ความคิดเห็นที่ 1 ตั้งไว้ก่อนล่วงหน้าเลยนะครับ  รอแป๊บนึง หมดช่วงดันดาราก่อน   เดี๋ยวก็มาแล้ว จากคุณ : yagioh - [ 17 มี.ค. 52 23:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ติดตามอยู่เหมือนกันฮะ อยากรู้เหมือนกัน จากคุณ : เจ้าชายจอมพลัง - [ 17 มี.ค. 52 23:37:22 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไปตั้งห้องศาสนาสิครับ เรื่องลึกลับตรงไหนมิทราบ จากคุณ : StVaIkyrie - [ 17 มี.ค. 52 23:49:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าเอามาใช้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ได้นะ จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 18 มี.ค. 52 00:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มานั่งดูด้วยคนครับ ง่า ต้องมีปัญหาด้วย ถ้าไม่มีดูกรรมไม่ออก แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 00:07:35 จากคุณ : Naruse_X - [ 18 มี.ค. 52 00:05:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องลึกลับขนานแท้ ไม่ตั้งที่นี่แล้วจะตั้งที่หนายยยย จากคุณ : ltf06 - [ 18 มี.ค. 52 00:05:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาแบบนี้อีกแล้ว สแกนกรรม... ตาทิพย์ จะเชื่อดีไหมนี่? จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 18 มี.ค. 52 00:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ......... จะส่งเสริมให้คนไทยไปถึงไหน....? ช่วยๆกันเข้าเน้อ..... จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 18 มี.ค. 52 00:13:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เจอคนที่สองไป หน้าเสียเลย เหอๆๆ จากคุณ : คุณโฮม - [ 18 มี.ค. 52 00:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คนที่ 2 มาแนวไหนเนี่ย แย่งซีนคุณป้าแสกนกรรมไปหมดเลย คุณป้าไม่ได้พูดเลย จากคุณ : Naruse_X - [ 18 มี.ค. 52 00:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 งมงาย จากคุณ : Ekkichi - [ 18 มี.ค. 52 00:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คนที่สอง  ดูตื่นเต้นยังงัยไม่รู้   ตกลงเค้าอะไรยังงัยกันคะเนี่ย??? จากคุณ : ~~ช้างน้อยร้อยโล~~ - [ 18 มี.ค. 52 00:23:29 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นึกแล้วเชียว ว่าต้องต่อสัปดาห์หน้า  -*- จากคุณ : พริกขี้หนูสีชมพู - [ 18 มี.ค. 52 00:28:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่าา ผมดูไปนิดเดียวเอง รู้สึกเวลาเค้าพูดแล้วงงๆยังไงไม่รู้ ดูไปคนแรกยังไม่ทันออกมาเลย เลิกดูดีกว่า พอมาดูในนี้อีกที ขายหนังสืออีกแล้วหรอเนี่ย -*- จากคุณ : stonehole - [ 18 มี.ค. 52 00:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สแกนกับไรอะครับกรรม จากคุณ : Lamelez - [ 18 มี.ค. 52 00:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สแกนได้ที่ไหน เราจะตามไปดู!! จากคุณ : nobra - [ 18 มี.ค. 52 00:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ได้จับผิดนะครับ แค่สังเกต หลายฉ็อต ที่คุณแขกรับเชิญ ก่อนจะพูดถึงเรื่องกรรมเก่า ชาติปางก่อน ดวงตาทั้งสองข้างจะกลอกไปทางหางตาด้านซ้ายบน ได้ยินแวบๆ ว่า เวลาที่เราใช้จินตนาการ สมองด้านซ้ายจะทำงานหนัก ดวงตาจะถูกดึงไปทางด้านนั้น ไม่ได้ลบหลู่ นะ แค่ตั้งข้อสังเกตเอาขำๆ จากคุณ : MA<O>MiYA - [ 18 มี.ค. 52 00:31:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เวลาแสกนนี่ใช้ความละเอียดเท่าไรหว่า ความละเอียดสูง ๆ จะได้เก็บทุกรายละเอียดกรรม *0* จากคุณ : PUMPKINbig - [ 18 มี.ค. 52 00:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ดูอยู่ ชอบมากฮ่ะ ลงชื่อ อยากสแกนบ้างจัง จากคุณ : ผู้เยี่ยมชนที่แสนอารี (meekung555) - [ 18 มี.ค. 52 01:08:06 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ก่อนตั้งกระทู้กรุณาไปศึกษากาลามสูตรมาให้มากกว่านี้หน่อย     หลังจากพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตรแล้ว  พระองค์บอกว่าเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระองค์กล่าวเป็นจริงหรือไม่   ให้ทุกคนไปปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานกันด้วย   เพื่อที่จะพิสูจน์สิ่งที่พระองค์กล่าว   แต่คนยุคนี้เอากาลามสูตรมากล่าวกันลอยๆแต่ไม่ได้บอกวิธีการพิสูจน์   เลยมีคนหลงเข้ารกเข้าพงไปเยอะ --------------------------------------- ผมจะช่วยตั้งหัวข้อกระทู้ให้ใหม่ ที่ช่อง 3 รายการตี10 ตอนนี้เลยครับ มา อนุสฺสวเนน            อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา มา ปรมฺปราย              อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา มา อิติกิราย                อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ มา ปิฏกสมฺปทาเนน      อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา มา ตกฺกเหตุ                อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง มา นยเหตุ                  อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา มา อาการปริวิตกฺเกน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา  อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน มา ภพฺพรูปตา              อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ มา สมโณ โน ครูติ        อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้  ให้พิืสูจน์ด้วยตัวเองก่อนโดยวิธีปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐาน   หากใครไม่ปฏิบัติ  กรุณาอย่าบอกว่าไม่เชื่อเรื่องนั้นๆเพราะหลักกาลามสูตร จากคุณ : โดยมนุษย์เพื่อมนุษย์ - [ 18 มี.ค. 52 01:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ยังไม่รู้เลยหะ กาลามสูตร คืออะไร จากคุณ : Newbie - [ 18 มี.ค. 52 01:23:00 A:192.168.0.17 X:58.9.102.50 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เอามาแข่งกับอีกคนที่เอ็กซ์สเรย์ผีอะไรนั่นหรือเปล่า จากคุณ : G_AOD - [ 18 มี.ค. 52 03:37:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คิดดู ดีๆ มันน่าสนนะ อย่างน้อยๆรู้ไว้ก็ดีจะได้ปรับปรุงนิสัย ทัน หลักง่ายๆอย่าเบียดเบียนคนอื่น กับมีน้ำใจ อธัทยาสัยดี แค่นี้ตัวเราก็สุขแล้วหล่ะ จากคุณ : เอกอัมรินทร์ - [ 18 มี.ค. 52 03:43:36 A:125.27.180.63 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอเดาว่าลวงโลกได้ป่ะ ถ้าหว้ากอจะจัดพิสูจน์ช่วยแจ้งข่าวด้วยเน้อ แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 03:48:01 จากคุณ : ขยะสังคม - [ 18 มี.ค. 52 03:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 25 งงตรงที่ คนมาให้ดูคนที่สองนี่แหล่ะครับ คนอะไรมาเดินห้าง แล้วพกใบ สแกนหัวใจตัวเองมาด้วย ^^ ช่างพอดีจริง ๆ เลยเนอะ อิอิ จากคุณ : totetote - [ 18 มี.ค. 52 04:02:53 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมว่าพกใบแสกนหัวใจยังไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะเค้าอาจจะมองว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องพกไว้ก็ได้ เผื่อเป็นอะไรระหว่างทาง เช่นเป็นลม หมดสติ แล้วถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล คนอื่นจะได้รู้ว่าเค้าเป็นโรคหัวใจ อย่างบางคนก็ยังพกตั๋วจำนำหรือใบอะไรสารพัดในกระเป๋าสตางค์เลย แต่ที่ผมแปลกใจ ก็คือคนป่วยขนาดใกล้ตายแล้ว ยังจะมาเดินห้างคนเดียว หรือว่าห้างนี้มันอยู่ใกล้บ้านเค้า จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 07:16:14 A:58.9.90.23 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หลอกกันเข้าไป....ให้งมงาย 5555 กรรมเก่า 555 นี่ถ้าผมเกิดมาซัก 5ชาติ คงจะมีชาติที่แล้วของชาติที่แล้ว ของชาติที่แล้ว ตามมาทับซ้อนกันน่าดู กรรมเก่าไป กรรมเก่ามา จะชวนไปเสียเงินล้างกรรม ลดกรรม ต้องไปสร้างพระประจำตัว แป่วววววว...5555 จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 18 มี.ค. 52 07:18:28 A:202.62.105.155 X: TicketID:177078 ]

ความคิดเห็นที่ 28 นึกว่าจะ โดน อุ้ม ซะแล้วกระทู้ นี้ เมื่อคืนเห็น 2 แดงแล้ว จากคุณ : กลิ่นมาก่อนตัว - [ 18 มี.ค. 52 07:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ใครคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่..วิจารณ์กันเข้าไป ไม่ว่าใครจะออกมาพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับกฏแห่ง..ต้องมีไอ้พวกที่ขวางโลก..ออกมาต่อต้านเขาทุกทีแน่จริงก็ลองปฏิบัติสมาธิดูซิ..พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะแนวทางไว้ให้แล้ว แต่อย่างว่านั่นแหละ พวกห่างไกลพระศาสนา ต่อให้พูดอย่างไรมันก็ไม่เชื่อโบราณเขาถึงว่าเอาไว้ ..ไม่เห็นโลงไม่หลั่งน้ำตา..ต้องให้เกิดทุกข์กับตัวเองและครอบครัวกันมาก ๆ นั่นแหละ ถึงจะรู้จักคำว่าเสียใจ ฟัง ๆ กันไว้บ้างก็ดีนะ ไม่ได้เสียหายหรือเดือดร้อนอะไรนักไม่ใช่หรือ พวกบัวใต้ตม จากคุณ : สุนทรา - [ 18 มี.ค. 52 08:35:36 A:118.172.137.132 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 #29 เพราะมีคนแบบนี้อยู่นี่ละครับ พุทธศาสนามันถึงได้เสื่อมลง ผมไม่ยักเคยอ่านพระไตรปิฏกเจอนะว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ Scan กรรมเป็น จากคุณ : cookiecompany - [ 18 มี.ค. 52 08:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 #29 พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องสแกนกรรมครับ ศาสนาพุทธยุคนี้เริ่มบิดเบือนมากแล้ว มีแก้กรรมกันด้วย .. เศร้าจัง จากคุณ : s m l xl - [ 18 มี.ค. 52 09:00:38 ]

