ความคิดเห็นที่ 1 ประเทศเรามี NIMBY เยอะครับ แถมดูจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆด้วย... ผลกระทบอย่างไรบ้านเราก็มีให้ดูมาเป็นปีๆแล้วครับ ตัวอย่างตรึม... จากคุณ : mermanoid - [ 10 เม.ย. 52 10:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเคยมีอารมณ์แบบนั้น บางครั้งปัญหามันถาโถมเข้ามา เกินกว่าจะรับได้ ไอ้โน่น ไอ้นี่ ไอ้นั่น เยอะแยะ ทางหนึ่งเลยก็หลบปัญหามันซะ เฉยๆนิ่งๆไม่ไปยุ่งกับมัน ใครอยากทำอะไร ก็ทำไป ขออยู่คนเดียวสักพัก หรือหลบแดด หลบร้อนหลบลม ไปเที่ยวผักผ่อน ไม่ฟังข่าว ไม่เปิด อินเตอร์เน็ต เหมือนเป็นกลไกลป้องกันตัวอย่างนึง จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 10 เม.ย. 52 10:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เหมือนกระทู้เด็กติดเกมรุนแรงแล้วไปฆ่าคน แล้วมีคนออกมาเถียงว่าผมเล่นทุกวันไม่เห็นเป็นอะไรเลย สุขภาพจิตดีด้วย...อย่างนี้เล่นมาริโอก็ต้องกินแต่เห็ดด้วย...ฯลฯ เหนื่อยใจทุกครั้งที่เห็นความเห็นแบบนี้ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 10 เม.ย. 52 10:42:30 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนพวกที่ไม่ใช่ Nimby ก็จะถูกเรียกว่า "สอใส่เกือก" Nimby ส่งผลกระทบอย่างไรต่อสังคม ที่เห็นได้ชัดคือการทำให้ไม่มีการช่วยเหลือกันในยามที่ผู้หนึ่งเดือดร้อน การนิ่งเฉยไม่ยอมทำอะไร ที่เห้นจะขัดใจที่สุดคือการทีเกิด Nimby ต่อหน้าแล้วยังมัวมุงอยู่เฉย ๆ อีก ถ้าเป็นส่วนตัวนะ จะขอเข้าไปจัดการด้วยตนเองเลย ดังนั้น ส่วนตัวก็เป็นทั้ง Nimby และไม่ใช่ จะเกิด Nimby กับเหตุการณ์ไกล ๆ แต่ถ้าเกิดแบบประจันหน้าก็ขอมีเอี่ยวสักหน่อย สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะ หากเกิดต่อหน้าเรา เราจะรู้ว่าข้อเท็จจริงของข้อมูลนั้นมีมากแค่ไหน การตัดสินใจก็จะสามารถทำได้ถูกต้องมากขึ้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดยังที่ห่างไกล ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับก็มักจะถูกบิดเบือนและอาจจะผิดพลาดได้ ดังนั้นจึงไม่ตัดสินใจที่จะไปยุ่งด้วยดีกว่า คิดว่าคนอื่น ๆ ที่เป็น Nimby หลายคนก็น่าจะคิดแบบนี้ แต่คนอื่นที่เป็น Nimby แม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดประจันหน้าก็ไม่เข้าช่วยเหลืออาจจะเกิดจากกระบวนการคิดอีกเรื่องนึงควบคู่ด้วย นั่นก็คือการเห็นความปลอดภัยและผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันอยู่ในสัญชาตญาณลึก ๆ อยู่แล้วว่าจะต้องเอาตัวเองรอดไว้ก่อน การเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของเขาแต่เรากลับเสียประโยชน์และอาจจะไม่ได้เลย มันขัดกับสัญชาตญาณและความคิดของเขา เขาจึงไม่ไปทำ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเกิดปรากฎการณ์ของ Nimby ขึ้น "อย่ายุ่งเดี๋ยวซวย ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา" กับ "ต้องทำแล้วเพราะตูเดือดร้อน" คือการคิดของ Nimby ซึ่งสุดท้าย Nimby ก็ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์นั่นเอง แล้วคนที่ไม่เป็น Nimby เพราะอะไร ? นั่นก็เพราะผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน แต่พอดีเขาดันมีกระบวนการคิดอีกแบบนึงที่ขัดกับ Nimby ข้างต้น เขาคิดว่า ผลประโยชน์ของผู้อื่นคือผลประโยชน์ของเขา ผ่านการกลัว "เขาโดนอย่างนี้ได้ เราก็อาจจะโดนอย่างนี้ได้" หรือ ความเห็นใจผู้อื่น "ถ้าเราโดนบ้างคงไม่ชอบแน่ ๆ" การแหกกฎของ Nimby จึงเกิดขึ้น Edit : แก้ + เพิ่มเติมสักหน่อย แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 52 10:48:43 จากคุณ : ซ่อนนาม - [ 10 เม.ย. 52 10:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สนใจหรือไม่สนใจขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ เป็นหลัก นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องไปคิด ให้มันยุ่งยาก จากคุณ : Vikee - [ 10 เม.ย. 52 11:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เสริมต่อ อันนั้นเป็นสำหรับในกรณีที่เรามีเหตุการณ์ ๆ เดียวเกิดขึ้นแล้วเรารับรู้ แต่หากมีหลายเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกันละ ? แน่นอนเราย่อมเลือกเหตุการณ์ที่มีความสำคัญที่สุดก่อน โดยเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด ก็ไม่พ้นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา หากเราคิดว่าตอนนี้เรามีเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหางานหาเงิน ไม่ว่าจะสะสางปัญหา หรืออื่น ๆ แล้วการที่จู่ ๆ ประเทศนึงเกิดสงครามขึ้น เราอาจจะไม่สนใจ เพราะปัญหาที่เรามีอยู่นั้นมันถูกเห็นว่าสำคัญมากกว่าจนไม่อาจจะปลีกตัวไปสนใจเรื่องของเขาได้ ดังนั้นคนที่ไม่เป็น Nimby จะสังเกตได้ว่า เขาผู้นั้นไม่มีปัญหาอื่นค้างคาอยู่ ไม่มีอะไรที่ต้องให้ใส่ใจ สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องกังวลอย่างอื่น แต่คนที่เป็นก็ใช่ว่าจะมัปัญหาค้างคาอยู่เสมอไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การสื่อปัญหาให้เข้าถึงได้แค่ไหนก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เกิด