ความคิดเห็นที่ 1 ขนาดนั้นเลยนะครับเนี่ย โอ้วว - -' จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 4 มี.ค. 52 23:30:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พวกเขาคือ Ad02 ครับ ต่อไปนี้คงได้เปิดกระบวนวิชา major ในทุกภาคการศึกษา -_-" จากคุณ : Practical x 2 - [ 4 มี.ค. 52 23:40:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องทำหน้านี้แหละครับ เหมาะแล้ว -_-" จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 5 มี.ค. 52 00:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม ครับ อาจารย์ จากคุณ : Waterman (LN106) - [ 5 มี.ค. 52 00:14:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 กระทรวงบอกว่า ระบบ admission ดีแล้ว เด็กที่เข้าได้ก็ต้องเรียนได้ ดังนั้น ภาควิชา/คณะ/มหาวิทยาลัย ต้องไปแก้ปัญหาให้เด็กเรียนให้จบ ผูกใหญ่ ทำเวรกรรมให้ประเทศและบ้านเมือง แล้วพูดจาโยนความผิดให้คนอื่น จากคุณ : สงสารเด็ก - [ 5 มี.ค. 52 00:14:22 A:58.9.139.17 X: TicketID:117365 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เศร้าครับ จากคุณ : Skyman (Analayo) - [ 5 มี.ค. 52 00:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 -____________- นึกถึงตอนสอนปรับพื้นฐาน จากคุณ : rainfull - [ 5 มี.ค. 52 00:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อาจมีวิธีแก้ครับ   โดยเพิ่มวิชา ภาษาไทย  และ  สังคมเข้าไปใน หลักสูตรด้วย เพื่อนักศึกษาที่จะเข้ามา จะได้สามารถทำคะแนนได้ดีขึ้น ^ ^ ^ ถ้าทำอย่างนี้จริง ผมว่า ผมหมดหวังกับประเทศไทยแล้วหละ ผมจะไปเรียนต่อเมืองนอกเลย จากคุณ : EleMent M@stER - [ 5 มี.ค. 52 00:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 :( เศร้าใจ แต่ยังไงอีก 1 ปีต่อมา อาจารย์มาดูกระทู้นี้ อาจจะรู้สึกดีกว่าวันนี้ก็ได้นะคะ เพราะปีหน้าจะเป็นคราวของ AD รุ่น 3 สายพันธุ์จะเข้มข้นมากขึ้นคะ (มีการมั่วสูตรได้เก่งกว่าเดิม) 555+ จากคุณ : gloomie - [ 5 มี.ค. 52 01:58:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปัญหามันเห็นมาตั้งแต่ใช้ gpa +pr 10% แล้วคนที่สอบเอนท์ได้คะแนนดิบมากกว่าอันดับสูงสุดแต่รวม gpa แล้วไม่ติดมีเยอะ  กลายเป็นว่าคนที่ได้เรียนอาจไม่ใช้คนที่มีความสามารถถึง  และก่อนจะใช้ระบบ admission นี้ก็ได้ค้านหัวชนฝาไปแล้วว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ตามมา     แต่เพราะการไม่ยอมรับความจริงว่าการเรียนการสอนใน รร. ปัจจุบันมันอ่อนลง  การวัดผลด้วยการสอบเอนท์ทำให้ข้าราชการทางการศึกษาหน้าแตก  เพราะคนแนนสอบโดยเฉพาะสายวิทย์ต่ำระดับมั่วกว่าครึ่ง   การยุบระบบวัดผลทิ้งจึงเป็นทางออกโดยอ้างว่าไม่ต้องการให้เด็กแข่งกันไปเรียนพิเศษ  บวกกับหลักสูตรแบบซุปเปอร์แมนที่ต้องเก่งทุกวิชา  การปรับหลักสูตรเด็กรุ่นหลักมั่วจนไม่ทราบว่าสายไหนวิทย์-ศิลป์  เรียนมันทุกอย่างเหมือนๆกันหมด     ผิดธรรมชาติความหลากหลายของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง  และด้วยความที่เป็นประเทศไทยไม่เหมือนที่ใดใลกผู้ที่ทำยากที่จะกลับมารับผิดชอบ นายอดิศัย  โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางสิริกร มณีรินทร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "ข่าวจาก นสพ. เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 เม.ย. 2546     ดร.สิริกร มณีรินทร์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีนักเรียนที่เข้าสอบวัดความรู้กว่า 80% ทำคะแนนวิชาภาษาไทยและอังกฤษได้ต่ำกว่า 50 คะแนน ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยาก็มีผู้ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 50 คะแนนถึง 95% ว่า จากสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตนรู้สึกเป็นกังวลมาก จึงได้สั่งการให้กรมวิชาการขอคะแนนสอบวัดความรู้ดังกล่าว มาเปรียบเทียบกับผลการสอบตามหลักสูตรของ ม.6 ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เพราะตนยังเชื่อว่าผลการสอบดังกล่าวคงไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยตกต่ำ เนื่องจากข้อสอบวัดความรู้ของทบวงฯ จะเป็นข้อสอบที่ยากเพื่อคัดกรองเด็กเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา   แต่อย่างไรก็ตามคงต้องยอมรับว่าคุณภาพการศึกษาของไทย ยังไม่ถึงจุดที่น่าพึงพอใจ เพราะมีปัญหาในหลายด้าน เช่น โอกาสและความเท่าเทียมทางการศึกษาระหว่างเด็กในเมืองกับเด็กในชนบท การขาดแคลนครูสอนเฉพาะทาง โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คงต้องเร่งอบรมครูอย่างเป็นระบบทั้งในระดับประถมและมัธยม พร้อมทั้งสนับสนุนสื่อการเรียนการสอน ซึ่งตนเห็นว่าคงต้องใช้เวลาในการอบรมไม่ต่ำกว่า 3 ปีถึงจะพัฒนาให้มีคุณภาพได้ พร้อมทั้งเร่งตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขึ้นมาโดยเร็ว เพื่อจัดทำข้อสอบวัดผลและประเมินผลการเรียนในทุกช่วงชั้น คือ ป.3 ป.6 ม.3 และ ม.6 ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า ศ.น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และอดีตรมว.ศึกษาธิการ ได้รับที่จะเป็นประธานคณะทำงานเฉพาะกิจในการจัดตั้งสถาบันทดสอบทาง การศึกษาแห่งชาติ โดยจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลประเมินผล ในวันที่ 17 เม.ย.นี้   ดร.ประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ อธิบดีกรมวิชาการ (วก.) กล่าวว่า ข้อสอบวัดความรู้ของทบวงฯเป็นข้อสอบที่จัดทำขึ้นเพื่อการแข่งขัน สำหรับคัดเด็กเข้าเรียนเฉพาะสาขาวิชา จึงต้องเป็นข้อสอบที่ยากกว่าข้อสอบปกติ และเป็นการวัดคะแนนมากกว่าความเข้าใจ จึงทำให้เด็กได้คะแนนน้อยเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนคิดว่าคงไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่าคุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำ แต่อย่างไรก็ตามทางกรมวิชาการจะประสานกับทบวงฯ เพื่อขอนำผลคะแนนสอบวัดความรู้มาศึกษาวิเคราะห์ว่าสอด คล้องกับผลการทดสอบระดับชาติหรือไม่ เพื่อจะได้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการ ^ ^ ^ ผมเก็บข้อมูลพวกนี้ไว้เพราะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงจะได้เอาผิดกับคนที่ทำลายการศึกษาได้   ปล. มีรุ่นก่อน admission พึ่งจบไปแล้วกลับไปเป็นครู ตจว.  