ความคิดเห็นที่ 1 ต่อ จากคุณ : i.everyday - [ 10 พ.ค. 52 20:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สุดท้าย จากคุณ : i.everyday - [ 10 พ.ค. 52 20:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถูกทุกข้อ เป็นจริง 100% เราต้องแก้ไขตัวเราเองไปทีละข้อ มาดูนิสัยคนชาติอื่นบ้าง ----------------------------------------------------------------------------- อยากรู้นิสัยคนญี่ปุ่นกับคนเยอรมันมากๆๆๆ คนญี่ปุ่นเหรอ อืม โดยพื้นฐานชีวิตพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนๆเรา มีสุขมีทุกข์ปนๆไป สังคมญี่ปุ่นมีคนดีคนเลว ความดีความเลวมันก็มีสาเหตุนานา แล้วก็อยู่ที่ตัวบุคคล เราจะลองคิดๆดูตามประสบการณ์นะ แต่เป็นความคิดความเห็นส่วนตัว ไม่ต้องเห็นด้วยนะ 1 นิยมการแข่งขัน การแข่งขันนำชีวิตเดินหน้า (คนไม่ชอบแข่งก็มี) 2 เก่งการอยู่เป็นกลุ่ม เนื่องจากภัยธรรมชาติมีบ่อย การอยู่กันเป็นกลุ่มมันช่วยเหลือกันได้ดีกว่า อยู่โดดๆเพราะฉะนั้น พวกเขาจะมีเทคนิคความอดทนในการอยู่เป็นกลุ่ม ข้อเสียคือ ถ้าใครเกาะไม่ติดกลุ่มอาจหมายถึงตาย อย่างกรณีเด็กนักเรียน หรือคนทำงานบริษัท ที่ถูกพวกพ้องในกลุ่มกลั่นแกล้ง บางรายทนไม่ไหว ถึงฆ่าตัวตายไปเลย และการชอบอยู่เป็นกลุ่มนี่แหละ มันทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางสังคมวิเคราะห์บ่งว่ามันเป็นเหตุทำให้ พวกเขาขาดผู้นำที่กล้าตัดสินใจ (คำภาษิตญี่ปุ่น เขาว่า ตะปูที่โผล่สูงไปกว่าตะปูตัวอื่น จะถูกตอก) 3 เรื่องหน้าสำคัญ รักษากันมากเหมือนไทยเหมือนจีน สู้เย็บตา 4 ละเอียดละออ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยพลาด พลาดมี แต่ถ้าพลาด จะพยายามแก้ 5 รักพรรคพวก อันนำไปสู่การเล่นพรรคเล่นพวก เหมือนไทยเหมือนจีน 6 เรื่องความรับผิดรับชอบเหมือนไทยเหมือนจีนในส่วนลึก ถ้าหนีได้ก็จะหนี แต่ส่วนใหญ่ดูรับผิดชอบดีกว่าไทยกว่าจีน 7 ความที่เนื้อที่ประเทศน้อย เบียดเสียดแบ่งปันกันอยู่ ส่งผลให้พวกเขาที่ถือความ"เป็นส่วนตัว" สำคัญกว่าไทยกว่าจีน และให้ความสำคัญเรื่องส่วนตัวของคนอื่น (ดูตัวอย่างจากห้องแบบญี่ปุ่นที่กั้นด้วยฝากระดาษ ไม่มีกุญแจ จะเปิดกันพลั้วๆไปเลยเมื่อไรก็ได้ แต่พวกเขาไม่เคยคิดที่จะเปิดถ้าเป็นห้องของอื่น หรือสอดรู้สอดเห็นเรื่องของข้างห้อง) 8 ต่อเนื่องจากข้อ 6 ดูผิวเผิน พวกเขาดูห่างเหิน ดูใจแคบ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก เวลาเกิดอะไรขึ้น พวกเขาช่วยเหลือกันดี เคยเห็นมาแล้วหลายครั้งในรถไฟ เวลามีคนไม่ สบายในรถไฟ พวกเขาจะช่วยกันพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี หรือเวลาเกิดภัยธรรมชาติที่ไหน พวกเขาตั้งกลุ่มอาสาไปให้ความช่วยเหลือทันที 9 นิยมลัทธิติดตามผลประโยชน์เห็นชัด ถ้าวันนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราดีกับเรา ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องการเราแล้ว เรากลาย เป็นมนุษย์ล่องหนได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไอ้ที่เคยทักเราดี ก็ทำไม่เห็นเราได้จนเราอายเชียวแหละ แบบนี่เจอบ่อยจนชิน และปลงอนิจัง 10 จริงใจมี แต่น้อยหน่อย (ต่อเนื่องจากข้อ 9) แค่นี้ก่อนนะวันนี้ เหนื่อย ยังไงๆ เราก็ยังชอบญี่ปุ่นนะ แต่ไม่หลงหรอก ----------------------------------------------------------------------------- รารู้จักคนญี่ปุ่นค่อนข้างสนิทค่ะ มีทั้งเป็นเพื่อนสนิท และ room mate ค่ะ เราว่าคนญี่ปุ่นค่อนข้างมีระเบียบแบบแผนในการใช้ชีวิต มีความคาดหวังต่อตัวเองสูงค่ะ ดูเหมือนปิดกัน เก็บตัว มีกำแพง เข้าไม่ถึง คล้ายๆกันเกือบทุกคน ซึ่งเป็นปกติธรรมชาติของเค้า เรามองว่านั่นอาจเป็นสังคมญี่ปุ่นที่ทำให้เค้าคุ้นเคยกับการคิดคนเดียวทำคนเดียว ซึ่งในทางกลับกันเค้าก็จะให้เกียรติกับความเป็นส่วนตัวของคนอื่นสูงด้วยเช่นกันค่ะ คนญี่ปุ่นมีน้ำใจเหมือนๆ คนไทย ชอบเข้าสังคม และเปิดเผยพอประมาณ แต่เค้าไม่ทราบว่าเค้าจำเป็นต้องเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นด้วยหรือ (หรือมีคนอยากรับฟังเรื่องของเค้า เพราะฉะนั้นถ้าไม่ถามเค้าก็จะไม่บอกค่ะ) สำหรับน้ำใจเค้าก็มีให้ค่ะ เพียงแต่เราคิดว่าสังคมเค้าไม่ได้สอนให้เค้าเป็นคนหยิบยื่นให้ก่อน (หรือเปล่า) แต่ความจริงที่เรารู้จักคือเค้าพร้อมจะหยิบยื่นน้ำใจให้เสมอค่ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะนำเสนอออกมายังไง ^_^ สำหรับคนเยอรมันเคยรู้จักอยู่ 2 คน (ชางน้อยนิดค่ะ) และรู้สึกว่าทั้งสองคนไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าใหร่ ไม่สามารถเอามาเป็นบรรทัดฐานได้ค่ะ ----------------------------------------------------------------------------- อกลักษญ์ของประเทศญี่ปุ่น *ระยะหลังๆมานี้ญี่ปุ่น ติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น แต่ด้วยประชาชนมีเชื้อชาติญี่ปุ่นส่วนใหญ ่(ไม่เหมือนประเทศอมเริกาหรือแคนาดาที่มีชนหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน) ทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนมากมีความคิดปิด ไม่รับความคิดของประเทศอื่นง่ายๆ จึงมีปัญหาขัดแย้งกับชาวต่างชาติเกิดขึ้น *หลังสงครามโลกที่2 เมื่ออเมริกาเข้ามาปกครองญี่ปุ่น ญี่ปุ่นพยายามอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และอื่นๆ ในปัจจุบัน ความคิดทำตามอเมริกา ก็ยังมีหลงเหลืออยู่มาก *คนญี่ปุ่นอยากพูดภาษา อังกฤษให้ได้เก่งๆ (สังเกตจากมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเรียงรายมากมาย รวมถึงรายการสอนภาษาอังกฤษทางทีวี ช่องNHK และ ตำราเรียนภาษาอังกฤษมากมาย) *ข่าวสารข้อมูลมากมายและรวดเร็ว * สามารถหาซื้อสินค้าทุกประเภทได้อย่างง่ายและสะดวก ทั้งทางอินเตอร์เนตออนไลน์ (วัตถุดิบผลิตเกินครึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ) ในขณะเดียวกัน ก็มีของทิ้ง ปริมาณขยะมาก *การเดินทางสะดวกมาก โดยเฉพาะในเมืองโตเกียว เมืองหลวง มีรภไฟและรถไฟใต้ดินที่ต่อกันได้ ไปได้ทุกหนทุกแห่ง มีรถไฟชินคันเซ็นเดินทางข้ามจังหวัด ระยะทางไกลๆในระยะเวลชั่วแป๊บเดียว *คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีความรับผิดชอบต่องานสูงมากและจะทำงานจนถึงเกษียณ *คนญี่่ปุ่นไม่ค่อยแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว *ทำงานกลุ่ม แบบteam workได้ดีมาก *เป็นประเทศที่ปลอดภัย สามารถเดินคนเดียวตอนกลางคืนได้ * ระบบการศึกษาดีมาก มีมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงระดับtop classของโลกหลายแห่ง มาตรฐานการศึกษา โดยเฉพาะ คณะวิศวกรรม แพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ดีไซน์ *มีโรงเรียนกวดวิชา(juku)มากมาย * เประเทศญี่ปุ่นเป็นเกาะ มี4ฤดูด้วยกัน ตลอดทั้งปีมีฝนและพายุ (สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของชาวญี่ปุ่่่่่่่่่่่่่่นมาก เช่นวัฒนธรรมทานอหารตาม4ฤดู) *ประชาชนชาวญี่ปุุ่นส่วใหญ่คิดว่าตนอยู่ในฐานระดับกลางๆ คือมีพอกินพอใช้ แต่ไม่ได้รวยมากมาย *คนญี่ปุ่นชอบอะไรเป็นกลุ่ม *คนญี่ปุ่นหนุ่มสาวหลงไปตามกระแสต่างๆได้ง่าย *ในวันเทศกาลต่างๆ เช่น วันปีใหม่ วันงานBon Odori(เดือน8) Golden Week(ต้นเดือน5) เป็นต้น ประชาชนทุคนจะพร้อมใจหยุดงานพร้อมกัน *คนญี่ปุ่นฮิตอ่านหนังสือการ์ตูน(รวมถึงผู้ใหญ่ด้วย) คาราโอเกะ ปาจิงโกะกันมาก(เกือบทุกสถานีรถไฟ จะมีร้านปาจิงโกะใกล้ๆ) *เด็กๆสมัยใหม่นิยมเล่นเกม *คนส่วนมากไม่นับถิอศาสนาอะไรเป็นพิเศษ *คนญี่ปุ่นตรงต่อเวลาเป็นอย่างมาก * ญี่ปุ่นเป็นสังคมแนวตั้ง คือมีชนชั้น สังเกตจากการใช้คำพูด จะมีการแบ่งระดับต่างๆ เช่นจะใช้ภาษายกย่องพวกเขา(soto) และจะใช้ภาษาถ่อมตัว เมื่อกล่าวถึงพวกเรา(uchi) *มีมาตรฐานเข้มงวดในการให้ผ่านผลิตภัณฑ์ยาหรือเครื่องสำอาง *จำนวนผู้เข้าประกันต่างๆสูง *สังคมที่ใช้บัตรเครดิต *เป็นประเทศที่สงบและอิสระ *ตอนสงครามโลกครั้งที่2 เคยถูกอมเริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ สร้างความเสียหายอย่างมาก ---------------------------------------------------------------------------- คนเยอรมัน