว่า.. ไฟคือพลาสม่า ,พลาสม่าคือแก๊สที่มีสภาพเป็นไอออน มันขัดแย้งกันน่ะครับ ไฟคือการเผาไหม้ แล้วการเผาไหม้ทำให้เกิดแก๊สใหม่...อันนี้ถูก แต่ไฟไม่ใช่แก๊ส...ถ้าองค์ประกอบพื้นฐานการเผาไหม้เกิดจากคาร์บอน เผาแล้วได้คาร์บอนไดออกไซค์ ถ้าบอกว่าไฟคือพลาสม่า แล้วพลาสม่าคือแก๊สที่มีสถานะดังกล่าว ประโยคนี้ก็แปลว่าไฟคือแก๊ส ที่จะเป็นแก๊สอะไรก็ได้ที่เกิดจากวัตถุที่เผาไหม้อย่างนั้นสิ -*- ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มีวิธีทำให้ไฟที่เกิดจากการเผาไหม้คาร์บอนเย็นตัวลงมั้ย ผมจะเอาไปเลี้ยงต้นไม้ -*- ปล. หมายถึง "ไฟ" ไม่ใช่ "ผลที่เกิดจากไฟ" จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 26 ก.พ. 52 11:07:43 ]