ความคิดเห็นที่ 1 คงมีทีมวิจัยน่ะครับ ทำกันหลายคน ไวรัสออกมา ก็ศึกษาข้อมูลเก่า ๆ ส่วนมากก็ดัดแปลงไปเรื่อย ๆ ก่อความรำคาญเสียมากกว่า อย่างพวก เอาไฟล์ autorun.inf มาสร้างเวรกรรมให้ชาวบ้านเนี่ย จากคุณ : AW Milan - [ 8 เม.ย. 52 09:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณรู้ได้อย่างไรว่าไวรัสออกใหม่ัวันไหน มีแต่คนปล่อยเท่านั้นที่รู้ คนอื่นอย่างมากก็รู้วันแรกที่ตรวจจับได้ จากคุณ : ped cad - [ 8 เม.ย. 52 09:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่รู้จะสร้างไวรัสให้เดือดร้อนชาวบ้านทำไม? ถ้าไม่มีคนใช้คอมอย่างเราๆจะสงบสุขและสบายใจแค่ไหน จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ - [ 8 เม.ย. 52 10:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 8 เม.ย. 52 11:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่สีบทราบมานะครับ 1. เปิด Honeypot ทิ้งไว้เพื่อไว้ล่อพวกไวรัสต่าง ๆ หมายความว่า คล้าย ๆ กับเปิด server ทิ้งใว้ล่อให้พวกไวรัสเข้ามา แล้วก็ศึกษาพฤติกรรมของพวกมันครับแล้วค่อยหาวิธีแก้ไข แต่ในประเทศไทยนั้นจะเปิดเฉพาะ Honeypot แล้วเก็บ log ส่งไปให้พวกฟิลิปปินส์แก้ไวรัสครับ 2. คนเขียนไวรัสก็จับมือกับโปรแกรมแสกนไวรัสไงครับ 5555 สร้างเสร็จปุ๊บ ส่งวิธีแก้ให้บริษัท antivirus ปั๊บ ก็เลยแก้ได้เร็วครับ ยอดขายพวก antivirus คิดว่าเกิน 100ล้านเหรียญต่อปีแน่ครับ (ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท ผมก็จ้างพวกนี้เขียน) 5555 จากคุณ : mooncha - [ 8 เม.ย. 52 11:20:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมสงสัยว่า คนสร้างโปรแกรม Anti-Virus จะเป็นคนปล่อย ไวรัสเองครับ (สงสัยมองโลกในแง่ร้าย ^^) จากคุณ : q_cosmo - [ 8 เม.ย. 52 12:46:47 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าไม่มี virus คนทำ antivirus ก็ตกงานหมดคับ เหอะๆ จากคุณ : เก็บข้อมูล - [ 8 เม.ย. 52 13:16:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คอมที่บ้านไม่ต่อเนท แต่คอมที่ทำงานต่อเนทอัพเดทแอนติไวรัสทุกวัน ใช้ NOD เหมือนกันทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ผมจะเอาไฟล์อัพเดทของที่ทำงานไปใส่ที่บ้านได้ไหมครับ ผู้รู้ช่วยตอบที อยากให้คอมที่บ้านอัพเดทแอนติไวรัสบ้าง จากคุณ : Ricardo Kaka - [ 8 เม.ย. 52 14:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อาจจะทำธุรกิจกันนะ ฉันทำไวรัสตัวใหม่ บริษัทไหนจะเอาวิธีแก้บ้าง บริษัทคุณให้เท่าไร บรษัทคุณหละให้เท่าไร แบบว่าต่อลองราคา ก็นะ........คิดเล่นๆ จากคุณ : ลืมแล้ว - [ 8 เม.ย. 52 14:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 #8 ทำได้ครับ ผมทำประจำ จากคุณ : CozyMKIV - [ 8 เม.ย. 52 16:01:27 ]

