ความคิดเห็นที่ 1 ถูกตั้งใน http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7833865/K7833865.html จากคุณ : Loss of Divinity - [ 6 พ.ค. 52 21:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในปี ค.ศ. 1946 วินเซนต์ เชฟเฟอร์ และเออร์วิง ลองมัวร์ เริ่มงานที่ห้องปฏิบัติการวิจัยของบริษัทเจเนรัล อิเล็กทริก เมืองสกิเนกทาดี รัฐนิวยอร์ก เขาพิสูจน์ได้ว่าเราอาจกระตุ้นเมฆฝนให้ผลิตละอองฝนได้โดยวิธีวิทยาศาสตร์    เมฆเกิดจากอนุภาคน้ำเล็กหลายล้านอนุภาคที่เล็กเกินกว่าที่จะกลั่นตัวเป็นฝน ได้ อนุภาคเหล่านี้จะตกโปรยเม็ดลงก็ต่อเมื่อมันใหญ่จนมีขนาดประมาณ ¼ มม. หรือ มากกว่า หยดน้ำขนาดเล็กจะระเหยก่อนที่จะตกถึงดินด้วยซ้ำไป    หยดน้ำขนาดจิ๋วจะใหญ่ขึ้นเมื่อมันเย็นจัดจนกลายเป็นอนุภาคน้ำแข็ง ในเมฆซึ่งมีอนุภาคน้ำแข็ง และหยดน้ำจิ๋วอยู่ อนุภาคน้ำแข็งจะใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่หยดน้ำจิ๋วระเหย และไอระเหยเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง อุณหภูมิของเมฆมักต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หยดน้ำเล็กๆจึงแข็งตัวง่าย แต่น้ำอาจเย็นกว่าจุดเยือกแข็งได้ถึง 10-20 องศาเซลเซียส (ซูเปอร์คูล)โดยไม่แข็งเลยก็ได้ น้ำในเมฆไม่แข็งตัวก็เพราะมันบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปนซึ่งจะรวมตัวเป็น ศูนย์กลางของผลึกน้ำแข็ง ถ้ามีการเติมอนุภาคเล็กๆเข้าไปในหยดน้ำ มันก็จะแข็งตัวอย่างรวดเร็วจนใหญ่พอที่จะร่วงหล่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นหยดน้ำแข็งจะละลายกลายเป็นฝนตกสู่พื้นดิน    เชฟเฟอร์ และลองมัวร์พิสูจน์ว่า ถ้าเติมซิลเวอร์ไอโอไดด์ (silver iodide) ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กให้เมฆที่เย็นเหนือจุดเยือกแข็ง มันจะเร่งให้ผลึกน้ำแข็งใหญ่ขึ้น เขาจะโปรยอนุภาคนี้จากเรือบินจรวด หรือปล่อยที่พื้นดินให้กระแสลมหอบขึ้นไป    ในสหภาพโซเวียต มีการใช้ปืนขนาด 70 มม. ยิงซิลเวอร์ไอโอไดด์เข้าไปให้ระเบิดในเมฆเพื่อกระจายสารเคมีออกไป วิธีนี้จะเพิ่มปริมาณฝนอีกถึง 1 ใน 5 แต่ผู้คนยังสงสัยว่า วิธีนี้คุ้มค่าหรือไม่ เพราะยังไม่สามารถรู้ได้ว่าฝนจะตกมากเท่าไร ถูกตั้งใน http://www.school.net.th/library/create-web/10000/science/10000-662.html จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 6 พ.ค. 52 21:54:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รู้สึกว่ากระทู้นี้น่ากลัว... แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 22:11:21 จากคุณ : รู้สึกไหม (Cryptomnesia) - [ 6 พ.ค. 52 22:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 #3 เห็นด้วยครับ ข้อมูลไม่แน่นจริง ๆ คงไม่มีใครกล้าตอบ จากคุณ : Phoenix032 - [ 6 พ.ค. 52 22:21:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Comment 2 is right. แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 22:31:46 จากคุณ : gregloki - [ 6 พ.ค. 52 22:31:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ มีข้อสงสัยครับ 1.ของไทยเรา  ตอนที่ทำได้ต่างจากตอนแรกที่คิดมากไหมครับ 2.ของไทยเรา ตอนที่ทำได้ต่างจากวิทยาการ นวัตกรรมในสมัยนั้นแค่ไหนครับ เพิ่มเติม 3.ของไทยเราตอนนี้ เป้นอย่างไรบ้างครับ เคยเห็นข่่าวว่าจะจดลิขสิทธิ์ แสดงว่าต้องมีความไม่ธรรมดา แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 22:41:13 จากคุณ : Loss of Divinity - [ 6 พ.ค. 52 22:31:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 #3 เห็นด้วยครับ  ขอเป็นผู้ชมดีกว่า จากคุณ : มอนตะทาโร่ - [ 6 พ.ค. 52 22:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เข้ามารอความเห็นต่อไป จากคุณ : หัวใจถวายวัด - [ 6 พ.ค. 52 22:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จำได้ว่าเรื่องในเทียมนี่  เริ่มแรกฝรั่งเขาคิดๆกันว่าจะทำอย่างไร  จนสรุปออกมาว่ามันทำได้  มีแนวคิดอะไรเรียบร้อย  แต่ตอนทำมันไม่เอาอ่าวนัก ต่อมาในหลวงก็เลยเอาอันนั้นมาปรับปรุง (หรือเป็นทฤษฎีใหม่เลย ?)  มาคิดคำนวนใหม่  แล้วให้ข้าราชการคนหนึ่งรับผิดชอบไปทำการทดลอง  จนสุดท้ายก็ออกมาจนสามารถนำไปใช้งานได้จริง สรุปแล้ว ทฤษฎีตั้งต้น  ของฝรั่ง ผู้ที่ทำจนสามารถใช้ได้จริง  คือในหลวง ส่วนผู้ที่ืำการทดลอง  คือข้าราชการคนนั้น (แต่ใครผมจำไม่ได้ - -") ข้อมูลของผมไม่มีแหล่งอ้างอิง  เพราะผมอ่านผ่านๆมานานมากแล้ว  ความน่าเชื่อถือ  ฟังหูไว้หูดีกว่า แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 22:55:16 จากคุณ : Mr.Whisper (wsteven) - [ 6 พ.ค. 52 22:52:22 ]

