ความคิดเห็นที่ 1 ปานนั้นเชียว มันมีอิทธิพล ต่อคนไทย ทั้งประเทศ จริงเหรอ ผมก็เพิ่งเคยอ่าน ครบบท เมื่อกี้นี่เอง จากคุณ : greeny pony - [ 24 เม.ย. 52 10:36:06 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ท่านเตือนด้วยความหวังดีหรอกครับ สังคมมนุษย์ที่ไหนก็เป็นเหมือนกันหมด ทำตัวเด่นก็มีคนหมั่นไส้เป็นธรรมดา ไม่เชื่อคำเตือนก็ไม่เห็นต้องลบหลู่ท่านนี่ครับ จากคุณ : Boreas - [ 24 เม.ย. 52 10:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 โอ้ สุภาษิตสอนหญิงไม่ได้ครึ่ง   ..อย่าว่าแต่ครึ่งเลย จากคุณ : ห้ามวางไว้ไกล้เด็ก - [ 24 เม.ย. 52 10:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 4 #2 ขอตำหนิครับ ไม่ได้หลบลู่ดูหมิ่น เพราะท่านก็สร้างคุณงามความดีกับประเทศไว้เยอะ แต่ข้อนี้รับไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะจำไม่ได้ครบทั้งบท บางคนไม่ทราบว่าใครแต่ง แต่แน่นอนว่าทุกคนจะจำท่อนนี้ได้ จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย และท่อนนี้นั่นแหละ ที่ฝังติดหัวคนไทยแน่นมาก เห็นอานุภาพของ propaganda ไหม แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 10:41:09 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 10:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ยังใช้ได้อยู่นา แต่ต้องปรับใช้และแสดงออกให้เป็น ตามโอกาสและกาละเทศะ จากคุณ : แม่ขนตางอน - [ 24 เม.ย. 52 10:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เหอๆ เรื่องหลวงวิจิตรวาทการ มีให้วิจารณ์เป็นกระบุงโกย ก็แค่คนๆ หนึ่งน่ะครับ เรื่องดีมีเยอะ เรื่องไม่ดี มีเยอะกว่า กว่ามากๆ ถ้าจอมพล ป. เป็น "คนที่คุณก็รู้ว่าชอบโฟนอิน" คุณหลวงก็ประมาณ นพดล+เพ็ญ นั่นแหละครับ จากคุณ : อะธีลาส - [ 24 เม.ย. 52 10:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับคนที่ไม่เข้าใจประเด็นที่จขกท.จะสื่อ ขออธิบายว่าไม่ได้ออกมาโจมตีหลวงวิจิตรวาทการแบบไร้สาระ ลองอ่านประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ผ่านมาที่ยุคที่ท่านมีชีวิตอยู่จะพอเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร และกลอนบทนี้กับสังคมไทย ขอให้ท่านพิจารณาด้วยใจเป็นกลางว่าแท้จริงแล้วมันเหมาะสมหรือไม่ ง่ายที่สุดลองเอาพฤติกรรมองค์กรที่ท่านสังกัดมาเป็นตัวอย่าง และพิสูจน์ว่ากลอนบทนี้สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับสังคมจริงหรือ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 10:47:17 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 10:46:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเด่นในทางที่เกิดประโยชน์ ไม่เป็นพิษเป็นภัย ก็ควรเด่นครับ ส่วนเรื่องอาจมีบางคนไม่ชอบใจ เอาแต่ติฉินนินทากัน  เป็นธรรมดาของปุถุชนซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป แต่บุคคลใดที่ไม่ตั้งแง่ติฉินผู้อื่นโดยง่าย เปรียบเป็นภาวะแห่งเทพที่สูงเจริญมีวุฒิ หาได้ยากตลอดกาลเป็นสัจธรรมเสมอครับ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 10:50:47 จากคุณ : ผู้ศึกษา - [ 24 เม.ย. 52 10:46:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เด่นมันมีหลายระดับอยู่นะ อันดับแรกก็ต้องนิยามก่อนว่าทำดี คืออะไร ? ทำความดี ? ทำงานดี ? หรือทั้งสองอย่าง ??? ส่วนเรื่องความเด่น ถ้าคิดในทางบวก ก็คืออย่าเด่นมากจนเกินความสามารถตน ถ้าคิดในแง่ลบ ก็คือจงทำตัวให้เป็นตัวประกอบเฉกเช่นคนอื่น ไม่ขอพูดเรื่องอื่นต่อเดี๋ยวโดนลากเข้าวังวน = =" ปล เหลือบเห็น #7 อืม..... เอ่อ บทความนี้เขาให้คำแนะนำเสรีไทยน่ะ ! :P แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 10:50:55 จากคุณ : ซ่อนนาม - [ 24 เม.ย. 52 10:47:45 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ก็มีส่วนนิดหน่อยนะผมว่า   แต่ยังไงก็ไม่ได้ซักกระผีกของ pro หลักเลย d-_-b จากคุณ : Sakuder - [ 24 เม.ย. 52 10:48:08 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จขกท.อ่านบทความไม่เข้าใจ เค้าไม่ได้หมายถึงว่าไม่ให้เราทำความดี เพียงแต่สอนว่าอย่าทำดีเพื่อ "ชื่อเสียง" เหมือนการตั้งกระทู้ดีๆ เพราะอยากเด่นเป็นต้น จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 24 เม.ย. 52 10:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่า จขกท แปล ความหมายผิด ครับ ท่านหมายถึงว่า ในความเก่ง ต้องมีความถ่อมตน กลอนมันเขียนได้แค่นั้น แต่ ความหมายยิ่งใหญ่เหลือเกิน .. อ่านแล้ว พินิจ ตรึกตรอง ก่อนจะ ด่วนสรุป ครับ ความถ่อมตน แค่ คำนี้ ก็ ลึกซึ้งอีกมาก   วาน จขกท ศึกษาอีกหน่อย ครับ. จากคุณ : ทุ่มเท - [ 24 เม.ย. 52 10:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 13 #11-12 จขกท.ขอยืนยันว่าพิจารณากลอนบทนี้ถูกแล้ว (หากใครไม่เคยเห็นจขกท.เกรียน วันนี้ก็ขอเกรียนสักวัน) ลองพิจารณากรณีหนูดีในกระทู้เฉลิมไทยที่แปะลิงค์ให้ เห็นว่าเข้ากับกลอนบทนี้หรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือความสุภาพทางกาย วาจา ไม่เกี่ยวกับการทำตัวเด่นครับ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 10:52:29 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 10:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เท่าที่ดูก็มีส่วนจริงอยู่ 1 ความริษยา เป็นพื้นฐาน ของมนุษย์อยู่แล้ว 2 ทำดีจนเด่น กับทำดีบ้าง ทำตัวเด่นมาก เป็นคนละอย่าง 3 คนที่เป็นที่รู้จักมาก ย่อมมีรังสีอิจฉารุมอยู่เป็นปกติ   แค่สวยจนเด่น ยังโดนราดน้ำกรดเลย ยังไม่ทันทำดี โดยนัย ผมถอดความ แล้วเอามาอุปมานถึงแค่ความเด่นครับ ไม่ว่า ละเลวเด่น หรือ ดีเด่น จนเกินไป  ล้วนนำภัยมา เลวเด่นก็เป็นภัยจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดีเด่นก็เป็นภัย จากคนอื่นที่ ไม่ชอบขี้หน้าเรา ส่วนตัวแล้ว   คิดว่าเป็น ประพันธ์ ที่ ถูกตรรกศาสตร์ -  อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี        T เพราะ ใครก็อยากให้คนอื่นๆดีทั้งนั้น - แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้        T ดีจนเด่น มีคนหมั่นไส้ อิจฉา อันนี้ก็จริง - จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย        T ก็จริง - ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน       มีข้อนี้ที่ เป็นบางคนอาจ ชอบที่เห็นคนเด่นๆก็ได้ ไม่ได้มีการกดหัวห้ามทำดีแต่อย่างใด ซ้ำยังตอกย้ำจิตใจของเราให้ละอายแก่ใจ ว่าเราเป็น บุคคล ตามประโยคสุดท้ายหรือไม่ ท่านให้เราถามตัวเองว่า "นี่เราก็ไม่อยากเห็นคนอื่นเด่นเกิน ด้วยเหรอเนี่ย" จากคุณ : IRQ5 - [ 24 เม.ย. 52 10:57:06 ]

ความคิดเห็นที่ 15 นานๆทีจะมีเรื่องแย้งคุณ Cryptomnesia ครับ เรื่องบทกลอนนี้ในแง่มุมของคนที่เก็บพฤติกรรมผู้บริโภค ผมกลับเห็นว่าเป็น กลอนเตือนสติ เสียมากกว่า ในสังคมนี้เป็นเรื่องจริง ในเรื่องการใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนที่มีวุฒิภาวะต่างกัน และมี EQ ที่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นทัศนะ และความคิดของคนบางคน ยังไม่เปิดกว้างที่จะเห็นความสำเร็จของคนอื่น ด้วยความรู็สึกชื่นชมเสมอไป บางทีก็หมั่นไส้หรือหาเรื่องอื่นๆมาด่าแทนก็มี คำว่า เด่นเกิน เป็นการเล่นคำภาษษไทยในบทกวีที่แฝงนัยยะครับ หมายถึงการระมัดระวังอย่างมีสติ ให้เหลียวมองคนแถวๆนั้นเสียก่อน ว่ามีคนที่ไม่ชอบให้ทำข้ามหน้าข้ามตาไหม ควรทำอย่างไรที่เติบโตได้โดยกุสโลบาย และหมายถึงการรู้จักจังหวะก้าว ทำอะไรให้เป็นที่ยอมรับโดยรู้จักถ่อมตัว ไม่โอ้อวดให้เป็นที่เขม่นสายตา นึกถึงสัตว์เล็กๆในทะเล เช่น ลูกเต่าที่เพิ่งออกจากไข่ ที่จะต้องเติบโตท่ามกลางคลื่นลมและศัตรูตัวใหญ่ ทีจะมากินตัวเองได้ทุกเมื่อ จะต้องรู้จักงำตัวเองให้เติบโต จนกระทั่งตัวใหญ่มากพอที่จะหากินได้โดยมีศัตรูตามธรรมชาติน้อยลง และพอดูแลรักษาตัวเองได้แล้วก่อน บทกวีนี้จึงเป็นการเตือนสติให้รู้จักกุสโลบายในการถ่อมตน เพื่อให้ตัวเองเติบโตหรือมีผลงานเด่นๆอย่างไรได้โดยไม่เป็นที่ขัดตาผู้มีอำนาจ จนกลายเป็นการทำร้ายตัวเองทางอ้อมครับ คนไม่ลืมตัว วัวไม่ลืมตีนฉันใด ก็ฉันนั้น คนเราพอทำอะไรแล้วฮึกเหิม มองข้ามหัวคนอื่นจนเด่นเกินแบบขาดสติ ได้ดีแล้วไม่เด่นจนลืมตัว จนแทนที่คนจะนิยมชมชอบ ผลจะกลับกัน ทำนองนั้นครับ จากคุณ : granun - [ 24 เม.ย. 52 10:57:14 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอถกเพิ่มกับ #11 กลอนบทนี้ไม่ได้บอกว่า ไม่ควรทำดีครับ แต่บอกว่าทำ "ดี" แล้วไม่ควร "เด่น" อันการทำตัว "เด่น" ด้วยความ "ดี" นั้นผิดตรงไหน คนผิดคือคนที่"อิจฉา" ไม่ใช่คนที่ทำความ"ดี"และ"เด่น" ขอให้ลองพิจารณาดูว่า เราควรจะสอน ไม่ให้คนอิจฉา หรือ ไม่ให้คนทำตัวดีเด่น จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 10:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "เสาที่โผล่ขึ้นมาจะถูกทุบ" จากหนังสือรวมสุภาษิตญี่ปุ่นสอนโดยโดเรมอน ที่ผมอ่านตอนเด็ก ๆ - -'' จากคุณ : cookiecompany - [ 24 เม.ย. 52 10:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยนะ จะสอนอะไรลึกซึ้งก็ตามที แต่ภาพที่เห็นชัดๆคือสิ่งที่ปลูกฝังได้ และมันจะลามไปถึงความคิดนามธรรมทั้งหลาย ในหัวของเรา สิ่งเล็กๆที่มีผลยิ่งใหญ่ คนเก่งๆดีๆในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็โดนกดมามากมายแล้ว บางทีคำสอนนี้มันอาจเป็นภาพสะท้อนของนิสัยคนไทย ที่ถูกสร้างมาด้วยสังคม ในยุคก่อนๆ ในสังคมศักดินา ลองสังเกตุดูว่าคนเด่นๆในประวัติศาสตร์มีใครบ้าง และเขาเด่นเพราะอะไร ทำไมเราไม่มีคนอย่างเอดิสัน หรือนิวตัน ถ้าจะเปลี่ยน เราต้องสอนว่าคนที่เด่น คือคนเก่ง การเปลี่ยนนั้นต้องเป็นไปพร้อมกับวัฒนธรรมใหม่เลยก็ว่าได้ ทุกที่คนที่เด่น อาจถูกหมั่นไส้จริง แต่มันก็มีหลายระดับ มันมีวัฒนธรรมความคิดคอยควบคุมระดับของความริษยาไว้ได้ จากคุณ : i.everyday - [ 24 เม.ย. 52 10:59:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอลาไปประชุมก่อนนะครับ ประชุมยาวเสียด้วยกลับมาคงบ่ายกว่า ขอให้ทุกท่านเข้ามาถกเถียงในกระทู้ด้วยถ้อยคำที่สุภาพครับ ท่านไม่ชอบให้ใครเสียดสีกระแนะกระแหน จขกท.ก็ไม่ชอบเช่นกัน. (ไม่ได้หมายความว่ามีใครกระทำแล้ว เพียงแต่ขอดักไว้ก่อน) แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 11:01:41 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 11:00:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #16 มิ้นๆ งานเข้าอีกแล้วค้าบบ #11 ไม่ได้บอกแบบนั้นค่ะ อ่านใหม่ ๆ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 24 เม.ย. 52 11:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เคยได้ยิน แต่ไม่เคยทำตามหรอกครับ แล้วแต่คนละมั่ง ถ้าในองค์กรผมน่ะนะ ใครทำเด่นเกินก็จะโดนหมั่นไส้ ดังคำเค้าว่า แต่ผมเฉยๆกับคำนี้มากๆเลย จากคุณ : . (Antornz) - [ 24 เม.ย. 52 11:03:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ด้วยความเคารพนะคะจขทก. เราขอเสนอความคิดที่แตกต่างนิดหนึ่ง เราไม่รู้จักหลวงวิจิตรวาทการมากนัก แต่กลอนบทนี้ เข้าใจว่า น่าจะเป็นสิ่งที่ท่านประพันธ์ไว้หลายสิบปีแล้ว ความเข้าใจต่อกลอนบทนี้ของเราคือ เหมือนกับคำสอนของผู้ใหญ่ที่สอนเด็ก ให้ปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมสมัยนั้น ผู้ใหญ่...ก็หมายถึงคนรุ่นก่อน ส่วนเด็ก...ก็หมายถึงคนรุ่นหลัง คือถ้าคิดแบบบวกๆ น่าจะเป็นอารมณ์ประมาณ ทำดีน่ะดีแล้วหนู แต่...อย่าเด่นอยู่คนเดียว เพราะถ้าเราเด่นคนเดียว หรือถึงขั้นเหลิง คนอื่นหมั่นไส้ ถึงเวลาหนูล้มหรือหนูพลาด จะไม่มีใครเห็นใจ ให้ทำดีที่สุด แต่ถ่อมตัวไว้หน่อย ใครชื่นชมก็อย่าลืมให้เครดิตคนที่สนับสนุนเราด้วย ไม่ว่าจะสนับสนุนน้อย สนับสนุนมาก ถ้ามีโอกาสก็ควรบอกให้สังคมได้รับรู้ว่า คนที่ได้รับการชื่นชม ไม่ได้ solo หรือ one man show แต่มีคนร่วมสนับสนุนมาด้วยเยอะแยะมากมาย อาจเป็นได้ว่าสมัยก่อน มีคนจบเมืองนอกมาเยอะ แล้วก็ดูถูกผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านของเมืองว่าหัวโบราณคร่ำครึ ท่านก็เลยเขียนกลอนปรามๆ ไว้ เพราะถึงอย่างไรสังคมไทยก็เป็นสังคมที่ยังยึดหลักอาวุโส (ไม่รู้นะ เดาล้วนๆ) สรุปก็คือ...สำหรับเรา อ่านแล้วประเด็นที่จับได้คือ ให้ทำดีไปเถอะ แต่อย่าทำตัวเด่นมาก จนทำให้คนอื่นดูอ่อนด้อยไปหมด ควรจะอ่อนน้อมถ่อมตัวไว้ เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ไม่ถูกหมั่นไส้ขัดแข้งขัดขา ประมาณนี้รึเปล่า จากคุณ : แตกต่างแต่ไม่แตกแยกนะ - [ 24 เม.