Nimby ขึ้นได้ ถ้าหากคนใกล้ชิดพูดถึง สื่อทุกแขนงเสนอข่าว ตัวเขาพบกับสิ่งเหล่านี้ทุกวัน จนเปรียบเสมือนกับปัญหาเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังบ้าน จึงไม่แปลกที่จะทำให้เขาเข้าร่วมไปยุ่งด้วย กลับกัน หากเป็นปัญหาใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าหากไม่มีคนใกล้ชิดพูดถึง ตนเองไม่ได้เข้าถึงข่าวสารของปัญหานั้นมากนัก ก็จะทำให้ตนเองรู้สึกเหมือนว่าปัญหานั้นเป็นสิ่งที่ไกลตัว ไม่ใช่สิ่งที่อยู่หลังบ้าน จึงไม่แปลกเช่นกันที่จะไม่ทำให้เขาเข้าร่วม ดังนั้นสรุปได้ว่า ปัจจัยการเกิดและทำให้ไม่เกิด Nimby คือ 1 การใกล้ชิดปัญหา อย่างที่ จขกท บอก 2 การตัดสินใจด้านผลประโยชน์ ว่าทำแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม 3 การลำดับความสำคัญของปัญหา หากมีปัญหาอยู่แล้วคงไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ 4 การนำเสนอของข่าวสาร ถึงแม้มันจะอยู่ไกลและเล็กน้อย ถ้าหากทำให้เรารับรู้ได้ว่ามันอยู่ใกล้ตัว เราก็จะเข้าไปช่วย แต่หากเกิดหลังบ้าน แต่ไม่มีใครพูดถึงไม่มีใครรับรู้ ก็อาจจะกลายเป็น Nimby ได้ จากคุณ : ซ่อนนาม - [ 10 เม.ย. 52 11:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มันก็เป็นปัญหาพอๆกันนั่นแหละ ทั้งพวก NIMBY ไม่สนใจปัญหาสังคมภายนอก ทั้งพวก ส.ใส่เกือก ยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว จากคุณ : Nibiru - [ 10 เม.ย. 52 11:40:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเป็นเรื่องที่เกินกำลังตัวเอง หรือไกลตัวเกินไป(ไกลจนตปท.) ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ แต่นิยามของ NIMBY ก็คือ สิ่งที่เกิดในชุมชนเดียวกัน(ใกล้ตัว) และมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงได้(มีส่วนร่วมได้ง่าย) แต่ไม่สนใจ เพียงเพราะมันไม่กระทบกับผลประโยชน์ของตัวเอง เลยนิ่งดูดาย แต่มันก็ตรงกับที่ข้างบนเขียนมานั่นแหละ ว่า แต่ละคน นิยามผลกระทบ(ความรู้สึกร่วม) แตกต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน เราคงต้องหาหลัก หรือนิยาม ให้ชัดเจน ว่าสิ่งใดเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ต้องกระทำ ไม่อาจนิ่งดูดายเป็นอ้างว่าเป็น NIMBY ได้ ไม่งั้่น สังคมเราก็จะไม่พัฒนาครับ ส่วนคนที่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคม คงไม่้เรียกว่า ส.ใส่เกือกหรอกนะครับ มันคนละกลุ่มกันเลย จากคุณ : ....4จุด - [ 10 เม.ย. 52 12:24:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ ซ่อนนาม ให้ ความเห็นไว้น่าสนใจมากครับ ขอเพิ่มเติมด้วยคน --------------------------------------------------------------------------- NIMBY เป็น ปรากฎการณ์ พฤติกรรม ในสังคมมนุษย์มานานแล้วครับ มนุษย์จะเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่มีผลกระทบกับตนเองก่อนเท่านั้นครับ (ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสวัสดิภาพของตนเอง) ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ไทย สมัยเสียกรุงครั้งที่ สองเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก เพราะอยุธยาเป็นสังคมค้าขาย มีเรื่องของผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆมาก เมื่อเกิดการศึกสงคราม แต่ละกลุ่มก็จะรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง เป็นอันดับแรก จากนั้นก็พยามยามหาพวก  และกำจัดฝ่ายที่ไม่ใช่พวก และควบคุมระบบเศรษฐกิจการค้าไว้ได้ สถาปนา "รัฐ" แบบรวมศูนย์ (ทางเศรษฐกิจไว้ได้) พร้อมๆกับการสร้างฐานอำนาจทางการเมือง ไปพร้อมๆกัน ปรกฏการณ์ NIMBY นั้นไม่ใช่ Social Sciene แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม เชิงพฤติกรรม (Sociological Behavior Phenomena) ซึ่งปรากฏอยู่ ในทุกสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง ที่การประเมิน คุณค่า ของผลประโยชน์ ว่าสมควรจะนำตนเองไปเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน ปัญหาหลักๆของสังคมมนุษย์นั้นคือปัญหา เศรษฐกิจ และการแบ่งปัน ทรัพยากร (ที่มีอยู่จำกัด) ถ้าเมื่อใดก็ตามสังคมไทยมีการแบ่งปัน ทรัพยกรเท่าเที่ยมโดยไมกระทบต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สังคมก็จะเกิด ดุลยภาพ (Equilibrium) ก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง ถ้าเปรียบเทียบปัญหาหลักๆในสังคม (ทุกๆสังคม) ปัญหาเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบต่อสมาชิกในสังคมมากที่สุด ต่อมาจะเป็นปัญหาสังคม ทั้งด้านความสัมพันธ์ จริยธรรม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ส่วนปัญหาทางการเมืองนั้น จะส่งผลกระทบต่อ สังคมน้อยที่สุด (แต่จริงๆแล้วทั้งสามปัญหาส่งผลกระทบเท่าๆกันแต่ ต่างมิติกันเท่านั้น) สังคมไทยกำลังอยู่ตรงไหน ถ้านำสามเงื่อนไจหลักของสังคม คือ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มาพิจารณาร่วมกันจะเห็นว่า สังคมไทย มีการเปลี่ยนผ่านมาแล้ว 3 ยุค สมัยแรกคือ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ (คงไม่อธิบายเพิ่มเพราะคงทราบกันดี) สมัยที่สองคือ 14  ๑๔ ตุลา พ.