ความคิดเห็นที่ 10 #9 ใช่ท่านเทพฤทธิ์ เทวกุล ป่าวครับ จากข้อมูลของคุณก็หมายความว่า ในหลวงปรับปรังทฤษฏีฝรั่ง แล้วเอาทฤษฏีนั้นให้ ท่านเทพฤทธิ์ไปปฏิบััติ ไปสร้าง จากคุณ : Loss of Divinity - [ 6 พ.ค. 52 22:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รอข้อมูลจากผู้รู้ครับ จากคุณ : กระเพาไก่ไข่ดาว - [ 6 พ.ค. 52 23:05:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ง่า มีแต่คนรอ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 6 พ.ค. 52 23:09:12 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามารอด้วยความกลัวววววววววววววว จากคุณ : handghost - [ 6 พ.ค. 52 23:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยว่ากระทู้น่ากลัว =*= จากคุณ : marina_rain - [ 6 พ.ค. 52 23:45:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องฝนเทียมมันน่ากลัวมากเลยหรือครับ???????? จากคุณ : กระเพาไก่ไข่ดาว - [ 6 พ.ค. 52 23:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 น่ากลัวเพราะหากตอบไม่ถูกใจ อาจติดคุก 15 ปีได้ครับ จากคุณ : เกียงอุยศิษย์มังกรหลับ - [ 7 พ.ค. 52 00:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 #16 ผมก็กลัวคุณโดนมากเลยครับ จากคุณ : pipek (yukraider) - [ 7 พ.ค. 52 00:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คห 16 ตอบไม่ถูกใจใครหรือ ถึงโดน 15 ปี ยังกะ  112 งั้นแหละ จากคุณ : มาลัย - [ 7 พ.ค. 52 00:45:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หลงเข้ามากระทู้นี้นึกว่า อยู่ท่ามกลางสนามฟุตบอล พรีเมียร์ลีก เขี่ยบอล ชงบอลกันใหญ่ XD จากคุณ : Artaria EpisodeII - [ 7 พ.ค. 52 00:57:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เข้ามาลงชื่อดูการชงบอล ..... ข้อมูลไม่แน่น ไม่ตอบดีกว่า .....(เรื่องอื่นยังพอไถๆได้ เรื่องนี้ขอบาย) จากคุณ : ginosty - [ 7 พ.ค. 52 01:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามาดิ้น จากคุณ : ++ใบมีดโกนอาบสนิม++ - [ 7 พ.ค. 52 01:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แหม่ ชาวหว้ากอก็... ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย ขอคำตอบเชิงเทคนิคอย่างที่ถามใน #6 ก็ได้ครับ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนั้นนา.. จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 01:40:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบๆ ไปโลด อย่าไปกลัว ...ตกลง ข้าวผัด โอเลี้ยงนะ ผมส่งให้คุณเอง หุหุ จากคุณ : CitizenShip - [ 7 พ.ค. 52 02:18:20 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ชอบฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์ ตอนที่อัจฉริยะโดนพนักงานต้อนรับมืออาชีพคนนั้น หลอกให้เสี่ยงแทน หลอกใช้ หน้า 35-36 หึ หึ แถวบ้านอ่านแล้ว บอกไม่น่าคบ อ้าว คนละเรื่องเหรอ ขอโทษ ไปดีกว่า จากคุณ : พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว - [ 7 พ.ค. 52 02:26:58 A:58.8.115.214 X: TicketID:183970 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เดี๋ยวคุก ไม่รู้เรื่องน่ะครับ เดี๋ยวนี้อะไร อะไร ก็ถือว่า หมิ่นทั้งนั้น จากคุณ : ZGMF-X10A - [ 7 พ.ค. 52 04:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ห้องสมุดเค้าตอบกันเยอะเลยครับ ได้ความเช่นเดียวกับ #9 #10 จากคุณ : Phoenix032 - [ 7 พ.ค. 52 06:49:04 ]

ความคิดเห็นที่ 27 รู้สึกได้เลย  มันน่ากลัวเหมือนกานนะเนี่ย ไม่ขอตอบ  ขอดูอย่างเดียว *-* จากคุณ : นู๋ขี้สงสัย - [ 7 พ.ค. 52 09:02:39 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้่ามาแล้วอดตอบไม่ไ้ด้ครับ ทำไมต้องกลัวครับ ทำไม การตอบคำถามว่า "ใครคิดฝนเทียม" คำถามง่ายๆ แค่นี้ ต้อง "กลัว" ที่จะตอบ "กลัว" ที่จะรับรู้ด้วยเหรอครับ แสดงว่าอย่างนี้ คนไทย ไม่มีสิทธ์ที่จะรับรู้เลยหรือ ว่า "ใครคิดฝนเทียม" กลายเป็นเรื่องที่ต้องกลัวเลยหรือครับ ถ้าเกิดว่ากลัว "จำคุก 15 ปี" แล้ว ดังนั้น ถ้าเกิดมีใครตอบว่า "ใครคิดฝนเทียม"  แล้วถูก  "จำคุก 15 ปี" จริงๆ คงเป็นเรื่องดัง และพิสดารที่สุดในระดับโลกเลยล่ะครับ จากคุณ : ATiVidia - [ 7 พ.ค. 52 09:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มีข้อมูลก็ว่าไปตามนั้น ไอ้พฤติกรรมหมิ่นจริงๆ คือที่มาพูดกระทบกระเทียบอย่างคห. บนๆ นั่นแหละ สรุปคือ ไอ้เรื่องพูดว่าหมิ่นเนี่ย ไร้สาระครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 7 พ.ค. 52 09:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อาจจะเป็นการแซวเล่นกันอ่ะครับ แต่ก็รอผู้รู้ตัวจริงมาตอบอยู่เหมือนกันครับ จากคุณ : Phoenix032 - [ 7 พ.ค. 52 10:01:20 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แง้ว รอผู้ชี้ทางสว่างอยู่ครับ ผมสงสัยทางเทคนิค จากคำตอบในกระทู้นั้น (บางเวปก็เคยเห็นผ่านๆตาว่าเนื้อหาแบบนี้) พ.