ความคิดเห็นที่ 11 บางทีอาจจะทั้งเขียนไวรัส และเขียนตัวแก้ไปด้วย เป็นกลยุทธทางการตลาด จากคุณ : keid - [ 8 เม.ย. 52 16:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พวกนี้ศึกษาเรื่องการรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์มาเหมือนๆ กันมังครับ จากคุณ : นกกินเปี้ยว - [ 8 เม.ย. 52 17:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 13 8 . . . ทำได้ครับ ปล 2 วันนี้ถือว่าช้านะครับ  โดยปกติจะ 4-8 ชม จากคุณ : Kross_ISC - [ 8 เม.ย. 52 17:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สงสัย บ.ผลิตยางรถ คงให้เปอเซนต์กำไร กับนักแข่งคนที่ชวนชาวบ้านมาแข่งดริฟ จากคุณ : ต - [ 8 เม.ย. 52 18:07:25 A:115.67.207.192 X: TicketID:160546 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทุกวันนี้  วิธีการตรวจจับไวรัสเปลี่ยนแปลงไปเยอะครับ ไอ้เรื่องทฤษฎีสมคบคิดเนี่ย  ลืมไปได้เลยครับ ว่าคนเขียน  กับคนแก้  เป็นบริษัทเดียวกัน ทุกวันนี้  ไวรัสเกิดใหม่ต่อวันมหาศาล ***ไม่มี***โปรแกรม antivirus ตัวไหน  รู้จักไวรัสได้หมดทุกตัว ดังนั้ัน  ไอ้เรื่องสมคบกันเนี่ย  คงไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวนี้  เด็ก ป.6 หรือแม้แต่คุณเอง  ก็สามารถเขียนไวรัสขึ้นมาเองได้ มันมีโปรแกรมสำเร็จรูป  ที่เอาไว้เขียนไวรัส คุณต้องการไวรัสคุณสมบัติแบบไหน  polymorp, disable regedit หรืออื่น ๆ คลิกอย่างเดียว  แล้วกดโอเค  มันผลิตไวรัสให้คุณได้แล้วครับ คราวนี้  วิธีการตรวจจับทำอย่างไร บริษัท anti virus ใหญ่ ๆ ในสมัยอดีต  ก็ใช้ honey pot แต่มันนานครับ  สมัยที่ blaster sazzer ระบาด anti virus กว่าจะ update ที่  เป็นอาทิตย์ครับ แต่ทุกวันนี้  บริษัทเหล่านี้  ใช้เครื่องลูกค้าเป็นเครือข่าย เมื่อระบบ heuristic พบไฟล์ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นไวรัส ก็จะทำการส่งตัวอย่างของไฟล์นั้น  ไปยังบริษัท  เพื่อวิเคราะห์ต่อไป หลาย ๆ บริษัท  ก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับเว็บอย่าง viurstotal ซึ่งเป็นเว็บ scan file โดยใช้ antivirus ประมาณ 30 กว่าตัว โดยมีข้อตกลงว่า  ไฟล์ที่มาแสกนแล้วพบว่ามีไวรัส  บริษัทขอไฟล์นั้น จะเอาไปพัฒนา signature หรืออีกวิธีนึง  คือการเปิด scan online ผ่านทางเว็บเจ้าของ antivirus เอง ซึ่งก็เป็นอีกวิธีนึง  ในการเก็บข้อมูลไวรัสตัวใหม่ ๆ แต่วิธีหลัก ๆ ที่ใช้ก็คือ  ใช้เครือข่ายของผู้ใช้นั่นเอง ทุกวันนี้  มีการพัฒนา  โดยการส่งไฟล์ที่ต้องสงสัย  เมื่อสแกนในเครื่อง ไปให้ cloud network ของบริษัท  วิเคราะห์ไฟล์เหล่านั้น  แล้วส่งผลกลับมา ยังเึีครื่องต้นทางในเวลานั้น