แต่ต้องถึงกับมึนเพราะเด็ก ม.4จำนวนมากไม่สามารถทำ -2+5=? หรือ +-/x เศษส่วนได้ และเด็กม.ปลายสมัยนี้ก็จบเกรด 3 กว่าทุกคน  แต่ที่แย่คือส่วนใหญ่คิดไม่เป็นต้องป้อนให้ตลอด  หาข้อมูลรายงานในเน็ตยังทำไม่ได้ ซิกม่าF = ? ตอบไม่ได้   สมัย 10 ปีก่อนเกรด 3 กว่าจริงๆมีไม่กี่คนในห้องเด็กเกรด 1 กว่าสมัยก่อนแข็งกว่าเด็ก 3 กว่าสมัยนี้   เรื่องจริงครับไม่ใช่ฝันร้าย จากคุณ : JohnnyNahe - [ 5 มี.ค. 52 02:26:08 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่อง จริง เรื่องหนึ่ง   นักศึกษาปีสอง คณะรัฐศาตร์ ของ U แห่งหนึ่ง หัวเมืองทางภาค โน้น เปิดตัว ออกมาติว ไทยกะสังคม (ทั้งๆ ที่เขาเอง ความรู้ไม่ถึง 50% ขององค์ความรู้ที่จะนำมาถ่ายถอด) อาศัยกระแส และ อ่านข้อสอบมาเยอะ ก็เอา ข้อสอบเก่ามา ติว แล้ว อธิบายความ ตามเฉลย (โดยไม่รู้ว่า ที่มาจริงๆ ของเรื่องราวต่างๆ นั้นมันเป็นอย่างไร) ทีนี้ ทางหัวเมือง ไม่ค่อย มีคนติว แบบสองวิชา สองพันห้า หมอนี่ หัวใส คิดหลักสูตร ตะลุย แอดมิชชั่น + โควต้าขึ้นมา ได้ค่าติว เหนาะๆ เทอมละสามแสน  สองเทอม หกแสน   ไม่รู้ว่าควรดีใจกะเขา หรือควรสมเพช ทั้งคนเรียนคนสอนกันแน่ ที่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เกาะกระแส ซะ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย คิดว่า เงินซื้อความรู้ได้ คนขาย ก็เข้าใจว่า เอาข้อสอบเก่ามาเล่าให้ฟัง ร่วมกับ การแต่ง Dialogue  ที่พูดแล้ว ดูคล้ายว่าตัวเองมีความรู้ซะหน่อย หยอดเรื่องตลกไปอีกนิดหนึ่ง  เด็กม.ปลายก็ เห่อกันไป เข้าใจว่า เจอแล้ว ทองแท้  ของจริงอยู่นี่ไง น่าสลดใจแท้ๆ   เราเอาคะแนนวิชาพวกนี้มาใส่ โดยสัดส่วนเปอร์เซ็นต์สูง สุดท้าย ทำลายทุกอย่าง แต่มีคน เจ้าเล่ห์ ได้เงินไป ไหนบอกว่า ต้องการให้กวดวิชาน้อยลงไง จากคุณ : น้าพร - [ 5 มี.ค. 52 02:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อจากคห.11 เพื่อนของหนูมีความคิดที่น่ากลัวเหมือนกันนักศึกษารัฐศาสตร์ผู้นี้เหมือนกันคะ คิดว่าจะไปสอนวิชาวิทย์ให้กับรุ่นน้อง เพื่อติวเข้ามหาวิทยาลัย โดยเอาหนังสือกวดวิชาที่เคยได้เรียนมาไปอ่านให้ฟังอีกที ทั้งๆที่เพื่อนคนนี้ตกวิทย์ 1 เทอม เทอมนี้ได้ 1.5 แล้วก็เรียนสายศิลป์ด้วย ไปถามว่าทำงี้ ไม่กลัวโดนเด็กว่าหรอ คำตอบที่ได้ก็คือ ไม่หรอก เด็กจะรู้ได้ไง โดยเด็กที่มาเรียนก็เห็นเพียงแต่ว่าพี่คนนี้เรียนในรร.ชื่อดัง ก็เลยเหมารวมว่าคงจะเก่ง โดยรวมแล้วหนูคิดว่าปัญหามันไม่ได้มาจากAdmissionอย่างเดียว ไหนจะเรื่องขาดบุคลากรที่ชำนาญในด้านสาขาวิชาต่างๆอีก ปัจจุบัน ครูที่จบใหม่ๆแล้วมาสอนม.ปลายที่รร. ยังไม่เจอคนที่อยู่ได้นานๆเลยคะ อย่างเพื่อนที่อยู่รร.เอกชนคนนึงบอกว่าที่รร.เปลี่ยนครู 3 คน ใน 1 เทอม แค่จะเรียนให้ทันก็ยากแล้ว ถ้าจะให้เข้าใจนี้ยากใหญ่ ก็ต้องไปพึ่งกวดวิชา แต่ว่าบางทีมันก็สายไปแล้ว :( พื้นฐานไม่แน่น ไปกวดกี่ที่ก็ไม่เข้าใจแบบจริงๆ อย่างมากก็ไปให้รู้แนวข้อสอบ ให้พอทำได้ แต่ถ้าประยุกต์ นี่ตายกันทีเดียว สมัยนี้เด็กต้องการคะแนนมากกว่าความรู้ไปแล้วจริงๆ อย่างที่รร. ถ้าไม่อ้างว่าหักคะแนน เวลาขาดเรียน ในห้องนี่ก็ร้างเลย ไปอยู่กันที่เรียนพิเศษ ห้องสมุด ไม่ก็ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม โอ้ว์ บ่นยาวเกินไปแล้ว พอดีกว่าๆ จากคุณ : gloomie - [ 5 มี.ค. 52 02:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มันเป็นความแหลกเหลว เริ่มจากสมัย รมตชื่อนายอดิศัย  โพธารามิก ที่มีทักษิณเป็นนายก ผมยังเชื่อลึกๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นชงมาจากกระทรวงศึกษา แต่ทำไม ดร สองคนถึุงได้สิ้นคิดยอมรับสิ่งนี้ จากคุณ : C2minus - [ 5 มี.ค. 52 07:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมกลับไม่คิดว่าระบบ admission มีปัญหานะครับ จากประสบการณ์ที่่ผ่านมา นักศึกษาที่เข้าไปด้วยการสอบ entrance หรือ admission เข้าไปในคณะวิศวะแบบเก่านั้นจะมีพื้นฐานวิชาสายวิทย์ดีหน่อย (ไม่ได้ดีมาก) แต่จะอ่อนความรู้ด้านภาษาและสังคม แล้วเวลาเรียน ป.ตรี ก็ไม่มีการสอนทักษะทางภาษาเท่าไหร่ เขียนรายงาน เขียนบทความด้วยภาษาทางการไม่ได้ เขียนได้แต่ภาษาพูด ถึงแม้ในหลักสูตรจะให้เขียนรายงาน แต่ก็ไม่เคยได้รับการประเมินว่าที่เขียนไปใช้ภาษาถูกต้อง ให้คำได้ดีหรือไม่ อย่างไร ความรู้ทางสังคมศาสตร์ก็ต่ำ ไม่มีเห็นความสำคัญของระบบการเมืองการปกครอง ไม่รู้ว่าระบบเศรษฐกิจต่างๆ นั้นจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ไม่เคยมีคนชี้ให้เห็นว่าความเห็นแก่ตัวเฉพาะบุคคล จะสร้างภัยพิบัติ สร้างหายนะ ให้สังคมในส่วนรวมอย่างไร ทำให้ีนักเรียนที่จบมา รวมทั้งตัวผมเอง ขาดทักษะหลายๆ อย่างที่จำเป็น อีกอย่าง เทียบกับการเรียนการสอนในต่างประเทศ เด็กที่จบมัธยมปลาย มีความรู้ความเข้าใจในการใช้ชีวิต เขียนบทความโดยใช้ภาษาที่เป็นทางการได้ ถึงแม้จะมีอ่อนความรู้ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์กว่าเด็กไทยนิดหน่อย แต่การเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ในปีแรกของระดับ ป.ตรี นั้นเข้มข้นกว่าที่ผมเจอมาเยอะ ถึงแม้นักเรียนจะเริ่มต้นด้วยความรู้พื้นฐานที่ไม่ดีนัก แต่วิธีการสอน การบ้าน รายงานต่างๆ ทำให้นักเรียนที่จบออกมามีความรู้ในเรื่องคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ ไม่แพ้เด็กไทย ที่เรียนวิชาเหล่านี้มา "อย่างเข้มข้น" ตั้งแต่มัธยมปลาย ในความคิดของผม ปัญหาจริงๆ อยู่ที่ อาจารย์ ที่ไม่ปรับหรือยังไม่ได้ปรับวิธีการสอนให้เข้ากับเด็กที่ค่อนข้างอ่อนวิชาเหล่านี้ คุณจะหวังให้เด็กมีความรู้พื้นฐานในวิชาที่คุณสอนมาก่อนเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ในเมื่อเด็กไม่มีความรู้พื้นฐาน คุณก็ต้องปรับวิธีการสอน อาจจะให้ตัวอย่าง ให้การบ้าน มากขึ้น มากขึ้นนี้ผมหมายถึง หลายร้อยข้อในแต่ละสัปดาห์ที่สอน และต้องตรวจการบ้านอย่างละเอียดทั้งหมด ผมเข้าใจว่า อ. ยุ่งไม่มีเวลา ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยการจ้างเด็กในชั้นปีสูงๆ ขึ้นไป หรือ นักศึกษา ป.