ความคิดเห็นที่ 32 29 เห็นด้วยกับคำว่า "บัวใต้ตม" ครับ....... จากคุณ : Desolation Angel - [ 18 มี.ค. 52 09:09:31 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สงสัยครับ ทำไมเวลาที่จะให้ความเห็นที่ค่อนข้างรุนแรง (ขออนุญาตยกตัวอย่าง เช่น คห.29) ถึงต้องมาในรูปของวิญญาณบัตรผ่านครับ ไม่มีตัวตนหรือ หรือว่าไม่กล้ากระทั่งที่จะยืนยันตัวตนเพื่อรับรองคำพูดตัวเอง... ด้วยความเคารพครับ..(เคารพใคร..??) จากคุณ : หิริโอตัปปะ - [ 18 มี.ค. 52 09:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นด้วยกับ 29 ในแง่ที่ว่า ส่วนใหญ่ ชอบบอกว่ากรรมไม่มีจริงโดยไม่พิสูจน์ แต่อ้างว่าพิสูจน์ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่วิธีพิสูจน์ก็คือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เท่านั้นเอง คอยดูได้เลย ความเห็นต่อ ๆ ไป ที่จะมาแย้งความเห็นผม จะทำเสมือนว่าผมไม่เคย เขียนคำว่า "วิปัสสนากรรมฐาน" จากคุณ : นายหัวเห็ด - [ 18 มี.ค. 52 09:34:38 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตามหลักวิทยาศาสตร์ ต้องมีการทดลอง เพื่อให้ได้ความจริง หรือทฤษฎี ดังนั้น อยากทดลองสแกนกรรมบ้างจัง จากคุณ : St.Kyo - [ 18 มี.ค. 52 09:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่มาออกเมื่อคืนนะ แต่ถึงจะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่ากรรมและผลของกรรมไม่มีจริง ผู้ถาม : คนที่เจ็บป่วยเสมอๆ นั้น มีอาจารย์บางท่านบอกว่า เป็นเพราะไม่รักษาสุขภาพให้ดี ถึงเวลากิน ก็ไม่กิน ถึงเวลานอน ก็ไม่นอน.................... หรือเวลาหนาว ก็ไม่ปกปิดร่างกายให้อบอุ่นพอ เป็นต้น. ท่านไม่ได้เอ่ยถึงกรรมเก่าเลย ทั้งนี้เพราะว่าท่านองค์นั้น ไม่เชื่อ ว่ามีชาติก่อน และชาติหน้า................................ ท่านพูดเสมอ ว่า ....................ตายแล้วก็สิ้นสุดกันเท่านี้. อยากทราบว่า ที่ท่านพูดนี้ ถูกต้องประการใด.........? ผู้ตอบ : สำหรับเรื่องนี้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน อัตตทัณฑสูตร มหานิเทศ ข้อ ๗๙๒ มีข้อความตอนหนึ่งว่า...................... . อาพาธ คือ มีดีเป็นสมุฏฐาน (เหตุ) ก็มี อาพาธ.......มีเสมหะเป็นเหตุให้เกิด ก็มี อาพาธ............มีลมเป็นเหตุให้เกิด ก็มี อาพาธ........เกิดจากฤดูแปรปรวน ก็มี . อาพาธ เกิดจากการบริหารตน ไม่สม่ำเสมอ ก็มี อาพาธ...........เกิดจากความเพียรเกินกำลัง ก็มี อาพาธ....................เกิดเพราะ "ผลของกรรม" ด้วยความร้อน ความหนาว ความหิวความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ฯ......................ก็มี. . จากข้อความ ที่ยกมานั้น......ผู้ถามก็จะทราบได้ว่า อาพาธ คือ ความเจ็บป่วย หรือ โรคภัยไข้เจ็บ นั้น เกิดจากเหตุหลายอย่าง รวมทั้งเกิดจากกรรมด้วย. . โรคทางกายทุกอย่าง ที่ทำให้กายเป็นทุกข์เดือดร้อนนั้น ล้วนเป็นผลของกรรมทั้งสิ้น. . เพราะว่า จิต ที่ได้รับทุกขเวทนาทางกาย มีชื่อว่า "ทุกขสหคตะกายวิญญาณจิต" อันเป็น จิต ที่เป็น....ผลของอกุศลกรรม คือ อกุศลวิบาก นั่นเอง........................ ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม จะเข้าใจได้ดี ว่า เมื่อใด ที่จิตดวงนี้เกิดขึ้น ก็ทราบได้ว่า ขณะนั้น อกุศลกรรม กำลังให้ผลแล้ว. . ส่วนโรค ที่เกิดจากสาเหตุ อื่นๆ.................ที่นอกจากกรรม อาจจะรักษาให้หาย ก็ได้.....หรือบางที ไม่ต้องรักษาก็หาย แต่ถ้าเป็น โรคที่เกิดจากกรรม..........รักษาเท่าไร ก็ไม่หาย.! เว้นเสียแต่ว่าจะสิ้นกรรม หรือกรรมนั้นหมดโอกาสให้ผลแล้ว. . อันที่จริง...เรื่องของการรักษาโรคนั้น โดยเฉพาะ ถ้าเป็นบ่อยๆ.......เช่น เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นผลของการเบียดเบียนสัตว์อื่น ให้ลำบากเดือดร้อน. (จะเป็นผลของกรรมชาตินี้...........หรือในอดีตชาติก็ได้) . และอีกประการหนึ่ง คนที่เป็นโรคนั้น แม้ไม่ใช่โรค ที่เกี่ยวกับ ผลของกรรม อันได้แก่การเบียดเบียนสัตว์ เป็นต้น เช่น ผู้ที่เป็นโรคแพ้อากาศ............. ฝนตกทีไร เป็นหวัดอยู่เสมอ เป็นต้น .........อันนี้ ก็เป็นโรค ที่เกิดจากอุตุ อันได้แก่ ความเย็น ความร้อน ฯลฯ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา....ไม่คงที่. . ถึงอย่างนั้น เมื่อเวลาที่เป็นโรค ทุกขเวทนาทางกายก็เกิดขึ้น จิต ที่ประกอบด้วย ทุกขเวทนาทางกาย เป็น อกุศลวิบากจิต ซึ่ง เป็นผล ของอกุศลกรรม.............ที่ได้กระทำแล้วในอดีต. . เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร.......แม้ไม่มีกรรม เป็นเหตุเกิด เช่น โรคที่เกิดจากอุตุ............ถึงกระนั้น ก็จะต้องมีกรรมในอดีต มาเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมสนับสนุนด้วย เพราะถ้าหากว่า.....ไม่มีกรรมในอดีต มาเป็นปัจจัยสนับสนุนแล้ว วิบากจิต ที่ประกอบด้วยทุกขเวทนาทางกาย ย่อมไม่เกิด.......... . ด้วยเหตุนี้...............ความอาพาธ หรือ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจากโรคใดๆ เมื่อเกิดขึ้นครั้งใด จะต้องมีอดีตกรรม เข้ามาส่งเสริมสนับสนุนเสมอ............! เพราะฉะนั้น อดีตกรรม อันเป็น ปกตูปนิสสยปัจจัย จึงเป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้ได้รับทุกขเวทนาทางกาย มากบ้างน้อยบ้าง... สุดแต่อำนาจของกรรมที่ให้ผล ว่าเป็น กรรมที่หนัก หรือ เป็นกรรมที่เบา.............. ถ้ากรรมมีกำลังมาก ก็ทุกข์มาก ถ้ากรรมมีกำลังน้อย ก็ทุกข์น้อย ..........................แต่ที่จะพ้นไปจากกรรม ไม่มีเลย........................ จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 10:03:32 A:58.9.85.152 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 37 วิปัสนากรรมฐาน ทำเพื่อฝึกจิต ให้คุมอารมณ์ทางลบได้ มีความสุขกับชีวิต มากขึ้น ตัดทุกข์  มันก็ดีครับ แต่ทำวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเห็นกรรมเนี่ย คุณรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่จิตหลอกไปเอง ไม่ต้ิองพูดถึงนิมิต เอาแค่ความทรงจำของเราเอง ที่เรานึกว่าเป็นของเรา เป็นของที่ถูกต้อง กลับถูกบิดเบือนกลายเป็นอะไร ไม่รู้ได้เลย โดยที่เรายังนึกว่ามันเป็นเรื่องจริง คนที่เป็นจิตเภท schizophrenia เค้าก็เห็นนิมิตอะไรหลายๆ อย่างประหลาดๆ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงเช่นกัน จากคุณ : Geneticist - [ 18 มี.ค. 52 10:48:49 ]