มีระเบียบวินัย และ เคารพกฎกติกามาก จำได้ว่า เคยไปเยอมันมาครั้งหนึ่ง ทึ่งมากกับการจ่ายเงินค่าตั๋วโดยสารต่างๆ เช่น รถไฟใต้ดิน รถราง รถเมล์เค้า โดยเราสามารถซื้อตั๋วแถวป้ายได้ หรือ สถานีรถไฟใต้ดินได้อันนี้ไม่ต่างจากบ้านเรา แต่ที่แตกต่างจากบ้านเรา คือ ไม่มีที่กั้นสำหรับสอดบัตรให้ผ่านไป ถ้าคุณไม่มีตั๋วคุณก็สามารถขึ้นรถไฟ หรือรถเมล์ รถรางได้หมด เค้าเชื่อในความสุจริตของประชาชนมาก คุณจะไปซื้อบนรถราง รถเมล์ก็ได้ แล้วเค้าก็มีเครื่องให้คุณเอาตั๋วประทับบนรถระบุสถานีที่คุณขึ้นด้วยตัวเอง นานๆ จะมีนายตรวจมาสุ่มตรวจสักที แต่ถ้าคุณทำเงียบๆ นั่งไป 2 สถานีแล้วไม่จ่าย ก็ไม่มีใครรู้ เพราะตั๋วบางอันเป็นแบบใช้ 1 วัน บางอันเป็นแบบ ไปกลับ ถ้าคุณไม่ให้เครื่องประทับว่าคุณขึ้นที่ไหน เมือ่ไร มันก็เท่ากับยังไม่ได้ใช้ ซึ่งคนที่นั่นเค้าก็เคารพกฎด้วยตัวเค้าเอง เอาตั๋วไปถ้าเป็นบ้านเรา ระบบขนส่งคงเจ๊งแน่ๆ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/06/K5546936/K5546936.html จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:11:10 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านจบ เห็นอย่างเดียว  คือคนไทยไม่มีดีเลยในสายตาของคนๆนี้ เจ้าของบทความเป็นคนทัศนคติลบ จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 10 พ.ค. 52 21:16:29 ]

ความคิดเห็นที่ 5 8 อุปนิสัยคนไทย โดย สุวัฒน์ ทองธนากุล 11 กันยายน 2548 17:02 น. ถ้ามีการเอ่ยถึงลักษณะเฉพาะของคนไทยกันในวงสนทนาหรือวงการประชุม เชื่อว่าเราเคยได้ยินกันหลายมิติ ทั้งที่เป็นการชื่นชม และการกล่าวถึงเชิงประชดก็เคยได้ยินเช่น "ทำอะไรได้ตามใจ คือไทยแท้" หาว่าไม่มีระเบียบวินัย "มาแบบไทย กลับแบบฝรั่ง" หาว่าชอบมาสาย แล้วกลับตรงเวลา ขนาดสภาวิจัยแห่งชาติ ก็ยังเคยสำรวจและประมวลไว้เกี่ยวกับลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทยว่าเป็นดังนี้... รักสงบ เคารพอาวุโส ชอบผู้นำ ทำสำรวย ชอบบันเทิง (สนุกสนาน) จิตใจเอื้ออารี โอนอ่อนผ่อนตาม เชื่อโชคลางของขลัง เชื่อกฎแห่งกรรม เมตตากรุณา ผักชีโรยหน้า มีความเกรงใจ ให้อภัยเสมอ ยอมตามผู้มีอำนาจ ตามใจต่างชาติ รักเอกราช ไม่กระตือรือร้น สุกเอาเผากิน ไม่ยอมให้ใครดูหมิ่น ช่างอดช่างทน เป็นคนใจกว้าง ฉลาดเลือกงาน ทำการมักเบ่ง รักถิ่นและครอบครัว อ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูกตเวที ชอบมีอภิสิทธิ์ เคร่งครัดเคารพแด่พระมหากษัตริย์ ผมนึกถึงข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งบอกลักษณะคนไทยทั้งข้อดีและข้อด้อย ก็เพราะเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดงานมอบรางวัลการประกวดคำขวัญ "อุปนิสัยที่ดี 8 ประการของคนไทย" งานนี้จัดโดยมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี และได้เชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ผลงานคำขวัญชนะเลิศเป็นของคุณอุทัย เถินภู่วิไล ชาวจังหวัดลำปางที่เขียนว่า "ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัดอดทน อ่อนน้อมถ่อมตน มีระเบียบวินัย กตัญญูรู้คุณ รักวัฒนธรรมไทย ชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้ คืออุปนิสัยที่ดีของคนไทยเรา" ที่เป็นคุณลักษณะที่ดีของคนไทยซึ่งมีในสังคมเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนที่มีข้อไม่ดีก็มีอยู่ กิจกรรมการประกวดคำขวัญครั้งนี้ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีจัดขึ้นก็เพื่อส่งเสริมการตลาดให้กับหนังสือแปลของ ดร.สตีเฟ่น อาร์ โควีย์ ที่นำขบวนโด่งดังด้วยหนังสือ "7 Habits for Highly Effective People" ซึ่งมียอดขายไปทั่วโลกแล้วกว่า 15 ล้านเล่ม เดิมสำนักพิมพ์ซีเอ็ดได้ลิขสิทธิ์แปลขายมาหลายปี ตอนนี้ดีเอ็มจีได้ลิขสิทธิ์การแปลใหม่และพิมพ์เป็นเล่มภาคไทยด้วยชื่อ "7 อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง" "...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติของคนไทยทั้งปวง พระองค์ท่านทรงสอนในสิ่งที่พุทธศาสนาสอน นั่นคือ ธรรมะ ทั้งนี้สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างนั้น ลึกซึ้งกว่าที่โควีย์เขียนอีก" "อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โควีย์สอนนั้นถือเป็นทางลัดให้เรานำไปปฏิบัติได้จริง อุปนิสัยสำคัญที่คนไทยควรมีมากที่สุด นั่นคือ การมีสติ เพราะถ้าเรามีสติ อุปนิสัยทั้ง 7 ประการ หรืออีกกี่ประการก็คงยังอยู่กับเรา การมีสตินั้นสำคัญที่สุดเพราะเป็นทางที่นำสู่ปัญญา เราควรจะยึดให้มั่น ครองให้อยู่ และในขณะเดียวกันนิสัยที่ควรละ คืออย่ายึดอัตตาเป็นตัวตั้ง เพราะนำไปสู่ความเห็นแก่ตัว" ดร.สุเมธ กล่าวตอนหนึ่งในงาน ปัญหาท้าทายก็คือ เราได้รับรู้ว่าคุณลักษณะที่ดีซึ่งคนไทยพึงมี การปลูกฝังทัศนคติ และสร้างให้เกิดค่านิยม และวิถีปฏิบัติจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เพื่อคุณภาพของสังคมคุณภาพของประเทศไทยอย่างไร นี่คือโจทย์สำคัญที่รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวัฒนธรรมจะต้องเป็นเจ้าภาพในการสร้างแนวทางการหล่อหลอมเลี้ยงดู ตั้งแต่วัยเด็กรองรับด้วยกระบวนการสอน และหลักสูตรที่เอื้อให้เป็นเช่นนั้น การที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ที่ใช้หนังสือ "7 Habits" ให้นักศึกษาเรียนด้วย เป็นตัวอย่างของการใช้หนังสือดีๆ เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพและคุณธรรม ความจริงการที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มักแนะนำหนังสือดีๆ เพื่อจุดประกายการบริหารที่ดีแก่บรรดาคณะรัฐมนตรีก็เป็นวิธีการในระดับ บริหารซึ่งดูดีอยู่หรอก แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีการไปอ่าน และประยุกต์ใช้งานกันบ้างหรือไม่อย่างไร แต่ในวงการศึกษาที่เกาหลีใต้นั้น ทุกปีจะมีการอบรมครู อาจารย์เพื่อปรับแนวคิด และวิธีการสอนที่ใช้หนังสือเสริมหลักสูตรเล่มนี้ เพื่อความพร้อมในการถ่ายทอดได้สมบทบาท การศึกษายุคใหม่จึงมิใช่มุ่งแค่วิชาตามหลักสูตร และการสร้างจิตสำนึกเพื่อการพัฒนาอุปนิสัย และคุณธรรมก็จำเป็นด้วยสำหรับการสร้างประชากรที่มีคุณภาพ เพราะโลกยุคจากนี้ไปนอกจากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะมีต้นทุนและอุปสรรคที่สูงขึ้น ขณะที่ยังจำเป็นต้องเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทั้งภายใน และภายนอกประเทศ การจะรณรงค์ให้ประหยัด และไม่โกงหรือไม่คอร์รัปชันนั้น ก็เป็นเพียงปลายเหตุแบบวิ่งไล่จับความเลวร้าย จึงต้องปลูกฝังให้รู้ดี รู้ชั่ว และใฝ่ดีในทุกระดับ ทุกวัย และตั้งแต่วัยเด็ก การได้คำขวัญ "อุปนิสัยที่ดี 8 ประการของคนไทย" จึงเป็นการเลือกสรรเฉพาะสิ่งดีงามที่เรามีอยู่ และควรขยายผลสร้างให้เป็นจริงอย่างกว้างขวางมั่นคง เพราะนี่ไม่เพียงน่าภาคภูมิใจในเชิงภาพลักษณ์ แต่จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำมาซึ่งผลงานทุกระดับ ทุกสังคมให้มีคุณภาพและคุณธรรม ปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายและลดลงได้มาก หากสังคมไทยจะมีคนนเก่งที่เป็นคนดีเพิ่มขึ้น จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:16:51 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตะลึง!!! บทวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของคนไทย!!! รากเหง้าของความเจริญและปัญหาทั้งมวลของประเทศไทย!!! โดย ดร.