โท ก็ได้ มาช่วยในการตรวจการบ้าน และ อ. ก็ต้องเตรียมคำอธิบายในแต่ละข้อให้หมด และต้องอธิบายอย่างเพียงพอให้เด็กสามารถเข้าใจได้ ผมไม่ได้บอกว่ามันง่าย แต่มันสามารถทำได้ครับ ถ้าอาจารย์ผู้สอน มีจิตใจที่เป็นอาจารย์เพียงพอ ไม่ว่าเด็กที่เข้ามาเรียนจะเป็นอย่างไร อาจารย์ที่ดีจะสามารถทำให้เด็กมีความรู้ในเรื่องที่สอนได้ อาจารย์ที่ดีจะไม่เพียงแค่สอนตามแบบที่ตัวเองเคยทำมา ไม่ว่าจะบอกว่า "สอนอย่างนี้มาสิบๆ ปีแล้ว นักเรียนก็รู้เรื่องกันมาตลอด แต่ปีนี้นักเรียนไม่รู้เรื่องเอง" อย่างนี้คุณก็ต้องปรับวิธีการสอน นี้เป็นเหตุผลที่จ้างคนเป็นๆ มาสอน ไม่อย่างนั้นก็อัดวีดีโอเอาไว้แล้วก็ให้เด็กมาเปิดฟังก็ได้ซิครับ จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 07:36:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #14 ในความคิดเห็นของคณาจารย์กลับมองตรงข้ามครับว่า admission คือ สิ่งที่ทำให้นักเรียนเสียนิสัย ไม่กลัวการสอบตก เพราะยังไงก็ไม่ตก จึงไม่ ขวนขวายในการอ่านหนังสือ หรือตั้งใจเรียนหนังสือ ในที่สุดจึงไม่สามารถ ปรับตัวเข้ากับระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ที่ไม่ใช่ระบบการเรียน การสอนในระดับประถมและมัธยมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นระบบการเรียนการ สอนแบบผู้ใหญ่ ที่นักศึกษาต้องมีความรับผิดชอบ ต้องมีความขยัน ต้องไขว่ คว้าหาความรู้จากห้องสมุดมาเสริมทักษะความรู้เอาเอง แต่ถ้ามาดูระบบการ เรียนการสอนในมหาวิทยาลัยของไทย สำหรับหลายกระบวนวิชาในปัจจุบัน กลับใกล้เคียงการเรียนการสอนในระดับมัธยมอย่างมาก ที่คณาจารย์ต้อง มาจ้ำจี้จ้ำไช ปรับวิธีการสอนแล้ว ปรับวิธีการสอนอีก ข้อสอบที่ออกในหัวข้อ กระทู้นั้น อาจารย์ผู้สอนได้ออกง่ายกว่าปกติแล้วหลายเท่า แม้แต่เจ้าหน้าที่ ที่คุมสอบ ซึ่งเป็นนักศึกษาเก่าของภาคฯ นี้ ยังสงสัยว่าอาจารย์ออกง่ายแบบ นี้ นักศึกษาไม่ได้เต็มกันหมดหรือ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังทำไม่ได้และได้ รับผลพวงดังที่เห็นเช่นนี้ ที่ภาคฯ มีกระทั่งการเปิดติวเป็นพิเศษให้นักศึกษาที่ มีปัญหาโดยรุ่นพี่ ที่ภาคฯ จ้างให้มาช่วยสอนรุ่นน้อง ทีแรกก็มาหลายคน แต่ ก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ รุ่นพี่เองก็ถอดใจและบอกอาจารย์ว่ารุ่นน้องไม่ได้ สนใจเรียน มาเรียน ก็มาแต่คุยเล่น จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 08:06:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เสียดายโอกาส ทั้งของคณะ และเด็ก ครับ ระบบไม่สามารถนำเด็กไปเจอคณะที่เหมาะกับตัวเองได้ จากคุณ : jaycee - [ 5 มี.ค. 52 08:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 17 #15 "ทำให้นักเรียนเสียนิสัย ไม่กลัวการสอบตก เพราะยังไงก็ไม่ตก" ^ ^ คืออะไรครับ ผมไม่ทราบมาก่อน จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 08:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สำหรับการเรียนการสอนในต่างประเทศ ผมเองได้รับทุนไปศึกษาต่อต่าง ประเทศตั้งแต่ระดับก่อนปริญญาตรี (foundation year 0) ระดับปริญญาตรี และเอก สามารถบอกได้ว่า ความสามารถในการเขียนบทความต่างๆ ล้วนมา จากการฝึกฝนด้วยตนเอง การเรียนการสอนที่ไหนก็เหมือนกัน ทั้งหมดอยู่ที่ ตัวนักศึกษาว่าจะขวนขวายหรือไม่ การให้คะแนนรายงานในต่างประเทศทำ ได้ง่ายมากครับ ไม่ได้ศูนย์ หรือคะแนนต่ำมากๆ ก็ได้เต็ม ผู้ที่รับผิดชอบตรวจ บอกให้ทราบอย่างชัดเจนว่า รายงานห่วยๆ เขาไม่อ่าน ตัวอย่างมีให้อยู่ แล้ว ไปทำอย่างไรมาก็ได้ต้องให้คุณภาพดีในระดับนี้เท่านั้น และก็ไม่ได้สอน แต่อย่างใด หลายๆ คืนต้องไปขลุกอยู่ที่ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยเพื่อ หาตัวอย่างบทความดีๆ อ่าน แล้วนำมาใช้เป็นแบบอย่างปรับแก้การเขียน รายงานหรือบทความวิชาการของตัวเองให้คุณภาพดีทัดเทียม ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องใส่ใจฝึกฝน ส่วนในประเทศไทย หลายกระบวนวิชายังโอ๋นักศึกษา อยู่มาก นักศึกษาเขียนทำรายงานมาไม่ดี อาจารย์ก็ยังให้โอกาสไปทำมา ใหม่ บางครั้งนักศึกษาก็มาโอดครวญว่างานเยอะมากมายขอส่งช้าไปวันหรือ สองวัน ก็ยังให้โอกาส ถ้าเป็นในต่างประเทศเขาไม่มาสนใจหรอกครับ กลุ่ม เพื่อนผมสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศส่งช้าไป 10 นาที เพราะมัวไปทำรูปเล่ม โดนหักคะแนนทันที 20% ถึงกับร้องห่มร้องไห้กันทีเดียว แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 08:45:26 จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 08:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #15 การตอบสนองของสถาบันการศึกษาหลายแห่งในระดับมัธยมปลาย ต่อระบบ admission คือการสนับสนุนให้ครูอาจารย์ปล่อยเกรดครับ นักศึกษาแต่ละคนที่มาสอบสัมภาษณ์เมื่อสองปีที่แล้ว เกรดจากโรงเรียน สูงๆ กันทั้งนั้น 3.7 บ้าง 3.8 บ้าง แต่พอเทอม 1 ผ่านไป ก็เหลือไม่ถึง 2 บางคนได้ 0.37 บางคนได้ 0.51 ก็มี (นักศึกษาทั้ง 70 คน ต้องไปผ่าน กระบวนวิชานอกคณะก่อน 2 ปี และเพิ่งได้เข้ามาศึกษากระบวนวิชา pre ในหัวข้อกระทู้ ที่เป็นของภาคฯ เป็นตัวแรก ครับ ในช่วงระยะเวลา 2 ปี ก็ตกหล่นหายไปกว่าครึ่งแล้ว ติดกระบวนวิชาตัวนั้นตัวนี้) จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 08:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมกำลังมองไม่ออกว่าระบบ admission จะทำให้เด็กไม่สนใจที่จะเรียนได้อย่างไร? เด็กอาจจุคุ้นที่ต้องไปเรียนกวดวิชา แต่ไม่มีโรงเรียนกวดวิชาในระดับ ป.