ความคิดเห็นที่ 1 บันทึกของรัสเซล ลี นักเขียนเรื่องผีที่โด่งดัง สิงคโปร์ 18 สิงหาคม 1967 ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อผมและเพื่อนๆ เดินทางโดยเครื่องบินฮอกเกอร์ ฮันต์เตอร์ ของกองทัพอากาศสิงคโปร์เมื่อปี 1979 ตอนนั้นเรากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าด้วยเพดานบินสองหมื่นห้าพันฟุต ภายในเครื่องมีการรับประทานอาหารกันอยู่พอดี ไม่มีผู้ใดสนใจจะมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแต่ความมืด ต่างรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ผมเคี้ยวเพลินอยู่นั้น ผมรับรู้ได้ว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นที่นอกหน้าต่าง ขณะนั้นประมาณได้ว่าเป็นเวลาสองทุ่ม เมื่อผมหันไปมองที่มาของแสงนั้น ปากที่กำลังเคี้ยวอยู่มีอันชะงักและค้างอยู่เช่นนั้น เมื่อคนอื่นๆ เห็นอาการของผมจึงเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงนั้นสว่างจ้าจนผมรู้สึกเคืองนัยน์ตา คนอื่นๆ ก็มีอาการไม่ต่างไปจากผม รับรู้ได้ว่าแสงสว่างนั้น มีลักษณะกลมและหมุนรอบตัวเอง และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือผมรับรู้ถึงความร้อนวูบที่ผ่านเข้ามาเมื่อวัตถุประหลาดนั้นเคลื่อนที่ผ่านไป เมื่อผมจะอ้าปากทักวัตถุประหลาดนั้นก็ทะยานขึ้นสู่เวหาเบื้องบนและอันตรธานไปในความมืด หลายคนแหงนหน้ามองตามจากกระจกหน้าต่าง แต่มันก็หายไปแล้ว ผมและเพื่อนๆ มองตากัน โดยที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำใดออกมา ผมแน่ใจว่าทุกคนเห็นอย่างเดียวกับที่ผมเห็น ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่พวกเราเห็นจะเป็นอากาศยานมในโลกนี้ไม่ได้ มันจะต้องเป็น UFO เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมขอบันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตได้สัมผัสกับยานอวกาศรูปร่างประหลาดที่มาจากนอกโลก แม้ว่าในสิงคโปร์จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก อาจจะเป็นหนึ่งในรอบร้อยปีก็คงพูดเช่นนั้นได้ นับว่าเป็นโชคของผมที่ได้สัมผัส รัสเซล ลี 6 กันยายน 1973 ปีเตอร์ จาง อายุ 28 ปี อาชีพกะลาสีเรือเดินทะเล นับเป็นการเดินทางครั้งแรกในชีวิตของผมก็ว่าได้ ที่เดินทางไกลขนาดนี้ ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของผมมาอีกซีกโลกหนึ่ง ขณะนั้นเรือแล่นไปตามชายฝั่งเม็กซิโก เลยพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาไปเพียงเล็กน้อย คืนนั้นผมรับหน้าที่เป็นยามกะกลางคืน ผมเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยไปตามหน้าที่ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ใครๆ ต่างหลับไหลอย่างผาสุก มีเพียงผมและลูกเรืออีกสองคนเท่านั้นที่ยังคำทำหน้าที่อยู่ ลูกเรืออีกสองคนดูแลอยู่อีกด้าน อากาศยามค่ำคืนแจ่มใสแต่ค่อนข้างเยือกเย็น ดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า มันเป็นคืนเดือนมืด แต่ถึงจะมืดก็น่ารื่นรมย์ ผมสูดอากาศเข้าปอดด้วยความชื่นใจ เหม่อมองท้องฟ้าโดยปราศจากจุดหมาย และแล้วสายตาของผมพลันพบกับสิ่งสิ่งหนึ่งปรากฏให้เห็นบนขอบฟ้าลิบๆ มันเป็นแสงริบหรี่กะพริบ ผมพยายามเพ่งมองเพื่อดูให้แน่ใจ อาจจะเป็นดาวตกหรืออะไรสักอย่าง แสงนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นเมื่อวัตถุเรืองแสงเคลื่อนที่ต่ำลงมา มันวูบลงมาอย่างรวดเร็วจากขอบฟ้าและจมหายลงไปใต้พื้นน้ำ ผมยืนตะลึงอยู่กับที่ มันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่ผมจะทันได้ตั้งตัว ไม่มีโอกาสที่จะเรียกลูกเรืออีกสองคนให้มาช่วยกันดู วินาทีต่อมาวัตถุประหลาดก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำและลอยตัวอยู่ชั่วครู่ ผมไม่รีรออีกต่อไปแล้ว ตะโกนเรียกลูกเรืออีกสองคนสุดเสียง ในยามดึกดื่นเช่นนี้ เสียงของผมย่อมดังไปไกล เสียงฝีเท้าของลูกเรือดังขึ้นจากที่ไกลๆ แต่อนิจจา วัตถุประหลาดลอยขึ้นสู่เวลาอย่างรวดเร็ว อันตรธานไปในความมืดก่อนที่ลูกเรือทั้งสองคนนั้นจะวิ่งมาถึง ผมสังเกตได้ว่า ก่อนที่มันจะอันตรธานไปนั้นแสงเรืองเจิดจ้ารอบๆ ตัวเปลี่ยนสีได้ด้วย ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ลูกเรือทั้งสองคนฟัง ทั้งคู่พยักหน้ารับรู้แต่ไม่มีวี่แววใดๆ บ่งบอกว่าจะเชื่อ เช้าวันรุ่งขึ้นกัปตันเรือเรียกผมเข้าไปพบเนื่องจากลูกเรือสองคนนั่นไปรายงาน ผมเล่าเหตุการณ์ที่ผมได้เห็นให้กัปตันฟัง และมันก็เป็นเช่นเดียวกับลูกเรือทั้งสอง กัปตันไม่ยอมเชื่อและให้ความเห็นว่าผมเกิดอาการประสาทหลอน ผมพยายามชี้แจงแต่ไร้ผล เมื่อเรือเดินทางกลับถึงสิงคโปร์ในอีกสองเดือนต่อมา ผมก็ถูกให้ออกจากงานโดยให้เหตุผลว่า ผมป่วยเป็นโรคประสาท อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับงานที่ทำ ปีเตอร์ จาง 5 กุมภาพันธ์ 1978 ลิม ยี กวน อายุ 60 ปี อาชีพขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คืนนั้นผมปิดร้านดึกกว่าทุกวัน เนื่องจากยังมีลูกค้าเข้ามานั่งดื่มกินนานว่าปกติ ขณะนั้นเกือบสองยามแล้ว จนกระทั่งลูกค้าคนสุดท้ายจ่ายเงินและกลับออกไป ผมจึงสั่งให้ลูกน้องเก็บร้าน ผมเองก็ช่วยลงมืออีกแรกโดยกวาดพื้น ขณะที่กำลังกวาดอยู่นั้นเผอิญผมแหงนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างร้าน เห็นสิ่งสิ่งหนึ่งลักษณะกลมมีแสงเรืองรอบๆ ในตอนแรกผมมิได้เฉลียวใจใดๆ เพราะคิดว่าคงเป็นโคมไฟจากถนน แต่เมื่อผมละสายตากวาดพื้นต่อและมองขึ้นไปใหม่ ผมแน่ใจว่าสิ่งที่แลเห็นมิใช่โคมไฟจากถนนอย่างแน่นอน เพราะมันเคลื่อนย้ายไปอยู่อีกมุมหนึ่ง ผมทิ้งไม้กวาดและเรียกลูกน้องให้มาช่วยกันดู เราทั้งสามจับจ้องสิ่งนั้นแทบไม่กะพริบตา เห็นได้ว่ามันหมุนรอบตัวเองช้าๆ แสงเรืองรอบๆ ตัวสว่างจ้าและหรี่ลงสลับกันเช่นเดียวกับสีของแสงที่เปลี่ยนตาม ผมเห็นแสงเป็นสีน้ำเงินและเปลี่ยนเป็นเขียว และก็เปลี่ยนเป็นแดงเพลิง ลูกน้องของผมกระซิบให้ผมไปหยิบกล้องถ่ายรูป เมื่อผมได้ยินคำว่ากล้องก็เผ่นขึ้นชั้นบนทันที เสียงฝีเท้าที่ขึ้นบันไดโครมๆ ทำให้บุตรสาวและบุตรเขยที่กำลังนอนหลับสะดุ้งตื่นและเปิดประตูออกมาดู แต่ผมไม่ฟังเสียงเสียแล้ว เมื่อคว้ากล้องถ่ายรูปได้ก็ถลาลงมาข้างล่าง วัตถุประหลาดนั้นยังคงลอยนิ่งอยู่ในลักษณะเดิม ผมกดชัตเตอร์จับภาพในทุกแง่มุม เมื่อสิ้นเสียงชัตเตอร์วัตถุประหลาดก็ลอยสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็วในแนวตั้งฉาก และอันตรธานไปจากสายตาในพริบตาเดียว คืนนั้นครอบครัวของผมนอนกันดึกมาก นั่งถกเถียงกันว่าวัตถุประหลาดที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นอะไรกันแน่ บุตรเขยของผมให้ความเห็นว่ามันคงเป็นอากาศยานชนิดใดชนิดหนึ่ง บุตรสาวของผมตั้งข้อสังเกตว่าถ้าเป็นอากาศยานทำไมไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ และทำไมลอยขึ้นไปในมุมเก้าสิบองศาได้รวดเร็วอย่างนั้น ราวกับว่ามีมือวิเศษยกขึ้นไป ลูกน้องของผมเสริมว่าวัตถุประหลาดลอยขึ้นไปจนอันตรธานนั้นใช้เวลาไม่เกินสามวินาที มันเร็วมากและเร็วจนมองไม่ทัน หากมิได้จับตามองอยู่ก่อนจะไม่มีโอกาสเห็นได้เลย สำหรับผมนั้นแน่ใจว่าวัตถุบินที่เห็นนั้น ต้องไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากจานบินเพียงประการเดียว เมื่อผมแสดงความเห็นปรากฏว่าทุกคนเห็นพ้องด้วย เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้า จะนำฟิล์มที่บันทึกได้นี้ไปให้หนังสือพิมพ์ มันคงจะเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว ลิม ยี กวน จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 22 มีนาคม 1974 แซลลี เฮเลน อายุ 16 ปี ชั้นมัธยมปลายโรงเรียนวาย. ที. ลีฟ. ซิดนีย์ บ่ายวันนั้นโรงเรียนได้จัดให้มีการซ้อมเต้นแอโรบิคกลางสนามหญ้าของโรงเรียน เพื่อเตรียมแสดงโชว์ในวันปิดเทอมใหญ่ นักเรียนหญิงประมาณยี่สิบห้าคนเดินเตร่ไปมาขณะที่ครูผู้ฝึกยังไม่มาถึง มีการจับกลุ่มพูดคุยกันตามประสานักเรียนซึ่งก็เป็นอย่างนี้ทั่วโลก ครู่ต่อมาเสียงเป่านกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าครูฝึกสอนเดินข้ามมากลางสนามแล้ว เสียงสัญญาณนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งแต่เป็นในอีกลักษณะหนึ่ง นักเรียนหญิงกระวีกระวาดเข้าแถวเรียงหน้ากระดานอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นเป็นสัญญาณนกหวีดดังขึ้นอีก นักเรียนหญิงแยกแถวออกเป็นห้าแถวห่างกันพอสมควร เสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นพร้อมๆ กับที่นักเรียนขยับแขนและขาไปตามจังหวะเพลง โดยมีครูผู้ฝึกยืนเด่นทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จนกระทั่งถึงท่าที่ต้องแหงนหน้าและโยกตัวนั่นเอง สายตาทุกคนก็พบกับสิ่งสิ่งหนึ่งบนเวหาที่สูงลิบ ความพร้อมเพรียงของการเต้นแอโรบิคมีอันแปรสภาพเป็นโกลาหล ดิฉันเพ่งมองเช่นเดียวกับเพื่อนๆ จนครูผู้ฝึกเอะใจและแหงนหน้ามองตาม เสียงเพลงยังคงดังต่อไปในขณะที่การเต้นหยุดชะงัก "เครื่องบินแมลงปอ " ทีน่า นักเรียนสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นลอยๆ "นกฟรีเกต " อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น "ครูขา อะไรคะนั่น ?" ดิฉันถามด้วยความตื่นเต้น สิ่งสิ่งนั้นเคลื่อนที่ต่ำลงมาเล็กน้อย ทุกคนต่างเพ่งมองจนรู้สึกเคืองนัยน์ตาเนื่องจากอยู่ทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังเจิดจ้า แต่แล้วสิ่งสิ่งนั้นก็อันตรธานหายไปในพริบตาท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของทุกคน เพราะมันหายวับไปกับตาเหมือนในภาพยนตร์ นักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งประหลาดนี้ คุณครูให้คำอธิบายว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอากาศยานที่มิอาจระบุได้แน่ชัดว่าเป็นอะไร ดิฉันตื่นเต้นมากกว่าใครๆ เพราะความหมายของคุณครูก็คือ UFO นั่นเอง เคยได้ยินคำนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองในวันนี้ ดิฉันจะไม่ขอลืมวันนี้ไปชั่วชีวิต แซลลี เฮเลน ปรากฏการณ์ของจานบินในแต่ละครั้ง ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างท่วมท้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในส่วนใดของโลก แต่การปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งที่สุดคงเป็นพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และอีกแห่งซึ่งอยู่คนละซีกโลกกับเบอร์มิวดาแต่อยู่ในแนวเดียวกัน อยู่ใกล้ประเทศญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านจานบินมีมากมาย แต่เท่าที่ปรากฏคงมีเพียงสองท่านที่ติดตามและค้นคว้าอย่างจริงๆ จังๆ คือด็อกเตอร์แมนสัน วาเลนไทน์ และไอแวนแซนเดอร์สัน ทั้งสองท่านมีบทบาทอย่างมากกับสิ่งที่เราเรียกว่า UFO นอกจากสองท่านนี้แล้วยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ UFO อีกมากมายทั้งในสหรัฐฯและอังกฤษ ยกตัวอย่างเช่น FUND FOR UFO RESEARCH INC. มีที่อยู่คือ P.O.BOX 277 MOUNTRAINIER, MARYLAND 20712, USA เป็นองค์การที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนด้านการเงินในการค้นคว้าและติดตามเรื่องของ UFO อีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทสูงในเรื่องของ UFO คือ เจ. แอลเลน ฮินเนค อยู่ที่ 2457 เวสต์ ปีเตอร์สัน ชิคาโก อิลินอยส์ สหรัฐอเมริกา มีชื่อย่อว่า CUFOS ก่อตั้งในรูปศูนย์กลางการศึกษาและค้นคว้าเรื่อง UFO นอกจากในสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่อง UFO ในอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สเปน แคนาดา นอร์เวย์ หรือโซเวียต แม้กระทั่งญี่ปุ่น ต่างยอมทุ่มเทงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยมิได้คำนึงว่าจะได้ผลสำเร็จหรือไม่ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อการศึกษาของคนในชาติ ในปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันว่าภายในสุริยจักรวาลจะมีดาวนพเคราะห์ดวงอื่นนอกจากโลก มีสิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์อยู่บนดาวนพเคราะห์ดวงนั้น เนื่องจากการสำรวจยังกระทำได้ไม่สมบูรณ์ มีเพียงข้อสันนิษฐานในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้เท่านั้น โครงการสำรวจจักรวาลของสหรัฐฯได้กระทำอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาช้านาน หลังจากที่สหรัฐฯได้ส่งมนุษย์อวกาศนีล อาร์มสตรอง ลงไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกนั้น นับเป็นก้าวแรกของมนุษย์ที่จะได้ศึกษาความเป็นไปของห้วงจักรวาล หลังจากนั้นได้มีการส่งเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ไปสำรวจดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ อีกหลายครั้ง มีการสร้างสถานีอวกาศเพื่อการสื่อสารที่ฉับไว ตลอดจนมีการส่งยานอวกาศไปทำการสำรวจดาวอังคารซึ่งเชื่อกันว่า น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังจะต้องมีการสำรวจให้มากกว่านี้อีก ในอนาคตอาจมีการสร้างสถานีปฏิบัติการบนดาวอังคารซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นไปได้ โดยสหรัฐอเมริกากำลังดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความเห็นตรงกันในเรื่องของ UFO ว่า จานบินที่มาเยือนโลกนั้นน่าเชื่อว่ามิได้มาจากดาวนพเคราะห์ดวงใดภายในสุริยจักรวาล เนื่องจากภายในสุริยจักรวาลมีโลกซึ่งเป็นดาวนพเคราะห์ดวงเดียวที่มีบรรยากาศห่อหุ้ม เมื่อมีบรรยากาศห่อหุ้มก็ย่อมทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นได้ และโลกมีดวงจันทร์โคจรอยู่รอบๆ ย่อมส่งผลให้เกิดฤดูต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นทั้งนั้น ดาวดวงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นดาวพุธ ดาวพฤหัส หรือดาวเสาร์ จากการสำรวจไม่พบสิ่งดังกล่าวบนดาวเหล่านั้น จึงเป็นที่น่าเชื่อว่าจานบินที่มาเยือนโลก จะต้องมาจากนอกสุริยจักรวาลอย่างแน่นอน อาจเป็นดาวนพเคราะห์ที่อยู่ใกล้สุริยจักรวาลมากที่สุด เชื่อว่าสักวันหนึ่ง เราคงคลี่คลายปริศนามืดมนอันมีมาช้านานในเรื่อง UFO นี้ลงได้ เราคงจะได้สัมผัสอาคันตุกะจากนอกโลกและนอกสุริยจักรวาล ด้วยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งโลกได้พัฒนาไปโดยไม่หยุดยั้ง แต่จะใช้เวลานานอีกสักเท่าใดนั้น คงไม่มีใครสามารถบอกได้ นอกจากคอยให้เวลานั้นเดินทางมาถึงเองซึ่งทุกคนก็หวังไว้อย่างนั้น จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:30:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ท้าทาย "ปัญญา" นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่! สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1993  มีผู้พบเห็นจานผี (ยูเอฟโอ) เกือบหกพันครั้งที่บินร่อนอยู่เหนือดินแดนช่องแคบไต้หวัน ซึ่งยังความงุนงงให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก ซินหัวรายงานต่อไปว่า จานผีบางดวงได้ถูกพบโดยผู้ที่ทำงานบนหอดูดาวขนาดใหญ่ และนักบินพลเรือนและนักบินทหารเหนือช่องแคบไต้หวัน ซึ่งจากการพบเห็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของนักวิทยาศาสตร์และนักค้นคว้าทั้งหลาย ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองประเทศคือจีนและไต้หวัน จำนวนห้าสิบคน จึงได้ร่วมศึกษาวิเคราะห์เรื่องจานผี ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งเป็นเวลาสามวัน ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่า จานผีเหล่านั้นมาจากกลุ่มดวงดาวที่อยู่ไกลสุด ในขณะที่นักวิเคราะห์อีกหลายท่านก็โต้แย้งว่า ความจริงจานผีเหล่านั้นก็เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหมือนๆ กับสายฟ้าผ่า หรือสิ่งซึ่งมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เช่น ลูกบอลลูนหรือดาวเทียม การเห็นจานผีครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 1993 เมื่อจานบินสองลำ ซึ่งมีลักษณะคล้ายหมวก บินร่อนเหนือสนามบินนานาชาติ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน เป็นเวลานานประมาณสิบห้านาที จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พลังหยิน-หยางของจานบินลึกลับ ผู้ที่นำเรื่องราวเกี่ยวกับพลังหยิน-หยางของจีนที่สัมพันธ์กับวัตถุบินลึกลับหรือจานบินมาเผยแพร่ ก็คืออาจารย์พอล ดอง ชาวจีนกวางตุ้งซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองโอ๊กแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เขาเคยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์ประหลาดของจานบินมาหลายปี และได้เขียนบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ ในประเทศจีน อีกทั้งยังได้เขียนหนังสือเผยแพร่แก่สาธารณชนหลายเล่ม ที่มีชื่อเสียงเช่น ปรากฏการณ์จานบินเหนือแผ่นดินจีนยุคใหม่ และความเร้นลับที่สำคัญสี่ประการบนแผ่นดินใหญ่ ในปี 1981 เขาได้รับเชิญไปบรรยายเกี่วกับเรื่องจานบินตามสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศจีน รวมทั้งได้บรรยายให้ผู้ฟังนับจำนวนพันที่สหพันธ์นักศึกษาชิงหัวที่ปักกิ่ง ที่ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เมืองกวางตุ้ง มหาวิทยาลัยจี้หนันแห่งกวางตุ้ง และที่อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นอาจารย์พอล ดองยังได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์จี้กงด้วย และยังเป็นผู้ประพันธ์ร่วมเขียนหนังสือหรือตำราต่างๆ หลายเล่ม เขาได้สอนศาสตร์ลับจี้กง ศิลปะมวยจีนที่สมาคมวายเอ็มซีเอในซานฟรานซิสโก นับตั้งแต่ปี 1985 เป็นต้นมา   อาจารย์พอล ดองได้กล่าวถึงเรื่องจานบินดังต่อไปนี้ ในประเทศจีน ปราชาชนจีน 1,100 ล้านคน ใช้ภาษาจีนเป็นสื่อติดต่อกันทุกวัน ภาษาจีนไม่ใช่ภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการสื่อสารระหว่างชาติ ด้วยเหตุนี้โลกภายนอกจึงได้รับข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในแผ่นดินจีนน้อยมาก ยกเว้นข้อมูลข่าวสารทางการเมืองบางประการ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับจานบินนั้น ผมได้รับรายงานพบเห็นจากบินในจีนเป็นจำนวนมากมาหลายปีแล้ว ทั้งจากฝ่ายพลเรือนและจากฝ่ายทหาร แต่ช่วงระหว่างปีสุดท้าย เมื่อไม่นานมานี้ รายงานเกี่ยวกับจานบินนับว่าได้ยากมาก เนื่องจากเป็นความลับทางราชการมากขึ้น แทนที่จะได้รับตามปรกติกลับตรงกันข้ามทีเดียว แต่ถึงอย่างไรผมก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นคว้าเรื่องจานบินในจีนพอสมควร ประการแรกเราต้องยอมรับว่าหลังจากการโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องจานบินต่อเนื่องกันมาสี่สิบห้าปีแล้ว ไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร ? มาจากไหน ? และหายไปได้อย่างไร ? เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา นักวิจัยค้นคว้าจานบินชาวจีนเป็นจำนวนมากต่างสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับจานบินในแนวคิดใหม่ว่า แม้จานบินจะมีแหล่งกำเนิดจากนอกพิภพ แต่ก็มิใช่วัตถุบินที่เดินทางเท่ากับความเร็วของแสง แต่จริงๆ แล้วมันเดินทางเร็วกว่าแสง ลักษณะการบินประหลาดนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนรูปพลังหยิน-หยางนั่นเอง ดังนั้นหากเราต้องการเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง เราต้องเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับความหมายของมันให้ชัดเจน ลักษณะบินอย่างประหลาด แม้ว่าการบินของจานบินดูเหมือนว่ามิใช่การบินตามปรกติแต่การบินแบบประหลาดของมันก็มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด นั่นคือมันสร้างปรากฏการณ์ลวงตาโดยการบินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การบินแบบพิสดารนี้เป็นปรากฏการณ์เคลื่อนที่เหนือมิติและกาลเวลา ซึ่งยากที่จะตามทางบินของมันได้ง่าย เส้นทางบินที่กล่าวถึงนี้คือเส้นโค้งต่อเนื่องระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุด ซึ่งไม่มีช่วงขาดตอนและไม่สามารถมองเห็น เช่น การยิงปล่อยจรวดยานอวกาศเป็นการบินที่มองเห็นได้ หรือทางโคจรของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสของอะตอมที่มองเห็นได้ด้วยเครื่องทดสอบ แต่หากเก็บเป็นวัตถุที่ขับเคลื่อนไปโดยพลังจิต เราไม่สามารถเห็นได้ มันสามารถปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทันใด ไม่ว่าจะเป็นระยะใกล้หรือระยะไกล ตัวอย่างเช่น ซาง เป้าซาง นักพลังจิตระดับสูงของจีนที่มีข่าวลือว่า เขาสามารถเดินทะลุกำแพงได้โดยพลังจิตลักษณะใช้พลังดังกล่าวนี้ก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนที่ไปโดยไม่สามาถมองเห็นได้ การบินของจานบินที่เป็นการเคลื่อนที่ไปในลักษณะที่เร็วมากจนไม่สามารถสังเกตได้ง่าย เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ของพลังจิตหรือพลังลึกลับที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ นอกจากนั้นมันสามารถทะลุไปถึงอดีตหรืออนาคต สรุปแล้วลักษณะการบินของจานบินคือ ปรากฏการณ์เคลื่อนที่เหนือการต่อเนื่องของมิติและกาลเวลา จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รูปแบบพลังหยิน-หยาง ตามปรัชญาจีนกล่าวว่า ในช่วงกำเนิดจักรวาลไม่มีสิ่งใดนอกจากพลังหยิน-หยาง พลังทั้งสองนี้จะควบคุมการแปรสภาพทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงแห่งจักรวาล พลังหยินมีพลังหยางแฝงอยู่ และพลังหยางก็มีพยังหยินแฝงอยู่ พลังทั้งสองจะแปรเปลี่ยนหรือสร้างวัตถุหรือเหตุการณ์ปรากฏขึ้ในจักรวาลตามวัฏจักรการแปรสภาพที่ไม่มีสิ้นสุด บางครั้งคำว่าหยินและหยางใช้กับคำที่เรียกเป็นนามธรรมของสิ่งต่างๆ เช่น ส่วนที่เป็นหยิน   ส่วนที่เป็นหยาง ความว่างเปล่า    สสาร สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง   สิ่งที่มีรูปร่าง - โลก - สวรรค์ - ดวงจันทร์ - ดวงอาทิตย์ - เพศหญิง - เพศชาย - น้ำ - ไฟ - ความมืด - แสง - ภายใน - ภายนอก - คงที่ - เคลื่อนที่ - ฝน - เมฆ - แม่เหล็ก (ขั้วทั้งสองเป็นทั้งหยินและหยาง) - ไฟฟ้า - ต่ำหรือใต้หรือล่าง - เหนือ - หนาว - ร้อน - อ่อน - แข็ง - การหดตัว - การขยายตัว   เนื่องจากพลังหยินและหยางมีความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นของคู่กันอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจึงมักจะมีคู่กัน ทั้งที่ขัดแย้งและสัมพันธ์กัน หรือรวมกันในลักษณะเป็นเอกภาพ เช่น หากมีสวรรค์ก็ต้องมีโลก หากมีเพศชายก็ต้องมีเพศหญิง หากมีข้างบนก็ต้องมีข้างล่าง ทุกอย่างจะปรากฏในลักษณะเป็นคู่ แต่สำหรับกระบวนการแปรสภาพภายในของพลังหยินและหยาง บางครั้งจะดูเหมือนว่าขัดแย้งกัน เมื่อพลังหยินพัฒนาจนถึงจุดสูงสุดของมัน ก็จะกลายเป็นพลังหยาง กระบวนการดังกล่าวนี้จะเปลี่ยนรูปพลังจากผลทางด้านปริมาณไปสู่ผลทางด้านคุณภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติไปสู่ชีวิตของมนุษย์ และจากชีวิตมนุษย์ก็จะกลับไปสู่ธรรมชาติ สรุปก็คือ มันจะเป็นไปตามกฎนี้ทุกประการ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า มวลสารที่เป็นหยินและมวลสารที่เป็นหยาง ทุกชนิดรวมกันก่อรูปร่างเป็นโลก ดาวพระเคราะห์ เทหวัตถุต่างๆ จนเป็นจักรวาลในที่สุด รูปแบบของหยินและหยางดังกล่าวจะเป็นแนวคิดในการวิเคราะห์เกี่ยวกับจากบิน ความสามารถทางพลังจิตหรือพลังลึกลับ นักค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินของจีนหลายคนเชื่อว่า วัตถุบินลึกลับหรือจานบินมาจากดวงดาวที่อยู่ไกล เป็นการเดินทางมาโดยใช้หลักการแปรรูปพลังหยิน-หยางนั่นเอง ประเทศจีนมีประชากรจำนวนมหาศาล และเนื่องจากขาดแคลนแพทย์และยา ประชาชนบางกลุ่มจึงหันไปนิยมรักษาด้วยวิธีเก่าแก่ใช้กันมานานหลายศตวรรษ เช่นการใช้สมุนไพร รวมถึงการฝึกกำลังภายใน หรือที่เรียกว่าศาสตร์ลับจี้กง (การฝึกสมาธิอีกวิธีหนึ่ง) เพื่อใช้ช่วยการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ วิธีรักษาแบบจี้กงไม่จำเป็นต้องอาศัยแพทย์ เข็มฉีดยา หรือยาต่างๆ ประหยัดทั้งเวลาและเงินค่ารักษา นอกจากนั้น หากใครฝึกกำลังภายในหรือฝึกจี้กงก็เท่ากับช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และช่วยให้มีพลานามัยสมบูรณ์ด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว จะเห็นได้ว่าชาวจีนกว่า 20 ล้านคนนิยมฝึกจี้กงเป็นประจำวัน การฝึกจี้กงไม่เาพียงแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและช่วยรักษาโรยภัยไข้เจ็บเท่านั้น มันยังช่วยให้พลังชี่หรือพลังลมปราณที่มีคุณค่าแก่ชีวิตไหลหมุนเวียนเข้าออกภายในร่างกายของเราด้วย นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกสมาธิและพลังจิตให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ผมได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ผลที่ได้รับทำให้พลังจิตแก่กล้าสามารถ ช่วยสะกดจิตรักษาโรค การรับรู้ทางใน ซ่อมตะเกียบและเข็มที่แตกหัก สามารถมองเห็นภาพในระยะไกล การบังคับตัวเองให้ลอยขึ้นจากพื้น การบังคับวัตถุเคลื่อนที่ เดินทะลุกำแพง การเดินทางไปในระยะไกลภายในเวลาสั้นไม่กี่นาที รวมทั้งการถอดกายทิพย์ ผู้ฝึกจี้กงเป็นจำนวนมากเปิดเผยว่า ภายหลังจากกำหนดจิตเข้าสู่สภาวะจิตสงบนิ่งเป็นสมาธิแล้ว พลังจิตจะไหลไปสู่ดาวเคราะห์ดวงอื่น