ความคิดเห็นที่ 13
คนตายแล้วฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีก ทั้งๆที่บางคนใส่โลงศพไปแล้ว หมอก็วินิจฉัยว่าตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จริงทางวิทยาศาสตร์ซะด้วย ไม่ใช่มีแต่คำเล่าลือ แต่ในอดีตไม่ค่อยมีใครจดบันทึกทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เอาไว้, จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ค่อยน่าแปลกใจซักเท่าไหร่ เชื่อว่าคนที่อยู่ในวงการแพทย์ก็คงจะเคยเจอมาบ้าง, ในสมัยปัจจุบันตามโรงพยาบาลต่างๆ พอคนไข้ตายลงบนเตียง การที่แพทย์จะวินิจฉัยว่าคนไข้ตายหรือยังนั้น แพทย์จะทดสอบว่า รูม่านตาของคนไข้ตอบสนองกับแสงหรือไม่ ถ้ารูม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง(รูม่านตาไม่ขยาย)แสดงว่า สมองตายแล้ว, เสร็จแล้วก็ตรวจดูชีพจรว่าหัวใจยังเต้นอยู่หรือไม่ หลังจากปั๊มหัวใจแล้ว หัวใจก็ยังไม่เต้น แพทย์ก็จะลงความเห็นว่า คนไข้คนนี้ตายแล้ว และจดเวลาที่ตายไว้ด้วย หลังจากนั้นพยาบาลจะกั้นฉาก แล้วปล่อยให้คนไข้ที่เพิ่งตายลงนั้น นอนอยู่อย่างนั้นบนเตียงสักประมาณ 20-30 นาทีจึงจะมาตรวจดูอีกทีว่า คนไข้คนนั้นตายจริงๆแล้วหรือยัง แล้วจึงให้เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายศพไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิต ที่ตามโรงพยาบาลเขาต้องทิ้งคนไข้ที่เพิ่งตายลงไว้บนเตียงเป็นระยะเวลาหนึ่งนั้น ก็เพราะว่าเคยมีกรณีเกิดขึ้นหลายครั้งว่า หลังจากที่แพทย์วินิจฉัยคนไข้ว่าตายลงไปแล้ว ตามหลักการแพทย์ทุกประการ, แต่ปรากฏว่าระหว่างทางที่เคลื่อนย้ายศพไปเก็บที่ห้องเย็นนั้น คนไข้กลับฟื้นขึ้นมา จึงต้องรีบนำคนไข้กลับเข้าห้องไปรักษาใหม่อีก ดังนั้นเรื่องตายแล้วฟื้นคนในวงการแพทย์ก็คงจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่พวกเราไม่รู้ไม่เคยได้ยิน จึงคิดว่าเป็นเรื่องแปลกเป็นไปไม่ได้ ทีนี้ถ้าไปถามแพทย์ว่า เมื่อวินิจฉัยไปตามหลักการแพทย์แล้วว่า คนไข้นั้นตายแล้ว ทำไมไม่ตายจริง ทำไมถึงฟื้นขึ้นมาได้ คนเป็นแพทย์ท่านเองก็จนปัญญาเหมือนกันที่จะอธิบาย ก็ได้แต่บอกว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่ตายจริง ทั้งๆที่ตามหลักการแพทย์แล้วเขาตายไปแล้ว แต่ฟื้นขึ้นมาใหม่ ถ้าจะพูดแบบไสยศาสตร์ ตามความเชื่อ(ที่ไม่ถูกต้อง) ก็ต้องบอกว่า วิญญาณมันลอยกลับมาเข้าร่างใหม่ ก็เลยฟื้นขึ้นมา แต่พูดแบบนี้เป็นการพูดแบบเข้าใจผิด เป็นความเชื่อแบบ สัสสตทิฏฐิ ก็ต้องอธิบายว่าที่เขาฟื้นขึ้นมาได้ ก็เพราะว่า รูป กับ นาม ยังไม่ได้แยกแตกดับออกจากกันอย่างสิ้นเชิง, จิตมันเกิดดับเกิดดับตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ได้ตายจริง, แต่รูปคือร่างกายนั้น เวลามันตาย มันก็ไม่ทำงานจริงๆ ขาดสิ้นไปเลย, แต่คนที่ตายแล้วฟื้นนั้น ร่างกายเขายังไม่ขาดสิ้น เซลล์ต่างๆบางส่วนหยุดทำงาน แต่ก็มีบางส่วนที่ยังทำงานอยู่, หลวงปู่เทสก์ท่านบอกว่า ที่เห็นว่าตายหัวใจหยุดเต้นแล้ว เซลล์ต่างๆตายไปแล้ว แต่จริงๆแล้ว อาจจะมีบางคน “สวาบ” หรือ กระบังลม ยังมีลมอยู่ (คือยังมีลม มีออกซิเจนอยู่ในส่วนของกระบังลม เซลล์บางส่วนของระบบการหายใจจึงอาจยังไม่ตาย) เมื่อมีลมอยู่จึงกลับมาหายใจได้ จึงกลายเป็นว่า ตายแล้วฟื้น จริงๆแล้ว คือ ยังตายไม่สนิทนั่นเอง เมื่อ รูป(ร่างกาย) ยังไม่ดับสิ้นอย่างแท้จริง จิตยังถืออุปทานในร่างกายนี้อยู่ ทั้งสองจึงไม่ขาดสิ้นไปจากกันซะทีเดียว จึงกลับมามีชีวิตฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าวิญญาณลอยกลับมาเข้าร่าง ถ้าเข้าใจอย่างนั้นเป็นอันว่าเข้าใจผิด
ทั้งหมดนี้ มาจาก หนังสือเรื่อง "รู้ก่อนตาย...ไขปริศนาตายแล้วไปไหน" ของ อาจารย์ วีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์
โพสต์มาให้ทุกท่านอ่านดู คงไม่ผิด กม.ลิขสิทธิ์ มั้งค่ะ
จากคุณ :
นพวรรณ
- [
1 มี.ค. 52 20:38:28
A:58.8.224.211 X: TicketID:111777
]
|
|
|