ย. 52 11:06:23 A:161.200.255.162 X: TicketID:213318 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่เห็นด้วยกับ จขกท ที่จะตำหนิหลวงวิจิตรวาทการ ครับ ถ้าจะตำหนิหรือวิพากษ์วิจารย์ น่าจะ เฉพาะบทกลอน ที่ยกตัวอย่าง เท่านั้นมาครับว่า ดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร บริบททางสังคม ในยุคสมัยของหลวงวิจิตรวาทการ เป็นเบบนั้น บทบาท ทางการเมือง หรือ งานวรรณกรรม ก็ได้สะท้อนสภาพสังคมไทย ในยุคนั้นออกมา คงไม่เหมาะสมที่จะเอา ระบบความคิดของปัจจุบัน ไปตำหนิบุคคลในอดีต เพราะคนละยุคสมัยกัน หากเราจะตำหนิหลวงวิจิตรวาทการ เนื่องมาจากบทกลอนที่ยกมานั้น เราคงต้องตำหนิ สุนทรภู่ด้วย ที่สุนทรภู่ เขียนในพระอภัยมณี ว่า รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี   ก็นับว่าเป็น การ Propaganda ที่เห็นแก่ตัวอยู่มากนะครับ ไม่ได้นึกถึง คนรอบข้างและสังคมส่วนรวมเลย ----------------------------------------------------------------------- คัดค้านอีกประเด็นครับ ที่ว่า บทกลอนบทนี้ ฝังหัวคนไทยมานาน ผมกลับคิดตรงกันข้ามครับว่า จริงๆแล้ว ความคิดแบบนี้ อยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว บทกลอนบทนี้เป็นเพียงสะท้อนภาพ ของสังคมไทย โดยผ่านความคิดของหลวงวิจิตรวาทการเท่านั้น ผมเห็นด้วยที่หลวงวิจิตรวาทการ มีบทบาทในการกำหนด แบบแผนทางวัฒนธรรมและกระบวนทัศน์ของสังคมในยุคนั้น โดยวิธี  Propaganda แต่ทว่า สิ่งที่หลวงวิจิตรทำไปก็เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเมือง และอุดมการณ์แห่งชาติสมัยนั้น แต่สังคมก็รู้จักที่กำจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ทางสังคมออกไป เช่น การสวมหมวกออกจากบ้าน, การจูบภรรยาก่อนนอกไปทำงาน การเปลี่ยนแปลงการเขียนภาษาไทย ส่วนของงานวิชาการทางด้านประวัติศาสตร๋ สังคมวัฒนธรรม และวรรณกรรม หลวงวิจิตรวาทการ ท่านได้ถูกตรวจสอบไปหมดแล้วครับ โดยเฉพาะเรื่อง Propaganda ปล แก้ไขคำซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 12:06:21 จากคุณ : q_cosmo - [ 24 เม.ย. 52 11:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แต่ส่วนตัวแล้วกลับเห็นว่า กลอนบทนี้ชี้ให้เห็นมุมมืดของมนุษย์ได้ดี จขคห เห็นว่าถ้านำมาเตือนใจเราเอง เวลาเป็นผู้ถูกกระทำ (ในกรณีทำตัวเด่นแล้วเป็นภัย) จะทำให้เข้าใจได้ว่า เหตุใดเราทำดีแล้วจึงได้ชั่ว เป็นการตอบแทน คราวต่อไปหากคิดจะทำอะไรต้องก้าวย่างอย่างระมัดระวัง จากคุณ : antares[em] - [ 24 เม.ย. 52 11:08:38 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขำ พี่ คริป คห 13   หากใครไม่เคยเห็นจขกท.เกรียน วันนี้ก็ขอเกรียนสักวัน อิอิ     คิดได้ไงอ่ะ  ถูกใจให้กิฟต์   สำหรับประเด็น ผมไม่มีความเห็นครับ เพราะผมค่อนข้างหัวทึบ(เรียกง่ายๆว่าโง่) เลยไม่เด่นซักที แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 11:15:53 จากคุณ : เจ้าชายโดดเดี่ยว - [ 24 เม.ย. 52 11:10:01 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จริงครับ! อิจฉา ต้องยอมรับว่าเป็นนิสัยพื้นฐานของคนไทยแท้แต่โบราณเลยทีเดียว ไม่งั้นคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นกูรู ในวงการ คงไม่ออกมาเตือนกันแบบนี้ จากคุณ : มาแต่แห่งหนไหน? - [ 24 เม.ย. 52 11:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คำสอนนี้มองได้หลายแง่มุม ในระดับปัจเจก ใช่ มันใช้เตือนสติคุณได้ ทำให้คุณอยู่รอดปลอดภัย และอะไรก็ตามที แต่ถ้าพูดถึงระดับสังคม หมายถึง ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของคนทั้งสังคมได้ล่ะ   ให้เราทุกคนมองกันแบบใหม่ คนที่ทำสิ่งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มากมาย ที่มีชีวิตเป็นอันตราย โดนเกลียด โดนริษยา และอะไรต่างๆ เพราะเขาไม่ใช้ความคิดที่จะทำให้ตัวเองอยู่สบาย อย่างน้อยเขาก็ไม่สนมัน เขาอาจหวังให้คนทั้งหลายคิดแบบใหม่บ้าง แต่ก็ไม่ แต่ถ้าสร้างปรัชญาของสังคมขึ้นมาใหม่ได้ เราสอนให้เชิดชูฮีโร่  สอนให้ทุกคนกล้าที่จะเป็นวีรบุรุษ สอนให้ทุกคนรู้ว่าเราจำเป็นต้องมีวีรบุรุษ  เราควรต้องมีผู้ที่โดดเด่น สอนว่าการริษยาจะนำพาให้สังคมล่มจม สอนให้รู้ว่าการยอมรับวีรบุรุษ เท่ากับว่าคุณเริ่มเป็นวีรบุรุษ แล้ว   และแล้วเราก็อาจจะมีวีรบรุษเพิ่มขึ้น สร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น และความคิดจะสามารถกดสัญชาตญาณได้ มนุษย์เราทำได้แน่นอน จากคุณ : i.everyday - [ 24 เม.ย. 52 11:11:52 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ๊ะ อ๊ะ...  น้อง ขลิบตรงนี้ซียะ อย่าประชดนะจ๊ะ...  ไม่ดี ไม่ดี จากคุณ : AbsolutelyTop - [ 24 เม.ย. 52 11:12:56 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรากลับคิดว่าท่านหลวง cool มากเลยค่ะ ตีแผ่นิสัยถาวรคนไทย (บางคน) อย่างไม่มีอ้อมค้อม ไม่ต้องมาหลอกตัวเองว่า สังคมไทยนี้เปิดกว้าง มีมุฑิตาจิตแก่ผู้ทำตัวโดดเด่น ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ต้องรอให้กลอนบทนั้นของท่านมา propaganda ดอกค่ะ แค่เริ่มรู้ความ มีกลุ่มเพื่อน เราท่านก็เรียนรู้ความจริงอันนี้ไปหมดแล้ว จากคุณ : แมวบอส - [ 24 เม.ย. 52 11:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ปัญหามันไม่ได้อยู่ทีคนสอนหรอก ครับ มันอยู่ที่คนเอามาตีความมากกว่า จากคุณ : veenews2004 - [ 24 เม.ย. 52 11:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 32 จงทำดี <<< ดีแล้ว เด่น <<< ตีความได้ว่า "อวดโอ่" นี่แหละเป็นภัย นอกจากจะไม่มีคนยอมรับแล้วยังหมั่นไส้ กลอนมันก็ถูกต้องของมันอยู่ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 24 เม.ย. 52 11:25:31 A:119.63.85.82 X: TicketID:207007 ]

ความคิดเห็นที่ 33 จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย อันนี้เห็นด้วย...จงทำดีแต่อย่าเด่น... เด่นแล้วเหมือนอยู่กลางแสงไฟ.. โดนคนมุมมืดคอยซุ่มยิงอย่างไงก็ไม่รู้... จากคุณ : จิ้งจอกสาวฝึกหัด - [ 24 เม.ย. 52 11:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 นึกถึงหันซิ่น ในคคห.๕๗ ของกระทู้นี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7779916/A7779916.html จากคุณ : นักล่าภาพ - [ 24 เม.ย. 52 11:27:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 กลอนบทนี้มาจากนิยายเรื่องไหนซักเรื่องของหลวงวิจิตรฯหรือเปล่าครับ  จำได้เคยผ่านตา แนวเรื่องประมาณว่าคนดีมีความสามารถมักถูกคนเลวกลั่นแกล้งหาความมาใส่เป็นประจำ ซึ่งผมว่ากลอนนี้มันก็เข้ากับแนวเรื่องดังกล่าวดี   แล้วแต่ว่าจะมองแง่ไหน ซึ่งจริงๆน่าจะเป็นการเสียดสีความเหลวแหลกของสังคม   สำหรับคนบางคนที่สร้างผลงานส่วนหนึ่ง เพื่อตัวเองและเที่ยวไปอวดอ้างหาความดีความชอบใส่ตัว   ก็เป็นธรรมดาที่ภัยจะตามมา การส่งเสริมคนดีแต่ชอบเสนอหน้าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย   มีอะไรบ้างก็ศึกษาได้จากตัวอย่างสิ่งมีชีวิต หลากสปีชีส์ที่อยู่ในสภาฯ อีกอย่างหนึ่งคือสังคมไทยมีคติคือการปิดทองหลังพระ   ซึ่งปัจจุบันก็หาคนปิดไม่ค่อยจะได้     ดังที่ปรากฎในพระราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบ่อยๆว่าถ้าไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้   ส่งเสริมให้คนทำดีไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ลาภยศหรือหน้าตา ตรงตามจุดมุ่งหมายของการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่หรือ duty for duty's sake จากคุณ : Exampli gratia - [ 24 เม.ย. 52 11:30:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 พิเคราะห์แล้วคิดว่าเป็นการเตือนสติคนที่ทำดีให้ระวังภัยจากคนไม่ดีไว้ด้วยครับ คนดีย่อมยินดีในความดีของผู้อื่นด้วยเช่นกันแต่คนที่ทำดีเพราะเอาเด่นแล้วสู้เขาไม่ได้นี่แหละคือคนที่คอยริษยาความดีเกินหน้าตนของผู้อื่น เมื่อสบช่องที่จะปิดกั้นความเด่นนั้นลงได้ก็จะไม่รีรอที่จะกระทำ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจะเห็นตัวอย่างได้ชัดในช่วงชิงอำนาจระหว่างชนชั้นสูงในสังคม การเพ็ดทูล การใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งทำให้คนดีมีฝีมือต้องหัวขาดมานักต่อนักแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ในสังคมไทยแต่พัฒนามาเป็นแบบลูกอีช่างฟ้อง ติดขัดอะไรนิดหน่อยมันเดินเข้าไปฟ้องนายฝรั่ง แทนที่จะคุยกันในระดับหัวหน้าแผนกด้วยกันก่อน ฟ้องจนแผนกอื่นเน่า เรียกว่าเหยียบหัวเพื่อนขึ้นไป ประทานโทษ! in ไปหน่อย นึกว่าอยู่ในที่ทำงาน จากคุณ : dragunov - [ 24 เม.ย. 52 11:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 37 http://www.openbase.in.th/files/%20_166.doc อันนี้ของอาจารย์ ระพี สาคริก .... คนในอดีตเคยกล่าวฝากไว้ให้ชนรุ่นหลังได้คิดค้นหาความจริงเพื่อใช้เตือนสติตัวเองว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย แต่หลายคนมักนำมากล่าวสืบต่อกันมาแบบ ปากต่อปาก โดยที่น้อยคนนักจะสนใจนำมาคิดเพื่อค้นหาเหตุผลที่ควรจะอยู่ในใจตนเองสำหรับการนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม ผู้เขียนยังจำภาษิตบทนี้ได้ดี แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายสิบปี บางคนยังนำมากล่าวในเชิงประชดอีกด้วยว่า ถ้ายังงั้นก็ไม่ต้องทำความดีกันเลย ผู้เขียนได้นำภาษิตบทนี้มาพิจารณาใคร่ครวญเพื่อค้นหาความจริงให้หยั่งรู้ได้อย่างชัดเจนจึงมีโอกาสพบว่า หากทำใจให้เป็นกลางช่วยให้เห็นภาพรวมได้ทั้งสองด้านน่าจะรู้ได้ว่า ภาษิตบทนี้ชี้แนะให้ตนมองด้านเดียว โดยเฉพาะมุ่งมองไปยังปลายเหตุมากกว่า หากมองได้สองด้าน อีกทั้งรู้ว่าด้านไหนคือรากฐานของอีกด้านหนึ่ง น่าจะเข้าใจภาพที่สมบูรณ์ครบถ้วนได้ว่า การทำความดีโดยที่อยากได้ความดีให้แก่ตัวเองย่อมเป็นผลเสียหายแก่ตนเองและสังคมอย่างแน่นอน แต่ถ้าตั้งใจทำจากความจริงที่อยู่ในใจตนเองอย่างดีที่สุดโดยไม่คิดอยากได้ดี หากได้รับการชื่นชมยินดีจากผู้อื่นเองอย่างเป็นธรรมชาติ หรือการมุ่งมั่นทำอย่างมีความสุข ตนก็ไม่น่าจะหวั่นไหวหรือเกรงภัยจากการถูกอิจฉาริษยาหรือกลั่นแกล้งโดยใครอื่นทั้งนั้น หากนำภาษิตที่ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัยมาใช้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นการชี้นำให้มองที่ปลายเหตุ ย่อมนำไปสู่การสูญเสียคุณค่าของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า เป็นคนที่ไม่กล้าทำความดี ชีวิตย่อมถูกกำหนดให้มุ่งตามกระแสสังคมไปอย่างไร้คุณค่าและความหมาย ทำให้ตัวเองเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ****************** จากคุณ : หมอแมว - [ 24 เม.ย. 52 11:56:25 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เป็นการเตือนสติ มากกว่า สอนให้กดหัวคนเก่งครับ เป็นการตีแผ่นิสัยแย่ ๆ ของคนไทย ครับ เป็นผลการ SWOT ชั้นเลิศ ที่บ่งบอกว่าทำไมประเทศไทยไม่พัฒนาสักที เป็นสิ่งปลอบใจตนเองได้ดีมาก เวลาที่ถูกผู้ใหญ่รังแก ****** หนุ่มสาว ยังมองไม่เป็นภัยของการทำตัวเด่น แต่ผู้สูงวันทั้งหลายต่างรู้ซึ้งเป็นอย่างดี มีอาจารย์ ที่เกษียณ ด้วยความช้ำชอก ในหน้าที่การงานหลายคน มักพูดประโยคนี้บ่อย ๆ ผมก็ยังไม่รู้ซึ่งเท่าไรนัก จากคุณ : ศาลายา - [ 24 เม.ย. 52 11:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ จขกท คะ เราอยากชี้แจงด้วยความเคารพ เราเป็นคนนึงที่เคยมีอคติกับคำสอนบทนี้เหมือนกัน แต่กาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่า "ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" จริงๆ บางทีการทำแค่ "สิ่งที่ถูกต้อง" มันไม่เพียงพอกับการดำเนินชีวิตให้ราบรื่นหรอกนะคะ เพราะปัจจัยพื้นฐานคนเรามันไม่เท่ากัน บางคนไม่อยากเลียแข้งเลียขาเจ้านาย แต่ก็ต้องทำ เพราะความอยู่รอดของตัวเอง และคนที่อยู่ข้างหลัง ก็ต้องยอมทำ คนเราพื้นฐาน ความรู้ ความสามารถมันต่างกัน ถ้าจะบอกว่าให้ไปเรียนเพิ่ม พัฒนา มันก็มีตัวแปรอีกเยอะ ไหนจะเงิน เวลา ฯลฯ สังคมการทำงานบางที่ ไม่ว่าจะในไทย อเมริกา และ ญี่ปุ่นต่างก็มีปัญหาเรื่องนี้กันทั้งนั้น เราเพิ่งได้คุยกับเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่น เค้าก็พูดเหมือนกันว่า "บางทีเวลาหัวหน้าสั่งงาน เค้าต้องการให้เราทำไม่ได้ แต่พอเราทำได้ เราจะมีปัญหาทันที" ซึ่งมันผิดหลักการบริหารองค์กร (ในความคิดเรา) แต่มันเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่พ้น จากประสบการณ์ส่วนตัว และประสบการณ์คนข้างตัว มันทำให้เราสรุปได้ว่า.. คนทำงานมีอยู่ 3 พวกหลักๆ 1 คนที่ทำงานหนัก หาโอกาสพัฒนาฝีมือตนเองตลอดเวลา และจะไม่มีคำว่า "เป็นไปไม่ได้" อยู่ในหัว 2 คนที่ไม่ชอบทำงานหนัก ไม่ทุ่มเท ไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่พอมีใครในสายงานทำได้ดี ก็จะคอยหาวิธีขัดแข้งขัดขา 3 พวกที่ทำงานไปวันๆ นายสั่งแค่ไหนก็แค่นั้น นายสั่งงานยาก ก็ไม่กระตือรือล้นที่จะทำ เพราะไม่อยากทำตัวเด่น ทีนี้มันก็แล้วแต่เราแล้วละว่า เราอยากเป็นคนประเภทไหน อยากร่วมงานกับใคร ส่วนตัวเราเอง ตั้งแต่ทำงานมามีหัวหน้ามาประมาณ 5 คนในองค์กรเดียว ด้วยระยะเวลาการทำงานประมาณแค่ 2 ปี หัวหน้าแต่ละคนก็มีนิสัยการทำงานแต่ละแบบคละกันไป ตอนนั้นเราประสบการณ์น้อยนิดมาก เลยไม่ทันได้มองว่าหัวหน้าคนไหนเป็นยังไง หัวหน้าสั่งงานหนัก โหด แค่ไหนเราก็พยายามทำ ทำจนไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพัก แถมไม่ได้โอทีด้วย แต่เราไม่สน เพราะเราแค่อยากทำงานให้สำเร็จ จนท้ายสุด เรามีปัญหาเยอะมาก จนเพื่อนสมัยเรียน (ทำงานที่เดียวกัน) ถามว่า.. แกไม่รู้จริงๆ เหรอ ว่าหัวหน้าแกเค้าสั่งให้แกทำไม่ได้ เรายอมรับว่าเราไม่รู้จริงๆ เราคิดว่างานที่เค้าสั่งมา ก็ต้องทำให้ได้ ทำให้เสร็จ แทนที่หัวหน้าจะชื่นชมยินดีว่าอย่างน้อยลูกน้องได้พยายามเต็มที่ จนงานสำเร็จ หัวหน้ากลับไม่พอใจที่ลูกน้องทำได้ซะอย่างนั้น มาถึงตรงนี้ขอถามว่า.. คำสอนของคุณหลวงฯ มีค่าแก่การรับฟังแล้วนำไปปฎิบัติหรือเปล่า ??? ส่วนตัวเราแล้ว.. เราบอกได้เลยว่ามีค่ามาก แต่สำหรับ จขกท ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ อาจจะทำให้คิดว่าเป็นแค่ propaganda มอมเมาสังคม เรากลับมองว่า.. สิ่งที่คุณหลวงฯ สอนเนี่ย มันต้องใช้ควบคู่กับคำว่า "กาละ เทศะ" ด้วยต่างหาก การที่เราทำได้ เราไม่จำเป็นต้องอวดว่าเราทำได้ ต่อให้เราเก่งแค่ไหน เราก็ยังต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าอยู่ในสถาการณ์ที่ต้องการคนเก่ง และผู้นำ เราก็ควรจะเป็นผู้นำได้ จากคุณ : อ่อนนอก แข็งในนะดีแล้ว (Living Extreme) - [ 24 เม.