แต่ไม่ว่าวิธีใด  มันก็ช้ากว่าไวรัสหนึ่งก้าวเสมอ  คือต้องมีไวรัสก่อน  ถึงจะมี signature ทุกวันนี้  โปรแกรมเหล่านี้  ได้มีการพัฒนา proactive defense ซึ่งมีหลาย ๆ แบบ ไม่ว่าจะเป็น heuristic, behavier analysis ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ไวรัส  โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักก่อน  ใช้เทคนิคต่าง ๆในการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรม  หรือวิธีการอื่น ๆ ซึ่งสามารถรู้จักไวรัส ได้ตั้งแต่มันยังไม่เกิดขึ้นในโลกด้วยซ้ำไป จากคุณ : specimen - [ 8 เม.ย. 52 18:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไอ้เรื่องทฤษฎีสมคบคิดเนี่ย  ลืมไปได้เลยครับ ว่าคนเขียน  กับคนแก้  เป็นบริษัทเดียวกัน จากคุณ : specimen ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แต่ผมยังเห็นยี่ห้อเล็กๆนี่บางอันยังใช้วิธีนี้อยู่นี่ครับ ( แต่น้อยกว่าแต่ก่อน ) จากคุณ : GeneGTO - [ 8 เม.ย. 52 20:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ชัดเจนดีครับ แต่ผมเคยไปอ่านเจอตารางกำหนดการระบาดของไวรัสล่วงหน้าทั้งปีน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเค้ารู้ได้ไงว่าปีนี้จะมีไวรัสชื่ออะไรออกมาบ้าง ทั้งๆที่ไวรัสตัวนั้นยังไม่ระบาดเลย ผมสงสัยมานานและ -*- จากคุณ : Zero.Origin - [ 8 เม.ย. 52 20:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ที่แสบที่สุดคือ ไวรัสที่antivirusใส่มาเพื่อจัดการพวกใช้ของผิดลิขสิทธิ์ จากคุณ : สายน้ำตะวันออก - [ 8 เม.ย. 52 21:06:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ***แต่ผมยังเห็นยี่ห้อเล็กๆนี่บางอันยังใช้วิธีนี้อยู่นี่ครับ ( แต่น้อยกว่าแต่ก่อน )*** จากคุณ : GeneGTO ความเห็น 16 ครับ  ผมไม่ได้กวนนะ ขอถามหน่อย  ว่ามันเจ้าไหน  จะได้เลิกอุดหนุนมัน  ถ้ามันทำอย่างนี้จริง  ก็คงจะเลิกเสียเงินซื้อแล้วครับ ความเห็น 17 ครับ ***แต่ผมเคยไปอ่านเจอตารางกำหนดการระบาดของไวรัสล่วงหน้าทั้งปีน่ะครับ*** ถ้ามีรายละเอียด  ช่วยนำมาเผยแพร่ด้วยครับ  ท่านอื่นจะได้ระวังตัวครับ  ผมด้วย ขอบคุณครับ จากคุณ : specimen - [ 8 เม.ย. 52 21:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณ คุณ specimen เยี่ยมครับ จากคุณ : AVSystem - [ 8 เม.ย. 52 21:13:41 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ใช้ mac ซิครับ จบปัญหาเรื่องไวรัสไปเลย จากคุณ : Egist - [ 8 เม.