ตรี แต่ก็ยังได้มีการเปิดติวโดยรุ่นพี่ไปแล้ว นี่ก็ยิ่งแปลกเข้าไปอีก ตัวผมเองก็ัต้องเรียนรู้เรื่องการเขียนเองเช่นกันครับ ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่  สำหรับการตรวจรายงานที่ผมเจอมากลับไม่เจอมที่อธิบายไว้ใน #18 อาจารย์ และ TA ผู้ตรวจข้อสอบและรายงานนั้นได้พยายามอ่านและทำความเข้าในรายงานที่เขียนไป เรียกได้ว่าอ่านอย่างระเอียด และได้เขียนคำแนะนำต่างๆ ว่ามีอะไรผิดผลาดบ้าง และควรต้องปรับปรุงอะไร ตรงไหน อย่างไร โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยครับ ที่จะมีการผ่อนผันกำหนดเส้นตายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิดหน่อยแค่ไหนก็ตาม เพราะมันจะไม่เป็นการยุติธรรมกับคนที่ทำได้ตามกำหนดเส้นตายนั้น จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 09:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เคยมีคน post เอาไว้ว่าความคิดโง่ๆนั้นไม่มีหรอก ซึ่งผมคัดค้านหัวชนฝาเลยว่ามีเยอะแยะ admission ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอันนึงว่าความคิดโง่นั้นมีแน่ มหาวิทยาลัยไม่ใช่ที่ฟูมฟัก/โอ๋เด็กนะครับ ที่นี่มีทุกอย่างให้คุณแล้ว (เท่าที่จะมีได้) คุณมีหน้าทีไปหยิบ ไปฝึกฝนมาให้ชำนาญ โดยมีเกณฑ์ผ่านเท่านั้นเท่านี้ อาจารย์ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะ แนวคิดผมอาจจะ extreme สักนิด แต่นั่นจะทำให้เราได้บัณฑิตที่ดี มีคุณภาพครับ เข้าใจว่าคุณ pedcat มองในแง่ที่ว่าให้อ่อนๆมาจากม.ปลายได้แล้วให้มหาวิทยาลัยมาสอนให้ได้ดี ในขณะที่ผมมองอีกแบบหนึ่งว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรต้องมาปรับพื้นฐานอะไรถึงขนาดนั้น ผมเคยเปรียบเทียบว่ามหาวิทยาลัยเป็นเหมือนโรงงานเครื่องปั้นดินเผา อาจารย์ก็เหมือนคนปั้นเครื่องปั้นดินเผา การที่จะได้เครื่องปั้นดินเผาคุณภาพดี ต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 อย่าง 1. คนปั้นดี 2. วัตถุดิบดี 3. เครื่องไม้เครื่องมือพร้อม/ดี เอาดินเหนียวชั้นดีมาให้คนปั้นเก่งๆในโรงงานที่มีเครื่องมือดีๆ/พร้อม ก็ได้เครื่องปั้นดินเผาชั้นดี เอาดินร่วนปนทรายมาให้คนปั้นเก่งๆในโรงงานที่มีเครื่องมือดีๆ/พร้อม ยังไงๆก็ไม่มีทางได้เครื่องปั้นดินเผาชั้นดีหรอกครับ นี่ไม่นับว่าโรงงานก็ไม่ได้พร้อม คนปั้นก็ไม่ได้เป็นเลิศกันทุกคนอีกต่างหาก แล้วมันจะไปเหลืออะไร จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 5 มี.ค. 52 09:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 22 #20.1 อธิบายเพิ่มเติมครับ การสอบ admission อาศัยเกรดสะสมระหว่าง การศึกษาระดับมัธยมปลายบวกคำนวณเข้าไปประกอบการพิจารณารับเข้า ด้วย (ถ้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เปิดรับตรง ซึ่งทำให้นักเรียนเครียดขึ้นไปอีก เพราะต้องมาสอบแยกต่างหากจากข้อสอบกลาง) ผู้บริหารของโรงเรียนบาง แห่ง ต้องการให้จำนวนนักเรียนจากสถาบันการศึกษาของตนเองสอบเข้า ให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  จึงกดดันครูอาจารย์ในโรงเรียนให้ ปล่อยเกรด นักเรียนหลายคนอ่านหนังสือก่อนสอบไม่กี่วันก็สอบได้เกรดที่ สูง ทั้งที่ไม่ควรจะได้ จึงได้นำนิสัยเหล่านั้นเข้ามาใช้ในระดับมหาวิทยาลัย ด้วย เพราะคิดว่าเหมือนกัน แต่คะแนนที่ได้จากการประเมินในระดับมหา- วิทยาลัยกลับแตกต่างไปจากระดับมัธยมปลายเป็นอย่างมาก ข้อมูลนี้ได้จากการสอบถามนักศึกษารุ่น Ad02 หลายคน เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 09:55:21 จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 09:53:42 ]

ความคิดเห็นที่ 23 #20.2 การที่ภาคฯ ให้การสนับสนุนในการเปิดติวโดยรุ่นพี่ ก็เพื่อต้องการ ช่วยเหลือนักศึกษารุ่นน้องที่ได้เกรดวิชาพื้นฐานไม่ดี ในภาคการศึกษาที่ 1 ของปีที่ 1 ครับ อย่างน้อยรุ่นพี่เคยเรียนกระบวนวิชานั้นๆ มาก่อน ย่อมพอ มองแนวทางและอธิบายสิ่งที่รุ่นน้องสงสัยไม่เข้าใจได้ดี จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 10:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 #20.3 ใช่แล้วครับ ไม่ควรมีการผ่อนผันเส้นตายเหล่านั้น ทีนี้ก็ลองคิดกันดูว่าคณาจารย์ได้ให้โอกาสและความช่วยเหลือต่างๆ เท่าที่ จะสามารถทำได้แล้ว แต่ก็ยังได้ผลออกมาตามที่ระบุไว้ในหัวข้อกระทู้ ถ้า ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ เลย จำนวนคนที่ผ่านเข้ามาถึง major ได้จะยิ่ง ลดน้อยไปกว่านี้อีกครับ จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 10:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สถาบันกวดวิชาสำหรับมหาวิทยาลัยปี 1 มีอยู่ที่สยามครับ กวดวิชาฟิสิกส์โดยเฉพาะ ถึงกับจ้างเด็กให้มาจำข้อสอบออกไปเลยทีเดียว แต่ก็แปลกที่เวลาจัด Tutorial ให้กับนิสิต กลับไม่มีเด็กเข้าฟังทั้งๆ ที่จัดเตรียมมาให้เหมาะกับบทเรียนและข้อสอบโดยเฉพาะ เวลาจัด Clinic Physics ให้ เอาอาจารย์มานั่งโต๊ะเพื่อให้นิสิตเข้ามาถาม ก็มีแต่เด็กหน้าประจำซะเป็นส่วนมากที่เข้ามาถาม ทำยังไงก็เข้าไม่ถึงเด็กส่วนใหญ่ที่เรียนไม่รู้เรื่อง TA ก็ไม่ใช่ไม่ใช้นะครับ แต่นัดติวเด็กไม่มา จนต้องจับ TA ไปทำอย่างอื่นแทน ให้การบ้านไปก็ไร้ผล เพราะส่วนใหญ่ลอกกันมาทั้งนั้น ลอกผิดก็ผิดเหมือนกัน ---> ต้นฉบับเขียน Pi แต่คนลอกต่อ นึกว่าเลย 11 เลยลอกต่อกันมาเป็นพรืด เลยไม่รู้จะให้การบ้านไปทำไม เพราะไร้ประโยชน์ เด็กไม่คิดจะทำเองเลย เทอมนี้จะเปลี่ยนกลยุทธแล้ว จับเด็กมาแบ่งห้องย่อย เอาอาจารย์ + TA หนึ่งคน ต่อนิสิต 4-5 คน เช็คชื่อทุกครั้ง จับมานั่งทำโจทย์การบ้าน อาทิตย์ละชั่วโมง ดูสิจะดีขึ้นมั้ย เรื่องเด็กไม่กลัวการสอบตกนี่เป็นเรื่องจริง เพราะเดียวนี้ไม่มีตก ยกตัวอย่างโรงเรียนดังโรงเรียนหนึ่ง วิชาฟิสิกส์ คะแนนเก็บ 80 เด็กสอบปลายภาค ได้ 3 จาก 20 ปรากฎว่าได้เกรดสี่ ถ้ามัธยมเป็นแบบนี้จะให้เด็กปรับตัวเข้ากับระบบการเรียนมหาวิทยาลัยคงทำยาก เมื่อสองปีที่แล้ว เคยเอาตัวอย่างที่สอนในห้องมาออกเป็นข้อสอบ โดยไม่เปลี่ยนตัวเลขเลยแม้แต่ตัวเดียว (แล็กเชอร์ผมโหลดได้ทางเน็ต และพิมพ์ให้ก็อปอีกตางหาก) ที่ทำเพื่อทดสอบว่า นิสิต อ่านเล็กเชอร์กันบ้างหรือเปล่า ผลปรากฎว่าข้อนั้นมีคนรู้ว่าจะทำยังไง 20% ที่เหลือทำผิดหมด น่าตกใจมั้ยล่ะ ทั้งๆที่เป็นข้อสอบปลายภาคนะ หลายๆ คนรู้คะแนนมิดเทอมมาแล้ว (ซึ่งก็ร่อแร่ซะเป็นส่วนมาก) ถ้าเป็นเด็กสมัยก่อนอาจารย์ออกข้อสอบโดยเอาตัวอย่างจากในเล็กเชอร์มาออก มันต้องมีคนทำได้มากกว่า 90 เปอร์เซนต์แล้ว คนที่ทำไม่ได้คือคนที่นั่งอ่านคืนเดียวก่อนสอบ และยิ่งรู้ว่าตัวเองมิดเทอมไม่ดี ต่อให้เรียนไม่รู้เรื่อง โจทย์ในเล็กเชอร์เนี่ยะ มันควรจะผ่านตาบ้าง ผมคิดว่าเด็กมีความพร้อมน้อยลง และไม่รู้จะจัดการกับชีวิตนิสิตอย่างไร หลายคนอ่านหนังสือก่อนสอบ มีบางคน เอา CD ที่รุ่นพี่ติวให้ มานั่งดูก่อนสอบสองสามวัน (ข้อมูลพวกนี้ได้มาจากการไล่ถามเด็กที่มาเซนต์ใบถอน) เรื่องอาจารย์ไม่ปรับการสอน ผมคิดว่าคงมีไม่กี่คนหรอก ส่วนใหญ่กำลังปวดหัวเพราะไม่รู้จะปรับอย่างไรให้ได้ดีกว่านี้แล้ว ถ้าอยากทราบว่าระบบแอ็ดมิดชันทำให้เด็กไม่สนใจเรียนได้อย่างไร อาจจะลองไล่อ่านกระทู้เก่าๆ ในเว็บนี้ดูก็ได้ครับ จากคุณ : อาจารย์ที่บังเอิญผ่านมา - [ 5 มี.