ย. 52 12:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คุณคลิปของขึ้นหรอ แต่บอกตรงๆอ่านกระทู้คุณคลิป แล้วอยากเกรียนกลับ 555 ตั้งกระทู้แรงไปมั้ยอะ คำในบทกลอน อาจจะตรงข้ามกับความคิด บุคลิก ของคุณคลิปด้วยหรือป่าว ถึงกับค้านหัวชนฝาเลย (เดาว่าคุณคลิปเป็นคนมีความมั่นใจสูงมากในระดับนึง) จริงๆเราสามารถดึงแต่ส่วนดีของบทกลอนมาใช้ในชีวิตประจำวันก็ได้ อย่างคำว่า ''ทำดีได้แต่อย่าเด่น'' เนี่ย เราก็ไม่คิดว่ามันเป็นค่านิยมด้วยนะ สำหรับเราไม่มีผลเลย เพราะไม่มีดีจะเด่น - -'' แต่ถ้ามีดีก็ไม่รอที่จะโชว์ แต่ไม่ใช่ อวด อีกอย่าง บทกลอน น่าจะเน้นไปในทางทำดีได้แต่อย่าเด่นในหมู่คนพาล จะมีภัย มากกว่า  รึป่าว ไม่ว่างพิมพ์ยาวๆเหมือนกัน ไปปั่นงานก่อนละ จากคุณ : Choco-Mix - [ 24 เม.ย. 52 12:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ความหมายของบทกลอนหมายถึง ทำดีไม่จำเป็นต้องอวดตัวเพราะใครเขาหมั่นไส้จะสร้างศัตรู ไม่มีประโยชน์ที่ต้องต้องทำตัวเด่น ทำดีกับทำเด่นเป็นคนละเรื่องกัน การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ หากคุณทำงานร่วมกับใครแม้คุณจะเชื่อว่าความคิดของคุณดีกว่า ถูกต้องกว่า และหากคนอื่นๆมองเห็นว่าความคิดคุณดีกว่าอีกคน ถ้าคุณทำฮึกเหิมโดยไม่แคร์ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเสียหน้า คุณก็จะสร้างศัตรู แต่หากคุณถ่อมตนและชื่นชมความคิดอีกฝ่ายให้คนอื่นเห็นและค่อยๆดำเนินวิธีการที่ดีกว่าของคุณไปอย่างเงียบๆ ก็จะก่อประโยชน์เช่นกัน จากคุณ : khorbfaa - [ 24 เม.ย. 52 12:05:47 ]

ความคิดเห็นที่ 42 #41 ความหมายของบทกลอนหมายถึง ทำดีไม่จำเป็นต้องอวดตัวเพราะใครเขาหมั่นไส้จะสร้างศัตรู ไม่มีประโยชน์ที่ต้องต้องทำตัวเด่น ทำดีกับทำเด่นเป็นคนละเรื่องกัน ^ ^ แต่ จขกท บอกว่า เด่นด้วยการทำความดี อะค่ะ มันเริ่มจะเป็นเรื่องเดียวกันแล้วน่ะสิ จากคุณ : Choco-Mix - [ 24 เม.ย. 52 12:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 43 การปฏิบัติตนให้ดี เป็นไปได้ที่จะมีทั้งเด่นทั้งเงียบในสายตาคนทั่วไป แต่ก็ไม่ควรแคร์ชาวบ้านจนถึงขนาด ไม่ควรทำตัวดีเพราะเดี๋ยวจะเด่นเป็นภัยแก่ตัวเอง เพราะจะเป็นการหวั่นไหวต่อโลกธรรมอย่างสุดโต่งเกินไป  ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าต้องแอบทำไม่ให้ใครรู้ใครเห็น ควรมีทั้งเด่นบ้างเงียบบ้างให้ดูเป็นธรรมชาติจะสมควรกว่าครับ สำคัญที่สุดเลยคือ อย่ามัวไปอิจฉาชิงชังคนอื่นที่เขาดีมีประโยชน์ มนุษย์บัณฑิตย่อมฝึกตนครับผม จากคุณ : ผู้ศึกษา - [ 24 เม.ย. 52 12:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อุแม่เจ้า กล้าหาญมากท่าน จขกท ..  อ่านไปรอบแล้ว ยังมึนๆอยู่ มันเหมือน ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ แต่ ต่างกันนิดนึง ตรงที่ ระบบ ผู้ใหญ่ ผู้น้อยบ้านเรามันแปลกๆ  อันที่จริง ที่ไหนๆในโลกก็น่าจะเหมือนๆกัน คือ คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินลงโทษ  ถ้าปล่อยให้คลื่นลูกหลังมาทันคลื่นลูกหน้า แล้วคลื่นลูกหน้าก็ย่อมสลายหายไป ...มันเป็นสัจธรรม แต่คนเรา ชอบฝืนกฎครับ อยากเป็นอมตะนิรันด์กาล ใจแคบ อคติ เพราะกลัวว่า อำนาจในมือซักวันมันจะหายไป โดยที่คนรุ่นใหม่จะมองข้ามไป จึงเกิดอาการ สกัดดาวรุ่ง รึว่า แอบเตะตัดขา ส่วนพวกเด็กน้องๆก็ เกิดอาการต่อต้านเช่นเดียวกันคือ แอบเลื่อยเก้าอี้ไปพลางๆ 555+   *** ขอขยายความนิดครับ เรื่อง  คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินลงโทษ   เป็นศาสตร์ชนิดนึงของตำรา หน้าด้าน-ใจดำ   ศาสตร์ชนิดนี้ คนจะเก่งได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่ต้องหน้าด้าน รู้จักตื้อ รู้จักทำเฉยๆเวลามีคนมาด่า รู้จักการหลบหลีกเอาตัวรอดได้อย่างดี ใครด่าอะไร ไม่สน  ส่วนใจดำ คนเราจะคุมคนนับร้อยนับพันได้ ต้องเด็ดเดี่ยวครับ  กล้าเชือด กล้าชน มัวแต่เป็นคนดี ก็มักจะถูกเอาเปรียบ ฉะนั้น เราควรจะหน้าด้านบางครั้ง และควรจะใจดำบางหน  อาทิเช่น เพื่อนมายืมเงิน ถ้าเราให้ไป รู้อยู่แล้วว่าอาจไม่ได้คืนรึว่าเสียเพื่อน ต้องยอมใจดำ ไม่ให้ยืมครับ เสียเพื่อนเป็นเสีย จะจอดรถไม่มีที่จอด ปวดห้องน้ำสุดๆ ยอมหน้าด้านครับ จอดขวางเลย ใครจะถอยออกก็ไม่ได้ แต่ขอไปห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมายืนให้ด่าก็ได้ เป็นคำในทางลบ แต่ทุกคน ใช้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ถามว่าเกี่ยวยังไงกับ กลอนที่ จขกท ยกมา ..... ห้ามเด่นห้ามดัง มันเข้าเงื่อนไข สกัดดาวรุ่งพุ่งแรงครับ เป็นการเตือนใจชนิดที่เรียกว่า ฟันเข้าหน้าพวกหน้าด้านใจดำเลยทีเดียว แต่...ก็อีกนั้นแหละ พวกนี้ไม่สะเทือนแถมยังยืมไปใช้อีก 5555+ เอาไปกดหัวเด็กๆน้องๆ อยู่ชนิดที่เรียกว่า  เด่นขึ้นมาก็ ตายซะ จะข้ามหัวหรอ รอไปก่อน ไอ้น้องเอ๋ย จากคุณ : CitizenShip - [ 24 เม.ย. 52 12:16:38 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ผมเองมองว่า คนเขียนเขาขึ้นจากสิ่งที่เห็น ไม่ใช่เขียนสิ่งที่ไม่เคยมี เพื่อชี้นำให้มีขึ้นมา จากคุณ : ksk - [ 24 เม.ย. 52 12:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เข้ามาอ่าน และขอมองแบบกลางๆ นะครับ จากคุณ : peko6681 - [ 24 เม.ย. 52 12:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ผมชอบกลอนบทนี้นะ "สองคนยลตามช่อง... คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม... คนสองตาแหลมคม... เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย" คำสอนทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้น แต่อนึ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์หรือความเข้าใจของแต่ละคนที่จะตีความไปในแนวทางใดด้วย บางคนหาจุดดีเพื่อจะใช้ บางคนหาจุดด้อยเพื่อจะติ แล้ว จขกท  ติเพื่ออะไร ??? จากคุณ : Pixzz - [ 24 เม.ย. 52 12:25:22 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ที่จริงก่อนเถียงกับคุณ Cryptomnesia ผมขอให้ย้อนกลับไปอ่านประเด็นที่ จขกท.สื่อแบบนัยยะ โดยไปอ่านในกระทู้ต้นเรื่องก่อนครับ การถกโโยอ่านกระทู็ต้นเรื่องก่อน กับไม่ได้อ่านจะมีข้อมูล และทัศนะในประเด็นที่พูดถึงนี้ต่างกัน ในแง่ของผมขอเสริมอีกเรื่อง คือ บทกวีนี้ ไม่ได้ชี้นำ แต่สะท้อนกรอบของกลุ่มคนกลุ่มนึงที่ควรระมัดระวังไว้ สิ่งที่น่ากลัวที่สะท้อนออกมาตั้งแต่ยุคนั้นจนยุคนี้ก็คือ คนบางกลุ่มที่ฟาดงวงฟาดงาได้ เวลาที่สิ่งที่เราทำเด่นขัดตาเขา ถ้าเด่นขัดหูขัดตา แล้วการกระทำเขาจะเป็นภัยต่อตัวเราได้ จึงต้องระมัดระวัง เตือนใจไว้อยู่เสมอ จากคุณ : granun - [ 24 เม.ย. 52 12:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เห็นด้วยกะ #2 จากคุณ : อืมม - [ 24 เม.ย. 52 12:31:11 A:114.128.27.235 X: TicketID:136377 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่เกี่ยวเล้ย ทำดีทำเด่นคนอิจฉา มันธรรมชาติของมนุษย์ ถึงจะคิดว่ากรูดีกรูจะเด่น ก็เรื่องของมรึง แต่กรูอิจฉามรึงกรูจะขัดแข้งขัดขา ผู้ใหญ่เขาเตือนไว้ ทำอะไรต้องระวัง แต่จะไม่เชื่อ ก็เรื่องของมรึง ไว้ไปเจอเอาเอง อย่าคิดว่ากรูทำดี จะต้องได้ดีมีคนชม คนหมั่นใส้สร้างศัตรูไม่รู้ตัว จะร้องโอดครวญ ทำดีไม่ได้ดี จากคุณ : ชาเขียวเข้มๆ - [ 24 เม.ย. 52 12:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เอออ เว้ย เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ที่สุด ผมเกลียดสุภาษิตนี้ โคดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฝรั่ง ไม่มีสุภาษิตแบบนี้ สุภาษิตแบบนี้แหละที่ทำให้ชาติไม่ไปใหน เพราะทำอะไรก็กลัวเด่น กลัวคนเก่ง กลัวการเปลี่ยนแปลง จากคุณ : !!! - [ 24 เม.ย. 52 12:38:08 A:58.64.87.31 X: TicketID:203053 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เคสนี้ ผมว่า มันไม่ได้ผิดที่ เด่น แต่มันผิดที่ ริษยา ครับ (ไม่ใช่อิจฉานะครับ ความริษยา เป็นความไม่อยากให้ใครได้ดี) ความร้สึกแบบนี้ไม่ทำให้ใครยินดีและมักขัดหูขัดตากับเรื่องคนอื่น คือถ้าดี 7 ส่วน แย่ 3 ส่วน ฉันก็จะมองที่มันแย่ 3 ส่วนนั่นแหละ... การที่คนไทยทำอะไรเด่นขึ้นมาแล้วมักจะได้รับความหมั่นไส้เป็นของแถม ก็เป็นข้อสังเกตหนึ่งที่น่าจะถูกนำมาถก เรื่องการสร้างค่านิยมใหม่กับคนในสังคมไทย สำหรับในกระทู้นี้มากกว่า ทำอย่างไรที่ เด่น โดยคนไม่หมั่นไส้ นี่สิ น่าคิด.. จากคุณ : granun - [ 24 เม.ย. 52 12:41:16 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แต่กระทู้นี้ทำให้ผมเห็นว่าคนไทยยุคใหม่จำนวนหนึ่งขาดความละเมียดละไมทางภาษาตีความอะไรซื่อๆง่ายๆเลยทำให้ถูกชักจูงได้ง่ายมากกว่า บทกลอนนั้นมีนัยบอกว่าจงทำดีมาจากใจ แต่ไม่ใช่ทำดีเพราะอยากจะเด่น ไม่อย่างนั้นจะเดือดร้อน ตามธรรมชาติของสังคม ถ้าคนใดที่ทำดีมากๆมันเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะเด่น แต่ถ้าเด่นขึ้นมาเพราะทำดีแล้วคนอื่นเขาเห็น มันก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากเด่นดังจึงทำดี คนพวกนี้แหละที่จะมีปัญหาเพราะไม่ได้ต้องการทำอะไรดีๆมาจากใจ จากคุณ : VeryBadman...Begins - [ 24 เม.ย. 52 12:44:54 A:67.160.211.99 X: TicketID:185387 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอแสดงความคิดเห็นบ้างครับ คิดว่ากลอนนี้ก็เป็นการบอกความจริงในสังคม นั่นคือ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ใครเด่นขึ้นมาก็จะมีคนคอยขัด  ส่วนคนที่อ่านแล้วจะตีความว่า จะไม่ทำดี เพราะ ไม่อยากเด่น หรือไม่ ก็แล้วแต่วิจารณญาณครับ ที่ว่าเด่นนั้น ถ้ามีคนอื่นยกย่อง เชิดชูว่า เด่น คนส่วนใหญ่คงจะไม่ขัดหู ขัดตา (ยกเว้นคนที่เสียผลประโยชน์) แต่ถ้ายกตัวเองให้ เด่น เนี่ย ไม่ว่าใคร ไม่ว่าชาติไหน ก็คงจะยึดหมั่นไส้ไม่ได้ (อย่างกรณีหนูดีเนี่ย ผมว่าเข้าข่ายนี้ เพราะไม่ได้เด่น เนื่องจากได้รางวัลวิทย์ , ได้รับการทดสอบไอคิวว่าเป็นอัจฉริยะ.... แต่มารับโฆษณาแล้วมาบอกว่าตัวเอง ฉลาด  มันแปลกๆ จริงๆควรจะให้คนอื่นชมมากกว่านะ หรือ ไม่ก็พรีเซนต์โฆษณาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาสมองอย่างที่ร่ำเรียนมีดีกรีมามากกว่า - จะฉลาดหรือไม่ ให้คนอื่นพิจารณาเอง ) สุภาษิตไทย "ปิดทองหลังพระ" ก็มีสอนเช่นกัน ผู้ที่ตั้งใจทำดี ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครเห็นก็ย่อมทำได้ เช่นกัน จากคุณ : Jazzmo - [ 24 เม.ย. 52 12:45:11 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ฝากกลอนบทนี้ก่อนค่ะ.. แล้วขอตัวไปอ่านให้ละเอียดทุกเมนต์อีกที... "มองแต่แง่ดีเถิด" เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง จาก "หัวข้อธรรม ในคำกลอน" ของท่านพุทธทาส จากคุณ : primjang - [ 24 เม.ย. 52 12:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 56 แปลตามนั้นตรงๆไปเลยครับ ไม่ต้องยอกย้อนลึกลับ ฝรั่งไม่มีพวกขี้อิจฉา ริษยาเหรอไง สันดานคนเป็นกันทั่วโลกแหละ คนดี-เลวปะปน ภาษิต คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ยังดูเหลวไหลกว่า เอากระทู้หนูดีเป็นตัวอย่าง คนหมั่นไส้ก็มี คนรักชื่นชมก็มี คนกลางๆก็มี เจอคนดีก็ดีไป เจอคน[^_^] ก็เป็นภัยแก่ตัว เป็นคนดีแต่ป้องกันตัวไม่ได้ ก็ตายเปล่า ภาษิตนี้ใช้ได้ทั่วโลก ทำดีอย่าเด่น ให้คนหมั่นใส้ ป้องกันภัย ไม่ต้องกังวล จากคุณ : ชาเขียวเข้มๆ - [ 24 เม.ย. 52 12:54:05 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ Choco-Mix คะ ทุกคนเด่นได้ด้วยดีและชั่ว เราต้องเลือกเอาค่ะว่าจะเด่นทางไหน แต่เส้นแบ่งดีชั่วในบางกรณีมันก็บางเหลือเกิน เช่นการโกหกคนๆหนึ่งเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับอีกคน...นอกเรื่องไปหน่อย เอาเป็นว่า บทกวีบทนี้เตือนให้คนเราทำอะไรด้วยความระมัดระวัง หากความดีอยู่ในคนกล้า + ฉลาด การทำความดีนั้นก็จะสำเร็จด้วยวิธีที่ฉลาด แม้จะเด่นเพราะกล้าทำ แต่ความฉลาดก็คงทำให้การกระทำเป็นไปอย่างแยบยลกว่า หากความดีอยู่ในคนกล้า + ไม่คิด(มุทะลุ) ความกล้านั้นก็จะเป็นภัยได้ คนเรามีสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางค่ะ ทำความดีก็ควรทำอย่างมีสติ จากคุณ : khorbfaa - [ 24 เม.ย. 52 12:56:52 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ต้องเข้าใจนิดนึง  คุณหลวงวิจิตรท่านรับราชการ  วงการราชการมันเป็นเยี่ยงนี้มานาน  ไม่ว่าจะทำดีด้วยใจ ปิดทองหลังพระ รึอะไรก็แล้ว ถ้า มันเริ่มมีคนพูดถึง ถ้าเริ่มเป็นที่สนใจ ....   ความอิจฉาริษยาจะตามมา จะมาก จะน้อยแค่ไหน อยู่ที่ระดับ Gossip ยิงวงกว้างมากก็ริษยาเพิ่มทวีคูณ ถ้าแสดงตัวออกมาเลย ประหนึง  บอกให้โลกรู้ กรูก็ชาย ประมาณนี้ด้วยนะ ตายไปเลย555+   ต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไว้ ส่วนผลงานนะเหรอ รอไว้รุ่นแรกมันตายหมดก่อน ค่อยถึงคิว เบียดบังผลงานกันต่อไปเรื่อยๆ จากคุณ : CitizenShip - [ 24 เม.ย. 52 12:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เห็นด้วยกับพี่ คลิบครับ ผมรู้สึกตะหงิด กับคำว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย มานานแล้ว จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 24 เม.ย. 52 12:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ^ ^ หลวงวิจิตร ก็เคยไปใช้ชีวิตใน ต่างประเทศมานาน นะครับ ไม่ใช่อยู่แต่เมืองไทย จากคุณ : อืมม - [ 24 เม.ย. 52 13:00:32 A:114.128.27.235 X: TicketID:136377 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ผมคิดว่ายังไงก็เป็นเรื่องปกติอยุ่ที่แล้วที่ มีคนสรรเสริญ ก็ต้องมีคนนินทา จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 24 เม.ย. 52 13:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่องปกติครับ ตาม 61 พระพุทธเจ้าเองยังมีคนอิจฉา ยังมีคนริษยา ยังมีคนนินทา เกลียดเรยครับ แล้วเราเป็นใครล่ะ จากคุณ : !!! - [ 24 เม.ย. 52 13:05:32 A:58.64.87.31 X: TicketID:203053 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ตามความเห็นเราคิดว่า กลอนบทนี้ ผู้เขียน เขียนบรรยายจากลักษณะผู้คน ในสังคมล้วนๆ ซึ่งมีมาก่อนท่านเขียนแล้ว เป็นการเตือนสติมากกว่า ************************************ จากบทความอันนี้เค้าบรรยายสื่อความหมายได้ชัดเจนดี เลยยกมาให้อ่านกัน จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย **พระพุทธองค์ทรงสอนสัตวโลกไว้ว่า สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตาติ ฯ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทุกชีวิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของธรรม มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีรัก มีชอบ มีสุข มีทุกข์ สลับคลุกเคล้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การดำเนินชีวิตไปบนทางแห่งความดีจึงต้องมีความเข้าใจธรรมะและมีความหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงต่อปณิธานเป้าหมาย **ในการประกอบอาชีพหรือทำงาน ต่างๆ มักจะได้ยินกันเสมอว่า มีการขัดแข้งขัดขา มีการสกัดดาวรุ่ง มีการทรยศหักหลัง มีการกำจัดหอกข้างแคร่ มีการลอบทำร้ายกันลับหลัง มีความเปลี่ยนแปลงจากมิตรเป็นศัตรู เหล่านี้ล้วนเป็นสถานการณ์ธรรมดาของวิสัยปุถุชน ที่มีรักมีชังสุมแน่นอยู่ในใจ วันนี้ดี พรุ่งนี้ด่า วันต่อไปนินทา วันที่หายหน้าก็คิดถึงกัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครฝืนได้ หากไม่หัดฝืนกิเลสที่อยู่ภายในตนเสียก่อน บางคนที่มากด้วยความยึดถือในตัวตนหรือมีอัตตามีความลำพองมาก มักจะแสดงกิริยาอาการดูถูกคนอื่น อวดตนว่าอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ และหากเกิดความขัดแย้งกับใครก็มักจะสร้างพลังอคติรวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าฝ่ายตนให้มาก เพื่อที่จะตั้งฝักฝ่ายปะทะต่อต้านกันต่อไป **ได้ฟังมาว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งทำงานหนักทำผลงานวิชาการมากขึ้น และมีการพัฒนาตัวเองให้มีองค์ความรู้ใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะนำไปใช้พัฒนาและสร้างนักศึกษา จึงกลายเป็นคนที่เด่นมากขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งแน่นอนว่าในสังคมปัจจุบันซึ่งมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันสูงนี้ย่อมไม่มีใครอยากเห็นใครได้ดี เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยให้การสนับสนุนก็เปลี่ยนท่าทีไปในทางไม่ยอมรับและพยายามสร้างข้อตำหนิให้เกิดขึ้น ทั้งเพื่อนฝูงก็กลายมาเป็นคู่แข่งขัน การกลั่นแกล้ง หลายรู้แบบก็เริ่มตามมา บางครั้งรุนแรงจนแทบทำให้เสียสุขภาพจิต และความมั่นใจในตัวเอง และบางครั้งถึงขนาดคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จนเมื่อเข้ามาพึ่งทางธรรมเธอคนนั้นจึงสามารถสงบใจลงได้ ***ในลักษณะนี้ทำให้ย้อนนึกถึงคำประพันธ์ของหลวงวิจิตรวาทการว่า "อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" ***การทำความดีนั้นย่อมได้ผลดีแน่ และทำความชั่วก็ย่อมได้ผลชั่ว อันเป็นกฎธรรมดาของความจริงที่ปลูกพืชอย่างไรก็ย่อมได้รับผลอย่างนั้น แต่การทำความดีนั้นต้องใช้ศิลปะคือต้องทำความดีนั้นจะต้องทำให้ถูกกาละเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอสมไม่เกียจคร้าน และไม่ล้ำเส้นใคร การทำความดีนั้นจะต้องดูความเกี่ยวข้องกับบุคคลด้วย ต้องรู้จักวางตัวให้ดีอย่าให้มีลักษณะอันใดส่อให้เห็นว่า จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่กระทบกระเทือนหรือขุ่นเคืองใจ โดยเฉพาะอย่าให้ผู้หลักผู้ใหญ่รู้สึกว่ามีความสามารถด้อยกว่า เพราะในสังคมคนธรรมดานั้นมากไปด้วยความริษยาและหวาดระแวงกัน รวมทั้งมีคนบางพวกพร้อมที่จะจับผิดและทำลายอยู่ตลอดเวลา ***อย่างเรื่องในพุทธกาลก็มีอยู่ว่า พันธุละเสนาบดีแห่งแคว้นโกศลได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการวินิจฉัยคดีที่ไม่ซื่อตรง จึงไปนำเรื่องมาวินิจฉัยใหม่แล้วตัดสินไปตามความจริง ซึ่งมหาชนก็เปล่งเสียงไชโยโห่ร้องกันอย่างสนั่นหวั่นไหว จนพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินและเกิดความสงสัย และเมื่อพระราชารู้เรื่องราวต่างๆ แล้วก็ให้ปลดตุลาการเดิมออกแล้วให้พันธุละเสนาบดีไปทำหน้าที่แทน ต่อมาพวกตุลาการรุนเก่าๆ ขาดรายได้จากการวิ่งเต้นคดี จึงพากันไปยุยงพระราชาว่า "พันธุละเสนาบดีต้องการเป็นพระราชา" ด้วยความด้อยสติปัญญาพระราชาได้เชื่อคำของอำมาตย์เหล่านั้น และยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงในตัวพันธุละเสนาบดีว่าจะมาชิงราชบัลลังก์และเป็นที่รักของประชาชนมากกว่าตน จึงได้ออกอุบายให้พันธุละเสนาบดีไปปราบโจรที่ชายแดน แล้วให้ราชบุรุษตัดศีรษะของพันธุละเสนาบดีพร้อมบุตรชายทั้งหมดก่อนที่จะเดินทางกลับมาพระนคร และเมื่อการต่างๆ ได้สำเร็จลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้รู้สึกตัวในภายหลังว่า ได้ตกหลุมพรางของอำมาตย์จนสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง **ฉะนั้น การทำความดีจึงต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะรักษาไว้ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อผู้ใด จนไปกระตุ้นกิเลสของคนรอบข้างขึ้นมา การทำความดีจึงต้องมีศิลปะในการทำความดีและรักษาความดีไว้ให้เจริญยิ่งขึ้น ต้องรู้จักถอยออกมาจากภาวะที่คับขันเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ และรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อสร้างรอยต่อของความดีขึ้นมาใหม่อย่างไม่กระทบกระเทือนใคร http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew31&topic=194 จากคุณ : iamnid - [ 24 เม.ย. 52 13:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 64 หมาแมว เค้ายังมีชาติพันธุ์เลย หมาเหมือนกัน แต่เป็นพูเดิล อีกพันธู์เป็นบูลด๊อก นิสัยก็ต่างกันแล้ว ไก่เองก็ยังมีไก่เนื้อ ไก่ไข่ วัวก็ยังมีวัวนมวัวเนื้อ นับประสาอะไรกับคนไทย ยอมรับในนิสัยชาติพันธุ์ตัวเองเถอะครับ เกิดมาเป็นพูเดิล จะให้ออกไปกัดกับอาเซเชียน มันก็ไม่ไหวนะ จากคุณ : CaminoReal - [ 24 เม.ย. 52 13:13:35 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เอา งี้นะ .. ยกตัวอย่าง .. ผม ..  (ผมละกันเผื่อถูกด่าจะได้ลงที่ผม ) ผมทำงานวิจัยซักชิ้นนึง แล้วต้องพึ่งห้องแล็บ พึ่งเงินทุนของ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง.. จริงๆจะว่าไป มหาวิทยาลัยนั้นก็ไม่ได้ช่วยนอกเหนือจากที่ว่าเลย ทั้งความคิดทั้งการดำเนินงานทุกอย่าง ทีมผมทั้งนั้น.. พอได้ชิ้นงาน ที่สะเทือนวงการ (อะไรซักอย่าง) ผมรีบติดต่อสื่อมวลชน เปิดแถลงผลงานวิจัยทันที ด้วยตัวเอง อวดอ้างความเก่งกาจเต็มที่  ( ก็จะทำไมหล่ะมันเรื่องจริงนี่นา) แน่นอนครับ .. ผลงานวิจัยดี ..  มีคนเห็นประโยชน์ .. แต่ .. บางคนคงเหม็นหน้าผมแหละ ..และ .. ผมอาจจะแป็กในบางสายงานได้ เอาใหม่ ... แทนที่จะเปิดแถลงผลงานเอง .. ผม ไปบอกทางมหาวิทยาลัย ให้ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนทำงานแถลงผลงานวิจัย .. ในวันแถลงข่าว แน่นอน ต้องเป็นผม เพราะรู้เรื่องดี วันนั้นผมได้พูดถึงความช่วยเหลือต่างๆของมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่สนันสนุน ทั้งจริงและในนาม ( แต่พูดให้ท่านทั้งหมดดูดี มีอุปการคุณต่องานฯ ) คุณคิดว่า อนาคตผมจะดีกว่าแบบแรกไหมครับ .. นี่ตาหากที่ ผมคิดว่า ตรงกับ..  " ทำดี  แต่ อย่าเด่น " ส่วนกระทู้ที่ลิงค์มา  ผมคงไม่เข้าไปดู เพราะเรื่องราว เต็มๆ ผมไม่มีทางรู้ได้ กลัวตัดสินคนด้วยข้อมูลเอียงๆอ่ะครับ .. ปล. . ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ผมต้องการเด่น หรือเปล่าด้วยนะ ถ้าผมต้องการเด่น ก็ต้องสู้กับภัยที่จะเข้ามาได้ด้วย .. จากคุณ : ทุ่มเท - [ 24 เม.ย. 52 13:14:07 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ต่างประเทศละตัวดี 555+ เรื่องศีลธรรมน้อยกว่าเมืองไทยมาก แต่เค้ามี จารีตประเพณีที่ดี แค่นั้น เรื่องการเข้าสังคม เรื่องของการแต่งกาย อะไรที่มันอยู่ข้างนอก เค้าอุปโลกให้มันดูดีได้หมด ยกเว้นเรื่องของศีลธรรม สู้บ้านเราไม่ได้   บ้านเราเพิ่งจะมา free sex เอาในไม่กี่ปีนี้เอง บ้านเค้า Free มาตั้งแต่สมัยโรมัน ยันทุกวันนี้ พวก Erotic nude ถือเป็นศิลป์ เรื่องฆ่ากันเพราะความดังก็มีมานานหลายยุคหลายสมัย ส่วนที่เค้าดังได้  ผมลองสังเกตุดู ส่วนใหญ่คนดังมักจะตายไปหมดแล้ว ช่วงที่มีชีวิตอยู่มักไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ดังแต่ในวงของเค้าเอง อืม ผมว่า ออกทะเลแล้ว ขอกลับฝั่งแปปครับ จขกท เค้าบอกว่า มันคือ Propaganda  ผมก็ว่าใช่ ในแง่การจัดระเบียบสังคม  คือที่มาพูดๆนี่ เค้าคิดว่า มันคือ Prop นะครับ ไม่ได้มาตีความหมายของตัวกลอน เดี๋ยวจะหลงประเด็นกันไป ขอดึงนิดนึง ทีนี้ผมพูดไปแล้วใน คห. ที่ 44  ว่า ท่านก็เตือนดีๆนั้นละ แต่คนพวกหน้าด้าน- ใจดำ มันไม่สะเทือนแถมเอาไปใช้กดหัวคนอื่นซะอีก  แสดงว่า ตัวกลอนนะมีปัญหา สามารถเป็นอาวุธสองคมได้   สังคม ไพร่ มันมีอยู่จริงครับ ไม่เชื่อ คุณลองพูดดีๆกับคนที่ต่างชั้นกับคุณเยอะๆสิครับ จะรู้สึกแปลกๆ เช่น ไปพูดกับขอทาน  คุณครับ วันนี้สบายดีไม๊ ไม่ก็ พูดจากับคนรับใช้ในบ้าน คุณครับ ผมขอน้ำแก้วหนึ่ง   ไอ้สังคมเช่นนี้ละครับ ที่คอยจะกดหัวคนที่ต่ำกว่า .... บังเอิญ ผมคิดว่า กลอนตัวนี้ คงไม่ได้เอามาใช้ในระดับเดียวกันนะครับ ...รึคุณว่ายังไง จากคุณ : CitizenShip - [ 24 เม.ย. 52 13:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมไม่รู้เจตนาของคนแต่งซะด้วยสิ (แต่ผมคิดว่าท่านเตือนอะไรบางอย่างแก่คนที่ไม่รู้เรื่องราวในสังคมไทย) เลยไม่กล้าวิจารณ์มาก แต่ถ้าอ่านตามที่ จขกท ผมคงคิดว่า กลอนบทนี้ เป็นตัวปลูกฝังค่านิยมที่ผิดให้แก่ผู้คน (อันนี้เห็นด้วยนะ) แต่ผมไม่รู้ว่าผู้แต่งอาจเจอประสบการณ์อะไรมา ถึงมาเขียนเตือนใจคนไทย เราอาจจะยังไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ในสังคมแบบไหนในตอนนี้ จริงคือเท็จ เท็จคือจริง ยังสับสนได้เลย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 13:32:05 จากคุณ : tror ikke det for du se - [ 24 เม.ย. 52 13:26:32 ]