ความคิดเห็นที่ 38 งมงาย....สองคำนี้พอไหม? จากคุณ : เผอิญผ่านมา - [ 18 มี.ค. 52 11:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าพูดว่า กรรมคือผลของการกระทำในชาตินี้ละก็เชื่อละครับ นี่เล่นเอาชาตินู้น ชาตินั้นมาอ้าง เป็นไปไม่ได้หลอก ไม่ต้องไปหาคำอธิบายให้เมื่อยตุ้ม งั้นก่อนที่จะมีศาสนาพุทธก็ไม่มี กรรมนะซิ เพราะคนเขียน นรก สวรรค์ยังไม่เกิด แล้วตอนนั้นใครคลุมนรก คนของศาสนาไหน ใครจดบันทึกกรรม ลอง ย้อนไปอีกก่อนมีอินเดีย ก่อนมีศาสนาพรามห์ละ ตกนรก ทำกรรมไว้จะไปขึ้นตรงกับศาสนาไหน ใครเก่งๆมาอธิบายหน่อย เกิดผมทำกรรมไว้ชาติที่แล้ว ชาตินี้ผมเกิดเปลี่ยนศาสนาละกรรมในชาติที่แล้วจะตามผมมาป่าว แล้วถ้าศาสนาที่ผมเปลี่ยนบอกว่าทำแบบนี้ไม่ผิด ถึงผิดก็ไถ่บาบได้ละ...กรรมเก่าจะตามมาเอาเรื่องผมได้ป่าว พระเจ้าในศาสนาใหม่ผมบอกไม่ผิดนะ...จะมาทวงกรรมกับผมก็ต้องถามพระเจ้าองค์ใหม่ผมก่อน 555 จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 18 มี.ค. 52 11:20:59 A:202.62.105.155 X: TicketID:177078 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อ้ายเรื่องผีสางก็เหมือนกัน ไอ้ที่ว่าแน่ๆ ผมเคยพนันกับเพื่อน เหล้าแค่ขวดเดียวเท่านั้น ไปนั่งเล่นในป่าช้าคนเดียว หวังจะได้เจอผี เจอวิญาณกับเค้าบ้างก็ป่าว...อยู่ตั่งแต่ตี1-ตี3กว่าก็ไม่เห็นออกมา ด่าแม่มันก็แล้ว เอ้าก่อนกลับเอาตามที่เค้าเล่าๆกันมาเลย ไปเอาตีนตืบบนหลุมมัน 3ที แล้วบอก ตามกรูมา บอก 3ที แล้วเอาดินหน้าหลุมนั่นแหละไปวางไว้หน้าบ้าน ยังกลัวเหดียวมันตามเข้าบ้านไม่ได้ก็แบ่งดินส่วนนึงเข้าไปไว้ในบ้าน รอมา 10 ปีแล้ว ยังไม่โผล่ให้เห็นซักตัว......ไอ้มองลอกหว่างขาไปที่เมรุตอนจะเผาเอย ตอนยกโลงเอย สารพัดจะมอง ไม่เคยเห็นซักที บะ ทำมัยมันเจอยากเย็นนักก็ไม่รู้ ......บ้านก็อยู่คนเดียว ไม่มีเสียงอึกกระทึก มันจะกลัวอะไรนักหนา........เอาแบบ แวบๆ ก็อกๆ แก็กๆก็ได้ จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 18 มี.ค. 52 11:39:34 A:202.62.105.155 X: TicketID:177078 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณความเห็นที่ 39 กลับไปศึกษาพุทธประวัติก่อนนะ เรื่องกรรมเวรไม่มีชาติศาสนา ใครทำอะไรไว้ย่อมได้รับสิ่งนั้น  หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนรกสวรรค์ คงมีมาก่อนพุทธศาสนาแล้วล่ะ ไม่งั้นเค้าคงไม่เรียกว่า ทรงตรัสรู้ หรอกค่ะ เพราะพระพุทธเจ้า  ทรงรู้เป็นคนแรก และกรุณาศึกษาเรื่องกรรมก่อนแสดงความคิดเห็น อ่านแล้วสงสาร จากคุณ : PP (amm@msu) - [ 18 มี.ค. 52 11:44:20 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คห.39 ศาสนาพุทธไม่ใช่คนเขียนหรือสร้างกฎแห่งกรรมนะครับ กฏแห่งกรรมเป็นกฏของธรรมชาติ ก็เหมือนกับสวรรค์หรือนรก ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เหมือนอย่างโลกมนุษย์นี้ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดสร้าง แต่เกิดขึ้นมาตามเหตุปัจจัย แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ถ้าพระพุทธเจ้าสร้างกฏแห่งกรรมขึ้นมา แล้วทำไมพระองค์จะต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมที่ทรงเขียนหรือสร้างขึ้นมาเองเล่าครับ จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 11:45:39 A:58.9.85.152 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คห.39 เมื่อกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องของกฎแห่งธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา ฉะนั้น ถ้าชาติที่แล้วคุณนับถือศาสนาหนึ่ง แล้วทำกรรมเอาไว้ มาในชาตินี้ ถึงเปลี่ยนศาสนาใหม่ กรรมที่ทำไว้ก็ส่งผลได้ เพราะมันไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย เหมือนอย่างฝนจะตก ก็เพราะเหตุปัจจัยทางธรรมชาติ มันไม่เลือกตกเพราะว่าคนในดินแดนนั้นนับถือศาสนาไหน เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ตก มันก็ตก ถ้าใครคนไหนฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือฆ่าผู้มีพระคุณ ไม่ว่าเค้าจะนับถือศาสนาอะไร เค้าก็ย่อมทุกข์ใจเสียใจ จะไปบอกว่าศาสนาพุทธห้ามฆ่าพ่อฆ่าแม่ แต่ฆ่าไปแล้ว เลยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่บอกว่าฆ่าพ่อแม่ไม่บาป มันก็ไม่ช่วยอะไร หรือการให้ทานแก่คนตกทุกข์ได้ยาก ก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกปลื้มปิติใจได้ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร หรือแม้จะไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เค้าก็ย่อมปลื้มปิติใจได้ที่ได้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 11:52:43 A:58.9.85.152 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โรคจิตเภท คืออะไร / What is Schizophrenia ? 1. หน่วยงานสุขภาพจิตและจิตเวชชุมชน รพ.ศรีธัญญา ติวานนท์ นนทบุรี 2. ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โรคจิตเภทคือ กลุ่มอาการของโรคจิต ที่มีความผิดปกติของความคิด มีลักษณะ อาการแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ ลักษณะอาการทางบวก และลักษณะอาการ ทางลบ กลุ่มลักษณะอาการทางบวกหมายถึง อาการที่มีเพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่ - ประสาทหลอน เช่นได้ยินเสียงคนพูดคุย ได้ยินเสียงคนพูดตำหนิ พูดโต้ตอบเสียง นั้นเพียงคนเดียว - อาการหลงผิด เช่นคิดว่ามีเทพวิญญาณอยู่ในร่างกาย คอยบอกให้ทำสิ่งต่างๆ - ความคิดผิดปกติ เช่นพูดไม่เป็นเรื่องเป็นราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูด โดยไม่มีเหตุผล - พฤติกรรมผิดปกติ เช่นอยู่ในท่าแปลกๆ หัวเราะหรือร้องไห้ สลับกันเป็นพักๆ กลุ่มลักษณอาการทางลบหมายถึง อาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติ ทั่วๆไป ได้แก่ - สีหน้าอารมณ์ฌฉยเมย ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไม่มีสัมพันธภาพกับใคร ไม่พูด ไม่มีอาการยินดียินร้าย อาการโดยรวมที่พบได้ในภาวะความเจ็บป่วยของโรคนี้ ได้แก่ 1. มองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ผู้ป่วยโรคจิตเภทมักมองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการวิตกกังวล รู้สึกสับสน อาจจะดูเหินห่าง แยกตัวจากสังคม บางครั้งอาจนั่งนิ่งเป็นหิน ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจาใดๆ เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้าๆ ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา 2.ประสาทหลอน ผู้ป่วยอาจคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาสั่ง ให้ตนทำโน่นทำนี่ ได้ยินคนมาพูดคุยกับตน มาเตือน หรือมาตำหนิในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีคนพูด หรือไม่มีต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้เลย ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า "หูแว่ว" ผู้ป่วยบางคนอาจมองเห็นคน ผี หรือสิ่ง ของต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเห็นเหมือนผู้ป่วย เราเรียกอาการนี้ว่า "เห็นภาพหลอน" 3.ความคิดหลงผิด ความคิดหลงผิดเป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริงและไม่ได้เป็นความเชื่อในวัฒนธรรมของ ผู้ป่วย ซึ่งความคิดหลงผิดในผู้ป่วยจิตเภทนี้มักจะแปลกประหลาดมาก เช่น เชื่อว่าพฤติกรรมของเขาหรือ ของคนอื่นๆถูกบังคับให้เป็นไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากต่างดาว เชื่อว่าความคิดของตนแพร่กระจาย ออกไปให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จักรับรู้ได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ หรือเชื่อว่าวิทยุหรือโทรทัศน์ต่างก็พูดถึงตัวผู้ป่วยทั้งๆที่ ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น 4.ความคิดผิดปกติ ผู้ป่วยจะไม่สามารถคิดแบบมีเหตุมีผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อคนอื่นคุยกับผู้ป่วยไม่ค่อยเข้าใจก็มักจะไม่ค่อยคุยด้วย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยถูกแยกให้อยู่คนเดียว 5.การแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม ผู้ป่วยมักจะแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เช่น พูดว่าตนกำลังถูกปองร้ายจะถูกเอาชีวิต ซึ่ง ขณะพูดก็หัวเราะอย่างตลกขบขัน (โดยไม่ใช่คนปกติที่ต้องการทำมุขตลก)พบได้บ่อยเช่นกันที่ผู้ป่วยจิตเภท จะไม่ค่อยแสดงสีหน้า หรือความรู้สึกใดๆ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้เสียงระดับเดียวกันตลอด ไม่แสดง น้ำเสียงใดๆ (monotone) ซึ่งอาการของผู้ป่วยจิตเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรังมีบ้างในบางคนที่มีอาการเพียงช่วงเวลาสั้นๆและ สามารถหายเป็นปกติได้ แต่ก็มักต้องการการรักษาที่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเหมือนๆ กัน 6.ในเรื่องของการฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายมากสำหรับผู้ป่วยจิตเภท ถ้าผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายหรือมีการวางแผน ที่จะทำอย่างนั้น ควรจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างรีบด่วน เพราะผู้ป่วยจิตเภทมีการฆ่าตัวตายสูง อะไรคือสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของสมองบางส่วน โดยอาจขาดการกระตุ้นให้ทำงาน จากสารสื่อสารของ ใยประสาทในสมอง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ในปัจจุบันยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของโรคจิตเภท ดูเหมือนว่ากรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อการ เกิดโรคนี้พอๆกัน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ตรงไปตรงมาว่ายีนส์อะไร สารเคมีตัวไหน หรือความเครียดแบบใดที่เป็นสาเหตุของโรคจิตเภทนี้โดยตรง โรคจิตเภทมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งทางร่างกายนั้นเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองในการสร้างสารบางอย่างที่มีปริมาณมาก หรือน้อยเกินไป ส่วนทางด้านจิตใจนั้น เกิดจากความเครียดในชีวิตประจำวันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความ เจ็บป่วยขึ้น ดังนั้นหากสงสัยว่าท่านหรือผู้ใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว ขอแนะนำให้รีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ ให้การบำบัดรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรก การรักษาโรคจิตเภท เป้าหมายของการรักษามี 3 ประการคือ 1. รักษาอาการให้หายหรือบรรเทาลง 2. ป้องกันไม่ให้ป่วยอีก โดยการให้ยากินติดต่อกัน หลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้ ป่วย หรืออาการกำเริบขึ้นควรสังเกตุอาการก่อนที่จะมีอาการกำเริบใหม่ เพื่อปรับการรักษาก่อนที่จะมีอาการรุนแรง 3. การฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่นฝึกทักษะ การใช้ชีวิต ในสังคม ทักษะในการประกอบอาชีพ ทักษะในการสื่อสาร การรักษาให้หายหรือบรรเทาอาการลง การรักษาด้วยยา เป็นวิธีการรักษาโรคจิตเภทที่สำคัญที่สุด ยาที่ใช้รีกษา โรคจิตเภทมี 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ 1. ยารักษาโรคจิตเภททั่วๆไป เช่น คลอโพรมาซีน ฮอโลเพอริดอล เป็นต้น การออกฤทธิ์ส่วนใหญ่โดยปิดกั้นการทำงานของสารสื่อสารประสาท โดปามีน อาการข้างเคียง และข้อควรระวัง อาจเกิดอาการข้างเคียงได้ ขึ้นกับตัวยาและ บุคคล เช่นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อผิดปกติ โดยอาจเกิดอาการกล้ามเนื้อ เกร็ง มือสั่น ตัวแข็ง คอแข็งได้ อาจแก้ไขด้วยยาแก้แพ้ อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้เช่น ง่วง น้ำหนักตัวเพิ่ม ซึ่งแก้ไขโดยการควบคุมอาหารและการ หมั่นออกกำลังกาย เป็นต้น 2. ยารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่ เช่น โคลซาปีน ริสเพอริโดน โดยจะออกฤทธิ์ปิดกั้น การทำงานของสารสื่อสารประสาท ทั้งโดปามีนและซีโรโทนิน ซึ่งจะเหมาะ กับผู้ป่วยที่มีกลุ่มลักษณะทางบวก หรืออาการลบหลงเหลืออยู่หรือมีผลข้าง เคียงจากการใช้ยารักษาโรคจิตจากตัวอื่นๆ เช่น การเคลื่อนไหวผิดปกติ ข้อดีของยารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่นี้ คือ - ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น - ประสิทธิภาพดีเท่ากับหรือดีกว่ายากลุ่มแรก - อาการข้างเคียงต่อการเคลื่อนไหวผิดปกติ จะน้อยลง - ลดอัตราการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยได้ โรคจิตเภทสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ การรักษาโรคจิตเภท ผู้ป่วยควรต้องกินยาอย่างต่าเนื่อง ตามแพทย์สั่ง อาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่ยาจะ ช่วยควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กลับเข้าสู่สังคมได้ ดูแลตนเองและทำงานได้ การดูแลผุ้ป่วยให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ - กระตุ้นให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ซักผ้า - ให้ช่วยทำงานบ้านอย่างง่ายๆ เช่นรดน้ำต้นไม้ ถุบ้าน ล้างชาม - ให้ประกอบอาชีพเดิมที่เคยทำอยู่ตามความสามารถของผู้ป่วย เช่น ค้าขาย ทำสวน - ให้ประกอบอาชีพใหม่ใกล้บ้านตามความสนใจและตามความถนัด ญาติมีส่วนช่วยในการดูแลผู้ป่วยจิตเภท ในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ญาติต้องให้ความเข้าใจ และ เห็นใจผู้ป่วย เพราะผู้ป่วย มิได้มีเจตนาจะสร้างความเดือดร้อน ความรำคาญให้กับญาติ ควรให้อภัยและไม่ถือโทษโกรธผู้ป่วย ไม่ควร ขัดแย้งหรือโต้เถียงกับผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการทางจิต แต่ควรแสดงความเห็นใจในความทุกข์ที่ผู้ป่วยได้รับ จากอาการทางจิตเหล่านั้น พร้อมทั้งเสนอความช่วยเหลือแก่เขา ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก อันดับต่อไปคือให้การดูแลเรื่อง การกินยา การดูแลสุขภาพอนามัย การพาไปพบแพทย์ตามนัด และหาก ในระหว่างอยู่บ้าน ผู้ป่วยมีอาการกำเริบขึ้น ก็ให้ขอคำแนะนำปรึกษาจากแพทย์ หรือพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่ สถานบริการใกล้บ้านเพื่อผู้ป่วยจะได้รับการดูแล ที่เหมาะสมต่อไป ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ครวเพิ่ม หยุด หรือลดยาเอง ช่วยพาผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาให้สม่ำเสมอ ตรงตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะผู้ป่วย ส่วนใหญ่ให้การดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ดูสับสน วุ่นวาย ดื้อ ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมมาพบแพทย์ ญาติควรจะ มาติดต่อกับแพทย์ เพื่อเล่าอาการของผู้ป่วยให้แพทย์ทราบซึ่งญาติจะได้รับคำแนะนำ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วย ถ้าพบความผิดปกติ เช่น พูดพร่ำ พูดเพ้อเจ้อ พูดคนเดียว เอะอะ อาละวาด หงุดหงิด ฉุนเฉียว หัวเราะหรือยิ้มคนเดียว เหม่อลอย หลงผิด ประสาทหลอน หวาดกลัว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที จัดหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำโดยเฉพาะในเวลากลางวัน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคิดมาก ฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับบังคับมากเกินไป จากคุณ : อำนวย - [ 18 มี.ค. 52 12:01:48 A:114.128.171.114 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 หากนรกสววรค์มีจริง ทำไมแต่ละวัฒนธรรม นรกสวรรค์ถึงไม่เหมือนกัน ถ้าเปรตภูมิมีจริง ทำไมไม่มีใครเจอเปรตในอารยธรรมอื่นๆ นอกจากพุทธ ถ้าชาตินี้ชาติหน้ามีจริง ทำไมถึงไม่มีคนอิสลามที่ระลึกชาติได้ ถ้ากฎแห่งกรรมมีจริงๆ และทำงานได้ดีเป็นระบบแบบแผนจริงๆ ทำไมต้องมีกฎหมาย คุก ผู้พิพากษา ผมเชื่อว่า "ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว" ก็แค่ันั้น มันเป็นวงจรที่ built-in ในตัวเรา เพราะวิวัฒนาการของสัตว์สังคม  สิ่งนี้ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ครับ ปล. ขอบคุณ คุณอำนวยที่มาขยายความ schizo ให้ครับ แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 12:26:44 จากคุณ : Geneticist - [ 18 มี.ค. 52 12:24:11 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ทุกคนไม่ว่า ชาติ ศาสนา เผ่าพันธ์ ใดก็ขึ้นอยู่กับ กฎแห่งกรรม เดียวกัน ครับ ถ้าเปลี่ยนศาสนา เปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าองค์อื่นแล้ว ล้มล้างกรรมได้ ก็จะรอชาติหน้าไปทำไมล่ะครับ พิสูจน์ในชาติปัจจุบันได้เลย เรื่องของกรรม เป็น เรื่องซับซ้อน ข้ามภพชาติได้ ถ้าสแกนเห็นกันได้จะจะ แล้ว จะมีใครกล้าทำชั่ว ล่ะครับ จากคุณ : semplice - [ 18 มี.ค. 52 12:38:15 ]

ความคิดเห็นที่ 47 หากนรกสววรค์มีจริง ทำไมแต่ละวัฒนธรรม นรกสวรรค์ถึงไม่เหมือนกัน? ผมไม่เชื่อว่าคนทุกคนสามารถมองเห็นสวรรค์หรือนรกได้ ซึ่งอันนี้น่าจะจริง ถูกมั้ยครับ หรือว่าคุณ Geneticist ก็ลองเล่ามาว่าเป็นยังไง แต่ตัวผมเอง ผมไม่เคยเห็นสวรรค์หรือนรกเลย ฉะนั้น ผมเชื่อว่าการจะเห็นสวรรค์หรือนรกได้ ก็ต้องมีการปฏิบัติหรือฝึกฝนจิตในระดับที่สูงมากพอ ฉะนั้น วัฒนธรรมอื่นอาจจะไม่เคยเห็นนรกสวรรค์เลย หรือเคยเห็น แต่คนที่เห็นเล่าแค่ว่า เห็นในนรกมีแต่ไฟนรกที่ร้อนแรง แต่คนที่เล่าต่อๆ กันมาเอาไปขยายรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนกลายเป็นขยายความออกไปแตกต่างกันมากมาย และยิ่งห่างออกไปมีวัฒนธรรมของตนเอง สวรรค์หรือนรกนั้นก็ยิ่งแตกต่างออกไปทุกที หรือแม้จะไม่มีใครเคยเห็นนรกสวรรค์เลยก็ตาม หรือต่อให้เป็นเพียงเรื่องเล่าเป็นแค่ความเชื่อจินตนาการกันไปต่างๆ นาๆ แต่ว่าก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่มีสิ่งนั้นอยู่จริงนี่ครับ อาจจะมีหรืออาจจะไม่มี ใครเล่าจะฟันธงได้ ก็เหมือนอย่างเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ที่มีคนอ้างว่าพบเห็นกันที่โน่นที่นี่ แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าพวกเหล่านั้นล้วนแต่โกหกหรือสายตาฝาดกันหมด ก็แล้วจะยังไงเล่าครับ จะต้องทำให้เป็นข้อสรุปไปเลยหรือว่า มนุษย์ต่างดาวไม่มีอยู่จริง ผมว่าทำได้อย่างมากก็แค่บอกว่า พวกเขาเหล่านั้นโกหกหรือตาฝาด แต่คงจะไม่ใช่นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า "มนุษย์ต่างดาวไม่มีจริง" จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 12:44:49 A:192.168.0.17 X:58.9.85.152 TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ก้อดูน๊ะมันก็แปลกดีทุกวันนี้ก็ทำอยู่น่ะสวดมนต์บ้างทานเจบ้างทานมังสวิรัตบ้างแล้วแต่สะดวกไม่อยากฝืนตัวเองจะทำก็เฉพาะวันพระและวันอังคารคือวันเกิดตัวเองอาทิตย์นึงเวนเนื้อสัตว์วะบ้างร่างกายมันก็ขับถ่ายดีเรื่องกรรมน่ะตามความคิดของตัวเองแล้วคิดว่ามันมีจริงน๊ะและมันก็ให้ผลเลยไม่ต้องรอหรอกทำดีก็สบายใจทำไม่ดีก็ทุกข์ใจทุกอย่างมันมีเหตุและผลของมันเองน่ะใครที่คิดไม่เหมือนเราก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่จริงเราเองยังคิดไม่เหมือนเค้าเลยอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่าการทำบุญน่ะมีแค่3อย่างคือ ทาน ศีล ภาวนา คนเราก็เอาไปแปลซะต่างๆนาๆ ต้องสร้างนั่นสร้างนี่มั่วกันไปหมดคนเราจำไว้อย่างก็พอว่าสวรรค์และนรกน่ะมีจริงคือสวรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจไงมากคนก็มากความในโลกนี้มันมีอะไรที่แปลกกว่านี้แยะค่ะแค่แสดงความคิดเห็นนี่ก็ทุกข์แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกว่า"นี่มันอะไรกันนักหนาวะ" จากคุณ : พาณี - [ 18 มี.ค. 52 12:51:04 A:118.174.73.45 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 ปล่อย # 29 ผ่านเถอะครับ คนที่เข้ามาอ่านทีหลังจะได้รู้ว่า มีคนคิดแบบนี้อยู่ จากคุณ : ... (ปลาโก๋งับงับ) - [ 18 มี.ค. 52 13:01:05 ]