ค. 52 10:07:56 A:161.200.255.162 X: TicketID:191544 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ปัญหาที่สำคัญไม่ใช่อยู่ที่เนื้อหากระบวนวิชายาก นักศึกษาไม่มีพื้นฐาน เรียนไม่รู้เรื่องเลยตก แต่อยู่ที่ความสนใจและขวนขวายของนักศึกษาเอง ถ้ามีความพยายาม ทำโจทย์ต่างๆ ที่ให้ไปฝึกฝน แล้วกลับมาถาม ไม่มี อาจารย์ที่ไหนจะแชเชือนแล้วบอกว่า "ผมไม่มีเวลา" แต่เป็นเพราะความ เกียจคร้านไม่อยากทำ ความไม่สนใจ อยากให้การเรียนการสอนทำแบบ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากแล้วได้เกรดเยอะๆ เหมือนสมัยมัธยมปลาย เรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นคือ มีเพื่อนอาจารย์ที่สนใจอยากให้นักศึกษามีทักษะการ เรียนรู้มากๆ ให้โจทย์ไปทำมากมาย นัดสอนเพิ่มพื้นฐานเป็นพิเศษให้ นักศึกษา แต่สิ่งที่ได้รับคือคำต่อว่าจากนักศึกษา ว่าทำไมต้องทำโจทย์มาก มายเหล่านั้นด้วย ทำไมต้องมาเรียนชั้นพิเศษเพิ่มเติม แสดงว่าอาจารย์ไม่มี ความสามารถในการสอนให้ได้ความรู้ตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในตาราง เรียนใช่ไหม จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 10:08:23 ]

ความคิดเห็นที่ 27 #25 เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ เพราะกำลังพบปัญหาแบบเดียวกัน ทำ elearning ให้พร้อมสรรพ อัพโหลดเนื้อหาวิชา รวมถึงตัวอย่าง ข้อสอบได้จากทางเวปโดยตรง ตั้งแต่วันแรกของการเปิดสอนกระบวนวิชา จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 10:11:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 #21 ถ้าคุณไม่สามารถหาวัตถุดิบคุณภาพดีได้ คุณจะทำอย่างไร - ทำๆ ไปตามกระบวนการเดิม ได้ของอย่างไรก็ขายไปอย่างนั้น หรือ - นำวัตถุดิบเหล่านั้นไปผ่านกระบวนการเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาวัตถุดิบเหล่านั้น ก่อนที่จะไปเข้ากระบวนการผลิตตามปกติ ผมไม่ได้บอกว่าแนวคิดของคุณไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าแนวคิด extreme ของคุณจะทำให้ไม่ได้บัณฑิตคุณำาพ แต่ประเด็นคือเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี จากวัตถุที่คุณภาพไม่ดีนัก จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 10:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สลด ๆ รอดูระบบแกะแพะต่อไป ยังดีที่ระบบใหม่นี้ลด GPA และเพิ่มคะแนนวิทย์ คณิต สำหรับสายวิทย์ จากคุณ : Shinemon คุง - [ 5 มี.ค. 52 10:21:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ข้อมูลอีกอันที่น่าสนใจก็คือ ไม่ใช่ว่า admission จะทำให้มีปัญหากับสายวิทย์เท่านั้น ล่าสุดคณะอักษรฯ รับตรง 100% แล้ว จากคุณ : อาจารย์ที่บังเอิญผ่านมา - [ 5 มี.ค. 52 10:22:44 A:161.200.255.162 X: TicketID:191544 ]

ความคิดเห็นที่ 31 #21 ถ้าคุณไม่สามารถหาวัตถุดิบคุณภาพดีได้ คุณจะทำอย่างไร - ทำๆ ไปตามกระบวนการเดิม ได้ของอย่างไรก็ขายไปอย่างนั้น หรือ - นำวัตถุดิบเหล่านั้นไปผ่านกระบวนการเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาวัตถุดิบเหล่านั้น ก่อนที่จะไปเข้ากระบวนการผลิตตามปกติ สำหรับผม Reject วัตถุดิบทั้ง Lot เพราะไม่ผ่าน IQC (Incoming Quality Control) ครับ เอาไปผ่าน Process นอกจากเสียเวลา เสียทรัพยากร ผลลัพท์ที่ได้มายังไม่คุ้มอีกต่างหาก ถ้าเราไม่ Politicize ประเด็นเรื่องการศึกษา วิธีกาีรนี้ผมคิดว่าสมเหตุสมผลที่สุด ถ้าเห็นว่าแรงไปก็ต้องใช้วิธี QC & QA ในขั้นตอนการศึกษา ถ้าเด็กไม่มีคุณภาพพอที่จะจบก็ไม่ต้องจบ มหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 10:35:17 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 10:34:46 จากคุณ : Nexus - [ 5 มี.ค. 52 10:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คห.31 รับใจไปเต็มๆ จากคุณ : Karn Chairbuey - [ 5 มี.ค. 52 10:39:34 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ในคคหที่ 14 ซึ่ง คุณ ped cad กล่าวว่า "ไม่ว่าเด็กที่เข้ามาเรียนจะเป็นอย่างไร อาจารย์ที่ดีจะสามารถทำให้เด็ก มีความรู้ในเรื่องที่สอนได้" สมัยอดีตที่เป็นนักศึกษาผมก็คิดเช่นนั้น "เราต้องทำได้" แต่เมื่อได้มาปฏิบัติ งานด้านการสอนจริงจัง จึงได้ทราบเหตุผลว่า คนเราไม่เหมือนกัน ความ สามารถในการรับรู้ต่างกัน ความพยายามต่างกัน เหตุผลในการดำเนินชีวิต ต่างกัน คำกล่าวนี้จึงเป็นอุดมคติ ที่อาจารย์ทุกคนพยายามฝันฝ่าไปให้ถึง แต่ผลการประเมินต่างระดับที่ได้ออกมา มีสาเหตุมาจากปัจจัยร่วมหลาย อย่าง ที่ไม่ได้ขึ้นกับอาจารย์เท่านั้น ในแต่ละชั้นเรียน แต่ละภาควิชาฯ แต่ละคณะฯ ก็มีปัจจัยร่วมเหล่านี้แตกต่างกันไป จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 10:49:05 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไม่ทราบว่าโรงเรียนมัธยมปลายต่างๆ ได้ัรับรู้ปัญหาเหล่านี้ด้วยหรือไม่ ในเมื่อ assumption ต้นเหตุของปัญหา ที่เขียนในนี้ส่วนหนึ่งมาจากโรงเรียนมัธยมปลาย อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากให้วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ลดมาตราฐานของตัวเองลง มิเช่นนั้นปัญหาจะขยายออกไปจากวงการการศึกษา แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องขาดแคลนบุคคลากรเข้ามาอีก