ย. 52 22:06:37 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ปัญหา ส่วนใหญ่ 90 % ไม่ได้เกิดจากไวรัส แต่ 90 % ของปัญหาที่ช่างเทคนิค บอกลูกค้า คือมาจากไวรัส มันเป็นคำอธิบายที่ง่ายที่สุดในกรณีที่หาสาเหตุไม่เจอ และ เป็นคำอธิบายที่ทำให้ความผิดไปตกต่อไวรัส ซึ่งลูกค้า หลายท่านมักจะไม่พอใจ หรือยอมรับ แม้จะมี Eventlog ในเครื่องว่า ตัว User นั่นแหล่ะ ทำเอง แม้จะไม่มี Antivirus หากขยัน อัพเดต วินโดว ไม่เข้าเว็บเสี่ยง โอกาสเจอ Virus มีน้อยกว่า 1% อีกอย่าง ใช้ MAC อันตรายกว่า Windows หาก คุณไม่เชี่ยวชาญพอ เพราะระบบ รักษาความปลอดภัย มันห่วยกว่ามาก MAC แค่โชคดี ที่ ไม่ค่อยมีใคร อยากจะสร้างVirus ไปยุ่ง เพราะมันมีความเสียหาย โอกาสดังน้อยกว่า Windows เนื่องมาจากจำนวนผู้ใช้ ความเห็น 17 ครับ ***แต่ผมเคยไปอ่านเจอตารางกำหนดการระบาดของไวรัสล่วงหน้าทั้งปีน่ะครับ*** อันนี้ผมคิดว่า น่าจะเป็นตารางการทำงาน ที่ถูกพบในไวรัส อย่าง conficker ที่ระบาด แล้วถูกตั้งไว้ว่า ในช่วงเดือน มีนาคม จะใช้ เครื่องZombie โจมตีเว็ปไซต์สายการบิน สายการบินหนึ่ง เป็นต้น ซึ่ง วิศวกร ประจำLAB จะสามารถ แกะ CODE ได้ น่ะครับ ไม่ได้รู้ล่วงหน้า ไวรัสทุกตัวสร้างอย่างมีจุดประสงค์ทั้งนั้น แต่หลายคนก็าร้าง สนองตัณหา ตัวเอง ถ้าเทพ จริงๆ เค้าไม่มานั่งเขียน ไวรัส หรอกครับ มันไม่จำเป็น เค้ามี วิธีไถ เงินบริษัทใหญ่ๆ ง่ายกว่านั้นเยอะ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 22:48:24 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 22:22:09 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 22:18:21 จากคุณ : ZGMF-X10A - [ 8 เม.ย. 52 22:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ใครเป็นคนตั้งชื่อไวรัสหล่ะครับ จากคุณ : ชาเขียวเข้มๆ - [ 8 เม.ย. 52 23:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บริษัท anti virus แต่ละแห่ง  ต่างก็ตั้งชื่อกันเองครับ แต่ภายหลัง  เกิดมีปัญหา  ว่าตัวเดียวกัน  แต่ละบรษัทเรียกไม่เหมือนกัน  ทำให้สับสน อาจจะมีคนถามว่า  แล้วทำไม  ไม่ตั้งชื่อไวรัส  ตามที่คนเขียนมันเรียกล่ะ จะได้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน กฏข้อนึง  ในการตั้งชื่อ  คือไม่ตั้งชื่อไวรัส  ตามที่คนเขียนไวรัสตั้งครับ คือใน code เนี่ย  บางครั้งจะเห็นชื่อไวรัส  ที่คนเขียนตั้งไว้  แต่ห้ามใช้ครับ เพราะมันจะสร้างความฮึกเหิมให้คนเขียน  ทำนองว่า  ไวรัสตรูดังแล้วโว้ย แล้วจะเป็นแรงจูงใจ  ให้คนเขียน เขาเลยต้องตั้งชื่ออื่น  เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดกรณีนั้นครับ เดี๋ยวนี้  ไวรัสมีพัฒนาการไปเยอะครับ บางท่านอาจจะไม่่เคยได้ยินชื่อ ramsomware เป็น malware (ขอใช้คำว่าไวรัสละกัน) ที่เมื่อเข้ามาในเครื่องเรา จะเข้ารหัสข้อมูลในเครื่องไว้  ทำให้ไม่สามารถเปิดดูข้อมูลได้  ถ้าไม่รู้รหัส หลังจากนั้น  มันก็ส่งข้อมูลไปให้เจ้านายมัน ติดต่อเจ้าของคอมมา  เพื่อเรียกค่าไถ่ โดยจะยอมให้รหัสเพื่อเปิดดูข้อมูลได้  ถ้ายอมจ่ายเงินให้มัน แต่ถ้าไม่มีรหัส  ก็จบครับ ไวรัสพวกนี้  ถึงจับได้  ฆ่าได้  แต่ความเสียหายหนักครับ เพราะยังไง  คุณก็ยังถอดรหัสไม่ได้อยู่ดี ต้องลองหาโปรแกรมกู้ไฟล์  มาลองดูว่าพอจะมีร่องรอยของไฟล์ที่ยังไม่เข้ารหัสหลงเหลือหรือเปล่า แล้วก็ตามเก็บได้ทีละนิดทีละหน่อย ทุกวันนี้  การเขียน malware มีเป้าหมายที่เป็นเรื่องเงินทองชัดเจนครับ ไม่ว่าจะเป็น botnet ซึ่งบางตัว  จัดเป็นกลุ่มคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดเครือข่ายหนึ่งในโลก ด้วยเครื่อง zombie จำนวนมากมาย  บางแหล่งข้อมูลบอกว่ามีถึง 4 ล้านเครื่องครับ  ซึ่งพร้อมจะรับจ้างก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะ DDOS, Spam หรืออืน ๆ มากมาย  ที่เราคาดไม่ถึงเลยครับ ข้อมูล botnet เพิ่มเติม http://thaicert.nectec.or.th/paper/basic/botnet.pdf ไวรัสสมัยนี้  ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่นครับ  มูลค่าของอาชญากรรมพวกนี้ เป็นหลักล้านครับ  ไม่ใช่่บาทนะครับ  ดอลล่าร์ครับ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 23:50:44 จากคุณ : specimen - [ 8 เม.ย. 52 23:40:23 ]

ความคิดเห็นที่ 25 Rep. 18 เรืองปรกติครับ เขาก้อต้องรักษาผลประโยชน์เขาน่ะแหละ ไปขโมยของเขาใช้ ก้อสมควรโดนแล้วล่ะครับ ... อยากได้ของดีแต่ไม่เสียตัง ก้อต้องออกแรงกันหน่อย.. โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มีฟรีๆหรอกครับ Rep. 19 ลองหาเข้าตามเวบพิเศษๆ สิครับ ... ได้เหนชัวร์ๆ โดยเฉพาะไอ้พวกที่มี popup เตือนว่าเรามี virus ในเครื่องน่ะตัวดีเลย จากคุณ : Meow-Meow (piggy_and_kitty) - [ 8 เม.ย. 52 23:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ ^ ไอ้พวกนั้น  มันไม่ใช่ antivirus ครับ เขาเรียกว่า rouge software จัดเป็น malware ประเำภทหนึ่งครับ ตัวดัง ๆ ก็ antivirus 2009 ไงครับ  ติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง มัน ***ปลอมตัว*** เป็น antivirus ด้วยการทำหน้าตาเหมือน ลักษณะการทำงานปลอม ๆ เหมือน antivirus  แต่จริง ๆ แล้ว ตัวมันเอง  คือ malware ครับ  มันจะบอกว่าเครื่องคุณมีสิ่งแปลกปลอม แต่จริง ๆ เครื่องคุณสะอาด  แต่มันจะ download malware มาลงเครืื่องคุณแทนครับ ่ อ่านเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Rogue_software สรุป  มันไม่ใช่ antivirus นะครับ มันแค่ปลอมตัวเป็น antivirus เท่านั้นครับ จากคุณ : specimen - [ 8 เม.ย. 52 23:57:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 antivirus 2009 นี่ เครื่องที่แล็ป hardware คณะผมโดนกันทั้งห้องเลยล่ะ 555+ จากคุณ : Zero.Origin - [ 9 เม.ย. 52 21:48:33 ]