สามารถมองเห็นพวกมนุษย์ต่างพิภพและได้พูดคุยกัน บางคนกล่าวว่าได้เข้าไปยังจานบินในห้วงอวกาศนอกโลก ถึงกับสามารถพูดบอกรายละเอียดของแผงเครื่องมือต่างๆ ภายในยาน รวมทั้งสามารถอธิบายถึงลักษณะการทำงานของลูกเรือบนจานบินลึกลับได้ จากเหตุผลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมามีเรื่องราวดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารยูเอฟโอ และจี้กงในประเทศจีนมากขึ้นผิดปรกติ พวกที่ฝึกจี้กงใช้พลังจิตอย่างไรบินไปยังดาวพระเคราะห์ดวงอื่น และจานบินหรือวัตถุลึกลับบินมายังโลกเราได้อย่างไร ? นักวิจัยค้นคว้าหลายคนได้กล่าวว่า ปรมาจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการฝึกจี้กงหลายคนสามารถใช้พลังจิตเด็ดใบไม้จากต้นไม้ สามารถบังคับให้วัตถุลอยขึ้นข้างบน ถึงกระนั้นก็ตามความสามารถต่างๆ ควรอาศัยผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในระดับสูงกว่าเป็นผู้ตรวจสอบ พลังหยิน-หยางทำให้เราแบ่งกลุ่มผู้มีความสามารถเป็นความสามารถชนิดหยิน เนื่องจากสังเกตได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับมวลสารประเภทหยินมากกว่าพวกหยาง สิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการใช้พลังจิตที่สัมพันธ์กับพลังหยิน-หยางก็คือความคิดที่เกิดจากจิตกำหนดนั่นเอง ทั้งนี้เพราะเหตุที่ความคิดคือการเคลื่อนที่ตามคำสั่งของมวลสารพลังหยิน เป็นการเคลื่อนที่ในลักษณะคลื่นสัญญาณสื่อข้อมูลถึงกัน และคลื่นพลังดังกล่าวสามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่เป็นวัตถุประเภทหยาง ไปกระทำกับวัตถุกลุ่มเป้าหมายจนเกิดผลตามความประสงค์ เช่น การใช้พลังจิตดึงใบไม้ออกจากกัน การหักงอเข็มหรือโลหะต่างๆ ตามปรกติเราใช้พลังจากมือหรือเครื่องมือไฟฟ้า ในการปฏิบัติงานต่างๆ แต่ความคิดของคนเรานั้นใช้คลื่นพลังข้อมูลสื่อสารที่สั่งสมไว้ในสมอง ตามหลักการแล้ว การผลิตวิดีโอเทปกว่าจะได้ภาพฉายออกมาบนจอต้องอาศัยกำลังคนถ่ายทำ เครื่องมือ เงินทุน และไฟฟ้า แต่การมองภาพเดียวกันในระยะไกลโดยพลังจิตนี้ ต้องการเพียงใช้พลังสมองปล่อยออกมา เพียงสองสามแคลอรี่เท่านั้น ดังนั้นหากพิจารณาตามหลักสูตรรูปแบบพลังหยิน-หยาง ภายใต้สภาวะที่คงที่ มวลสารประเภทหยางก็จะเปลี่ยนรูปไปเป็นมวลสารประเภทหยินได้ หรือมวลสารประเภทหยินก็อาจเปลี่ยนรูปไปเป็นมวลสารประเภทหยางได้เช่นเดียวกัน คำว่าสภาวะคงที่แน่นอน ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่เกิดขึ้นจากพลังจิตที่เกิดขึ้นในระดับสูงที่มีผลต่อกลไกแห่งความคิด ซึ่งนักปฏิบัติหรือฝึกสมาธิจิตที่เชี่ยวชาญสามารถบังคับได้ มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกย่อมมีองค์ประกอบที่สำคัญของพลังจิตอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สำรวจตนเองให้ดีพอจึงไม่พบ ทั้งๆ ที่แฝงอยู่ในร่างกายของตนนั่นเอง กลับกล่าวอ้างว่าผู้ที่มีความสามารถดังกล่าวเป็นพวกนักบวช พ่อมดหมอผีต่างๆ นานา น่าเสียดายที่คนทั่วไปไม่รู้จักวิธีสร้างหรือกระตุ้นพลังจิตของตนด้วยการฝึกตามศาสตร์จี้กง จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สรุปแล้วใคร่กล่าวเพิ่มเติมว่า แหล่งเกิดพลังจิตมี 4 แบบ แบบที่หนึ่ง เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งจุดเกิดพลังอาจถูกกระตุ้นโดยบังเอิญ เช่น ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย มีจุดที่พลังลมปราณไหลผ่านเข้าออก (หรือที่เรียกกันว่าจุดฝังเข็มของจีน) ถูกกระทบโดยบางสิ่งบางอย่าง ไม่รุนแรง เช่น มีดบาด แผลถูกไฟไหม้ ได้รับผลกระทบใกล้บริเวณถูกฟ้าผ่า ถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อน ได้รับบาดแผลขณะหกล้ม เป็นต้น แบบที่สอง พลังจิตเกิดขึ้นจากการกระตุ้นของปรมาจารย์จี้กงหรือผู้ที่มีพลังจิตแก่กล้า แบบที่สาม พลังจิตเกิดขึ้นจากการฝึกตามศาสตร์ลับจี้กง แบบที่สี่ พลังจิตเกิดขึ้นตั้งแต่เกิด ซึ่งถือว่าเป็นพรสวรรค์ แต่นับว่ามีน้อยมาก บางทีอาจเป็นหนึ่งในล้านก็เป็นได้ ด้วยเหตุดังกล่าว เนื่องจากชาวจีนในแผ่นดินใหญ่หลายล้านคนได้ฝึกจิตตามศาสตร์ลับจี้กงอยู่เสมอ จึงอาจดูเหมือนว่า ประชาชนที่มีพลังจิตจะมีมากอย่างกว้างขวาง จนก้าวสู่ยุคแห่งพลังจิตมวลชน เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว ประชาชนทั่วไปสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยพลังจิตของตนแล้วอะไรจะเกิดขึ้นนี่คือสิ่งที่น่าคิด ยานอวกาศพลังหยิน-หยาง สมมติว่าหากมนุษย์ในโลกอื่นก้าวเข้าสู่ยุคพลังจิตแห่งมวลชนหลายพันปีผ่านมาแล้ว พลังจิตของมนุษย์ในโลกนั้นคงจะแข็งแกร่งและมีมากกว่ามนุษย์ในโลกเราหลายเท่า ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ ที่ทำให้เขาเดินทางมายังโลกเราเพื่อสำรวจตรวจสอบบางสิ่งบางอย่าง ในการฝึกพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงสภาวะที่เกิดสมาธิขณะฝึกจี้กง หรือในสภาวะที่จิตสงบแน่นิ่ง พลังภายในจะเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังหยิน พลังนี้เองที่สามารถเดินทางไปได้เร็วกว่าแสง สามารถทะลุผ่านมิติและกาลเวลาทั้งในอดีตและปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถก่อให้เกิดประสบการณ์ในการถอดกายทิพย์ล่องลอยออกไปสู่ห้วงอากาศอันกว้างไกลได้ สมมติว่ามนุษย์ต่างดาวหรือต่างพิภพสามารถสร้างยานอวกาศพิเศษ แล้วสามารถใช้พลังจิตบังคับในขณะเดินทางเร่งความเร็วให้เร็วกว่าแสง นอกจากนั้นยังสามารถเปลี่ยนรูปโครงสร้างของยานอวกาศเป็นมวลสารประเภทหยิน แล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นคลื่นสัญญาณข้อมูล ซึ่งเข้ามาถึงโลกเราทันทีในรูปแบบการบินประหลาดที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะใช้พลังจิตลดความเร็วของยานต่ำกว่าความเร็วของแสง จนกระทั่งเปลี่ยนจากรูปของพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นวัตถุ เป็นยานอวกาศในรูปร่างแบบเดิม เมื่อจะบินกลับไปก็เพิ่มความเร็วดังกล่าวจนทำให้ยานแปรสภาพไปเป็นพลังพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนที่หรือการบินหลบหลีกอย่างรวดเร็วของยานหรือวัตถุบินของมนุษย์ต่างดาวนั้น ต้องอยู่เหนืออิทธิพลของแรงดึงดูดของโลก และอยู่เหนือระบบแรงเฉื่อยหรือความเฉื่อยที่ยึดถือทฤษฎีที่ว่า วัต:-)่อมอยู่กับที่ (ดังนั้นจะเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของมนุษย์ในโลก) ด้วยเหตุดังกล่าว จานบินที่มีพยานพบเห็นแล้วรายงานว่ามันสามารถบินหักมุมกลับ 90 องศาทันที และสามารถหยุดนิ่งอย่างฉับพลัน และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศได้นั้นเป็นไปตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวทั้งสิ้น จากข้อสันนิษฐานที่กล่าวมาแล้ว หากเป็นไปได้เราก็สามารถติดต่อกับพวกเขาได้โดยใช้พลังจิตถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ แลกเปลี่ยนกัน นักค้นคว้าทางตะวันตกเน้นวิทยาศาสตร์ที่เป็นอยู่ ซึ่งห่างไกลตัวไปมาก แต่เรื่องวิทยาศาสตร์ลึกลับภายในร่างกายของมนุษย์ยังศึกษาค้นคว้าน้อยมาก ตรงกันข้าม จีนรู้จักประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ของพลังหยิน-หยางในทางแพทย์มานานกว่าสองพันปีแล้ว นอกจากนั้น การค้นคว้าพลังจิตทางตะวันตกได้ค้นคว้าย้อนหลังอย่างจริงจังเพียงร้อยห้าสิบปีเท่านั้น ช่วงระหว่างสามสิบปีสุดท้ายมานี้เอง ที่ศาสตร์ทางพลังจิตเพิ่งจะเป็นที่สนใจได้รับการพิสูจน์ทดลองจากนักวิทยาศาสตร์ แต่น่าเสียดาย ยังหาข้อสรุปหรืออธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดเจน สรุปแล้วคนจีนได้สร้างยานอวกาศหยิน-หยางมหัศจรรย์ขึ้น ซึ่งเป็นยานพิเศษที่ไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิง ไม่ต้องการอาหาร หรืออาศัยยารักษาโรค เพียงฝึกพลังจิตให้แก่กล้าใครก็สามารถนึกคิดสร้างยานอวกาศได้ วิธีใช้ก็เพียงแต่อาศัยพลังแห่งความคิดกระตุ้นเร่งความเร็วหรือลดความเร็วเท่านั้น พวกเขาก็สามารถเดินทางออกไปสู่ห้วงอวกาศ สู่กาแลกซีอื่นที่ยังไม่ได้สำรวจด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง สามารถไปและกลับมาภายในสองสามชั่วโมงเท่านั้น ผมคิดว่าคงมีหลายท่านนึกตำหนิหรือโจมตีข้อสมมติฐานที่ผมกล่าวมานี้ ว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ ถึงกระนั้นก็ตามผมทราบว่า นักวิจัยค้นคว้าเรื่องจานบินทางตะวันตกหลายคนได้ติดตามค้นคว้าปรากฏการณ์ประหลาดทางพลังจิตของมนุษย์มานานแล้ว นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มยังตั้งข้อสมมติฐานว่า จานบินหรือยูเอฟโออาจกำเนิดจากภายในโลกเรานี้เอง เช่น อาจขึ้นมาจากใต้พื้นมหาสมุทร จากบริเวณดินแดนอาถรรพณ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา บริเวณดินแดนอาถรรพณ์สามเหลี่ยมมังกรปิศาจ หรือบริเวณดินแดนว่างเปล่าบนประเทศหรือทวีปใดทวีปหนึ่ง ทฤษฎีดังกล่าวนี้คงไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์กระมังครับ ในโอกาสนี้ผมใคร่ขอกล่าวถึงดร.ฮู ฉี นักวิทยาศาสตร์จีนยุคใหม่ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แนะนำพวกเราให้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับจานบินลึกลับอย่างกล้าหาญและระมัดระวัง จากบทความของอาจารย์พอล ดองที่กล่าวมาแล้ว ทิโมธี กู๊ดนักค้นคว้าศาสตร์ลับจานบินได้วิจารณ์ว่า ในการประชุมทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1992 องค์การวิจัยค้นคว้าจานบินของจีนได้ประกาศว่า สนใจที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างชาติเกี่ยวกับการวิจัยค้นคว้าเรื่องจานบินในปี 1993 ผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือหวาง ฉางติ้ง วิศวกรอาวุโสรักษาการองค์ประธานกรรมการขององค์กร ซึ่งได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันความสนใจของจีนเกี่ยวกับเรื่องราวของจานบินนับว่าได้ขยายวงกว้างมากกว่าประเทศต่างๆ หลายประเทศ ดังนั้นหากจีนรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องจานบินครั้งใหม่อีก ก็จะทำให้จีนก้าวไปสู่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ใหม่อย่างแท้จริง องค์การค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินของจีนก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 เป็นสมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล องค์การค้นคว้าจานบินของจีนมีสมาชิกที่เป็นนักค้นคว้านักวิจัยระดับชั้นนำถึง 3,600 คน และมีผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมากถึง 40,000 คน นักวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินมาจากสถาบันทางวิทยาศาสตร์ สถาบันการศึกษา สถาบันทางทหารและสถาบันอื่นๆ ของจีน ซึ่งมักจะร่วมประชุมปรึกษาหารือเกี่ยวกับการศึกษาลักษณะจานบินในรูปแบบต่างๆ เช่น การกำเนิดแสงสี เทคโนโลยี การขับเคลื่อนหรือแรงขับเคลื่อนในอวกาศ เป็นต้น จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:42:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ปาดดดดดดดดด ซ้าย ปาดดดดดดดดด ขวา รอบนี้ทันแล้วขอรับ ~ เทพมังกรอวยชัย เอนมา เอนมา ~ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 25 เม.ย. 52 16:44:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พบรอยวงกลมบนผืนดินและทุ่งหญ้า     จากรายงานต่างๆ ที่พยานผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับบินไปทางน่านฟ้าเหนือบริเวณเทือกเขาเซียร์รา เบอร์มีจา ถัดจากบึงลากูนา คาร์ตาจีนาไปไม่ไกลนัก พวกเราได้เดินทางเข้าไปยังเขตโอลิวาเรซ เมืองลาจ๊าซ เพื่อสำรวจค้นคว้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์จานบินต่อไป ระหว่างที่กำลังตรวจสอบหลักฐานต่างๆ เราได้พบสิ่งประหลาดอย่างไม่คาดคิดมาก่อน นั่นคือพบรอยวงกลมขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากปรากฏอยู่บนผืนดินและบนทุ่งหญ้าในบริเวณถัดจากแนวเทือกเขาเซียร์รา เบอร์มีจาเมื่อวัดดูก็พบว่ารอยวงกลมส่วนใหญ่บนผืนดินมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 35 ฟุต และตรงบริเวณขอบวงกลมโดยรอบซึ่งกว้างประมาณ 3 ฟุต สังเกตได้ว่าหญ้าที่ขึ้นปกคลุมแห้งและตาย นอกจากนั้นดินจะมีลักษณะคล้ายถูกอบให้แห้งและแข็งกว่าดินที่อยู่ภายในตรงกลางทั้งภายในขอบนอกและภายในวงกลมใหญ่ ครั้นสอบถามชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ใกล้บริเวณนั้น ต่างกล่าวว่า รู้สึกประหลาดใจมากเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน และดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ส่วนใหญ่กล่าวในทำนองเดียวกันว่ามันเกิดขึ้นหลายคืน โดยเริ่มจากคืนหลังวันที่เกิดปรากฏการณ์คล้ายแผ่นดินไหว พวกเขาเห็นแสงประหลาดและยานขนาดใหญ่มีแสงประกายหลายสี ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและบินอยู่เหนือแนวเทือกเขาเซียร์รา เบอร์มีจา มุ่งตรงไปทางคาโบ โรโจและบึงลากูนา ลักษณะรูปร่างของวัตถุบินลึกลับคล้ายกับวัตถุบินลึกลับที่ชาวบ้านในแถบเทือกเขาเซียร์รา อีกด้านหนึ่งพบเห็นเช่นเดียวกัน ฟิเดล อวิเลซ เจ้าของที่ดินพบปรากฏการณ์รอยวงกลมประหลาดกล่าวว่า "ผมอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าสี่สิบปี แล้วยังไม่เคยเห็นสิ่งประหลาดเช่นนี้เลย รอยวงกลมเหล่านั้นเกิดขึ้นในเวลากลางคืน หลังจากวันที่เราได้ยินเสียงระเบิดใต้พื้นดินและเกิดเหตุคล้ายแผ่นดินไหว" ฟิเดลมียุ้งฉางเก็บผลผลิตพืชไร่แห่งหนึ่งในโอลิวาเรซ ปรากฏว่ามีรอยวงกลมประหลาดเกิดขึ้นด้านหลังยุ้งฉางอีกสามแห่ง ในช่วงเช้ามืดวันนั้น ฟิลโล บุตรชายของฟิเดลซึ่งทำงานที่ยุ้งฉางก็รายงานว่าในเช้าวันเดียวกันช่วงเวลาประมาณตีสาม มีชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาและได้พูดกับเขาโดยอ้างว่ามาเข้าค่ายกับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งที่เดินลงไปยังถนนใหญ่ ขณะที่เขาเดินผ่านยุ้งฉางไปได้ไม่กี่นาทีก็มองเห็นยานประหลาดเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้าลอยอยู่เหนือพื้นดินบริเวณด้านหลังยุ้งฉาง ตามคำบอกเล่าของชายหนุ่มคนนั้นกล่าวว่า ลักษณะรูปร่างของยานประหลาดเป็นรูปทรงกลม ไม่มีเสียง มองดูคล้ายจานสองใบคว่ำหงายประกบกัน มีแสงสีนวลอมเหลืองเปล่งประกายออกมา เขารู้สึกตกใจมากจึงวิ่งหนีไปในทันใด ในช่วงแรก เราได้ทราบข่าวว่ามีรอยวงกลมประหลาดเกิดขึ้นแปดวง แต่สองวันต่อมาได้ข่าวว่ามีเพิ่มเป็นสิบสองวง เราได้ปรึกษากับกัปตันลูซ อริซาร์รีย์ เพื่อนนักบินที่มีประสบการณ์ในการบินมาอย่างโชกโชน และจูลิโอ ซีซาร์วิเวอรา นักเรียนฝึกบิน ทั้งสองได้พาเราขึ้นเครื่องบินไปสำรวจบริเวณดังกล่าว จากสิ่งที่เราพบเห็นพวกเรารู้สึกประหลาดใจมากเพราะพบว่ามีรอยวงกลมประหลาดบนผืนดินรวมถึงสามสิบแปดวง หลายวันต่อมาเราได้นำดินตัวอย่างจากบริเวณรอยวงกลมประหลาดไปให้หน่วยขยายพืชไร่ในเมืองมายาเกรซใกล้เมืองโคโบ โรโจ ตรวจสอบลักษณะดิน รวมทั้งเห็นชนิดหนึ่งที่เราพบในเขตร่องรอยวงกลมด้วย เจ้าหน้าที่ได้พบว่าดินที่นำไปจากบริเวณขอบวงกลมประหลาดมีค่าปริมาณความเป็นกรดหรือด่างเปลี่ยนไปมาก ส่วนดินตัวอย่างจากบริเวณภายในรอยวงกลมมีค่าเป็นปรกติ Crop circles บริเวณเทือกเขาเซียร์รา เบอร์มีจา จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 16:47:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เขียดดดดดดดด เอ้ย คางคกกกกกกกก เอ้ย อึ่งอ่างงงงงงงงง เอ้ย ปาดดดดดดดดด เอ้ย ถูกแล้ว!! จากคุณ : หมูรูนสุดหล่อ - [ 25 เม.ย. 52 16:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การลักพาตัวเกิดขึ้นอีกครั้ง ? (หมายเหตุ ผมในที่นี้หมายถึง ทิมโมธี กู้ดผู้เขียน นะครับ ^^) ตามความคิดส่วนตัวของผม คิดว่ามนุษย์ต่างดาวไม่เพียงแต่จะคอยสังเกตพวกเราเท่านั้น พวกเขายังคอยแอบปฏิบัติการอย่างระมัดระวังระหว่างพวกเราด้วย จากเอกสารรายงานจานบินปี 1992 ผมได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวของอเล็กซานดร์ พาฟโลวิช โดโลตอฟ พนักงานขับรถวัยสี่สิบสองปี ซึ่งถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป ในกรุงเลนินกราด เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปี 1990 ช่วงระหว่างสัมภาษณ์ ผมเชื่อในความจริงใจของเขาที่เล่าความจริงให้ฟัง หลังจากนั้นผมได้แนะนำเขาว่า การเผชิญหน้ามนุษย์ต่างดาวของเขาในคืนนั้นอาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มันอาจเกิดขึ้นกับเขาอีก หากเป็นไปได้ ผมได้ขอร้องเขาว่า โปรดอย่าใช้กำลังทางกายขัดขืนมนุษย์ต่างดาว พยายามทำใจให้สบายให้มีสมาธิ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยคิดว่าเขาก็มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์เรา ต่อมาผมได้พบกับแพทย์หญิงริตา โดโลโตวา ภรรยาของอเล็กซานดร์ ผมได้คุยกับเธอหลายเรื่อง ก่อนจากกัน ผมได้ขอร้องเธอว่า หากมีอะไรโทรฯไปหาผมได้ ครั้นเวลาล่วงเลยไปจนถึงปลายเดือนเมษายน ปี 1991 ผมได้รับโทรศัพท์จากแพทย์หญิงริตา ซึ่งเธอได้รายงานว่า มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นกับสามีเธออีกแล้ว หลังจากนั้นผมก็ได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอเล็กซานดร์และแพทย์หญิงริตาได้เล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ ในคืนวันที่ 29 มีนาคม ปี 1991 ขณะนั้นอากาศเลวร้ายมาก เนื่องจากมีทั้งหิมะและฝนตก เป็นวันหยุดของอเล็กซานดร์พอดี แต่ภรรยาและบุตรชายของเขาไปทำงาน แพทย์หญิงริตาต้องทำงานที่สถานีบัลติซกี้ ในช่วงกลางคืนจนกระทั่งถึงรุ่งเช้า อเล็กซานดร์นั่งดื่มชาร่วมกับเพื่อนคนหนึ่งในครัวที่บ้านของเขา เดิมเขาได้นัดแนะตกลงที่จะไปพบบุตรชายที่ทำงานเวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบนาที ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ตามปรกติเขาเป็นคนตรงต่อเวลามาก ครั้นใกล้ถึงเวลา อเล็กซานดร์ได้บอกเพื่อนว่าจะไปหาลูกชาย เขาเดินไปส่งเพื่อนที่ประตูและกล่าวคำว่ากู๊ดบาย ขณะนั้นเวลา 7.35 นาฬิกา สิ่งแปลกประหลาดอันดับแรกที่เกิดขึ้น อเล็กซานดร์ได้เปิดเผยว่ามีเหตุผลบางประการที่ทำให้เขาไม่อยากออกจากบ้านไปพร้อมกับเพื่อน สถานที่ทำงานลูกชายของเขาอยู่ในทิศทางเดียวกัน เดินทางไปเพียงยี่สิบนาทีก็ถึงแทนที่เขาจะออกนอกบ้าน เขากลับปิดประตู เปิดโทรทัศน์ แล้วนั่งลง เขาได้เปิดเผยในภายหลังว่า เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องทำเช่นนั้น สักครู่หนึ่งต่อมาทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงพูดคล้ายเสียงจากหุ่นยนต์ว่า "มาซิ มากับเราซิ" เขาจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงที่ได้ยินทางจิตหรือทางโสตประสาท แต่ตระหนักดีว่า เสียงนั้นมีอำนาจ ประกอบด้วยความรู้สึกนึกคิด เหมือนมีใครบางคนอยู่ตรงมุมระเบียงใกล้ๆ ผมได้กล่าวตอบทันใดว่า "ผมไม่ไป ผมไม่ไป" จากนั้นจำได้ว่าตัวเขาเองลุกขึ้นเดินออกจากห้องตรงไปยังระเบียงด้านนอก ความทรงจำครั้งสุดท้ายเขากล่าวว่า เห็นมนุษย์ประหลาดร่างสูงในชุดดำสองคน แล้วเขาก็หลับและหมดสติไป ครั้นรู้สึกตัวฟื้นคืนสติ อเล็กซานดร์พบว่าตนเองอยู่บนรถไฟที่กำลังแล่นมุ่งหน้าไปที่ใดที่หนึ่ง ในช่วงแรกเขาไม่สามารถเงยหน้าที่ฟุบอยู่ระหว่างเข่า สักครู่ก็ค่อยๆ ขยับ ต่อมาเขาได้หันไปพูดกับใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้รับความสนใจ เขานึกในใจว่า ทำไมจึงได้เดินทางบนรถไฟขบวนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีตั๋วเลย เขานึกหลังจากล้วงกระเป๋าเสื้อและกางเกง และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือ เชือกผูกรองเท้าไม่ได้ผูกกันไว้ตรงปรกติ เขาเป็นคนรอบคอบและเรียบร้อย ก่อนออกจากบ้านเขาพิถีพิถันเกี่ยวกับการแต่งกายมาก ช่วงสุดท้าย เขาได้ยินเสียงประกาศว่า ขบวนรถไฟจะแล่นถึงสถานีวลิยังกา ซึ่งอยู่ข้างหน้า สถานีนี้อยู่ไม่ห่างไกลจากสถานีบัลติซกี้มากนัก มีผู้โดยสารเพียงสองสามคน (และไม่มีใครนั่งอยู่ข้างหลังผม) รวมทั้งตัวเขาเองลงจากรถไฟ เวลาในขณะนั้นคือห้าทุ่มห้านาที อีกไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็เดินทางไปถึงสำนักงานของภรรยา ดร.ริตาได้เปิดเผยกับผมในภายหลังว่า ทันทีที่พบอเล็กซานดร์ในช่วงแรก เธอจ้องมองเขาด้วยอาการตกตะลึง จากนั้นเขาได้บ่นให้เธอฟังว่ารู้สึกปวดศีรษะมาก สักครู่หนึ่งริตาสังเกตเห็นรองเท้าบู๊ตของอเล็กซานดร์สะอาดและแห้งผิดปรกติ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นข้างนอกหิมะและฝนตกหนัก อีกทั้งโคลนเฉอะแฉะ ทันใดนั้นเธอฉุกคิดถึงบ้าน ไม่แน่ใจว่าที่บ้านประตูล็อกหรือไม่ เพราะอเล็กซานดร์ตกอยู่ในสภาพสะลึมสะลือ ไม่สามารถให้คำตอบได้ เธอจึงตัดสินใจโทรฯไปถามเพื่อนบ้าน ได้ความว่าประตูหน้าบ้านปิดแต่ไม่ได้ล็อก ตามปรกติสามีของเธอไม่เคยลืมล็อกประตูก่อนออกจากบ้าน ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผมมีอยู่ 4 ประเด็นคือ ประเด็นที่หนึ่ง อเล็กซานดร์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำทางจิตอย่างรุนแรง แม้แต่ช่วงระหว่างที่เขาพบกับเพื่อน ประเด็นที่สอง มีชายลึกลับสองหรือสามคนพาเขาออกไปจากบ้าน โดยไม่มีการใช้กำลังบังคับ ประเด็นที่สาม ใช้เวลาเพียง 40-45 นาทีจากสถานีโอราเนียนบวมไปยังสถานีบัลติซกี้ ซึ่งแสดงว่าเขาคงถูกพาไปที่ใดที่หนึ่งอย่างน้อยสองชั่วโมง ประเด็นที่สี่ อเล็กซานดร์ขึ้นไปบนรถไฟโดยเขาไม่ได้เดินไปเอง จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผยแก่ชาวโลกคือลินดา มูลตัน โฮว์ ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแล้ว เธอได้อุทิศตนต่ออาชีพถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีทางโทรทัศน์อย่างเต็มที่ จนสามารถคว้ารางวัลนานาชาติหลายรางวัลจากภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์และสิ่งแวดล้อม ในปี 1979 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการโครงการพิเศษที่สถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เธอเริ่มสนใจวิจัยค้นคว้าเรื่องราวความเร้นลับเกี่ยวกับการชำแหละสัตว์ต่างๆ ด้วยลำแสงประหลาดของจานบิน หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่ามัลติเลชั่น ผลที่เธอได้รับหลังจากได้ถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "A Strang Harvest" เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็คือได้รับรางวัลชนะเลิศเอมมีอะวอร์ด ในปี 1983 ลินดาเริ่มต้นทำงานเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีอิสระ และในเดือนเมษายนปีนั้น เธอได้รับเชิญไปบรรยายพิเศษที่นิวแม็กซิโก เกี่ยวกับเรื่องการติดต่อกับสิ่งที่มีชีวิตนอกโลก จากนั้นได้ทำสัญญาผลิตภาพยนตร์ชุดยูเอฟโออย่างเป็นทางการให้กับเอชบีโอ ในปี 1989 ลินดาได้พิมพ์หนังสือชื่อ An Alien Harvest: หลักฐานต่อเนื่องกับมัลติเนชั่น และการลักพามนุษย์ต่างดาว ซึ่งผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ในการวิจัยค้นคว้านานร่วมสิบปี ในปี 1991 เธอได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "การพบเห็น : รายงานจานบิน" แก่เครือข่ายทางโทรทัศน์ของบริษัทฟ็อกซ์ และมีโครงการผลิตภาพยนตร์สารคดี ในเรื่องต่อไปเกี่ยวกับทางรอดชีวิตบนโลกมนุษย์ บทความต่อไปนี้ลินดาได้นำข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับมัลติเลชั่นใหม่ล่าสุดส่วนหนึ่งมาเสนอท่านผู้อ่าน โดยสรุปดังนี้ เดิมทีคำว่า มัลติเลชั่น (MULTILATIONS) หมายถึงการผ่าตัดทำลายด้วยลำแสงประหลาดคล้ายแสงเลเซอร์ ซึ่งจะพบจากซากของสัตว์ประเภทวัว, ม้า, หมู, หรือแมว อวัยวะภายนอก เช่น ปากหรือตา และอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ หรือในกรณีที่มีลูกอ่อน ก็จะถูกตัดไปด้วย นักค้นคว้าบางส่วนกลับโต้แย้งว่าอาจเกิดจากการกระทำของพวกสัตว์ป่า หรือมนุษย์พื้นเมืองบางเผ่าที่บูชาลัทธิซาตาน แต่นักค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน ในช่วงคืนฤดูหนาวเดือนธันวาคม 1991 ย่างเข้าสู่เดือนมกราคมปี 1992 มีบางสิ่งบางอย่างกำลังตามล่าสัตว์ในแถบย่านโอคลาโฮมา, แคนซัส และมิสซูรี เพราะพบว่ามีฝูงวัว:-)ถูกชำแหละและถูกฆ่าตายอย่างประหลาดเสมอ สามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังขับรถไปตามตรอกซอกซอยแห่งหนึ่งในชนบทช่วงมืดค่ำ ได้สังเกตเห็นยานประหลาดมีแสงสว่างจ้าสองลำลอยอยู่บนท้องฟ้าในระดับต่ำ "ลำหนึ่งได้ลอยไปตามถนนเหนือรถของพวกเราซึ่งกำลังแล่นอยู่ สังเกตได้ว่ามีแสงสีกะพริบเป็นระยะ" ไมค์ มาร์คัม ชาวโอคลาโฮมา กล่าว "อีกลำหนึ่งจอดนิ่งกลางอากาศ เป็นจังหวะเหมาะที่ทำให้เราสนใจมาก มันจอดในลักษณะนิ่งเงียบไม่มีเสียงใดๆ" ไมค์และภรรยาได้รายงานว่า ทั้งเขาและภรรยาเคยเห็นวัตถุทรงกลมคล้ายลูกบอล มีประกายไฟส่องแสงระยิบระยับลอยอยู่ในระดับต่ำเหนือบ้าน ต่อมาปรากฏว่ามันได้พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงมาก และยังปล่อยควันสีเขียวไว้ ในช่วงปลายเดือนมกราคม บรรดาห้าเมืองหลัก เช่น เมืองแกรนท์, เมืองเบลน, เมืองการ์ฟิลด์, เมืองคิงฟิชเชอร์ และเมืองคอมมานเช ย่านชนบทซัมเนอร์ในเขตแคนซัส และย่านชนบทเว็บสเตอร์ในมิสซูรี ต่างมีรายงานเป็นจำนวนมากแจ้งว่า