แต่ผมว่าก็ยังดีกว่าปล่อยบัณฑิตด้อยคุณภาพออกไป เมื่อมีวิกฤตก็ต้องปรับและแก้ไขเรื่องต่างๆ บางอย่างก็ต้องเก็บไว้ บางอย่างก็ต้องยอมเสีย ระหว่างคุณภาพกับปริมาณ ถ้าจำเป็นต้องเลือกไว้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องยอม ในทุกวิกฤตก็มีโอกาสครับ นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีของอาจารย์ทั้งหลาย ในการหาวิธีการสอนที่ได้ผลดีมากๆ ไม่แน่ว่าวิธีการสอนใหม่ๆ นี้อาจจะนำไปตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการที่เกี่ยวกับการสอน ได้นะครับ วิธีแก้ปัญหาก็ควรเน้นไปที่การปรับทัศนคติของนักศึกษา อาจจะให้รุ่นพี่ไปจับกลุ่มคุยกับรุ่นน้องว่าเด็กอยากให้ทำอย่างไร การจับมานั่งทำการบ้านให้ดูอาจะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ปัญหาที่เด็กลอกการบ้านกันมาส่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าการสั่งการบ้านเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ วิธีแก้ก็มีเช่น แบ่งกลุ่มเด็ก แล้วสั่งการบ้านแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน หรือจะให้แยกการบ้านเป็นรายคนเลยก็ยิ่งดี วิธีอื่นๆ นอกจากให้การบ้านก็มีนะครับ เช่น quiz บ่อย อาจจะมีทุกสัปดาห์ หรือให้ออกมานำเสนองานหน้าห้อง การยิงคำถามของอาจารย์ภายในห้องเรียน การสั่งให้ทำรายงานหรือ term paper ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เห็นในจากการเรียนในเมืองไทย ซึ่งหัวข้อก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่สามารถไปลอกออกมาจากอินเตอร์เน็ทได้ง่ายๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเรื่องใหม่ ที่ถ้าเด็กทำได้ดี หรือดีมาก อาจจะเขียน paper ส่ง conference ต่างๆ ได้ ผมเห็นบ่อยๆ ในการประชุมวิชาการ ที่ผลงานนั้นเป็นของเด็ก ป.ตรี แต่อาจารย์ให้ทำรายงานในเรื่องที่เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งเด็กทำได้ดีจนสามารถนำเสนอในการประชุมทางวิชาการได้ ป.ล. ผมขออภัยกับอาจารย์ที่ได้พยายามปรับเปลี่ยนวิธีการสอนแล้ว แต่รู้สึกว่าผมได้ต่อว่าไปในความเห็นก่อนๆ ผมขออภัยครับ จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 10:53:55 ]

ความคิดเห็นที่ 35 #31 เห็นด้วยครับ ผมคิดว่านั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เหลือเด็กผ่าน pre ของ major มาได้ไม่ถึง 10 คน (ใน #0) จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 10:57:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 #34 ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ คุณ ped cad ที่ได้แสดงความคิดเห็นและ ข้อแนะนำต่างๆ ครับ ผมเข้าใจว่าคุณ ped cad ก็มีความหวังดีต่อการศึกษา ของบ้านเรา คำแนะนำต่างๆ ก็เป็นเหมือน checklist ที่บุคลากรทางการเรียน การสอนจะได้พิจารณาดูว่า ได้ทำสิ่งที่ควรทำทุกอย่างแล้วหรือยัง เพราะ บางครั้งทางแก้ปัญหาบางอย่างที่คนวงในซึ่งอยู่ใกล้กับปัญหามากๆ มองไม่ เห็น อาจได้มาจากมุมมองภายนอกก็ได้ครับ จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 11:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 37 #33 ก็จริงครับ คำพูดนั้นของผม ออกจะอุดมคติเกินไปซักหน่อย แต่ผมก็ยังคิดว่าอาจารย์ที่ดีสามารถทำให้เด็กที่พื้นฐานไม่ดี มีความรู้ได้มากกว่าอาจารย์ที่ไม่ดีครับ จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 11:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เรียนถามอาจารยแพรคฯ คนที่ผ่าน pre  ก็เรียนต่อไป ส่วนคนที่ไม่ผ่านนี่ ทางอาจารย์จะพิจารณาอย่างไรครับ พวกเขามีทางเลือกอะไรบ้าง เห็นใจนักศึกษาที่ไม่ผ่าน เห็นใจอาจารย์ที่ต้องหนักใจ และเห็นใจมากที่สุด สำหรับนักศึกษาที่ " เสียโอกาส " ไม่ได้เข้ามาเรียน จากคุณ : 447 - [ 5 มี.ค. 52 11:01:22 ]

ความคิดเห็นที่ 39 #36 ผมจะต้องกลับมาเจอเด็กรุ่นนี้จะซิครับ จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 11:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 40 #34 ผมรับผิดชอบการสอนกระบวนวิชาอื่นที่ไม่ใช่ pre ในหัวข้อกระทู้ครับ แหล่งข้อมูลอ้างอิงใน คคห นี้มาจากการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา Ad01 การแยกการบ้านเป็นรายคน ได้ทำแล้วครับ ได้ผลดีพอสมควรระดับ หนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ กลุ่มเพื่อนบางคนบังคับให้เพื่อนอีกคนทำการบ้าน ให้เขา ในรุ่นต่อๆ มาจึงต้องประกาศให้ชัดเจนว่าไม่ให้ทำในลักษณะดังกล่าว term paper ก็ได้ทำแล้ว ให้นักศึกษาไปทำ case study โดยให้ความดูแล และคำแนะนำใกล้ชิด สอนวิธีเขียนเอกสารวิชาการอย่างถูกหลัก สอนวิธีการ ใช้โปรแกรมเพื่อประมวลผลวิเคราะห์ทางสถิติ หัวข้อใหม่ไม่มีลอกจาก อินเตอร์เนท เพราะทำการทดลองให้เห็นในภาคฯ เลย ผลงานโครงการวิจัยในระดับปริญญาตรี ของกลุ่มที่ผมดูแลอยู่ ได้ไปนำ เสนอในที่ประชุมวิชาการระดับชาติมากกว่า 7 ผลงานแล้วครับ มีลงตีพิมพ์ ในวารสารวิชาการด้วย (แต่ก็ต้องแก้ไขกันมากพอสมควรกว่าจะส่งไปได้) จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 11:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 41 #38 การไม่ผ่านดังกล่าวหมายถึงเรียนไม่ทันตามกำหนดเวลาครับ เช่น ภาคการศึกษาหน้าควรจะได้เรียนตัวนี้แล้ว ก็ต้องเลื่่อนไปภาคการศึกษา ต่อไปครับ คือจบช้าลงนั่นเอง ทางแก้ก็คือเปิดกระบวนวิชา major ทั้งหมด ทั้งภาคการศึกษาที่ 1 และ 2 แทนที่จะเปิดเพียงภาคการศึกษาเดียวทั้งปี คณาจารย์ก็คงจะต้องเหนื่อยกันมากขึ้นแทนที่จะสอนกระบวนวิชานั้นๆ เพียง ครั้งเดียว แต่คราวนี้ต้องสอนกันสองครั้ง และถ้าเกิดจำเป็นจริงๆ นักศึกษา ต้องจบแล้ว ก็ต้องเปิดภาคการศึกษาที่ 3 ตอนภาคฤดูร้อนด้วย ซึ่งก็เคยเปิด ช่วยนักศึกษาที่กำลังพ้นสภาพเพราะใกล้เรียนเกินระยะเวลามาแล้ว แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 11:24:25 จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 มี.