ความคิดเห็นที่ 68 หลวงวิจิตรวาทการ คือใคร? ผมเคยได้ยินชื่อ ก็ตอนก่อนแอดมิชฯ ซึ่งจะเข้าคณะวิทย์ ยังไง้ยังไงก็ต้องอ่านสังคม อ่านไทย เคยได้ยินมาเหมือนกันครับ ที่ว่า"ทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" แต่คุณรู้ไหม ว่าถึงผมไม่ได้ยินคำกลอนนะ ผมก็รู้อยู่จากประสบการณ์ สภาพแวดล้อม ว่าถ้าทำตัวเด่น จะเป็นภัยแก่ตัวเองแน่นอน สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ หลวงวิจิตรวาทการ สร้างค่านิยมผิดๆให้สังคมไทยจริงหรือ มันเห็นเด่นชัดขนาดนั้นหรือว่าหลวงฯทำ แล้วถ้าหลวงฯไม่พูด ผมก็ยังเชื่อนะ ว่าคนส่วนใหญ่ก็รู้่ว่าการทำตัวเด่นจะเป็นภัย ไม่ต้องเฉพาะคนไทยหรอกครับ คนประเทศอื่นๆ คนทั้งโลกก็รู้ คนเราก็มักหมั่นไส้คนอื่นที่ดีกว่า น้อยนักที่จะมีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะอย่างนั้นก็เลยมีธรรมที่มีชื่อว่า พรหมวิหาร4 ไงล่ะครับ ก็ท่านพรหมนั้นหาในโลกนี้ได้ง่ายๆที่ไหนกัน อีกอย่าง ผมไม่ได้อ่านกระทู้ต้นเรื่องหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่าเจ้าของกระทู้กำลังมี prejudice กับหลวงวิจิตรรึเปลา การที่จะบอกว่า คำพูด หรือประโยคใดถูกผิด จำเป็นต้องย้อนไปดูถึงตัวผู้พูดด้วยหรือ(ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลเฉพาะเจาะจง หรือสิ่งเฉพาะเจาะจงอะนะ) จำเป็นต้องดูด้วยหรือ ว่าเค้าทำอะไร องค์กรเค้าเป็นอย่างไร ดำเนินไปในทิศทางไหน เสื่อมเสียมั้ย แค่ประโยคไม่กี่ประโยค จะดูขนาดนั้นเชียวหรือครับ เรามาตีความจากประโยคไม่ดีกว่าหรือครับ แทนที่จะใช้ประวัติบุคคลมาประกอบการตีความ ถ้าอย่างนั้นท่านสุนทรภู่นี่ก็ต้องเป็นอีกเคสนะครับ ติดสุรา นารี ฯลฯ เอิ๊กๆ ซับซ้อน ช่างซับซ้อนเหลือเกิน แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 13:34:25 จากคุณ : Tidal - [ 24 เม.ย. 52 13:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณ คุณ khorbfaa ที่ขยายความให้ค่ะ ^^ เสริมความเห็นส่วนตัวอีกนิดว่า มันอยู่ที่เราจะเลือกด้วย... ทำดีและเด่นให้มากๆ(เพราะเรามีดีเยอะ) ----- คนชื่นชมเยอะ คนเกลียดก็เยอะ ทำดีและเด่นให้กลางๆ(ถึงเราจะมีดีเยอะ) ----- คนชื่นชมไม่เยอะแต่มากกว่าคนเกลียด ทำดีและเด่นให้น้อยๆ(ถึงเรามีดีเยอะ) ----- แทบไม่มีคนชื่นชม และไม่มีคนเกลียด แต่ไม่ได้แสดงความสามารถ กลายเป็นคนสูญเสียความมั่นใจ ไม่ต่อยอด บลาๆ เพราะ มัน นานาจิตตัง เราจะเลือกแคร์คนที่ชื่นชมเรา หรือแคร์คนที่เกลียดอิจฉาริษยา เราดีล่ะ จากคุณ : Choco-Mix - [ 24 เม.ย. 52 13:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เรื่องบางเรื่องถ้าไม่หาตรรกะให้ยุ่งยาก มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ถ้าทุกคน หยิบเรื่องบางเรื่องมาตีประเด็นเสียใหญ่โต ระบบคนในสังคมก็จะวุ่นวาย กลอนของท่าน ไม่ได้บังคับนะครับ เป็นเพียงข้อเตือนใจ แต่ถ้า จขกท. อยากทำตัวเด่นก็ไม่มีใครว่าอะไร ถ้าถูกใจคนทุกคนคุณก็จะไม่เจอคนหมั่นไส้ แต่ถ้าทำตัวเด่นแล้วเจอคนหมั่นไส้ ก็เท่ากับว่า ตรงกับสิ่งหลวงวิจิตรวาทการ ว่าไว้ คำว่าเด่น บางอย่างมันต้องมีกฎเกณฑ์ของคนส่วนรวม หรือ มีเกณฑ์ให้คนในสังคมปฎิบัติตาม หากทุกคนมีกฎ มีเกณฑ์ ของตัวเอง โลกและสังคมก็จะวุ่นวาย เพราะคนเรามีกฎมีเกณฑ์ มีคำว่าดีเลว ไม่เหมือนกัน ** เพิ่มเติมข้อความหน่อยครับ ** แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 13:44:57 จากคุณ : ผมคิดได้แค่นี้ เพราะผมโง่ (ด้านมืดในใจคุณ) - [ 24 เม.ย. 52 13:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เข้ามาอีกที คห 32 น่าจะ ตีโจทย์คุณคลิปแตกนะ จากคุณ : Choco-Mix - [ 24 เม.ย. 52 13:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เหตุไฉนคุณคริปตอมฯ ถึงเอาทัศนคติปัจจุบันไปตัดสินอดีตล่ะครับ หลวงวิจิตรฯ เป็นเครื่องมือของท่านจอมพล ป. ก็จริงอยู่ เพราะสถานณการณ์บ้านเมืองขณะนั้นมันบังคับให้เป็นไป บวกลบคูณหารกันแล้วผมก็ยังเชื่อว่าคุณหลวงวิจิตรฯ เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมืองนะครับ จากคุณ : T7Promoter - [ 24 เม.ย. 52 13:50:08 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ผมมองว่า เห็นสังคมทำให้เกิดบทกลอน ไม่ใช่เห็นบทกลอนแล้วส่งผลต่อสังคม แต่ผมเห็นด้วยนะ ในเมืองไทยเองก็มีเรื่องแบบนี้มาตลอด แปลกๆแหวกแนว ไม่น่าเกิดก็เกิด แถมสังคมส่วนนึงก็แสดงให้เห็นแบบชัดๆ จากคุณ : waphoo - [ 24 เม.ย. 52 13:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ที่หลวงวิจิตรกล่าวไว้ก็จริงนี่ครับ ดูจากตัวอย่างกระทู้หนูดีสิครับ ที่คุณคริบโตยกตัวอย่างมาให้ดูเองนั่นแหละ จริงอย่างที่คุณหลวงเค้ากล่าวไว้หรือไม่ ก็จริงใช่มั้ยล่ะ เริ่มมีคนหมั่นไส้หนูดีแล้ว ทีนี้อีกประเด็นนึง ที่คุณคลิบโตกล่าวหาคุณหลวงว่าสอนไว้ผิดๆ ผมถามจริงๆเถอะครับ ว่า ถ้าคุณหลวงแกไม่แต่งกลอนบทนั้นขึ้นมา                   "ยังจะมีคนเกลียดหนูดีอยู่อีกมั้ย?" หรือว่าจำนวนคนที่หมั่นไส้หนูดีจะน้อยลงหรือ? แสดงว่าเพราะกลอนบทนั้นทำให้มีคนหมั่นไส้หนูดีมากยิ่งขึ้นงั้นหรือ? ก็คงไม่ใช่ เพราะการจะเกลียดจะชอบมันมาจาก ก้นบึ้ง ของจิตใจ สมมติว่าคุณหลวงแต่งกลอนใหม่ว่า   "ถ้าทำดี แล้วไม่เด่น จะเป็นภัย เพราะใครๆ ก็อยากเห็น เราเด่นเกิน" ถ้ากลอนเป็นอย่างนี้แล้วจะทำให้คน ที่หมั่นไส้ หนูดี น้อยลง? ผมมองว่า คุณหลวง  "เข้าใจ" ชีวิตจริงๆครับ สภาพความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้น แล้วแกเอามาทำเป็นกลอนให้คนอื่นได้เห็น เรื่องริษยา ไม่ได้มีแต่สังคมไทยหรอกครับ ฝรั่ง จีน แขก ลาว เขมร ก็ริษยาเป็นกันทั้งนั้น สัตว์ ยังเป็นเลย มันเป็นสัญชาติญาณดิบ ของการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ตะหาก ที่ไม่ให้ใครเด่นดีกว่า  แต่ คน มีกระบวนการคิดที่ลึกซึ้งกว่า ผ่านการกรอง ดังนั้น  คนที่เป็น "มนุษย์" ซึ่งแปลว่าผู้มีใจสูง มนุษย์ที่มีใจสูงย่อมจะไม่มีอคติกับผู้ที่ทำความดีเพื่อคนอื่น ไม่ว่าเค้าจะเด่นหรือไม่ก็ตาม นิยาม อิจฉา แปลว่า อยากได้ดีเหมือนคนอื่น ถ้าคนมีตรงนี้กันเยอะๆ ก็จะมีแรงขับดันให้ตัวเอง ขวนขวาย เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ แต่ไม่ได้คิดร้ายกับคนที่เค้าได้ดิบได้ดี เพียงแต่อยากมีมั่งเท่านั้นเอง อิจฉาจึงไม่ใช่นิสัยที่ไม่ดีในสายตาผม ริษยา แปลว่าไม่อยากให้คนอื่นได้ดี   อันนี้ เป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยครับ จากคุณ : interceptor - [ 24 เม.ย. 52 13:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เหอ ๆ อ่านแล้วผมว่า จขกท สับสน กลอนบทนั้นแค่สะท้อนให้เห็นสันดานของคนในสังคม ไม่ได้เป็นการเสี้ยมให้สังคมอิจฉาคน แต่เป็นการเตือนใจถ้าทำอะไรเด่นเกินจะถูกการเมืองเล่นงานเอา คุณควรจะด่าสังคมมากกว่า ที่คอยอิจฉา คอยจับผิด นินทาคนที่เด่น เหมือนคุณส่องกระจกแล้วเห็นสิ่งที่ไม่พอใจ ก็ดันไปทุบกระจกซะงั้น แทนที่จะไปแก้ไขในสิ่งนั้น ๆ จากคุณ : Nobody I am - [ 24 เม.ย. 52 13:55:49 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เข้ามาอีกรอบ  อ่านซะมึนเลยครับ อิอิ แต่จำได้ว่าอาจารย์เคยบอกไว้ว่า เวลายุ่งกับประวัติศาสตร์ อย่าเอาปัจจุบันไปตัดสินอดีต ให้เอาอดีตไปตัดสินอดีต เพราะเราไม่ได้อยู่ร่วมยุคด้วย  เหมือนเวลาเราอ่านหนังสือเรื่องนึงแล้วมีอารมณ์ร่วมไปด้วย พอปิดหนังสือ ก็คือจบ อ่านไปอ่านมา นึกถึงกลอนนี้ครับ อันนินทากาเลเหมือนเทกรวด  มันไม่ปวดเหมือนเอามืดไปกรีดหิน แม้แต่องค์ปฏิมายังราคิน        คนเดินดินไหนจะสิ้นคนนินทา เข้าเรื่องกับเขาไหมเนี่ย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 14:35:40 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 14:18:27 จากคุณ : เจ้าชายโดดเดี่ยว - [ 24 เม.ย. 52 14:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 77 "จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย"  ในความคิดผม อ่านยังไง ผมก็เข้าใจว่าท่านหลวงฯ ท่านเตือนว่า เก่งได้ ดีได้ แต่อย่า "อวดดี อวดเก่ง" ก็แค่นั้น จากคุณ : doublebeau - [ 24 เม.ย. 52 14:19:58 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ผมตีความออกมาเป็นแบบนี้ครับ "จงทำดีแต่(อย่าทำตัว)เด่น จะเป็นภัย" ภาษากลอนมันมีข้อจำกัดทางจำนวนคำ สัมผัสอยู่ครับ จะให้ทุกๆท่อน ทุกๆบทมีใจความชัดใจนในตัวเป๊ะๆแบบ journal ก็เป็นไปไม่ได้ บางความหมายจึงถูกรวบเข้ามาด้วยการตัด prefix, suffix, ส่วนขยายเนื้อหาออกไป ทำให้เวลาอ่านต้องใช้การตีความเยอะครับ แล้วมีโอกาสที่จะตีความไม่เหมือนกันเกิดขึ้นตามมาด้วย แล้วส่วนตัวก็เคยเจอแบบนี้มาเหมือนกัน มีเพื่อนคนนึง ยอมรับครับว่ามันเก่ง แต่ชอบโอ้อวดตัวเองเหลือเกินว่ามันเก่ง ทำนู่นทำนี่ได้หมด ชอบมาสอนคนอื่นที่ยังทำไม่ได้ แล้วบอกว่า "เนี่ยง่ายๆเอง ทำไม่ได้เหรอ" (ผมกับเพื่อนอีกกลุ่มนึงก็ทำได้เหมือนมันแหละ แต่ไม่ได้โฆษณาตัวเองว่าตูเก่งนะโว้ย) พอมาครั้งหนึ่ง เจอโจทย์ปัญหาข้อใหม่มา ก็มาคุยอีกว่าต้องทำแบบนู้นนะแบบนี้นะ พวกผมเลยลองถามไล่ไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าถามไปถามมาแนวคิดที่มันบอกมาน่ะใช้ไม่ได้ผล หา solution ไม่ได้ แล้วมันก็ยังไม่ยอมรับอีก... ทั้งๆที่หน้าแหกไปแล้ว แบบนี้ก็เข้าเค้าเหมือนกัน แต่ว่าเป็น "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะแพ้ภัย(ตัวเอง)" จากคุณ : Go-Kung - [ 24 เม.ย. 52 14:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 79 #76 เคยได้ยินแต่ อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องพระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 24 เม.ย. 52 14:30:41 ]

ความคิดเห็นที่ 80 สมมติผมเป็นนักเรียนที่ดี ยกมือถามครูในห้อง แต่ก็จะโดนเพื่อนไม่ชอบ (เด่น) ถามว่าการแก้มุมมองของห้องว่านั้นคือสิ่งดี ควรทำ และเราน่าจะทำได้บ้าง กับการแก้ว่าให้ไปหลบถามเวลาอื่น อย่างไรน่าจะส่งที่ดีต่อสังคมห้องได้ดีกว่ากันครับ การทำดีมันเห็นเด่นอยู่แล้วครับ ช่วยคนแก่ข้ามถนน ถามในห้อง ปฏิบัติตามกฏจราจร หยุดรถให้ทางม้าลาย ฯลฯ น่าจะช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ครับ ป.ล. ผมเห็นยังมีการทำเด่น เรื่องอื่นๆเลย เช่นเปลี่ยนสีผม ใส่เสื้อผ้าแปลกๆหรือน้อยๆ ลองเปลี่ยนมาทำเด่นด้วยความดีมั้งไหม จากคุณ : KL - [ 24 เม.ย. 52 14:36:42 ]

ความคิดเห็นที่ 81 สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความขอรับ "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" จริงๆ นะ ~ เทพมังกรอวยชัย เอนมา เอนมา ~ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 14:39:57 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 24 เม.ย. 52 14:37:21 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เอาแค่ในหน่วยราชการครับ......ตามในกลอนเป๊ะๆ....... เด็กใหม่สอบได้ พึ่งบรรจุ โดนเขม่นมาเลย...... ในกลอนที่บอก ถ้าพูดกันตรงๆ..... "มันเป็นเรื่องของพวกที่ไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง แล้วเจือกไปอิจฉาคนที่เก่งกว่าตัวเอง แล้วไม่เคยหันมามองตัวเองเลยว่า มรึงทำอะไรอยู่......" ทำดี ทำเด่น จะเป็นภัย ผมสนับสนุนเลย ในองค์กร บริษัท ชอบนักแล ถ้าผมเป็นเจ้าขององค์กร ผมไม่ชอบเหรอ ลูกน้องเก่งๆไว้ใช้งาน รึจะเอาพวกขี้อิจฉาแล้วไม่ทำอะไรแม้แต่การพัฒนาศักยภาพตนเอง (คอยแต่อิจฉาคนอื่นทั้งที่ตัวเองทำไม่สู้เค้า) สรุปนะครับ ผมไม่เชื่อกลอนนะ.......และผมสนับสนุนคนเก่งให้มีที่ยืนในสังคนและหน่วยงาน....... แค่นี้ก็พอแล้วครับผม..... จากคุณ : Sakurachan (Tomoeda) - [ 24 เม.ย. 52 14:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ^  คห 79 ^ ^ ^ ใช่ครับๆ  อันนี้แหละ  อิอิ   ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลยผม ผมคิดอยู่ตั้งนานว่ามันอะไรน้าาาาาา จากคุณ : เจ้าชายโดดเดี่ยว - [ 24 เม.ย. 52 14:39:44 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อ่านเยอะ ตาลาย - -* แต่ สังคมไทยนี่แปลก อย่างนะครับ ใครทำดี (ไม่ต้องโอ้อวดว่าตัวเองทำดีหรอก) คนที่ชื่นชม มีน้อยเท่าหยิบมือ ไม่ต้องไปไหนไกล สื่อต่างๆ นี่แหละ ข่าว ชื่นชม ความสามรถคนไทย ที่จะไปละหน้า 1 ได้นานทีปีหน จึงจะได้เห็น แล้วมี ก็มีเป้นกรอบเล็กนิดเดียว แต่ไอ้โจรโรคจิต ฆ่าคนตาย ดาราผ้าหลุด ดาราเลิกกัน หน้า 1 ช่องเดียวล่อไปเกือบครึ่งหน้า เจอแบบนี้ทุกๆวัน คนไทยเลยสะสมเอาความรู้สึกที่ว่า ใครทำดีแล้วเด่นกว่า มันเลยกลายเป็นเรื่องประหลาด จนพาลให้คนอื่นเค้าหมั่นใส้เอามากกว่า ถ้าไม่เชื่อ ลองถามใจตัวคุณๆเองก่อน ว่าถ้ามีคนที่เราไม่ชอบหน้า เค้าทำความดีช่วยเหลือสังคม คุณจะยกย่องเค้าให้เหมาะสมกับที่เค้าทำความดีเอาไว้ไหม จากคุณ : vn, man - [ 24 เม.ย. 52 14:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 85 สิ่งที่ท่านพูดนี้คือคำเตือนนะครับ ไม่ใช้ค่านิยม และท่านก็พูดถูกจริงๆครับ จากคุณ : onerror - [ 24 เม.ย. 52 14:45:39 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เห็นด้วยกับจขกท.