มีสัตว์ถูกชำแหละและถูกฆ่าตายอย่างลึกลับเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะมีพิธีบูชาลัทธิซาตานยอมรับว่ามีการชำแหละสัตว์ที่นำไปร่วมในพิธีกรรมในเขตชนบทดังกล่าว แต่ก็ไม่แปลกและพิสดารเท่าที่ปรากฏ ซึ่งเชอรีฟฟ์ เยียริค ชาวชนบทในเมืองแกรนท์ได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากได้พบเห็นสัตว์ถูกกระทำเพียงไม่กี่ราย เขารู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจมาก เพราะไม่มีร่องรอยการชำแหละจากฝีมือมนุษย์หรือสัตว์ตามซากสัตว์ที่ตายแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ทางกฎหมายก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะดังกล่าว รวมทั้งเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์หลายแห่งก็ได้พูดเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่มีการชำแหละสัตว์อย่างลึกลับเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1967 เมื่อพบซากม้าตัวหนึ่งชื่อเลดี้ในเขตหุบเขาซานหลุยส์ รัฐโคโลราโด มีรอยชำแหละตั้งแต่ช่วงคอลงมา และได้พบรอยกีบ (รอยเท้า) ของมันหยุดอยู่ตรงนั้น เป็นระยะทางหนึ่งร้อยฟุตห่างจากจุดที่พบซากของมัน ที่ประหลาดก็คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นต่างรายงานว่าได้เห็นจานบินลึกลับหลายลำ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กลอยอยู่ในระดับต่ำเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วเหนือบริเวณทะเลทราย ข่าวได้แพร่สะพัดไปทั่วโลกว่า คงเป็นฝีมือของจานบินที่ทำให้มีม้าตายอย่างประหลาด เมื่อฉันเริ่มวิจัยค้นคว้าเพื่อทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "A Strange Harvest" ในปี 1979 ฉันไม่ได้เตรียมที่จะถ่ายทำจานบินหรือมนุษย์ต่างดาว และไม่คาดคิดว่ามันจะเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ต่อมาหลังจากได้สัมภาษณ์และได้รับรายงานจากพยานที่พบเห็นหลายราย ปรากฏว่าส่วนใหญ่ได้รายงานเห็นวัตถุบินลึกลับมีแสงสีเป็นประกาย บางครั้งจะมีสีส้ม บินมาในลักษณะเงียบ วัตถุบินประหลาดบางลำมีขนาดใหญ่เท่ากับหรือใหญ่กว่าสนามฟุตบอล ลอยอยู่เหนือทุ่งเลี้ยงสัตว์ หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่พบว่ามีสัตว์ถูกชำแหละและตายอย่างประหลาดในเวลาต่อมา บ้างก็รายงานว่ามีลำแสงที่สาดส่องมาจากยานประหลาดลงมายังทุ่งเลี้ยงสัตว์หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์สว่างจ้ายิ่งกว่าแสงแดดในเวลากลางวัน และในวันต่อมาก็จะพบว่ามีสัตว์ถูกชำแหละและถูกฆ่าตายอย่างประหลาด ฉันยังได้ตรวจสอบรายงานต่างๆ จากพยานที่พบเห็นเหตุการณ์หลายคนได้อ้างว่าเป็นยานลึกลับและสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์เกี่ยวข้องกับการตายอย่างประหลาดของสัตว์เป็นจำนวนมาก ในปี 1983 สามีภรรยาชาวมิสซูรีคู่หนึ่ง ได้ใช้กล้องส่องดูมนุษย์ประหลาดสวมชุดสีเงินรัดรูปสองคนกำลังบังคับแม่วัวสีดำตัวหนึ่งที่ตายแล้วลอยขึ้นไปยังยานประหลาด มนุษย์ต่างดาวที่เห็นมีศีรษะใหญ่และมีสีขาว นอกจากนั้นยังมีมนุษย์ประหลาดผิวคล้ายหนังตะกวดสีเขียวยืนอยู่ใกล้ๆ มีดวงตาเรียวเป็นเส้นเล็กๆ ในลูกตามีขีดเส้นตรงลงมาคล้ายตาของจระเข้ ในเช้าวันหนึ่งปี 1980 เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งในเมืองเวโค รัฐเท็กซัส ได้เห็นมนุษย์ต่างดาวสองคน สูงประมาณสี่ฟุต มีเบ้าตาดำสนิท กำลังช่วยกันหามลูกวัวตัวหนึ่ง เขารู้สึกตกใจมากจนวิ่งหนีไปแทบไม่คิดชีวิต อีกสามวันต่อมาเขาได้พาภรรยาและบุตรชายย้อนกลับไปยังบริเวณดังกล่าว ปรากฏว่าเห็นซากลูกวัวตัวนั้นถูกชำแหละคล้ายผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ หนังของมันยังมีสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิม เช่นเดียวกับกีบเท้าและกระดูกกะโหลกศีรษะแต่กล้ามเนื้อโครงกระดูกและอวัยวะภายในพวกตับไตไส้พุงหายไป นอกจากนั้นสังเกตได้ว่ามีการถลกหนังด้านในจากกระดูกสันหลังออกมา แล้วม้วนลงไปกองบนพื้นดินอย่างประณีตเรียบร้อย และที่ประหลาดมากก็คือ กระดูกซี่โครงทั้งหมดถูกถอดออกมาด้วย "ใครเป็นคนทำ ทำเช่นนี้ทำไม พวกเขาพยายามที่จะบอกอะไรแก่เรา ?" เจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ได้กล่าวกับฉัน นับตั้งแต่ฉันเริ่มวิจัยเกี่ยวกับความลึกลับของสัตว์มาตั้งแต่ปี 1979 ยังไม่มีปีใดที่ผ่านมาโดยไม่มีรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ประหลาดทางมัลติเลชั่น แม้แต่ในปี 1992 ก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เหตุการณ์พิสดารในโอคลาโฮมา แคนซัส และอาร์แคนซัส ในวันที่ 25 มกราคม ปี 1992 มีคนพบแม่วัวตัวหนึ่งนอนตายอยู่บนพื้นดินใกล้เมืองโอคีมาห์ รัฐโอคลาโฮมา เต้านมของมันถูกตัดขาดโดยไม่มีรอยเลือด หน้าอกด้านขวาถูกผ่าออกมาเป็นทางยาว รองหัวหน้าเขตโอ๊กฟุสซีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวใจของแม่วัวตัวนั้นก็ถูกตัดไปด้วย ไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งชัดว่าเป็นการกระทำของมนุษย์หรือสัตว์ เพียงแต่รองหัวหน้าเขตได้กล่าวสรุปสั้นๆ ว่า "อาจมาจากสาเหตุของพิธีกรรมบูชาซาตาน" สิ่งที่เป็นปริศนาแก่ผู้พบเห็นรวมทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็คือ เป็นการชำแหละที่ประหลาดมากก็คือ ไม่มีรอยเลือดหรือคราบเลือด ไม่พบร่องรอยของการดิ้นรนต่อสู้หือขัดขืน ไม่พบร่องรอยทั้งที่เป็นรอยเท้าของมนุษย์หรือสัตว์ในบริเวณนั้น ในวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ นักวิจัยค้นคว้าจากศูนย์ข่ายงานค้นคว้าจานบินระหว่างชาติโอคลาโฮมา ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือชัค ไพน์ได้เดินทางไปยังสำนักงานนายอำเภอที่การ์ฟิลด์, คิงฟิชเชอร์ และแกรนท์ เพื่อหาข้อมูลหรือรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์มัลติเลชั่นในเดือนมกราคมที่ผ่านมา อาร์ชี เยียริค หัวหน้าเขตแกรนท์ได้กล่าวว่า ในเช้าวันนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจในเมืองคาล์ดเวลล์, แคนซัส เกี่ยวกับวัวที่ถูกฆ่าตายในวันนั้น ชัคได้ตระเวนไปทางทิศเหนือของพรมแดน และได้เดินทางไปพร้อมกับนายตำรวจคนหนึ่งไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ เขาได้รับตัวอย่างเนื้อเยื่อจากการชำแหละแบบทั่วไปกับเนื้อเยื่อที่ถูกชำแหละอย่างประหลาดเปรียบเทียบกัน โดยได้ดองไว้ในขวดสารละลายฟอร์มาลิน แล้วส่งด่วนทางไปรษณีย์ไปให้ดร.จอห์น อัลท์ชูเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพยาธิวิทยา และโลหิตวิทยาที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโดตรวจสอบ ดร.อัลท์ชูเลอร์และฉันเคยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 1989 โดยได้พยายามที่จะรวบรวมตัวอย่างเนื้อเยื่อจากปรากฏการณ์มัลติเลชั่นเกี่ยวกับสัตว์ให้มากที่สุด เพื่อนำมาตรวจสอบทั้งทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยเครื่องมือต่างๆ ที่ทันสมัย โดยเฉพาะกล้องจุลทรรศน์รุ่นใหม่ที่สามารถตรวจสอบให้เห็นว่า เนื้อเยื่อจากสัตว์หลายชนิดรวมทั้งกระต่ายหลายพันธุ์ กวาง ม้าพันธุ์ต่างๆ และวัว:-) ซึ่งถูกผ่าตัดด้วยความร้อนสูง อุณหภูมิหลายร้อยองศาฟาเรนไฮต์ เพื่อหาหลักฐานหรือตรวจสอบดูสารสีแดงของเม็ดเลือดสีแดงที่มีหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดไปสู่เนื้อเยื่อ รวมทั้งตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ด้วย ในปี 1990 จากการตรวจสอบกรณีที่เกิดกับสัตว์ชนิดหนึ่ง พบว่าเนื้อเยื่อถูกผ่าตัดราวกับใช้กรรไกรตัดผ้าที่มีใบมีดเป็นบากคล้ายใบเลื่อย ทั้งดร.อัลท์ชูเลอร์และศูนย์ปฏิบัติการวินิจฉัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ รัฐโอเรกอน ได้ยืนยันว่ารอยผ่าตัดเช่นนั้นคงใช้ความร้อนสูงมาก ซึ่งต่อมาดร.อัลท์ชูเลอร์ก็ได้พบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อในบริเวณที่ถูกผ่าตัดด้วยความร้อนสูงเช่นเดียวกันในซากวัวที่พบในเขตคาล์ดเวลล์ แคนซัส ในวันอังคารต่อมา คือวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1992 มีรายงานเกิดมัลติเลชั่นกับวัวอีกสองรายที่คาลูเม็ต รัฐโอคลาโฮมา ห่างจากเอล เรโนไปทางทิศตะวันตกราวสิบไมล์ รายแรก ผู้พบเหตุการณ์คือโรเบิร์ต และทราวิส ดีน บุตรชายของเขาได้พบวัวพันธุ์บรามันนอนตายในเช้าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ลักษณะซากสังเกตได้ว่า ลิ้นของมันถูกตัดไปครึ่งหนึ่ง ไม่พบรอยเลือด มีรอยผ่าตัดรูปวงรีเอาอวัยวะเพศออกไป และส่วนไส้ตรงถูกดึงออกมา จากการตรวจสอบอย่างละเอียดไม่พบร่องรอยที่จะเป็นหลักฐาน จึงไม่มีใครอธิบายได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ในเย็นวันที่พบเหตุการณ์ ทราวิสได้พาจูลี แฮมิสตันเพื่อนสาวย้อนกลับไปที่ทุ่งหญ้า เพื่อชี้ให้เธอดูบริเวณที่พบวัวนอนตายอย่างประหลาด ขณะนั้นเป็นเวลา 18.15 น. ปรากฏว่าทั้งสองได้เห็นแสงสว่างจ้าจากยานประหลาดเหนือบริเวณทุ่งหญ้าตรงนั้นมันสว่างไสวกว่าแสงดาวฤกษ์ถึงสิบเท่า ทราวิสเล่าว่า "ขณะที่เราขับรถเข้าไปใกล้ ก็สังเกตเห็นแสงสีต่างๆ สาดส่องเป็นประกายออกมาตรงบริเวณริมขอบรอบๆ ยานเป็นระยะๆ มีทั้งแสงสีแดง สีเหลือง น้ำเงิน และสีขาว" ทราวิสได้ขับรถหนีออกไปทันที ส่วนจูลีตกใจมาก ทั้งสองหันหลังไปมองก็เห็นยานประหลาดนั้นลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วได้บินตามรถของเขามาอย่างกระชั้นชิด เขาได้เร่งความเร็วประมาณแปดสิบไมล์ต่อชั่วโมง พอรถแล่นเข้าไปในเมืองมันก็บินผ่านรถของเขาไป หลังจากไปส่งจูลีที่บ้านของเธอแล้ว ทราวิสได้พาบิดาของเขาย้อนกลับไปที่ทุ่งหญ้าอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าได้เห็นจานบินลอยอยู่เหนือบริเวณนั้นอีก โรเบิร์ตได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ในเวลาต่อมาว่า จานบินลำนั้นส่องแสงเป็นประกายเจิดจ้าหลายสี ทั้งเขาและทราวิสพยายามจะขับรถปิ๊กอัพเข้าไปใกล้มัน ทันใดนั้นมันก็ดับแสงทั้งหมด แล้วบินหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นประมาณสองถึงสามนาที จานบินลำนั้นก็โผล่บนท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หายลับไปในที่สุด ในบ่ายวันจันทร์ต่อมา คือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ วัวตัวผู้พันธุ์เฮียร์ฟอร์ด ซึ่งเป็นวัวตัวที่สองที่ถูกฆ่าตายในลักษณะมัลติเลชั่นในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์เดียวกัน ปรากฏว่าลิ้นของมันครึ่งหนึ่งส่วนหน้าถูกตัด หูซ้ายถูกตัด และบริเวณอวัยวะถูกผ่าตัดออกไป รวมทั้งลำไส้ตรงก็ถูกดึงออกไปด้วย ในช่วงหลังเที่ยงคืนของวันที่ 3 มีนาคม ที่โอคีมาห์ รัฐโอคลาโฮมา มีรายงานว่าชายสามคน ได้พบเห็นจากบินรูปร่างคล้ายเพชร สีเทาโลหะ มีช่องคล้ายหน้าต่างรายรอบ ร่อนลงมาบนพื้นดินชั่วขณะ แล้วบินออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาคาดคะเนว่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของมันคงยาวเกินกว่าสามสิบฟุต ในวันที่ 9 มีนาคมอีกครั้งหนึ่งที่โอคีมาร์ มีคนพบวัวตัวเมียตัวหนึ่ง นอนตายในลักษณะถูกชำแหละหรือผ่าตัดอย่างประหลาดบริเวณเต้านม และถูกผ่าตัดอย่างเรียบร้อย ประณีต ไม่มีรอยเลือด นอกจากนั้นยังพบรูขนาดใหญ่บริเวณลำตัวด้านซ้ายคล้ายกับรูกระสุนปืนใหญ่ แต่ไม่พบรูทะลุออก หรือไม่พบลูกกระสุนปืนแต่อย่างใด และได้พบรอยเลือดเพียงเล็กน้อยบนพื้นดินใกล้กับส่วนหัวของมัน ในวันที่ 4 มีนาคม แดนนี วอร์เนอร์ รองหัวหน้าเขตเบนตัน ได้เดินทางไปพบบิลล์ คาวเกอร์ที่ฟาร์มของไทสัน ใกล้เมืองไฮวัชช์ รัฐอาร์แคนซัส ซึ่งมีรายงานว่าพบแม่วัวตัวหนึ่งถูกฆ่าตายอย่างประหลาด บริเวณนัยน์ตาด้านซ้าย, ลิ้น, หนังขนาด 20X30 นิ้ว จากบริเวณขาหลังถูกผ่าตัดออกไปอย่างประณีต ส่วนเนื้อใต้ท้องไม่ได้ถูกผ่าตัด ที่น่าสังเกตก็คือพบรอยผ่าตัดเอาหนังเป็นแผลลึกมาก ผลจากการตรวจสอบของแดนนี วอร์เนอร์ รายงานดังต่อไปนี้ "ลิ้นของวัวถูกตัดด้วยเครื่องมือที่คมมาก ส่วนที่ถูกตัดยาวประมาณหกถึงแปดนิ้ว นับจากฟันหน้าของวัว ตาข้างซ้ายของมันถูกตัดออกไป บริเวณเต้านมและหนังส่วนหนึ่งถูกผ่าตัดออกไปด้วยเครื่องตัดที่คม ส่วนบริเวณใต้ท้องหรือกระเพาะไม่พบร่องรอยใดๆ บริเวณอวัยวะเพศถูกผ่าตัดเป็นช่องกว้างและดึงออกไปอย่างประณีต บริเวณรอบๆ ข้างวัวไม่พบร่องรอยที่ชี้ให้เห็นว่ามีการต่อสู้ดิ้นรน หรือขัดขืน รวมทั้งไม่พบรอยเท้าของมนุษย์หรือสัตว์อื่น นอกจากพบรอยเลือดส่วนหนึ่งทางด้านหัวที่หยดลงบนพื้นดินเพียงเล็กน้อย ในวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม ปี 1992 ผมได้ติดต่อกับนายแพทย์มาเรียน แฮร์ริส สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งจากเมืองเกรเวตต์ รัฐอาร์แคนซัส โดยผมได้ถามว่า อวัยวะภายในแม่วัวนั้นสามารถล้วงหรือดึงออกไปจากช่องอวัยวะเพศได้หรือไม่ นายแพทย์มาเรียนกล่าวว่า สามารถเอาออกได้หากแม่วัวตัวนั้นได้คลอดลูกวัวมาแล้วประมาณหกสัปดาห์ก่อนที่มันจะถูกฆ่าตาย ผมได้ขอร้องให้นายแพทย์มาเรียนผ่าตัดศพแม่วัวด้วย ปรากฏว่าเขาตอบตกลงด้วยความยินดี "ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 1992 เวลา 14.00 น. ผมพร้อมทั้งแซมแบลน เกนชิและบิลล์ คาวเกอร์ ได้ปรึกษาหารือกับนายแพทย์มาเรียนที่ไร่ตรงบริเวณที่พบแม่วัวถูกฆ่าตาย นายแพทย์มาเรียนไม่สามารถบอกได้ว่าอวัยวะภายในของมันถูกล้วงเอาไปหรือไม่ เพราะต้องคอยอีกแปดวันกว่าจะลงมือผ่าตัด" ที่มิสซูรี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 1992 มีรายงานเกี่ยวกับมัลติเนชั่นกับวัวตัวเมียในเขตเมืองเว็บสเตอร์ รัฐมิสซูรี ด้านตะวันออกของสปริงฟิลด์ถึงสิบเอ็ดราย และในขณะเดียวกัน มีประชาชนเป็นจำนวนมากรายงานว่าได้เห็นจานบินประหลาดบนท้องฟ้าเหนือบริเวณนอร์ธวิวหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ตรวจตราบนทางหลวงได้กล่าวว่า มีประชาชนเป็นจำนวนมากจอดรถบริเวณตรงทางแยกถนนหมายเลข 44 ตัดออกไปทางนอร์ธวิว เพื่อเฝ้ามองดูจานบิน ต่อมาได้ส่งตัวอย่างเนื้อเยื่อจากวัวที่ถูกฆ่าตายด้วยวิธีมัลติเลชั่นเก้ารายไปให้ ดร.อัลท์ชูเลอร์ตรวจสอบ ซึ่งได้พบหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ความร้อนสูงตามแนวผ่าตัด คล้ายกับแสงเลเซอร์ที่ต้องอาศัยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่เลยทีเดียว "หากคุณสามารถจัดการกับวัวตัวหนึ่ง ทำไมคุณต้องลากมันออกไปกลางทุ่งในช่วงกลางคืน ซึ่งเจ้าของฟาร์มอาจยิงคุณโทษฐานไปยุ่งเกี่ยวกับวัวของเขา ? ดูอัน เบเดลล์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่ายงานค้นคว้าจานบินในเมืองเว็บสเตอร์ถาม "แม่วัวทั้งหลายถูกฆ่าโดยไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนขัดขืน ไม่พบรอยเลือด และไม่พบร่องรอยว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ?" โจ บูลดินเจ้าของฟาร์มอีกคนหนึ่งกล่าวว่า วัวของเขาที่ตายถูกตัดคอพบรอยผ่าตัดเอาหลอดอาหารออกมา และรอยผ่าตัดหัวนมจากเต้านม ไม่พบร่องรอยใดๆ บนพื้นดินบริเวณรอบๆ ซึ่งโจได้กล่าวว่า "มันถูกฆ่าตายอย่างลึกลับและประหลาดมาก" จากการชันสูตรศพได้เปิดเผยว่า เลือดส่วนใหญ่ถ่ายออกไปจากวัว แต่ปรากฏว่าพื้นดินตรงนั้นแห้งไม่พบรอยเลือด "คนถ่ายเลือดออกจากวัวโดยไม่มีหยดเลือดตกหล่นได้อย่างไร?" โจ บูลดินตั้งคำถามและได้กล่าวต่อไปว่า "ผมไม่เคยแบกปืนมาก่อนเลยในชีวิต แต่มาบัดนี้ผมจำเป็นต้องพกปืนติดตัวเสมอ นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น" เอ็ดวินา แร็กส์เดล เจ้าของฟาร์มอีกคนหนึ่งก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน "ราวกับแม่วัวทั้งหลายถูกดองในลักษณะดองศพ" เธอกล่าว "เราได้ไปที่นั่นเมื่อสัปดาห์สุดท้าย (กุมภาพันธ์ ปี 1992) และพบว่า ได้กลิ่นสัตว์เน่าเปื่อย ปรากฏว่าเป็นแม่วัวถูกฆ่าตายอย่างประหลาด" ครั้นมีคนถามเธอว่าคิดว่าใครเป็นคนทำ ? เธอตอบว่า "คงเป็นจานบินหรือไม่ก็พวกทำพิธีบูชาซาตาน ทั้งสองอย่างนี้ทำให้ฉันรู้สึกกลัวมาก" ฉันเคยเห็นสัตว์ที่ถูกดองมาแล้วในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 เมื่อฉันพิมพ์หนังสือชื่อ "A Strange Harvest" เจ้าของคอกปศุสัตว์คนหนึ่งทางด้านตะวันออกของโคโลราโดสปริงส์ ได้พบเห็นม้าตัวหนึ่งของเขานอนตายในลักษณะถูกกระทำโดยวิธีมัลติเลชั่น ลูกทีมของฉันได้บันทึกภาพวิดีโอประมาณยี่สิบวันหลังจากพบม้านอนตายครั้งแรก ลักษณะอากาศอบอุ่นแต่ก็ยังไม่เน่าเปื่อย อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากม้าตายได้หนึ่งเดือน จึงได้เน่าเปื่อย แต่ครั้นแราผ่าตัดภายในเนื้อด้านข้างเพื่อเอาไปเป็นตัวอย่างเนื้อเยื่อปรากฏว่าส่วนกล้ามเนื้อยังมีสีแดงสดใส ฉันได้สอบถามสัตวแพทย์ท้องถิ่นคนหนึ่งถึงลักษณะดังกล่าว เาได้ตอบว่าไม่ใช่ มันน่าจะเป็นเนื้อเยื่อที่เน่าเปื่อย ในเดือนเมษายน ปี 1992 ได้รับรายงานเกี่ยวกับมัลติเลชั่นของสัตว์เกิดขึ้นในลิเบอร์ตี, มิสซิสซิปปี และที่เมืองลีดัค รัฐอัลเบอร์ตา ในแคนาดา เช่น พบว่าวัวตัวเมียสองตัวถูกผ่าตัดเอาหนังใบหน้าออกไปครึ่งหนึ่ง ลิ้นถูกตัดลูกวัวอายุเพียงสามวันถูกตัดหัวและเท้า ไม่พบรอยเลือด และไม่พบร่องรอยที่จะบ่งบอกสาเหตุที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ที่ประเทศแคนาดา ในวันที่ 14 เมษายน ปี 1992 โดโรธีและโรมัน เวอร์โคมิน เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์พบว่า มีวัวตัวแรกในจำนวนหกตัวถูกฆ่าตายด้วยวิธีมัลติเลชั่นในฟาร์มที่เมืองลีดัค รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา เป็นแม่วัวพันธุ์โฮลสไตน์ อายุยี่สิบปี ที่มิสซิสโดโรธีเลี้ยงไว้เพื่อรีดนมเป็นกรณีพิเศษในช่วงฤดูคลอดลูก วัวตัวนี้เป็นวัวที่เชื่องและเลี้ยงง่าย ซึ่งโดโรธีกล่าวว่า เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะช่วงที่พบมันครั้งแรก มันตกอยู่ในสภาพที่ต้องทนทรมานอย่างหนักนานถึงหกชั่วโมงกว่าจะตาย ลักษณะที่พบก็คือด้านไหล่ซ้ายมีช่องหรือรูขนาดใหญ่คล้ายรูกระสุนปืนที่หักมุมลงไปถึงช่วงอก คล้ายกับวัวตัวเมียที่ประสบเหตุการณ์เดียวกันในเมืองโอคีมาห์ รัฐโอคลาโฮมา ในสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากตรวจสอบอย่างพิถีพิถัน ไม่พบลูกกระสุนปืน ไม่พบบาดแผลที่ทะลุออกไปอีกด้านหนึ่ง ที่ลำคอของมันมีรอยแผลชำแหละเป็นเส้นตรงยาวสิบสองนิ้ว ข้างหลอดเลือดดำใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรอยชำแหละรอบๆ บริเวณไส้ตรงและผืนหนังที่ถูกชำแหละลึกสองนิ้ว รวมทั้งบริเวณทวารหนักและอวัยวะเพศก็ถูกตัดเอาไปด้วย "สิ่งที่น่าสังเกตส่วนใหญ่ก็คือไม่พบรอยเลือดทั้งภายในและรอบๆ ซากศพแม่วัว" จานิช เซเมนุค นักค้นคว้าของทีมข่ายงานค้นคว้าจานบินระหว่างชาติกล่าว (จานิชได้ทำงานร่วมกันกับการ์ดอน ไคเจ็ค ผู้อำนวยการกลุ่มค้นคว้าจานบินอัลเบอร์ตา) โดโรธีได้โทรศัพท์ไปถึง ดร.เวย์น ซีเรดา สัตวแพทย์ได้ไปตรวจสอบ ครั้นเขาได้เปิดดูศพของวัวในบริเวณที่พบแล้ว เขาได้กล่าวว่า เนื้อมีสีขาวซีดผิดปรกติ ชี้ให้เห็นว่าคงถูกสูบเลือดไป โดโรธีได้กล่าวว่า ฝ่ายสัตวแพทย์ ฝ่ายตำรวจ และหน่วยสืบสวนกลางแคนาดา ได้ร่วมกันปรึกษาหารือเกี่ยวกับแม่วัวที่ถูกฆ่าตายด้วยวิธีดังกล่าวว่า เลือดของมันหายไปไหน หากเป็นการกระทำของมนุษย์หรือสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร แทบทุกรายมักจะมีหลักฐานสังเกตเห็นได้ไม่ยาก โรมันได้กล่าวสรุปว่า "ทั้งผมและภรรยายังไม่เคยเห็นการชำแหละผ่าตัดเช่นนี้มาก่อน" และโดโรธีได้กล่าวเสริมว่า "ที่ไร่และฟาร์มของเรายังไม่เคยมีประวัติสัตว์ดุร้ายอื่นๆ มาทำร้ายวัวของเราเลย" ได้มีการหยิบยกกรณีเกี่ยวกับพิธีบูชาซาตานที่มีการฆ่าสัตว์ขึ้นมาพิจารณาด้วย โดยสมมติว่า อาจมีบางคนเข้ามาจู่โจมอย่างเงียบๆ เช่น อาจใช้เรือแคนูล่องน้ำลำธาร จากฝั่งทะเลสาบซอนเดอร์ส ซึ่งไหลผ่านบริเวณด้านข้างของไร่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบหลักฐานวัวต่อสู้หรือขัดขืน หรือรอยเท้าของคนที่บุกรุกเข้าไปฆ่า รวมทั้งรอยเลือดภายในและภายนอกรอบๆ ซากศพวัว โดโรธีจำได้ว่า เธอเคยปล่อยสุนัขหลายตัวออกไปยังทุ่งเลี้ยงสัตว์ ในตอนเย็นและตอนกลางคืน ปรากฏว่าวัวถูกฆ่าตายด้วยวิธีมัลติเลชั่นในบริเวณดังกล่าว" โดโรธีกล่าว ในช่วงระหว่าง 14 มิถุนายน ถึง 16 กรกฎาคม ปี 1992 มีวัวถูกฆ่าตายด้วยการชำแหละดังต่อไปนี้ 14 เมษายน วัวตัวเมียพันธุ์โฮลสไตน์ อายุ 20 ปี 14 มิถุนายน ลูกวัวพันธุ์ชาโรไลส์ เฮียฟอร์ด หนัก 250 ปอนด์ 21 มิถุนายน ลุกวัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ด ไฮเฟอร์ หนัก 250 ปอนด์ 24 มิถุนายน ลูกวัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ด ไฮเฟอร์ หนัก 250 ปอนด์ 28 มิถุนายน แม่วัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ด หนัก 800 ปอนด์ 16 กรกฎาคม แม่วัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ด หนัก 800 ปอนด์ โดโรธีได้เล่าว่า ในวันที่ 14 มิถุนายน ลูกวัวที่พบถูกฆ่าตายนั้น ได้พบหลังจากมันตายแล้วสองวัน สภาพซากศพนั้นน่าสมเพชอย่างยิ่ง มันนอนตายในลักษณะเอาด้านข้างขวาของหัวและหน้าอกนอนลงไปบนพื้นดิน ขาหน้าทั้งสองขาเหยียดตรงไปข้างซ้าย ขณะที่ส่วนครึ่งหลังนอนราบไปกับพื้นดิน ส่วนขาหลังสองขากางแยกจากกัน หูด้านซ้ายและนัยน์ตาถูกชำแหละเอาไป มีช่องโหว่ทางด้านซ้ายของคอเฉียงลงไปตรงหน้าอก ท่อนหางถูกตัดจนถึงส่วนที่เป็นกระดูก ไส้ตรงและช่องคลอดถูกผ่าเป็นรูปวงรีแล้วถึงออกมา นอกจากนั้นแผ่นหนังขนาดกว้างถูกชำแหละตามขาหลังและตามส่วนท้องไปยังซี่โครงจนถึงหน้าอก ส่วนอวัยวะภายในทั้งหมดถูกล้วงออกไปอย่างสะอาด โพรงภายในร่างกายแห้งและกลายเป็นสีดำ ดร.ซีเรดาได้รับโทรศัพท์ให้ไปตรวจสภาพสัตว์ที่ตายอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้เขาได้พาสัตวแพทย์ไปร่วมตรวจด้วยอีกคนหนึ่ง หลังจากได้ตรวจดูซากสัตว์แล้ว เขากล่าวว่าซากเน่าเปื่อยมาก ไม่สามารถตรวจสอบหาสาเหตุการตายได้ นักวิจัยค้นคว้าจากหน่วยอาร์ซีเอ็มพีได้ร่วมดำเนินการอยู่ด้วย ในวันที่ 21 มิถุนายน ลูกวัวที่ตายยังดูอุ่นๆ ขณะนอนตายใกล้เท้าของแม่มัน แม่วัวยังยืนเฝ้าซากศพลูกของมันซึ่งอยู่ห่างจากฝูงวัวประมาณหนึ่งไมล์ โดโรธีได้นำซากศพไปให้สัตวแพทย์ที่ศูนย์ห้องปฏิบัติการอีกแห่งหนึ่งตรวจสอบ ซึ่งได้คำตอบมาว่า ลูกวัวตายเนื่องจากได้รับเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า คลอสริเดียมมากกว่า สามวันต่อมาคือในวันที่ 24 มิถุนายน โดโรธีกล่าวว่า "เราได้กลิ่นวัวตายอีก ซึ่งเป็นลูกวัวหนักราว 250 ปอนด์ สภาพศพเน่าเปื่อยมาก นอนตายอยู่ห่างจากจุดที่พบแม่วัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ดนอนตาย ในวันที่ 28 ในเวลาต่อมา" ลักษณะซากแม่วัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ดขนาดหนัก 800 ปอนด์นั้น สังเกตได้ว่า หูและตาถูกตัดออกไป หางถูกตัดถึงระดับกระดูก ลำไส้ตรงและอวัยวะเพศถูกล้วงไป ส่วนเต้านมมีรอยผ่าตัดออกไปอย่างประณีต และหนังบางส่วนถูกชำแหละออก การชำแหละหรือผ่าตัดโดยคงสภาพซากศพไว้อย่างสมบูรณ์เช่นนั้น โดยโดโรธีเปิดเผยว่า เธอรู้สึกประหลาดใจมาก ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสภาพซากแม่วัวแล้วไม่พบร่องรอยที่เกิดจากการกระทำของสัตว์ที่จับสัตว์อื่นเป็นอาหาร และไม่พบร่องรอยที่เกิดจากการกระทำของบุคคลใดหรือกลุ่มใด วันที่ 16 กรกฎาคม พบแม่วัวพันธุ์เฮียร์ฟอร์ดอายุสองปีถูกฆ่าตายอีก สภาพซากศพที่เห็นไส้ตรงถูกดึงออกไป เต้านมถูกตัดออกไปในลักษณะคล้ายกับใช้แสงเลเซอร์ตัด ลิ้นบางส่วนถูกตัด ฟันหลายซี่ถูกถอนไป ตรงข้างคอด้านซ้ายมีรอยผ่ายาว 4 นิ้วกว้าง 1 นิ้ว และตรงกลางเป็นรูลึก 2 นิ้ว ภายหลังจากส่งตัวอย่างเนื้อเยื่อไปให้ดร.