ศ.๒๕๑๖ คือการเปลี่ยนผ่านจากระบบอำมาตยาธิปไตย (คำนี้กำลังฮิตอยู่พอดี) ซึ่งเดิมกลไกการจัดสรรทรัพยากร อยู่ในกลุ่มทหาร และข้าราชการ ที่ทรงอิทธิพลในการกำหนดนโยบาย และการแบ่งปันผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจ  จนเปลี่ยนแปลงโดยระบบทุนนิยม และชนชั้นกลาง ซึ่งเกิดขึ้นอันเนื่องมากจากนโยบายทางเศรษฐกิจ (ของทหารและข้าราชการ) นั่นเอง ในทางทฤษฎี เมื่อระบบทุนนิยมเข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทาง เศรษฐกิจและการแบ่งปันทรัพยากรแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การเกิดชนชั้นกลาง (Entreprenear) ซึ่งงจะมีแบบแผนทางวัฒนธรรม ของที่สร้างขึ้นมาใหม่ (Cultural Reproduction) อาทิ ค่านิยม, แนวความคิด และแม้กระทั่ง รสนิยมการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นไปในทิสทางเดียวกันกับการไดเรบผลประโยชน์ทางเศรฐกิจการระบบทุนนั่นเอง แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญในวัฒธรรมใหม่ นั่น ก็คือ แนวคิดเหตุผลนิยม (Rationalism) ที่ต้องอธิบายปัญหา, ความขัดแย้ง, ด้วยตรรกะและเหตุผล (โดยที่มีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นฐานการประเมิน) ตรงนี้เองที่ NIMBY เกิดขึ้นได้ชัดเจนมาก ภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา สังคมไทยก็ดำเนินเรื่อยๆมา ลุ่มๆดอนๆ ด้วยความพยายาม จะกลับเข้ามามี บทบาทของ อำมาตยาธิปไตย อีกครั้ง โดยการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่าหลายต่อหลายครั้ง  แต่มีครั้งที่ประสบความ สำเร็จและได้รับการตอบรับ ดีพอสมควรก็คือ สมัย รสช แต่ทว่า ระบบ ทุนนิยม และชนชั้นกลาง ที่ อยู่บนฐานของ เหตุผลนิยม ได้ตระหนักถึงอันตรายของการกลับมาในครั้งนั้น (โดยการสับสนุนของ นักการเมือง สส ในสภาที่รวมกลุ่มกันเป้นพรรคการเมืองเฉพาะกิจ) จนกระทั่งทำให้ สังคมไทยเดินทางเข้าสู่ ยุคสมัยที่ ๓ พฤษภา ในยุคสมัยนี้ NIMBY (คือชนชั้นกลาง) ที่ได้รับผลกระทบทางสังคมวัฒนธรรม ไม่สามารถอยู่เฉยเพื่อให้อำมาตยาธิปไตย กลับมาสืบทอดการจัดการ ผลประโยชน์ได้ จึงออกมาประท้วง และประสบความสำเร็จ ในที่สุด จากนั้นมา อำมาตยาธิปไตย ก็ถูกลดบทบาทลงไปจนกระทั่ง แทบจะหาย ไปจากการจัดการทรัพยากร เลย เพราะ ช่วงนี้เองที่ระบบ ทุน และชนชั้นกลางได้ ย้ายเข้าไปอยู่ในระบบ ที่สามารถควบคุมกลไกอำนาจ "รัฐ" ไว้ได้ทั้งหมด จนทำให้ช่องว่าง ของการจัดสรรและแบ่งปันทรัพยากร และผลประโยชน์ได้กว้างมากขึ้น (จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติ ๑๙ กันยายน) แต่ระบบทุนนิยมและชนชั้นกลาง ทางเศรษฐกิจได้เข้ามามีบทบาท ในการจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรและผลประโยชน์อย่างมากมาย กว้างขวางมากแล้ว  ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง NIMBY ตอนนี้อยู่ตรงไหน NIMBY จะไม่ไปเกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์ใดๆที่ไม่ส่งผละกระทบต่อตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ทางเศรฐกิจ (รถติด ปิดถนน ยึดสนามบิน เป็นเรื่องของการเสียประโยชน์ทางเศรษฐกิจ) หากจะมีเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง จน NIMBY ต้องออกมาแล้วต้องเป็นเรื่อง จริยธรรม ที่ร้ายแรง มากๆ เช่น การเสียสัตย์เพื่อชาติ ส่วนเรื่องการ บกพร่องโดยสุจริต แม้ว่า NIMBY อาจจะไม่พอใจมากนัก แต่ผลประโยชน์ ยังไม่กระทบกระเทือน มากนัก ยังพอรับไหว และเปิดโอกาสให้ทำงานต่อไป ------------------------------------------------------------------------- ภาคผนวก กรณี NIMBY ไม่น่าจะเป็น Social Science แต่จะเป็น              ส่วนของ Sociology หรือ Sociological Anthropology                  อำมาตยาธิปไตย ที่เห็นนำมาใช้กันนั้น ผิดความหมายครับ              เห็นอธิบายกันมากมาย ผมแทบจะกลับฉีกตำราทิ้งเลย หมายเหตุ ไม่เกี่ยวการเมือง และอย่าเอาสีแดงสีเหลืองมาป้ายครับ จากคุณ : q_cosmo - [ 10 เม.ย. 52 13:20:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 #8 มันแล้วแต่เรื่องด้วย ถ้าเป็นเรื่องระดับบุคคล หากเราไปช่วยเหลือ ก็ถูกว่าสอใส่เกือก แต่ถ้าหากไม่ใช่ระดับย่อยแบบนั้นการที่จะถูกเรียกเช่นนั้นก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ สำหรับเรื่องการพัฒนาในระดับชุมชนนั้น หลายอย่างมันก็เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลด้วย การที่จะถูกเรียกว่าสอใส่เกือกจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก ยังไงก็ตาม คำว่าสอใส่เกือกไม่ใช่นิยามของลักษณะบุคคล แต่ในที่นี้เป็นคำกล่าวเชิงดูหมิ่นที่คนกลุ่มนึงมีให้คนอีกกลุ่มต่างหาก ซึ่งทำให้เรื่องการถูกเรียกว่าสอใส่เกือก คงไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาพูดในตรงนี้แน่ ๆ เรื่องการที่จะให้คนมีส่วนร่วมคงต้องทำให้เขาตระหนักว่าการมีส่วนร่วมมีประโยชน์ต่อเขายังไง