ค. 52 11:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 42 #40 สิ่งที่ผมเขียนนั้นมาจากประสบการณ์ของผมเอง ผมผ่านมาทั้งอาจารย์ที่ดีซึ่งทำให้ทั้งเด็กที่ไม่เก่งพอจะเข้าใจเนื้อหาและยังสามารถทำให้เด็กที่เก่งเรียนรู้เพิ่มเติมนอกจากหลักสูตรเดิมไปอีก ประสิทธิผลของเด็กที่เรียนกับอาจารย์ท่านนั้นกับผม เทียบกับเด็กที่เรียนใน section อื่นกับอาจารย์อีกท่านต่างกันราวฟ้ากับเหว และผมก็ยังได้เจอกับอาจารย์ที่ปล่อยปละไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสอน ไม่เคยอยู่ให้ถาม ออกข้อสอบเหมือนตัวอย่างที่สอน แลยังเหมือนเดิมทุกๆ ปีเปลี่ยนแต่ตัวเลข แถมวิชานั้นยังเป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญ ยังดีที่ผมเคยได้เรียนวิชาที่มีเนื้อหาคล้ายๆ กันมาแล้วในระดับมัธยมปลาย มิเช่นนั้นผมก็คงมีปัญหาเรื่องอิเล็กทรอนิกส์มาจนวันนี้ ผมว่าเด็กที่ได้เรียนกับอาจารย์ Prac คงโชดดีมาก ไม่เพียงแต่เพราะมีอาจารย์ที่คอยคูณสอง แต่ก็ยังสรรหากรรมวิธีต่างๆ เพื่อที่จะให้เด็กได้รับความรู้อย่างเต็มที่ครั จากคุณ : ped cad - [ 5 มี.ค. 52 11:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 5 มี.ค. 52 11:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คำตอบของผมจากคำถามใน #28 เหมือนที่ #31 ตอบนะครับ และปัญหาก็มีตามมาอีกว่าจะทำให้ KPI ของคณะและมหาวิทยาลัยต่ำลงครับ ปวดหัวดีมั้ย เพิ่มอีกนิด ถ้าอยากให้มาช่วยสอนแล้วให้นศ.เก่งขึ้นพอที่จะรับการเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ก็คงต้องบวกอีก 1-2 ปี จากเดิมที่เรียน 4 ปี ก็ต้องกลายเป็น 5-6 ปี ยังไม่หมด ช่วยๆนศ.หน่อย! ช่วยจนผ่านปี 1 ปี 2 แล้วมา retire ตอนจบปี 3 มันคุ้มมั้ย จะให้อาจารย์ช่วยจนรับปริญญารึไง พอรับปริญญาก็มาช้าอีก ต้องให้อาจารย์ช่วยไปเรื่อยใช่มั้ย จะเข้าหอ ต้องให้อาจารย์เข้าไปช่วยอีกมั้ย จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 5 มี.ค. 52 14:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เพิ่งตัดเกรดไปวันนี้ จะต้องส่งรูปเล่มวันนี้ก่อนสิบโมงเช้า (ขยายเวลาจากเมื่อวานห้าโมงแลง) มีนศ.บางคนส่ง first draft ให้อาจารย์วันศุกร์ที่แล้วบ้าง วันอาทิตย์บ้าง ก็ตรวจไม่ทัน  ติด P ไปตามระเบียบ ถามว่าที่ให้ไป isolate เชื้อ แล้วเก็บเชื้อที่ isolate ไว้ที่ไหน เจอคำตอบสั้นๆ "ล้างทิ้งหมดแล้ว" จบข่าว จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 5 มี.ค. 52 14:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แล้วถ้าเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรม หรือ แพทย์ ที่ต้องมีการสอบใบ กว หรือ ใบรับรองวุฒิ จะทำยังไง ให้ออกข้อสอบง่ายขึ้น เพื่อให้มีคนผ่านมากขึ้น -..- ตามความคิดโดยส่วนตัว ถ้าลงเลือกคณะไหน น่าจะมีความต้องการที่อยากเรียนหรือโดนบังคับให้ลงก็ตาม น่าจะมีการขวนขวาย กันเล็กน้อย ใครอ่าน ใครทำแบบฝึกหัด คนนั้นก็ทำได้ เป็นเรื่องธรรมดา ใครไม่ได้ทำ ก็ปล่อยให้ตกไป เรียนไม่ได้ เกรดไม่ถึงตามที่กำหนด ก็ retire ออกไป เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัย ไม่ได้ง้อให้มาเรียน ถ้าความสามารถถึงผ่านกฏเกณท์ การับนิสิตนักศึกษา ก็เข้าเรียนได้ แต่ถ้าเรียนไม่ไหว ก็ต้องออกไป แต่ไม่ได้ความว่า ครูอาจาร์ยให้ไม่ต้องสนใจนักศึกษา ต้องมีเวลาว่างให้ได้ปรึกษา ให้ถามได้ ถ้าออกข้อสอบง่ายลง จะเป็นการเอาเปรียบต่อรุ่นก่อนหน้าหรือปล่าว ? ------ ฟังข่าวเรื่องนี้แล้วเครียด คุณภาพของเด็กตกต่ำลง จากคุณ : locomotion - [ 5 มี.ค. 52 15:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อีกประเด็นหนึ่ง คิดว่าเป็นเพราะ ไปเน้นเรื่องคะแนนมากไป ไม่ค่อยเน้นความรู้ เช่น สอน ตัดตัวเลือก แต่ไม่รู้ว่าวิธีทำจริงๆทำยังไง ผมไม่อ่านเลยเรื่องแบบนี้ เกลียดมาก ถ้าข้อสอบ admission เป็นอัตนัย ทั้งหมดเลย ก็คงวัดได้เลยว่า ใครมีไม่มีความรู้ แต่คงทำไม่ได้ เพราะตรวจยาก จากคุณ : locomotion - [ 5 มี.ค. 52 15:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 48 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7591952/X7591952.html#18 ไปตกใจเป็นเพื่อนผมหน่อยสิครับ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 5 มี.ค. 52 16:14:40 ]

ความคิดเห็นที่ 49 มีแย่ยิ่งกว่า http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7591952/X7591952.html#18 อีกคะ แล้วกวดวิชาในมหาวิทยาลัยก็เริ่มมีมากขึ้น จากเดิมที่มีอยู่1-2แห่ง เดี๋ยวนี้ก็มีเป็น 10 แห่ง ซี่งญาติเรียนมหาวิทยาลัยแถวสามย่าน คนนึงเรียนคณะบัญชีต้องไปติวแคลคูลัส สถิติ เศรษฐศาสตร์ที่เปิดสอนหลังเลิกเรียนทุกวัน อีกคนเรียนคณะวิศวะต้องไปเรียนพิเศษวิชาฟิสิกส์ แคลคูลัส การเขียนโปรแกรม บางทีก็ต้องโดดคาบเลกเชอร์ในมหาวิทยาลัยไปติว เพราะจะมีคอร์สเร่งรัดก่ิอนกลางภาค : ) แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 17:21:50 จากคุณ : gloomie - [ 5 มี.ค. 52 17:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ในระดับ อุดมศึกษา บางแห่งเริ่มไม่มีการ ให้ F ลงใน transcript แล้วนะครับ บางแห่งดีหน่อย ให้ re-grade ได้หลายครั้ง โดยใน transcript จะบันทึกเฉพาะเกรดที่ดีที่สุด ที่แน่ๆ ตอนนี้ ทุกมหาวิทยาลัย สามารถอนุมัติ ปริญญา+ตำแหน่งทางวิชาการได้เอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับส่วนกลางอีกต่อไป อีกหน่อย ทุกมหาวิทยาลัย คงมีแต่ ศจ.ดร. และเปิดสอน PhD กันได้ครบทุกสาขา จากคุณ : cdchd - [ 5 มี.ค. 52 18:49:36 ]