อัลท์ชูเลอร์ซึ่งได้ตรวจสอบโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ที่ทันสมัย พบว่าบริเวณที่ถูกชำแหละหรือผ่าตัดมีรอยสัมผัสความร้อนสูงมาก แมวกับมัลติเลชั่น จากรายงานต่างๆ เกี่ยวกับมัลติเลชั่นที่เกิดกับสัตว์ไม่เพียงแต่จะปรากฏเฉพาะวัวเท่านั้น ยังเกิดกับสัตว์ภายในบ้านอีกหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับแมว นับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา มีรางานข่าวมัลติเลชั่นที่เกิดกับแมวหลายครั้งในแคนาดา แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส และนับจากวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1992 เป็นต้นมา ปรากฏว่ามีรายงานข่าวพบแมวถูกฆ่าตายด้วยวิธีมัลติเลชั่น ในแวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบีย ลักษณะของแมวที่ถูกชำแหละด้วยวิธีมัลติเลชั่น คือถูกตัดลำตัวตรงกึ่งกลางเป็นสองท่อน โดยไม่พบรอยเลือด ไม่พบรอยถูกสัตว์อื่นทำร้าย หรือไม่มีหลักฐานให้ทราบว่าใครเป็นคนทำ เช่น ในกรณีที่เกิดขึ้นกับแมวพันธุ์รัสเซียนบลู และแมวพันธุ์ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก ในช่วงภาคฤดูร้อนปี 1991 ที่เมืองปลาโน รัฐเท็กซัส ในเขตชุมชนของคนชั้นกลางทางด้านเหนือของเมืองดัลลัส ทางสถานีตำรวจได้รับรายงานเกี่ยวกับแจ้งความเรื่องแมวบ้านหายไปนับจำนวนหลายร้อยราย และพบว่า ถูกฆ่าตายด้วยวิธีมัลติเลชั่นหลายราย จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปริศนาที่น่าคิด หลังจากเรื่อง An Alien Harvest ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นในปี 1989 ฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากยามรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งในเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ซึ่งได้เล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในคืนวันหนึ่งเดือนสิงหาคม ขณะที่เขาทำหน้าที่ลาดตระเวนในเขตย่านธุรกิจขนาดใหญ่ด้านตะวันตกของเมือง ขณะที่นั่งในรถเขามองเห็นวัตถุทรงกลมมีแสงสว่างบนท้องฟ้าที่มืดมิด มันจอดนิ่งเหนือบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์ห่างจากจุดที่เขากำลังมองเห็นราวสองร้อยถึงสามร้อยฟุต เขาไม่ได้โทรศัพท์บอกใครเนื่องจากเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าบ้าหรืองมงาย แต่ในเช้าวันต่อมาเขารู้สึกว่าตนเองมีความผิด ขณะที่เห็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์กำลังยืนมองวัวตัวเมียสองตัวถูกฆ่าตายด้วยวิธีมัลติเลชั่นในบริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งเขาเห็นวัตถุบินประหลาดลอยอยู่เหนือบริเวณนั้นในคืนที่ผ่านมา ทำให้เขาต้องเปิดเผยเรื่องที่พบเห็นจานบิน "ไม่ทราบว่าเป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชนิดใด ?" เจ้าของฟาร์มถาม ซึ่งเขาได้ตอบไปว่า "วัตถุบินนี้ประหลาดมาก ผมไม่เคยเห็นด้วยสายตาตนเองมาก่อน มันไม่มีลำแสง ไม่มีเสียง ไม่มีสิ่งใดเลย แล้วมันทำกับสัตว์ได้อย่างไร ? และหากเป็นฝีมือมนุษย์ต่างดาว ก็ไม่ทราบว่าเขามีวัตถุประสงค์อย่างใด ?" ในปี 1980 เมอร์นา แฮนเซ็นและบุตรชายของเธอได้เห็นมนุษย์ประหลาดสวมชุดสีขาวสองคน กำลังปฏิบัติการบางสิ่งบางอย่างกับแม่วัวตัวหนึ่งใกล้ซีมาร์รอน ในนิวเม็กซิโก แม่วัวได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ซึ่งเมอร์นาได้พยายามที่จะเข้าไปช่วย ผลที่ได้รับก็คือทั้งเธอและบุตรชายถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวขึ้นไปบนจานบิน พาลงไปยังดินแดนใต้พื้นโลก ซึ่งเธอคิดว่าคงอยู่ในเขตลาสครูซส์ ที่นั่นเธอได้เห็นตุ๊กตาคล้ายมนุษย์ครึ่งสัตว์ลอยอยู่ในถังที่มีสารเหลวสีแดง ดูประหนึ่งเป็นการทดลองหรือพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอยังคิดไปว่า สารเหลวนั้นอาจผสมกับเลือดและเนื้อเยื่อที่ชำแหละมาจากสัตว์ต่างๆ ในปี 1973 จูดี้ โดราตี ผู้เคยถูกจานบินและมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปแล้ว ได้สังเกตเห็นลูกวัวสีน้ำตาลขาวลอยขึ้นไปกับลำแสงสีเหลืองนวลของจานบิน ต่อมาในช่วงที่ยังถูกลักพาตัว ได้พบว่าตนอยู่ภายในห้องสีขาววงกลมเล็กๆ ซึ่งเธอได้เห็นเนื้อเยื่อที่ถูกตัดจากตาของลูกวัว และเห็นมนุษย์ต่างดาวร่างเล็กสองคนได้ตัดลิ้นและลูกอัณฑะด้วย ลักษณะของมนุษย์ต่างดาวคล้ายครึ่งคนครึ่งสัตว์ มีหนังสีเทา ดวงตากลมโต ทั้งสองคนมีนิ้วมือยาว แต่ไม่มีนิ้วหัวแม่มือ ลักษณะเรียว เล็บนิ้วมือสีดำ ดวงตาสีเหลือง และช่องตาดำมีเส้นตรงลงมาคล้ายตาของแมวหรืองู ซินดี้ บุตรสาวของจูดี้ เคยถูกลักพาตัวไปในเวลาเดียวกัน และในปี 1990 ครั้งหนึ่งขณะที่ถูกจิตแพทย์สะกดจิต โดยนายแพทย์จอห์น คาร์เปนเตอร์ เธอก็ได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป ในช่วงหนึ่งเธอได้เล่าว่า เห็นลูกวัวตัวหนึ่งลอยขึ้นไปตามลำแสงสว่างที่สาดส่องลงมาจากจานบิน จากนั้นได้เห็นมนุษย์ต่างดาวปฏิบัติการกับลูกวัวตัวนั้นคล้ายกับจะทดลองเพื่อตรวจสอบหรือพิสูจน์อะไรบางอย่าง ในกรณีทั้งซินดี้ โดราตี และเบอร์นา แฮนเซ็น ที่ถูกลักพาตัวไป ต่างได้เปิดเผยว่า ถูกมนุษย์ต่างดาวตรวจสอบเช่นเดียวกัน ตัวอย่างในกรณีของเมอร์นา เธอได้เปิดเผยว่ามนุษย์ต่างดาวได้ใช้เครื่องมือประหลาดนำไข่จากรังไข่ในมดลูกของเธอไปตรวจสอบ เธอได้เล่าว่าในขณะนั้นรู้สึกปวดมาก ในบางกรณีการตรวจสอบภายในทั้งชายและหญิงสามารถบ่งบอกสิ่งที่เกี่ยวกับทารกที่จะเกิดขึ้นหรือการผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตมนุษย์เพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง หากการค้นคว้าเกี่ยวกับพันธุศาสตร์มนุษย์และสัตว์ คือสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวต้องการแล้ว เพราะเหตุใดจึงต้องค้นหาสิ่งต่างๆ มากมาย และใช้เวลานานหลายปี ? และเพราะเหตุใดจึงปล่อยให้สัตว์ตายในลักษณะประหลาด คือถูกผ่าตัดแบบพิสดารและไร้รอยเลือด ปลุกให้คนแตกตื่นและโกรธเช่นนั้น ? บริเวณที่มีวัวถูกชําแหละบ่อยๆ จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทิมโมที กู๊ดเป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับยูเอฟโอตั้งแต่ปี 1967 ตามมหาวิทยาลัย โรงเรียน องค์การต่างๆ รวมทั้งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ สมาคม สโมสรนักศึกษาออกซฟอร์ด และเคมบริดจ์ อีกทั้งยังได้รับเชิญไปสัมภาษณ์ทั้งในรายการทางวิทยุและโทรทัศนืหลายแห่งทั่วโลก และในปี 1989 เขาเป็นนักศึกษาค้นคว้ายูเอฟโอ  ชาวตะวันตกคนแรกที่ได้รับเชิญไปสัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์โซเวียตที่กรุงมอสโก เรื่องราวต่อไปนี้ ทิมโมที กู๊ดได้เลือกสรรรายงานเกี่ยวกับเรื่องยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวจากทั่วโลกนับจำนวนหลายพันชุด โดยใช้เวลาคัดเลือกสิบสี่เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 1991 ถึงเดือนสิงหาคม ปี 1992 จำนวนรายงานจากประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาที่มีมากเป็นพิเศษนั้น ไม่อาจสรุปได้ว่ามีพยานพบเห็นจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวมากกว่าประเทศอื่น สาเหตุที่ประเทศอื่นมีรายงานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวน้อยกว่าหรือแทบไม่ปรากฏนั้น (เช่นประเทศอินเดีย) อาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ไม่เต็มใจที่จะรายงานหรือตีพิมพ์ลงในเอกสารเผยแพร่ หรือขาดแคลนผลการวิจัยค้นคว้า ขาดแคลนตำรา เอกสาร นิตยสาร หรือวารสารต่างๆ และประสบปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสาร นอกจากนั้นทิมโมทียอมรับว่า ได้รับเอกสารภาษาต่างชาติและหนังสือพิมพ์ที่ตัดส่งมาจากประเทศอื่นน้อยมาก ในการเลือกสรรรายงานที่สำคัญและน่าสนใจนั้น ด้วยความตั้งใจจริงของทิมโมทีแล้วก็คือ ต้องการเผยแพร่ปรากฏการณ์ลับเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่บุคคลบางกลุ่มมองข้ามให้กว้างขวางมากขึ้น 1 กรกฎาคม ปี 1991 บริเวณใกล้เมืองทรอยต์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ช่วงเที่ยงวัน ชายคนหนึ่งพร้อมทั้งบุตรสาววัยสิบสองปี ได้เห็นวัตถุบินลึกลับสีเงิน สว่างสดใส ขนาดมหึมาเหนือระดับเส้นขอบฟ้า เป็นมุม 15-20 องศา ลักษณะของวัตถุบินลึกลับมีรูปร่างคล้ายกับดินสอหรือซิการ์ขนาดยักษ์ ยาวประมาณครึ่งไมล์ พยานทั้งสองพ่อลูกคุ้นเคยกับอากาศยานต่างๆ เป็นอย่างดี เนื่องจากอาศัยอยู่ใกล้สนามบินเคย์ตัน ก๊อก คืออยู่ห่าง จากสนามบินไปทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ 12 ไมล์ และได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า วัตถุบินประหลาดลำนี้มีความยาวเป็นสี่เท่า และความกว้างประมาณสองเท่าของเครื่องบินโดยสารทั่วไป เป็นวัตถุบินที่ไม่มีหาง ไม่มีปีกและช่องหน้าต่าง และไม่มีเสียง บนพื้นผิวมันสว่างสดใส บางจุดมีสีดำหรือเทาเข้ม ครั้นชายคนนั้นจะเดินไปคว้ากล้องถ่ายวิดีโอมาบันทึกภาพไว้ ปรากฏว่ามันหายไปพร้อมกับปล่อยแสงสีเขียวออกมา ในเช้าวันต่อมา ปรากฏว่ามีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ทหารห้าลำบินมาสำรวจบริเวณที่มีคนเห็นวัตถุบินลึกลับลำนั้น และได้บินวนไปทางด้านขวาเหนือบ้านของชายผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับ (รายงานโดยแฟรงกลิน รีมส์ จากนิตยสารมูฟอน ยูเอฟโอ ฉบับที่ 291 เดือนกรกฎาคม ปี 1992) 8 กรกฎาคม ปี 1991 บริเวณใกล้เขตเมืองเซลเคิร์ก บอร์เดอร์ส ประเทศอังกฤษ สตีฟ ฮัลเล็ตต์ คนขับรถบรรทุกซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปตามถนน A7 ใกล้บริเวณเซลเคิร์ก ทันใดนั้นเขาประหลาดใจมากที่เห็นยานคล้ายจานบินมีแสงสว่างเป็นประกายเจิดจ้าลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขา ลักษณะของจานบินลำนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40 ฟุต แสงที่เปล่งประกายออกมาสีหลายสี ยอดบนมีลักษณะเป็นโดมตรงกลาง เขาได้หยุดรถแล้วมองจานบินลึกลับดังกล่าวด้วยความสนใจนานราวสิบห้านาที ก่อนที่มันจะหายลับไปทางน่านฟ้าที่มืดมิดด้วยความเร็วสูงมาก ผมได้รับรายงานฉบับนี้จากจอห์น เฮย์ ซึ่งอาศัยอยู่ในย่านเซนต์แมรีส์ ล็อค เมืองเซลเคิร์ก จอห์นเคยได้ยินเรื่องราวที่สตีฟ ฮัลเล็ตต์ให้สัมภาษณ์ จิลล์ แม็คเปอร์สัน ทางรายการวิทยุบอร์เดอร์ส หนึ่งวันหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว 25 กรกฏาคม ปี 1991 ที่เมืองคาร์ลีตัน รัฐควีเบ็ค ประเทศแคนาดา กลุ่มค่ายพักแรมกลุ่มหนึ่งเห็นวัตถุบินลึกลับทรงกลมสีขาวสว่างเจิดจ้าลอยอยู่เหนือทุ่งหญ้าเวลาประมาณตีสี่ ที่น่าสังเกตคือสีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาจากสีขาว ต่อมามันได้ร่อนลงพื้นดินและจอดอยู่นานทีเดียว จากนั้นก็ได้บินขึ้นไปและเปล่งแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าเป็นประกายโดยรอบ การพบเห็นครั้งสุดท้ายนานนับชั่วโมง กลุ่มผู้รายงานมีคริสเตียน แพจน์, ฟรังซัว เบอร์บอ และกลุ่มนักวิจัยจานบินแห่งสมาพันธ์มานิโต 8 สิงหาคม ปี 1991 ที่เมืองเชอร์รี เบอร์ตัน และแซงค์ตัน มณฑลฮัมเบอร์ไซด์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาประมาณห้าทุ่ม คริส เวนเตอร์ได้ออกไปเดินเล่นกับสุนัขตามตรอกซอยเล็กๆ ใกล้บ้าน ทันใดนั้นเขาสังเกตได้ว่ามีวัตถุบินประหลาดแสงสีขาวนวลสว่าง บินมาอยู่กลางอากาศเหนือบริเวณที่เขาเดินไปพอดี วัตถุบินประหลาดนี้บินมาจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกในระดับความสูงประมาณ 1,000 ฟุต ซึ่งนับว่าต่ำมาก ขณะที่บินผ่านเขาไป สังเกตได้ว่าไม่มีเสียง วัตถุบินประหลาดลำนี้มีแสงสีขาวขนาดใหญ่ตรงบริเวณด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็เป็นทรงกลม ดูเหมือนว่ามันบินไปด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วของเครื่องบินขนาดเล็ก แล้วบินโค้งกลับมาลอยอยู่กลางอากาศเหนือบริเวณที่เขายืนดูอยู่ สักครู่หนึ่งก็บินตรงออกไปทางน่านฟ้าด้านทิศเหนือด้วยความเร็วสูงมาก "มันคงไม่ใช่เครื่องบินหรืออากาศยานที่ผมเคยเห็นมาก่อน" คริสเวนเตอร์กล่าว "ทั้งผมและสุนัขของผมรู้สึกกลัวและตื่นเต้นมาก" เมื่อเวลาประมาณห้าทุ่มตรง เลน ดอร์สัน ชาวเมืองเชอร์รี เบอร์ตัน ได้รายงานว่าเห็นจานบินขนาดใหญ่ลำหนึ่ง บินในระดับสูงผ่านเขาไป ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่า "ผมยืนอยู่กลางแจ้ง จำได้ว่าเป็นวันที่อากาศดี ท้องฟ้าโปร่งใสมากทีเดียว ทันใดนั้นผมสะดุ้งตกใจกลัว เมื่อเห็นวัตถุบินประหลาดรูปร่างกลมรีบินอยู่กลางอากาศ มันบินตรงมาหาผม บินต่ำลงมาในระดับสูงจากพื้นดินราวหนึ่งรอยฟุตเท่านั้น ขนาดของมันใหญ่มาก พอๆ กับขนาดบ้านหลังเล็กๆ ด้านหน้าปลายตัด ส่วนด้านหลังเป็นท่อนกลมยาว มีแสงสว่างสีขาวนวลเจิดจ้าเปล่งประกายโดยรอบ มันบินผ่านเหนือศีรษะของผมไป ทำให้เห็นแสงสีต่างๆ ด้านใต้ยานเปล่งประกายออกมา เสียงของมันดังกระหึ่มคล้ายเสียงหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ มันบินไปช้าๆ ด้วยความเร็วประมาณยี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง สักครู่หนึ่งได้บินด้วยความเร็วสูงมากออกไปทางน่านฟ้าตรงไปยังเมืองยอร์ก" เมื่อเวลาห้าทุ่มสิบห้านาที จอยซ์ พาร์เตอร์และเพื่อนหญิงสี่คนซึ่งกำลังเดินทางกลับจากเมืองยอร์ก ได้เห็นดวงไฟขนาดมหึมา จอยซ์ได้กล่าวว่า "ขณะนั้นรถของพวกเราแล่นออกมาทางชานเมืองยอร์ก และได้สังเกตเห็นแสงสว่างของดวงไฟบนท้องฟ้า รู้สึกประหลาดใจมาก ต่อมาสังเกตได้ว่ามันเป็นวัตถุประหลาดขนาดใหญ่รูปร่างทรงกลม มีแสงสว่างสีขาวเป็นประกายล้อมรอบส่วนหน้า มันบินผ่านทางด้านหน้ารถของเราไปด้วยความเร็วช้าๆ ประมาณห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง นับว่าเป็นภาพที่น่าทึ่งมาก พวกเราได้มองเห็นเด่นชัดราวสองนาที" ครั้นเวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง ลิซ อิบบอตสันพร้อมด้วยทีโอนา บุตรสาววัยรุ่น ได้สังเกตเห็นดวงไฟสว่างไสวขนาดใหญ่ บินอยู่บนท้องฟ้าเหนือบริเวณโรงนา (ระยะทางห้าไมล์ห่างจากตัวเมืองเชอร์รี เบอร์ตัน) ทั้งลิซและบุตรสาวรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง มองออกไปทางหน้าต่าง ทันใดนั้นมันได้บินออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ตีโค้งกลับมายังบ้านเธออีก โดยบินผ่านเหนือหลังคาบ้านระดับต่ำ ต่อมาทั้งสองได้วิ่งออกทางประตูหลังออกไปนอกบ้านเพื่อยืนมองวัตถุบินลึกลับซึ่งบินอยู่เหนือบ้านของเธอประมาณ 100 หลา สังเกตได้ว่าเป็นวัตถุประหลาดที่มีแสงสว่างสีขาวนวลเป็นประกายโดยรอบ มีเสียงกระหึ่มเบาๆ นอกจากนั้นยังเห็นแสงสว่างต่างๆ ด้านใต้ยาน เช่น สีแดง สีเขียว สว่าง สักครู่หนึ่งมันก็บินออกไปราวกับจรวด ตามข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานว่า บรรดาเจ้าหน้าที่สนามบินและทหารอากาศทีเห็นวัตถุบินลึกลับดังกล่าว ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร "อย่างไรก็ตาม" มิสซิสอิบบอตสันกล่าว "ฉันไม่คิดว่าจะมีอากาศยานประเภทใดมาอธิบายเปรียบเทียบได้ และอากาศยานที่บินในระดับต่ำมาก เรดาร์อาจติดตามไม่ได้" (รายงานจากสตีฟ แอนเดอร์สัน หนังสือพิมพ์ฮัลล์เดลี เมล์, ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม ปี 1991) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 9 สิงหาคม ปี 1991 ที่เมืองพ็อกคลิงตัน มณฑลฮัมเบอร์ไซด์ ประเทศอังกฤษ พ็อกคลิงตันอยู่ห่างจากเมืองแซงค์ตันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 8 ไมล์ ข่าวสรุปว่ามิสซิสเพียชกำลังจะเข้านอนเวลาตีหนึ่ง ครั้นเธอมองผ่านหน้าต่างออกไป สังเกตเห็นดวงไฟขนาดใหญ่ดวงหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า สักครู่หนึ่งมันก็ลอยเข้ามาทางบ้านของเธอ จนกระทั่งลอยผ่านบ้านเธอไปด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่มันผ่านบ้านของเธอไป สังเกตเห็นใต้ยานมีลักษณะคล้ายดวงไฟขนาดใหญ่ มีแสงสว่างสีเขียวสลับกับลำแสงสีแดง ที่เธอรู้สึกประหลาดใจมากก็คือ มันลอยไปเงียบๆ ไม่มีเสียง เพียชได้เปิดเผยว่า "ช่วงที่ฉันมองเห็นประมาณห้านาที ฉันไม่เคยเห็นยานประหลาดเช่นนี้มาก่อน" (ผู้รายงานข่าวคือแอนโทนี่ ด๊อด จากเควสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล) 13 สิงหาคม ปี 1991 ที่บึงลากูนา คาร์ตาจีนา ประเทศเปอร์โตริโก ข่าวรายงานว่า มาริซอล คามาโจได้เผชิญมนุษย์ประหลาดสองคน ซึ่งมีลักษณะศีรษะโต ดวงตาเรียวยาว เป็นเส้นสีดำสนิท กำลังตรวจสอบต้นพืชในช่วงกลางคืน 19 สิงหาคม ปี 1991 ที่ลิตเติลแฮมป์ตัน เมืองซัสเซ็ก ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาตีสามครึ่ง พีโอนา เฮเมอร์ ครูสอนวิทยาศาสตร์มองเห็นวัตถุบินลึกลับรูปทรงสามเหลี่ยม บินอยู่เหนือบ้านของเธอในระยะใกล้ เธอได้กล่าวว่า "ขณะฉันนอนอยู่บนเตียง ฉันได้ตื่นขึ้น ไม่ทราบว่ามีอะไรปลุกให้ตื่นขึ้นมา และได้เดินออกไปทางหน้าต่าง ครั้นมองออกไปเห็นวัตถุบินรูปสามเหลี่ยมสองลำ กำลังบินคู่กันในระดับบนล่าง บินผ่านบ้านฉันไป จากนั้นได้หายไปจากท้องฟ้า สังเกตได้ว่าไม่มีเสียง และลักษณะมิใช่เครื่องบินหรืออากาศยานที่มีอยู่ในโลกเรา" (ข่าวจากลิตเติลแฮมป์ตัน หนังสือพิมพ์กาเซ็ตต์ 13 สิงหาคม 1992) 20 สิงหาคม ปี 1991 ห่างจากสนามบินโวโรเนซ ตะวันตกเฉียงเหนือราว 200 ไมล์ ไปทางเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย ลูกเรือของสายการบินแอโรฟล็อท เที่ยวบิน 2523 สังเกตเห็นวัตถุบินทรงกลมขนาดใหญ่ สังเกตเห็นมันเปล่งประกายโดยรอบ และมีลำแสงสว่างสีขาวสาดส่องลงมายังพื้นโลก 30 สิงหาคม ปี 1991 ที่เมืองเกรนัม รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา เด็กสี่คนได้รายงานว่าเห็นวัตถุบินประหลาดรูปทรงกลมรีคล้ายไข่ บินอยู่เหนือเมืองเกรนัม เวลาประมาณสี่ทุ่ม วัตถุบินนี้บินเร็วมาก บางช่วงมันจะจอดนิ่งกลางอากาศ ที่ฐานของมันจะเปล่งแสงสว่างสีเงิน สีแดง และสีเขียวเป็นประกายออกมาเป็นระยะๆ ครั้นแสงสีต่างๆ หายไป เด็กเหล่านั้นเห็นสิ่งประหลาดสีดำยาวพุ่งออกไปกลางอากาศ แล้วแสงสีดังกล่าวก็จะเปล่งรัศมีออกมาจากบริเวณรอบข้างของมัน จุดที่พวกเขามองเห็นได้เด่นชัดก็คือ มันบินเข้ามาใกล้ในระยะสูงเหนือเสาโทรศัพท์ไม่มากนัก เด็กคนหนึ่งอธิบายว่ามันมีลักษณะคล้ายจานขนาดใหญ่ มีแสงสว่าง เคลื่อนที่ไปโดยไม่มีเสียง วันต่อมามีคนพบว่าเกิดวงกลมขนาดกว้างบริเวณทุ่งหญ้าข้างหน้าอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง บริเวณชานเมืองด้านนอก ซึ่งหลายคนคิดว่าวัตถุบินลึกลับดังกล่าวคงจอดลงตรงบริเวณนั้น (ผู้รายงานข่าวคือการ์ดอน คีเจ็ค จากสมาคมวิจัยค้นคว้าจานบินแห่งมานิโตบา แคนาดา) 30 สิงหาคม ปี 1991 ที่บลาสวิลส์ รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา มีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 23.15 น. แม่บ้านสองคนซึ่งกำลังขับรถลงมาตรงถนนหมายเลข 22 ตรงไปยังฟิตสเบิร์ก ได้เผชิยกับวัตถุบินทรงสามเหลี่ยมขนาดมหึมา บินอยู่ในระดับต่ำเหนือพื้นดินริมถนน สังเกตได้ว่ามีลำแสงสีขาวเปล่งประกายออกมาโดยรอบ ที่น่าประหลาดก็คือ วัตถุบินลำนี้โปร่งใสสามารถมองทะลุผ่านอีกด้านหนึ่งได้ ไม่มีเสียง มันยังคงจอดนิ่งอยู่กลางอากาศ ขณะที่แม่บ้านทั้งสองขับรถผ่านไป (รายงานโดยสแตน กอร์ดอน ในนิตยสารพีเอเอสยู คาตาเอกซเชนจ์ ฉบับที่ 18 ของสมาคมค้นคว้าศาสตร์แห่งความเร้นลับเพนซิลวาเนีย ฉบับประจำเดือนธันวาคม ถึงมกราคม ปี 1992) 8 กันยายน ปี 1991 บริเวณที่พบห่างจากเมืองพิตสเบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย ไปทางทิศตะวันออก 40 ไมล์ มีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณบ่ายสองโมง ผู้โดยสารบนเครื่องบินอดีตมนุษย์อวกาศหนึ่งของสหรัฐอเมริกา รายงานว่าได้เห็นจานบินสามลำเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูงมาก มันได้บินในลักษณะกระจายเป็นรูปสามเหลี่ยม เขาเชื่อว่าจานบินเหล่านั้นมิใช่เครื่องบินไอพ่น (ผู้รายงานคือสแตน กอร์ดอน) 11 กันยายน ปี 1991 ที่เมืองลูดอน รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา มีรายงานว่า เมื่อเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบนาที แม่บ้านคนหนึ่งพร้อมทั้งบุตรสาวและบุตรชาย ซึ่งกำลังขับรถกลับบ้าน ครั้นขับเลี้ยวเข้าไปยังซอยตัน ซึ่งเป็นย่านที่อาศัยอยู่ จนกระทั่งเข้าไปจอดในโรงรถ เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วได้ปล่อยสุนัขที่ล่ามโซ่ไว้ บุตรสาวของเธอซึ่งเดินกลับออกมาหน้าบ้านรู้สึกตกตะลึง เมื่อมองเห็นจานบินสีขาวขนาดใหญ่สองลำบินผ่านเหนือหลังคาบ้านไปอย่างช้าๆ สังเกตได้ว่าจานบินทั้งสองลำมีรูปร่างและลำแสงเปล่งประกายเจิดจ้าเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะตามริมขอบรอบๆ ยานจะมีแสงสีต่างๆ สาดส่องออกมาเป็นจังหวะ ส่วนด้านใต้ของยานสังเกตเห็นแผ่นสามเหลี่ยมซึ่งมีวงกลมสีดำติดอยู่สามจุด จานบินแต่ละลำมีขนาดเท่ากับบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งบินเคียงคู่กันไป มีเสียงดังกระหึ่ม มารดาของเธอซึ่งได้ยินเสียงตะโกนเรียก และได้ออกมายืนดูอยู่ด้วยได้คาดคะเนความสูงจานบินเหนือพื้นดินประมาณ 100 ฟุต ความสว่างของมันสาดส่องลงมาถึงพื้นดิน มันได้บินมุ่งหน้าไปทางแคนเตอร์เบอร์รี่ หลังจากนั้นไม่นานนัก ปรากฏว่าทั้งสามคนมีอาการเกี่ยวกับสุขภาพทางกายอย่างประหลาด บุตรสาววัยหกขวบของเธอรู้สึกปวดท้อง เป็นไข้ และมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ส่วนบุตรชายวัยสิบขวบรู้สึกปวดไปทั้งตัว มีอาการแสดงออกทางท่าทางหงิกงอไปอย่างประหลาด ส่วนเธอเริ่มรู้สึกว่ามีรอยแผลฟกช้ำดำเขียวตามแขนและขา (จดหมายข่าวนิวแฮมป์เชียร์ MUFON ประจำเดือนมกราคม ปี 1992) 15 กันยายน ปี 1991 ที่กัลฟ์บรีซ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เวลาประมาณบ่ายสองโมง มีคนพบจานบินขนาดมหึมาและจานบินขนาดเล็ก เหนือบริเวณชายฝั่งทะเลซันตา โรซา บนถนนหลวงหมายเลขที่ 98 ทั้งสองลำสีโลหะ จานบินลำใหญ่มีวัสดุรูปวงกลมเล็กๆ ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ติดโดยรอบ จานบินทั้งสองลำนี้บินเป็นวงโค้ง และสามารถบินไปในลักษณะเส้นตรงขึ้นลงได้ มันเคลื่อนลงเกือบถึงพื้นโลก ประมาณ 500 ฟุต ไม่นานนักจานบินลำใหญ่ก็ทะลานออกไปแล้วหายลับไปในท้องฟ้า ขณะที่จานบินลำเล็กค่อยๆ บินลับหายไป หลังแนวป่าไม้เหนืออ่าวอีสต์เบย์ (ผู้รายงานคือ โจ บาร์รอน จากนิตยสารเซ็นติเนล กัลฟ์บรีซ วันที่ 21 พฤศจิกายน 1991) 28 กันยายน ปี 1991 ที่หมู่บ้านซีเคส เฟเฮอร์วาร์ ในประเทศฮังการี ซอลตัน บาร์ทัส พนักงานขับรถบรรทุก และเพื่อนคนหนึ่งได้เล่าว่า พวกเขาพบว่ามีจานรูปร่างคล้ายชามขนาดใหญ่มีแสงสว่างเจิดจ้าห่อหุ้มติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่กำลังขับรถใกล้ถึงหมู่บ้านซีเคส เฟเฮอร์วาร์ ครั้นกลับถึงบ้านทั้งสองได้ปีนเข้าบ้านของซอลตันทางหน้าต่างด้านหลัง แต่จานบินลึกลับลำนั้นก็ยังพุ่งลำแสงสีเขียวตามพวกเขาเข้าไปในบ้าน สมาชิกครอบครัวของซอลตันรายงานในเวลาต่อมาว่า เพื่อนบ้านใกล้เคียงหลายหลังคาเรือนต่างตื่นนอน เมื่อสังเกตว่าสุนัขเห่าหอนผิดปรกติ พวกเขาสังเกตได้ว่า จานบินลำนั้นได้เปลี่ยนรูปร่างใหม่เป็นรูปคล้ายบุหรี่ซิการ์ขนาดยักษ์ มีดวงไฟสว่างสองลำบินเคียงคู่ไปด้วย จากนั้นก็หายลับไป (หนังสือพิมพ์รายวันโยมิยูริ, โตเกียว ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม ปี 1991) สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า เกิดปรากฏการณ์วงกลมประหลาดหรือที่เรียกว่า คร็อพเซอร์เคิลหลายจุดในบริเวณดังกล่าว ในเดือนมิถุนายน ปี 1992 และมีข่าวจากพยานพบเห็นจานบินเป็นจำนวนมากจากช่วงฤดูร้อน เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้เล่าว่า เขาเห็นจานบินลักษณะรูปร่างคล้ายหมวกยอดกลม มีแสงสว่างสีเหลืองลำหนึ่ง ซึ่งมีม่านแสงสีแดงห่อหุ้มรอบนอก ในขณะที่บิดาของเขาก็กล่าวว่าเคยเห็นวัตถุบินแสงสว่างรูปทรงสามเหลี่ยมบินอยู่เหนือหมู่บ้านซีเคส เฟเฮอร์วาร์ หลังจากนั้นต่อมามีพยานเป็นจำนวนมากพบรอยวงกลม ประหลาดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 ฟุตบนทุ่งหญ้าใกล้หมู่บ้านหนึ่งวง (จากนิตยสารอาร์แคนซัส เดโมแครท-กาเซ็ตต์, ลิตเติลร็อค, อาร์-แคนซัส, 12 สิงหาคม 1992) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตุลาคม ปี 1991 ที่โทรเวลล์ ใกล้เมืองนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ ผู้รายงานคือแอนโทนี เจมส์ แห่งสมาคมวิจัยจานบินมิดแลนด์ตะวันออกได้ส่งรายละเอียดมาให้ผม พยานผู้พบเห็นซึ่งได้ขอร้องว่าไม่ประสงค์จะเปิดเผยรายชื่อ ได้ลงนามรับรองเรื่องราวที่เธอพบเห็นไว้เป็นหลักฐาน เธอได้เล่าว่า "ครั้นถึงเวลา 04.00 น. ของเช้ามืดทุกวันจากจันทร์ถึงเสาร์ นาฬิกาปลุกจะให้สัญญาณปลุกฉันให้ลุกออกจากเตียงแล้วเดินเข้าไปยังห้องอีกห้องหนึ่งเพื่อหยิบชุดแบบฟอร์มพนักงานไปรษณีย์กลางออกมาแต่งตัว หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว ที่ห้องมีหน้าต่างสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในเขตชนบทได้กว้างไกลอย่างชัดเจน "ในเช้าวันหนึ่ง เดือนตุลาคม ปี 1991 เมื่อฉันมองออกไปทางหน้าต่างก็สังเกตเห็นวัตถุบินสว่างไสวลำหนึ่ง มองผิวเผินคล้ายดาวที่เคลื่อนที่ไปมาผิดปรกติบนท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ คาดว่าจะเป็นน่านฟ้าเหนือบริเวณป่าเฮมล็อค "ฉันได้เฝ้ามองอยู่นานหลายนาที และหลังจากฉันลงไปชั้นล่าง ก็ยังคงเห็นวัตถุบินสว่างไสวคล้ายดาวจากหน้าต่างในห้องครัว และขณะที่ฉันรับประทานอาหารและเตรียมตัวที่จะไปทำงาน ฉันก็ยังสังเกตเห็นมันอีกนานประมาณสิบสี่ถึงยี่สิบนาที "ที่ฉันรู้สึกประหลาดใจมากก็คือ เริ่มสังเกตเห็นว่ามันมีแสงสว่างมากขึ้น และมีขนาดขยายใหญ่โตมากขึ้น ในขณะนั้นคิดว่าคงเป็นเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านมุ่งหน้าไปยังสนามบินมิดแลนด์ตะวันออก ห่างจากบ้านฉันไปประมาณสิบไมล์ แต่แล้วไม่กี่นาทีต่อมา ฉันสังเกตเห็นว่าวัตถุบินสว่างไสวลำนั้นพุ่งตรงมายังฉันอย่างช้าๆ และใกล้เข้ามาทุกขณะ ฉันได้วิ่งออกไปนอกบ้านเพื่อจะดูให้เต็มตาว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ปรากฏว่าขณะที่บินผ่านเหนือหลังคาบ้านฉันมันได้หายลับไป "ใต้ยานดังกล่าวมีแสงสีสว่างมากสาดส่องตรงลงมาหลายสี มันบินลงมาต่ำ สูงจากพื้นดินไม่เกินหนึ่งร้อยฟุต มันบินผ่านไปอย่างช้าๆ และมีเสียงกระหึ่มคล้ายเสียงเครื่องยนต์ไฟฟ้า ฉันได้มองเห็นมันอย่างชัดเจนเพียงไม่กี่นาที แต่ภาพดังกล่าวยังปรากฏอยู่ในความทรงจำของฉันอย่างไม่มีวันลืมเลือน" (จากสมาคมวิจัยค้นคว้าเรื่องจานบินของอีสต์ มิดแลนด์) 2 ตุลาคม ปี 1991 อาร์แคนเกลส์ รัฐคาซัคสถาน มีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณหกโมงเย็น