ศ. ๒๔๙๘ ในเสด็จฯเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงสังเกตเห็นว่าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเมฆ แต่เมฆผ่านพื้นที่แห้งไป จึงมีพระราชดำริให้คิดหาวิธีทำให้ฝนตกเพื่อประชาชนจะได้มีน้ำสำหรับการเกษตร และอุปโภคบริโภค ในหลวงทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ “ฝนหลวง” ให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปทดลองค้นคว้าจนประสบความสำเร็จ ในหลวงทรงคิดค้นเทคนิคการโจมตีเมฆฝนที่เรียกว่า "ซูเปอร์แซนด์วิช" แปลว่า 1.ในหลวงทรงคิดทฤษฏีปรับปรุงทฤษฏีจากของฝรั่งมา แล้วเอาทฤษฏีใหม่ของพระองค์มาให้ ท่านเทพฤทธิ์ ทำตามทฤษฏีจนทำสำเร็จ หรือ 2.ในหลวงทรงห่วงใยประชาชน แล้วลองค้นหาดูว่า่ การทำฝนหลวงเป็นไปได้ไหม แล้วเห็นว่าทำได้ จึงสั่งให้ท่านเทพฤทธิ์ ไปจัดการค้นคว้าสร้างจนสำเร็จ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 10:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมรู้แต่ ทำแล้วเป็นประโยชน์มหาศาลกับประชาชนผู้เดือดร้อน มากกว่าคอมเมนต์ 15ปี-16ปี อะไรพวกนี้เยอะครับ จากคุณ : bodin - [ 7 พ.ค. 52 10:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แป่ว ท่านเหล่านั้น คงกลัวพูดไม่ถูกหู  ไม่ถูกใจใครเข้า แล้วจะเป็นเรื่องหนะครับ  คงไม่ได้ประชดประชันหรอก จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 10:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เข้าไปอ่านกระทู้ในห้องสมุดแล้ว ทางนั้นก็ให้ข้อมูลที่น่าสนใจดีนะ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 7 พ.ค. 52 10:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตกลงก็ยังไม่ได้คำตอบ? สรุปในหลวงคิด หรือคนอื่นคิดคะ จากคุณ : เจ้าแฺฮมตัวน้อยๆ - [ 7 พ.ค. 52 11:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมกำลังรอท่านกัมม์มาขี้แจงอยู่ครับ ท้าสาบานผม คงมีอะไรดีๆให้ชม แบบ 35 ผมก็สงสัยทำนองนั้นด้วย ว่า    1.คิดว่า  นี่ดีนะ ลองไปทำดู    2.คิดตั้งแต่แรกเริ่มยันทฤษฏี เอาให้คนอื่นไปทำให้สำเร็จ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 12:04:49 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ประมาณว่า   ทางโน่น คิด บ้านเราเอามาปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพอากาศบ้าน ดีกว่าของต้นต้นแบบ ถูกต้องไหมครับ ... ข้าวผัดกุ้ง + มอคค่าเย็นนะ ... โอเลี้ยงไม่เอา -.- edit ตามที่ข้างล่างแนะนำครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 52 14:48:42 จากคุณ : เรื่องมากจริงกรู (vn, man) - [ 7 พ.ค. 52 12:44:32 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เริ่มต้นในปี 1946 ตาม คคห.2 ได้ทดลองจนมีหิมะตกจริงเมื่อ 13 พ.ค. 1946 ที่ใกล้กับ Mount Greylock สำหรับอเมริกา ได้มีการทดลองอย่างต่อเนื่อง ในหลายหน่วยงาน เช่นหน่วยงานทหารได้ทดลองที่เวียดนามตั้งแต่ มี.ค. 1967 ถึง พ.ค. 1972 ก็เป็นโครงการที่ประสบผลสำเร็จ ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ก็ทำการทดลองเช่นกัน ส่วนใหญ่เพื่อปรับสภาพภูมิอากาศ เช่นเพื่อไม่ให้พายุใหญ่ก่อตัว ในออสเตเลียก็มีการทดลองเช่นกันในช่วง 1947-1960 ก็ได้ทดลองจนประสบผลสำเร็จเช่นกัน ส่วนในไทย ในหลวงทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ในปี 2498 ให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปทดลองค้นคว้าจนประสบความสำเร็จ (คคห.31) ^37 น่าใช้คำว่าปรับปรุงให้เหมาะสมกับภูมิอากาศบ้านเรา เพราะตอนที่รัฐบาลแทนซาเนีย ขอความร่วมมือด้านฝนหลวงจากไทย ทางเราก็ต้องศึกษาสภาพอากาศของที่นั่นก่อนเหมือนกัน สุดท้ายคิดว่าคงทำไม่ได้ที่นั่น http://www.ippmedia.com/ipp/guardian/2008/02/29/109379.html จากคุณ : HogHeaven - [ 7 พ.ค. 52 14:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ๑. จากคุณ : กัมม์ - [ 7 พ.ค. 52 14:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ๒. จากคุณ : กัมม์ - [ 7 พ.ค. 52 14:38:43 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ๓. จากคุณ : กัมม์ - [ 7 พ.ค. 52 14:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่ก๊อปมาให้หมดละ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7833865/K7833865.html 1.ของฝรั่ง ผมไม่รู้ เคยได้ยินว่าฝรั่งคิดมาก่อน แต่ไม่รุใคร บริษัทไหนทำ 2.ของไทย ผมก็เคยเห็นข้อความนั้นครับ แต่ก็สงสัยดั่งที่บอก (สรุปใครทำ ใครคิด หรืออย่างไร) เลยตั้งคำถามปลายเปิด เผื่อมีผู้รู้จริงและใจกว้าง กล้าหาญ พอจะตอบ จะเล่า ถือว่าผมสงสัยถูกมั้ยครับ ขอให้เป็นไปตามที่สาบานเช่นกันครับ ผมคงรุ่งเรื่องๆ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 14:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 43 แล้วคำถามเชิงเทคนิคในหว้ากอไม่ตอบละครับ ผมรอคำตอบครับ ไม่ได้รอนักก๊อปข้อความ แถม เล่นตัดๆก๊อปๆเอาแต่ที่ตัวเองดูดีมา ปล.