ความคิดเห็นที่ 50 กรรม คือการกระทำ ผลกรรม ผลของการกระทำเรื่องนี้ละเชื่อ อย่างเราไปฆ่าคนซักคน ผลนั้นคือถ้าเราไม่โดนจับ ก็ทำให้จิตใจเราหวาดระแวง เป็นทุกข์ กลัวผลกรรม((ผลของการกระทำจะตามมา)) แต่ชาติภพนั้นไม่เชื่อแน่นอน...มาคิดๆดูแล้วเหตุและผลมันขัดกัน คนเราตายไปไปม่ไปนรก ก็ สวรรค์...แล้วมีส่วนน้อยที่ไม่ได้ไป ต้องรอแก้แค้น ติดบ่วงกรรม มันเป็นไปไม่ได้ในทางเหตุผล ผมเกิดชาตินี้ ทำกรรมหรือทำบุญไว้ ตายไป ไม่ไปนรก ก็ไปสวรรค์ แล้วแต่จะทำอะไรไว้เยอะกว่า สมมุติมีคนมาฆ่าผมตาย ผมจะไปแก้แค้น แต่มีคนจากสวรรค์ หรือ นรกมารับตัวผมไป ผม มีสิทธ์บอกป่าว เหดียวๆ อย่าเพิ่งจับ รอให้อ้ายบ้านี้มันตายก่อน แล้วไปเกิดใหม่ ผมจะตามไปแก้แค้นก่อน 555....หรือผมต้องหนีอ้ายพวกที่มารับตัวผมเพื่อที่จะรอให้อ้ายนี้มันไปเกิดใหม่ แล้วถ้ามันตายแล้ว เกิดมันโดนจับไปนรก หรือสวรรค์ แล้วผมจะรูมัยมันจะมาเกิดใหม่เมื่อไร แล้วมาเกิดเป็นใคร คนเกิดบนโลก เป็นล้านๆคน.........มันจะไปเกิดเป็นฝรั่ง เป็นนิโกร เป็นแขก จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 18 มี.ค. 52 13:06:56 A:202.62.105.155 X: TicketID:177078 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ 123 ถูกต้องครับ  นรกสวรรค์ถึงไม่เหมือนกันในแต่ละวัฒนธรรม ไม่ได้พิสูจน์ว่า นรกสวรรค์มีจริง หรือไม่มีจริง แต่มันทำให้ผมสับสนมาก (คำถามที่ผมตั้ง ต้องการบ่นให้ฟัง) นรกสวรรค์ที่หน้าตาไม่เหมือนกันไม่ใช่ประเด็น แต่เงื่อนไขในการตกนรก ขึ้นสวรรค์ในแต่ละวัฒนธรรม แต่ละศาสนาดันขัดแย้งกันเกินไป คุณใช้ชีวิตเป็นชาวพุทธที่ดี แต่นรกสวรรค์ของจริงเป็นแบบคริสต์ คุณก็ตกนรก เพราะไม่ได้นับถือพระเจ้า คุณเป็นมุสลิมที่ดี ไปฮัจญ์แล้วไปเชือดแพะบริจาคคนยากจน ปรากฎว่านรกสวรรค์ของจริงดันเป็นแบบพุทธ คุณต้องตกนรกเพราะไปฆ่าแพะ คุณเป็นคนขยันสวดมนต์ แต่งสมองไม่้ดีสวดผิดสวดถูกบ้าง คุณต้องไปตกนรก ถ้านรกเป็นแบบพุทธของจีน ผมเลยเลิกสนใจนรกสวรรค์ ไม่ไปใส่ใจมากมายว่ามันมีจริงหรือเปล่า แค่รู้ว่าทำดีดี ทำชั่วชั่ว แค่ในชีวิตนี้พอครับ จากคุณ : Geneticist - [ 18 มี.ค. 52 13:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมว่าคุณวิญญาณพเนจรแทบจะไม่ได้รู้เรื่องพุทธศาสนาเลย แต่อาศัยแต่ความเข้าใจผิดๆ ของตัวคุณเองซึ่งอาจจะอาศัยการฟังต่อๆ กันมาหรือฟังนิทานปรำปราจากคนอื่นมาก็ได้ เลยทำให้มาสู่การสรุปเช่นนี้ อย่างเรื่องที่คุณบอกว่าศาสนาพุทธเป็นคนที่เขียนหรือสร้างกฏแห่งกรรม อันนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดมหันต์ซึ่งถ้าคุณได้เพียงแต่ศึกษามาบ้าง คุณก็จะได้รู้ว่าศาสนาพุทธหรือพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฎแห่งกรรม ไม่ใช่ผู้สร้างนรกสวรรค์ อย่างเรื่องที่คุณบอกว่าคนเราตาย ไม่ไปสวรรค์ ก็นรก แล้วมีส่วนน้อยไม่ได้ไป ต้องรอแก้แค้นติดบ่วงกรรม มันก็ไม่ถูกต้องอีก เป็นความเข้าใจผิดอีก และที่เข้าใจผิด ก็เพราะขาดการศึกษา ได้แต่อาศัยการฟังคนอื่นเขาเล่ามาอย่างผิดๆ หรือไม่ก็ดูจากหนังหรือละครเท่านั้น แล้วเอามาเป็นข้อสรุปที่ผิดๆ คนเราตายไป มันไม่มีหรอกครับที่จะมารอแก้แค้นคนอื่นน่ะ มีตรงไหนบอกไว้ในพระไตรปิฎกหรือครับ ถ้ามีก็ยกหลักฐานมาอ้างอิงทีเถิด อย่าเล่าเลื่อนลอยเลย จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 13:14:52 A:58.9.85.152 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คห. 51 คุณ Geneticist งั้นทำไมคุณไม่ลองศึกษาศาสนาพุทธแบบเถรวาทของไทยล่ะครับ แล้วลองดูว่าจะทำให้คุณสับสนหรือไม่ ในศาสนาพุทธแบบเถรวาท ใครที่ทำกรรมดีไม่ว่าเค้าจะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่ ก็ย่อมได้รับผลของกรรมดี หรือว่าใครที่ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว ไม่เกี่ยวว่านับถือศาสนาอะไร เหมือนอย่างเช่น เราด่าพ่อด่าแม่ เราก็ต้องมานึกเสียใจภายหลังเหมือนกันไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไรหรือไม่นับถือศาสนาไหนเลย หรือเราให้ทานสิ่งของแก่คนที่ลำบากเดือดร้อน เราก็ปลื้มปิติใจได้ บางทีน้ำตาแทบจะคลอเบ้าด้วยความอิ่มใจทีเดียว อันนี้จำเป็นจะต้องมีศาสนาหรือเปล่า ซึ่งอย่างนี้ในทางพุทธเถรวาทบอกว่าได้บุญแล้วโดยไม่ดูว่าเค้านับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 13:20:38 A:58.9.85.152 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มีอีกไอเดียนะครับ... ลองนึกดูจากประสบการณ์ (ฟัง อ่าน ฯลฯ) ของตัวเองกันนะ >> คนไม่เคยตาย ส่วนใหญ่ บอกเสมอว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริง      รวมทั้งผมด้วย ในบางอารมณ์ >> แต่คนที่เคยตายแล้ว ฟื้น หรือกลับมา ส่วนใหญ่ก็เห็นบอกว่า     นรกเอย สวรรค์เอย และโลกหลังความตาย มีจริงกันทั้งนั้น แล้วคุณจะเชื่อตัวเอง หรือเชื่อเค้าดี? นั่นสิ!! จากคุณ : ThaiAviation - [ 18 มี.ค. 52 13:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ***ไม่มีแยกว่านรกหรือสวรรค์ของศาสนาไหน**** ตามหลักธรรมของพระพุทธองค์แสดงภพภูมิต่างๆ อันเป็นที่เสวยผลของ กรรมดีและกรรมชั่วที่ตนเคยกระทำไว้ ไม่มีแยกว่านรกหรือสวรรค์ของ ศาสนาไหน คือ ผู้ที่ประกาศตนว่านับถือพระพุทธศาสนา เมื่อกรรมชั่ว ให้ผลย่อมนำเกิดในนรก ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น เมื่อกรรมชั่วให้ผลย่อม เกิดในนรกเช่นกัน ไม่มีแยกหรือยกว้น ในทางตรงกันข้ามถ้ากรรมดี ให้ผลย่อมนำเกิดในสวรรค์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จากคุณ : 123 - [ 18 มี.ค. 52 13:26:52 A:58.9.85.152 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ผมก็สแกนได้คับ ไปเตะเขา (ทำกรรม) หมอนรองกระดูกเคลื่อนต้องผ่าตัด (รับกรรม) จากคุณ : maninbox - [ 18 มี.ค. 52 13:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 57 จุตูปปาตญาณ นั้น เป็นหนึ่งในอภิญญา 6 ไม่ใช่เรื่องที่ได้มาโดยง่าย และได้มาแล้ว ไม่ใช่ของที่จะเอามาโชว์เป็นปาหี่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออ้างกรรมเช่นนี้แล้ว เขาคง ได้เตรียมใจรับผลที่เค้ากระทำเอง แล้ว ^^ จากคุณ : nutxnut - [ 18 มี.ค. 52 13:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ผมยังอยากให้ พระพุทธเจ้าท่านยังอยู่นะครับ จะได้ให้คุณ #29 รู้ว่าท่านไม่ได้สอนมาให้ทำเรื่องแบบนี้ เห้ออออออ เข้าเรื่อง ๆ ทำไมดู ๆ แล้ว เขาพูดเหมือนกับว่า คนที่เขาดูสมัยก่อน หรือ ชาติที่แล้วเกิดเป็นคนไทยหมดเลยแฮะ ชาติที่แล้วคนไทย ชาตินี้ก็คนไทย เปลี่ยนไม่ได้หรือ จากคุณ : cpu4core - [ 18 มี.ค. 52 13:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เรื่องอย่างนี้ไม่สามารถบังคับให้ใครมาเชื่อได้ แต่อย่างที่บอก ถ้าหากไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ แต่โดยส่วนตัวเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม ถ้าใครได้ศึกษาพุทธประวัติ จะรู้ว่าแม้กระทั่งพระพุทธองค์ยังต้องได้รับผลแห่งกรรมที่เคยสร้างไว้ อย่างเช่นพระพุทธองค์ก่อนจะปรินิพพานยังได้รับผลแห่งกรรม คือ พระพุทธองค์ทรงกระหายน้ำมาก แต่ก็ไม่ได้น้ำดื่ม เพราะมีชาติหนึ่ง เคยทำกรรมโดยไม่ให้วัวควายกินน้ำ ข้อมูลโดยละเอียดคงต้องไปศึกษากันเอง จากคุณ : น้ำทิพย์ - [ 18 มี.ค. 52 13:54:50 A:124.120.125.251 X: ]