จุรี วิจิตรวาทการ บุคลิกภาพ(Personality) จากกระบวนการทางสังคมทำให้เกิดเป็นบุคลิกภาพ ได้มีการศึกษาของRuth Benedict ได้ ศึกษาCulture and Personality Study ศึกษาลักษณะเด่นของวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดผ่านกระบวนการหล่อหลอมกล่อมเกลาเป็น ลักษณะเด่นทางบุคลิกภาพ โดยศึกษาจากคนญี่ปุ่นพบว่าเกิดลักษณะ 2 ขั้ววัฒนธรรมคือดอกเบญจมาศและซามูไร นั่นคือทำให้คนญี่ปุ่นมีลักษณะด้านหนึ่งสุนทรียภาพ เรียบร้อย เกรงใจคน รักธรรมชาติ ละเอียดอ่อน ละมุนละไม เห็นอกเห็นใจคนอื่น ในขณะอีกขั้วหนึ่งเวลารบจะเหี้ยมโหดเอาจริงเอาจัง เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด จงรักภักดีต่อนาย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อมเริการได้ใช้ความรู้เหล่านี้ตัดสินใจยุติสงครามโดยใช้ความรุนแรงโดยทิ้ง ระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่นเพื่อบีบให้จักรพรรดิยอมแพ้ จะทำให้ทหารญี่ปุ่นยอมแพ้แต่โดยดีเพราะเชื่อฟังจักรพรรดิ ในส่วนของคนไทยเป็นThai culture and behavior พบว่าคนไทยมีวัฒนธรรมแบบกลาง ๆ พอมีพอกิน สบายๆ มีความสุขตามอัตภาพ บุคลิกคนไทยจึง เป็นแบบเฉื่อยๆเนือยๆ เน้นพอมีพอกิน รักสงบ เดินสายกลาง ใจเย็น มีดุลยภาพ จิตใจสงบ ไม่กระตือรือร้น สังคมน่าอยู่เพราะขณะที่ศึกษานั้นไทยมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย สิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ ไม่ได้เข้าสู่วัฒนธรรมบริโภคนิยม ผู้ชายไทยมี สถานภาพเหนือกว่าผู้หญิงแต่จะไม่กดขี่ผู้หญิง ผู้ชายเป็นความหวังของครอบครัว แต่พ่อแม่จะรักลูกสาว เห็นว่าลูกสาวมีค่า และจะให้ของมีค่ามากกว่าลูกชาย เมื่องานวิจัยนี้เผยแพร่จึงทำให้มีคนสนใจเมืองไทยมากขึ้น รูปแบบการวิเคราะห์บุคลิกภาพคนไทย Thai People Personality กลุ่ม Cornell Thailand Project โดย Pro. Herbert Phillips ศึกษาพฤติกรรมของคนที่หมู่บ้านบางชัน มีนบุรี กท.ซึ่งตอนนั้นถือเป็นเขตชนบทของไทย ศึกษาแบบ interdisciplinary study คือการศึกษาแบบสหวิทยาการโดยใช้ 2 เครื่องมือ 1. Nationalitic Observation คือระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ อยู่กับชาวบ้านสังเกตุดูการใช้ชีวิต เปรียบตัวเองเป็น insider 2. Sentence Completion Test คือเครื่องมือทดสอบทางจิตวิทยา วิจัยเชิงปริมาณ โดยการเติมประโยคให้สมบูรณ์ เพื่อจับประเด็นเช่นความกลัว ความกังวล การแก้ไขปัญหา ผู้มีอำนาจ แล้วนำคำตอบมาวิเคราะห์ จนได้สรุปเป็นหนังสือ Thai Person Personality พบว่า 1. คนไทยชอบปฏิสัมพันธ์กัน 2. ชอบความราบรื่นกลมกลืนทางสังคม 3. หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า 4. ไม่แสดงความรู้สึกลึกๆต่อกัน ต่อหน้ากันจะยิ้มให้กันตลอด แต่บอกไม่ได้ว่าคิดอะไร 5. มีความอดทนสูง เก็บความรู้สึกเก่ง 6. ปัจเจกนิยมสูง 7. เกรงใจ 8. รักสนุก 9. ไม่ชอบผูกมัดในระยะยาว ชอบกิจกรรมเฉพาะกิจ ผล คือทำงานร่วมกันได้ ในที่ประชุมไม่ออกเสียงแสดงความคิดเห็น ไม่โต้แย้ง ประหนึ่งว่ายอมรับความคิดเห็น แต่พอทำงานจริงทำไปตามทางของตนเอง ไม่เกิดการทำงานเป็นทีม ภาพรวมของสังคมพบว่า สังคมไทยเป็นโครงสร้างหลวม (Loose structure) โดยJohn Embree ได้ศึกษาผลงานของBenedict จึงเกิดความสนใจศึกษาสังคมไทย เขามีความเห็นว่าที่สังคมไทยมีโครงสร้างสังคมแบบหลวม เพราะมีลักษณะ 4 ประการ คือ 1. มีความเป็นปัจเจกชนนิยมสูง(Individualism) ลักษณะตัวใครตัวมัน อิสระชน ไม่ชอบถูกบังคับ ไม่ค่อยมีวินัย สอดคล้องกับการเลี้ยงดูในวัยเด็ก 2. ไม่ชอบผูกมัด ไม่ชอบวางแผนในระยะยาว ไม่ชอบป้องกันปัญหา เป็นพวกปฏิบัตินิยม ชอบทำงานเฉพาะกิจ ทำให้ไม่มีพลังในการรวมกลุ่มทางสังคมในระยะยาว 3. มีความยืดหยุ่นสูง(Flexibility) เปลี่ยนอะไรได้ง่าย ไม่ชอบป้องกันปัญหาแต่แก้ปัญหาเก่ง แก้ไขสถานการณ์ได้ มีพลวัตร ปรับตัวเก่ง 4. เข้าใจกฎระเบียบและกติกาทางสังคมดี รู้ว่าเป็นหน้าที่ใครแต่มักจะละเมิด แสดงว่าเรามีกระบวนการทางสังคมดี แต่สังคมไม่มีการลงโทษผู้ละเมิด(Low social sanction) การลงโทษทางสังคมไม่เข้มแข็ง เบาบางมาก ไม่จริงจัง ทำให้ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำความดี ความถูกต้อง เช่นการเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นสิ่งที่ดี แต่ลูกที่ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ก็ไม่ถูกสังคมลงโทษและลูกที่ดูแลพ่อแม่ก็ไม่ได้ หมายความว่าจะได้รับความรักหรือการยกย่องมากกว่าลูกที่ไม่ดูแล เป็นลักษณะอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยแล้วแต่กรรมเวร จากการศึกษาพบว่าข้อดีของโครงสร้างสังคมหลวม มีจุดแข็ง ได้แก่ 1. อยู่รอดได้ดี(Survival Value) รู้จักเปลี่ยนท่าที เจรจาต่อรอง ปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ยึด อะไรตายตัว มีความสามารถในการเปลี่ยนทีท่า ทำให้เราไม่เป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ 2. มีบูรณาการทางสังคมสูง(High social integration) จะเห็นจากการมีความแตกต่างด้าน ชาติพันธุ์ ศาสนา ชนชั้นแต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ยอมรับกันได้ ไม่มีปัญหาทางสังคม ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผลกระทบของระบบอุปถัมภ์ต่อสังคมไทย จาก ความสัมพันธ์แบบเป็นส่วนตัว(Personalism) จึงเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัว(Private)มากกว่าส่วนรวม (Public)ทำให้ส่วนรวมอ่อนด้อยลง ขาดความผูกพันทางด้านสาธารณะหรือส่วนรวม การบริหารรัฐกิจจึงทำได้ยากเพราะประชาชนให้ความสนใจร่วมมือน้อย เน้นความเป็นส่วนตัวแต่ขาดจิตวิญญาณสาธารณะ เรื่องส่วนรวมมักจะธุระไม่ใช่ พ้นจากหน้าที่หรือขอบเขตของตนเองถือเป็นเรื่องของคนอื่น แต่ถ้าใครมีบุญคุณต่อตนเองจะไม่ลืม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของคนไทยคนใดคนหนึ่งแต่เป็นสิ่งที่ขัดเกลามาจากสังคมในอดีต ลักษณะดังกล่าวจึงมีผลกระทบต่อสังคมไทย ดังนี้ 1. เป็นการยึดตัวบุคคล ก่อให้เกิดผลพวงที่ตามมาทำให้คนไทยขาด หลักการ อุดมการณ์ เช่นใครที่เคยอุปถัมภ์พ่อแม่พี่น้องเราหรือตัวเรา ถ้าเราอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ พบว่าเขามีอะไรบกพร่องทำไม่ถูกและเป็นหน้าที่เราที่จะต้องลงโทษเขา เราก็จะทำอะไรได้ไม่เต็มที่ หลักการของเราจะอ่อนลง ในที่สุดเมื่อจำเป็นต้องลงโทษจากหนักก็กลายเป็นเบา 2. ทำให้ไม่มีการแยกระหว่างPublicกับPrivate ไม่แยกส่วนรวมกับส่วนตัว ทำให้คนไทยขาดสิ่งที่ เรียก ว่าจิตสาธารณะ(Public mind)และจิตวิญญาณสาธารณะ(Public spirit) คือการคำนึงถึงส่วนรวมในการที่จะมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์ของสังคมเป็นที่ ตั้ง คนไทยเป็นคนดี กตัญญู รักเครือญาติ เพื่อนฝูงพี่น้อง รักเพื่อนร่วมรุ่น รักองค์การของเราเอง แต่อะไรที่นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว ที่ไม่มีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัว เราจะไม่สนใจ เหมือนที่ชาวต่างชาติตั้งข้อสังเกตว่าบ้านคนไทยสะอาดมาก ไม่ว่าจะไปบ้านไหน จะเช็ดถูทำความสะอาดเรียบร้อย แต่ขยะที่อยู่นอกบ้าน ตัวเองทิ้งได้เลยไม่สนใจ การที่จิตสาธารณะอ่อนแอ 3. ระบบอุปถัมภ์ก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคและขาดความยุติธรรมทให้เกิดหลักการหรืออุดมการณ์ที่ไม่ดีของระบบอุปถัมภ์ คือ การ ที่ลูกน้องสนับสนุนนายโดยไม่สนใจว่านายจะผิดหรือถูก ไม่สนหลักการ ขาดความเป็นธรรม ความเสมอภาค ขาดความยุติธรรม ทำให้บั่นทอนความรู้สึกสามัคคีของคนในองค์กร เป็นระบบที่เลือกที่รักมักที่ชัง เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก คนในกลุ่มจะรู้สึกอบอุ่น แต่คนนอกกลุ่มจะรู้สึกว้าเหว่ หมดกำลังใจในการทำงานได้ จึงไม่สามารถจูงใจให้ทุกคนในองค์กรร่วมแรงร่วมใจกันได้ คนที่เข้านายจะได้รับการดูแล คนที่ไม่เข่านายจะถูกผลักออกไปอยู่ชายขอบ เกิดระบบประจบสอพลอ ยกยอปอปั้นนายเกินจริง ต้องเอาอกเอาใจนาย รับใช้นายมากกว่าการทำผลงาน วิธีปรับลดระบบอุปถัมภ์ 1. แก้ที่สาเหตุคือปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมศักดินา 2. ปรับเปลี่ยนค่านิยม สร้างจิตวิญญาณประชาธิปไตยและความเท่าเทียมกัน 3. มุ่งประโยชน์ของคนหมู่มาก 4. เน้นความรู้ความสามารถ,สร้างให้คนมีการศึกษาสูงขึ้น 5. พึ่งตนเอง,สร้างความพึงพอใจในการทำงาน 6. ปรับโครงสร้างการรวมกลุ่มจากแนวดิ่งเป็นแนวราบ 7. สื่อมวลชนควรทำงานในลักษณะที่มีการตรวจสอบได้ 8. นำกฎหมายมาใช้ปฏิบัติอย่างเสมอภาคและการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบต่างๆเข้ามาตรวจสอบ จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:18:39 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 7 