การที่ยอมทำไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนเพราะเขาเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อตัวเขาทั้งนั้น การที่ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ หรือการทำแล้วไม่คุ้มต่อการลงทุนไม่มีใครทำ อันนี้คงต้องตีความก่อนว่าประโยชน์ที่เขารับรู้ได้คืออะไร เช่นบางคนมองเห็นแต่ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับเงินที่อยู่เฉพาะหน้าเท่านั้น ทำให้เขากลายเป็น NIMBY ไป ทั้งที่หากสามารถเปลี่ยนมุมมองของเขาได้ว่ามันมีผลประโยชน์ต่อตัวเขาได้อย่างไรแบบชัดเจน ก็คงสามารถทำให้เขาสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งปัจจุบันไม่ว่าอะไรก็พูดถึงเงินก่อน ดังนั้นการแปลงผลประโยชน์ต่าง ๆ มาเป็นในรูปของจำนวนเงินจึงดีที่สุด แต่เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในส่วนนี้จึงไม่ค่อยมีใครทำกัน ทำให้ความร่วมมือจึงเกิดขึ้นได้ยาก หากสามารถให้เห็นได้ว่าผลประโยชน์ที่เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ที่เขาจะได้จากตรงนี้น่าจะทำให้คนเป็น NIMBY น้อยลง นอกจากนี้อีกเรื่องนึงที่สำคัญก็คือการที่ไม่คิดว่ามันอยู่ใกล้ตัว บางคนถึงแม้ว่าอยู่บ้านหลังถัดไปแต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องของเขาก็มีนะ ทางที่จะดึงเขามาช่วยให้ได้คือการทำให้เขาคิดว่าทำยังไงให้เขารู้สึกตัวได้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่เขาคิด อาจจะเป็นการลงสื่อที่หนักหน่วง หรือการนำเสนอที่เข้าถึงจิตใจของผู้รับสาร เป็นต้น สำหรับการนิยามคำว่าพลเมืองดีให้ชัดเจนขึ้นคงไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะมันดูเหมือนไกลตัวเหลือเกิน การที่เขาทำขึ้นมาก็ดูเหมือนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำไปก็มีแต่เสียกับเสีย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะทำ ดังนั้นหากจะทำให้ได้จริงคิดว่าน่าจะอยู่ที่การตอบแทนผลประโยชน์ หรือการสื่อสารให้เขารู้สึกว่าการเป็นพลเมืองดีเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า เช่นการโฆษณาว่าเป็นพลเมืองดีแล้วเป็นยังไง เขาได้ประโยชน์อะไร ครอบครัวได้ประโยชน์อะไร รัฐจะตอบแทนสิ่งใดกับการเป็นพลเมืองดีกับเขา นอกจากนี้ควรลงสื่อให้บ่อย ถี่ และเข้าถึง จนเปรียบเสมือนว่าการเป็นพลเมืองดีนั้นอยู่ใกล้ตัวเขา การทำอะไรง่าย ๆ ก็ถือว่าเป็นพลเมืองดีแล้ว เป็นต้น จากคุณ : ซ่อนนาม - [ 10 เม.ย. 52 13:50:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จาก nimby เปลี่ยนเป็น นิ่งดูดายได้ไหมครับ ถ้าไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก แล้วนึกคำไทยไม่ออก ขออภัยอย่างจริงใจ จากคุณ : moo - [ 10 เม.ย. 52 13:56:20 A:61.47.33.2 X: TicketID:211080 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ q_cosmo ให้ความเห็นเรื่องนี้ผ่านเหตุการณ์จริง ทำให้เห็นภาพมาก ๆ เลย เสียดายที่เผลอกดใจให้ไปคะแนนเดียวด้วยความชินมือ ที่จริงอยากให้สามคะแนนเต็มไปเลย จากคุณ : ซ่อนนาม - [ 10 เม.ย. 52 13:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมว่าคนปกติทั่วไป ไม่มีใครอยากเป็น NIMBY หรอกครับ แต่พอเข้าไปช่วยเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็จะกลายเป็นว่า สอใส่เกือกมั่งละ เอาหน้ามั่งละ สร้างภาพมั่งละ เช่น ผมรู้จักคู่รักคู่หนึ่ง แล้วทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนผม เกิดผมไปรู้มาว่าฝ่ายชายไปมีกิ๊ก ผมควรจะบอกฝ่ายหญิงไหม? หรือต่อให้ไม่มีอะไรอย่างนี้ ความดีที่ทำก็อาจนำภัยมาสู่ตัวได้อีก กลายเป็นเป้าของพวกมิจฉาชีพ, อาชญากร เลยกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ดีกว่า จากคุณ : Pu'Chew - [ 10 เม.ย. 52 13:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 14 #10 จริงด้วย ถ้าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือไม่ชอบใจ ก็คงโดนด่ากลับแบบนั้นนั่นเอง การช่วยที่ฝ่ายรับไม่เปิดใจ ไม่อยากรับ ก็คงเป็นการยัดเยียดหรือพยายามล้างสมองในมุมมองของอีกฝ่าย ส่วนผลประโยชน์ส่วนตัวผมมองในแง่ของการได้เพียงฝ่ายเดียว เช่น ต้องมี win-lose คือมีคนได้แต่อีกฝ่ายก็ต้่องเสีย ไม่ได้มองถึงการได้กันหมดกันทุกคนในสังคม เป็น win-win solution  ซึ่งตรงนี้คงต้องชี้แนะให้ได้รู้ว่า มันมีทางออกที่จะ win-win และเป็นผลประโยชน์ที่ดีอย่างแท้จริง ไม่ใช่การได้ประโยชน์แค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนสำนึกในเรื่องของหน้าที่พลเมืองนั้น บ้านเรายังไม่มีการปลูกฝัง อาจเป็นเพราะที่มาของสังคมการปกครองบ้านเราผิดกับประเทศที่เขายึดถือประชาชนเป็นใหญ่เช่นเมกา เขาถือว่าหน้่าที่่ต่อชาติสำคัญมาก เพราะทำให้เขาได้ยืนอยู่ทุกวันนี้่ ในขณะที่บ้านเราไม่ค่อยสนใจ ใครจะมาใครจะไปก็ช่าง เพราะคิดว่าตัวเองก็ลำบากเหมือนเดิม คือยังมองสั้นๆแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง(ในแง่ win-lose) จากคุณ : ....4จุด - [ 10 เม.ย. 52 14:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #11 ผมก็ใช้คำว่านิ่งดูดายเพื่อขยายความในเนื้อหาอยู่่แล้วนะครับ ส่วน NIMBY ผมคิดว่ามันเป็นสำนวนที่ค่อนข้างครอบคลุมอย่างกว้างมากกว่า เพราะมันพูดถึงผลร้ายที่อาจย้อนกลับมาหาโดยที่ไม่ทันรู้ตัวอีกด้วย จากคุณ : ....4จุด - [ 10 เม.