นะครับ ประเทศนี้มีวัฒนธรรมหลายเรื่องที่เป็นตัวถ่วงต่อการพัฒนาประเทศ ความริษยาก็เป็นหนึ่งในนั้น ... กลอนบทที่ว่ามันจริงสำหรับสังคมไทยก็จริง แต่หากคนทุกคนมองว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา และไม่คิดจะขัดแย้ง หรือทำอะไรให้ดีขึ้น สังคมไทยก็จะยังเต็มไปด้วยความริษยาตลอดไป ขอยกมาอีกครั้ง 2 วรรคสุดท้าย                         จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย                         ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน ผมคนหนึ่งที่ชอบเห็นคนอื่นเด่นกว่าตัวเอง ผมชอบที่จะอ่าน ฟัง แล้วคิดตามว่าคนเก่งๆเหล่านั้น เค้ามีวิธีการ หรือแนวคิดอะไรที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จ นึกถึงเวลารุ่นพี่ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ กลับมาแนะแนวน้องๆที่โรงเรียน "พี่ติดแพทย์ค่ะ" "พี่ติดวิทยาศาสตร์ครับ" ผมไม่สนหรอก ว่าพี่ติดอะไร ที่ไหน ผมสนว่า พี่มีวิธีการอ่านหนังสือยังไง มีแนวคิดหรือวิธีในการเลือกคณะยังไง                         จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย                         ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน มันคอยฝังหัวดำๆของคนไทยมาเรื่อยมา ทำให้เราไม่มีวันได้ยินจากปากพี่ๆว่า "พี่เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่ ม.4 เลยค่ะ" "พี่ทำโจทย์ฟิสิกส์ 15 ปีครับน้อง" หากแต่ได้ยินประโยคเดิมๆว่า "พี่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไรค่ะน้อง มันฟลุ๊ค" "พี่ไปติวที่xxx แล้วบังเอิญข้อสอบออกตรงพอดีครับ" ok ชัดเจน กลอนบทนี้อาจจะไม่ถึงขั้น propaganda ให้สังคมห่วยแตกซะทีเดียว แต่มันก็สามารถสร้าง negative feedback ได้ตลอดครึ่งศตวรรษ และอาจตลอดไป จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 24 เม.ย. 52 14:47:38 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ต้องบอกว่า "ทำดี" อย่า "อวดดี" จากคุณ : สมบัติดี - [ 24 เม.ย. 52 14:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ว่ากันตรงๆคือผมไม่สนครับ ผมเก่ง ผมก็ต้องเด่น ผมไม่เด่นก็โตไม่ได้ คุณไม่อยากให้ผมเด่น ก็ไล่จี้ หรือแซงผมไปให้ได้สิ แจ็คเวลล์ บอกว่าวิธีก้าวหน้าที่ดีที่สุดคือเอาตัวเข้าจอเรดาห์ ของผู้บริหารระดับสูง แต่ถ้าผู้บริหารระดับสูงมันงี่เง่า บริษัทนั้นไม่มีค่าให้ทำงานด้วย บริษัทที่การเมืองมาก่อนความสามารถ ในระยะยาวมันล้มเองอยู่แล้ว กลอนบทนี้ สะท้อนสังคมไทยมากๆ และเป็นค่านิยมที่ผิด และต้องแก้ไข คนในองค์กร ไม่ได้แข่งกันเอง แต่แข่งกับองค์กรอื่น คนในไทยไม่ได้แข่งกันเอง แต่แข่งกับประเทศอื่น ถ้าเตะตัดขากันเอง ก็กดหัวจมปลักกันเองทั้งหมดนั่นละครับ คนที่ไม่อยากเห็นคนอื่นเด่นเกิน ควรจะโดนกำจัดทิ้งด้วยซ้ำ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 24 เม.ย. 52 14:59:46 ]

ความคิดเห็นที่ 89 กลอนบทนี้เขียนได้ดีมีความหมายแล้วครับ เพราะโลกนี้มีแต่อำนาจ ไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย หากไม่รู้จักงำประกายไว้บ้าง ก็คงไม่อาจมีชีวิตได้ยืนยาวเป็นแน่แท้... จากคุณ : Generals - [ 24 เม.ย. 52 15:01:25 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ผมเชื่อตลอดมาว่าผมเป็นคนขี้อิจฉา แต่เป็นคนไม่ค่อยริษยา ผมอยากมีแบบคนอื่น แต่ก็ไม่คิดขัดขาคนอื่น มันเก่งกว่า ก็อยากเก่งบ้าง อยากเก่งก็ต้องขยันเพิ่ม อ่านหนังสือเพิ่ม คนอิจฉาที่ไม่ริษยา จะมีความก้าวหน้าในโลก คนไม่อิจฉา และ ริษยา จะมีความสุขตามอัตภาพ คนริษยา จะไม่ได้อะไรเลย นอกจากไฟเผาใจตัวเอง คนเก่งจริง คนริษยาคนเดียว เลื่อยเก้าอี้เขาไม่ร่วงหรอก จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 24 เม.ย. 52 15:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 91 งั้นเรื่อง ปิดทองหลังพระ ก็ไม่ควรทำใช่มะ ?? จะตำหนิด้วยป่ะ ???? จากคุณ : SE7EN - [ 24 เม.ย. 52 15:10:01 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เราว่าบทนี้ ไม่ได้ต้องการจะให้คนไม่พัฒนา แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าคนอิจฉาไม่ควรเปลี่ยนนิสัยนะคะ .... แต่หมายถึงว่าเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ (เราไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าพัฒนาจิตใจตัวเองแค่ไหน และเค้าอยากพัฒนาจิตใจตัวเองแค่ไหน) ที่เราควรทำ คือ เอาตัวให้รอดในสังคมแบบนี้ต่างหากค่ะ อย่างที่บอกว่า รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี เพราะที่เห็นในสังคม ฉลาดมากๆ แต่ต้องตายด้วยความไม่เป็นธรรมก็เยอะ ปล. ตอนแรกเราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากค่ะ แต่ตอนทำ Thesis เจอกับตัวเองเลยทีเดียว ที่บ้านก็พูดขึ้นมา ซึ้งเลยทีเดียว ...... แถมคนบางคนยังทำให้เราสงสัยอยู่เลยว่าเค้าเชื่อในความดีไหม จากคุณ : Pam - [ 24 เม.ย. 52 15:12:03 A:124.122.185.109 X: TicketID:201107 ]

ความคิดเห็นที่ 93 คห.16 ของคุณ จขกท ขอให้ลองพิจารณาดูว่า เราควรจะสอน ไม่ให้คนอิจฉา หรือ ไม่ให้คนทำตัวดีเด่น ----------------------------------------------- ตรงนี้ก็ต้องมองครับว่า หลวงวิจิตร ได้เขียนกลอนบทอื่นที่สอนไม่ให้คนอิจฉาหรือไม่ เพราะคงจะยากหากต้องสอนหลายๆหัวข้อในกลอนที่คุณยกมาเพียงบทเดียว หากหลวงวิจิตร มีบทกลอนบทอื่นที่สอนไม่ให้ไปอิจฉาคนอื่นจริง ผมก็คิดว่ากลอนที่สอนไม่ให้ทำตัวเด่นนั้นเหมาะสมดีครับ เนื่องจากมีการสอนทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งไม่ให้อิจฉา และ ไม่ให้ทำตัวเด่น หากใครเคยเห็นกลอนที่สอนไม่ให้คนอืจฉา ช่วยนำมาลงด้วยครับ จากคุณ : หมีอ้วนนอนม้วนตัวกลม - [ 24 เม.ย. 52 15:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ยาวไป ยาวไป จากคุณ : Choco-Mix - [ 24 เม.ย. 52 15:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 95 มันเป็นความจริงของสังคมไทยนี่ครับ ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกหรือลึกลับซะที่ไหน หลวงฯ แค่เอามาเขียนสอนให้คนอ่านเ้ข้าใจ รู้สึกตัว และ ระวังตัวเอง ตำรวจตงฉิน ปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดนยิงตาย ตำรวจทางหลวง เปิดโปงส่วยทางหลวง โดนยิงตาย ชาวบ้านบอกตำรวจเรื่องค้ายาบ้า โดนฆ่ายกบ้าน ฯลฯ นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยที่เราเห็นกันจนชินตาในประเทศนี้..... ทำดีได้ แต่อย่างเด่น จะเป็นภัยแก่ตัว   มันคือสัจธรรมน่ะครับ ไม่สามารถหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงได้ อยู่ในองค์กร , บริษัท , ราชการ  ถ้าใครเก่ง หรือ ดี จะโดนกลั่นแกล้ง เอาเปรียบ รังแก กดหัว ไม่ได้ผุดได้เกิด ใครๆก็รู้... เพื่อนพ่อผม เป็นทหารตงฉิน ไม่คดโกงไม่รับเงินใต้โต๊ะ ทุกวันนี้ยังโดนดองยศแค่ พันเอก ในขณะเพื่อรุ่นเดียวกัน ไประดับ พลโท พลตรี กันหมดแล้ว ตัวอย่างอย่างๆ ก็เห็นกันชัดๆ แล้วนี่ครับ ใครทำดี ใครพัฒนา ใครก้าวหน้า ฯลฯ จะต้องมีพวก อนุรักษ์นิยม เต่าล้านปี เสียผลประโยชน์ มาทำลาย มาขัดขวางซะทุกที ประเทศไทย ถึงได้ไม่พัฒนาซะที เพราะคนเก่งๆ ไม่กล้าทำงานเพื่อสังคม จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 24 เม.ย. 52 15:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 96 กรณีหนูดี เค้าอวดความเก่ง ไม่ใช่อวดความดีนี่นา สิ่งที่จขกท.ต้องการจะสื่อก็คือ "ควรสอนให้คนไม่อิจฉาคนอื่น ไม่ใช่สอนคนอย่าตัวตัวให้คนอื่นอิจฉา" จากคุณ : thelegendary - [ 24 เม.ย. 52 15:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 97 หลวงวิจิตรวาทการ เดิมชื่อ กิมเหลียง จากคุณ : นายผี (สระนาฬิเกร์) - [ 24 เม.ย. 52 15:39:33 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ผมนึกถึงกระทู้อัจฉริยะ ที่เคยเป็นกระทู้แนะนำน่ะครับ สังคมไทยไม่เหมาะจริงๆ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 15:58:51 จากคุณ : หากวันนี้ไม่ได้มีแค่ 24ชั่วโมง - [ 24 เม.ย. 52 15:56:10 ]

ความคิดเห็นที่ 99 กลับมาดูอีกครั้ง ใช้คำพูดแรงไป ขออภัยด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 16:42:48 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 24 เม.ย. 52 16:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ครบ 100 แล้ว สมควรแก่เวลา จากคุณ : ผู้ศึกษา - [ 24 เม.ย. 52 16:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 101 กรี๊ดดดดดดด.... ทำไมกลับมาอ่านแล้วมันยาวขนาดนี้!!! จขกท.ขอสารภาพว่าไม่ได้อ่านทุกความเห็นอย่างละเอียด ได้แต่อ่านพอคร่าวๆครับ (แต่อ่านทุกคห.นะ) แต่ต้องขอชื่นชมทุกความคิดเห็นทั้งห็นด้วยและเห็นแย้ง ทุกคนแสดงความเห็นออกมาได้ดี มีความแตกต่างหลากหลาย แต่ไม่มีแบ่งแยก จขกท.ขอบคุณจากใจจริงที่ทุกท่านมาแสดงความเห็นดีๆอย่างนี้ร่วมกัน อนึ่ง พอกลับมาอ่านรู้สึกว่าตั้งชื่อกระทู้แรงไปหน่อย ต้องขออภัยผู้อ่านและหลวงวิจิตรวาทการ (ถ้าท่านอยู่บนฟ้าลงมาได้ยินอาจอยากนึกเขกกระโหลก) มา ณ ที่นี้ จขกท.คงไม่มีเวลาอ่านอย่างละเอียด ณ นาทีนี้เนื่องจากเดี๋ยวต้องไปอยู่เวรโรงพยาบาลแล้วครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 16:12:56 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ^ ^ ^ ^ นึกไว้ตอนเช้า ว่าคอยดูนะ พอพี่คริปกลับมา หว้ากอแทบแตก ที่ไหนได้ ฮากว่าเดิม 5555 จากคุณ : เจ้าชายโดดเดี่ยว - [ 24 เม.ย. 52 16:19:33 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ไปไหนกันดีหว่า ร้อนน~ จากคุณ : Put'me - [ 24 เม.ย. 52 16:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ผมอาจจะ(บังอาจ)ไปตำหนิหลวงวิจิตรวาทการด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ความจริงท่านอาจจะไม่ได้ prop คนไทยก็ได้ ท่านอาจต้องการสื่อสัจธรรมแท้จริงในโลกมนุษย์นี้ ขอยืนยันว่าจขกท.ไม่ได้มี bias อะไรกับคุณหลวงฯ ตรงข้ามกัน นับถือในคุณงามความดีหลายอย่างที่ท่านทำ กลอนบางบทของท่าน จขกท.ก็นำมายึดถือใช้ในชีวิตประจำวัน (ดูในบล็อกได้) แต่กลอนบทในกระทู้เท่านั้นที่ออกจะยอมรับไม่ได้ และเป็นบทกลอนที่มีผลกระทบต่อสังคมไทยจริงๆ สังคมไทยกดหัวคนเก่งจริงๆ แต่อย่างว่า คนจะแปลความในแง่บวกก็ได้ แปลในแง่ลบก็มี และที่จขกท.ประสบมาส่วนใหญ่ก็เจอพวกที่แปลในแง่ลบ กลอนนี้เหมือนดาบสองคม ต้องไปอยู่เวรจริงๆแล้วล่ะ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 16:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ^ เตรียมฝีพายแล้วครับกัปตัน จากคุณ : tror ikke det for du se - [ 24 เม.ย. 52 16:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 106 #99 ปัญหาจะเกิดว่า ทันทีที่ทำดี คุณก็เด่น แล้วก็โดนเขม่น ไปเรียบร้อยแล้ว คนจะโดนจ้องจับผิด แปะทองหลังพระก็โดนครับ วันที่โดนก็คือวันที่มันลามมาหน้าพระนั่นแหละ เพราะวันนั้นน่ะ "เด่น" แล้ว ผมคิดว่า ทำดีไปเรื่อย ถ้าเด่น ก็ยอมเด่น ถ้าไม่เด่น ก็ไม่ต้องไปเสนอหน้าให้เด่น  นี่คือมุมมองกลางๆ มุมมองสุดขั้ว ทำดี ต้องเด่น แล้วท้าให้คนอื่นมาเด่นแข่ง สังคมจะก้าวหน้าเพราะทุกคนแข่งกันทำดี ส่วนพวกเตะตัดขา ไล่ออกได้ไวเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 24 เม.ย. 52 16:40:15 ]

ความคิดเห็นที่ 107 #106 เข้าใจผิดประเด็นอีกแล้วค่ะ   เสียดายที่ลบความเห็นไปก่อน ยังไม่ได้อ่าน #106   คนดีๆเค้าไม่มานั่งเขม่นกันแบบนี้หรอกค่ะ เสียเวลา รู้สึกความเห็นจะไม่เหมือน #88 นะ พิมพ์ผิดสองรอบ คือจะบอกว่า #88 มองสุดขั้วเกินไป ถ้าความคิดแบบกลางๆนั้นดีอยู่แล้วค่ะ เห็นด้วย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 16:50:45 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 16:49:29 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 24 เม.ย. 52 16:49:03 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ^- พื้นฐานผมเป็น 88 นะ จริงๆไม่ต้องลบก็ได้ ผมถือว่าเป็นเรื่องอภิปรายกัน เพราะจะว่าไปนี่คือจุดปะทะของปรัชญาตะวันออกกับตะวันตก(สังเกตว่าผมอิง แจ็คเวลล์) ผมไม่้ค่อยสนเรื่องโดนเขม่นเท่าไหร่ เพราะงั้น ถ้ามีผลงานผมประกาศครับ  เขม่นได้เขม่นไป ถ้างานดีพอ เข้าตานา่ย ผมก็รุ่งก่อน จริงๆผมว่ามันขึ้นกับว่า คุณแคร์ สายตาชาวบ้านเท่าไหร่ด้วย(พอดีไม่แคร์) จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 24 เม.ย. 52 17:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เอกสารน่าอ่านชุดนึงคือ ลงหลักปัญญาภูมิ (Homesteading the Noosphere) ของ Eric Steven Raymond ซึ่งอธิบายวัฒนธรรมของชุมชนโอเพ่นซอร์ส และองค์ความรู้รวมของสังคม ซึ่งมีหลักง่ายๆคือ ประกาศงานที่ทำ อย่าโจมตีคนอื่น ดูที่งาน แก้ที่งาน ติที่งาน อย่ายุ่งกับคน แล้วลงท้าย ค่าของคน จะอยู่ผลของงาน ไม่ใช่ว่างานของใคร หรือว่ามันเด่นรึเปล่า http://linux.thai.net/~thep/catb/homesteading/ น่าอ่านมากๆ :D จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 24 เม.ย. 52 17:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ถอน สมอได้เลยมั้ย กัปตัน^^'' อุ๊ยเลขสวย ^o^ แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 52 08:48:06 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 17:09:55 จากคุณ : Choco-Mix - [ 24 เม.ย. 52 17:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ท่าน จขกท. ไม่ bias ต่อคุณหลวง แต่ผมนั้น bias กับคุณกิมเหลียง คนนี้พอควร โดยเฉพาะการสร้างรูปแบบของรัฐสยามจาก ต่างชาติต่างภาษาล้วนพึ่้งพาพระบรมโพธิสมภาร ไปเป็นแบบ "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" อย่างไรก็ดีสำหรับกลอนบทนี้ ผมเห็นว่า คุณกิมเหลียง แกก็เขียนด้วยสามัญสำนึกที่สังคมในยุคนั้นได้หล่อหลอมแกมา เพราะงั้นคุณกิมเหลียงที่มีความรู้มาก ๆ พูดได้หลายภาษามาก ๆ จึงไม่ทำตัวเด่น แต่ยกงานผลงาน ยกความคิดต่าง ๆ ให้ท่านแปลกไป เนี่ย conspiracy ตัวจริงครับ จากคุณ : @power - [ 24 เม.ย. 52 17:13:05 ]