วัฒนธรรมและบุคลิกภาพของคนไทย โดยศาสตราจารย์ Ruth Benedict ได้ทำการศึกษาวิจัยญี่ปุ่นก่อนแล้วเลยมาศึกษาสังคมไทยทำการแต่งหนังสือ “ Thai Culture and Behavior ” พบว่า 1. คนไทยเฉย ,เฉื่อยชา 2. คนไทยรักสนุก ,รักสบาย ,และคนไทยใจเย็น 3. คนไทยไม่ทำอะไรรุนแรง 4. คนไทยผู้ชายมักจะเป็นผู้นำ คือจะมีสมรรถนะทางสังคมไม่เท่ากัน พฤติกรรมของคนไทย ทีมงานศาสตราจารย์ Sharp และคณะ Professor Herbert Phillips จากมหาวิทยาลัย Cornell ได้เข้ามาวิจัยชนบทไทยโดยมี คำสิงห์ ศรีนอก (ลาวคำหอม)เป็นผู้ช่วย ทำการศึกษาชนบทไทยที่บางชัน มีนบุรีแล้วพบว่า พฤติกรรมของคนไทยเป็นเช่นนี้ 1. คมไทยชอบมีปฎิสัมพันธ์สูง (Take Pleasure in Social Interaction) 2. สังคมราบเรียบ (Social Harmony) 3. คนไทยไม่ชอบขัดแย้ง ,ไม่ชอบการเผชิญหน้า (Avoid Face – to -Face Conflict) 4. คนไทยใช้เครื่องสำอางทางสังคม (Social Cosmetic) 5. คนไทยเป็นอิสระทางจิต (Psychic Independent) 6. คนไทยเป็นปัจเจกบุคลสูง (High Individual) 7. คนไทยมีความเกรงใจ ไม่ทำการฉีกหน้าคนอื่น 8. คนไทยไม่ชอบผูกพันในระยะยาว ชอบงานเฉพาะกิจ 9. คนไทยรักสนุก ทำให้อารมณ์ดี 10. คนไทยไม่ชอบการวางแผน ชอบเป็นนักปฏิบัติ 11. คนไทยชอบแก้ปัญหา ไม่ชอบป้องกันปัญหา โครงสร้างหลวม (Loose Structure) : John F Embree ได้แรงบันคานใจจากการอ่านหนังสือของ Ruth Benedict จึงได้ทำการวิเคราะห์สังคมไทย และได้เขียนบทความชื่อ “ Thailand The Loosely Structured Social System ” พบว่า 1. คนไทยยืดหยุ่นสูงมาก (Flexibility) 2. คนไทยเข้าใจกฎระเบียบ กติกา แต่ไม่ปฏิบัติตาม ชอบละเมิดและผู้ละเมิดก็ไม่ถูกสังคมลงโทษ 3. คมไทยชอบตามใจตนเองสูง ขาดระเบียบวินัย (Individualism) 4. คนไทยเป็นคนเกรงใจ รักสงบ 5. คนไทยไม่ชอบผูกพันระยะยาว ชอบทำงานเฉพาะกิจ และไม่ชอบทำงานกลุ่ม แต่คนไทยก็อยู่ได้และมีจุดเด่นคือ 1. สามารถอยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเมืองขึ้นใคร (Survival) 2. รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ,ผสมกัน , มีบูรณาการสูง (High Social Integration)  สาเหตุที่คนไทยเชื่อในสังคมหลวมเนื่องจาก 1. คนไทยเชื่อศาสนา คือศาสนาสอนให้เดินสายกลาง (โดยเฉพาะศาสนาพุทธ) 2. คนไทยเชื่อกฎแห่งกรรม (Karmic Energy) ปัจจุบันจะเป็นระบบ อุปถัมภ์ + ศักดินา Structure ของสังคมอาจจะเปลี่ยนไป แต่พฤติกรรม , ค่านิยม , ความเชื่อ เปลี่ยนแปลงช้ากว่า ทำให้ระบบอุปถัมภ์ ยังไม่หมดไปจากสังคมทั่ว ๆ ไป ระบบอุปถัมภ์ ได้ถูกกำหนดให้ยกเลิกไปแล้ว กำหนดให้ใช้ระบบคุณธรรมแทน แต่ในสังคมไทย ระบบอุปถัมภ์ ก็ยังคงอยู่ ระบบอุปถัมภ์เป็นแกนหลักของสังคมไทย 1. ยึดตัวบุคคล 1.1 ขาดหลักการ 1.2 ขาดอุดมการ 2. ไม่แบ่งแยกกันระหว่าง Public + Private 2.1 ขาดจิตรสำนึกต่อส่วนรวม (Public Mind / Spirit) 2.2 ขาดความดีงามของสาธารณะ (Public Good) 2.3 ขาดผลประโยชน์ต่อส่วนรวม (Public Interest) 2.4 ขาดการรับผิดชอบต่อส่วนรวม (Public Responsibility) 2.5 ขาดการตรวจสอบสาธารณะ (Public Accountability) 3. ขาดความเสมอภาค (Social Equity) 4. ขาดความยุติธรรม (Social Justice) 5. ลักษณะของคนไทยชอบเล่นพรรคเล่นพวก / ไม่สามัคคี 6. สามัคคีเฉพาะกลุ่ม ไม่สามัคคีในภาพรวม 7. ประจบสอพลอ จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:19:18 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 8 2.2 ใช้เงินเพื่อเสริมสง่าราศี นักมนุษยวิทยาชื่อดังในอเมริกาคนหนึ่ง ได้ทำงานวิจัยภาคสนามประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลานาน ได้สรุปว่า "คนเอเซียใช้พลังอำนาจเพื่อเสริมราศี หรือหน้าของตนเองในขณะที่ตะวันตกใช้ราศีเพื่อเสริมอำนาจ" ตัวอย่างเช่น คนตะวัน ตกเข้ามาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยเพื่อนำความรู้ไปเป็นเครื่องมือหากิน หากประสบความสำเร็จด้านอาชีพก่อนจบ พวกเขาอาจจะทิ้งการเรียนโดยไม่สนใจปริญญา เพราะคิดว่าได้ความรู้ตามที่ตนต้องการแล้ว วิถีชีวิตเช่นนี้จึงแตกต่างจากคนเอเซีย รวมทั้งประเทศไทย ที่คนไทยอาจทิ้งงานไปเรียนและตั้งใจเรียนให้ได้ปริญญาก่อนจึงจะทำงาน 2.1) ค่านิยมการพึ่งพาคน ส่งผลให้เกิดระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ซึ่งโครงสร้างทางสังคมแบบอุปถัมภ์ หมายถึงการที่เจ้านาย ขุนนาง ผู้มีอำนาจ ทำหน้าที่ดูแล คุ้มครองบ่าวไพร่ ข้าทาสบริวาร โดยบริวารต้องมีความจงรักภักดีเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ในอดีตมีคนไม่ มาก ระบบแบบนี้ก็ดูเหมาะสม ใครมีบริวารมากแสดงว่ามีอำนาจมาก สงครามสมัยก่อนในภูมิภาคนี้จึงเป็นสงครามแย่งชิงประชากร ใครรบชนะก็กวาดต้อนไพร่พลกลับไป ในขณะที่แถวยุโรปจะเป็นสงครามแย่งชิงที่ทำกิน เพื่อเป็นการต้านทางสงครามแย่งชิงประชากร การปกครองแบบมีสายงานบังคับบัญชาจึงเริ่มขึ้น ถึงแม้ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว วัฒนธรรมการจัดความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะลักษณะโครงสร้างแบบ "พรรคพวก" ซึ่งทับซ้อนโครงสร้างความสัมพันธ์แบบใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกติกาใหม่ของสังคมและเป็นโครงสร้างหลวมในสายตาตะวัน ตก กล่าวคือ วัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทย มีผลต่อการเจริญเติบโตทางจินตนาการและสติปัญญาของคนรุ่นใหม่ของสังคมไทยอย่างเลี่ยงไม่พ้น เพราะวัฒนธรรมอำนาจนิยมไม่ส่งเสริมให้คนใช้ความรู้และข้อมูลที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา แต่คนไทยมัก ใช้อารมณ์และสำนึกเพียงผิวเผินในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ผลแบบเบ็ดเสร็จ แต่ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาใหม่ ๆ ขึ้น ในวิถีการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยสมัย ก่อนมักสอนลูกหลานด้วยคำว่า "อย่า" โดยไม่อธิบายเหตุผล ไม่สอนว่าจะให้เด็กทำอย่างไรจึงจะดี เมื่อทำไม่ถูกจะถูกว่ากล่าว ด่า ตี วิธีดังกล่าวทำให้เด็กไม่กล้าคิด ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ไม่กล้าคิดในสิ่งใหม่ http://www.cdd.moi.go.th/jarupong/460814/j460815.htm จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:20:19 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อุปนิสัยที่บอกมานั้น เหมือนมองเหรียญด้านเดียวยังไงชอบกล คนไทยมีข้อเสียเยอะก็จริง แต่ผมว่าก็ต้องมีข้อดีด้วย จากคุณ : Plamany - [ 10 พ.ค. 52 21:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การทำงานแบบไทยไทย ชาวต่างชาติเขามองกันอย่างไร บ้านเราเดี๋ยวนี้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานหลายพันชีวิต พอฝรั่งกับไทยมาเจอกัน ความอลเวงก็เลยเกิดขึ้น เพราะนอกจากภาษาและความเคยชินจะต่างกันชนิดฟ้ากับเหวแล้ว นิสัยการทำงานก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย ฝรั่งจะ นินทาคนไทยว่ายังไรบ้าง มาแอบฟังกันดีกว่า . เคยมีคนสุ่มสัมภาษณ์ฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า: 1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะ ถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้ านก็มี (เจฟฟรีย์ บาร์น) 2. การโต้แย้ง เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า “ขี้เกรงใจ” แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าว หน ้าเท่าที่ควร (ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ) 3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านายได้รู้ และจะไม่กล้า ตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร (ไมเคิล วิดฟิล์ค) 4. ความรับผิดชอบ 4.1 ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่งานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ ควร 4.2 ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก (สเตฟานี จอห์นสัน) 5. วิธีแก้ไขปัญหา คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำ ตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด (ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก) 6. บอกแต่ข่าวดี คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ 6.1 จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา 6.2 จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาๆหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลา ที่รับปากเลย (โจนาธาน ธอมพ์สัน) 7. คำว่า “ไม่เป็นไร” เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหา ก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า “ไม่เป็นไร” มาแก้ปัญญหาแทน (เจนิส อิกนาโรห์) 8. ทักษะในการทำงาน 8.1 ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า 8.2 ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 8.3 พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม (เดวิด กิลเบิร์ก) 9. ความซื่อสัตย์ พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน (เฮเบิร์ก โอ ลิสส์) 10. ระบบพวกพ้อง คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง (มาร์ค โอเนล ฮิวจ์) 11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ อย่างหนึ่งขององค์กร 11.1 ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน 11.2 มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน 11.3 มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที 11.4 ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ 11.5 ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม ่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย (วิลเลี่ยม แมคคินสัน) 12. นับถือระบบอาวุโส คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่ อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเองและโอกาสของบริษัท (เนลสัน ฟอร์ด) จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:21:57 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 11 10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง...ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์ วิกรม กรมดิษฐ์ ออกอากาศทางวิทยุ อสมท. รายการซีอีโอวิชั่น 10-11 มกราคม 2550 [01]คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก กล่าวคือรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวมแต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนานโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้ว ทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อย ๆ [02]การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษาคนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ประเทศอื่น ๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า [03]คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต สะสมความสำเร็จไปอย่างเป็นลำดับ หรือเป็นเพราะไม่กล้าฝัน หรือไม่มีความฝันก็ไม่แน่ใจ และชอบพึ่งสิ่งงมงาย โชคชะตา พอใจทำงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ ทำให้ประสิทธิภาพของเราไม่ทันกับการแข่งขันระดับโลก [04]คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้าหรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจะพบว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จเช่นญี่ปุ่นหรือยุโรป คนเขาจะให้ความสำคัญกับสัญญาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตในการเชื่อถือด้านนี้ลงไปเรื่อย ๆ [05]การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประเทศของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ในต่างประเทศการสร้างนิคมอุสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกลแต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ สนับสนุนเขาก็ลงทุน การสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคจะเป็นประโยชน์ทำให้เป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม [06]การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง สังคมไทยชอบทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง อาจได้ยินกรณีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารก็ตาม จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง [07]สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ และชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัยเมื่อจนตรอก ในวงการเราจะพบกระแสของคนประเภทนี้ปะปนมากขึ้น จะเพราะเป็นเพราะสังคมเรายอมรับ หรือยกย่องคนที่มีอำนาจ มีเงิน แต่ไม่มีใครรู้ภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอดหน้าตาเฉย คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายเสียอีก เพราะทำความเสียหายต่อบ้านเมืองมากกว่า และจะเป็นประเภทดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าจะเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว [08]เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาเพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผลก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดี ๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน [09]คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก เพราะไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเอง ทำให้โลกภายนอกไม่รู้จักคนไทยเท่าที่ควร และการจัดการตัวเองอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลก ของเราขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้เราสู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้ [10]คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้วเขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม คุณวิกรมแสดงความเห็นว่า การอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง หนึ่งภายในครอบครัว สองจากโรงเรียน และสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน ในส่วนนี้พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบเพราะถ้าหากสื่อมวลชนทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรือเพื่ออำนาจต่อรองเท่านั้น และสังคมปราศจากสื่อที่จะทำหน้าที่นำเสนอสาระที่เป็นความจริง โดยไม่มอมเมาบิดเบือนแล้ว เมื่อนั้นสังคมจะวิบัติมากยิ่ง ๆขึ้นอีกต่อไป จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:22:38 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คัดสายพันธุ์ที่ดีเข้าประเทศ วันจันทร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ฤดู ร้อนปีที่แล้ว นักการเมืองเยอรมันได้นำวิจัยลับฉบับหนึ่งมาถกเถียงอภิปรายกันในสภา เพื่อสร้างนโยบายใหม่ให้แก่สหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี วิจัยฉบับนั้นนั่นก็ว่าด้วยเรื่องของผู้อพยพในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เข้ามาทำมาหากินและเข้ามาศึกษาหาความรู้ในเยอรมนี พวก รัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรป เช่น ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ฯลฯ ก็เฝ้าตามความเคลื่อนไหวในพระราชบัญญัตินี้กันอย่างไม่กะพริบตา โดยปกติพระราชบัญญัติต่างๆ ซึ่งทางรัฐสภาเยอรมันคลอดออกมานั้น ประเทศอื่นในยุโรปตะวันตกก็มักจะออกกฎหมายในประเทศของตัวตามกฎหมายของ เยอรมันไปด้วย เพราะรัฐบาลพวกนี้มีความเชื่อถือว่า เยอรมันเป็นชนชาติที่มีวินัยสูง มีวิวัฒนาการทางนิติบัญญัติสูงส่ง จะสร้างกฎหมายใด ไม่มีการออกมาชุ่ยๆ ต้องศึกษาแล้วศึกษาอีก ทั้งในทางลับและทางสว่าง วิจัยลับฉบับนั้น วิเคราะห์กันลึกซึ้งถึงคุณภาพของมนุษย์แต่ละพันธุ์ ที่เข้ามาอยู่ในดินแดนเยอรมันแล้วจำนวนมาก ไม่ว่าจะพันธุ์ยูโกสลาเวีย แอลเบเนีย กรีก ตุรกี ฯลฯ ซึ่งมนุษย์เหล่านี้มักจะไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับของคนเยอรมันนักเท่าไร ถือว่าเป็นสายพันธุ์อ่อน ไม่ฉลาด ผล ของวิจัยนี้ ช่างมีความละม้ายคล้ายคลึงกับวิจัยของฮิตเลอร์ ต่างกันตรงที่ว่า สมัยฮิตเลอร์นั้น ต้องการฆ่าล้างสายพันธุ์มนุษย์ที่ฉลาดเฉลียวเท่าเผ่าพันธุ์ของตัว ส่วนรัฐสภาเยอรมันสมัยนี้ กลับมีวิสัยทัศน์ว่า น่าจะเอาพวกนี้เข้ามาช่วยกันสร้างชาติ ระหว่าง พ.