จะมาประจานผมก็ให้มันแน่นอนกว่านี้หน่อยเถอะ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 14:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ 37 กับ 38 ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจคือ ปรับไปตามสภาพแวดล้อมแต่ละที่ ถือเป็นการประยุกต์วิทยาการได้เหมือนกันนะนี่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในคำถามข้อ 6/ 31/ 35 ปล.ใครคิดว่ามันแอบแฝงมันก็แอบแฝง ตามความหวาดระแวงของแต่ละคน ปล.2 ขอตัวไปตักตวงความรุ่งเรืองอีกรอบก่อนครับ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 14:56:42 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ใครคิดระเบิดปรมณู ไอน์สไตน์ โกรฟ ฮอพเพนไฮเมอร์ รูสเวลท์ ทรูแมน นักวิทยาศาสตร์โคงการแมนฮัตตัน โจทย์แบบเดียวกัน วิธีคิดเดียวกัน ต่างกันก็แค่วิจารณญานของคนที่นี่"เบา"ไปนิด ขนาดพิสูจน์FWmailได้เป็นสิบ กลับเชื่อProง่ายๆแค่นี้ได้ ปล.คำตอบมันออกมาแต่แรกแล้ว แค่ดูแล้วคิดนิดหน่อยเอง จากคุณ : Gray Fish - [ 7 พ.ค. 52 16:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คุณ 46 ทำผมหวาดกลัวอีกแล้ว จากคุณ : jassb1 - [ 7 พ.ค. 52 16:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คห. 46 มาจากไหนกลับไปทางนั้นเถิด (เห็นหลายครั้งแล้ว) จากคุณ : Urashima - [ 7 พ.ค. 52 17:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 49 กรรมวิธีการทำฝนหลวง       กรรมวิธีการทำฝนหลวงในประเทศไทยที่ใช้เป็นหลักในปัจจุบัน สรุปได้ ดังนี้ ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อเมฆ เป็นการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ โดยการโปรยสารเคมีผลละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต ในท้องฟ้าโปร่งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ผงของเกลือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทำหน้าที่เสริมประสิทธิภาพของแกนกลั่นตัวในบรรยากาศ (Cloud Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ทำให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศให้กลายเป็นเม็ดน้ำเกิดเร็วขึ้นกว่าธรรมชาติ และเกิดกลุ่มเมฆจำนวนมาก ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเป็นเมฆก้อนใหญ่ในเวลาต่อมา ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อ้วน         เป็นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาดของเมฆและขนาดของเม็ดน้ำในก้อนเมฆ จะปฏิบัติการเมื่อเมฆที่ก่อตัวจากขั้นตอนที่ 1 หรือเมฆเดิมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก่อยอดสูงถึงระดับ 10,000 ฟุต โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสม บัติดูดความชื้นได้ดี จะดูดซับความชื้นและเม็ดน้ำขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:32:22 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ในขณะเดียวกันจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซี่ยมคลอไรด์เมื่อละลายน้ำ ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้น (Updraft) ในก้อนเมฆ ทั้งขนาดเม็ดน้ำที่โตขึ้นและความเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยเร่งกระบวนการชนกันและรวมตัวกัน (Collision and coalescence process) ของเม็ดน้ำ ทำให้เม็ดน้ำขนาดใหญ่จำนวนมากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสูงขึ้น             ในขั้นนี้ เมฆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและก่อยอดสูงขึ้นไปได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการทรงตัวของบรรยากาศในแต่ละวัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ในบางวันเมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ( 0 องศาเซลเซียส) หรือประมาณ 18,000 ฟุต เรียกว่า เมฆอุ่น (Warm Cloud) ในบางวันเมฆจะสามารถก่อยอดขึ้นไปสูงกว่าระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง เช่น ถึงระดับ 20,000 ฟุต เรียกว่า เมฆเย็น (Cold Cloud) ซึ่งภายในยอดเมฆจะประกอบด้วยเม็ดน้ำเย็นจัด (Super cooled droplet) ที่มีอุณหภูมิต่ำถึง - 8 องศาเซลเซียส จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 51 การดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่งให้เมฆเกิดเป็นฝน ซึ่งสามารถกระทำได้ 3 วิธี ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเมฆ และชนิดของเครื่องบินที่มีอยู่ ดังนี้ วิธีที่ 1 \"โจมตีเมฆอุ่น แบบแซนด์วิช\"       ถ้าเป็นเมฆอุ่น เมื่อเมฆแก่ตัว ยอดเมฆจะอยู่ที่ระดับ 10,000 ฟุต หรือสูงกว่าเล็กน้อย และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย จะทำการโจมตีโดยวิธี Sandwich คือ ใช้เครื่อง บิน 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ (Nacl) ทับยอดเมฆ หรือไหล่เมฆที่ระดับ 9,000 ฟุต หรือ ไม่เกิน 10,000 ฟุต อีกเครื่องหนึ่งโปรยผงยูเรีย (Urea) ที่ฐานเมฆ ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา เมฆจะเริ่มตกเป็นฝนลงสู่พื้นดิน จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:33:56 ]