ความคิดเห็นที่ 51 #31 แต่สังคมบอกไว้ว่า มันคือการศึกษาภาคบังคับ ใครไม่จบปริญญาก็ถือว่าโง่ นี่คือความจริง... จากคุณ : ซายูบิ - [ 5 มี.ค. 52 19:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 52 #51 มหาวิทยาลัยลัยก็มีมาตรฐานแตกต่างกันนี่ครับ ปัญหาตอนนี้ก็คือ ระบบ Admidtion ทำให้เด็กที่มาตรฐานยังต่ำ เข้ามหาวิทยาลัยมาตรฐานสูงกว่าตนเองได้ แต่ก็ไปไม่รอด โดนตบกลับไปเรียนปี1ใหม่ ใครผิด? จากคุณ : EeTsu - [ 5 มี.ค. 52 22:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ว่าจะเข้ามาอ่านเฉยๆ แต่เรื่องนี้ไม่ตอบก็ไม่ได้ 555 ผมโดน admission เป็นรุ่นแรกครับ สามปีที่แล้ว แต่ผมหนีตายมาได้ เพราะว่าสอบตรงเข้ามหาลัยแห่งหนึ่งได้ ทำไมถึงหนีตายadmission เพราะว่าโรงเรียนแต่ละโรงเรียนมาตราฐานไม่เท่ากันครับ และโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนหนึ่งที่ "กดเกรด" เด็ก(และหลายๆโรงเรียน ก็ กดเกรดเด็กแน่ๆ ผมมั่นใจ แต่ก็มีอีกหลายๆโรงเรียนที่ปล่อยเกรด) เมื่อเข้ามหาลัยมา ผมก็ได้พบความจริงที่ว่า ระบบadmissionมันห่วยจริงๆ ก็ตอนที่เกรดปี1ออก ในคณะมีทั้งเด็กที่สอบตรงและผ่าน แอด เข้ามา เด็กที่ผ่านแอดเข้ามา ด้วยเกรดเฉลี่ยน 4.00 (ย้ำนะครับ4.00) ต้องออกเนื่องจากเรียนไม่ไหว (รวมถึงเด็ก 3.7x-3.9X หลายๆคนด้วย) ในขณะที่เกรดอย่างผม (3.2X) ยังสามารถเรียนที่นี้ต่อไปได้ด้วยเกรดไม่น่าเกลียดเท่าไหร และมีบางคนที่เข้าได้เกรด สองปลายๆ(ของโรงเรียนที่กดเกรด) ยังสามารถเรียนต่อไปได้ครับ ทำไมถึงเป็นยังนี้ เพราะว่าการให้ นน ค่าGPA ที่สูงเกินไป(โรงเรียนแต่ละโรงเรียน มาตราฐานไม่เท่ากัน ต้องยอมรับความจริงตรงนี้ให้ได้ก่อน) พูดกันแรงๆก็คือ เกรดสี่บางโรงเรียน อาจจะสู่เกรดหนึ่งของอีกโรงเรียนหนึ่งไม่ได้เลย เมื่อคุณเข้ามาแล้วไม่สามารถเรียนได้(ตามคนอื่นไม่ทัน หรืออะไรก็ตามแต่) ก็ต้องออกไป สองคือ ให้ นน คะแนน ไทยและสังคมมากเกินไป ในขณะที่ลดคะแนนสายวิทย์ลงไป(อันนี้จำไม่ได้ว่าเริ่มadรุ่นไหน) คือให้ไทย และ สังคม วิชา"ละ" 100คะแนน ในคณะที่ physic+chem+bio =100 อันนี้จะเห็นผลมากในสายวิทย์ทั้งหลาย เช่นวิศวะ เพราว่า เด็กที่เก่ง physicสุดๆ แต่ได้กลางๆ ไทยและสังคม โอกาสที่เข้าวิศวะ ได้น้อยกว่าเด็กที่เก่งไทยและสังคม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนที่เก่งไทยสังคม จะอ่อนวิทย์ และคนที่เก่งวิทย์จะอ่อนไทยสังคม เมื่อ เข้าสู่มหาลัยแล้ว คนที่ไม่มีพื้นและไม่มีความรู้ความเข้าใจในphysic ก็ตายตั้งแต่ปี1 เมื่อเจอ physic1 ขอเถียงนิดหนึ่งด้วย มะกี้อ่านแล้วเห็นมีคนบอกว่า การที่นศ สอบไม่่ผ่านเป็นเพราะอาจารย์สอนไม่เข้าใจ ผมว่าในเมื่อคุณเข้ามาเป็น นศ แล้ว อาจารย์ไม่ได้มีหน้าที่มาป้อนคุณนะครับ เค้าสอนในสิ่งที่เข้าต้องถ่ายถอดแค่นั้น ถ้าไม่รู้ก็ไปถามนอกคาบ ไม่ก็ไปหาtextอ่านเอาเองครับ เค้าสอนไม่เข้าใจก็ไปหาความรู้เพิ่มเองครับ อาจารย์เค้าไม่ได้สอนคนที่มีความรู้จากศูนย์นะครับ อย่างน้อยคุณต้องมีพื้นฐานมาให้เค้าต่อยอดได้แล้ว (ไม่งั้นผ่าน O/A-netกันมายังไง)  อีกอย่างถ้าอาจารย์สอนไม่เข้าใจ แล้วไอ้รุ่นก่อนๆมาผ่านมายังไง- -'' ระบบadmissionนี้เป็นระบบการทำลายประเทศโดยแท้ครับ เพราะว่า ในต่ำแหน่งนศ 1ที่นั้น คนที่เสียโอกาสคือ 2คน 1.คือ นศที่โดนรีไท 2.คือคนที่มีคุณภาพพอแต่เข้าไม่ได้เนื่องจากติดGPA บ้างหรือไทยสังคมบ้าง จากคุณ : WaZK - [ 6 มี.ค. 52 00:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 54 >>> บางทีก็ต้องโดดคาบเลกเชอร์ในมหาวิทยาลัยไปติว เพราะจะมีคอร์สเร่งรัดก่ิอนกลางภาค : ) อึัง ... ไม่รู้จะว่ายังไงสำหรับเด็กที่นำแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่ เวลาสอนในห้อง อาจารย์ก็จะบอกใบ้เป็นนัยๆ อยู่แล้ว ว่าจะออกแนวไหน บางคนบอกด้วยซ้ำว่าเรืองไหนออก เรื่องไหนไม่ออก ดันโดดเรียนไปเสียเงินติว เอ้อ คงจะผ่านกันหรอก แถมโจทย์ใน Tutorial และแบบฝึกที่ให้ทำ ก็มาจากข้อสอบเก่า และหัวข้อที่อาจารย์อยากเน้นเป็นพิเศษอยู่แล้ว ทำไม่ได้ก็เข้า Tutorial หรือถามอาจารย์คนสอน ยังงงว่าจะไปเสียตังค์เรียนทำไม อันที่จริงแล้วไม่สนับสนุนให้เน้นเรียนแต่สิ่งที่จะออกข้อสอบ แต่อ่านแล้วมึน ไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้คิดอะไรกันอยู่ จากคุณ : อาจารย์ที่บังเอิญผ่านมา - [ 6 มี.ค. 52 04:28:35 A:58.136.206.195 X: TicketID:191544 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ระบบห่วยแตก หนุนให้คนโง่มีโอกาสมากขึ้น หวังให้พวกนี้ขยัน ปรับตัวได้ แต่ผลก็เห็นๆอยู่ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 6 มี.ค. 52 08:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เข้ามาให้ give #53 ไปสามคะแนนเลยครับตรงใจจริงๆ เห็นด้วยกับ #54 ด้วย ตอนไปสอนผมก็บอกเลยว่าตรงนี้ผมจะออกสอบนะ แล้วก็อธิบายไปสอง-สามรอบ สอบมาได้เต็มอยู่ไม่กี่คน จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 6 มี.ค. 52 11:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ผมกำลังสังสัยว่ารับตรงจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่ออาจารย์ทั้งหลายในกระทู้นี้บอกว่าปัญหาเกิดจากเด็กติดนิสัยได้เกรดมาง่ายๆ จาก ม.ปลาย ไม่ใช่ว่าปัญหาเกิดจากเด็กมีความรู้วิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ จากคุณ : ped cad - [ 6 มี.ค. 52 15:13:16 ]

ความคิดเห็นที่ 58 #56 แหะๆ ไม่เคยถามพี่เขาอ่าคะว่าทำไมต้องไปติว แต่ว่าถ้าหนูเข้ามหาวิทยาลัยคงไม่ไปติวหรอกคะ :] จากคุณ : gloomie - [ 6 มี.ค. 52 19:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ^- เพราะเด็กที่ติดนิสัยง่ายๆพวกนั้นจะโดนคัดทิ้งครับ เท่าที่ผมอ่าน คือลดน้ำหนักเกรดเฉลี่ยลง ปรับเกณฑ์น้ำหนักแต่ละวิชาใหม่ให้ตรงมากขึ้น เด็กที่ผ่านเข้ามาด้วยเกรด ก็จะน้อยลงไปเอง นี่ยังสะท้อนอีกอย่างว่า นอกจากไม่อนุมัติให้แยกวิชาสายวิทย์ออกจากกันแล้ว เดิมทีมหาวิทยาลัย ยังไม่สามารถกำำหนดน้ำหนักได้ตามใจด้วย ถ้ายังอยู่ในระับบแอดมิดชั่น จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 6 มี.ค. 52 19:04:40 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ลองดูที่ www.parent-youth.net -------------------- มา load ringtone ในหลวงเปิดให้ทั่วเมืองกัน อันนี้ file เล็ก http://th.upload.sanook.com/A0/9e20e30d15d973683078730612cbc706 อันนี้ file กลาง http://th.upload.sanook.com/A0/62db41e9128a424115cb1725dbd76e59 จากคุณ : 12VDC - [ 7 มี.ค. 52 17:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สรุปแล้ว ฝ่าด่านมาได้กี่คนล่ะครับ จากคุณ : น้าพร - [ 9 มี.ค. 52 23:00:24 ]