ศ.2484–2488 พวกตำรวจลับเกสตาโป หน่วยเอเอ และหน่วยเอสเอสของไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ซึ่งรับนโยบายทำลายล้างเผ่าพันธุ์ หรือ ฮอล’ละคอสท์ มาจากฮิตเลอร์ ได้เกณฑ์พวกรัสเซีย โปล อูเครน และยิว มาไว้ในค่ายกักกันถึง 26 ล้าน เฉพาะยิวที่เสียชีวิตจากนโยบาย “การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย” มีมากมายถึง 6 ล้าน ทุกวันนี้ รัฐบาลเยอรมันยังทยอยจ่ายค่าเสียหายที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กับพวกรัสเซีย อูเครน และพวกยิว ขณะ นี้มีการศึกษาใหม่ ถ้าจะให้เยอรมนีมีความเจริญต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เยอรมันเพียงพันธุ์เดียวนั้น ไม่สามารถจะนำชาติไปได้ไกลดั่งฝันได้ จะต้องอิมพอร์ตมนุษย์สายพันธุ์อื่นที่ฉลาดเท่ากัน หรือฉลาดกว่าเข้ามาผสม ต้องค่อยๆคัดและอนุญาตให้เข้าประเทศ ปีนี้ผู้อ่านท่านจะเห็นว่า สถานทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีตามประเทศต่างๆ จึงเริ่มเปิด อิมมะเกร’ชัน ดิพาร์ท’มันท์ หรือแผนกที่จะรับต่างชาติเข้าไปปักหลักอยู่ในเยอรมนี แต่ ไม่ใช่เปิดรับทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติภาษานะครับ เยอรมันฉลาดพอที่จะคัดอย่างละเอียดลออ แผนกรับชาวต่างชาติเข้าประเทศในสถานทูตเยอรมันที่ว่านี่ เปิดตามประเทศต่างๆในยุโรปตะวันออกก่อน สถานทูตแรกที่ปฏิบัติตาม กฎหมายของรัฐสภาเยอรมันก็คือ สถานเอกอัครราชทูตเยอรมัน ณ กรุงมอสโก แต่ตามกฎหมายไม่สามารถจะ “แบ่งปฏิบัติ” ได้ ว่าสถานทูตในประเทศนั้นเปิดแผนกรับผู้อพยพได้ สถานทูตในประเทศนี้เปิดรับไม่ได้กระทรวงต่างประเทศเยอรมันก็ฉลาดด้วยการ ประกาศว่า จะเปิดทุกประเทศให้ครบ แต่งบประมาณจำกัด จึงเลือกเปิดเฉพาะบางสถานทูต สถานทูตในบางประเทศอาจจะต้องรอไปก่อน นั่นก็หมายความว่า ทางการเยอรมนีไม่ต้องการผู้คนสายพันธุ์จากประเทศนั้นๆนั่นเอง แม้แต่แผนกนี้ในสถานทูตในกรุงปักกิ่ง ก็ยังถูกเลื่อน ก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะคลอด พวกรัสเซียเข้าสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ยากมาก แต่ปีนี้กลับเปลี่ยน เด็กยุโรปตะวันออกคนไหน ที่ฉลาด อยากเข้าไปเรียนในเยอรมัน ก็ไปได้ไม่ยาก สมัยก่อนเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว กฎหมายเยอรมันอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้อีกเพียง 1 ภาคการศึกษาเท่านั้น แต่กฎหมายใหม่กลับให้สิทธิ์เป็นว่า ถ้าเรียนในเยอรมนีครบ 5 ปี ก็ขอรับสัญชาติเยอรมันได้เลย นักธุรกิจก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้นักธุรกิจรัสเซียเดินเข้าไปในสถานทูตเยอรมันที่กรุงมอสโกได้ง่าย มาก ถ้ามีหลักฐานไปแสดงว่า ผมมีธุรกิจอย่างนี้ ประสบความสำเร็จอย่างนี้ มีความประสงค์จะไปเยอรมนี พวกนี้ได้วีซ่าเข้าออกเยอรมนีได้ไม่จำกัดครั้ง เป็นระยะเวลานานมาก เยอรมันต้องการสมองของพวกรัสเซีย และสมองของพวกที่มีสายพันธุ์ยุโรปตะวันออกอื่นๆ ก่อนครับ กลับ มาดูที่บ้านเรา ที่ยังพอลืมตาอ้าปากเป็นประเทศที่อยู่ในลำดับกลางๆ ของโลกได้ ก็เพราะหลายยุค หรือเกือบทุกสมัย เรามีชาวจีนเข้ามาผสมเปปนคนไทย ทำให้เราเจริญก้าวหน้าทางการค้าพาณิชย์ ปัจจุบัน เราอิมพอร์ตสายพันธุ์พม่า สายพันธุ์เขมรเข้ามาเป็นล้านๆ คน จะเอาสมองของท่านพม่า ท่านเขมร เหล่านี้มาเป็นสมาชิกรัฐสภาไทยในอนาคตกันหรือครับ? ส.ส.และ ส.ว.ทุกวันนี้ ท่านออกกฎหมายฉบับใดมาช่วยปกป้องประเทศชาติกันบ้าง? นิติภูมิ นวรัตน์ [29/7/2545] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:23:55 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความลักชาติ วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ผู้อ่านท่านหนึ่ง บอกว่าตามสามีไปอยู่สหรัฐฯ นานกว่า 10 ปี ตลอดเวลาเจอแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจจากญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของสามี ที่มักพูดจาเหยียดหยามถากถางเธอซึ่งเป็นคนเอเชียอยู่เสมอ เธอพยายามต่อสู้ปกป้องชาติพันธุ์ บางวันต้องยืมความสำเร็จของชนชาติญี่ปุ่นขึ้นสู้ บางทีถึงขนาดต้องไปลากเอาความสำเร็จของเกาหลีมาเข้าเถียงบ้าง ที่สุดก็พัฒนามาเป็นการให้ความสนใจในประเทศทั้งสอง ปัจจุบันเลิกกับสามีฝรั่ง จึงกลับมาอยู่เมืองไทย และสนใจใคร่รู้การบริหารงานสไตล์เอเชีย โดยเฉพาะแบบญี่ปุ่น ท้ายๆ จดหมายบอกว่า อยากให้นิติภูมิเขียนถึงญี่ปุ่นบ้าง ว่าปัจจัยอะไรนำทำญี่ปุ่นให้ไปสู่ความสำเร็จ และพัฒนาตัวเองจากประเทศแพ้สงครามมายืนอยู่แถวหน้าในสังคมโลกได้อย่างงดงาม สิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นพบความสำเร็จ ก็แล้วแต่คนจะมองครับ นิติภูมิมีความรู้เรื่องญี่ปุ่นน้อยมาก แต่ก็อยากจะให้มองไปที่ความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน ที่มีมาตั้งแต่สมัยโตกุกาวา เมื่อญี่ปุ่นเริ่มมีการค้าขายกับชาติตะวันตก รัฐบาล + นักการเมือง + ข้าราชการญี่ปุ่น ก็กินภาษีประชาชนเหมือนของประเทศอื่นๆ แต่ทำงานหนักกว่า พยายามวิ่งเต้นหาตลาดให้เอกชน กำหนดประเภทอุตสาหกรรมที่แข่งขันกับตลาดต่างประเทศ รัฐบาลญี่ปุ่นไม่สุ่มสี่สุ่มห้าบ้าตามประเทศมหาอำนาจ และที่สำคัญก็คือ ไม่ออกกฎหมายขายประเทศ แต่นักการเมืองญี่ปุ่นกลับช่วยกันตราพระราชบัญญัติกีดกันการค้าต่างชาติเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อพิทักษ์รักษาอุตสาหกรรมในประเทศให้พัฒนาเติบโต เมื่อเห็นว่าอุตสาหกรรมภายในเติบโตเข้มแข็งเพียงพอแล้ว ก็จึงยกเลิกกฎหมายที่ว่านี้เสีย ความสามารถในการประสานงานของรัฐบาลและเอกชนญี่ปุ่นที่เห็นมากับตาก็คือ รัฐบาลญี่ปุ่นเทียวไล้เทียวขื่อให้รัฐบาลของประเทศอื่นเปิดการค้าเสรี ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลและสภานิติบัญญัติก็สุมหัวช่วยกันออกกฎหมายกีดกัน ปกป้องกันไม่ให้สินค้าจากต่างชาติเข้าไปตีตลาดญี่ปุ่น ยกเว้นก็เพียงแต่ 1. สินค้าที่ญี่ปุ่นผลิตไม่ได้ 2. สินค้าที่ญี่ปุ่นผลิตได้ไม่พอหรือ 3. สินค้าที่ยากจะแข่งกับสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่น รัฐบาลจึงจะยอมให้สินค้านั้นๆ เข้าไปขายในประเทศญี่ปุ่น วิธีการอย่างนี้ ทำให้ประเทศต่างๆ ไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น อเมริกาเคยลุ้นให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้มแข็ง เพราะต้องการเอาญี่ปุ่นไว้ช่วยต่อต้านโซเวียต สุดท้ายญี่ปุ่นดูเหมือนจะแข็งแรงเกินหน้าเกินตาอเมริกา อเมริกาก็เลยออกกฎหมายกีดกันญี่ปุ่น เอาบ้าง เมื่อถูกกีดกัน ญี่ปุ่นก็ปรับกลยุทธ์ใหม่ ไปตั้งโรงงานผลิตและขายของในประเทศที่กีดกันญี่ปุ่นซะเลย อีกสิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ ก็ต้องเป็นเรื่องความเป็นมนุษย์ “ชาตินิยม” ของผู้คนญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการปลูกฝังมาจากลัทธิ “ขงจื๊อ” เป็นเวลานานกว่า 2 พันปี อเมริกาเคยพยายามล้างสมองคนญี่ปุ่น โดยการโหมโฆษณาชวนเชื่อและให้ทุนเด็กญี่ปุ่นไปเรียนหนังสือในอเมริกา เลี้ยงดูอย่างสุขสบายเพื่อให้หันมานิยมชมชอบการดำเนินชีวิตแบบตะวันตก คิดอย่างตะวันตก ความพยายามของอเมริกาก็สำเร็จเพียงระดับหนึ่ง คือ เด็กนักเรียนทุนพวกนั้นยอมมีบ้าน มีความเป็นอยู่ที่ทันสมัยเหมือนตะวันตก บางทีก็ยอมให้มีวิธีการบริหารงานแบบตะวันตกเล็ดลอดเข้ามาในบริษัทบ้าง แต่นักเรียนญี่ปุ่นเหล่านั้นไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณานิคมทางปัญญา หรือยอมย่อตัวลดชั้นลงมาเป็น “ทาส” เป็น “มือ” เป็น “ไม้” ให้ เพื่อกลับมาทำลายสังคมดั้งเดิมของตนแต่ประการใดอย่างไรไม่ ตรงกันข้าม นักเรียนเก่าอเมริกันเหล่านี้ ต่อหน้าอเมริกันท่านก็ครับๆๆๆ โค้งจนหัวจดพื้น แต่จิตใจของท่านไม่ขายชาติ ปกป้องผืนปฐพีแผ่นดินถิ่นเกิดของบรรพบุรุษด้วยชีวิต ...