ย. 52 14:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ราชดำเนินคำนี่เกลื่อนมาก ชาวเสื้อแดงชอบเอามาใช้ จากคุณ : นายทดสอบ - [ 10 เม.ย. 52 16:10:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เอ... เป็นบทความที่น่าสนใจนะครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะมีการแปลความหมายผิดรึเปล่า? NIMBY หมายถึง คนที่ไม่เห็นด้วยกับโปรเจ็คการก่อสร้างต่างๆที่เป็นผลดีต่อสังคมโดยรวม แต่เป็นผลเสียต่อพื้นที่ๆเค้าอยู่อาศัย คนพวกนี้จึงมักจะบอกว่า "ไปสร้างที่อื่นไป แต่ไม่ใช่หลังบ้านชั้น" (Not in my backyard) ยกตัวอย่าง ถ้ารัฐบาลมีนโยบายให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพราะจะสามารถผลิตพลังงานที่สะอาด บลาๆๆๆ ก็ว่ากันไป... หลายๆคนอาจจะเห็นด้วย แต่สมมติว่า บังเอิญแจ๊คพอตไ ปสร้างอยู่ใกล้ๆกะหมู่บ้านของคุณ คุณและคนในหมู่บ้านก็คงจะไม่พอใจ และให้ไปสร้างที่อื่นแทน สรุปก็คือการไม่ยอมรับสิ่งที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่มีผลเสียต่อตัวเองครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นผมอาจผิดได้นะครับ ถ้าผมเขียนผิดยังไงก็ขอโทษด้วย จากคุณ : Paulization - [ 10 เม.ย. 52 19:04:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ดีครับ จขกท ไม่เห็นซะนาน คงสบายดีใช่มั้ยครับ จากคุณ : Styer - [ 10 เม.ย. 52 21:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอบความเห็นข้างบนครับ แปลไม่ผิดครับ ถูกต้องเลย แต่ ในทางสังคมวิทยา การนิยามศัพท์จะแตกต่างไปจากทางสายวิทยาศาตร์ ครับเพราะ มันจะขึ้นอยู่กับบริบทการใช้ใช้ศัพท์คำนั้นมากกว่า และแท้ที่จริงแล้ว คำคำนี้ ไม่ใช่เป็นคำที่มาจากนักสังคมวิทยาโดยตรงครับ เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่แล้ว นักสังคมวิทยา นำมาใช้ (นักสังคมวิทยามักมีคนค่อนขอดว่าไม่ค่อยมีอะไรเป็นของตนเอง เอาจากตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มานั่งถกเถียงกัน ขนาดทฤษฎีแม่บททาง สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ยังมีต้นตอมาจาก ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วินเลยด้วยซ้ำ) นักสังคมวิทยายุคใหม่ (คือในช่วงกลางของศตวรรษที่ 20 หรือประมาณ 50-60 ปีก่อน... นี่ใหม่แล้วนะครับ...) ยังไม่มีการใช้ในทางทฤษฎีครับ เพราะไม่ค่อยมีนักวิชาการด้านมานุษยวิทยา คิดค้นหรือสร้างตัวแบบ ทางทฤษฎี แบบ Grand Theory ขึนมาครับ (จริงๆแล้วคิดว่าคงไม่มีปัญญา จะสร้างเพราะรุ่นก่อนหน้านี่เขาสร้างกันไปหมดแล้ว) รุ่นหลังๆมาจึง เป้นเพียง Approach ที่ใช้ตีความและอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม เป็นกรณีๆ ไป NIMBY จึงเป็น ศัพท์ ใหม่ที่นักสังคมวิทยาและ นักมานุษยวิทยา นำมาประกอบ Appraoch ในการอธิบายปรากฏการณ์ครับ -------------------------------------------------------------------------- ถ้าจะว่ากันไปแล้ว คำว่า NIMBY หากจะนำมาใช้กับสถานการณ์ในสังคม ไทยปัจจุบัน (เรื่อง เสื้อแดงเสื้อเหลือง) ก็คงไม่ถูกที่ถูกทางมากนัก แต่ตัวอย่าง นี้ครับ ที่ชัดเจนกับ NIMBY มากกว่า ก็คือ ในหมู๋บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง รถเก็บขยะของเทศบาล ไม่มาเก็บเป็นเวลา นานสองถึงสามเดือน ขยะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เจ้าของบ้านรายหนึ่งชักชวน เพื่อนร่วมหมู๋บ้าน เพื่อไปร้องเรียนที่เทศบาล แต่ ไม่มีใครยอมไปด้วย โดยอ้างว่า ไม่ว่างบ้าง ติดงานประจำบ้าง จนเจ้าของบ้านรายนี้ไปร้องเรียน ด้วยตัวเอง จนประสบความสำเร็จ ขณะที่เพื่อนบ้านรายอื่นๆก็ยังใช้ชีวิต ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ แทนที่จะเดินออกไปหน้าปากซอยตามเส้นทาง เดิมที่ต้องผ่านกองขยะ ก็เลี่ยงไปใช้อีกซอย ไม่มีกองขยะ บางบ้าน ก็เอาขยะขนไปทิ้งหน้าปากซอยส่วนที่เป็นพงหญ้า กอหญ้า --------------------------------------------------------------------------- ในสถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะเรียกว่า Silence Voice  หรือ Silence Power มากกว่า โดยเฉพาะสังคมในเมืองใหญ่ๆอย่าง กรุงเทพฯ คนกลุ่มนี้ ค่อนข้าง จะเชื่อมันในกระบวนการและระบบ มากกว่า บุคคล โยแสดงออกมาด้วย ผลการเลือกตั้ง ซึ่งถ้ายังคงจำกันได้ ผลการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม นายสมัคร ได้คะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ หรือก่อนหน้านั้น พลตรีจำลองก็สร้าง กระแสจำลองฟีเวอร์มาแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเอง ก็สร้างประวัติศาสตร์ ที่น่าจดจำกับผลการเลือกตั้ง ที่ได้ชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ สังคม เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิต มันจะมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนซ้ำๆกัน Silence Voice จะแสดงพลังออกมา ด้วยปรากฏการาณ์เล็กๆที่จะไม่ส่งผล