ความคิดเห็นที่ 60 หากจิตว่าง ย่อมไม่พานพบอะไร มา อนุสฺสวเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา มา ปรมฺปราย อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา มา อิติกิราย อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา มา ตกฺกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง มา นยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ มา สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา สรุปคือ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน ซึ่งคำพูดเหล่านี้ ถูกทุกอย่าง... แต่คนนำมาใช้นั้นอาจเข้าใจผิด เพราะจริงๆแล้วไม่ควรนำกรรมของผู้อื่นที่ตนได้เห็นเพียงคนเดียวโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถพิสูจน์ได้มาบอกกับผู้อื่น เท่ากับข้อที่ว่า มา อาการปริวิตกฺเกน และ มา อาการปริวิตกฺเกน ลองตรองดูเถิด จากคุณ : สงบนิ่ง (Jakaman) - [ 18 มี.ค. 52 13:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 61 คุณจะเลือกอยู่ฝ่าย ความเชื่อ หรือ เหตุผล ล่ะครับ..... ผมเชื่ออยู่นิดนึงว่า เมื่อคืน ชายเสื้อขาว เตี๊ยม มาน่ะครับ.... 1.คนเป็นโรคหัวใจใกล้ตายคงไม่มีใจจะมาเดินห้าง 2.บังเอิญเอาใบตรวจติดตัวมาพอดี 3.บังเอิญมาเดินในวันที่เขามีเจ๊ สแกนเนอร์ มาออกพอดี 4.บังเอิญเข้ามาเห็นพอดีไม่ได้เห็นช่วงอื่นๆเลย 5.บังเอิญได้ขึ้นไปบนหน้ากล้องพอดี คนอื่นๆ มีเป็นพัน ทำไมต้องเป็นคนนี้ 6.บังเอิญเจ๊ สแกนแล้วตรวจเจอความผิดปรกติตรงหน้าอก ไม่ได้เจอแถวแขน ขา หัว ตัว ตูด ทั้งๆที่คนทั่วไปจะมีปัญหาไม่ตรงกัน 7.บังเอิญเอกสารของพี่เสื้อขาว เหมือนจะเอามายืนยันว่าเจ็บหัวใจจริงๆ 8.บังเอิญเจ๊สแกนเนอร์ กำลังออกหนังสือใหม่เมื่อเร็วๆนี้เอง แบบนี้หนังสือคงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า.... บังเอิ๊น บังเอิญ มีความบังเอิญหลายๆอย่างมาผสมกันในช่วงเวลานิดเดียว ภาษาทั่วไปเรียกว่า "ตั้งใจ" ครับ เจ๊ แกบอกว่า ชาติที่แล้วเป็นชาย นั่งสมาธิแล้วลูกเมียชาติที่แล้วมาหาด้วยได้พูดคุยกันอีกตะหาก.....? ขอโทษนะฮะ ฟังคำพูดที่สนทนากันแล้ว ลิเก มากเลยครับ เหมือนไปดูละคร นางทาส หรือ สู่ฝันนิรันดร มาพูดเลยครับ.... ขอบอกว่า สมัยก่อน คนที่จะเรียกกันว่า พี่ท่าน หรือ น้องเจ้า เป็นคนมีชาติตระกูล หรือคนชั้นสูง หรือคนมีการศึกษาน่ะครับ ระดับชาวบ้าน หรือ ไพร่ หรือ ทาส ก็เรียกผัวเมียกันเองว่าไอ้อี ทั้งนั้น(เจ๊บอกว่าเห็นหญิงกระโจมอก แปลว่า เป็นระดับไพร่ ไม่ใช่คนชั้นสูง) จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 18 มี.ค. 52 14:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เจ้าตัวเคยสแกนกรรมตัวเองมั่งหรือเปล่านะ มุสาวาทาเ้วรมณีฯ อยู่เนืองๆ น่าจะแสกนเห็นไม่ยากนะ จากคุณ : alan the lamb - [ 18 มี.ค. 52 14:34:29 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ชาติที่แล้วเป็นนักรบครูเสกรบกับคนต่างศาสนาตามคำสอน(ในสมัยนั้น) หรือ ชาติที่แล้วเป็นนักล่าแม่มดตามจริยธรรมของศาสนา(ในสมัยนั้น) จะต้องรับกรรมไหม จากคุณ : devil amature2 - [ 18 มี.ค. 52 14:52:12 ]

ความคิดเห็นที่ 64 กรรม ... ผมสแกนแต่หนังสือโป๊ ต้องรับกรรมมั๊ยเนี่ย ... จากคุณ : เศียรนาคา ... (Eumentis) - [ 18 มี.ค. 52 14:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หลายอย่างเกิดขึ้นมาเพราะการมีอยู่ของศาสนา จากคุณ : Matriarchal Miaw - [ 18 มี.ค. 52 14:59:29 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เบื่อคนหลอกลวง เบื่อรายการที่เอาแต่เรื่องแบบนี้มาออก เบื่อรายการมุดซอกหลืบเน่าๆของดารา เบื่อละครไทย ตบ จิก ด่า ข่มขืน แว้ด ชาติก่อนผมและคนไืทยส่วนใหญ่คงทำกรรมในวงการบันเทิงไว้เยอะนะครับ ชาตินี้เลยต้องทนดูทีวีที่มีรายการเห่ยๆแบบนี้ ส่วนพี่คห.29 - ว่างๆพี่ช่วยไปนั่งอ่านพระัไตรปิฎกอีกทีนะ เผื่อจะได้ปริ่มน้ำกับเค้าบ้าง จากคุณ : หมอเถื่อน - [ 18 มี.ค. 52 15:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ถ้ามีจริง ทำไม ไม่ให้จำกรรมเก่าได้เลยล่ะ ชาตินี้จะได้ทำแต่ความดี กลัวทำบาป ไม่เคยมีใครตายแล้วกลับมาเล่าซักกะที มีแต่เล่าๆกันมา ซึ่งพิสูจน์ยังไม่ได้ ศาสนาก็เหมือนขู่ให้กลัว ไม่มีศาสนา คนคงจะฆ่ากันตายอีกเยอาะ จากคุณ : ฮา1 - [ 18 มี.ค. 52 16:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 68 #66 เบื่อทีวีก็ดีนี่ครับ เลิกดูไปเลย เมื่อก่อนผมก็เคยสงสัย มากๆว่ากรูทำกรรมอะไรมาถึงต้องมาอยู่ในเมืองที่มันรถติดขนาดนี้  ตอนนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้าหรอกครับ เรื่อง นรก สวรรค์ ของแต่ละชาติไม่เหมือนกัน เพราะ วัฒนธรรม ครับ อย่างของไทยเทวดาจะมีชฎา ของฝรั่งมีปีก เป็นต้น ถ้า ทุกคนจำภพ ชาติที่แล้วได้หมด ก็จะไม่มีใครทำชั่ว เพราะคงไม่มีใครอยาก ตกนรก วิญญาณก็คงทยอย หลุดพ้นไปเรื่อยๆ (ทางพุทธ เรียกว่า นิพพาน คือ การหลุดพ้น จากการเวียนว่าย ตายเกิด) ซึ่งในความเป็นจริง  มันเป็นไปไม่ได้ครับ คงเป็นระบบของเขา ขนาด เมืองไทย ได้ ชื่อว่า เป็นเมืองพุทธ ยังมีแต่ข่าว ผิด ศีลธรรม ทุกวัน ดังนั้น เกิดเป็นคนไทย อ่านหรือ ฟังธรรม ของพระพุทธองค์ได้ ก็นับว่าน่าเสียดายที่ไม่ศึกษา ปฏิบัติ ครับ จากคุณ : semplice - [ 18 มี.ค. 52 17:17:26 ]