ความคิดเห็นที่ 52 วิธีที่ 2 \"โจมตีเมฆเย็น แบบธรรมดา\"       ถ้าเป็นเมฆเย็นและมีเครื่องบินเมฆเย็นเพียงเครื่องเดียว เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทำการโจมตีโดยการยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ซึ่งมีอุณหภูมิระหว่าง -8 ถึง 12 องศาเซลเซียส มีกระแสอากาศไหลขึ้นสูงกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริมาณน้ำเย็นจัดไม่ตำกว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไขเหมาะสม อนุภาคของสาร Agl จะทำหน้าที่เป็นแกนเยือกแข็ง (Ice Nuclei) และเมื่อสัมผัสกับเม็ดน้ำเย็นจัดในบอดเมฆ จะทำให้เม็ดน้ำเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็งและคายความร้อนแฝงออกมา ซึ่งความร้อนดังกล่าวจะเป็นพลังงานผลักดันให้ยอดเมฆเจริญสูงขึ้นไปอีก และมีการชักนำอากาศชื้นเข้าสู่ฐานเมฆเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเม็ดน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง จะมีความดันไอที่ผิวต่ำกว่าเม็ดน้ำเย็นจัด ทำให้ไอน้ำระเหยจากเม็ดน้ำไปเกาะที่เม็ดน้ำแข็ง และเม็ดน้ำแข็งจะเจริญเติบโตได้เร็วเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และจะล่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง ซึ่งจะละลายเป็นเม็ดน้ำฝน เมื่อผ่านชั้นอุณหภูมิเยือกแข็งลงมาที่ฐานเมฆ และเกิดเป็นฝนตกลงสู่พื้นดิน จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 53 วิธีที่ 3 \"โจมตีเมฆเย็น แบบซูเปอร์แซนด์วิช\"       หากเป็นเมฆเย็น และมีเครื่องบินครบทั้งชนิดเมฆอุ่นและเมฆเย็น เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทำการโจมตีโดยการผสมผสานวิธีที่ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เครื่องบินเมฆเย็นจะยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ส่วนเครื่องบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง จะโปรยสารเคมีโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับไหล่เมฆ (ประมาณ 9,000 - 10,000 ฟุต) และเครื่องบินเมฆอุ่นอีก 1 เครื่อง จะโปรยสารเคมีผงยูเรียที่ระดับชิดฐานเมฆ ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา วิธีการนี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น และเทคนี้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกชื่อว่า SUPER SANDWICH จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 54 การโจมตีเมฆในขั้นตอนที่ 3 ทั้งสามวิธี อาจจะทำให้ฝนใกล้จะตกหรือเริ่มตกแล้ว ขั้นตอนที่ 4 นี้ จะเร่งการตกของฝนและเพิ่มปริมาณน้ำโดยการโปรยเกล็ดน้ำแข้งแห้ง (Dry ice) ที่ระดับใต้ฐานเมฆประมาณ 1,000 ฟุต เกล็ดน้ำแข็งแห้งซึ่งมีอุณหภูมิต่ำถึง -78 องศาเซลเซียส จะปรับอุณหภูมิของบรรยากาศระหว่างฐานเมฆกับพื้นดินให้เย็นลง ทำให้ฐานเมฆยิ่งลดระดับต่ำลง ฝนจะตกในทันที หรือที่ตกอยู่แล้ว จะมีอัตราการตกของฝนสูงขึ้น ลดอัตราการระเหยของเม็ดฝนขณะล่วงหล่นลงสู่พื้นดิน และทำให้ฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานานขึ้นและหนาแน่นยิ่งขึ้น จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่มีใครมาจับเราเข้าคุกหรอก ความรู้ก็คือความรู้ เป็นสิ่งที่ต้องถ่ายทอดและต้องต่อยอดต่อไป ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการหมิ่นหรือไม่หมิ่น  หากเรามีเจตนารมย์ที่ดีและกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในเมื่อ คุณ จขกท. อยากรู้ก็ต้องได้รู้  ที่จริงเราก็เพิ่งจะรู้เมื่อได้ไปหาข้อมูลให้กระทู้นี้แหละ   ขอบคุณ จขกท. ที่ตั้งหัวข้อนี้มา และขอบคุณที่มา http://school.obec.go.th/nkwy/tiplearn/old/pages/rainmake.htm จากคุณ : <NaturaL M> - [ 7 พ.ค. 52 17:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ไอ้ที่ว่าสงสัยหนะ  คืออันนี้ใช่ไหมครับ โครงการฝนหลวง http://www.prdnorth.in.th/The_King/rain.php                               จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆเป็นประจำ ได้ทรงพบเห็นท้องถิ่นหลายๆแห่งประสบปัญหาความแห้งแล้ง หรือขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการทำเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรจะประสบความเดือดร้อน ทุกข์ยากมาก เนื่องจากบางครั้งฝนได้ทิ้งช่วงนานหรือภาวะฝนทิ้งช่วงเกิดในระยะวิกฤติของพืชผล คือพืชอยู่ในระยะที่กำลังให้ผลผลิตต่ำ หรืออาจจะไม่มี ผลผลิตให้เลย เป็นต้น ดังนั้นภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงใน แต่ละครั้ง/แต่ละปีจึงสร้างความเดือดร้อน และความสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่เกษตรกรเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ภาวะความต้องการใช้น้ำนับวันจะทวีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการเจริญเติบตของกลุ่มอุตสาหกรรม                               ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรง ความอัจฉริยะในพระองค์ท่านดังนั้นในปี พุทธศักราช 2498 จึงได้มีพระราชดำริค้นหาวิธีการ ที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับ จากธรรมชาติโดยนำเทคโนโลยีนำสมัยและทรัพยากร ที่มีอยู่ประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝน ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทยมุ่งขจัดปัญหา ความเดือดร้อนดังกล่าว และทรงมีพระราชหฤทัย เชื่อมั่นว่าวิธีการดังกล่าวนี้ จะทำให้ การพัฒนาระบบการจัดทรัพยากรน้ำของชาติเกิด ความพร้อมและครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของ น้ำ คือ                               1. การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใต้ดิน                               2. การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำผิวดิน                               3. การพัฒนา การ จัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใน บรรยากาศ                               และทรงเชื่อมั่นในพระราชหฤทัย ว่าด้วย ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ ของประเทศจะ สามารถดำเนินการให้บังเกิดผลสำเร็จได้ อย่างแน่นอน คุณเชื่อหรือเปล่า  ผมก็ไม่เชื่อ แต่ผมเฉยๆ   คุณยอมรับมาเถิดว่าเป็นพวกชอบหาเรื่อง  โดยเฉพาะกับพระองค์ พวกคุณมันมาในแนวนี้อยู่แล้ว  กระดิกนิดก็เป็นเรื่อง  จริงไหม คุณไม่ได้สงสัย  คุณหมั่นไส้ต่างหาก  อย่ามาแอ๊บแถวนี้  เซมสกายไปอีกทางจ้า จากคุณ : กัมม์ - [ 7 พ.ค. 52 18:03:59 ]

ความคิดเห็นที่ 57 1.ของไทยเรา  ตอนที่ทำได้ต่างจากตอนแรกที่คิดมากไหมครับ สิทธิบัตรฝนหลวง หรือ การดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน เป็นการประดิษฐ์คิดค้นกรรมวิธีการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดเมฆฝนจากเมฆอุ่นควบคู่กับเมฆเย็น เพื่อใช้เป็นเทคโนโลยีในการปฏิบัติการหวังผลให้เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่เป้าหมายที่กำหนดแผ่เป็นบริเวณกว้าง เพิ่มความถี่ของฝนและทวีปริมาณน้ำฝนให้มากยิ่งกว่าฝนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 2.ของไทยเรา ตอนที่ทำได้ต่างจากวิทยาการ นวัตกรรมในสมัยนั้นแค่ไหนครับ section ที่ต่าง คือ การทำ supersandwich ที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า อย่างมีนัยยะสำคัญครับ ไม่ใช่การเอาน้ำแข็งแห้งไปโปรย เรื่องประสิทธิภาพ เปรียบเทียบ คงต้องไปทดลองเอาเองแหละครับ ว่าต่างกันกี่ % ผมคงหาเปเปอร์ให้ไม่ได้ 3.ของไทยเราตอนนี้ เป้นอย่างไรบ้างครับ เคยเห็นข่่าวว่าจะจดลิขสิทธิ์ แสดงว่าต้องมีความไม่ธรรมดา จดที่อเมริกาครับ และยุโรป ถวายให้เอง ไม่ได้จดเองครับ เตรียมทูลเกล้าฯ สิทธิบัตรฝนหลวง "ซุปเปอร์แซนวิช" ชาวต่างชาติสุดทึ่ง [i]เนื้อข่าวที่เกี่ยวข้องครับ[\i] เมื่อวันที่ 19มีนาคม รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า รัฐบาลไทยเตรียมทูลเกล้าถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง (Weather ModifyationBy Royal)หรือที่ทรงโปรดเรียกว่าSUPER SANWICH แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้ดำเนินการยื่นขอจดสิทธิบัตรฝนหลวงในสหภาพยุโรป(อียู)เมื่อเดือนกันยายน2546 โดยสหภาพยุโรปได้ถวายการรับจดสิทธิบัตรเมื่อเดือนตุลาคม2548 ที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและให้ชาวต่างชาติได้รับทราบถึงพระปรีชาสามารถด้านการประดิษฐ์คิดค้นของพระองค์ อย่างไรก็ตาม   การยื่นขอจดสิทธิบัตรดังกล่าวในสหภาพยุโรป  จะทำให้ฝนหลวงของพระองค์ได้รับการคุ้มครองถึง 30ประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ยังได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรฝนหลวงในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย เมื่อเดือนกันยายน2546 ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดสหรัฐฯอยู่ระหว่างประกาศโฆษณาเพื่อให้สาธารณะได้รับทราบ ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องรอให้สหรัฐฯแจ้งผลกลับมาอีกครั้ง รายงานข่าวระบุด้วยว่า การแปรสภาพอากาศให้เกิดฝน(การทำฝนหลวง)ถือเป็นเทคนิคและวิธีการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้ทรงคิดค้นและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการทำฝนหลวงจะใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้ดีมาเป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดกระบวนการเกิดฝน ตั้งแต่การเกิดเมฆ การเจริญของเมฆและการเกิดฝน เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝนและให้ฝนตกกระจายสม่ำเสมอและลงสู่พื้นที่เป้าหมายที่กำหนดด้วยปริมาณที่สูงกว่และครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่าที่เกิดเองตามธรรมชาติ โดยปัจจุบันพระองค์ทรงพัฒนาเทคนิคการทำฝนหลวงจนถึงขั้นที่ทรงโปรดให้เรียกว่า SUPER SANWICHซึ่งถือเป็นเทคนิคที่ทันสมัยที่สุดในการทำให้เกิดฝนและถือเป็นการทำฝนหลวงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากเป็นการทำให้เกิดฝน ทั้งในระดับเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมๆกัน ซึ่งจะทำให้ได้ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น แตกต่างจากการประดิษฐ์คิดค้นของนักประดิษฐ์ชาวสหรัฐฯที่ทำให้เกิดฝนในระดับเมฆเย็นเท่านั้น  สำหรับการทำฝนในลักษณะดังกล่าวนั้น จะต้องนำเครื่องบินทำฝนเทียมบินประกบกันทางด้านบนและล่าง มีลักษณะคล้ายกับแซนด์วิช ซึ่งพระองค์ทรงต้องการให้เพิ่มปริมาณน้ำในหน้าแล้งให้แก่พสกนิกรชาวไทยที่ทำการเพาะปลูกในพื้นที่ที่แห้งแล้ง นอกจากนี้ประเทศต่างๆยังให้ความสนใจฝนหลวง โดยทำหนังสือมายังสำนักฝนหลวงเพื่อขอพระราชทานฝนหลวงไปช่วยเหลือประชาชนในประเทศที่ประสบภาวะแห้งแล้วด้วย เช่น อินโดนีเซียและประเทศในแถบตะวันออกกลาง   วันที่ 20/3/2006 จากคุณ : the_architect - [ 7 พ.ค. 52 18:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เคยได้อ่านผ่านมาบ้างนิดหน่อย ฝรั่งคิดค้นได้นานแล้ว เขาจะทำผนเทียม เมื่อเกิดไฟไหม้ป่า แต่ไม่ทำฝนเทียม เพื่อการเกษตร เพราะจะมีสารเคมีตกค้าง จากคุณ : ไทภู - [ 7 พ.ค. 52 20:26:41 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อืม ความรู้ๆ เค้าใช้ NaCl ธรรมดาๆด้วยหรอคะ จากคุณ : ไม่ได้อ่าน - [ 7 พ.ค. 52 21:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อนาจใจกับบางความเห็น ไม่รู้ว่าจะคลั่งไปถึงใหน จขกท ถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับผมคือ ในหลวงทรงคิดค้นฝนเทียมหรือชาติอื่นคิดได้ก่อนแล้ว การสงสัยไม่น่าจะผิดถึงขนาดต้องแช่งกันเลยนิ จากคุณ : UOW - [ 7 พ.ค. 52 21:12:12 A:125.24.179.187 X: TicketID:213467 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เพื่มเติม 58 ครับ สาร silver iodide เป็นสารที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสัตว์และคนครับ ลองอ่านในหัวข้อ Impact on environment and health ตาม link http://en.wikipedia.org/wiki/Cloud_seeding แล้วก็ http://www.ippmedia.com/ipp/guardian/2006/09/15/74468.html อ่านใน web ของไทยเค้าบอกว่าใช้น้อยคิดว่าคงไม่อันตราย จากคุณ : HogHeaven - [ 7 พ.ค. 52 21:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คนเราถ้าคิดดี ทำดี ก็จะมีผู้คนให้ความเคารพ นับถือ กราบไหว้ แต่ถ้าคิดชั่ว ทำชั่ว แม้แต่แผ่นดินก็จะไม่มีอยู่ ลืมไป นี่ห้องหว้ากอ ไม่ใช่ ราชดำเนิน ... จริงไหม ! จากคุณ : internetsmile - [ 7 พ.ค. 52 22:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ดุครับ กระทู้นี้ จากคุณ : pipek (yukraider) - [ 7 พ.ค. 52 22:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณทุกท่านที่มาให้ข้อมูล จากลิงค์ใน 61 สงสัยคำว่า the pygmy possum ครับ ตามไปอ่านในหัวข้อ คือมีผลกระทบด้านไม่ดีกับสิ่งแวดล้อม แต่มีค่อนข้างน้อยใช่หรือป่าวครับ (ภาษาไม่แข็ง) จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 23:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อืม คนที่เขาไม่อะไร ผมก็เห็นเค้าให้ข้อมูลดีนะ ได้ต่อยอดต่อประเด็นด้วย แต่บางคนก็.... "คุณยอมรับมาเถิดว่าเป็นพวกชอบหาเรื่อง  โดยเฉพาะกับพระองค์ พวกคุณมันมาในแนวนี้อยู่แล้ว  กระดิกนิดก็เป็นเรื่อง  จริงไหม คุณไม่ได้สงสัย  คุณหมั่นไส้ต่างหาก  อย่ามาแอ๊บแถวนี้  เซมสกายไปอีกทางจ้า  " .... อย่าลากผมไปเสี่ยงคุกครับ ผมว่าผมใช้คำกลางๆ มีบางท่านรู้และใจดีตอบคำถาม ก็ไม่เห็นมีอะไร คำท้าสาบานของท่านมีผลจริงๆครับ วันนี้ออกไปข้างนอกเจอแต่เรื่องดีๆ หรือว่าจะรุ่งเรืิองจริงๆ edit:ข้อความไม่ครบ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 52 00:33:51 จากคุณ : Loss of Divinity - [ 7 พ.