กระทบต่อสวัสดิภาพของตนเองมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย ที่นักสังคมวิทยาและนักมานุยาวิทยา (ฝรั่ง) ให้คำจำกัดความว่าเป็น สังคมโครงสร้างหลวม (Loosely Structure Society) เพิ่งดูข่าวโทรทัศน์เมื่อสักครู่ ที่พนักงานบริษัท แถวสาทร โห่ร้อง ขับไล่ กลุ่มมวลชนเสื้อแดงที่พยายามปิดถนนที่สาทร ปฏิกริยา เช่นนี้ จะเกิดขึ้นเป็นคราวๆแต่ไม่รุนแรง (จำนวนคนที่มาโห่ร้อง ขว้างปา มีไม่มากเมื่อเทียบกับ ผู้ที่ได้รับ ความเดือดร้อนจากการปิดถนน) นี่คือ ลักษณะ NIMBY ที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบันมากที่สุด ส่วนที่เหลือก็ยืนดูและแอบ ชอบใจสะใจ (แต่ให้ตนเองลงไปลุยก็ไม่ลุย) ------------------------------------------------------------------------- บทเรียนจากเสื้อเหลือง สังคมเมือง ได้รับบทเรียนจากการปิดสนามบิน มาแล้ว และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก Silence Voice ย่อมไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ ส่งผลกระทบ (ทางเศรษฐกิจ) อีกครั้ง ซึ่งข่าวสาร เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ที่ชนชั้นกลางในเมือง มันกลายเป้นปัญหาใหญ่ มากกว่า ปัญหา อุดมการณ์ ประชาธิปไตย ไปเสียแล้ว  สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ ก็คือ กระบวนทัศน์ (Paradigm) ของชนชั้นกลางในเมือง นั้น แตกต่างไปจาก คนต่างจังหวัด มาก (ไม่เกี่ยวกับใครโง่ใครฉลาดอย่างที่ชอบด่ากันในห้องราชดำเนิน) นั่นก็คือ การมีส่วนร่วม ต่อเหตุการณ์ บ้านเมือง ด้วยระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง ย้อนกลับไปในอดีต คน กทม ก็เคยให้บทเรียน ที่เจ็บปวด กับพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว ขนาดได้ สส.ใน กทม แค่คนเดียวม พรระประชากรไทยก็เคยโดน และก็ไม่แปลกที่ พรรคไทยรักไทย และพรรคอื่นๆจะโดนบ้าง และต่อไป ก็จะเป็นคราวของประชาธิปัตย์จะต้องโดนอีกเช่นกัน ------------------------------------------------------------------ เสื้อแดง กับ NIMBY ถ้าอุดมการณ์ของกลุ่มเสื้อแดง ในเรื่องประชาธิปไตย เป็นประเด็น หรือปัจจัยหลักในการต่อต้านรัฐบาลและองคมนตรี หากวิเคราห์กันด้วย ทฤษฎี แล้ว มันล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น แล้ว เพราะ 1 อุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่เคยมีอยู่ในสังคมไทยเลย นับตั้งแต่   การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 สังคมไทย มีแต่กระบวนการ   ประชาธิปไตย เท่านั้น เช่น รัฐธรรมนูญ, องค์อิสระ(ที่ไม่ค่อยจะอิสระเท่า  ไหร่) พรรคการเมือง ข้าราชการ 2 สังคมไทยเป็นสังคม Stew Pot ต่างคนต่างอยู่เกาะเกี่ยวกันด้วยโครงสร้าง   หลวมๆ และปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามแต่ บริบทและเงื่อนไข 3 สังคมไทยรักษาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มากกว่า สังคมส่วนรวม   ตราบใดที่การกระทำของ "รัฐ" ไม่ส่งผลกระทบต่องเศรษฐกิจและจริยธรรม ของสังคมแล้ว ประเด็นเรื่อง อุดมการณ์ประชาธิปไตย ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ NIMBY ก็จะอยู่ในที่ตั้ง และคงสภาพไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงเวลาที่เงื่อนไข และสถานการณ์เหมาะสม มันก็จะกลายเป็น Silence Power ซึ่งแตกต่างไปจากสังคมต่างจังหวัด  ที่จะมีการโครงสร้างที่เกาะเกี่ยวกันแน่นหนากว่า การรวมกลุ่มจึงสามารถกระทำได้พร้อมเพียงกันมากกว่า ในทางปฏิกริยา แต่สังคมเมือง ที่เปลี่ยนผ่าน Modernization และ Rationalism ไปแล้ว ปฏิกริยา จะแสดงออกด้วยการ จัดการด้วยระบบ มากกว่า -------------------------------------------------------------------------- Silence Power เมื่อไหร่จะมา หลังเหตุการณ์ ปิดสนามบิน แล้ว Silence Power ได้สำแดงสื้อพลังออกมา ชัดเจนมาก ปัจจุบันนี้ ถ้ามีใครสักคนหรือ สัก สี่ห้าคน สวมเสื้อเหลือง โพกผ้า เหลือง มาเดินปลุกม็อบ แถวๆ สาทร สีลม สยามสแควร์ เชื่อว่า อาจจะโดนโห่ไล่ ขว้างปา แน่นอน เสื้อเหลือง ไม่มีที่อยู่ในสังคม เสียแล้ว  เช่นเดียวกัน --------------------------------------------------------------------------- หลายๆคนอาจจะวิตกกังวล ต่อสถานการณ์ความขัดแย้ง มีอารมณ์ร่วม เลือกข้าง ไม่เลือกข้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคม เสมอๆเมื่อเกิดความขัดแย้ง ก็คือ กลไก สร้างดุลยภาพ และไม่มีสังคมใดในโลกที่ดำรงอยู่โดยปราศจากความขัดแย้ง และเมื่อสังคมเข้าสู่ดุลยภาพแล้ว ก็จะเกิดพัฒนาการทางสังคมไปอีกขั้นหนึ่ง เพียงแต่สมาชิกในอย่าตีกัสังคมต้องมีสติ อย่าถึงขั้นตีกันจนกลายเป็น สงครามกลางเมือง (Civil War) ก็พอ แต่ถ้าถึงสงครามจะเกิดขึ้นจริงๆ พวกอย่างเราๆจะไปทำอะไรได้ เพราะเราก็เป็น NIMBY เหมือนกัน ----------------------------------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 52 22:16:09 จากคุณ : q_cosmo - [ 10 เม.ย. 52 22:15:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกับ คห.17 ที่ผมได้รับทราบมาเป็นแบบนั้นครับ จากคุณ : pinestand - [ 10 เม.