พยานหลายคนสังเกตเห็นจานบินขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ปรากฏขึ้นลอยลำกลางอากาศ แล้วบินตามจรวดที่ถูกยิงปล่อยออกมาจากแท่นฐานยิงพลีเซ็ตต์ 8 ตุลาคม ปี 1991 ที่รีฟส์ น็อบ แนวเทือกเขาบอสตัน รัฐอาร์แคนซัส สหรัฐอเมริกา ผม (ทิมโมที กู๊ด) ขอขอบคุณคุณคริสตัน ลิปเบิร์ต วิคกี้เป็นอย่างมากที่ได้ส่งรายละเอียดเกี่ยวกับรายงานการพบเห็นจานบิน (ปี 1991-1992) ซึ่งเธอได้ตระเวนสำรวจในเขตชนบทสี่แห่ง รอบๆ เมืองมาร์แชลล์ อาร์แคนซัส บริเวณพื้นที่ในเมืองโอซาร์ค และอีกแห่งหนึ่งคือเขตพื้นที่ในวิลเลียมสปอร์ต รัฐเพนซิลวาเนีย ซึ่งมีรายงานพยานพบเห็นเป็นจำนวนมากในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1992 รายงานบางฉบับได้เปิดเผยว่า ได้ใช้เครื่องบินขับไล่ตามล่าจานบินเช่นเดียวกับที่ประเทศเปอร์โตริโก วิคกี้ได้ติดตามยานประหลาดดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 1990 ที่บ้านพักของเธอมีมุมมองทิวทัศน์ที่วิเศษมาก สามารถมองเห็นที่สูงในเขตแนวเทือกเขาบอสตัน รวมทั้งบริเวณใกล้ป่าสงวนแห่งชาติโอซาร์ค คืนวันที่ 8 ตุลาคม ปี 1991 หลังจากพลบค่ำ ประมาณหนึ่งชั่วโมง ปรากฏว่าเธอได้เห็นวัตถุบินประหลาดรูปร่างคล้ายบูมเมอร์แรงขนาดใหญ่มาก ซึ่งดูเหมือนว่าบางครั้งหยุดนิ่ง และบางครั้งเคลื่อนที่ไปอย่างช้า กลางอากาศ ยานดังกล่าวมีแสงสีสว่างสาดส่องลงมา มันได้บินมุ่งตรงไปยังทางทิศใต้ ต่อมามีเครื่องบินไอพ่นสองลำบินมาจากทางทิศเหนือ ราวกับจะพุ่งเข้ามาขับไล่ยานประหลาดลำนั้น แต่ปรากฏว่าวัตถุบินประหลาดลำนั้นได้บินออกไปอย่างช้าๆ และได้หายลับไปในที่สุด 9 ตุลาคม ปี 1991 ที่เมืองอาร์คาลิค รัฐคาซัคสถาน จานบินลำหนึ่งได้สาดส่องลำแสงเจิดจ้าพาดผ่านท้องฟ้ายามราตรี 12 ตุลาคม ปี 1991 ที่เชอร์โนบิล รัฐอูเครน สหภาพโซเวียตเดิม มีรายงานว่า วลาดิเมอร์ ซาฟราน ผู้สื่อข่าวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้ถ่ายภาพจานบินลำหนึ่ง ปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือสถานีพลังนิวเคลียร์ 19 ตุลาคม ปี 1991 ที่สนามบินคาร์รัสโค เมืองมอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัย ในทวีปอเมริกาใต้ หลุยส์ โอเตกูนิ พนักงานหอบังคับการบินในสนามบินคาร์รัสโค ได้เปิดไฟรันเวย์ เมื่อเห็นวัตถุบินลำหนึ่งได้ให้สัญญาณลง คล้ายกับเครื่องบินโดยสารลำหนึ่ง แสงเข้มนั้นสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลหนึ่งไมล์ และในระดับสูง 820 ฟุต แต่วัตถุบินลึกลับลำนี้ จอเรดาร์ภาคพื้นดินไม่สามารถจับได้ มันบินอยู่บนท้องฟ้า ไม่ได้ร่อนลง แต่บินลับหายไปภายในไม่กี่นาที หลุยส์ได้ปฏิเสธที่จะอธิบายรายละเอียด เพียงแต่กล่าวว่า "พวกเราทำงานด้านนี้มานาน เราทราบเป็นอย่างดีว่าแสงสัญญาณของเครื่องบินแต่ละลำที่จะร่อนลงรันเวย์นั้นเป็นอย่างไร วัตถุบินดังกล่าวให้สัญญาณคล้ายกันมาก" (จากไดอาริโอ ป๊อปปิวล่าร์ บูเอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา 21 ตุลาคม 1991) 22 ตุลาคม ปี 1991 เขตใกล้เมืองวิกกัน แลงคะเชอร์ ประเทศอังกฤษ รายงานต่อไปนี้ได้จากบิลล์ อีต็อค ซึ่งได้ผ่านโทนี่ ด็อก แห่งสำนักงานเควสท์ อินเตอร์เนชั่นแนลมาถึงผม ได้กล่าวถึงพยานทางโทรศัพท์ทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ "ผมได้ซื้อเครื่องส่งและรับวิทยุที่เรียกว่าวอลค์กี้ ทอล์คกี้มาใหม่ จึงตัดสินใจลองใช้ดู เมื่อเวลาประมาณหนึ่งทุ่มสี่สิบห้านาที ผมได้มอบเครื่องรับส่งวิทยุเครื่องหนึ่งให้ภรรยาที่บ้าน อีกเครื่องหนึ่งผมเก็บไว้ในรถ จากนั้นก็ได้ขับรถยนต์ออกไปข้างนอก แล้วลองพูดคุยกับภรรยา "ครั้นเวลาประมาณสองทุ่มตรง ผมก็ยังคงขับรถไปตามถนนในชนบท ขณะนั้นเป็นช่วงมืดค่ำ เป็นคืนท้องฟ้าโปร่ง การส่งและรับวิทยุนับว่าได้ผลดีมาก "ขณะขับรถไปตามถนนช้าๆ ผมเองเห็นกำแพงหมอกขวางกั้นอยู่ข้างหน้า รู้สึกประหลาดใจมาก จึงได้ขับรถฝ่าหมอกเข้าไป และทันใดนั้นผมได้ยินเสียงคล้ายเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม มันดังมากจนผมรู้สึกปวดแก้วหู ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรเลยเนื่องจากกลุ่มหมอกหนาทึบ เสียงดังกล่าวยิ่งแรงขึ้นๆ ครั้นผมหยิบเครื่องส่งและรับวิทยุขึ้นมาทดสอบปรากฏว่ามันไม่ทำงาน "ผมรู้สึกหูอื้อ และปรากฏว่าขับรถไปไม่ถูกทาง ผมรีบดึงเสาวิทยุในรถยนต์เผื่อว่าจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่อยู่ใกล้ ส่วนเครื่องส่งและรับวิทยุผมได้ปิดสวิตช์ "พอถึงช่วงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูสับสนไปหมด และอีกสิ่งหนึ่งเท่าที่ผมจำได้ก็คือ ขับรถฝ่าหมอกหนาทึบและเสียงดังกระหึ่มนั้นเงียบไป ที่แปลกประหลาดก็คือ ถนนเส้นนี้เคยมีรถพลุกพล่านผ่านไปผ่านมา แต่บัดนี้กลับไม่มีรถคันอื่นอีกเลยแม้แต่คันเดียว "ครั้นขับรถกลับไปถึงบ้าน ผมรู้สึกไม่สบาย หูข้างซ้ายและใบหน้าข้างซ้ายมีรอยแผลคล้ายถูกไฟไหม้ หรือถูกแดดแผดเผา ผมไม่ทราบสาเหตุว่า เกิดจากอะไร" (รายงานปฏิบัติการลับของจานบินในคืนนั้นที่เพิ่ม เติม ได้รับการตีพิมพ์โดยผู้สื่อข่าววิกกัน 31 ตุลาคม ปี 1991) 2 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่มาร์ เดล พลาตา เขตบูเอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา จากวิดีโอม้วนหนึ่งที่ถ่ายไว้เมื่อเวลาห้าทุ่มครึ่ง โดยมาร์ตา จูเลียคัสซิคเซีย ได้เปิดเผยให้เห็นวัตถุทรงกลมประหลาดที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หลังจากมันจอดนิ่งกลางอากาศ และบินออกไปอย่างรวดเร็ว และได้ปล่อยควันขาวคล้ายเครื่องบินไอพ่นเป็นแนวยาว ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญ วิดีโอเทปดังกล่าวได้ถ่ายตามความเป็นจริงหรือตามธรรมชาติ มิได้อาศัยเทคนิคหรือเครื่องยนต์กลไกพิเศษแต่อย่างใด (รายงานจากลา นาเซียน บูเอโอสไอเรส 30 พฤศจิกายน 1991) 5 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่กัลฟ์บรีซ ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา แพตตี เวทเทอร์ฟอร์ดและแอน มอร์ริสสัน ตัวแทนจากศูนย์ข่ายงานค้นคว้าจานบินระหว่างชาติ หรือที่เรียกว่า MUFON (Mutual UFO Network) พร้อมด้วยผู้ตรวจสอบบัญชีจากรัฐฟลอริดา ได้ถ่ายภาพจานบินลึกลับลำหนึ่งไว้ได้ และในขณะเดียวกัน มีพยานเห็นจานบินลำดังกล่าวอีกจำนวนมาก (ผู้รายงานคือแกรี วัตสัน แห่งนิตยสารไอสแลนเดอร์ เพนซาโคลา 15 พฤศจิกายน 1991) 6 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่เบต ชีอัน, ประเทศอิสราเอล "มันเป็นวัตถุบินที่มีแสงสว่างอย่างประหลาด หากเปรียบเทียบกับวัตถุหรือยานอื่นๆ บนท้องฟ้าในเวลานั้น นับว่าวัตถุบินประหลาดลำนั้นมีขนาดใหญ่มากทีเดียว" นายตำรวจคนหนึ่งได้กล่าวถึงการพบเห็นจานบินลำหนึ่ง ยิตแซค มอร์เดชัย นายอำเภอได้เล่าให้เจ้าหน้าที่วิทยุทหารฟังว่า ในตอนแรกเขาได้รับแจ้งข่าวจากคนขับรถแท็กซี่คันหนึ่ง เวลาประมาณตีสามสามสิบนาที ยอซซี เบนฮาอัช คนขับแท็กซี่ได้แจ้งว่า เขาเห็นวัตถุบินคล้ายวัตถุครึ่งวงรี ส่งแสงสว่างไสวลำหนึ่ง จากนั้นพวกเราได้เดินทางไปยังบริเวณที่ยอซซีเห็นจานบิน พวกเราได้ตามมันไปขณะขับรถไปทางทิศตะวันออก วัตถุบินประหลาดลำนี้บินสูงเหนือพื้นดินประมาณ 200 เมตร จนกระทั่งรุ่งเช้าเวลาประมาณหกโมงมันก็ค่อยๆ หายลับไป เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงลักษณะการบินของมัน ยิตเซคได้กล่าวว่า มันเคลื่อนไปเป็นบางจุด แล้วจอดนิ่ง ต่อมาก็บินรอบจุดเดิม และหลังจากนั้นก็บินออกไปทางทิศเหนือ แล้วย้อนกลับมายังจุดที่จอดนิ่งในช่วงแรก มีตำรวจหลายนายได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้พร้อมกัน (จากเยรูซาเลมโพสท์ 7 พฤศจิกายน 1991) 9 พฤศจิกายน ปี 1991 เขตเพนซิลวาเนียภาคตะวันออก พรมแดนแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลาประมาณหกโมงห้าสิบนาที นายตำรวจคนหนึ่งซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องบินและอากาศยานต่างๆ ได้สังเกตเห็นวัตถุบินลึกลับขนาดใหญ่บินมุ่งตรงมาทางทิศที่เขายืนอยู่ในระดับความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 1,000 ฟุต ลักษณะรูปทรงเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินกาแลกซีของบริษัทล็อคฮีด มีลำแสงพุ่งออกมาทางด้านหน้ายานสามจุด นายตำรวจคนนี้ได้ส่งวิทยุแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ประจำรถสายตรวจ ซึ่งจอดอยู่ห่างจากจุดนั้นห้าไมล์ในทิศทางที่วัตถุบินลึกลับกำลังบินไปพอดี สองนาทีต่อมานายตำรวจคนที่สองก็เห็นวัตถุบินลึกลับดังกล่าวเช่นกัน มันบินไปด้วยความเร็วประมาณ 150 ไมล์ต่อชั่วโมง (สแตน กอร์ดอน พีเอเอสยู ดาตาเอกเชนจ์ ฉบับที่ 18 ประจำเดือนธันวาคม/มกราคม ปี 1991) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:41:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 15 พฤศจิกายน ปี 1991 บริเวณใกล้เมืองมาร์แชลล์ รัฐอาร์แคนซัส สหรัฐอเมริกา กลุ่มพรานล่าหมีราคูนเห็นยานลึกลับขนาดใหญ่จอดนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือจุดที่เขายืนอยู่ในเขตป่าใกล้บริเวณย่านอัลเรด ทางใต้เมืองมาร์แชลล์ ลักษณะของยานที่เห็นคล้ายบูมเมอร์แรง และมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับสนามฟุตบอล มีแสงสีขาวสว่างจ้าเป็นระยะ บางจุดมีดวงไฟแสงสีแดงสามดวงแยกออกมาจากยานลึกลับแล้วบินหายไป ต่อมามีเครื่องบินไอพ่นบินผ่านบริเวณนั้น ซึ่งนับว่าประหลาดมากเพราะบริเวณนั้นเป็นเขตชนบท (ผู้รายงานคือคริสติน ลิปเบิร์ต) 17 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหภาพโซเวียตเดิม เมื่อเวลาประมาณตีสามสามสิบห้านาที แอนนา โกรโมวาสังเกตเห็นยานประหลาดทรงสามเหลี่ยมจอดนิ่งอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 21 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่วิตต์สปริง รัฐอาร์แคนซัส สหรัฐอเมริกา รายงานต่อไปนี้เป็นการพบเห็นจานบินโดยผู้สำรวจคนหนึ่งของทีมคริสติน ลิปเบิร์ต ซึ่งสรุปว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. หลังจากพลบค่ำเล็กน้อย ขณะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เห็นวัตถุบินทรงกลมเปล่งแสงสว่างจ้าสีแดง และส้ม จอดนิ่งอยู่กลางอากาศบนท้องฟ้าทิศตะวันออก มันปรากฏให้เห็นขนาดใหญ่กว่าดวงดาวที่สว่างสุกใสบนท้องฟ้าถึงสิบเท่า สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเครื่องบินไอพ่นฝูงหนึ่งทางด้านทิศเหนือ สังเกตได้ว่าเป็นเครื่องบินทหารซึ่งกำลังบินมุ่งตรงเพื่อตามล่าวัตถุบินทรงกลมลำนั้น ต่อมาวัตถุบินทรงกลมได้ปิดสัญญาณไฟแล้วหายลับไปทันที จากนั้นก็ไปโผล่อีกจุดหนึ่งทางทิศตะวันออกไกลมาก ซึ่งฝูงเครื่องบินไอพ่นก็บินไปขับไล่อีก วัตถุบินประหลาดนั้นก็ปิดสัญญาณไฟแล้วหายลับไป จากนั้นก็เงียบหายไปหลายนาที และประหนึ่งคล้ายเกมแมวจับหนู ต่อมาท้องฟ้ายามราตรีในเขตนั้นก็เต็มไปด้วยเครื่องบินไอพ่น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ผิดปรกติมาก และหน้าที่สำคัญคือผมต้องค้นหาให้ได้ว่ามีพยานพบเห็นเหตุการณ์เดียวกันนี้ที่ใดบ้าง ในวันเดียวกัน วิคกี้ก็ได้เห็นยานประหลาดรูปร่างหลายตัววีหรือบูมเมอร์แรงบินมาจากทิศตะวันออกตรงไปยังรีฟส์ น็อบ ขณะที่มันบินอยู่นั้นสังเกตเห็นยานขนาดเล็กสีแดงสี่ลำลอยออกมาจากใต้ยานประหลาดลำนั้น ลักษณะรูปร่างเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม บินในลักษณะไม่มีเสียง (รายงานโดยคริสตัน ลิปเบิร์ต) 24 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่นอร์ธพอร์ต รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เดวิด เคิร์สกี้ อดีตนักบินขับไล่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นจานบินรูปร่างทรงกระบอกลำหนึ่งระหว่างช่วงพลบค่ำ บินอยู่เหนือที่พักย่านถนนเมย์เบอร์รี ริตา มอล เพื่อนบ้านของเดวิดก็ได้เห็นจานบินลำดังกล่าวด้วย พยานทั้งสองคนกล่าวว่า มันมีแสงกะพริบเป็นระยะ บินไม่มีเสียง แต่ลักษณะพิเศษของมันก็คือบินเร็วกว่าเครื่องบินไอพ่น (รายงานโดยเบธ ซัมเนอร์ จากซันไทมส์ นอร์ธพอร์ต, 27 พฤศจิกายน 1991) 27 พฤศจิกายน ปี 1991 ที่เมืองทานตัน, มณฑลซัมเมอร์เซทเชียร์ ประเทศอังกฤษ แอนและเฟร็ด ฮิคค็อกกล่าวว่า จานบินลำหนึ่งบินอยู่เหนือเมืองทานตัน เมื่อเวลา 22.00 น. "เรามองเห็นวัตถุบินทรงกลมกางขาสองขาบินข้ามขอบฟ้า" มิสซิสฮิคค็อกกล่าว "ตรงยอดบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ขณะเคลื่อนที่หรือบินมีเสียงดังกระหึ่มลักษณะการบินเร็วมาก" เฟร็ดได้อธิบายว่า จานบินลำนี้ดูเผินๆ คล้ายกับแมงกะพรุน ขนาดมหึมา มีสีออกสีเทาดำ (จากซัมเมอร์เซท เคาที กาเซ็ตต์, 29 พฤศจิกายน 1991) 27 พฤศจิกายน ปี 1991 เมืองเซนต์นิโคลาส รัฐลีจ ประเทศเบลเยียม มีพยานหลายคนเห็นจานบินลึกลับบนท้องฟ้าเหนือเมืองเซนต์นิโคลาส รัฐลีจ ประเทศเบลเยียม 4 ธันวาคม ปี 1991 ที่เมืองโอเวอร์ตัน นอร์ฟอล์ค ประเทศอังกฤษ ร็อกแซม อดีตนักบินทหาร รายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. ขณะที่เขาขับรถอยู่กลางถนน ได้เห็นจานบินรูปร่างคล้ายซิการ์ขนาดยักษ์ บินอยู่ในระดับสูง 1,500 ฟุต มีแสงสว่างขาวนวลตรงปลายทั้งสองข้าง และมีช่องประตูเล็กๆ รอบๆ ข้างสาดส่องแสงสีเหลืองออกมา ขณะเขาและเพื่อนเฝ้ามองดูอยู่นั้น เพียงไม่กี่นาทีมันก็บินออกไปทันทีด้วยความเร็วสูงมากราว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ร็อกแซมกับบุตรสาวที่นั่งมาในรถด้วยได้จอดรถและลงจากรถออกมายืนดูให้เห็นกับตาอย่างเด่นชัด สังเกตได้ว่าจานบินดังกล่าวบินผ่านในระดับสูงเหนือศีรษะของเขาไป ที่ใต้ฐานของมันจะเปล่งแสงสีแดง เขียว กรมท่า และสีขาวนวลจ้าออกมา หลังจากนั้นไม่กี่นาทีมันได้บินกลับมาโดยบินผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วไปจอดนิ่งอยู่กลางอากาศในระยะไม่ห่างไกลนัก "พวกเราได้เฝ้ามองดูอยู่นานประมาณสี่สิบห้านาที" ร็อคแซมกล่าว "ผมขอยืนยันว่ายานดังกล่าวมิใช่เฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินอย่างแน่นอน" (รายงานโดยแอนโทนี่ ด็อด จากแม็กกาซีน UFO ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 เดือนมีนาคม/เมษายน 1992) 6 ธันวาคม ปี 1991 ที่ทีแนม ใกล้ซิตติงเบิร์น, เคนท์, ประเทศอังกฤษ จานบินขนาดใหญ่ลำหนึ่งบินอยู่เหนือยอดโบสถ์ทีแนม ประมาณ 50 ฟุต เมื่อเวลา 17.45 น. มิสซิสลีน เยทีสได้ออกมายืนดูตามเสียงเรียกของเด็กๆ "ขณะที่ดูในตอนแรกดูเหมือนว่าคล้ายดาวดวงใหญ่" เธอกล่าว "แต่สังเกตเห็นมันยิงบางสิ่งบางอย่างออกมา ที่น่าสังเกตคือมีลำแสงสีต่างๆ สาดส่องออกมาจากจานบินลำนั้น มันจอดนิ่งอยู่กลางอากาศประมาณครึ่งชั่วโมง ลักษณะของมันไม่เหมือนเครื่องบินหรืออากาศยานที่ฉันเคยเห็นมาก่อน ยอดบนของมันมีลักษณะคล้ายรูปไข่ ที่ฐานล่างของมันมีแสงสีแดง, เหลือง, เขียว และน้ำเงินสาดส่องออกมา "จากนั่นจานบินได้บินออกไปแล้วหายลับไปตรงช่วงขอบฟ้า ปรากฏว่ามีพยานเห็นจานบินลำนี้พร้อมกันอีกหลายคน" (รายงานโดยอีสต์ กาเซ็ตต์, ซิตติงเบิร์น 11-18 ธันวาคม 1991) 7 มกราคม ปี 1992 ใกล้เมืองปราก รัฐโอคลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ พร้อมทั้งภรรยา บุตรสาว และสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดครั้งหนึ่งในช่วงเวลากลางคืน ในช่วงแรกเห็นดวงไฟสีขาวนวลขนาดใหญ่สองดวง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือบริเวณระหว่างบ้านของเขากับหอคอยโทรศัพท์ไมโครเวฟ ซึ่งอยู่ห่างไกลไปทางทิศใต้ครึ่งไมล์เศษเท่านั้น ต่อมามีดวงไฟสีแดงขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วเคลื่อนที่เข้าไปภายในดวงไฟใหญ่ จนทะลุออกไปทางด้านหลังแล้วหายลับไป บรรดาพยานทั้งหลายเฝ้าติดตามมองดูอยู่นานราว 45 นาที จากนั้นต่อมาปรากฏว่ามีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์จำนวนมากปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าระหว่างหุบเขากับแม่น้ำ ไปทางทิศตะวันตก ต่อมาได้กระจายกำลังออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกบินวนอยู่ในระดับต่ำใกล้ๆ บ้านในฟาร์ม ส่วนอีกฝูงหนึ่งยังคงบินอยู่ในช่องหุบเขา ทันใดนั้นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งได้บินเข้าไปหาจานบินลำที่จอดนิ่งอยู่กลางอากาศ ต่อมากลุ่มเฮลิคอปเตอร์ฝูงที่สองได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจากด้านทิศตะวันออก โดยบินมุ่งตรงไปขับไล่จานบินลำนั้นทันที เฮลิคอปเตอร์หลายลำยังบินวนอยู่ในบริเวณนั้นประมาณสิบนาทีก็บินออกไป และเพียงไม่กี่นาทีปรากฏว่าจานบินสองลำก็กลับมาโผล่บนท้องฟ้าที่ตำแหน่งเดิม สักครู่หนึ่งมันก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว ช่วงที่เห็นจานบินปรากฏว่าสุนัขเป็นจำนวนมากที่อยู่ในฟาร์มต่างเห่าหอนเสียงดัง ส่วนแมวก็วิ่งพล่านไปมาผิดปรกติ (รายงานจากเคน เมโมลิ, ริชาร์ด ชีฟรายด์, โอคลาโฮมา MUFON NEWS, 1961 อิงเกิลวู้ด ไดรฟ์, นอร์แมน, โอคลาโฮมา, 73071, เมษายน 1992) 10 มกราคม ปี 1992 ที่ฮันท์ซวิลบ์ อะลาบามา สหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาสุขภาพคนหนึ่งกำลังขับรถไปทำงานเมื่อเวลา 05.45 น. เขาได้เห็นยานประหลาดทรงกลม ซึ่งมีลำแสงสีต่างๆ ส่องลงมาจากใต้ยาน สันนิษฐานว่าขนาดของยานสีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณเท่ากับความยาวของรถบรรทุกขนาดเล็ก ด้านบนของยานสังเกตเห็นหน้าต่างสี่เหลี่ยมสามช่องและภายในมีแสงสลัวสีแดง มันลอยอยู่กลางอากาศเหนือถนนเบล็คบอตทัม เธอพยายามขับรถตามเพื่อจะมองใต้ยานให้เห็นเด่นชัด แต่ก็ไม่ทัน เนื่องจากมันเคลื่อนที่ไปเร็วมาก เธอได้กล่าวว่า "ในช่วงที่ลดความเร็วลง ขณะแล่นเข้าไปใกล้ยานลำนั้น สังเกตได้ว่ายานลำนั้นปิดไฟ แต่ครั้นเร่งความเร็วยานลำนั้นก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว" ครั้นเธอขับรถเลี้ยวเข้าถนนหลวงหมายเลข 53 เธอไม่ได้หันกลับไปมองคิดว่ามันคงหายไปแล้ว ถึงที่ทำงานเวลาหกโมงเช้าพอดี เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรการบินที่สนามบินนานาชาติฮันท์ซวิลล์ได้กล่าวในเชิงปฏิเสธว่า ไม่พบสิ่งใดผิดปรกติ พยานอีกคนหนึ่งกล่าวว่า "ผมไม่ทราบหรอกว่าพวกเขาเห็นจานบินลึกลับลำนั้นหรือไม่ ผมเข้าใจว่าพวกเขาตามมันไม่ทันมากกว่า" (รายงานโดยเพจ โอลิเวอร์, ไทม์, ฮันท์ซวิลล์, 12 มกราคม 1992) 24 มกราคม ปี 1992 ที่เท็ตบูรี กลูเชสเตอร์เชียร์ ประเทศอังกฤษ สตรีคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ ได้รายงานว่าได้เห็นยานประหลาดคล้ายดวงดาว สีทองขนาดมหึมาลอยไปอย่างช้าๆ เหนือบ้านเธอ ประมาณ 500 ฟุตระหว่างเมืองเท็ตบูรีกับเมืองมอลเมสบูรีในเช้าตรู่วันหนึ่ง ตอ่มามันได้เคลื่อนที่หมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ และส่งเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นได้บินออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งตรงไปยังทิศทางเมืองเคอเรนเซสเตอร์ เธอได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขนาดของมันใหญ่เท่ากับเครื่องบินลำเล็ก ที่น่าสังเกตก็คือตรงฐานใต้ยานมีจุดดำอยู่หนึ่งแถว (รายงานจากทอม ฟลินท์, วิลท์ส และกลูเชสเตอร์เชียร์ สแตนดาร์ด 31 มกราคม 1992) 25 มกราคม ปี 1992 ที่กัลฟ์บรีซ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เกล็น แบรดลีย์นักบินส่วนบุคคลพร้อมทั้งประชาชนกลุ่มหนึ่ง ได้เห็นจานบินประหลาด เหตุเกิดขึ้นเวลา 19.55 น. เขาได้เล่าว่า "เมื่อผมมองไปทางน่านฟ้าทิศตะวันออก ได้เห็นยานประหลาดที่มิใช่เครื่องบินปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ยานลำนี้มีขนาดใหญ่มาก มีลำแสงสีแดงสาดส่องออกมาจากยาน มันได้บินไปทางทิศใต้อย่างช้าๆ (บินไปตามทิศทางลม) และไปจอดลอยอยู่กลางอากาศ ห่างจากบริเวณที่เรายืนอยู่ราวแปดไมล์ ต่อมามีวัตถุทรงกลมสีแดงสว่างสดใสปรากฏขึ้นใต้ยานประหลาด มีแสงสีแดงเป็นประกายวูบวาบเป็นระยะๆ "ยานประหลาดลำแรกได้หายไปหลังป่าไม้ข้างหน้าผม ส่วนวัตถุทรงกลมเล็กบินออกไปอย่างรวดเร็ว และหายลับไปในที่สุด" (รายงานจากเกล็น แบรดลีย์ ไอสแลนด์เดอร์ เพนซาโคลา ฟลอริดา 31 มกราคม 1992) 28 มกราคม ปี 1992 ใกล้เมืองแบรมฟิลด์ ซัพฟอล์ค อังกฤษ มิสซิสวู้ดกำลังขับรถพร้อมด้วยบุตรสาววัยหกขวบ มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองแบรมฟิลด์ ขณะนั้นท้องฟ้าโปร่ง อากาศหนาวมาก ทันใดนั้นจานบินลำหนึ่งซึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้าบินตรงมาข้างหน้ารถ มันค่อยๆ ลดระดับต่ำลงห่างจากตัวรถของเธอประมาณสองถึงสามร้อยหลา มิสซิสวู้ดตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทาง แล้วลงจากรถเพื่อออกไปยืนดูให้เห็นเด่นชัด ปรากฏว่าเป็นจานบินที่มีขนาดใหญ่มาก ลักษณะทรงกลมมีลำแสงเข้มขนาดใหญ่จากใต้ยานสาดส่องลงไปยังพื้นล่าง และที่น่าสังเกตก็คือ มีแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งออกมาจากปล่องขอบตรงกลางลำโดยรอบ ต่อมามันได้เคลื่อนที่ไปช้าๆ จากนั้นก็หยุดและลอยลำอยู่กลางอากาศนานสองถึงสามนาที แล้วได้เคลื่อนไปลอยลำเหนือทุ่งหญ้ากว้างแห่งหนึ่งใกล้บริเวณนั้น แล้วจอดนิ่งอีกครั้งหนึ่ง มิสซิสวู้ดได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ลักษณะการบินของมันบินไปได้ทั้งช้าและเร็วมาก แต่ที่น่าประหลาดก็คือ มันสามารถจอดนิ่งลอยลำอยู่กลางอากาศ มันบินไปด้วยเสียงเงียบ จากนั้นเธอก็ได้ขึ้นรถขับตรงไปยังบ้าน (รายงานจากแอนโทนี่ ด็อด UFO แม็กกาซีน ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 มีนาคม/เมษายน ปี 1992) ตั้งแต่ คห. 17 เป็นต้นมาจะเป็นภาพ UFO ปลอมนะครับ เอามาให้ดูจะได้รู้ว่าปลอมครับ เพราะยังมีการเผยแพร่ไปผิดๆอยู่ จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:46:04 ]