ความคิดเห็นที่ 113 "สองคน ยลตามช่อง      คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม      อีกคน ตาแหลมคม      เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย" คุณ Cryptomnesia ถูกต้องในมุมมองนั้น แต่ผมเห็นต่างกัน ภาษิตที่ยกมาในหัวข้อกระทู้ ผมเห็นว่าเป็นภาษิตที่แหลมคมที่สุดอันหนึ่ง และออกจากสมองที่ยอดเยี่ยมประกอบกับประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน ใครเห็นข้อดีในภาษิตนั้นก็เก็บไปใช้ ใครเห็นข้อเสียก็อย่าทำตาม ถูกทั้ง 2 มุมมอง จากคุณ : ช า ติ - [ 24 เม.ย. 52 17:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 114 เป็นครั้งแรกที่ผมไม่เห็นด้วยกับคุณขลิบนะเนี่ย คุณขลิบไปเข้าใจว่า กลอนของหลวงวิจิตรฯมีอิทธิพลต่อสังคมไทย ผมว่ามันกลับทางกันต่างหาก สังคมไทยมันเป็นอย่างนี้ คุณหลวงแกถึงเขียนกลอนนี้ออกมา มันเป็นกระจกเงาสะท้อนสังคมมากกว่าที่จะชี้นำ ก่อนที่คุณหลวงจะเขียน มันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ย้อนไปถึงสมัยอยุธยา สุโขทัย ก็เป็นอย่างนี้ ไม่งั้น ศรีปราชญ์จะตายหรือ หมาย่าเหล ก็ยังไม่รอด ไม่เหมือนเรื่องประวัติศาสตร์ไทยฉบับหลวงวิจิตร หรือนิยมไทยฉบับหลวงวิจิตร อันนั้นมัน propaganda โดยแท้ อีกประการหนึ่งก็ตามที่หลายคห.พูดไว้ การตีความข้อเขียนบางอัน จะต้องเอาบริบททางสังคมสมัยนั้นมาประกอบด้วย ถ้าเอาแต่บริบทปัจจุบันไำปจับ มันก็จะเกิดความคลาดเคลื่อนได้มาก จากคุณ : alan the lamb - [ 24 เม.ย. 52 17:37:38 ]

ความคิดเห็นที่ 115 สถานการณ์แต่ละสถานการณ์มีความแตกต่างกันออกไปนะครับ    ...  อะไรที่ใช้ในสถานการณ์หนึ่งๆ อาจจะใช้ไม่ได้ในสถานการณ์หนึ่งๆ ก็เป็นได้... น้ำขึ้นให้รีบตัก  กับ  ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม  สุดที่จะขัดกัีนเลยครับ  แต่ว่าทั้งสองอันนี้  ก็ได้ถูกใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างๆ กันออกไป  ใช่ไหม ตามประวัติศาสตร์  จะพบว่า ยอดฝีมือ+ผู้มีความสามารถหลายๆ ท่าน  ไม่ได้แสดงตัวว่าเด่น+เก่งมาตั้งแต่แรก  แต่ภายหลังก็ได้โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์หลายๆ ท่านด้วยกัน   ส่วนตัวคิดว่า  คนไทยหลายๆ คนไม่ได้ทำตามกวีที่คุณ จขกท. ยกมาซะด้วยซ้ำ     :) จากคุณ : goddance - [ 24 เม.ย. 52 17:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยเพื่อเตือนสติ มองไปแล้ว  คนไทยนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ - - จากคุณ : ฟินจัง - [ 24 เม.ย. 52 17:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 117 มองอะไรด้วยอคติมากไปหรือเปล่า อีกอย่างกลอนนี้ไม่ใช่กฎหมาย ไม่ได้บังคับให้คนทุกคนต้องทำตาม ... หัวกระทู้แรงเกินจริง ๆ จากคุณ : high_voltage_XL - [ 24 เม.ย. 52 17:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 118 น้ำขึ้นให้รีบตัก อันนี้ผมตีความว่าถ้าเห็นโอกาสให้รีบทำครับ อันนี้มีเรื่องเวลามาเกี่ยวครับ น้ำขึ้นเท่านั้นถึงจะรีบตักได้ ถ้าน้ำลงแล้วจะตักก็ยากครับ ส่วน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม อันนี้ผมตีความว่าถ้าทำงานอะไรไม่ควรรีบร้อนทำ ให้ค่อยๆ ทำแล้วงานจะออกมาดี อันนี้จะตีพร้าตอนไหนก็ได้ครับ อยากจะตีตอนเช้า ตอนเย็นได้ทั้งนั้น สองสุภาษิตนี้ไม่ขัดแย้งกันครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ - [ 24 เม.ย. 52 18:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 119 เข้ามาเบิ่ง.......... .......ป้าดๆๆๆๆๆๆๆๆ......(ไม่ใช่เสียงตดนะ)...... จากคุณ : ไร้สาระคุง - [ 24 เม.ย. 52 19:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ผมมอง "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" ไว้ในสองลักษณะครับ - ลักษณะแรก ทำอะไรสักอย่างที่ดี แล้วทำตัวเด่นโดยตั้งใจ โดยไม่สนใจรอบข้าง รังแต่จะโดนอิจฉา หมั่นไส้ ริษยาครับ โดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ชอบเห็นใครเด่นเกินหน้าตนเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าอยู่ในวงสังคม สายงานเดียวกัน เมื่อเราเด่นขึ้นมา เราเห็นเขายิ้มแย้มเข้ามาจับมือแสดงความยินดี เราก็ไม่อาจรู้ได้ในจิตใจเขาว่าเป็นเช่นไร จริงไหมครับ - ลักษณะที่สอง ตั้งใจทำดี แต่เด่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เด่นโดยมีผู้ประกาศให้รับรู้ ลักษณะนี้ก็โดนอิจฉาได้เช่นกัน เข้าข่ายในลักษณะแรก คือ โดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ชอบเห็นใครเด่นเกินหน้าตนเอง ยกตัวอย่างเช่น แท็กซี่เก็บกระเป๋าเงินของชาวต่างชาติได้ ตั้งใจและบริสุทธิ์ใจที่จะประกาศหาเจ้าของ สุดท้ายได้รับการประกาศเกียรติคุณ คิดว่าในมนุษย์ 100 คน จะมีคนที่ยินดีและบริสุทธิ์ใจต่อแท็กซี่คนนั้นครบทั้ง 100 คนไหมครับ ผมว่าไม่แน่นอน อาจจะมีส่วนหนึ่งคิดว่า เฮ้ย ทำเอาหน้าหรือเปล่า เพราะถ้าไม่เอาไปคืน โดนจับได้ ก็ซวย สู้เอาไปคืน เผื่อได้เงินรางวัลดีกว่า ได้หน้าด้วย โดนตั้งธงแบบนี้ โดยที่แท็กซี่คนนั้นไม่ได้มีเจตนาดังที่บางคนใน 100 คนกล่าวหา ก็เข้าข่าย "จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" อยู่ดี ใช่ไหมครับ ผมเห็นตามคุณ Crypฯ ส่วนที่ว่า "เพราะคิดกันแบบนี้ ประเทศถึงไม่เจริญ มีคนเก่งต้องคอยกดหัวเอาไว้อย่าให้เผยอ คนเก่งคนฉลาดต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่าทำตัวเด่น อย่าเสนอหน้า คนเขาจะหมั่นไส้และโจมตี เหยียบเราให้มิด เป็นอย่างนี้มันทุกองค์กร" แต่ขอแย้งเรื่องการตำหนิท่านหลวงนะครับ สังคมเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ตามที่คุณ Crypฯ ว่าไว้ในประโยคบนที่ผมยกอ้างมา ผมเองก็ปวดใจเหมือนกันนะครับที่มนุษย์เราซึ่งอ้างว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงซึ่งเจริญแล้วแต่่กลับมาความอาฆาตมาดร้ายต่อมนุษย์ร่วมสังคมด้วยกันเอง เมื่อเห็นคำที่ท่านหลวงฯกล่าวมาดังนี้ ก็ต้องย้อนกลับมาดูพวกเรากันเองแล้วละครับว่า ทำไม ท่านหลวงฯถึงได้แต่กลอนบทนี้ขึ้นมา จากคุณ : GT4Max - [ 24 เม.ย. 52 19:39:31 ]

ความคิดเห็นที่ 121 กลับมาอีกที ทำไมหลายคนชอบว่าเมืองไทยนักไม่รู้ เคยลองอยู่ ลองทำงานต่างประเทศกันหรือยังคะ หรืออะไรก็ด่าเมืองไทยไว้ก่อน เราว่าไม่ใช่แค่ในสังคมไทยนะคะ ใช้ได้มาทั้งในอดีต ใครนะที่ประกาศว่าโลกกลมแล้วศาสนจักรจับไปฆ่า .... ส่วนที่อเมริกา แน่ใจหรือคะเค้ายอมรับคนเก่งจริงๆ พ่อเรามีเพื่อนคนนึง จบการเงินยูท๊อป 5 แล้วทำงานในอเมริกา เงินเดือนเยอะมากๆ แต่บอกกลับเมืองไทยดีกว่า เพราะฝรั่งเพื่อนร่วมงานไม่มีความสุขนักที่เห็นเอเชียฉลาดกว่า .... ไอ้โรคอิจฉา ชิงดีชิงเด่น มันไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติหรือประเทศหรอกค่ะ จากคุณ : Pam - [ 24 เม.ย. 52 20:13:08 A:124.122.185.109 X: TicketID:201107 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ถ้ารักเมืองไทยมาก ช่วยแปลpropaganda เป็นไทยให้ผมที ผมไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร จากคุณ : ร้อยละสิบสลึง - [ 24 เม.ย. 52 21:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ต้องขอสารภาพว่า..ดิฉันไม่ปลื้มกระทู้นี้เลยนะคะ.. แน่นอนว่า..การตีความ (perception) ของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน และก็ไม่แปลกที่คุณ จขกท. จะมีความคิดเห็นแบบนี้.. แต่บทกลอนของหลวงวิจิตรวาทการบทนี้..ในความคิดของดิฉัน จะเตือนสติได้อย่างดี.. ในเมื่อเราทราบธรรมชาติของบุคคล ก็จะเตือนให้เราเตรียมใจรับสถานการณ์นั้น.. และคิดว่า..ไม่ใช่ค่านิยมที่ผิดแต่อย่างใด.. เพราะทุกที่ในโลก...คนที่เด่น..ก็โดนเพ่งเล็งเหมือนกันหมดค่ะ.. ที่สำคัญ...อันนี้ต้องขอโทษนะคะ.. เพราะดิฉันคิดว่า..การที่เราจะตำหนิใครก็ตาม.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ถ้าเราจะวิจารณ์บุคคลสำคัญในอดีตไม่ว่าชนชาติใดก็ตาม.. เราได้มองในด้านดีและได้ให้เกียรติท่านเหล่านั้นที่สร้างคุณูปการให้กับประเทศชาติด้วยหรือเปล่า... และเราได้ทำคุณความดีต่อประเทศชาติได้อย่างท่านแล้วหรือยัง.. จากคุณ : คิมมี่ (*CriMy*) - [ 24 เม.ย. 52 21:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ความหมายของ propaganda เปิดดิกก็เจอแย้ว ถ้าไม่มีดิก ก็พิมพ์ในกูเกิ้ลว่า propaganda คุณจะเห็นคำค้นยอดนิยม โผล่ท้ายออกมาเลย เช่น แปลว่า, คือ แสดงว่ามีชาวบ้านอีกเยอะนะ ที่ไม่รู้คำแปล แต่ก็ขวนขวายเอาเองก่อน เอ...หรือรู้แล้วแต่อยากประชดเล่นๆหว่า จากคุณ : แมวบอส - [ 24 เม.ย. 52 21:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 125 กลอนมันต้องแปลความหมายครับ... ถ้าไม่มั่นใจอะไรหรือไม่ได้ดีอย่างเค้า อย่าพึ่ง  " ตำหนิ "  ครับ นี่แหละ..... คือหนึ่งในค่านิยมผิดๆของ คนบางคนในสังคมไทย  ครับ : )) แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 21:44:23 จากคุณ : Turn off - [ 24 เม.ย. 52 21:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 126 คนที่ผิดคือคนที่ไม่อยากเห็นคนอื่นเด่นนั่นล่ะครับ ผู้หญิงแต่งตัววับๆ แวมๆ แต่เขาแต่งแล้วสวยอ่ะ ดูดี แต่อาจถูกข่มขืน ผู้หญิงไมไ่ด้ผิด แต่คนข่มขืนผิด เขาถึงบอกผู้หญิงว่าอย่าแต่งตัวแบบนั้นอันตราย ก็ไม่ต่างจากกลอนบทที่ว่า ก็คือคิดจะเก่งก็เก่งให้ถูกที่ คิดจะสวยก็สวยให้ถูกที่ จากคุณ : -=เหมือนจะใช่=- - [ 24 เม.ย. 52 21:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ให้กิฟไปแล้วครับ ถูกใจมากๆ คนที่เก่งจริง ไม่ต้องถ่อมตัวครับ มันเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ แต่คนที่ไม่เก่งจริง ต้องถ่อมตัวครับ บอกไว้เลยว่า ถ้าเก่งจริง ทำตามที่พูดได้ทุกอย่าง พูดไปเลยครับ ทำได้ก็มีแต่คนยกย่อง แต่ถ้าทำไม่ได้ เตรียมโดนด่าว่า "ไอ้ขี้โม้" ได้เลย หลวงวิจิตรวาทการ จะเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้ชาติ ไม่เกี่ยวกันครับ เราตำหนิท่านเฉพาะกลอนบทนี้เท่านั้น แยกแยะให้ออกด้วย ผมเองไม่ชอบการตัดสินใจกระทำการหลายๆอย่างของผู้นำประเทศในอดีต แต่ก็ใช่ว่าจะตำหนิไปซะทุกเรื่อง เหมือนฮิตเลอร์ ผมยกย่องความเป็นผู้นำ ทักษะการพูดจูงใจคน ไม่สูบบุหรี่ แต่ผมก็ไม่ชอบแนวคิดทางการเมืองของเขา จากคุณ : powerconduit - [ 24 เม.ย. 52 22:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 129 ขอโทษทุกๆท่าน หากหัวกระทู้แรงไป ตอนตั้งกระทู้อาจยั้งคิดไปบ้าง แต่ขอเรียนให้ทราบว่าไม่มีเจตนาหลบหลู่ดูหมิ่นท่านหลวงฯแม้แต่น้อย และยืนยันอีกครั้งว่า ส่วนตัวนับถือและเคารพในคุณงามความดีที่ท่านหลวงฯทำไว้กับประเทศชาติมากไม่น้อยไปกว่าท่านทั้งหลาย แต่ในแง่ propaganda และกลอนบทนี้ จขกท.ขอค้าน. ขอโทษอีกครั้ง หากทำให้ท่านไม่สบายใจกับหัวกระทู้ กระนั้น ถามอีกอย่างหนึ่งว่าสังคมไทยวิพากษ์ไม่ได้หรือ? เราจะเลือกตำหนิการกระทำของบุคคลหนึ่ง โดยแยกแยะจากความดีงามที่เขากระทำไม่ได้หรือ? เราไม่ได้ตำหนิเพื่อทำลาย แต่ตำหนิเพื่อหวังสร้างสรรค์ จขกท.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะเข้าใจเจตนาของจขกท. แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 22:25:25 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 22:21:02 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 22:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 130 คห121 ชื้อแพม เรารู้จักกันรึเปล่าครับ กรรม จากคุณ : i.everyday - [ 24 เม.ย. 52 22:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เสริมอีกนิดนึง เห็นบางความเห็นแล้วมันอัดอั้นตันใจนะ ความคิดเห็นของคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ทุกคนควรทราบความจริงในข้อนี้ จขกท.นับถือทุกความเห็นในที่นี้ว่ามีคุณค่า แต่ไม่ได้หมายความว่า จขกท.ต้องเปลี่ยนความคิดเห็นตนเองให้เข้ากับคนอื่น ในเมื่อความคิดเห็นของจขกท.ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน (แต่ถ้าท่านจะเก็บเอาไปรำคาญใจ ก็เป็นความมัวหมองในใจท่านเอง) จขกท.