ค. 52 23:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ไม่สร้างเขื่อนกับระบบชลประทานดีๆเอาหละครับ อันนี้สงสัย กี่ปีๆก็ปัญหาเหมือนเดิม แล้งก็ไม่มีน้ำวัวควายไม่มีอาหาร จากคุณ : ปีกแห่งรัก - [ วันวิสาขบูชา 02:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อืมมมม อ่านมาแล้ว คงหวั่นแม้วันไม่มาก จากคุณ : Lord BoBo Of Sarkhanland - [ วันวิสาขบูชา 02:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เห้ออ กลับเข้ามาดูอีกที ไอ คห แรกๆ เค้าแซวกันน่ะครับ เพระเห็นช่วงนี้ 112 มาแรง ปล. สำนวน คห 46 คุ้นๆ นะครับ ลุงแว่น XD จากคุณ : Artaria EpisodeII - [ วันวิสาขบูชา 03:04:54 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คำถามของ  #66 นี่ประเด็นคลาสสิคเหมือนกัน การจัดการทรัพยากรน้ำ จากคุณ : Loss of Divinity - [ วันวิสาขบูชา 10:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ทำไมต้องไล่ 46 ด้วยครับ ก็ผู้ชมกระทู้เหมือนกัน ไม่เข้าใจว่า น่ารังเกียจตรงไหน... จากคุณ : กระต๊อบน้อย - [ วันวิสาขบูชา 10:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 71 Loss of Divinity ไอ้เนี่ยอะนะ บริสุทธิ์ใจ จากคุณ : กัมม์ - [ วันวิสาขบูชา 11:51:02 ]

ความคิดเห็นที่ 72 กระทู้นี้ได้ข้อมูลเยอะกว่าที่ห้องสมุดเยอะเลย ผมไม่สนหรอกว่าใครบริสุทธิ์ใจหรือไม่ อยากเข้ามาฟังข้อเท็จจริงแบบวิชาการเท่านั้น รำคาญพวกเข้ามาคลั่ง พวกบอกให้ google แบบในห้องสมุด ก็ไม่เห็นด้วยครับ ประเด็นนี้มันกว้างพอที่จะมา discuss ใน webboard มากกว่า เท่าที่อ่านมาในกระทู้นี้ ผมว่าประเด็นที่น่าคุยกันก็คือ - ฝนหลวงไทยนั้น มีอะไรใหม่ - เป็นผลงานของใครบ้าง ทั้งผู้ดำริ และผู้ปฏิบัติการ - มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีข้อเสียใดหรือไม - คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพหรือเปล่า - เทียบกับวิธีชลประทานอื่นๆ แล้ว เป็นอย่างไร มีวิธีที่ดีกว่าไหม หรือว่าควรนำมาใช้ควบคู่กันอย่างไร หลายๆ ข้อที่กล่าวมานี้ ก็มีคนพูดถึงแล้ว และอีกหลายๆข้อก็น่าจะคุยกันเพื่อให้กระจ่างมากขึ้น ย้ำอีกครั้งว่าผมเบื่อพวกเข้ามาคลั่ง คนข้างบนนี่ก็พอเหอะครับ ถ้าจะ defend ก็ข้อให้ defend ด้วยข้อมูลเถอะครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 52 13:09:58 จากคุณ : ikkyu - [ วันวิสาขบูชา 13:04:56 ]

ความคิดเห็นที่ 73 บ๊ะ...หึหึหึ จากคุณ : กัมม์ - [ วันวิสาขบูชา 16:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อ่านคำถามของคนที่แอ๊บแบ๊วไม่บริสุทธิ์ใจมาตั้ง แต่มีคนเอาข้อมูลมาตอบ ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกไม่มากก็น้อย แต่อ่านคำตอบของคนที่ว่าคนอื่นไม่บริสุทธิ์ใจ อ่านแล้วไม่ได้อะไรเลยนอกจากได้รับรู้ว่าเออนายคนนี้จงรักภักดีสุดชีวิต จากคุณ : เพื่ออะไร? (Love,Reba) - [ วันวิสาขบูชา 21:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คห ของท่านกัมม์ กระตุ้นการสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งครับ จากคุณ : กระเพาไก่ไข่ดาว - [ วันวิสาขบูชา 22:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 76 มันอย่างนี้ ผมกับแนวพวกเขา ใส่กันมาเยอะในห้องสมุด ในหลายๆกระทู้ พวกเขาจะสงสัยที่ผมตั้งกระทู้ก็ำไม่แปลก และเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ คำตอบ 2 ห้องมันเลยต่างกันพอสมควร มันก็บ่งบอกอะไรเหมือนกัน พวกที่วิ่งเข้ามาว่าแอ๊บๆ นี่ก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเลย เข้ามาแอ๊บ แอบด่าเนียนๆ แล้วก็จากไป  - -" ทั้งที่ความจริง ประเด็นทางวิทยาศาสตร์มันก็มีความตรงของมันอยู่ หัวข้ออย่าง # 72 ควรที่จะสามารถคุยได้ แต่เผอิญมันดันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่ยิ่งใหญ่ เลยมีปัญหา แล้วเผอิญคนตั้งกระทู้มันคือผม ก็เลยมีปัญหาหนักเข้าไปอีก จากคุณ : Loss of Divinity - [ 9 พ.ค. 52 01:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ กัมม์  ช่วย gump ที่จะคิดด้วยตัวเองหน่อยก็ดีนะครับ  อย่าให้สื่อต่างๆมามีอิทธิพลต่อกระบวนการทางความคิดมากไป XD จากคุณ : Artaria EpisodeII - [ 9 พ.ค. 52 05:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ความคิดเห็นที่ 71 Loss of Divinity ไอ้เนี่ยอะนะ บริสุทธิ์ใจ จากคุณ : กัมม์ คุณกัมม์ คุณนั่นแหละไม่บริสุทธิ์ใจ เคยมีเรื่องอะไรมาก่อนกับ จขกท มันก็เรื่องของคุณ แต่คำถามของ จขกท ไม่ได้ไปลบหลู่ดูหมิ่นอะไรใคร ปล จะจงรักภักดีสุดฤทธิ์สุดเดชยังไงก็แสดงออกให้เหมาะสมหน่อย ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาก็ว่าคุณคลั่งไร้เหตุผล แล้วอาจพลอยทำใ้ห้คนที่คุณรักเสียไปด้วย จากคุณ : Naibruda - [ 10 พ.ค. 52 06:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คุณ กัมม์ เค้าเข้ามาตอบ หรือ เข้ามาอาละวาด ทำไมอะคะ งง นี่มันห้องหว้ากอ มีให้สาบด สาบาน ด้วย จากคุณ : งงกับตัวเอง - [ 10 พ.ค. 52 16:27:56 A:58.9.174.121 X: TicketID:192765 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แอบรู้สึกเหมือนคุณกัมม์ แกมาจากอีกโลกนึงเลย ห้องนี้เค้าคุยเรื่องวิทยาศาสตร์กัน อ่ะ คล้ายๆเห็น ทีเร็กซ์ หรือ พวกซอโรพอส เดินเล่นอยู่โบนันซ่า ยังไงยังงั้น จากคุณ : งงกับตัวเอง - [ 10 พ.ค. 52 16:28:52 A:58.9.174.121 X: TicketID:192765 ]