ย. 52 22:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 nimby นี่โดนมากับตัวเองเลยละครับ จังๆ มีผู้ชายตบตีผู้หญิง แต่ตอนนั้นคิดว่า ไม่รู้ผัวเมียรึเปล่า (ญไม่เดินหนี) แต่ก็ทนเห็นโดนแบบนั้นไม่ได้ เหตุเกิดหน้าร้านหมูกระทะ คนในร้านตรึมครับ ไม่มีใคร มาห้าม แม้แต่เด็กเสริฟ์   ปิ๊งไอเดีย 191 ครับ 555+ ชิวมาก แต่โทรไปเกือบๆ 5 รอบ กว่าพี่แกจะมารับ   ป.ล. หลังเรื่องนี้จบ เล่าให้กิ๊กที่เป็นลูกตำรวจฟัง เธอบอกให้โทรเข้าเบอร์บ้าน(ของสถานีนั้นๆ) 191 ไม่ค่อยรับ พวกโรคจิตเยอะ ป.ล.2 เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 191 อาจไม่ทันการณ์ จำเบอร์บ้านสถานีไว้ด้วย เอิ๊กกกก จากคุณ : Silent key - [ 10 เม.ย. 52 23:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เล่าต่อๆ สายตรวจขี่ Tiger Boxer ซ้อนสองมา ไกล่เกลี่ย ไม่ได้ดูต่อ แต่ส่วนผมก็ไปหลีเด็กต่อ จากคุณ : Silent key - [ 10 เม.ย. 52 23:31:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมยังไม่คิดว่าสังคม(เมือง)ไทย ผ่านจุด Rationalism ไปแล้วนะครับ เพราะสิ่งที่ Irrational หลายๆอย่างก็ยังเห็นสังคมเมืองกรุงรับได้อย่างหน้าตาเฉย (อันนี้เรื่องจริง) ถ้าจะให้ผมแสดงรายชื่อเรื่องที่ Irrational ของคนกรุง คงหามาได้ยาวเหยียด ผมคิดว่าคนกรุงเป็นพวก Reasonalist มากกว่า (ขอเพียงแต่ให้มีเหตุผลก็เพียงพอ ถึงเหตุผลนั้นจะไม่สมเหตุสมผลเพียงใดก็ใช้ได้ทั้งนั้น) จากคุณ : Nexus - [ 11 เม.ย. 52 01:37:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 น่าส่งผลกระทบถึงผู้ที่ต้องการหาแนวร่วมแต่ได้รับเสียงตอบรับที่ไม่ดีนักจึงได้ยกคำมากล่าวหาผู้อื่นว่านมบี้(แบน) ยกตัวอย่างจากตัวเองคือผมทำงานเกี่ยวกับการขนส่งแต่ผมเกิดไม่ชอบใจรัฐบาลว่าทำไมผมถึงซื้อสลากกินแบ่งผิดทุกงวด ผมจึงชวนพรรคพวกทำการสไตรค์งานของตัวเองซึ่งจะมีผลเสียหายต่อการเดินทางในเขตนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เพื่อนผมไม่เอาด้วยมันบอกว่า ถูกหวยน่ะอยากถูกอยู่ รัฐบาลก็เฮงซวยจริงๆ แต่ด้วยจรรยาบรรณและมนุษย์ธรรมทำให้เราไม่สามารถทำประชาชนเดือดร้อนได้  ฉะนี้ เพื่อนผมนี่นมบี้ไหมครับ จากคุณ : Cat's tail - [ 11 เม.ย. 52 09:55:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ4จุด ตรรกะนี้แปลกๆน๊ะครับ ลองคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง ให้ลึกๆ มองคนอื่นให้ลึกๆ ครับ หมายเหตุ ไม่เกี่ยวการเมือง และอย่าเอาสีแดงสีเหลืองมาป้ายครับ จากคุณ : q_cosmo คุณ q_cosmo การเมืองเต็มๆเลยแหละครับ เพียงแต่ว่าหลบร้อนห้องการเมืองมาพักร้อนในห้องหว้ากอ เพื่อให้มองว่ามันเป็นปรัชญาครับ อ่านยาวๆ วิเคราะห์หลายๆกระทู้ครับ คล้าย SFP ครับ ดูแต่ละกระทู้เหมือนจะไม่ใช่แต่มองรวมกันแล้วมันใช่แน่ๆครับ ถ้าสงสัยเด๋วผมวิเคราะห์ให้ครับ แต่ผมก็พยายามไม่โยงเรื่องการเมืองในนี้ครับ เด๋วจะผิดกฏครับ ถ้าคุณมองว่าไม่ใ่ช่ ลองไปอ่านในห้องการเมืองครับ กระทู้เรื่องเดียวกันครับ ถามคุณ 4จุดก็ได้ครับ จากคุณ : moo - [ 11 เม.ย. 52 11:35:22 A:192.168.1.24 X:61.47.33.2 TicketID:211080 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ชี้แจง คห ข้างบน โดยปกติ ผมซึ่งเป้นคนไม่เก่งทางวิทยาศาสตร์เพราะตัวเองไม่ได้ร่ำเรียน มาทางวิทยาศาสตร์เลย และผมก็มักจะได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปจากห้องหว้ากอบ่อยๆ ในฐานะที่พอจะมีความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา อยู่บ้างจึงได้พยายามหาคำอธิบายเท่านั้น คำอธิบายของผม อยู่บนพื้นฐาน ของทฤษฎีทางสัมคมวิทยาและมานุษยวิทยา ตัวอย่างที่ยกมา เป็นเพียง เพื่อให้การอธิบายด้วยทฤษฎี ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมคงไม่สามารถ ยกเอา ทฤษฎีของ  Emile Durkhime, Jaque Darida, Sir Edmond Leach, Victor Turner มาประกอบคำอธิบายได้ทั้งหมด เพราะพื้นที่มีจำกัด มิฉะนั้นแล้ว คำอธิบายคำว่า NIMBY คงจะกลายเป็น งาน Thesis หรือ Desertation ไปซึ่งผมไม่คิดว่ามความจำเป็นถึงขนาดนั้น ช่วงสมัยเหตุการณ์เดือน พฤษภา คำว่า ชนชั้นกลาง ได้กลายเป็น วาทกรรม (Discourse) ประเด็นในหมู่นักวิชาการทางสังคมวิทยาและมานุษยวิยา ที่มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ถึง การให้ความหมาย คำจำกัดความของคำๆนี้ พอมาช่วงเหตุการณ์ปัจจุบัน คำว่า NIMBY ก็กลายมาเป็น วาทกรรม อีกครั้ง ในกลุ่มของนักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยา อีกครั้ง จากความสนใจเรื่องทางสังคมวิทยาและมานุษยวิยา มาแต่เดิม ได้พบและผ่านเหตุการณ์ ตั้งแต่ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, ๑๗ พฤษภา, ๑๙ กันยา มาแล้ว ผมก็มักจะมองสถานการณ์และเหตุการณ์บ้านเมือง ในลักษณะ Outside มากกว่า จะเป็น Insider เพื่อให้คำอธิบายของผมนั้น มี Bias น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ในงานทางสังคมวิทยาฯ มักจะมี Bias เสมอ เพียงแต่ว่าควบคุมโดยทฤษฎีได้มาหรือน้อยเพียงใด) เรื่องของการใช้ตัวอย่าง ผมคงไม่สามารถยกตัวอย่าง