ความคิดเห็นที่ 69 นึกไว้ตั่งแต่เมื่อคืนแล้ววันนี้ ในหว้ากอ ต้องมันแน่ มันแน่ๆๆ 555 จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 18 มี.ค. 52 17:20:55 A:202.62.105.155 X: TicketID:177078 ]

ความคิดเห็นที่ 70 pseudo science แพร่ระบาดไปถ้วนทั่ว.. จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 18 มี.ค. 52 18:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 18 มี.ค. 52 19:04:58 ]

ความคิดเห็นที่ 72 Also at http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7638060/A7638060.html จากคุณ : mimi - [ 18 มี.ค. 52 19:18:20 A:125.25.2.229 X: ]

ความคิดเห็นที่ 73 ถกกันเรื่อง คุณสแกนกรรม ในรายการ ตี 10 จริงหรือ หลอก แค่ 5% นอกนั้น เรื่องความเชื่อกับความไม่เชื่อ - -'' จากคุณ : Choco-Mix - [ 18 มี.ค. 52 20:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 74 http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7638060/A7638060.html#87 จากคุณ : เจ๊บวบ - [ 18 มี.ค. 52 21:14:59 ]

ความคิดเห็นที่ 75 จาก ความคิดเห็นที่ 53 คุณ 123 ถ้าโลกนี้เป็นสีขาวกับดำ ความชั่ว ความดีแยกกันได้ชัดเจน มันก็ดีสิครับ แต่จริงๆ โลกนี้เป็นสีเทาต่างหาก และมองผ่านแว่นตาของแต่ละคน ก็เทาเข้มอ่อนไม่เท่ากัน ตัวอย่าง 1) ในพิธีฮัจญ์ ของอิสลาม มีขั้นตอนหนึ่งที่ผู้แสวงบุญจะต้องสังเวยแกะ หรือวัว เพื่อเอาเนื้อไปแจกจ่ายคนยากจนทั่วโลก ไม่ได้ฆ่าเป็นกีฬา ไม่ได้ฆ่าเพื่อความสะใจ ถ้าคุณเป็นผู้แสวงบุญ คุณคิดว่ากำลังทำดีหรือชั่วอยู่ครับ 2) วัฒนธรรมของชนเผ่าหนึ่งในอัฟริกา (ถ้าจำไม่ผิด คือ เผ่า khoisan) ไม่มีใครถือสาเวลาเด็กขโมยของ เพราะถืิอว่าสมบัติเป็นของเผ่า และเด็กยังไร้เดียงสาไม่ผิด ถ้่าคุณเป็นเด็กที่ขโมยของ คุณทำบาปหรือไม่ 3) ถ้าคุณทำให้พ่อของคุณต้องถูกชาวบ้านว่าร้าย ต้องถูกกุมขัง ตายอย่างโดดเดี่ยวในบั้นปลาย คุณทำบาปหรือไม่ ช่วยตอบให้ลูกสาวของนาย Fritzl ที่จับลูกตัวเองขัง เพื่อข่มขืนถึง 24 ปีหน่อยครับ และตอนนี้ลูกสาวพยายามเอาพ่อตัวเองเข้าคุกตลอดชีวิต ความเห็นผม ดีชั่ว เป็นเรื่องสัมพัทธ์กับแต่ละสังคม และสถานการณ์ ไม่ใช่เรื่องสัมบูรณ์ แม่ว่าจะมีแก่นคล้ายๆ กัน คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ดังนั้น การที่มีกฎตายตัวอยู่ชุดหนึ่งสำหรับคนทั้งโลก เพื่อจะส่งคนขึ้นสวรรค์ลงนรก มันไม่ make sense สำหรับผมครับ จากคุณ : Geneticist - [ 18 มี.ค. 52 23:39:00 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ถึงคุณ Geneticist ผมอยากจะตอบคำถามคุณมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีเวลาพอสำหรับตอนนี้ เอาเป็นว่าคร่าวๆ แล้วกันนะครับ เราคงต้องแยกเป็นแต่ละขณะจิตหนึ่งๆ เพราะสภาพของจิตนั้นมีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ทุกขณะ เหมือนอย่างการฆ่าวัวหรือฆ่าแกะเพื่อเอาเนื้อไปแจกจ่ายคนยากจน ในตอนที่เกิดความคิดที่จะช่วยเหลือคนยากจน อันนี้เป็นขณะจิตที่ดีงาม เป็นจิตที่เป็นกุศล แต่ตอนที่คิดจะฆ่าวัวหรือกำลังฆ่าวัว อันนี้เป็นจิตที่เป็นอกุศล สภาวะจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลอาจจะเกิดขึ้นสลับสับเปลี่ยนกันไป ส่วนไหนที่เป็นกุศล ก็ย่อมเป็นบุญ ส่วนไหนที่เป็นอกุศล ก็ย่อมเป็นบาป หรือเหมือนอย่างตอนที่เราจะตั้งใจจะทำอาหารใส่บาตรพรุ่งนี้เช้า ก็เป็นจิตที่เป็นกุศล หรือเป็นบุญ แต่อกุศลก็อาจจะเกิดสลับแทรกขึ้นมาเป็นระยะ เช่นตอนที่ทำอาหารแล้วเกิดหงุดหงิดหรือมีโทสะ หรือแม้แต่ตอนที่กำลังใส่บาตรแล้วเกิดความคิดอกุศลว่าพระที่กำลังรับบาตรไม่น่าเลื่อมใส ฯลฯ จิตที่เป็นกุศลและอกุศลอาจจะเกิดดับสลับกันไปตลอด อย่างที่ผมบอกว่าไม่มีใครสร้างกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมา แต่เป็นธรรมชาติของจิต เป็นสภาวะของจิต จะได้บุญ หรือบาป ก็เป็นไปตามเงื่อนไขหรือสภาวะของจิต และที่สำคัญที่ต้องเข้าใจ ก็คือไม่มีกฎตายตัว เช่น ถ้าคน 2 คน ไปฆ่าคนตายเหมือนกัน ก็ไม่มีกฎตายตัวว่าจะต้องบาปเท่ากันหรือจะต้องรับโทษเท่ากัน คนแรกฆ่าคน เมื่อตายไป อาจจะตกนรก แต่อีกคนฆ่าคนตายเหมือนกัน แต่เมือตายไป อาจจะไม่ตกนรก ฟังดูมันเหมือนไม่ยุติธรรม ถูกมั้ยครับ แต่กฎแห่งธรรมชาติ ก็เป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องของกฎแห่งความยุติธรรม ถ้าถามว่าทำไม 2 คนที่ฆ่าคนตายเหมือนกัน ทำไมถึงไม่ตกนรกเหมือนกัน หรือทำไมถึงได้รับโทษไม่เท่ากัน ก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องการให้ผลของกรรม มันมีองค์ประกอบที่สลับซับซ้อน และแน่นอนไม่ใช่กฏตายตัว การให้ผลของกรรมนั้น อาจจะส่งผลในชาตินั้นทันที หรือส่งผลในขณะที่ตาย หรือในภายหลัง หรือในชาติถัดๆๆไป ถ้าส่งผลในขณะที่ตาย ก็หมายถึงสภาวะจิตสุดท้ายก่อนจะตายของผู้นั้นย้อนหวนระลึกไปถึงเหตุฆ่าคนครั้งนั้นแล้วสภาวะจิตทุรนทุรายหรือกระสับกระส่ายก่อนจะตาย ก็ย่อมไปเกิดในทุคติภูมิ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าอีกคนอาจจะไม่ย้อนนึกไปถึงเหตุฆ่าคนตายเลย แต่ย้อนนึกไปถึงบุญที่เขาเคยทำไว้ เขาก็อาจจะไปเกิดในสุคติภูมิ แต่ผลของกรรมชั่วที่เขาทำไว้ ก็จะส่งผลเป็นวิบากกรรมในภายหลังเมื่อสบโอกาสที่กรรมนั้นจะให้ผล ฉะนั้น กรรมจะให้ผลหรือไม่ให้ผลนั้น ไม่ใช่กฏตายตัว แต่เป็นไปตามเงื่อนไขหลายๆ อย่าง เช่นสภาวะแห่งจิตในขณะสุดท้ายก่อนจะตาย และถ้าใครที่รู้เงื่อนไขแห่งธรรมชาตินี้ ก็อาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็คล้ายๆ กับที่มนุษย์ไปรู้เงื่อนไขแห่งกฏธรรมชาติ และอาศัยความรู้นั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตัว จะไปบอกว่ามันไม่ยุติธรรมก็คงจะไม่ถูก เช่นมี 2 ดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงกัน และประสบภัยแล้งเหมือนกัน แต่อีกดินแดนหนึ่งรู้จักวิธีทำฝนเทียม หรือรู้จักวิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติ ดินแดนนั้นก็อาจจะทำให้เกิดฝนตกในดินแดนของตนได้ ในขณะที่อีกดินแดนไม่รู้วิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติ เขาก็อาจจะพร่ำร้องบอกว่าธรรมชาติไม่ยุติธรรม สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อก็คือ กฎแห่งกรรมไม่ใช่กฏที่ตายตัวแบบที่ว่าฆ่าคนตายจะต้องได้รับโทษจำคุก 50 ปีเท่ากันเสมอไป ฯลฯ แต่มันอยู่ที่เงื่อนไขหลายอย่างๆ จากคุณ : 123 - [ 19 มี.ค. 52 07:25:06 A:58.9.80.242 X: TicketID:192266 ]