ความคิดเห็นที่ 19 30 มกราคม ปี 1992 ใกล้เมืองมาร์แชลล์ รัฐอาร์แคนซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลาประมาณ 21.10 น. จานบินลึกลับขนาดใหญ่ที่มีแสงสีขาวสาดส่องเป็นประกายได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศใต้ของเมืองมาร์แชลล์ มันบินไปอย่างเงียบๆ ในระดับความสูง 1,000 ฟุต เหนือยอดต้นไม้ ขนาดของมันใหญ่เท่ากับเครื่องบินลำเลียงหรือใหญ่กว่า นอกจากนั้นพยานที่พบเห็นกล่าวว่า มีเครื่องบินไอพ่นหลายลำบินอยู่ในเขตบริเวณนั้นด้วย และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เครื่องบินไอพ่นเล็กกว่ายานประหลาดนั้นมากทีเดียว (รายงานโดยคริสติน ลิปเบิร์ต) 5 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่วิลเลียมสปอร์ต, รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา มีเพียงพยานพบเห็นจานบินรูปร่างคล้ายบูมเมอร์แรงหรือรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่มาก เมื่อเวลา 18.00 น.-20.30 น. 7 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่คาร์เลตัน มัวร์ ใกล้คลิปตัน มณฑลยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 22.00 น. ขณะเบร็ตต์ ยังกำลังขับรถข้ามไปยังคาร์เลตัน มัวร์ เข้าไปยังหน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ได้เห็นวัตถุบินทรงกลมมีลำแสงสีเงินสาดส่องเป็นประกายโดยรอบ บินผ่านมาทางด้านหน้ารถ เขาได้จอดรถเข้าข้างทาง และได้ลงมาจากรถ ออกไปยืนดูให้เห็นเด่นชัด ทันใดนั้นมันก็บินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับจรวด เบร็ตต์ ยังได้อธิบายในเวลาต่อมาว่า วัตถุบินดังกล่าวมีรูปร่างคล้ายวัตถุทรงกลม มีแสงสว่างคล้ายแสงนีออน สีเงินล้อมรอบ (รายงานจากแอนโทนี่ ด็อด นิตยสารยูเอฟโอ ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 หมายเลข 1 ประจำเดือนมีนาคม/เมษายน 1992) 8 กุมภาพันธ์ ปี 1992 เขตใกล้เฮ็บเดน บริดจ์ ยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. แฟรงค์ สกินเนอร์ได้ขับรถพาญาติอีกสองคนมุ่งหน้าไปยังเมืองฮากิแฟ็กซ์ ปรากฏว่าช่วงระหว่างกลางทางได้เห็นจานบินจอดนิ่งอยู่กลางอากาศ มีแสงสีเปล่งประกายรอบด้าน แฟรงค์ขับรถอย่างระมัดระวัง ส่วนญาติอีกสองคนรู้สึกตกใจมาก หลังจากเวลาผ่านไปสามสิบวินาที วัตถุบินดังกล่าวก็บินหายลับไป (รายงานจากสกายลิงค์ ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน 1992 การค้นคว้ายูเอฟโอแห่งลอนดอน ถนน 1010 ถนนทิวดอร์ บาร์คกิง เอ็ซเซ็ก ไอจี 119 อาร์เอ็กซ์) 9 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่แลงกูริก แลงนิโดร, โพวีส รัฐเวลส์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 05.00 น. เช้า ยามรักษาการณ์ที่ทำการรัฐบาลสองคนได้รายงานว่า เห็นจานบินลำหนึ่ง ซึ่งมีแสงสว่างสีเงินล้อมรอบ รูปร่างคล้ายจานมียอดรูปโดม พยานที่พบเห็นอีกหลายคนกล่าวว่า ในช่วงที่เขาเห็นจานบิน มันจอดนิ่งอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งไม่ห่างไกลนัก โทนี่ ด็อด อดีตนายตำรวจ ซึ่งอำนวยการการสอบสวนให้กับนิตยสารเควสท์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าเขาสังเกตได้ว่ามันบินไปทางซ้าย แล้ววกกลับมาทางขวาด้วยความเร็วสูงมาก เขาและเพื่อนๆ ได้เฝ้าสังเกตมันนานถึงสามสิบนาที "จากนั้นห้าชั่วโมงต่อมา จานบินลำนี้ก็กลับมาอีก ขณะที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่ ปรากฏว่าทุกคนหยุดนิ่งและตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่ามันจะกลับมาอีก" (รายงานจากแอนโทนี่ ด็อด นิตยสารยูเอฟโอ ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 เดือนมีนาคม/เมษายน ปี 1992) 10 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่เฮนรี แชปเปลล์, เบลเยียม ช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ปี 1992 ดร.สตีเวน เอ็ม. เกรียร์ และสมาชิกกลุ่มนักวิจัยของศูนย์ข่าวกรองค้นคว้าวิจัยนอกโลก (ซีเอสอีทีไอ) ได้เดินทางจากสหรัฐอเมริกาไปยังเบลเยียมเพื่อพบพยานบุคคลสำคัญหลายคน ซึ่งมีทั้งบุคคลทั่วไป นักค้นคว้า ที่รายงานว่าได้พบเห็นจานบินรูปทรงสามเหลี่ยมหรือบูมเมอร์แรง นับตั้งแต่ปี 1989 เป็นจำนวนมากถึง 3,500 ครั้ง ดร.สตีเวนและทีมงานได้สัมภาษณ์พยานที่พบเห็นจานบินเป็นจำนวนมาก เขาได้หยิบยกตัวอย่างจากพยานคนหนึ่งที่เห็นจานบินดังต่อไปนี้ "ในคืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1992 พวกเราได้ร่วมงานกับ ดร.เบรนิก (จากกลุ่มเอสโอบีอีพีเอส ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยค้นคว้าจานบินของเบลเยียม) ในเขตเทือกเขาสูงใกล้เมืองเฮนรี แชปเปลล์ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองยูเพ็นสิบไมล์ "เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. พวกเราเห็นขบวนรถบรรทุกของฝ่ายทหารผ่านไป สังเกตได้ว่าสิ่งของหรือสัมภาระที่อยู่บนรถต้องมีความสำคัญมาก เนื่องจากมีหน่วยรักษาความปลอดภัยอารักขามากผิดปรกติ "ดร.เบรนิกได้ออกไปเมื่อเวลา 22.00 น. เพื่อกลับไปยังกรุงบรัสเซลล์ พวกเรายังคงคิดปักหลักอยู่ในบริเวณนี้ต่อไปอีกหลายชั่วโมง และเมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. ถึงเวลา 01.00 น. สังเกตเห็นขบวนรถบรรทุกของทหารอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การอารักขาอย่างเต็มที่ ขณะที่พวกเราแอบสังเกตการณ์ครั้งนี้ บังเอิญเห็นยานประหลาดคล้ายดวงไฟแสงสีขาวเหลืองนวล ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วบินผ่านกลุ่มเมฆอย่างช้าๆ เท่าที่สายจามองเห็นมีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ "สองสามนาทีต่อมา หลังจากขบวนรถบรรทุกอันยาวเหยียดของทหารผ่านสายตาไปแล้ว ทันใดนั้นพวกเราได้ยินและรู้สึกว่ามีเสียงระเบิดดังกึกก้องและสั่นสะเทือนเหนือรถยนต์ของพวกเรานานประมาณสิบถึงสามสิบวินาที การสั่นสะเทือนมาจากยานประหลาดที่ปรากฏอยู่ในกลุ่มเมฆบางๆ บนท้องฟ้านั่นเอง เสียงระเบิดดังกล่าวมิใช่เสียงที่พวกเราเคยได้ยินมาก่อน ไม่ใช่เสียงฟ้าผ่า เสียงไอพ่น หรือเสียงโซนิคบูมแต่อย่างใด พวกเราแต่ละคนคิดว่ามันเกิดจากการกระทำของยานประหลาดอย่างแน่นอน และหลังจากเสียงดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกได้ไม่นานนัก มันก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในลักษณะเดียวกัน" (รายงานจากสตีเวน เอ็ม. เกรียร์ นิตยสาร MUFON UFO ฉบับ 289 เดือนพฤษภาคม ปี 1992) 11 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่คาลูเม็ต รัฐโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะติดตามเกี่ยวกับเรื่องการชำแหละสัตว์อย่างประหลาดในบริเวณดังกล่าว ทราวิส ดีนและเพื่อนหญิงของเขา ได้เห็นยานประหลาดที่มีแสงสว่างเจิดจ้า และแสงสีอื่นๆ หลากสีสัน ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเมื่อเวลา 18.15 น. ในช่วงแรกมันได้บินตามรถยนต์ของทราวิส ครั้นเขาหันหัวรถกลับเพื่อขับไล่ตามมันอย่างใกล้ชิด ปรากฏว่ามันบินหนีไปอย่างรวดเร็ว 15 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่วอร์ริงตัน มณฑลเชสเชียร์ ประเทศอังกฤษ วอริสกำลังขับรถไปตามถนนหลวงหมายเลขเอ็ม 62 ตรงไปยังเมืองแมนเชสเตอร์ ครั้นเข้าเขตเบิร์ชวู้ด เวลา 19.15 น. เขาได้เห็นจานบินลำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ครั้นเลี้ยวเข้าถนนกอร์ซ โคเวิร์ช สามารถมองเห็นจานบินได้เด่นชัดมาก ลักษณะรูปร่างของมันคล้ายรูปจาน มีหลังคาโค้ง ตรงกลางที่ฐานมีช่องคล้ายหน้าต่างเล็กๆ มีแสงสีขาวและสีต่างๆ สลับกันสาดส่องลงมา มันจอดนิ่งกลางอากาศเหนือบริเวณแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติริสลีย์ก่อนบินหายลับไปในกลุ่มเมฆ (รายงานจากสมาคมวิจัยค้นคว้ายูเอฟโอ แมนเชสเตอร์ นอร์ธเทิร์น ยูเอฟโอ นิวส์ ฉบับที่ 155 เดือนมิถุนายน ปี 1992) 19 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่ฮิลลิงตัน มิลเดิลเซ็กซ์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาประมาณ 22.27 น. สุภาพสตรีคนหนึ่ง (ไม่ประสงค์จะเปิดเผยรายชื่อแก่สาธารณชน แต่ได้ให้ข้อมูลและรายละเอียดแก่ผมไว้) ได้เผชิญกับวัตถุบินรูปร่างคล้ายจานขนาดใหญ่ บนท้องฟ้าเหนือบริเวณแยกถนนฟิลด์เฮลท์ตัดกับถนนฮาร์ลิงตัน ในการติดตามสำรวจเหตุการณ์ดังกล่าว ดาร์เรนกิลเล็ตต์ผู้นำทีมได้ส่งผม (ทิมโมที กู๊ด) ไปดำเนินการอย่างใกล้ชิด ดังรายงานสรุปต่อไปนี้ จานบินลำนั้นปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สว่างไสวราวกับหลอดไฟติดเพดาน ซึ่งเปล่งแสงสว่างสีขาวนวลจ้าออกมาโดยรอบ ตรงกลางด้านบนมียอดทรงกลมคล้ายโดม และมีแสงสว่างสีขาวนวลตามบริเวณผิว ตามคำบอกเล่าขอพยานที่พบเห็นอีกหลายคนกล่าวว่า จานบินไม่ได้ปรากฏขึ้นเพื่อปล่อยแสงหรือหมอกควันแต่อย่างใด วัตถุประสงค์สำคัญสันนิษฐานว่าคงมุ่งมั่นเข้ามาสำรวจบนโลกเรามากกว่า ลักษณะท้องฟ้าในคืนนั้นโปร่งใส มีเมฆเบาบางมาก ดวงดาวทอแสงเจิดจรัสเต็มท้องฟ้า อีกทั้งดวงจันทร์ก็ทอแสงอร่ามมองเห็นเด่นชัด ในช่วงตอนหัวค่ำมีหลายคนเห็นเรือเหาะลำเล็กๆ ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือบริเวณนั้น แต่สตรีที่พบเห็นจานบินทราบดีถึงความแตกต่างระหว่างเรือเหาะกับจานบินที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่สังเกตว่ามีรถหลายคันแล่นผ่านไปมาในแถบนั้น แต่ไม่มีใครมองเห็นจานบิน กลับเป็นพยานหลายคนที่อยู่ห่างไกลจากบริเวณนั้นไม่มากนัก ทั้งๆ ที่จานบินที่เธอเห็นขนาดใหญ่มาก มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 250 เมตรเลยทีเดียว มีพยานหลายคนที่ได้เห็นจานบินลำดังกล่าวได้เขียนจดหมายไปถึงผมในเดือนพฤศจิกายน ปี 1992 ซึ่งมีรายงานเพิ่มเติมว่า จานบินลำนั้นบินเงียบมาก ทั้งที่ปรากฏอยู่ห่างประมาณร้อยหลาเศษเท่านั้น บางช่วงมันจอดนิ่งอยู่กลางอากาศ ผม (พยาน) ได้เฝ้ามองจานบินลำนี้อยู่นานประมาณสามนาที จากนั้นได้ไปชวนเพื่อนบ้านไปสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ผมรู้สึกตื่นเต้นมากแต่พวกเขาไม่เชื่อผม แต่ถึงอย่างไรก็ได้ตามผมไปดู แต่ปรากฏว่าจานบินประหลาดลำนั้นหายไปแล้ว ผมได้ขับรถวนไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบสิ่งใด ผมได้สอบถามไปยังฐานบินทหารอากาศ, นอร์ธโฮลท์, สนามบินฮีทโธรว์, ศูนย์ปฏิบัติการจราจรทางอากาศของกองทัพ และศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศอักซ์บริดจ์ (ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์ควบคุมการจราจรลอนดอน ที่เวสต์เดรย์ตัน) ซึ่งสถานที่ดังกล่าวอยู่ไม่ห่างไกลจากบริเวณที่พบเห็นจานบินเท่าใดนัก) ว่าศูนย์เรดาร์ของแต่ละแห่งได้ติดตามร่องรอยของจานบินลำนั้นหรือไม่ ? จากการติดต่อกับอดีตผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ผมได้รับแจ้งว่า จานบินลำนั้นบินอยู่ในระดับต่ำ ทางศูนย์เรดาร์ได้บันทึกไว้ว่าเป็นหลักฐานสัญญาณสะท้อนไม่ถึงประสงค์จากพื้นดิน (ไม่สามารถอธิบายได้) 25 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ที่อีสต์ ฟอร์ก บาธคันตี เคนตั๊กกี้ สหรัฐอเมริกา สังเกตเห็นยานประหลาดลอยอยู่บนท้องฟ้าระดับสูงจากพื้นเพียงหนึ่งร้อยฟุต ลักษณะเป็นยานขนาดเล็ก มีแสงสว่างสีเงินคล้ายสีอะลูมิเนียมห่อหุ้ม และเปล่งแสงสว่างจ้าสีน้ำเงิน เขียว และเหลืองสลับกันออกมาด้วย บิลล์ โกลดีได้ต้อนฝูงวัวขึ้นไปเลี้ยงบนเนินเขา แล้วได้ย้อนกลับลงมาแอบดูยานประหลาดที่ร่อนลงมาจอดอยู่ตรงบริเวณหลุมกว้างกลางป่าไม้ในหุบเขา ปรากฏว่ามันหายไปทั้งๆ ที่เขาเดินติดตามค้นหาต่อมาอีกสามชั่วโมง บิลล์ โกลดีได้กล่าวว่า "ผมไม่ทราบว่ามันคืออะไร มาจากไหน มาทำอะไร ผมไม่ต้องการให้เป็นข่าว เพียงแต่ว่าผมได้เห็นยานประหลาดลำเล็กๆ โดยบังเอิญเท่านั้น" (รายงานจากแอนดี มีด, เฮราลด์-ลีดเดอร์, เลชิงตัน, เคนตั๊กกี้ 13 มีนาคม ปี 1992) 3 มีนาคม ปี 1992 ที่คอนคอร์ด นิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลาประมาณ 18.50 น. ขณะที่กำลังขับรถยนต์ โรเจอร์ ครอสต์ได้เห็นจานบินรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่มากลำหนึ่ง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือถนน 3A ใกล้ทางข้ามระหว่างรัฐหมายเลข 93 มันสาดส่องลำแสงสีเงินขาวอมน้ำเงินลงมา แล้วหายสาบสูญไปตรงบริเวณเหนือแนวระดับต้นไม้ใกล้บรอดเวย์ เขาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ขนาดของมันใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว มันลอยอยู่เหนือยอดต้นไม้ และมีเสียงคล้ายเสียงฝนตกลงบนหลังคาเต็นท์ผ้าใบ ที่จริงแล้วมีคนเริ่มเห็นจานบินประหลาดลำนี้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. แล้ว ดังจะเห็นได้จากรายงานของผู้สังเกตการณ์หลายรายในเมืองแคลร์มอนต์, แบร๊ดฟอร์ด, นิวพอร์ต, ซาลิซบูรี และพีนาคุก ที่เห็นพร้อมกับโรเจอร์ (รายงาจากยูเนียน ลีดเดอร์, แมนเชสเตอร์ นิวแฮมป์เชียร์ 7 มีนาคม ปี 1992) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 20 3 มีนาคม ปี 1992 ที่กรีนซ์โบโร, นอร์ธคาโรไลนา, สหรัฐอเมริกา โรเบิร์ต เบนสันพร้อมด้วยเคธที เคนนีย์เพื่อนหญิง และเมลวิน เฟอร์กูสัน เพื่อนอีกคนหนึ่ง ได้ไปร่วมสังสรรค์กันในบ้านเคลื่อนที่ที่ใช้รถลากซึ่งจอดอยู่ในวู้ดเลคโมบาย โฮมปาร์ก ริมถนนแรนเดิลแมน ครั้นถึงเวลา 20.40 น. พวกเขาได้เห็นยานลึกลับทรงกลม คล้ายดวงไฟส่องแสงสว่างขนาดใหญ่ ลอยอยู่บนท้องฟ้า ไปในระดับต่ำอย่างช้าๆ และมีเสียงดังกระหึ่ม "ขนาดของมันใหญ่พอๆ กับเครื่องบินดีซี-9" เบนสันกล่าว "ทันทีที่เห็นในตอนแรก ผมคิดว่าเป็นเครื่องบินประหลาดรุ่นใหม่บินในระดับต่ำสูงจากพื้นดินราว 250 ฟุต ผมคิดว่ามันจะตกลงมายังพื้นโลกเสียอีก ที่น่าสังเกตก็คือ แมวของแคธที่จ้องมองยานประหลาดราวกับถูกสะกดจิตแน่นิ่ง ยานลึกลับลำนี้ได้ลอยหายไปเหนือบริเวณเนินเขาที่อยู่ใกล้ จากนั้นมันก็ลอยกลับมาอีก" ในช่วงที่ยานประหลาดลอยกลับมา โรเบิร์ตและแคธทีได้รีบขึ้นรถขับออกไปตามถนนครีกรีดจ์ "ดูเหมือนว่ามันกำลังตามรถของเรา" โรเบิร์ตกล่าว ในเวลาเดียวกันนั้น พยานคนหนึ่งที่ไม่ได้ระบุชื่อได้โทรศัพท์ไปยังสำนักงานนิวส์แอนด์เร็คคอร์ด เพื่อรายงานการเห็นจานบินลำหนึ่งที่มีแสงสว่างห่อหุ้มลอยผ่านเหนือถนนลิสชาเปล และถนนเชิร์ชสตรีท ในเขตนอร์ธกรีนซ์โบโร (รายงานโดยจิม สคลอสเซอร์ และเบอร์นี วูดอลล์ จากนิวส์แอนด์เร็คคอร์ด, กรีนซ์โบโร, 5 มีนาคม ปี 1992) 4 มีนาคม ปี 1992 ที่ดิสลีย์, เชสเชียร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 20.30 น. มิสบีกำลังเดินจูงสุนัขไปตามทางใกล้ลีมปาร์ก ได้เห็นยานประหลาดคล้ายขนมโดนัทขนาดยักษ์ลำหนึ่งสาดส่องแสงสว่างออกมาตามช่องหน้าต่างเล็กๆ รอบข้าง และจากฐานด้านล่าง ลอยอยู่บนท้องฟ้าในระดับต่ำ ขนาดใหญ่มาก เท่ากับรถบัสสองชั้น ต่อมามันได้ทะยานขึ้นจากระดับเหนือยอดต้นไม้ บินออกไปทางทิศเหนือ (รายงานโดยรอย แซนด์บาช จากนอร์ธเทิร์น ยูเอฟโอ นิวส์ ฉบับที่ 155 เดือนมิถุนายน ปี 1992) 5 มีนาคม ปี 1992 ที่เมืองเพิร์ธ เมืองหลวงของออสเตรเลียตะวันตก พยานคนหนึ่งซึ่งกำลังขับรถมุ่งหน้าไปทางเหนือตามถนนแวนเนอร์รูได้เห็นวัตถุบินสว่างไสวเจิดจ้าลำหนึ่ง ลอยตรงเข้ามาหาเธอทางด้านขวามือ แล้วผ่านเหนือรถยนต์ของเธอไปทางซ้าย หันหัวไปทางทิศตะวันตก เข้าไปยังถนนวิธฟอร์ด เธอได้อธิบายในเวลาต่อมาว่า มันมีขนาดใหญ่มาก รูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม มีแสงสีขาวนวลจ้าเป็นประกายตรงปลายยอดแหลมของสามเหลี่ยมแต่ละด้าน ส่วนตรงบริเวณด้านหลัง มีแสงสีเขียวนวลเป็นประกายออก มันบินไปในลักษณะเงียบ แล้วหายลับไปในท้องฟ้า (รายงานโดยไบรอัน ริชาร์ด, จากศูนย์รวบรวมข้อมูลยูเอฟโอ หรือที่เรียกชื่อย่อว่ายูเอฟโออาร์ยูเอ็ม) 9 มีนาคม ปี 1992 ที่นิวเคนซิงตัน, เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลา 18.30 น. เด็กชายสองคนวัยสิบขวบและแปดขวบ กำลังวิ่งเล่นอยู่ตรงบริเวณใกล้สุสานห่างจากศูนย์วิจัยค้นคว้าอัลคัว ได้สังเกตเห็นยานประหลาดลำหนึ่ง บินมาจากทิศตะวันออก มุ่งตรงมายังทิศทางที่พวกเขายืนอยู่ ในตอนแรกพวกเขาคิดว่ายานประหลาดดังกล่าวคล้ายรถยนต์บินที่มีไฟส่องสว่างจ้าสองดวง มันบินผ่านมาอย่างรวดเร็ว ครั้นเข้ามาถึงระยะใกล้พวกเขามองเห็นส่วนยอดและใต้ฐานของยานประหลาดลำนั้นอย่างเด่นชัด ลักษณะคล้ายจานคว่ำ มีส่วนบนยื่นขึ้นไปเป็นวงโค้งสีเทาหรือสีเงิน ช่วงที่มันบินผ่านบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ พวกเขารู้สึกตกใจมากที่เห็นลำแสงสว่างจ้าพุ่งออกมาทั้งด้านบนและด้านล่าง ลำแสงดังกล่าวมีความเข้มมาก และขณะที่บินไปก็ส่งเสียงระเบิดออกมาคล้ายเสียงไอพ่น ส่วนขนาดของมันมีขนาดใหญ่เทียบเท่ารถบรรทุก เด็กทั้งสองตกใจมาก ถึงกับรีบวิ่งเข้าไปซ่อนหลังแผ่นหินจารึกหน้าหลุมฝังศพ ครั้นเห็นยานประหลาดลอยเข้ามาใกล้ และแผ่ลำแสงลงมา เด็กทั้งสองก็วิ่งหนีออกไปยังถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างประมาณร้อยหลา ยานประหลาดลำนี้ก็เคลื่อนตามไปอีก ทั้งสองได้วิ่งวนเป็นวงกลมเข้าไปยังป่าละเมาะข้างทางเนื่องจากเกรงว่ายานประหลาดจะตามไปทัน สักครู่หนึ่งยานประหลาดก็บินย้อนกลับไปทางสุสาน ทะยานออกไปทางน่านฟ้าเบื้องหน้า แล้วหายลับไป จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยอัลคัวได้สนใจเข้าไปวิจัยโดยตั้งเป็นโครงการริเริ่มยุทธศาสตร์ป้องกันภัยทางอากาศ (เอสดีไอ หรือที่เรียกว่าสตาร์วอร์) ผู้ที่เข้าไปสำรวจเบื้องต้นคือเดนนิส สตัดเตอร์แมน, สมาชิกหน่วยพีเอเอสยู ซึ่งเป็นนายตำรวจและที่ปรึกษากิจการเร่งด่วน (รายงานจากพีเอเอสยู ดาตาเอกเชนจ์ ฉบับที่ 19 เมษายน ปี 1992) 10 มีนาคม ปี 1992 ที่คิงลินน์ นอร์ฟอร์ค ประเทศอังกฤษ ผู้ตรวจสอบเหตุการณ์ต่อไปนี้ตามคำร้องของผม คือเดวิด เดน จิตรกรชาวนอร์ฟอล์ค ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หลังจากที่ผมได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการพบเห็นจานบินในนิตยสารลีนน์ นิวส์ แอนด์ แอดเวอร์ไทเซอร์ ฉบับวันที่ 10 เมษายน ปี 1992 ซึ่งสรุปไว้ดังนี้ ในคืนวันอังคารที่ 10 มีนาคม สมาชิกครอบครัวเพรสตันประสบเหตุการณ์ประหลาดที่คาดไม่ถึง ครอบครัวเพรสตันมีเควินเป็นหัวหน้าครอบครัว มาริลิน เพรสตันภรรยาของเควิน พร้อมทั้งคิมและเคอร์รีย์ บุตรสาวทั้งสอง อาศัยอยู่ที่บ้านย่านถนนวู้ดวาร์ค เขตคิงลีนน์ ในคืนวันนั้นมาริลินทำงานที่ซิดนีย์ไดโฮม ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ถึง 21.00 น. จากนั้นเธอก็ขับรถกลับไปบ้าน แล้วได้ออกจากบ้านอีกครั้งหนึ่งเวลาประมาณ 21.30 น. เพื่อไปรับคิมและเพื่อนชายของคิมกลับบ้าน ขณะที่ขับรถไปตามถนน ทุกคนได้ยินเสียงผิดปรกติจากวิทยุรถยนต์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเปิดสวิตช์ ภายหลังจากแวะส่งเพื่อนชายของคิมใกล้บริเวณมิดเดิลตัน ประมาณ 22.00 น. มาริลินได้ขับรถตรงดิ่งไปบ้านพร้อมทั้งคิมบุตรสาววัยสิบเจ็ดปี และเคอร์รีย์วัยสิบเอ็ดปี ขณะรถแล่นไปตามถนน ทุกคนมองเห็นยานประหลาดคล้ายดาวดวงหนึ่งที่สุกใสเป็นพิเศษ ซึ่งทันทีที่มองเห็น มาริลินคิดว่ามันคงเป็นดาวเหนือ แต่ความคิดของเธอต้องเปลี่ยนไปในทันใด เนื่องจากสังเกตเห็นมันเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว และมีหางเป็นแสงสีแดงยาวเหยียด จากนั้นมันได้เพิ่มขนาดโตขึ้นๆ เพียงไม่กี่นาทีก็กลายเป็นวัตถุเปล่งประกายแสงเจิดจ้าขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือถนน และได้ลอยมาอยู่เหนือรถของเธอที่กำลังแล่นพอดี เคอร์รีย์ได้อธิบายและสเก็ตช์ภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับยานลำนั้นออกมา มีลักษณะคล้ายจานคว่ำ ชั้นบนมีหลังคาซ้อนกันจากใหญ่ไปหาเล็ก คล้ายกาบหอย ยานประหลาดลำนี้ได้เคลื่อนที่มาลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือบริเวณระหว่างโรงงานแคมป์เบลล์กับถนนหลวงสี่เลนใกล้วงเวียนฮาร์ดวิค ตรงจุดนี้คิมซึ่งนั่งอยู่ช่วงหลังรถได้มองเห็นยานประหลาด และได้ตะโกนด้วยความตกใจว่า ระวังแสงจากยานประหลาด เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้มันบินตามรถที่กำลังแล่นอยู่ในถนนที่มืดมิด ปรากฏว่ายานประหลาดได้ลอยเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วจอดนิ่งอยู่กลางอากาศ ซึ่งคิมได้อธิบายในภายหลังว่า ลักษณะเป็นยานที่มีสีแสงของโลหะเป็นมันวาววับ ที่ฐานใต้ยานมีแสงสว่างจ้าคล้ายแสงไฟนีออนขนาดใหญ่สาดส่องออกมา ส่วนตรงกลางลำแสงมีแสงนวลสีเหลืองสลับขาวพุ่งออกมา มาริลินสนใจที่จะจอดรถแล้วเข้าไปยืนดูใกล้ๆ แต่คิมซึ่งรู้สึกกลัวเป็นพิเศษได้ขอร้องให้รีบกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เคอร์รีย์ได้หันกลับไปมองดูยานประหลาดซึ่งเคลื่อนห่างออกไป แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนด้วย ในช่วงที่ขับรถกลับบ้าน ทุกคนมีความรู้สึกตกใจกลัว โดยเฉพาะคิมถึงกับหน้าซีดตัวสั่น ส่วนเควินผู้เป็นพ่อบ้าน หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ยอมรับว่าทั้งภรรยาและบุตรสาวของเขาประสบเหตุการณ์ดังกล่าวจริง ต่อมาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็มีผู้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวไปยังสถานีตำรวจคิงลินน์ในวันเสาร์ และได้มีคนขับแท็กซี่คันหนึ่งได้ไปเยี่ยมครอบครัวเพรสตัน และได้เล่าว่าเขาเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกับมาริลินและบุตรสาวของเธอในช่วงสัปดาห์ก่อน สิ่งที่น่าสนใจตามมาก็คือ บิดา มารดาของมาริลิน ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่บ้านตรงข้ามกับบ้านของมาริลิน ก็ประสบกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นเดียวกันเมื่อห้าปีผ่านมาแล้ว ขณะตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ แล้วได้ยินเสียงดังกระหึ่มบนท้องฟ้า และพบว่ามีลำแสงขนาดใหญ่สว่างมากสาดส่องลงมายังห้องนอนและห้องใกล้เคียง ทั้งสองรีบซุกตัวหลบข้างห้อง รอจนกระทั่งแสงสว่างและเสียงจางหายไป มาริลินได้เล่าว่าต่อมาบิดาของเธอก็ได้ติดต่อไปยังฐานทัพอากาศมาร์แรมที่อยู่ใกล้ แต่ได้รับคำแนะนำให้ปิดเรื่องเงียบเป็นความลับ 13 มีนาคม ปี 1992 ที่เบลเลวู ใกล้กรีนเบย์ รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ขณะถ่ายวิดีโอเกี่ยวกับสภาพอากาศ เดวิด ฮูเคอร์ หัวหน้าทีมช่างภาพของดับบลิวเอฟอาร์วี-ทีวี ซึ่งเป็นสถานีเครือข่ายซีบีเอส ประจำท้องถิ่น ได้บันทึกภาพจานบินขนาดใหญ่ลำหนึ่งซึ่งมีรูปร่างคล้ายมวนซิการ์ ต่อมาฟิล์มภาพนี้ได้ผ่านการตรวจสอบโดยเจฟฟรีย์ ไซนีโอ จากศูนย์เอ็มยูเอฟโอเอ็น ซึ่งเขาได้ยืนยันถึงความเป็นไปได้ จานบินที่ปรากฏในภาพเคลื่อนที่จากขวาไปยังด้านซ้ายของเฟรมภาพผ่านบริเวณด้านหลังกังหันลม แล้วไปปรากฏบนท้องฟ้าในแนวเดียวกันอีกด้านหนึ่ง ในระดับความสูง 25,000 ฟุต และบินไปด้วยความเร็วสูงประมาณ 7,000 ไมล์ต่อชั่วโมง 14 มีนาคม ปี 1992 ที่กัลฟ์บรีซ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา มีพยานจำนวนสามสิบคน รวมทั้งสมาชิกของทีมวิจัยกัลฟ์บรีซ และบุคคลอื่นอีกหลายคน ซึ่งกำลังสังเกตการณ์บนท้องฟ้าจากเกาะซันตาโรซา ได้เห็นจานบินห้าลำนานสิบนาที ช่วงเวลา 18.00 น. เศษ ท้องฟ้าในขณะนั้นโปร่งใสปราศจากหมอกเมฆ จานบินลำแรกปรากฏขึ้นในลักษณะแสงสีขาวสว่างจ้า ทำมุม 50 องศากับแนวเส้นระดับของฟ้า จากนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดง ตามมาด้วยจานบินลำที่สอง สาม สี่ และห้า ซึ่งมีลักษณะเป็นดวงไฟแสงสีแดง มันวางตำแหน่งคละกันเป็นแนวโค้งตามเข็มนาฬิกาตรงจุด 4, 5, 8 และ 9 นาฬิกา "จานบินทั้งห้าไม่ได้บิน เพียงแต่จอดนิ่งและเปล่งแสงออกมาเป็นระยะๆ" จอร์จ ดรัมบลีย์กล่าว "ต่อมาจานบินสองลำแรกได้บินตรงมายังทิศทางที่พวกเราปฏิบัติการอยู่" อาร์ท ฮัฟฟอร์ด สมาชิกคนหนึ่งของทีมวิจัยกัลฟ์บรีซได้กล่าวเสริมขึ้นว่า "ในการทดลองครั้งหนึ่งได้ใช้สปอตไลต์กว่า 500,000 แรงเทียนทดสอบจนได้แสงที่มีความเข้มสูงสาดส่องออกมาซ้ำหลายครั้ง เพื่อเปรียบเทียบกับแสงที่เปล่งออกมาจากจานบิน "จานบินที่บินมายังทิศทางที่เรายืนอยู่ ได้ส่งไฟสัญญาณเป็นไฟแฟลชตอบรับสัญญาณของพวกเราที่ส่งขึ้นไปซ้ำหลายครั้งประมาณสามสิบวินาที จากนั้นก็บินผ่านไปและหายลับไปในที่สุด" (รายงานโดยแพตติ เวทเทอร์ ฟอร์ด จากไอสแลนด์ เพนซาโคลา บีช, ฟลอริดา 27 มีนาคม ปี 1992) 16 มีนาคม ปี 1992 ที่เมืองเพิร์ธ เมืองหลวงของออสเตรเลียตะวันตก เมื่อเวลา 24.15 น. พยานคนหนึ่งซึ่งกำลังขับรถในเขตเคลวินและถนนชิตเตอร์บรู๊ค และกาลามันดา ได้เห็นจานบินสีเทาหรือสีโลหะสองลำลอยอยู่อย่างช้าๆ สลับกับเร็วเป็นระยะๆ ไปทางทิศตะวันออก บางครั้งมันลดระดับต่ำลง และช้ามากจนกระทั่งเขาคิดว่ามันกำลังจะตกลงมาพื้นโลก และขณะที่บินไม่มีเสียง ในตอนแรกเขาคิดไปว่าอาจเป็นเครื่องบินฝึกไอพ่นรุ่นใหม่ของกองทัพอากาศออสเตรเลีย แต่ก็ไม่มีส่วนที่ยื่นออกมาในลักษณะเครื่องบินและรูปร่างของจานบินก็แตกต่างจากเครื่องบินอย่างสิ้นเชิง (รายงานโดยไบรอัน ริชาร์ด, จากยูเอฟโอ คอลเลกชั่น เซ็นเตอร์ ยูเอฟโออาร์ยูเอ็ม) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:52:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 19 มีนาคม ปี 1992 บริเวณใกล้โคลเชสเตอร์, เอ็ซเซ็ก, ประเทศอังกฤษ ครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกห้าคน กำลังนั่งรถยนต์ไปตามถนนบายพาสล์ A 130 ใกล้โคลเชสเตอร์ พวกเขาสังเกตเห็นวัตถุบินคล้ายเพชรหรือกรวยเหลี่ยมประกบกันลอยอยู่บนท้องฟ้าไปทางซ้ายของถนนเมื่อเวลา 21.45 น. พวกเขาได้แวะเข้าไปจอดรถข้างถนน ทำให้มองเห็นวัตถุบินประหลาดเด่นชัดมีสีเขียวเข้ม และมีวัตถุทรงกลมเล็กๆ อีกสองลำ ซึ่งมีแสงเปล่งประกายออกมาโดยรอบ มีสีแดง กรมท่า และเหลือง พวกเขาได้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่นานชั่วโมงครึ่ง ไม่ได้สังเกตว่ารถคันอื่นที่แล่นผ่านไปเห็นจานบินดังกล่าวหรือไม่ มันเป็นอากาศยานที่ประหลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา และที่สังเกตเห็นเด่นชัดก็คือ มันเกิดขึ้นโดยไม่มีเสียงเลย ครั้นถึงเวลา 23.15 น. วัตถุบินรูปร่างคล้ายเพชรหรือกรวยเปลี่ยมประกบกันส่งแสงกะพริบเป็นระยะ แล้วค่อยๆ หายลับไป คล้ายกับหมอกควันที่จางหายไปทีละนิด (ผู้รายงานคือรอน เวสต์ จากกลุ่มวิจัยจานบินเอ็ซเซ็ก) 19 มีนาคม ปี 1991 ที่ไฮเนสซิตี้ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา หลุยส์ เดลกาโด นายตำรวจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งกำลังขับรถลาดตระเวนทางเขตเหนือไปตามถนนหมายเลขที่ 30 ในเมืองไฮเนสซิตี้ ด้านตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเวลาประมาณ 03.52 น. ได้เผชิญกับยานประหลาดที่มีแสงสว่างสีเขียวรูปร่างคล้ายจานขนาดใหญ่ ลอยเข้ามาทางด้านหลังรถ และได้ลอยอยู่เหนือบริเวณรถในระดับสูงเหนือพื้นดินประมาณสิบฟุต นานประมาณหนึ่งนาที หลุยส์ได้รายงานว่า หลังจากที่เขาขับรถเข้าไปจอดข้างถนน เนื่องจากเกรงว่ายานประหลาดลำนั้นจะตกลงมายังรถ ปรากฏว่าเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด และวิทยุติดต่อสื่อสารก็ใช้การไม่ได้ เขากล่าวว่า "ผมรีบเปิดสวิตช์วิทยุเพื่อจะติดต่อไปยังรถลาดตระเวนที่อยู่ใกล้ แต่ปรากฏว่าเครื่องเสีย ไฟรถยนต์ดับ หลังจากนั้นผมก็ได้ยืนอยู่ที่นั่น อากาศในขณะนั้นก็หนาวมาก" ต่อมานายตำรวจอีกคนหนึ่งได้ขับรถผ่านไปพบหลุยส์นั่งตัวสั่นอยู่ในรถ เขาเปิดเผยว่าแม้เขาจะมีประสบการณ์ในชีวิตตำรวจมาอย่างโชกโชน แต่ไม่มีครั้งใดที่เขาจะรู้สึกตื่นเต้นเท่าครั้งนี้ ร้อยตำรวจโทแฟรงค์ แคเทอริโน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ตำรวจเมืองไฮเนสซิตี้ได้กล่าวว่า หลุยส์ประสาทเครียดมาก แต่ปรากฏว่าเขาผ่านการตรวจสอบสภาพร่างกายและจิตใจหลังจากที่ได้เห็นจานบินประหลาดดังกล่าว (ผู้รายงาน เจฟฟ์ ออสเตอร์แคมป์ จากนิตยสารเลดเจอร์, เลคแลนด์, รัฐฟลอริดา วันที่ 20 มีนาคม ปี 1992) 20 มีนาคม ปี 1992 ที่อิซลิงตัน ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พยานคนหนึ่งได้เล่าว่า เธอได้เห็นจานบินที่มีแสงสีนวล คล้ายแสงนีออนสีขาวและสีแดง ห่อหุ้มโดยรอบลอยอยู่บนท้องฟ้า เหนือบริเวณถนเอ็ซเซ็ก ใกล้บ้านของเธอในเขตอิซลิงตัน ในช่วงเวลาระหว่าง 19.30-20.00 น. มันลอยอยู่นานสองถึงสามนาที แล้วมีแสงไฟกะพริบ จากนั้นก็ลอยตัดผ่านกลุ่มเมฆออกไปอย่างรวดเร็ว เธอกล่าวว่ามันลอยไปเร็วมาก แกรีย์และเด็บบี้ ไฮน์ แห่งไฮจ์บูรี ได้ถ่ายภาพยานประหลาดจากบ้านพักของพวกเขา และได้กล่าวเน้นว่า ลักษณะของยานประหลาดแตกต่างจากเรือเหาะลำเล็กๆ ที่โฆษณารถยนต์เรโนลด์ลอยอยู่ใกล้บริเวณนั้น (รายงานจากอิซลิงตัน กาเซ็ตต์, ลอนดอน 26 มีนาคม, 19 เมษายน ปี 1992) 23 มีนาคม ปี 1992 ที่แดลซ์ ดูเฟอร์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา หญิงคนหนึ่งกำลังขับรถไปตามถนนหลวงหมายเลข 197 ตามรายงานของเธอปรากฏว่า ในช่วงก่อนเวลา 21.00 น. เล็กน้อย มีจานบินลำหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าตามรถเธอมาห่างๆ หลังจากนั้นมีพยานอีกคนหนึ่งได้รายงานว่า เห็นวัตถุบินรูปทรงสามเหลี่ยมบินมาจากหุบเขาทิจตามเขามาจนถึงเขตแดลซ์ (รายงานจากโครนิเคิล, เดอะแดลซ์, 24 มีนาคม ปี 1992) 24 มีนาคม ปี 1992 ที่เฮฟล็อค, นอร์ธคาโรไลนา, สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลา 19.30 น. แม่บ้านชาวเฮฟล็อคคนหนึ่งเดินออกไปนอกบ้านเพื่อไปเก็บเสื้อผ้าซึ่งตากไว้ที่ราวหลังบ้าน ทันใดนั้นเธอได้เห็นยานประหลาดลำหนึ่งลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดต้นไม้ประมาณครึ่งไมล์ เธอพร้อมทั้งบุตรชายวัยสิบสี่ขวบได้มองเห็นมันลอยเข้ามาใกล้ในระดับต่ำ เหนือบริเวณที่ยืนอยู่เพียง 75 ฟุต แล้วมันก็หยุดนิ่ง ท่ามกลางความมืด ทั้งสองไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของมันได้ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ายานประหาดลำนี้คงยาวประมาณ 90 ฟุต มีดวงไฟสว่างเจิดจ้าสี่ดวงตรงปลายด้านหนึ่ง และมีดวงไฟแสงสีแดงอีกด้านหนึ่ง ตัวยานมีเทาคล้ายโลหะ ขณะที่ทั้งสองยืนมองอยู่ก็มีความรู้สึกว่า ยานประหลาดลำนั้นก็เฝ้ามองอยู่เหมือนกัน ทันใดนั้นยานประหลาดก็แยกตัวมันเองออกเป็นสามส่วน ส่วนตรงกลางยังจอดนิ่ง แต่ส่วนที่มีแสงสีแดงสาดส่องออกมาอยู่ด้านหลัง และส่วนที่มีลำแสงสีเหลืองตรงปลายด้านหนึ่งอยู่ข้างหน้า ต่อมาปรากฏว่าสมาชิกทั้งครอบครัวได้วิ่งออกมาดูยานประหลาดพร้อมกัน ต่างเห็นยานประหลาดที่มีลำแสงสีเหลืองตรงปลายด้านหนึ่งบินข้ามเมืองไปและยานที่มีลำแสงสีแดงบินออกไปทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว (รายงานโดยแรนดอลล์ แพตเตอร์สัน จากเฮรอลด์ซัน เดอแฮม, นอร์ธคาโรไลนา, 31 พฤษภาคม ปี 1992) 24 มีนาคม ปี 1992 ที่กัลฟ์บรีซ รัฐฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา แบลนด์ พิวจ์ ผู้ตรวจการณ์ภาคสนามของศูนย์ข่ายงานค้นคว้าจานบินระหว่างชาติ ได้รายงานโดยสรุปดังนี้ ทีมนักวิจัยกัลฟ์บริซได้ไปชุมนุมกันที่ปาร์กริมฝั่งทะเลทางตอนใต้ เพื่อสังเกตการณ์เกี่ยวกับจานบิน ปรากฏว่าได้เห็นจานบินปรากฏขึ้นทางน่านฟ้าด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วงแรกปรากฏเป็นดวงไฟสีแดง ส่นอีกดวงหนึ่งเป็นแสงสีนวลขาวสว่าง แล้วเคลื่อนไปรอบๆ ดวงไฟสีแดง หลังจากนั้นเพียงห้านาที ดวงไฟที่เล็กกว่าก็ค่อยๆ เคลื่อนออกมา แล้วหายลับไป และที่ทุกคนประหลาดใจก็คือ แต่ละดวงมีแสงกะพริบเป็นระยะในตัวของมัน จากนั้นมันได้ลอยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หายลับไปในน่านฟ้า พยานที่พบเห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่โทรทัศน์ซีบีเอสคนหนึ่ง ต่างได้ยืนยันว่าได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจริง (รายงานโดยแบลนด์ พิวจ์, จากไอสแลนด์เดอร์, เพนซาโคลา บีช, ฟลอริดา, 10 เมษายน ปี 1992) 28 มีนาคม ปี 1992 บริเวณใกล้บูรี เซนต์ เอ็ดมันด์ ซัฟฟอล์ค ประเทศอังกฤษ ครอบครัวหนึ่งได้นั่งรถยามราตรีผ่านไปยังชนบทห่างจากบูรี เซนต์ เอ็ดมันด์ ประมาณสี่ถึงห้าไมล์ ได้เห็นจานบินประหลาดใหญ่มาก มีแสงสว่างสีแดงเป็นประกายโดยรอบ จากนั้นพวกเขาได้จอดรถเข้าข้างทาง แล้วลงจากรถออกไปยืนดูจานบินประหลาด สังเกตได้ว่าจานบินลำนี้มีลำแสงขนาดใหญ่สองลำแสงสาดส่องลงมายังพื้นโลก จากนั้นมันได้ลอยเข้ามาใกล้แล้วบินข้ามทุ่งหญ้าออกไป มันบินในลักษณะไม่มีเสียง และบินในระดับต่ำเหนือยอดต้นไม้ราว 300-400 ฟุต ลักษณะรูปร่างกึ่งวงรีและทรงกลม (รายงานโดยลีนน์ นิวส์ แอนด์แอดเวอร์ไทเซอร์, นอร์ฟอร์ค วันที่ 3 เมษายน ปี 1992) 28 มีนาคม ปี 1992 บริเวณใกล้เขตเออร์วิน, รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. เด็กชายวัยสิบสี่ขวบตกใจตื่นขึ้นจนตัวสั่นเมื่อเห็นลำแสงไฟสว่างจ้าสีเหลืองนวลขนาดใหญ่สาดส่องลงมายังห้องนอนของเขาภายในบ้านที่ชนบท ขณะเดียวกันเขาได้ยินเสียงกระหึ่ม เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเห็นยานประหลาดรูปร่างวงรี ขนาดเท่ารถยนต์คันหนึ่งสีเหลืองและส้ม ลอยอยู่สูงประมาณห้าสิบฟุตเหนือพื้นดิน จากนั้นประมาณยี่สิบวินาทีต่อมา มันได้ทะยานขึ้นสูงเล็กน้อย แล้วบินผ่านเหนือหลังคาบ้านของเขา ตรงไปทางถนนหมายเลข 30 แล้วหายลับไป ต่อมาบิดา มารดา และสมาชิกคนอื่นภายในบ้าน ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงดังจากใบพัดเฮลิคอปเตอร์สองลำอยู่ใกล้ๆ ครั้นทุกคนมองไปรอบๆ ก็ไม่พบเห็นสิ่งใด (รายงานโดยสแตน กอร์ดอน จากพีเอเอสยู ดาตาเอกเชนจ์ ฉบับที่ 19 เดือนเมษายน ปี 1992) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:56:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 13 เมษายน ปี 1992 ที่วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลา 17.45 น. จอร์จ วิงฟิลด์ และพยานคนอื่นอีกหลายคน สังเกตเห็นจานบินประหลาดจำนวนรวมสิบเอ็ดลำ ลอยอยู่เหนืออนุสาวรีย์วอชิงตันนานประมาณยี่สิบนาที 14 เมษายน ปี 1992 ใกล้เมืองดูแรนต์, รัฐโอคลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เอลิซาเบธ ซึ่งพักอยู่ในห้องนอนของมารดา พยายามกล่อมน้องชายคนเล็กให้นอนหลับเมื่อเวลา 22.00 น. ทันใดนั้นเธอสังเกตเห็นแสงสว่างสีแดงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง จึงลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ปรากฏว่าเธอเห็นวัตถุบินลึกลับสองลำ ลำแรกมีลักษณะคล้ายลูกบอลไฟขนาดเล็กยาวประมาณ 18 ฟุต และอีกลำหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามาก ตลอดเวลาที่มองเห็น สังเกตได้ว่าได้ยินเสียงกระหึ่มเบาๆ ลำที่ใหญ่กว่าได้เคลื่อนไปตามถนนช้าๆ แล้วไปจอดนิ่งลอยอยู่เหนือบริเวณสนามหญ้าที่อยู่ใกล้ๆ สีของมันเป็นสีเงิน มีแสงสีแดงหรือคล้ายสายอากาศที่ยื่นขึ้นไปตรงยอดบน บริเวณขอบตรงกลางรอบๆ ยานมีช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยม และมีเส้นแสงสีน้ำเงินตรงกลาง และเส้นแสงสีแดงตรงฐานส่วนล่างของมัน นอกจากนั้นยังมีส่วนที่คล้ายสายอากาศยื่นออกมาจากส่วนต่างๆ ของวัตถุบินลำใหญ่หลายจุด ลักษณะของฐานล่างเป็นพื้นเรียบ ยกเวส้นตรงกลางที่มีส่วนเป็นวงกลมยื่นออกมา และมีช่องส่องแสงสีขาวนวลลงมายังพื้นดินที่อยู่ใกล้ เอลิซาเบธคิดไปว่า บางทีมันอาจลอยเข้ามาพ่นแสงสีขาวลงมาตรงที่เธอยืนอยู่ก็ได้ เธอรู้สึกตกใจกลัวมาก จึงได้วิ่งหลบไปตรงระเบียงห้องทางด้านซ้ายปรากฏว่าเสียงของวัตถุบินประหลาดลำนั้นเปลี่ยนไป และเคลื่อนที่ไปทางซ้ายตามเธอไปด้วย ครั้นเธอวิ่งหลบมาทางด้านขวามันก็เคลื่อนไปทางซ้ายตามไปทางด้านขวาด้วย ขณะเดียวกัน พี่ชายของเธอได้เดินออกมาเห็นเหตุการณ์พอดี วัตถุบินประหลาดลำนี้ค่อยๆ หดลำแสงสีขาวสั้นลงๆ จนหมด แล้วก็ปิดช่องหรือรูใต้ยานทันที มารดาของเธอที่ออกไปเห็นเหตุการณ์พอดี ได้ตะโกนให้ทั้งสองคนกลับเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นวัตถุบินก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไปแล้วบินหายลับไปด้วยความเร็วสูงมาก ริชาร์ด ซีฟรายด์ นักค้นคว้าเกี่ยวกับยูเอฟโอได้ไปสัมภาษณ์เอลิซาเบธพร้อมทั้งพี่ชายและมารดาของเธอ รวมทั้งพยานคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ใกล้บริเวณนั้น แล้วรายงานเพิ่มเติมว่า อลิซาเบธจำได้ว่าวัตถุบินลึกลับลำนั้นมีรอยเขียนคล้ายตัวอักษรชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนข้างตัวยาน วิทยุที่เธอเปิดไว้มีเสียงรบกวนคล้ายกับการบกวนจากไฟฟ้าสถิต และยานลำนี้ลอยอยู่เหนือบริเวณนั้นนานถึงสามชั่วโมง ที่น่าสังเกตคือ ลูกสุนัขและไก่หลายตัวแสดงพฤติกรรมประหลาด วิ่งไปวิ่งมาในลักษณะถูกก่อกวนจนวุ่นวายตลอดเวลาที่วัตุบินลำนั้นปรากฏอยู่ (รายงานโดยริชาร์ด ซีฟรายด์, จากโอคลาโฮมา เอ็มยูเอฟโอเอ็น นิวส์, มิถุนายน ปี 1992) 18 เมษายน ปี 1992 ใกล้เขตคอมโซมมอลซ์ก-นา-อามูร์ ทางพรมแดนด้านตะวันออกไกลของรัสเซีย กัปตันและลูกเรือเครื่องบินลำเลียงของทหาร ซึ่งกำลังบินเข้าไปใกล้เขตคอมโซมอลซ์ก-นา-อามูร์ เห็นจานบินลึกลับลำหนึ่งนานกว่าหนึ่งชั่วโมง 19 เมษายน ปี 1992 ที่ดีย์แมจ, ใกล้สนามบินนานาชาติซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย สมาชิกทั้งสี่คนของตระกูลซีกำลังตกปลาอยู่ริมเขื่อนใกล้สะพานเอนดีฟเวอร์ ทางด้านตะวันตกบริเวณปากแม่น้ำคุก เวลาประมาณ 19.30 น. ปรากฏว่ามิสซิสซีได้สังเกตเห็นจานบินลำหนึ่ง จอดนิ่งกลางอากาศ ทางน่านฟ้าด้านตะวันตกเฉียงเหนือ บริเวณเสาไฟที่สว่างบนสะพานด้านหนึ่ง ลักษณะของจานบินคล้ายกับจานคว่ำสีโลหะ มีโดมตรงยอดบน ซึ่งมีแสงไฟกะพริบเป็นระยะ และที่ฐานมีลักษณะเป็นแผ่นราบ วงกลมมีแสงไฟสีแดงสลัวสาดส่องออกมาตรงกลางใต้ฐาน หลังจากนั้นประมาณสิบนาที มิสซิสซีได้เรียกสามีที่ยืนห่างจากเธอประมาณห้าถึงสิบเมตร ให้มองดูจานบินประหลาดพร้อมกัน เธอได้สันนิษฐานว่า จานบินลำนี้คงมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 7 เมตร และอยู่สูงเหนือบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ประมาณ 40-50 เมตร ทำมุมกับตำแหน่งที่ห่างจากเธอ 80 เมตรราว 35 องศา ต่อมาจานบินได้เคลื่อนไปทำมุมกับตำแหน่งที่พวกเธอยืนอยู่ 45 องศา ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นใต้ฐานวงกลมได้ชัดเจนขึ้น พอถึงช่วงนี้ สังเกตได้ว่ามีแสงไฟสีแดงหมุนรอบตรงขอบใต้ฐานวงกลมเป็นระยะๆ คล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ในขณะที่จานบินลอยเคลื่อนไป ปรากฏว่ามีแสงไฟสาดส่องจากหอควบคุมสนามบินคิงส์ฟอร์ดสมิธ และเปิดเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สังเกตได้ว่าทันใดนั้นแสงสีในจานบินสว่างจ้าขึ้น และแสงไฟสีแดงกะพริบเร็วขึ้น มันได้บินออกไปโดยไม่มีเสียงด้วยความเร็วราว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงไปยังเขตธุรกิจ ใจกลางนครซิดนีย์ โดยทำมุมประมาณ 40 องศา มันบินซิกแซ็กไปมา และบางครั้งคล้ายกับกระโดดเป็นช่วงๆ ทันทีที่จานบินหายลับไป สัญญาณบนหอควบคุมจราจรการบินในสนามบินคิงส์ฟอร์ดสมิธก็หยุด และสัญญาณแสงไฟจากหอควบคุมก็ดับลง หลังจากนั้นประมาณเจ็ดถึงสิบนาที จานบินลึกลับลำนั้นก็โผล่กลางท้องฟ้าเหนือบริเวณใจกลางย่านธุรกิจของนครซิดนีย์อีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้เพียงแค่เปล่งแสงสีแดงกะพริบเป็นระยะๆ บรรดาสมาชิกครอบครัวตระกูลซีรู้สึกประหลาดใจมาก ที่ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็มองเห็นจานบินลำนั้น แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก คงคิดว่ามันเป็นดาวหรือเครื่องบินธรรมดา และที่แปลกใจก็คือ เรื่องประหลาดดังกล่าวน่าจะเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ในเช้าวันต่อมา แต่กลับไม่มีผู้สื่อข่าวรายงาน นอกจากนั้นเมื่อสมาชิกตระกูลซีติดต่อสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่หอควบคุมจราจรการบินที่สนามบินคิงส์ฟอร์ดสมิธ กลับได้รับคำตอบว่า ไม่มีรายงานเกี่ยวกับสิ่งหรือเหตุการณ์ผิดปรกติที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด (ผู้รายงาน แฟรงค์ ซินแคลร์ และพอล โซเวียค รูเดจ์ จากนิตยสารยูเอฟโอรีปอร์ต, ศูนย์วิจัยยูเอฟโอ รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน ปี 1992) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 17:56:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ปาด...ทันไหม จากคุณ : Mancantfly - [ 25 เม.ย. 52 17:59:18 ]

ความคิดเห็นที่ 24 28 เมษายน ปี 1992 ที่เรแนม, ใกล้แค๊ธแทม, มณฑลเคนท์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืน เอลซี บาชเซ็ตต์เบอร์ ได้เห็นจานบินขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ลอยอยู่เหนือถนนเฮอร์เบิร์ต มีลักษณะกลมคล้ายวงล้อและมีเดือยคล้ายเหล็กแหลมหลายจุด สังเกตได้ว่ามีดวงไฟอยู่ภายในอย่างน้อยหนึ่งร้อยดวง เป็นแสงสีขาวนวลจ้า เธอได้กล่าวว่า "ฉันรู้สึกตกใจและตื่นเต้นมาก" (รายงานจากแค๊ธแทม สแตนดาร์ด 5 พฤษภาคม ปี 1992) 28 เมษายน ปี 1992 ที่ลาจ๊าซ ประเทศเปอร์โตริโก เฟร็ดดี ครูซ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันพลเรือนแห่งเมืองลาจ๊าซ ซึ่งเป็นหนึ่งในพยานอีกหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ช่วงที่มีเครื่องบินขับไล่ไอพ่นของสหรัฐฯ กำลังบินตามล่าจานบินลำหนึ่งเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. 1 พฤษภาคม ปี 1992 ที่ทางแยกโปลีเกท, เมืองอีสต์เบิร์น, มณฑลซัสเซ็ก, ประเทศอังกฤษ จัสติน ไลเซ็ตต์ ช่างภาพนิตยสารอีสต์เบิร์นกาเซ็ตต์ รู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเห็นยานประหลาดลำหนึ่งขณะขับรถนั่งไปกับสตีฟ ฮาเซลโกรฟ เพื่อนคนหนึ่ง เข้าไปในเมืองอีสต์เบิร์น เมื่อเวลาประมาณ 22.40 น. พวกเขาได้ขับรถแล่นผ่านตรงทางแยกที่มีสัญญาณไฟจราจรที่โปลีเกท และได้แล่นเข้าถนนหลวงหมายเลข A22 ซึ่งเป็นจุดที่พบเหตุการณ์พอดี จัสตินได้เล่ารายละเอียดดังนี้ "ผมสังเกตเห็นแสงไฟเป็นประกายเจิดจ้าบนท้องฟ้า ทางด้านใต้ของถนน มันสว่างคล้ายดาวเคราะห์ดวงหนึ่งลอยอยู่ในระดับต่ำมาก ผบรีบบอกให้เพื่อนดู เราได้แวะจอดรถเลยป้ายรถเมล์เล็กน้อย เพื่อมองดูให้เห็นเด่นชัด "ยานประหลาดลำนี้หากดูผิวเผินคล้ายเครื่องบินดีซี-9 หรือบีเอซี-111 สังเกตได้ว่ามันลดระดับต่ำลงมา คล้ายกับว่าจะพุ่งลงมาชนพวกเรา แต่ก็ทะยานขึ้นไปอีก จากนั้นก็ตีวงโค้งหันกลับมาทางเรา แต่ก็จอดนิ่งกลางอากาศ เราได้จอดรถใกล้รถเชิร์ชสตรีท และได้หันกลับไปมองดู ปรากฏว่ามันหายไปแล้ว พวกเราได้ขับรถกลับไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่พบสิ่งใด ไม่มีอากาศยานหรือสิ่งอื่นใดที่มีแสงสว่างสีแดงกะพริบปรากฏให้เห็นอีก" ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกาเซ็ตต์ว่า ในคืนนั้นไม่มีรายงานเกี่ยวกับเครื่องบินหรืออากาศยานที่บินระดับต่ำในบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด (อีสต์เบิร์นกาเซ็ตต์ 13 พฤษภาคม ปี 1992) จัสตินได้ยืนยันเกี่ยวกับรายละเอียดดังกล่าวอย่างมั่นใจ หลังจากที่ผมได้สอบถามเขาอีกครั้งหนึ่ง และเขาได้อธิบายข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายประเด็น เขากล่าวว่า ยานประหลาดลำนั้นมีลักษณะคล้ายเครื่องบินดีซี-9 หรือบีเอซี-111 ซึ่งผมได้กล่าวกับเขาว่า หากเป็นเครื่องบินแบบดีซี-9 หรือบีเอซี-111 จะมีเสียงดังมาก นอกเสียจากว่าเครื่องยนต์ไอพ่นเสีย แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงมันคงตกลงมาพื้นโลกเป็นข่าวใหญ่โตเป็นแน่ นอกจากนั้นจัสตินยังกล่าวทิ้งท้ายว่า บรรยากาศในขณะนั้นโดยเฉพาะบนท้องฟ้าดูประหลาดมาก ซึ่งเขาไม่อาจอธิบายได้ 5 พฤษภาคม ปี 1992 ที่คูมา ใกล้สแตนโฮป, วิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. อีวอนน์ แมทธิวส์ ได้ยินเสียงระเบิดดังใกล้ฟาร์มของเธอ (มิดแลนด์ ไฮเวย์ฟาร์ม) ที่คูมา ทางด้านตะวันออกของเมืองสแตนโฮป รัฐวิกตอเรีย ซึ่งคริสสามีของเธอก็ได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นเดียวกัน เสียงระเบิดยังคงดังติดต่อกัน จากยอดบนของบ้านลงไปยังข้างบ้าน แรงสั่นสะเทือนทำให้หน้าต่างทุกบานแทบแตก จากนั้นสังเกตได้ว่ามีแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องผ่านม่านหน้าต่าง ครั้นเขารูดม่านหน้าต่างออก ก็มองเห็นวัตถุบินลึกลับรูปกรวยกลมขนาดมหึมา มีแสงสีส้มเป็นประกายห่อหุ้มบริเวณรอบๆ ยอดกรวย และด้านข้าง คาดว่ากว้างประมาณ 10 เมตร และสูงประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกัน บนยอดของมันมีส่วนคล้ายกับผ้าเต็นท์คลุมอยู่ ส่วตรงฐานมีแสงสีรูปไข่หลายรูปเปล่งแสงระยิบระยับ คริสได้โทรศัพท์ไปหามาร์คเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกล 15 กิโลเมตร ปรากฏว่ามาร์คก็เห็นวัตถุบินประหลาดเช่นเดียวกัน ต่อมาคริสได้ขับรถไปหามาร์คที่ฟาร์ม และพยายามที่จะถ่ายภาพวัตถุบิน ขณะที่มันยังลอยอยู่กลางอากาศในระยะใกล้เพียง 400 เมตร เชนน้องชายของคริสอีกคนหนึ่งได้ตามมา พร้อมทั้งได้นำกล้องถ่ายวิดีโอมาด้วย ซึ่งทั้งสองได้พยายามที่จะบันทึกภาพวัตถุบินประหลาดลำนั้นให้ได้ พวกเขาสังเกตได้ว่า วัตถุบินลำนั้นบินไปอย่างเงียบไม่มีเสียง มันได้บินไปในแนวทิศเหนือทิศใต้ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้ตามมันไปจนกระทั่งมันหายลับไปบนท้องฟ้าเหนือบริเวณเหมืองหินตรงปลายถนนคูมา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายได้ไปตรวจที่เหมืองหิน แต่ก็ปรากฏว่าไม่พบสิ่งใด (ผู้รายงาน จัวนิตา เกรวิลล์ จากนิวส์ เชฟพาร์ตัน, รัฐวิกตอเรีย 6-7 พฤษภาคม 1992) 8 พฤษภาคม ปี 1992 ตรงบริเวณบรูซไฮเวย์ แถบซันไชน์โคสต์ รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย สตรีคนหนึ่งได้เดินทางจากซันไชน์โคสต์ไปยังเมืองบริสเบน ขณะที่เธอขับรถลงไปตามทางหลวงบรูซไฮเวย์ เธอเห็นจานบินที่มีแสงสีประกายสุกใสลอยอยู่เหนือระดับต้นไม้ ลักษณะรูปร่างของมันคล้ายจาน มีเสียงดังกระหึ่มมาจากตรงกลางยาน จากนั้นมันได้บินสูงขึ้น และหายลับไปในที่สุด (รายงานจากนิตยสารเดอะยูเอฟโอเอนเคาน์เตอร์ ฉบับที่ 148 ประจำเดือนสิงหาคม-กันยายน ปี 1992 จากหน่วยวิจัยค้นคว้าจานบินควีนส์แลนด์) 17 พฤษภาคม ปี 1992 ที่คอลเลกเกอร์, รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย จอร์จ, อีตัน และเคนท์ ได้เดินทางจากซิดนีย์กลับไปยังบ้าน ที่แคนเบอร์รา โดยทางรถยนต์ ตามทางหลวงเฟเดอรัลไฮเวย์ จนกระทั่งถึงเวลา 21.00 น. ก็เห็นยานประหลาดสองลำลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือถนน พวกเขาจึงได้จอดรถข้างทางแล้วลงไปยืนดูให้เห็นเด่นชัด สังเกตได้ว่ายานประหลาดลำเล็กมีรูปร่างคล้ายลูกข่างของเด็ก มีแสงสีขาวตามจุดต่างๆ ในแนวขนานกันรอบๆ ด้านข้างลงไปจนถึงฐาน บนยอดและใต้ฐานของยานประหลาดเป็นรูปทรงกระบอกปลายตัด มีรูเล็กๆ แนวยาวที่สาดส่องแสงสีขาวออกมา บริเวณตรงกลางรอบยานมีลักษณะเป็นขอบแหลม อีตันได้ชี้ให้เห็นว่า ดวงไฟเล็กๆ บนยานลำเล็กตรงพื้นผิวบนสุดเป็นสีเขียว และดวงที่อยู่ตรงพื้นผิววัตถุต่ำลงมาเป็นสีแดงเรื่อๆ ไม่ใช่สีขาว หลังจากจอดนิ่งลอยอยู่กลางอากาศประมาณหนึ่งถึงสองนาที วัตถุบินที่มีลักษณะคล้ายลูกข่างได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ที่เปล่งแสงสีอิฐสีแดงออกมา จากนั้นมันได้จอดนิ่งอยู่นานประมาณแปดนาที ต่อมามันได้พุ่งขึ้นสู่เบื้องบนในลักษณะเส้นตรงด้วยความเร็วสูงมาก แล้วหายลับไปภายในสองถึงสามนาที หลายนาทีต่อมาพยานทั้งหมดที่เห็นเหตุการณ์ได้กลับไปขึ้นรถ แล้วได้ขับตรงไปยังบ้าน พอถึงตรงนี้ปรากฏว่าอีตันได้เห็นยานประหลาดเล็กๆ ลำหนึ่งลดระดับลงมาต่ำเกือบถึงพื้นดิน พวกเขาได้จอดรถข้างทางอีกครั้งหนึ่ง แล้วลงไปสังเกตลักษณะยานประหลาดอย่างใกล้ชิด ต่างไม่แน่ใจในสิ่งที่พบเห็น และที่พวกเขาแปลกใจก็คือ มีรถหลายคันผ่านไปในช่วงที่เกิดเหตุการณ์พอดี แต่ไม่มีใครหยุดรถสังเกตยานประหลาดลำนั้นเลย (ผู้รายงาน อีตัน มัคจ์, ซี. วิลเลียมส์, บี. ดิ๊กสัน, เอ็ม. แม็คจี จากนิตยสารยูเอฟโอรีเบิร์ต, ศูนย์วิจัยค้นคว้าจานบิน นิวเซาธ์เวลส์ ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมิถุนายน ปี 1992) 10 มิถุนายน ปี 1992 ที่โคเทสวิลล์, รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ตายรายงานของอีฟลิน วอร์เกอร์ ผู้แถลงข่าวของบริษัทลูเคนซ์ สตีลได้เปิดเผยว่า คนงานของบริษัทหลายคนเห็นจานบินลึกลับลำหนึ่งร่อนลงใจกลางกองเหล็กเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. จากนั้นก็บินตรงไปยังทิศทางโรงพยาบาลโคเทสวิลล์ อีฟลินปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับประโยคที่ว่า มีประชาชนจำนวนเท่าใดที่เห็นจานบินลำนี้ เพียงแต่แถลงว่าทางบริษัทยังไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล (ผู้รายงาน เรลลาแฮน บาร์บาร์น แมสเทรียนา จากเดลี โลคอล นิวส์ เวสต์ เชสเตอร์ เพนซิลวาเนีย, 12 มิถุนายน ปี 1992) 14 มิถุนายน ปี 1992 ที่โทแปงกา, แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตามรายงานจากสถานีลอสท์ ฮิลล์ มาลิบู, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ชายคนหนึ่งได้รายงานด้วยความตื่นเต้นตกใจกลัว ว่ามีจานบินลำหนึ่งติดตามเขาและเพื่อนหญิงตรงบริเวณแคนยอนโทแปงกา "ทันใดนั้นมันได้ลอยมาอยู่เหนือรถที่เขากำลังขับอยู่ ทั้งเขาและเพื่อนหญิงตกใจมากจนไม่สามารถควบคุมจิตใจได้ ทำให้รถแล่นเอียงไปเอียงมา จากนั้นมันได้ใช้พลังยกรถของเราลอยขึ้นเหนือพื้นดินราวสองถึงสามฟุต ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรายังดี เพราะไม่ได้ดื่มสุรา ไม่ได้รับประทานยาใดๆ และไม่มีประวัติเกี่ยวกับปัญหาทางโรคจิตหรือโรคประสาท สิ่งที่เกิดตามมาก็คือเรารู้สึกมึนงง สับสนความจำเลอะเลือน จากนั้นเราและรถก็หล่นลงมายังพื้นถนนเช่นเดิม และปรากฏว่าจานบินลำนั้นได้หายลับไป" หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ทางสถานีเชอริฟฟ์ก็ได้รับโทรศัพท์จากพยานคนหนึ่ง ได้แจ้งว่าเขาเห็นจานบินสามลำลอยอยู่เหนือบริเวณแคนยอน (หุบเขาลึก) ต่อมามันได้บินตามรถที่เขากำลังขับแล่นผ่านถนนใกล้บริเวณนั้น เขาได้หยุดรถลงข้างทาง แล้วลงจากรถออกไปยืนดู ทั้งเขาและแฟนสาวได้เฝ้ามองอยู่นานราวสามถึงสี่วินาที แล้วมันก็บินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า นอกจากนั้นปรากฏว่า มีรายงานจากพยานพบเห็นจานบินสามลำนี้อีกหลายคนได้ยืนยันว่าได้เห็นจานบินในบริเวณดังกล่าวในเวลาเดียวกัน (ผู้รายงาน โคลิน เพนโน จากเมสเซงเกอร์ โทแปงกา, 2-15 กรกฎาคม ปี 1992) 18 มิถุนายน ปี 1992 ที่คลาเวอริง เอ็ซเซ็ก ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 18.45 น. สมิธ ฮิวจ์ และภรรยาซึ่งกำลังขับรถแล่นอยู่ในถนนเขตคลาเวอริง (ห่างจากซัฟฟรอน วอลเดนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราวหกไมล์) ได้เห็นจานบินลำหนึ่งที่เปล่งแสงเป็นประกายสว่างไสวบนท้องฟ้าเหนือบริเวณป่าละเมาะประมาณร้อยฟุต ห่างจากรถของเขาราวครึ่งไมล์ สมิธได้อธิบายเพิ่มเติมว่าจานบินลำนี้มีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณห้าสิบถึงหกสิบฟุต มีรูปร่างคล้ายจานคว่ำสองใบวางซ้อนกัน ขณะที่เขาและภรรยาเฝ้ามองจานบินลำนี้ ทันใดนั้นมันก็ลอยลงมาหลังแนวต้นไม้หนาทึบแล้วหายลับไป เขาได้ขับรถเลี้ยวโค้งตามถนนไปยังแนวต้นไม้อีกด้านหนึ่ง แต่ก็ไม่พบจานบินลำนี้แต่อย่างใด ทั้งสมิธและภรรยาทำงานที่ท่าอากาศยานแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงได้ยืนยันว่า จานบินลำนี้มิใช่อากาศยานประเภทเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์หรือบัลลูนทั้งสิ้น (ผู้รายงาน แอนโทนี่ ด็อด จากนิตยสารยูเอฟโอ ฉบับที่ 11 เดือนกรกฏาคม/สิงหาคม ปี 1992) 27 มิถุนายน ปี 1992 ใกล้บริเวณทูราคิน รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย แม่บ้านคนหนึ่งซึ่งกำลังขับรถผ่านไปยังถนนใกล้บริเวณทูราดิน ได้เห็นยานประหลาดที่มีแสงสว่างจ้าห่อหุ้มกระเพื่อมเป็นระยะทางกระจกสำหรับมองหลังรถ จานบินลำนี้ลอยอยู่บนท้องฟ้าทางทิศใต้ และได้สาดลำแสงผ่านรถของเธอ สังเกตได้ว่ามันมีรูปร่างคล้ายไข่ เธอรู้สึกตื่นเต้นและตกใจมาก จนรู้สึกไม่สบายและคิดว่าต้องไปพบแพทย์ (รายงานจากออสเตรเลียน ยูเอฟโอ บุลเล็ตติน, สมาคมวิจัยจานบินวิกตอเรียน เดือนกันยายน ปี 1992) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 18:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 25 27 มิถุนายน ปี 1992 ใกล้เรฟอร์ด นอร์ธคาโรไลนา สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลา 24.30 น. ปรากฏว่ามีเสียงดังคล้ายเสียงรถไฟแล่นอยู่บนรางใกล้บ้าน ไอแอน เมสซิงและมารดาของเธอได้เห็นยานประหลาดอยู่กลางทุ่งหญ้าแห้งที่มีป่าไม้ล้อมรอบ ห่างจากจุดที่เธอยืนอยู่ราวสามร้อยฟุต ยานประหลาดลำนี้มีรูปร่างกลม ขนาดสูงและกว้างราวสิบห้าฟุต "มองดูราวกับไฟไหม้ป่า" ไดแอนกล่าว "แต่ยิ่งมองมากเท่าใดก็ดูเหมือนว่าจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สังเกตได้ว่ามีหน้าต่างที่มีแสงสีแสดส่องออกมารายรอบยานประหลาดลำนี้ มันจอดอยู่อย่างเงียบๆ นั่นคือเหตุที่ฉันได้โทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ" ครั้นไดแอนและมารดาของเธอกลับออกมาจากบ้านหลังจากโทรศัพท์แจ้งตำรวจแล้ว ปรากฏว่ายานประหลาดลำนั่นหายไป ในช่วงกลางวันวันต่อมาทั้งสองได้เดินไปสำรวจตรงบริเวณที่เห็นยานประหลาดจอดอยู่ ก็พบรอยหญ้าเป็นวงกลม (รายงานโดยลาร์รีย์ บิงแฮม จากนิตยสารอ๊อบเซอร์เวอร์-ไทมส์, เฟแย็ตต์วิลล์, นอร์ธคาโรไลนา, 2 กรกฏาคม ปี 1992) 7 กรกฏาคม ปี 1992 บริเวณเขตสโตนเฮนจ์ วิลท์เชียร์ ประเทศอังกฤษ สตีฟและยีน ชิปตัน ซึ่งกำลังตระเวนชมทัศนียภาพในเขตวิลท์เชียร์ ได้ขับรถแบบบ้านเคลื่อนที่เข้าไปจอดข้างถนนใกล้บริเวณหินตั้งสโตนเฮนจ์ เมื่อเวลา 24.15 น. ทันใดนั้นเขาได้สังเกตเห็นยานประหลาดคล้ายลูกไฟดวงใหญ่สว่างไสวผิดปรกติลอยอยู่บนท้องฟ้าในระดับต่ำ บางครั้งมันจะเคลื่อนเป็นมุมซิกแซ็กไปมา "เป็นยานที่แปลกมาก" สตีฟกล่าว "มันเคลื่อนไปแล้วก็หยุดสักครู่หนึ่งก็เคลื่อนไปอีกแล้วก็หยุด ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ" (ผู้รายงาน แอนโทนี่ ด็อด จากนิตยสารยูเอฟโอ ปีที่ 11 ฉบับที่ 3 กรกฏาคม/สิงหาคม ปี 1992) 7 กรกฎาคม ปี 1992 ยูพาวอน วิลท์เชียร์ ประเทศอังกฤษ ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 7 กรกฏาคม มาเรีย วอร์ด นักวิจัยค้นคว้าได้แจ้งข่าวให้ผมทราบว่า จอห์น ชาวไร่หนุ่มคนหนึ่งได้ตื่นขึ้น เนื่องจากได้ยินเสียงร้องของม้าในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เขาได้เดินไปดูว่า เพราะเหตุใดมันจึงร้องและมีพฤติกรรมประหลาด ครั้นไปถึงเขาพบว่าม้าหลายตัวพักคอกและรั้วกั้นออกไป ส่วนฝูงแกะและวัว:-)ต่างแสดงพฤติกรรมกลัวอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงเข้าไปสำรวจใกล้ๆ จึงพบเหตุการณ์ประหลาดซึ่งเขาได้เล่าว่า "ขณะที่ผมไปถึงยอดหน้าผาด้านหลังไร่ ผมได้เห็นยานประหลาดลำหนึ่งกำลังลอยเคลื่อนเข้าไปในกลุ่มเมฆ ลักษณะเป็นยานแสงสีเงินสว่าง ผมยืนมองอยู่นาน สังเกตได้ว่ามันเคลื่อนที่เร็วมาก ในขณะนั้นผมรู้สึกตื่นเต้นและกลัวมาก เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน และสิ่งประหลาดที่ผมเห็นก็คือ ลำแสงเข้มสาดส่องลงไปยังไร่ข้าวสาลี ครั้นยานประหลาดลอยลับหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ ลำแสงเข้มที่สาดส่องลงมายังพื้นโลกก็ค่อยๆ หายไปด้วย ถึงกระนั้นแสงลึกลับได้ก่อให้เกิดวงกลมบนพื้นหญ้า และข้าวสาลีเป็นวงกว้างมันเกิดขึ้นเร็วมาก จนแทบไม่เชื่อด้วยสายตาตนเอง ผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร นายของผมก็ไปพักผ่อนในวันหยุดไกลทีเดียว ครั้นผมได้แจ้งให้ทราบ นายผมได้บอกว่าอย่าให้ใครเข้าไปในเขตนั้นเป็นอันขาด" "นับว่ายังโชคดี" มาเรียกล่าวต่อ "จอห์นได้ติดต่อกับเพื่อนคนหนึ่งและได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง รอยหญ้าที่แห้งเหี่ยวภายในวงกลมประหลาดส่วนหนึ่งได้ส่งไปยังศูนย์วิจัยเพื่อวิเคราะห์ และพวกเรายังคอยฟังผลอยู่ นอกจากนั้นยังได้ส่งภาพถ่ายทางอากาศในบริเวณดังกล่าวส่งไปด้วย ต่อมาปรากฏว่าทันทีที่เจ้าของไร่กลับมาจากพักผ่อนวันหยุด ก็ได้สั่งให้ทำลายวงกลมบนพืชไร่ เนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในไร่มากเกินไป ส่วนจอห์นนั้นไม่เต็มใจที่พูดคุยถึงสิ่งที่เขาเห็นให้ใครฟัง เนื่องจากเกรงว่าจะถูกไล่ออกจากงาน จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมีผลต่อชีวิตเขาอย่างมาก" (รายงานโดยมาเรีย วอร์ด, งานวิจัยคร็อป เซอร์เคิล) 18 กรกฎาคม ปี 1992 ใกล้โคลเชสเตอร์ มณฑลเอ็ซเซ็ก ประเทศอังกฤษ พยานคนหนึ่งขับรถจากโคลเชสเตอร์เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน เวลาเที่ยงคืน บังเอิญได้เห็นยานประหลาดรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยม มันบินโฉบต่ำลงมาเหนือหลังคารถของเขา มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ช่วงที่มันบินผ่านไป ปรากฏว่ามันบินเงียบไม่มีเสียงแต่อย่างใด สูงเหนือจากหลังคารถของเขาประมาณ 150 ฟุต เป็นยานขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 400-500 ฟุต พื้นสีดำ และตรงปลายส่วนหลังมีส่วนยื่นออกไปสามแห่ง ยานลำนี้ไม่มีแสงและไม่เปล่งแสงใดๆ ให้เห็นเลย (รายงานโดยรอน เวสต์ กลุ่มวิจัยยูเอฟโอ เอ็ซเซ็ก) 24-25 กรกฎาคม ปี 1992 ที่แอลตันบาร์น วิลท์เชียร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 23.57 น. สมาชิกหลายคนของทีมศูนย์กลางข่าวกรองการค้นคว้านอกโลก (CSETI) ได้เห็นจานบินที่มีแสงสว่างล้อมรอบสองจุด ผู้ที่เห็นครั้งแรกคือรอน รัสเซลล์ ซึ่งเขาได้พยายามที่จะบันทึกภาพไว้ แต่ปรากฏว่ากล้องของเขาเสีย ทั้งๆ ที่ใช้งานได้ดีมาตลอดทั้งวัน และเมื่อเวลา 24.05 น. ปรากฏว่ามีจานบินสามลำปรากฏขึ้นจากด้านหลังป่าละเมาะท็อซมีด จานบินทั้งสามมีแสงสีส้มห่อหุ้ม เคลื่อนที่ไปอย่างเร็วและไม่มีเสียง ต่อมาเมื่อเวลา 02.00 น. ทีมงานของศูนย์กลางข่าวกรองการค้นคว้านอกโลก ซึ่งกลับจากปฏิบัติการเฝ้ามองขอบฟ้า ได้แก่ มาเรีย วอร์ด, เอ็ดเวิร์ด เชอร์วู้ด และไซมอน คูเปอร์ ได้นั่งรถมุ่งตรงไปยังเมืองเดวิเซส ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อเห็นยานประหลาดลำหนึ่งซึ่งมีแสงสว่างนวลขาวอมน้ำเงินห่อหุ้มตามรถมาอย่างกระชั้นชิด จนกระทั่งพวกเขาขับรถเลี้ยวเข้าถนน A361 ช่วงระหว่างประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าว มาเรียและเอ็ดเวิร์ดรู้สึกปวดศีรษะ หน้าอกมาก และรู้สึกว่ามีน้ำตาคลอเบ้า และนัยน์ตาพร่ามัวผิดปรกติ (รายงานโดยมาเรีย วอร์ด เอกสารงานวิจัยคร็อป เซอร์เคิล) 26-27 กรกฎาคม ปี 1992 แอลตันบาร์น วิลท์เชียร์ ประเทศอังกฤษ สมาชิกทีมงานศูนย์กลางข่าวกรองการค้นคว้านอกโลกหลายคน สังเกตเห็นดวงไฟแสงสีต่างๆ เชื่อมติดต่อกับยานประหลาดขนาดใหญ่กว้าง 75 ฟุต ซึ่งดูเหมือนว่าจะรับสัญญาณที่พวกเขาส่งขึ้นไปได้ 28 กรกฎาคม ปี 1992 แอลตันบาร์น วิลท์เชียร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 01.00 น. สมาชิกทีมงานศูนย์กลางข่าวกรองค้นคว้านอกโลกอีกกลุ่มหนึ่ง ได้สังเกตเห็นยานประหลาดสี่ลำมีแสงสีส้มห่อหุ้ม โผล่ขึ้นจากป่าละเมาะท็อชมีด มันเคลื่อนที่ตามกันเป็นมุมซิกแซ็กไปมาอย่างเงียบๆ (รายงานโดยมาเรีย วอร์ด เอกสารงานวิจัยคร็อป เซอร์เคิล) 28 กรกฎาคม ปี 1992 ที่แอลตัน ไพริเออร์ วิลท์เชียร์ ประเทศอังกฤษ จอห์นและจูลี เวคฟิลด์ และพยานอีกหลายคนได้เห็นวัตถุบินมีแสงสีส้มห่อหุ้มขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 35 ฟุต และสังเกตเห็นดวงไฟขนาดเล็กดวงหนึ่งลอยออกมาช่วงระหว่างเวลา 20.15 น.-20.35 น. 29 กรกฎาคม ปี 1992 ที่เปอร์เซลล์ รัฐโอคลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. สมาชิกทั้งสี่ของครอบครัวหนึ่งเห็นจานบินขนาดมหึมาลอยอยู่บนท้องฟ้า ขนาดของมันใหญ่มาก กว้างเกือบเท่าสนามฟุตบอล และยาวเท่ากับสนามฟุตบอลสามสนามต่อกัน มันบินอยู่สูงประมาณ 3,000-5,000 ฟุต ลักษณะเป็นวงรีคล้ายรูปไข่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีแสงสว่างสีขาวเป็นประกายเจิดจ้า นอกจากนั้นยังเห็นแสงสีเงินและเขียวกะพริบเป็นระยะ มันลอยไปอย่างเงียบๆ และช้า ไปยังทิศทางด้านตะวันตกพวกเขาได้สังเกตเห็นตรงบริเวณใต้ฐานจานบินเป็นสีเทาและสีโลหะสีเงินทึบ ทันใดนั้นจานบินลำนี้ได้แยกออกเป็นสองส่วน จานบินลำเล็กได้เคลื่อนออกจากลำที่ใหญ่กว่า แล้วบินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือหายลับไปกับขอบฟ้า ส่วนจานบินลำใหญ่ได้บินมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ แล้วตีโค้งหายลับไปทางน่านฟ้าด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ (รายงานโดยจินนี่ ไมเยอร์ จีน วอลเลอร์ จากโอคลาโฮมา เอ็มยูเอฟโอเอ็น นิวส์ ฉบับเดือนกันยายน ปี 1992) 29 กันยายน ปี 1992 บริเวณเมาท์เรเนียร์ เนชั่นแนลปาร์ก วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา พินนีย์และภรรยา พร้อมด้วยเพื่อนอีกสองคน คือมาร์เลนและโรเบิร์ต ฮันเซฯ ได้เดินทางขึ้นไปยังยอดเขาเดกาบนเทือกเขาเมาท์เรเนียร์ในเช้าตรู่วันหนึ่ง ภรรยาของพินนีย์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นยานประหลาดส่องแสงสว่างผิดปรกติ ลอยตรงไปยังน่านฟ้าด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เธอจึงเรียกสามีซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและสำเร็จปริญญาโททางคณิตศาสตร์ และเป็นลูกจ้างของบริษัทเบลล์แอร์คารฟท์ ได้ใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูอย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากส่องดูเขาได้กล่าวว่า ยานประหลาดดังกล่าวมีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก จากนั้นมันได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ต่อมาอีก 10 นาที ขณะที่พยานหลายคนเฝ้ามองอยู่มันก็หายลับไป (รายงานโดยริชาร์ด ซีฟรายด์ จากโอคลาโฮมา เอ็มยูเอฟโอเอ็น นิวส์ ฉบับเดือนกันยายน ปี 1992) ตั้งแต่ คห. 17 เป็นต้นมาจะเป็นภาพ UFO ปลอมนะครับ เอามาให้ดูจะได้รู้ว่าปลอมครับ เพราะยังมีการเผยแพร่ไปผิดๆอยู่ จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 18:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 30 กรกฏาคม ปี 1992 ที่โกลด์แฮงเกอร์ ใกล้แมลดอน มณฑลเอ็ซเซ็ก ประเทศอังกฤษ ช่วงระหว่างเวลา 02.00 น.-03.00 น. พยานคนหนึ่งได้รายงานว่า "ขณะนั้นผมนอนอยู่บนเตียง แต่นอนไม่หลับ เนื่องจากอากาศชื้นมาก ผมได้มองออกไปทางหน้าต่าง ทันใดนั้นเห็นจานบินลำหนึ่งขนาดใหญ่มากรูปทรงสี่เหลี่ยม สีส้ม และมีแสงสีขาวสว่างจ้าส่องออกมาตามรูรอบขอบยาน นอกจากนั้นมันได้สาดส่องแสงผ่านหน้าต่างเข้มายังห้องนอนของผม ผมได้เฝ้ามองอยู่นานถึงสิบนาที มันก็ยังลอยอยู่บนท้องฟ้าห่างจากหลังคาบ้านผมราว 500 หลา สักครู่หนึ่งผมก็หลับไปครั้นตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าจานบินลำนั้นหายไปแล้ว" (รายงานโดยรอน เวสต์ จากเอ็ซเซ็ก ยูเอฟโอ รีเซิร์ช กรุ๊ฟ) 4 สิงหาคม ปี 1992 ที่แมนส์ฟิลด์, นอตติงแฮมเชียร์ ประเทศอังกฤษ ช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนเล็กน้อย เด็กวัยรุ่นสี่คน สังเกตเห็นวัตถุบินลึกลับสีดำขนาดมหึมา มีรังสีแสงสว่างโดยรอบ และมีโดมห่อหุ้มด้วยแสงสว่างสีแดงอยู่ตรงกลางด้านบน ขณะที่เคลื่อนไปมีเสียงดังกระหึ่มมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก พยานที่พบเห็นเหตุการณ์หลายคนกล่าวว่า มันบินในระดับต่ำมาก เป็นอากาศยานที่มีแสงสีต่างๆ เป็นประกายโดยรอบ (รายงานโดยแช็ด แมนส์ฟิลด์ วันที่ 12 สิงหาคม ปี 1992) 8 สิงหาคม ปี 1992 ที่บรูม, ออสเตรเลียตะวันตก มีพยานจำนวนกว่าสี่สิบคน ที่ได้เห็นจานบินประหลาดในบริเวณต่างๆ ของเมืองชายฝั่งทะเลทางภาคเหนือของออสเตรเลียด้านตะวันตก พยานบางส่วนได้รายงานดังต่อไปนี้ เมื่อเวลา 18.45 น. โรเบิร์ต เอ็ม และภรรยา พร้อมทั้งปีเตอร์ น้องชาย และแซนดี้ภรรยาของปีเตอร์ กำลังเตรียมทำค่ายพักห่างจากถนนพาราเบอร์ดูไปทางทิศใต้ราวสิบกิโลเมตร ทันใดนั้นพวกเขาได้เห็นจานบินสีอะลูมิเนียมเข้มบนท้องฟ้า ซึ่งกำลังบินจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โรเบิร์ตได้อธิบายว่า เป็นยานที่มีรูปร่างเป็นวงรี และตรงกลางด้านบนมีโดมเล็กๆ สีเข้มกว่า มันปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดอย่างรุนแรง (ผู้รายงาน ไบรอัน ริชาร์ด จากศูนย์รวมข้อมูล ยูเอฟโอ/ยูโออาร์ยูเอ็ม) เวลา 20.00 น. ขณะนักสำรวจสองคนกำลังตั้งค่ายพักตรงพุ่มไม้ ห่างจากนัลลายีนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 47 กิโลเมตร ได้เห็นจานบินรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งดวง มีแสงสีน้ำเงินโดยรอบ สูงประมาณ 30 เมตร ห่างจากจุดที่พวกเขามองเห็นประมาณ 150 เมตร มันลอยนิ่งอยู่กลางอากาศชั่วขณะ จากนั้นก็บินตรงหายลับไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว (ผู้รายงาน ไบรอัน ริชาร์ด) เวลา 20.10 น. นอร์ม อาร์เชอร์ พร้อมทั้งหมู่คณะซึ่งมีผู้ใหญ่อีกสี่คนและเด็กสี่คน กำลังตั้งค่ายพักแรมในเขตหุบเขาบนเกาะซันเดย์ ได้เห็นจานบินรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเปล่งแสงสีนวลเหลือง ลอยอยู่บนภูเขาเบื้องหน้า มันลอยเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก และหายลับไป (รายงานโดยจอห์น เคอร์นอตต์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปี 1992 รายงานส่งไปยังศูนย์ยูโฟรัม (UFORUM) เวลาประมาณ 20.20 น. คริส เดวิสและเลลา ไบลีย์ ผู้จัดการการร่วมฟาร์มวิลลี ครีก เพิร์ล ซึ่งอยู่ห่างจากบรูมไปทางทิศเหนือ 37 กิโลเมตร ได้เห็นจานบินรูปร่างหนึ่งในสี่ของดวงจันทร์ คล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว ลอยอยู่บนท้องฟ้าในระดับแนวดิ่งสูงประมาณ 2,000 ฟุต ดูเหมือนว่ามันห่อหุ้มด้วยหมอกควันสีขาวนวลจ้า และส่งเสียงดังกระหึ่มเบาๆ (รายงานโดยไบรอัน ริชาร์ด) 14 สิงหาคม ปี 1992 ใกล้บลาสวิลล์ รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ผู้ที่ขับรถหลายรายแล่นผ่านไปตามถนนหมายเลขที่ 22 ในเขตชนบทชานเมืองอินเดียนาในช่วงกลางคืน ได้รายงานว่าได้เห็นจานบินลำหนึ่ง ตามคำเล่าของสแตน กอร์ดอน นักค้นคว้าได้กล่าวว่า พยานหลายคนได้เห็นจานบินในช่วงที่แล่นไปถึงโรงไฟฟ้าโฮเมอร์ซิตี้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมาก ลักษณะรูปร่างของมันเป็นรูปสามเหลี่ยม สูงจากระดับพื้นดินประมาณ 150 ฟุต ลอยผ่านรถยนต์ของพวกเขาไป พร้อมกับสาดส่องลำแสงลงมา และมีแสงสีขาวสว่างจ้ารอบๆ ยาน (รายงานโดยเจฟฟ์ ฮิมเลอร์ จากนิตยสารดิสแฟทช์, บลาสวิลล์, ฉบับวันที่ 3 กันยายน ปี 1992) 29 สิงหาคม ปี 1992 บริเวณภูเขาซีย์มัวร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เมื่อเวลา 02.30 น. แฟรงค์ ริลลีย์ นายตำรวจที่มีอดีตเป็นทหาร สังเกตเห็นสิ่งประหลาดที่ปรากฏขึ้นเหนือบริเวณยอดเขาบลูริดจ์ บนภูเขาซีย์มัวร์ ซึ่งในช่วงแรกที่เห็นเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ต่อมาเมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องน้ำออกไป เขาสังเกตเห็นวัตถุบินทรงกระบอกสามลำ กำลังสาดส่องแสงสีแดงและขาวออกมาเป็นระยะๆ ที่น่าคิดก็คือ บรรดาสัตว์เลี้ยงในเขตใกล้เคียงได้แสดงพฤติกรรมประหลาด โดยเฉพาะสุนัขหลายตัวที่อยู่นอกบ้าน ได้แหงนมองจานบินลำนั้นแล้วหอนเห่ารับช่วงกันเป็นระยะ แฟรงค์พยายามปลุกภรรยาให้ตื่นขึ้นดูเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ปรากฏว่าเธอรู้สึกง่วงผิดปรกติ และได้ล้มตัวลงนอนบนฟูกราวกับตุ๊กตาทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ครั้นถึงเวลา 03.00 น. ก็ปรากฏว่าจานบินลำนั้นบินหายลับไป เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เนื่องจากไม่เคยพบเห็นด้วยตาตนเอง (รายงานโดยลอร์น โกลด์เฟเดอร์ จากสถาบันวิจัยยูเอฟโอ แคนาดา) 30 สิงหาคม ปี 1992 ที่คอลเชสเตอร์, เชล์มฟอร์ด มณฑลเอ็ซเซ็ก ประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 19.15 น. พยานบุคคลสามคนได้เฝ้ามองยานประหลาดรูปทรงกลมรีที่เปล่งแสงสีขาวนวลตรงปลายแต่ละด้าน และมีแสงสีแดงเป็นประกายโดยรอบ พยานคนหนึ่งได้รายงานว่า "พวกเราได้ขับรถไปตามถนน A 12 จากคอลเชสเตอร์ไปยังเชล์มฟอร์ด ผมสังเกตเห็นวัตถุบินลึกลับรูปร่างกลมรีบนท้องฟ้า สังเกตได้ว่ามันมีแสงสีขาวนวลสว่างมากตรงปลายแต่ละด้าน และมีแสงสีแดงสาดส่องออกมารอบๆ ยาน มันลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือรถของเราที่กำลังแล่นไปพอดี ผมได้ชะลอความเร็วของรถลงมาระดับ 30 ไมล์ต่อชั่วโมง แล้วได้เลี้ยวเข้าไปจอดข้างทางเพื่อที่จะมองดูยานประหลาดลำนี้ให้เห็นเด่นชัด ปรากฏว่ามันหยุดเคลื่อนที่จอดนิ่งอยู่กลางอากาศ ในขณะนั้นรถเก๋งอีกสองคันก็ได้แวะจอดริมทางเพื่อมองดูยานประหลาดเช่นเดียวกัน ส่วนพวกเราต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับยานดังกล่าวนี้ด้วยความตื่นเต้นระทึกใจ เนื่องจากไม่มีใครพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาที วัตถุบินลึกลับก็ได้หายไปในท้องฟ้า" (รายงานโดยรอน เวสต์ กลุ่มวิจัยค้นคว้ายูเอฟโอ เอ็ซเซ็ก) 31 สิงหาคม ปี 1992 ที่มิดแลนด์ ออสเตรเลียตะวันตก มิสซิสจูน อาร์กำลังขับรถไปตามทางหลวงเกรตนอร์ธเทิร์น ห่างจากเนินเขาเฮิร์น เมืองมิดแลนด์ไปเจ็ดกิโลเมตร ทันใดนั้นเธอสังเกตเห็นยานประหลาด มีแสงสีแดงเป็นประกายโดยรอบ ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้ามุ่งตรงไปทางทิศตะวันตกของทางหลวง ในตอนแรกเธอคิดว่าอาจเป็นดวงไฟใช้แสงสัญญาณเตือนภัยบางประการ จึงได้ขับรถเข้าไปจอดข้างทาง เพื่อพิจารณาดูให้เห็นชัดเจน ยานประหลาดลำนี้จอดนิ่งบนท้องฟ้าสูงจากพื้นดินบริเวณไร่องุ่นข้างทางประมาณครึ่งกิโลเมตร ลักษณะของยานลำนี้มีรูปร่างสี่เหลี่ยมมุมฉาก ใหญ่กว่าเครื่องบินโดยสารไอพ่นแบบจัมโบ้ สังเกตได้ว่าตรงด้านข้างของยานคล้ายกับมีเรือยางพองลมติดเป็นระยะๆ มันยังจอดนิ่งอยู่กลางอากาศนานประมาณสามนาที แล้วได้สาดส่องแสงสีน้ำเงินเป็นประกายออกมาก่อนที่จะบินตรงไปยังเมืองเพิร์ธทางทิศใต้ (รายงานโดยไบรอัน ริชาร์ด ศูนย์รวบรวมข้อมูลยูเอฟโอ/ยูเอฟโออาร์ยูเอ็ม) 31 สิงหาคม ปี 1992 ที่เบคัพ, แลงคัสเชอร์ ประเทศอังกฤษ เด็กหญิงวัยรุ่นอายุสิบห้าปีสามคน ได้เปิดเผยว่าได้เห็นจานบินเปล่งแสงสีเขียวและแดงเป็นประกายบนท้องฟ้าในช่วงดึกของคืนหนึ่ง "พวกเราได้เฝ้ามองดูอยู่นานราวห้านาที จุดที่ยืนอยู่นั้นห่างจากจานบินประมาณครึ่งไมล์" โจน เอลลิดจ์กล่าว "มันลอยอยู่อย่างเงียบๆ สูงเหนือจากพื้นดินประมาณสิบเมตร มีแสงสว่างหมุนรอบเป็นวงกลม เราไม่สามารถคาดคะเนขนาดของมันได้ เนื่องจากอยู่ไกลมาก อีกทั้งรู้สึกตื่นเต้นและตกใจกลัว นอกจากนั้นมันเป็นคืนเดือนมืดด้วย ทันใดนั้นมันได้เร่งความเร็วขึ้นประมาณสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมงแล้วบินหายลับไปยังด้านหลังแนวพุ่มไม้" (รายงานโดยนีล เกรแฮม จากร็อสเซนเดล ฟรีเพรสส์ 4 กันยายน ปี 1992) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 18:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ที่มา จานบินและมนุษย์ต่างดาว UFOS บรรยง บุญฤทธิ์ manusapun Lattapon Phetcharat สําหรับวันนี้ Terran ขอลาไปก่อนนะครับ ค่อยกลับมารับใช้ใหม่ในวันจันทร์ ด้วยบทความจานบินที่อาเธอร์ ซี คลาร์ก ท่านได้เขียนไว้ก่อนที่ท่านจะเสียครับ (อาเธอร์ ซี คลาร์ก : ผู้เขียน  2001: A Space Odyssey ,Rendezvous with Rama และนิยายชื่อดังอีกมากมาย ) จากคุณ : Mr.Terran - [ 25 เม.ย. 52 18:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาเรียน วบ 101101 วบกอมวิทยาเบื้องต้น ~ ~ ~ ตำราเรียน Mr.Terran (คัดเฉพาะวิชานี้) ~ ~ ~ * ลิงก์ใดใช้ไม่ได้ อาจเพราะระบบยังไม่จัดเก็บในคลังกระทู้ ให้แก้ topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/20xx/xx/ เป็น www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/ เล่มหลัก - วบกอมวิทยาเบื้องต้น An Introduction to Flying Saucers เล่ม 1 - 2 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7716506/X7716506.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7792460/X7792460.html อ่านเพิ่มเติม - เอเลี่ยนที่บราซิล + นักบินอวกาศปะทะจานบิน + ปริศนาใต้หลังคาโลก http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7642825/X7642825.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7656852/X7656852.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7689994/X7689994.html - แผนสํารวจต่างดาว + เทคโนโลยีจานบินกับสงครามอวกาศ + สงครามเหิรเวหาเหนือน่านฟ้าแอลเอ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7463445/X7463445.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7483405/X7483405.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7610782/X7610782.html - บันทึกลับจานบิน + จดหมายถึงโลก + UFO Terminology http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7413249/X7413249.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7556844/X7556844.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7582554/X7582554.html - เผ่าพันธุ์เอเลี่ยน + UFO view sight + โดเวอร์ + มอธแมน + ชูปราคาบรา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7364645/X7364645.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7380914/X7380914.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7383362/X7383362.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7385424/X7385424.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7388054/X7388054.html - ปริศนาของโบราณไฮเทค เหลือไว้ให้ชาวโลก + วิทยาศาสตร์ล้ำยุค http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6883653/X6883653.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/09/X6950732/X6950732.html - Crop circles + วงกลมปริศนา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6873637/X6873637.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7515215/X7515215.html - หยินหยางกับ UFO + ติดต่อมนุษย์ต่างดาวผ่านคนทรง + UFO กับการหาคําตอบ + เมื่อนักดาราศาสตร์หามนุษย์ต่างดาว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6881061/X6881061.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6894490/X6894490.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/09/X7011876/X7011876.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/09/X7030440/X7030440.html - Area 51 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6831305/X6831305.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7459614/X7459614.html - โทรจิตกับมนุษย์ต่างดาว + ศูนย์ปฏิบัติการลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว + จานบินในประเทศไทย + ใครชําแหละวัว + สืบเนื่องจากรอสเวลล์ + จดหมายจากต่างดาว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/08/X5694162/X5694162.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6757500/X6757500.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6833709/X6833709.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6837037/X6837037.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6846346/X6846346.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6850283/X6850283.html ค่าหน่วยกิต 1 gift หรือมากกว่า หรือ โหวตกระทู้ หรือ เก็บเข้าคลัง ตามจิตศรัทธา แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 52 20:21:22 จากคุณ : Prof.Sirius - [ 25 เม.ย. 52 18:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตำราวิชาอื่น - ฐานทัพใต้มหาสมุทร http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7616327/X7616327.html - องค์กรลับยึดโลก http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7535043/X7535043.html - โครงการลับออโรร่า http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7434470/X7434470.html - Atlantis http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7274200/X7274200.html - 6 วิชาเหลือเชื่อที่สอนจริงในมหาวิทยาลัย http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7260267/X7260267.html - สัตว์โลกอีก 50 ล้านปีข้างหน้า http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7216733/X7216733.html - ตุ๊กตาผีสิง + เพชรโฮป + รัสปูติน http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/10/X7158455/X7158455.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7187005/X7187005.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7183978/X7183978.html - Lockness http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/10/X7148240/X7148240.html - ภูมิประเทศแปลกบนดาวอังคาร http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6905732/X6905732.html - Majestic12 ภาค1+2+3 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6861294/X6861294.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6869844/X6869844.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7510797/X7510797.html จากคุณ : Prof.Sirius - [ 25 เม.ย. 52 20:22:26 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มันไม่มีจริงหรอกครับ เรื่องพวกนี้ เพราะถ้ามันจริง เวลาล่วงมา จนถึง พ.ศ. นี้แล้ว มันก็ควรมีอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าที่รู้ๆ มาบ้างแหละ ผมว่านะ จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 25 เม.ย. 52 23:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตามอ่านกระทู้เก่าทุกกระทู้เลย ชอบมากๆ จากคุณ : พฤหัสบดี ที่ 5 - [ 26 เม.ย. 52 14:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขออภัย.... #23 แปลว่าอะไร..... จากคุณ : ลุงบุญคำ - [ 26 เม.ย. 52 16:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 33 โหย... ตอนนี้ยาวจัง จากคุณ : นายเดชา - [ 26 เม.ย. 52 18:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 34 จารึกไว้ ในตำไม่สั้น ตำจนเมื่อย(ตำนานนี่แหละ เขียนอ้อมโลกเพื่ออะไรหว่า) แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 52 20:50:02 จากคุณ : Lord BoBo Of Sarkhanland - [ 26 เม.ย. 52 20:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 27 เม.ย. 52 01:20:53 ]