เหตุการณ์ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มาเป็นตัวอย่าง เพราะว่าเหตุการณ์นั้นพ้นสมัยเกินไป อีกทั้ง บันทึกเหตุการณ์และ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในยุคนั้นยังต้องมีการตีความและประเมิน คุณค่าของหลักฐานอยู่มาก การยกตัวอย่างของเหตุการณ์ปัจจุบันหรือใกล้กับปัจจุบันมาที่สุด จะทำให้ ภาพชัดเจนขึ้นเท่านั้น มีคำหลายๆคำ ในทางสังคมวิทยา ที่มีการนำไปใช้ โดยที่ความหมายไม่ชัดเจนอยู่มาก ซึ่งเป็นปกติธรรมดาสำหรับ การศึกษา ทางด้านสังคมวิทยา เพราะถึงแม้จะเป้นสาขาย่อยของวิยาศาสตร์ แต่ด้วยความที่ ค่าตัวแปร ของสังคม มีจำนวนมากมายมหาศาล และสามาราถผันแปรได้หลายบริบท  คำอธิบายเรื่อง NIMBY อำมาตยาธิปไคย จึงเป็นคำอธิบาย ด้วยฐานและกรอบทฤษฎีทางสังคมวิทยา ล้วนๆ (เอากรอบอื่นมาใช้ไม่ได้เพราะไม่มีความรู้ในกรอบอื่น) ถ้าหากมีความเข้าใจว่า ใช้กระทู้นี้มาเล่นเรื่องการเมือง แล้ว ขอทำความเข้าใจ ไว้ ณ ที่นี้ ว่า เป็นการเข้าใจผิดครับ ผมจะตอบและให้ความเห็น ในบางกระทู้ที่ผม พอจะมีความรู้อยู่บ้าง เท่านั้นครับ เช่น เรื่องประวัติศาสตร์(ในมิติทางทฤษฎีไม่ใช่ข้อมูล เพราะข้อมูล คงต้องใช้พื้นที่ของ ห้องสมุด) เรื่องภาษา ก็อยู่ในห้องสมุด ซึ่งกระทู้ใดที่ผมสามารถมีคำอธิบายได้ ผมก็จะมีความเห็นครับ ตัวอย่าง เรื่องมะม่วง ในทางภาษาศาสตร์http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7690684/K7690684.html ความน่าสนใจของ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา นั้นอยู่ที่การ Debate กันอย่างสร้างสรรค์ครับ โดยมีพื้นฐานทางทฤษฎีมารองรับ แล้วก็ไม่มี ฝ่ายใดถูกหรือฝ่ายใดผิด จะมีแต่ ฝ่ายที่มีเหตุผลน่าฟังน่าเชื่อถือได้ มากกว่าเท่านั้น ข้อสงสัยครับ  SFP คืออะไรครับ ผมไม่ทราบคำๆนี้จริงๆ จากคุณ : q_cosmo - [ 11 เม.ย. 52 12:31:37 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ4จุด ตรรกะนี้แปลกๆน๊ะครับ ลองคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง ให้ลึกๆ มองคนอื่นให้ลึกๆ ครับ แปลกตรงไหนครับ ถ้าจะบอกว่าแปลกควรอธิบายมาด้วยว่าแปลกตรงไหนยังไง การที่เข้ามาบอกว่าแปลกเฉยๆแล้วก็จากไปผมว่ามันน่าแปลกว่าอีกนะ จากคุณ : Nexus - [ 11 เม.ย. 52 15:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้ความรู้ทางด้านสังคมวิทยาครับ ที่ตั้งในห้องนี้เพราะตั้งใจจะคุยกันในเรื่องของกระบวนการคิดมากกว่า ส่วนเรื่องที่เน้นไปทางการเมืองมากๆ ก็ขอให้คุยเฉพาะในราชดำเนินดีกว่า ผมคิดว่าคนในห้องหว้่ากอรู้จักแยกแยะว่า แม้หัวข้อจะเหมือนกัน แต่แนวทางการอภิปรายก็แตกต่างกันได้ตามเนื้อหาของแต่ละห้องครับ แต่ผมเห็นแย้งกับคุณ q_cosmo เรื่องนึงนะครับ เรื่องการปิดสนามบิน ผมคิดว่าตอนนั้นคนส่วนใหญ่ยังเป็น NIMBY กับเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงผลกระัทบ บางคนถึงกับพูดว่า ไม่ได้นั่งเครื่องบินทุกวัน หรือมีแต่ฝรั่งเท่านั้นที่เดือดร้อน(ลองย้อนหากระทู้เก่าๆช่วงนั้นได้ คนที่โวยคือคนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โีรงงานผลิตของส่งออก และกิจการท่องเที่ยว ส่วนคนในกิจการอื่นๆเงียบกริบ) แต่พอมีเรื่องปิดถนน ก็ึคล้ายว่าทำให้คิดได้ว่า เรื่องพวกนี้มันมีผลกระทบกับตัวเองโดยตรง ก็เลยแสดงออกมาแทนที่จะอยู่เฉย แต่โดยรวมผมก็คิดว่า จากสองเหตุการณ์นี้แม้จะแสดงออกไปต่างกัน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยกระดับความเข้าใจไปมากกว่าเดิมพอสมควร และคงไม่อยู่เฉยหากเกิดเหตุการณ์แรกซ้ำขึ้นมาอีก จากคุณ : ....4จุด - [ 11 เม.ย. 52 18:56:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามาดูความเห็นเกี่ยวกับ NIMBY ครับ เพิ่มเติมประเด็นในด้านที่ คุณ ....4จุด ว่า สำหรับผมเห็นว่าในอีกด้านหนึ่ง คนที่มีภาระบางอย่าง หรือมีแรงเหนี่ยวบางอย่าง ก็อาจทำตัวเป็น NIMBY ได้ครับ จากคุณ : granun - [ 11 เม.ย. 52 21:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เคยคิดว่าเป็นพวก NIMBY ไม่ดีนะคะ แต่คนรอบตัวเราชื่นชมคนแบบนั้นอ่ะ ใครไม่เป็น NIMBY ครอบครัว ญาติ แม้แต่เพื่อนๆเราจะมองว่าคนนั้นโง่ EQ ต่ำ .... และยิ่งถ้าคนๆนั้นสามารถเฉยได้แม้จะมีใครมาทำให้ตัวเองเดือดร้อน คนรอบตัวเรามองว่าคนๆนั้นโค-ต-รเทพ จากคุณ : Pam - [ วันเนา (14) 14:02:32 A:124.120.172.252 X: TicketID:201107 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คนแถวนางเลิ้งบอก นิมบี้ ไม่บี้ไม่รู้ ไม่เคยยุ่งกะใครไม่ว่าเสื้อแดงเสื้อเหลืองเสื้อขาว เสื้อม่วง จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ขออย่ามายุ่งยุ่มย่ามกะชุมนุมนางเลิ้ง ก็เลยต้อง พลีชีพไปสองศพ เมื่อพวกเสื้อแดงบุก คราวนี้พวกเขาก็เลยตีดะ เจอเสื้อแดงเดิน ผ่านเลยโดนซะน่วมเป็นรายๆไป...ชุมชนแถวซอยกิ่งเพชรเหมือนกัน นิมบี้ไม่นิมบี้ ไม่รู้เหมือนกัน เค้าอยู่กันดีๆ ไม่ยุ่งใคร เสื้อแดงเอาปืนไปยิงมัสยิด แค่นั้นได้เรื่อง เลยคุณ แท็กซี่เสื้อแดงรายหนึ่งโดนหมัดฮุคขวาของเจ๊มุสลิมรายหนึ่งเข้าเต็มๆ จาก นั้นก็โดนยำ...นี่มันเป็นหยั่งงี้แหละครับ จากคุณ : เต๋านีโอ - [ วันเถลิงศก (15) 18:25:29 ]