ความคิดเห็นที่ 77 กระทู้นี้มีสาระแฮะ  ชอบเกร็ดเล็กๆน้อยๆจริงๆครับ จากคุณ : Munch - [ 19 มี.ค. 52 08:47:54 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ค่าสแกลน 500 บ. นะครับ  แต่ถ้านอกสถานที่ ขึ้นเป็น 1000 บาท http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7632108/Y7632108.html น่าจะเปิดแฟรนไชด์ ด้วยนะครับ ฮิฮิฮิ จากคุณ : Red Mulberry - [ 19 มี.ค. 52 11:29:08 ]

ความคิดเห็นที่ 79 แล้ว.... ถ้าอยากจะลองให้สแกนมั่งล่ะค่ะ ต้องทำไง จากคุณ : หลิวอี้ - [ 19 มี.ค. 52 14:00:12 A:unknown X:119.42.65.249 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เห็นด้วยกับ คห 29 นะ ถึงจะใช้คำรุนแรงไปบ้าง พูดถึงสแกนกรรมไปๆมา ไปฉุดพุทธศาสนามาเกียวทำไมกันนี่ พุทธศาสนาไม่เคยสอนการสแกนกรรมก็จริง แต่โดยเจตนาและประเด็น คุณเอ๋ช่วยดูกรรมเก่าใ้ห้และบอกหนทางแก้ไข ซึ่งจะได้ประโยชน์กันทั้งหมด พระพุทธเจ้ามีความรู้เท่าใบไม้ทั้งป่า แต่นำมาสอนเราแค่หยิบมือเดียว คือทางดับทุกข์ แต่เรื่องจากจิต ไสยศาสตร์ต่างๆ ท่านไม่พูดเพราะไม่ต้องการให้พวกโง่ๆอย่างเราๆหลงกันไป เข้าใจผิดกันต่างๆ นานาเหมือนที่กำลังเถียงกันอยู่นี่แหละ และไม่ใช่ทางดับทุกข์ แต่มนุษย์โง่อย่างเราที่สติยังไม่ไปถึงไหน ก็หาทางดับทุกกันไปแต่เพียงผิวเผินด้วยเจตนาที่ดี จากคุณ : Mrs-Ginna - [ 19 มี.ค. 52 21:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ฮยากให้สแกนให้บ้างจังอยากรู้ด้วยเหมือนกัน. เค้าจะสแกนใฟ้เราป่าวนิ จากคุณ : หญิง - [ 20 มี.ค. 52 00:14:00 A:115.67.244.58 X: ]

ความคิดเห็นที่ 82 ลองไปหาหนังสือเล่มนี้อ่านดูครับ เขียนโดยศาสตราจารย์ เอียน ที่มหาลัยเวอร์จิเนีย Twenty Cases Suggestive of Reincarnation โดย Ian Stevenson Edition: 2, revised จัดพิมพ์โดย University of Virginia Press, 1966 ISBN 0813908728, 9780813908724 396 หน้า แล้วจะรู้เรื่องกรรมว่า มี "ทั่วโลก" ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยหรือคนนับถือศาสนาพุทธ ส่วนอันนี้เกี่ยวกับการเจริญสติ ในมุมมองฝรั่ง+วิทย์ หน่อยๆ The Adventure of Self-discovery โดย Stanislav Grof ปล ส่วนค่าแสกกรรม 500 บาทผมว่าแพงไปนา...  แต่ถ้าเอาไปทำบุญหมดก็น่าจะโอเคนะ จากคุณ : ramai - [ 21 มี.ค. 52 05:10:53 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ดูคนที่เป็นโรคหัวใจ ก็น่าจะรู้แล้วนี่ครับ ไม่เนียนเลย ทำเป็นบังเอิญแวะเข้ามาที่สตูดิโอ บอกไม่รู้จักป้าสแกนกรรม ตีสิบไม่ใช่รายการสดนะครับ แล้วรู้ได้ไงว่าเขามีถ่ายเรื่องสแกนกรรมกันอยู่ แกถึงได้พกเอกสารเดินดุ่มเข้ามา ให้ป้าสแกนกรรมทาย หลักฐานเอกสาร ที่เอามา เอามาช่วยยืนยันว่าป้าสแกนกรรมทายแม่นชัดๆ ถ้าใครมีเทปเอามาดูใหม่อีกรอบก็จะเห็นว่า ลุงโรคหัวใจนี่ ยืนเตรียมตัวอยู่ข้างเวทีเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้นั่งรวมอยู่กับคนดูทั่วไปซะด้วย นี่ก็มองต่อไปได้เลยนะว่าตีสิบอาจมีส่วนรู้เห็นด้วย หรือสร้างป้าสแกนกรรมนี่มาเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ลุงโรคหัวใจ ดูแกจะตื่นเต้นไปหน่อยด้วย พยายามจะพูดแต่เรื่องมีเอกสาร มีใบรับรองแพทย์มายืนยันอยู่นั่นแหล่ะ ถึงวิธีการนี้ ดูจะเป็นการช่วยให้คนเข้าวัด ทำให้กลัวบาปก็เถอะ แต่ถ้าใช้วิธีหลอกลวงกันเข้าวัดอย่างนี้มันก็ไม่ถูกอยู่ดี แล้วสุดท้ายก็ขายหนังสือด้วย เห็นออกรับสแกนให้คนทั่วไปด้วยนิ (หากินกันชัดๆ) จากคุณ : เชื่อก็... (haniba) - [ 21 มี.ค. 52 07:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ห้องเฉลิมไทย มีสแกนเกย์ ค่ะ บอกว่าเพื่อนเค้าสแกนเกย์ได้ ต้องการออกรายการตีสิบ ต้องทำอย่างไร จากคุณ : pretty patty - [ 21 มี.ค. 52 12:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ต่างคนต่างคิด แต่สำหรับเรื่องนี้ผมเชื่อ...ที่อาจารย์เอ๋ คนนี้ขึ้นมาพูดเรื่องนี้ ทำให้คนตื่นตัวเรื่องการทำความดี และเรื่องเวรกรรม มันมีจริงนะ แต่มนุษย์ถูกปกปิดเรื่องราวนี้ด้วยกิเลส ตัญหา บางคนจึงมองว่า เวรกรรม ไม่มีจริง จากคุณ : apiluckw - [ 21 มี.ค. 52 18:28:07 A:117.47.238.214 X: ]

ความคิดเห็นที่ 86 น่าพาไปออกรายการคิดดีมีเงินนะค๊ะ จากคุณ : mina/mena_20_03@hotmail.com - [ 21 มี.ค. 52 21:38:32 A:125.25.229.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 87 ที่บ้านเป็นแฟนรายการตี10 มาตั้งแต่สมัย 4 ทุ่มสแควร์อ่ะค่ะ คิดว่าจะเลิกเป็นแฟนก็ไอตรงสแกนกรรมเนี่ยแหละคุณวิทฯน่าจะสแกนคนที่จะนำมาออกรายการก่อนนะค๊ะ คนดูไม่ได้โง่นะค๊ะ ดูถูกคนดูไปรึป่าวค๊ะ สรุปอยากขายหนังสือนี่เอง จากคุณ : mina - [ 21 มี.ค. 52 21:49:04 A:125.25.229.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 88 เห็นด้วยกับคุณ123 และmrs ginna ไครๆก็คิดว่าตัวเก่งฉลาด ไม่รู้ใช้หลักอะไรมาวิเคราะห์กันก็เข้าใจนะรู้มาแค่นิดเดียวก็ขยายความตั้งหลักวิเคราะห์เสียใหญ่โตโชว์พลังคิดว่าความคิดตัวถูกต้องเสมอไป คนไทยน่าจะมีปัญญากันมากกว่านี้ ศึกษาให้มากกว่านี้แล้วค่อยวิจารณ์ดีมั้ย คิดแง่บวกดีกว่า คุณเอ๋ทำให้คนงมงายในเรื่องการทำความดีหรืออย่างไร ...บังคับให้คุณซื้อหนังสือและเสียเงิน 500 หรือไม่ ถ้าคิดว่าชักจูงแล้วการชักนำให้ไปทำความดี ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ คนที่ปฏิบัติธรรมจนเกิดปัญญาแล้วเท่านั้นถึงจะรู้ ตัวฉันก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นแต่ขอคิดในแง่ดี นำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมจะดีกว่า จากคุณ : Um'sure (Um'sure) - [ 24 มี.ค. 52 09:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ผมว่าเท่าที่อ่านมาจนกระทู้ตัวเองเนี่ยทุกคนที่เขียนมาก็มีกรรมทั้งนั้นแหละครับ ครับที่ได้มาอ่านกรรมที่ต้องมาถกเถียงกัน จะสแกนได้ไม่ได้จริงไม่จริงกลับไปดูตัวเองกันก่อนว่าเราดีแค่ไหนก่อนจะว่าคนอื่นเขาความดีไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีใครดีกว่าใคร หันมามองตัวเองกันดีกว่าอย่าเถียงกันอยู่เลย หิวเราก็กิน กินเราก็ถ่าย ทุกข์เราก็เที่ยว อยากทำอะไรก็ทำถ้ามีความสุขแล้วไม่ต้องเดือดร้อนใคร ชีวิตก็แค่นี้ หันมามองตัวเอกันดีกว่านะครับเชื่อผม อีกไม่นานโลกก็แตกแล้วธรรมชาติสร้างมาก็หมดไป เราเกิดมาก็ดับไป ลองนั่งนิ่งๆแล้วมองกระจกสิครับ ปีนี้เราแก่ลงอีกปีหรือเปล่าก่อนตายรีบทำในสิ่งที่เราอยากทำเถอะครับเชื่อผมไม่มีใครดีหรือเก่งไปกว่ากันหรอกครับ จากคุณ : ชีวิตก็แค่นี้ - [ 26 มี.ค. 52 02:03:28 A:114.128.41.191 X: ]