ขอโทษเรื่องตั้งหัวกระทู้รุนแรง แต่เรื่องความคิดในกระทู้ขอไม่เปลี่ยนทัศนคติ สองประเด็นนี้ขอให้แยกจากกันหากท่านจะตำหนิจขกท. ในความคิดของจขกท. กลอนบทนี้ไม่เหมาะกับสังคมไทย จขกท.หวังว่าท่านจะให้เกียรติความคิดเห็นของจขกท. เช่นเดียวกับจขกท.ให้เกียรติกับความคิดเห็นของท่าน ความคิดเห็นของใครย่อมเป็นสิทธิส่วนตัวของคนๆนั้น จขกท.หวังว่าหลังออกจากกระทู้นี้ เรายังมีอิสระเสรีในการแสดงความคิดเห็นในกระทู้ โดยเคารพซึ่งกันและกัน แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 22:45:35 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 เม.ย. 52 22:44:03 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ตีความและนำไปใช้ให้ถูกสถานะการณ์ ........มองได้ทั้งสองมุม    ^ _^ จากคุณ : env42_tay - [ 24 เม.ย. 52 22:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ไม่ขอออกความเห็น  อ่านความเห็นท่านอื่นๆๆ ก็พอแล้ว และ มาลงชื้อเข้ามาอ่าน อิอิ จากคุณ : กระรอกไฟ - [ 24 เม.ย. 52 23:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ไปว่าเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะเขาก็โดนจ้าง(แกมบังคับ)ให้ทำมาน่ะแหละ ลองอ่านประวัติเขาดู ว่าในยุคนั้่น ท่านผู้นำสั่งให้เขาทำไรบ้าง เพื่อครอบงำความคิดคนไทย (จอมพล ป. ที่คนละคนกับ ป.ตอนนี้นะ) ไม่ต้องพยายามแก้ตัวให้ท่านหรอกว่าจริงๆแล้วมันดียังงั้นยังงี้หรือตีความได้แต่ในทางดีๆเท่านั้น เพราะตามประวัติศาสตร์เองก็บ่งบอกอยู้่แล้วว่า หลวงวิจิตวาทการได้รับมอบหมายหน้าที่ในการสร้างเครื่องมือ วาทกรรม หรือแม้แต่ระบบ เพื่อชี้นำผู้คน ไปในทิศทางที่ท่านผู้นำต้องการ (เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ลองไปหาอ่านดู) ส่วนคำพูดนี้ มันไม่ชี้นำตรงๆ แต่ก็ไม่ใช่สัจธรรมอะไรไหรอก สังคมเราที่เป็นอยู่แบบนี้ ก็เพราะการครอบงำทางความคิดให้คิดกันแบบนั้นตะหาก ใช้คำว่า propaganda น่ะถูกแล้ว ทำไมเรายอมรับ คนดีๆ ที่ถูกทำลาย เพราะเด่นเกินไป? ไม่ว่าจะเกิดจากเขาอวดเก่งหรือไม่ แต่ถ้าเขาเก่งจริงๆแล้วทำไมเราต้องหมันไส้ล่ะครับ? คนเก่งที่พัฒนาประเทศก็เพราะเขารู้จักอวดเก่งโดยการ present ตัวเองนี่แหละ คนเก่งๆที่ low profile อย่างเดียว ไม่มีคนรู้จักน่ะ เลยไม่ถูกนำมาใช้พัฒนาประเทศโดยตรงสักเท่าไรไงล่ะ ผม้องเคยทำงาน กับบ.ต่างชาติมาบ้าง แปลกใจอย่าง เขาแย่งกันเสนอความคิดเห็น หรือตำหนิทันทีุถ้าพบว่าใครทำผิด หรืองานที่ำำคนอื่นกำลังนำเสนอมีส่วนบกพร่อง ถ้าเป็นคนไทย คงหาว่าเขาอวดเก่ง หรืออวดดี แต่เขามองกันแค่ว่า ยิ่งแข่งกันเสนอความคิดเห็น ปัญหายิ่งถูกแก้ไปได้เร็วเท่านั้น จะเกิดจากอวดเก่งหรือเปล่าไม่สน เขาสนแค่ว่าคุณเก่งจริงๆหรือเปล่าเท่านั้นแหละ (แต่ก็นั่นแหละ การเมืองในที่ทำงานมันก็มีบ้าง เป็นธรรมดา แต่เขาก็เปิดเผยกันมากกว่าเราเยอะ) การยอมรับ และคิดว่าเป็นเรื่องของบุญและกรรม หรือความเป็นไปในโลกหรือแม้แต่คิดไปว่ามันขัดจารีต ไร้มารยาท มันก็คือเราสนับสนุน propaganda นี้เองนั่นแหละ บ้านเมืองวุ่นวายเพราะคนดีท้อถอยครับ มัวแต่กลัวจะไปหักหน้าคนอื่น กลัวจะเด่นเกินไป เกรงใจหน้าเขา มันก็แก้ปัญหาไม่ได้สักที ผมเองยืนยันว่าเชื่อในเรื่องของกรรมในทางพุทธศาสนาเต็มเปี่ยม แต่ผมเชื่อว่ากรรมเก่ามี แต่กรรมใหม่มันก็สร้างได้เช่นกัน คนทุนคนมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่จำต้องยอมรับและัไม่คิดพัฒนาตัวเองแบบ propaganda ที่เราถูกสั่งสอนกันมานานสักนิด ลองกลับไปย้อนพิจารณาดู แล้วคุณจะพบว่า มันมี propaganda จำนวนมาก ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อ"กด" ความคิดของคนส่วนใหญ่ เพื่อบังคับให้ไปในทิศทางเดียวกันตลอดเวลา คนที่คิดนอกกรอบก็จะโดนอำนาจนอกระบบทำลายล้างอยู่เสมอ ประวัติศาสตร์ลงไว้เยอะแล้ว ลองไปหาอ่านกันดู ทำไมคนดีๆจำนวนมาก ถึงโดนต่อต้านตอนมีชีวิต แต่พอตายไปหลายปีหรือบางทีก็เป็นสิบปี กลับหาเรื่องไปขุดเขามาเชิดชูยินดีกันล่ะ ทั้งๆที่บางทีไอ้คนที่ทำลายเขาตอนนั้นก็คือคนที่เชิดชูตอนนี้น่ะแหละ เพียงแต่ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องมือได้เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 52 23:37:51 จากคุณ : ....4จุด - [ 24 เม.ย. 52 23:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 135 แฮ่กๆ ....เงยหน้าขึ้นไปมอง ....เออ ก็ห้องหว้ากอนี่นา..นึกว่ากดผิดห้อง ยาวววววววววววววววววววววววมากๆ ขอบอกก่อนว่าอ่านจนเหนื่อยเลยนะเนี่ย เพื่อนๆถกกระทู้กันได้สนุกดี แต่คิดถึงทะเลแล้วสิ ปกติชอบคุณคลิปมาก แต่หัวกระทู้แรงไปจริงๆน่ะแหละ เห็นออกมาขอโทษแล้วจะไม่พูดละกัน ส่วนใหญ่คนเรามักใช้ไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดคนอื่นทั้งนั้น ทั้งที่แต่ละคนมีไม้บรรทัดไม่เ่ท่ากัน และทำให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้น เราเอาตัวเองไปตัดสินทั้งนั้นแหละ ลดอัตตา ลดตัวตนของเรา เิปิดใจมองก็เราจะเห็นอะไรหลายๆด้านมากขึ้น อย่างหลายๆความเห็นบอก ว่าเราอ่านแล้วเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆได้แค่ไหน เอาสิ่งดีๆมาใช้ หากมองว่ามันไม่ดีและปฏิเสธส่ายหัวบอกว่างี้ไม่ถูก ไม่ดี แย่มาก แค่นั้น เราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งเหล่านั้นเลย เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้จากทุกๆสิ่งแม้กระทั่งจากศัตรูของเราเอง แต่คิดว่าสิ่งนี้คุณคลิปมีนะเพราะกระทู้ตั้งมาอย่างแรง แต่พออ่านความเห็นเพื่อนๆ คุณคลิปน่าจะได้อะไรจากสิ่งที่คุณคลิปเห็นว่าไม่ดีกลับไปเยอะเลยเน๊อะ :) อ่อ อีกอย่าง หลายๆอย่างกระทำ กระทำเหมือนกัน แต่สิ่งแวดล้อมและเหตุจูงใจต่างกัน ย่อมแตกต่างกัน เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรโดยไม่ทราบบริบทเพียงพอ เช่น โจรลักทรัพย์..... ฟังแค่นี้ โหย ขโมยมันชั่วโดยสันดารสมควรให้ตำรวจจับเข้าคุกเลย ทำคนอื่นเดือดร้อน หากเราทราบมากกว่านั้นเช่น ทราบว่าโจรคนนี้ขโมยครั้งแรก เนื่องจากต้องการหาเงินไปผ่าตัดลูกชายที่กำลังจะเสียชีวิต หากไม่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น บรรทัดฐานความคิดเราจะเปลี่ยนมั้ย? โจรคนนี้เป็นคนดีหรือคนไม่ดี? ......แน๊.....ก็เพิ่งบอกว่าอย่าเพิ่งเอาไม้บรรทัดเล็กๆรีบมาวัดรีบมาตัดสินไง...เรื่องยังไม่ถึงศาลเลย...อย่าเพิ่งรีบอยากเป็นผู้พิพากษากันจิ่ หุหุ กระทู้นี้ดีนะ มีหลายๆด้านให้มอง และทุกคนก็พยายามอยู่ในกรอบของสุภาพชนสมเป็นหว้ากอนะ ส่วนเราก็เคยเจอมาเยอะเหมือนกัน เจอทั้งที่ทำดีแล้วพยายามเด่นไปด้วย และทำดีโดยไม่ได้มุ่งหวังอะไร แต่กลับเด่นด้วยความดีนั้นเอง และทุกคนให้การยอมรับ และนิยมชมชอบซะด้วย มันแล้วแต่องค์กรล่ะมั้ง บทกลอนก็บอกว่า "จงทำดี" แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย มันทำให้ชะงักเราไม่ให้เหลิงได้ด้วยนะ หลายคนทำดี และยินดีในการทำดีนั้น มีผู้คนชื่นชอบมากมาย ทำให้เค้าเป็นสุขและอาจจะลืมตัว ความดีก็ทำให้คนเหลิงได้เหมือนกันนะ เช่นทำดีแล้วมีคนนิยมชมชอบ บางทีก็ให้อภิสิทธิ์บางอย่าง จนบางครั้งคนนั้นก็เคยตัว ทำให้ทำตัวแตกต่างจากที่เคย ผิดกับบางคนที่เด่นแค่ไหนก็ยังเป็นตัวตนเดิมของเขา นิสัยน่ารักติดดินน่าชื่นชม เราว่าความแตกต่างมันอยู่ตรงนี้ เค้าไม่ไ่ด้บอกว่าอย่าทำดีจะเป็นภัย แต่อยู่ที่การทำตัวเด่น คือพยายามทำตัวเด่น อันนี้อันตราย แต่ถ้าทำแล้วมันเด่นของมันเอง ไม่ได้พยายามจะเด่นอันนี้เราว่าดีกว่านะ แต่ก็ต้องมีสติมากๆ ทำแล้วอย่าลืมตัวตนของตัวเองแค่นั้นเอง จากคุณ : จะมีใครอ่านเข้าใจมั้ยเนี่ยเหอๆ (บางเวลา) - [ 24 เม.ย. 52 23:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 136 นึกถึงอิคคิว ตอนที่ แม่ถามอิคคิว ว่าคนเราอวดอะไรก็อวดได้ แต่อวดอะไรที่ไม่ดี /คิดว่าเข้าใจได้ไม่ยากนัก บางเรื่องนอกจากคำว่าถูกต้องแล้วยังมีคำว่า เหมาะสมด้วย คำพูดเหมือนดูง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงๆก็หาจุดลงตัวยาก แต่ยืนยันว่าไม่ใช่สุดโต่ง หรือที่จขกท. ว่ามาไม่ดีเลยซะทีเดียว /ส่วนตัวว่าหลายความเห็นก็แสดงความคิดเห็นกันมาเยอะแล้ว จากคุณ : himajin006 - [ 25 เม.ย. 52 00:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 137 เขาก็เอาความจริงของมนุษย์มาพูดแหละครับ ตัวเราทั้งนั้นจะทำอะไรจะคิดอะไร เอาเหอะ.... จากคุณ : ไฟแดงลิซึม - [ 25 เม.ย. 52 00:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 138 #124 ไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทยที่ตรงความหมายกับ Propaganda อย่างแท้จริงขอรับ คำว่า "โฆษณาชวนเชื่อ" เป็นรูปแบบหนึ่งของ Propaganda เท่านั้น ดังนั้น ไม่แปลดีกว่า ขอรับ อิอิ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 25 เม.ย. 52 01:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 139 สนับสนุนให้คนโดดเด่นขึ้นมาด้วยการทำอะไรดีๆครับ จากคุณ : see men - [ 25 เม.ย. 52 02:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ประเทศนี้ไม่ได้ไม่เจริญ  เพราะกลอนอะไรนั่นหรอก โอ้ กลอนชุดนึงกลายเป็นประเทศต้องสาบเลย  ห้ามเจริญ ส่วนหนูดี  คนต้นเรื่อง(555)  ผมยังไม่เคยดูโฆษณาของเธอ แต่จากที่อ่านกระทู้ที่อ้างถึง   ผมเดาว่าคงทำมาได้น่าหมั่นไส้บวกน่ารำคาญระดับหนึ่ง อย่าว่าแต่ที่ไทยเลย   ถ้าทำออกมาไม่ดีที่เมกาเอง โดนด่าเสียผู้เสียคนได้เหมือนกัน   สังคมอเมริกัน เป็นสังคมช่างติช่างว่ามากกว่าเมืองไทยเยอะนะครับ เรียกว่าสังคมขี้บ่นดีกว่า จากคุณ : Pier Gerlofs Donia - [ 25 เม.ย. 52 09:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 141 เห็นด้วยกับหลวงวิจิตรวาทการครับ ตอนนั้นสมัครงานเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย แล้วเขารับเข้าทำงาน พอมีประชุมโดนแขวะโดนรุมทึ้ง เราก้อ งงสิ ว่าทำไมจงเกลียดจงชัง มาเข้าใจอีกทีว่าสาเหตุเพราะอิจฉา เพราะตอนสมัครแล้วผู้บริหารไปเล่าความสามารถผมให้พวกอาจารย์ที่อยู่มาก่อนฟังจนหมั่นใส้ ทุกวันนี้ลาออกเพราะเบื่อคนอ่านสามก็กไปหลายรอบจนเข้าใจแล้วว่า มนุษย์ทุกคนต้องการเป็นที่รักของนาย ต้องการเป็นที่รักของบ่าว คนเด่นมาต้องตอก จากคุณ : artchula66 - [ 25 เม.ย. 52 11:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 142 เข้าใจ จขกท ครับ คงมองว่าบางทีมันอาจ pro แต่บางทีก็สอนไว้ แต่ ลองดูสิครับ รอบตัวเรา ที่เป็นอยู่อย่างนี้จะพบว่าถ้าแปล กลอนออกมา ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน เหมือนบอกว่า อย่าเด่นกว่าฉัน ฉันเด่นได้เท่านั้น ไม่งั้นจะเป็นภัย เราเตือนคุณแล้ว เป็นคำสอนครับ ชัดเจน ในสังคมไทย จากคุณ : อ่านสามก๊เกินสามรอบ - [ 25 เม.ย. 52 15:01:18 A:125.27.116.211 X: TicketID:207667 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ตีความผิด ผิดประเด็น ผมว่า น่าจะหมายถึง "อย่าอวดดี อวดเก่ง โพทนาตัว ถือตัว" ไม่ใช่ "อย่าแสดงตัว หยุดคิดหยุดทำ" จากคุณ : Prof.Sirius - [ 25 เม.ย. 52 19:13:34 ]

ความคิดเห็นที่ 144 โหวตกันชัดๆไปเลย คุณชอบที่จะเห็นคนอื่นเด่นกว่าตัวคุณเองหรือไม่ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7793023/X7793023.html จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 25 เม.ย. 52 19:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ผมเห็นด้วยกับกลอนนี้และพยายามวางตัวให้เป็นแบบนี้อยู่ครับ เป็นความเห็นของผม ที่อ่าน แล้วคิด เกิดเห็นจริงตามที่ท่านว่าไว้ครับ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะเห็นด้วยไปซะทุกคนซึ่งนั่นก็แล้วแต่เขาครับ จากคุณ : หมูทำไรก็อร่อยยกเว้นข้าวมันไก่ - [ 26 เม.ย. 52 23:49:04 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่น "เกิน" คีย์เวิร์ดมันอยู่ตรงนี้รึปล่าวครับ อะไรที่เกินไปย่อมหมายถึงความไม่พอดี ซึ่งถ้าไม่พอดีก็จะส่งเสียตามมา อย่างในกลอนบทนี้บอกว่าจะมีภัยตามมา ไม่ว่าจะอ้วนเกิน ผอมเกิน รวยเกิน จนเกิน หล่อเกิน สวยเกิน ฉลาดเกิน โง่เกิน ฯลฯ นั่นคือสิ่งที่คุณหลวงฯ อยากจะสื่อรึปล่าวครับ จากคุณ : supertarokung - [ 27 เม.ย. 52 11:53:12 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ไม่แน่ใจว่าคำว่า "อย่าเด่น" ของท่านหลวงวิจิตรวาทการ หมายความว่ายังไงอย่างลึกซึ้ง เพราะส่วนใหญ่แล้ว คนที่ทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน เขาไม่ต้องการเด่นดัง หรือชื่อเสียง อะไร เช่นออกเงินทำบุญ แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม กลับกัน หากทำดี เพื่อเด่น จะถือว่าเป็นดีแท้ ๆ หรือเปล่า ผมเองก็ไม่ทราบได้ แต่เื่ชื่อว่า ความดี ไม่ต้องคู่กับความเด่น แต่ผมเห็นด้วยนะ ว่า ท่านสะท้อนสัจธรรมของชีวิต ผ่านมันสมอง และประสบการณ์ เป็นสัจธรรมข้อหนึ่งเลยทีเดียว จากคุณ : [Zero] - [ 27 เม.ย. 52 15:12:48 ]