กำลังเขียนหนังสืออยู่ไม่รู้ว่าลมอะไรวูบมา จะเป็นลมแห่งความคิดถึงซะละกระมัง เพราะตอนนี้ผมคิดถึง คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ท่านรัฐมนตรีคลัง มากทีเดียว ผู้ซึ่งผมคิดว่าท่านมีความลัก เอ๊ย...รักชาติของเรามากอ๊ะเกิน นิติภูมิ นวรัตน์ [26/11/2541] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:31:41 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นิติภูมิ นวรัตน์... ชื่อนี้อีกแล้วเหรอ จากคุณ : ying_aui - [ 10 พ.ค. 52 21:32:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 "ฟังสาวญี่ปุ่นตอบแล้วสะอึกครับ เธอบอกว่าบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผู้หญิงมีหน้าที่เสิร์ฟน้ำชา หรือไม่ก็คอยถ่ายเอกสารให้เจ้านายผู้ชาย ฐานะของผู้หญิงเหมือนไม้ประดับของบริษัท ยิ่งเรียนมาก ก็ยิ่งเป็นสิ่งประดับมีราคา ดั่งสินค้าที่ห่อด้วยกระดาษสวย ก็จะมีโอกาสได้พบผู้ชายที่มีการศึกษา มีความสามารถมีคุณภาพ และมีความจงรักภักดีต่อบริษัท...ความฝันอันสูงสุดของฉัน ก็คือ ได้แต่งงาน แต่งงานแล้วก็จะรีบมีลูก ความสุขคือเวลาที่สามีกลับบ้าน ปรนนิบัติพัดวีสามีและดูแลลูก...คุณเอ๋ย ได้ฟังคนที่เรียนปริญญาสารภาพความในใจว่า แท้จริงแล้วเรียนไปทำไม นิติภูมิอยากจะบ้า วิ่งเอาหัวทิ่มหิมะให้มันตายรู้แล้วรู้รอดไป ถ้าไม่กลัวเสียมารยาท อยากจะบอกว่า ถ้าคิดจะเป็นแค่นี้ หลุดออกมาจากท้องแม่มีชีวิตรอดคลอดเป็นทารก รักษาตัวโตเป็นสาวให้ได้ ไม่ต้องตากหิมะเรียนหนังสือ คุณก็เป็นแม่บ้าน เป็นภรรยาที่ดีได้ แต่เมื่อนึกถึงปลาดิบกับผักที่ภัตตาคารญี่ปุ่น ก็เข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้สมองของคนญี่ปุ่น...การศึกษากับมหาวิทยาลัย เป็นแค่กระดาษห่อของขวัญกับโบสวยๆ ของสังคม เมื่อได้แต่งงาน กระดาษพวกนี้ก็ถูกโยนลงถังขยะทิ้งไป" ----------------------------------------------------------------------------- ใต้สมองคนญี่ปุ่น วันพุธที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ คนไทยชอบเลข 9 บางท่านไม่ชอบเลข 6 เพราะถือว่า 6 ก็คือ หกคะเมนตีลังกา ฝรั่งตะวันตกว่าเลข 13 เป็นเลขไม่ดี นำความหายนะมาให้ เลขโชคร้ายของญี่ปุ่นคือ 4 กับ 9 ครับ เลข 4 ออกเสียงว่า “ชิ” ที่แปลว่าตาย ส่วน 9 ออกเสียงว่า “คิว” แปลว่า เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ในโรงพยาบาลญี่ปุ่นส่วนมากไม่มีห้องเลขที่ 4, 44 และ 99 ตอนนี้ จิตใต้สำนึกของคนญี่ปุ่นกลัวตกงานเป็นอันดับหนึ่ง กลัวล้มละลายเป็นอันดับ 2 ผิดกับสมัยก่อน คนญี่ปุ่นกลัวแผ่นดินไหวเป็น อันดับ 1 ปี 2538 แผ่นดินไหวที่โกเบ คนตาย 6 พัน บ้านพัง 2 แสนหลัง ปี 2466 เกิดที่กันโต สร้างความเสียหายให้แก่โตเกียวกับโยโกฮามามากกว่าระเบิดปรมาณูลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากิรวมกันซะอีก ก่อนหน้าที่เศรษฐกิจฟองสบู่จะแตก นอกจากแผ่นดินไหว สิ่งที่คนญี่ปุ่นกลัวเป็นที่ 2 ก็คือ ฟ้าผ่า ที่ 3 ไฟไหม้ เพราะบ้านญี่ปุ่นส่วนมากสร้างด้วยไม้ ที่ 4 กลัว “พ่อเฒ่า” ในสังคมญี่ปุ่นดั้งเดิม หัวหน้าครอบครัวมีบทบาทเป็นทั้งสามีและพ่อ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในครอบครัว ใครมาขัดความคิดของพ่อเฒ่าไม่ได้ ความคิดอันนี้ขยายไปถึงหัวหน้าแบบอื่น ทำให้ญี่ปุ่นมีบุคลิกภาพกลัวหัวหน้า ไม่ว่าจักรพรรดิ หัวหน้าแก๊งมาเฟีย ท่านผู้อ่านคงจะเคยทราบนะครับ หัวหน้าแก๊งยากูซ่าสั่งให้ลูกน้องตัดนิ้วตัวเอง ลูกน้องก็ยังต้องทำ เท่าที่เคยคบหาเพื่อนนิสิตชาวญี่ปุ่น สังเกตว่าเพื่อนไม่ชอบอะไรที่เป็นทฤษฎี คนญี่ปุ่นชอบรูปแบบมากกว่าประสบการณ์ย้อนหลัง 6 - 7 ปีก่อน อาหารในกรุงมอสโกหายาก หน้าหนาวรัสเซียมีหิมะเยอะ ปลูกอะไรไม่ขึ้น ผักหญ้าราคาแพงมาก บางวันมีลาภปาก เพื่อนญี่ปุ่นชวนไปทานอาหารที่ร้านประจำชาติของตัว พวกสั่งซาชิมิ มีปลาดิบ มีผักต่างๆ ประดับประดาเต็มจาน ญี่ปุ่นจะเลือกทานเฉพาะปลา ส่วนผักทิ้งไว้ยังงั้น ใส่ผักเพียงเพื่อเป็นรูปแบบให้อาหารน่าทาน ไปกี่ครั้งๆ ก็เจอแบบนี้ เรื่องของผู้หญิงก็เหมือนกัน ผมเคยถามเพื่อนๆ ว่า พวกเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย น่ารัก บอบบาง ทำไมต้องดิ้นรนมาเรียนปริญญาในประเทศที่มีแต่ความหนาว จบแล้วจะไปประกอบอาชีพอะไร ฟังสาวญี่ปุ่นตอบแล้วสะอึกครับ เธอบอกว่าบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผู้หญิงมีหน้าที่เสิร์ฟน้ำชา หรือไม่ก็คอยถ่ายเอกสารให้เจ้านายผู้ชาย ฐานะของผู้หญิงเหมือนไม้ประดับของบริษัท ยิ่งเรียนมาก ก็ยิ่งเป็นสิ่งประดับมีราคา ดั่งสินค้าที่ห่อด้วยกระดาษสวย ก็จะมีโอกาสได้พบผู้ชายที่มีการศึกษา มีความสามารถมีคุณภาพ และมีความจงรักภักดีต่อบริษัท...ความฝันอันสูงสุดของฉัน ก็คือ ได้แต่งงาน แต่งงานแล้วก็จะรีบมีลูก ความสุขคือเวลาที่สามีกลับบ้าน ปรนนิบัติพัดวีสามีและดูแลลูก...คุณเอ๋ย ได้ฟังคนที่เรียนปริญญาสารภาพความในใจว่า แท้จริงแล้วเรียนไปทำไม นิติภูมิอยากจะบ้า วิ่งเอาหัวทิ่มหิมะให้มันตายรู้แล้วรู้รอดไป ถ้าไม่กลัวเสียมารยาท อยากจะบอกว่า ถ้าคิดจะเป็นแค่นี้ หลุดออกมาจากท้องแม่มีชีวิตรอดคลอดเป็นทารก รักษาตัวโตเป็นสาวให้ได้ ไม่ต้องตากหิมะเรียนหนังสือ คุณก็เป็นแม่บ้าน เป็นภรรยาที่ดีได้ แต่เมื่อนึกถึงปลาดิบกับผักที่ภัตตาคารญี่ปุ่น ก็เข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้สมองของคนญี่ปุ่น...การศึกษากับมหาวิทยาลัย เป็นแค่กระดาษห่อของขวัญกับโบสวยๆ ของสังคม เมื่อได้แต่งงาน กระดาษพวกนี้ก็ถูกโยนลงถังขยะทิ้งไป เคยได้ยินใครไม่ทราบพูดว่า ผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ต้องมีบ้านฝรั่ง ทานอาหารจีน และมีเมียที่ปรนนิบัติเก่งเหมือนผู้หญิงญี่ปุ่น ขนาดเอาใจสามีเก่งนะครับ พวกผู้ชายยังชอบเที่ยวโสเภณี เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมเจอสถิติของศูนย์ทรัพยากรผู้หญิงเอเชีย - ญี่ปุ่น ที่ออกไปสำรวจผู้ชายญี่ปุ่น 2,500 คน เปิดอกถามกันเลยว่า คุณเที่ยวโสเภณีบ้างหรือเปล่า 46.2% ยอมรับว่าใช้เงินซื้อบริการทางเพศ ตรงนี้ถูกมองว่าสังคมญี่ปุ่นเครียดเกินไป ผู้ชายทำงานต้องการคลายความเครียดจากภาวะการทำงานหนัก ระบบการทำงานในญี่ปุ่นก็สัปดาห์ละ 5 วัน เหมือนบ้านเรา เรื่องหยุดพร่ำเพรื่อด้วยสาเหตุร้อยพันหมื่นแสนประการแบบบ้านเรา คนญี่ปุ่นไม่มี รัฐบาลกลัวว่าประชาชนจะเครียด ก็พยายามประกาศวันหยุดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รู้จักคนญี่ปุ่นมาไม่ กี่ปี ได้ทราบว่ารัฐบาลเพิ่มวันหยุดมา 3 ครั้งแล้วนะครับ ครั้งแรกเป็นวันที่ 23 ธ.ค. หยุดเพราะเป็นวันพระบรมราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิ วันที่ 4 พ.ค. หยุดให้เป็นวันประชากรแห่งชาติ ปี 2537 นิสิตญี่ปุ่นเอามาคุยกันใหญ่ว่า นายโตมิอิชิ มูรายามา นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ลดความบ้างานของพลเมือง โดยประกาศให้วันที่ 20 ก.ย. เป็น “วันมหาสมุทร” โดยให้เริ่มหยุดได้เป็นครั้งแรกในปี 2539 หลายครั้งที่เรามองเศรษฐกิจญี่ปุ่น การเมืองญี่ปุ่น โดยสวมแว่นไทยบ้าง แว่นของสหรัฐฯ ตะวันตกบ้าง อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงเป็นยังงั้น จนมาได้คบเพื่อนญี่ปุ่น เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมบ้างนิดๆ หน่อยๆ พอมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้สมองรางๆ ถึงเข้าใจครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [22/7/2541] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:35:53 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 16 "เพราะสมัยรัฐบาลเอโดได้สร้างกฎระเบียบเป็นพันๆ ข้อ ให้ประชาชนคนญี่ปุ่นยึดถือ ชีวิตเหมือนสูตรคณิตศาสตร์ คนญี่ปุ่นจึงเป็นมนุษย์ที่มี 2 บุคลิกภาพ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไงละครับ ยามปกติก็โค้งเคารพนบนอบกันจนหัวแทบจะจดพื้น แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ ยามมีศึกสงคราม คนญี่ปุ่นก็วางตัวไม่ค่อยถูก โอย...ตื่นเต้น...ทุกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตื่นเต้น โมโหโกรธา บ้าคลั่งรุนแรง โหดร้ายอำมหิต คิดทำอะไรเลยเถิด ซึ่งตรงนี้อธิบายได้ดีกับความโหดของทหารญี่ปุ่นเมื่อรบชนะในต่างประเทศ" ----------------------------------------------------------------------------- 2 บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่น วันพุธที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ยุโรปชาติแรกที่แทรกเข้ามาค้าในญี่ปุ่นคือโปรตุเกส พร้อมกันนั้นก็นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ มีผู้คนสนใจเข้ารีตกันเยอะครับ ไม่ถึง 30 ปี มีคนแห่เข้ารีตไปมากกว่า 1.5 แสน พวกชาวพุทธศาสนานิกายต่างๆ ก็จึงออกมาต้านค้านกันเต็มที่ ผู้นำญี่ปุ่นไม่รังเกียจศาสนาคริสต์ในแง่ของคำสอนนะครับ แต่กลัวภัยในแง่ของการปกครอง เพราะคนญี่ปุ่นที่เป็นคริสตังตั้งตัวภักดีต่อองค์สันตะปาปาที่กรุงโรมมากกว่าผู้นำประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้น ผู้นำก็ยังไม่พอใจพวกมิชชันนารีที่เข้ามาสอนศาสนา ว่าเป็นผู้นำทำการรุกรานและยึดครองทางการทหารไปทั่วเอเชีย ญี่ปุ่นสมัยหนึ่งจึงประกาศห้ามเผยแพร่คริสต์ศาสนา ประชา–ชนคนไหนต้องสงสัยว่าเป็นคริสตัง จะโดนคำสั่งให้ย่ำเท้าไปบนไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ใครไม่กล้า ก็โดนฟันฉับฆ่าทิ้งอย่างทารุณเดี๋ยวนั้น โดนกดขี่มาก ชาวนาเมืองนางาซากิที่ถือคริสต์ จึงขอให้เรือดัตช์ช่วยยิงปืนใหญ่ใส่ทหารญี่ปุ่น ขณะที่ตัวเอง 37,000 คน ก็ใช้กำลังต่อสู้กับรัฐบาลกลาง รบกันได้ 3 เดือน พวกคริสตังถูกฆ่าเกลี้ยง ศาสนาคริสต์จึงหมดไปจากเกาะอาทิตย์อุทัยในสมัยนั้นด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.2181 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นก็ปิดประเทศ ต่อมาโปรตุเกสส่งทูตมาเจรจาขอให้เปิดการค้าขายกัน ทูตเหล่านั้นกลับโดนประหารชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะปอดแหกกลัวศาสนาคริสต์จะเข้ามาในประเทศจนขึ้นสมอง จึงต้องมีคำสั่งห้ามคนญี่ปุ่นออกนอกประเทศ ที่กำลังอยู่เมืองนอกขณะนั้นก็ห้ามกลับมาตุภูมิ ห้ามมีการก่อร่างสร้างเรือขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ค้าขายกับต่างประเทศได้ ผลของการปิดประเทศ 150 ปี มี 1. ญี่ปุ่นล้าหลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. ไม่มีประชากรเพิ่ม คงที่ที่ 30 ล้านคน 3. การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีความปั่นป่วน 4. เปลี่ยนธรรมชาติของคนญี่ปุ่นที่แต่เดิมเป็นพวกชอบรบบู๊สู้ผจญชัย กลายเป็นพวกว่านอนสอนง่าย เชื่อแต่ผู้นำ ฟังแต่คำสั่งจากเบื้องบน เพราะสมัยรัฐบาลเอโดได้สร้างกฎระเบียบเป็นพันๆ ข้อ ให้ประชาชนคนญี่ปุ่นยึดถือ ชีวิตเหมือนสูตรคณิตศาสตร์ คนญี่ปุ่นจึงเป็นมนุษย์ที่มี 2 บุคลิกภาพ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไงละครับ ยามปกติก็โค้งเคารพนบนอบกันจนหัวแทบจะจดพื้น แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ ยามมีศึกสงคราม คนญี่ปุ่นก็วางตัวไม่ค่อยถูก โอย...ตื่นเต้น...ทุกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตื่นเต้น โมโหโกรธา บ้าคลั่งรุนแรง โหดร้ายอำมหิต คิดทำอะไรเลยเถิด ซึ่งตรงนี้อธิบายได้ดีกับความโหดของทหารญี่ปุ่นเมื่อรบชนะในต่างประเทศ ...สังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนให้ความสำคัญกับการเกษตรมาก ถือว่าเกษตรกรรมเท่านั้นที่เป็นแหล่งแห่งที่มาอันแท้จริงของโภคทรัพย์ พวกพ่อค้าถูกจัดให้อยู่ในชนชั้นที่ต่ำสุด ระยะหลังๆ พ่อค้าถึงเริ่มขยับมาเป็นคนชั้นกลาง และได้สร้างอำนาจเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ในสมัยโทคูกาวา ต่อมาอังกฤษ รัสเซีย และอเมริกา พยายามให้เปิดเมืองท่าแต่ญี่ปุ่นไม่ยอม พ.ศ.2396 นายพลเปอร์รี่ของอเมริกาจึงเอาเรือรบมาจอดที่อ่าวโตเกียว ยื่นหนังสือของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สั่งให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ปีหน้าอั๊วะจะมาฟังคำตอบนะเฟ้ย โอย คนญี่ปุ่นตอนนั้น ตัวสั่นอลหม่านไปทุกตรอกซอกประเทศด้วยข่าวเรือรบอเมริกันใหญ่โตมโหฬาร มีปืน แถมแล่นทวนกระแสลมได้ซะด้วย ฝูงชนคนทั้งหลายจึงเรียกไอ้เรือประเภทนี้ว่า “เรือดำ” เรือดำลำนี้ละครับ ที่ทำให้ผู้นำญี่ปุ่นต้องเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเพื่อทูลขอความเห็นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การปกครองของชนชั้นทหารที่ปกครองประเทศมานานถึง 600 ปี พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [14/4/2542] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:37:18 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยว่าจริง แต่ทำไมเลือกมาเฉพาะด้านลบล่ะคะ..... เราเห็นด้านบวกนิดเดียวเอง ตรงข้อ 24 ส่วนใหญ่ด้านลบหมดเลย ขอเพิ่มด้านบวกให้นะคะ 1.คนไทยยิ้มง่าย 2.คนไทยเอื้อเฟื้อ 3.ให้อภัยคนง่าย 4.คนไทยมีอารมณ์ขัน 5.สาวไทยน่ารักที่สุดในเอเชีย เย้ๆ (กว่าสาวเกาหลี และสาวญี่ปุ่น ไม่นับดารานะ ไม่เชื่อไปนั่งดูสาวๆตามถนนสิ) (ข้อ 5 นี่ความเห็นส่วนตัวค่ะ ถ้าขัดหูขัดตาใครขออภัยด้วยค่ะ) 6-7-8-9-10 ให้คนต่อไปช่วยกันคิดค่ะ ข้อที่เราว่าจริงจนถึงปัจจุบัน คือ คนไทยทำงานเป็นทีมไม่ได้ คงเข้ากับข้อที่ว่าไม่ชอบให้ใครเด่นกว่าตัวและรักหน้าค่ะ แต่คนไทยก็ไม่ได้เลวร้ายมากนักหรอก สังคมไหนก็มีทั้งคนดีไม่ดี และคนไทยก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคน แต่ถ้าใครถาม เราภูมิใจที่จะตอบว่า "เป็นคนไทย" ค่ะ (นอกเรื่อง) ปล.เคยได้เพื่อนร่วมชั้นเรียนชาวต่างชาติพูดกับเพื่อนอีกคนว่า เมืองไทยนี่มีอะไรเหรอ จะไปเที่ยวไทยแสดงว่าไปเซ็กส์ทัวร์ละสิ เพื่อนเรา(คนไทย)เลยด่ากลับว่า ชาติเธอหมกมุ่นแต่เรื่องอย่างว่าสินะ สะใจมากกกก จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 10 พ.ค. 52 21:39:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเอเชียไม่ได้ วันอังคารที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ญี่ปุ่นเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชีย ที่ก้าวหน้าเจริญรุดหน้ากว่าใคร สมัยก่อนที่เราไปในต่างประเทศ เมื่อถูกฝรั่งผิวขาวดูหมิ่นดูแคลนในความสามารถ เราก็มักจะอ้างถึงญี่ปุ่น เอาญี่ปุ่นไปเปรียบหรือแม้แต่เอาไปข่มฝรั่งเสมอ แต่ถึงคราวที่จะเอาญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นผู้นำเอเชีย กลับไม่มีใครเห็นด้วย ก็เพราะในอดีตนั้น ญี่ปุ่นได้ทำลายทำร้ายชาติต่างๆในเอเชียไว้เยอะ ลองไปถามจีนดูซีครับ หรือไม่ก็ไปสะกิดถามคนเกาหลีทั้งเหนือ ทั้งใต้ดูก็ได้ จักรวรรดิญี่ปุ่นพยายามที่จะขยายอาณาเขตออกจากหมู่เกาะเป็นเวลานาน ดิ้นรนไปทำสงครามกับเมืองจีน หวังว่าถ้าชนะแล้วจะได้ขึ้นบกซะที ทั้งๆที่ชนะ แต่ก็โดนมหาอำนาจตะวันตกซึ่งอยู่ในเมืองจีนอยู่แล้ว แย่งชิงเอาผลประโยชน์อันนั้นไปซะ จีนนั้นเป็นประเทศหนึ่ง ซึ่งยอมให้ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเอเชียไม่ได้ เพราะความเจ็บช้ำน้ำใจที่ญี่ปุ่นทำไว้ที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ นานกิง ฮันเก้า และกวางตุง ญี่ปุ่นในอดีตนั้นเคยเหิมเกริมถึงขนาดคิดจะสถาปนา “วงไพบูลย์อันยิ่งใหญ่แห่งเอเชียตะวันออก” ก็เพียงเพื่อจะได้ครอบครองดินแดนในเอเชียตะวันออก ที่มีวัตถุดิบมากอย่าง ยางพารา ฝ้าย น้ำมัน และก็อาหาร แต่พอขยับจะเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ ก็ปรากฏว่าประเทศเหล่านี้มีมหา–อำนาจชาติฝรั่งเข้ามาตักตวงผลประโยชน์อยู่ก่อนแล้วเต็มไปหมด ถ้าญี่ปุ่นจะเข้ามา ก็ต้องไล่ให้มหาอำนาจพวกนั้นไปให้หมดซะก่อน ใครจะคิดเล่าครับว่า ญี่ปุ่นจะกล้าเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ววันดีคืนดี ญี่ปุ่นก็ไปลงนามเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี จากนั้นก็ไปเซ็นสัญญาเป็นเพื่อนกับอิตาลี เป็นสัญญาไตรภาคี คือมีสามประเทศที่จะครองโลก ญี่ปุ่นทำร้ายผู้คนแม้แต่ในเกาะไต้หวัน หรือเกาะฟอร์โมซา แล้วก็ส่งกำลังทหาร ยกพลขึ้นบกในฟิลิปปินส์ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะฟอร์โมซาไปเพียง 200 ไมล์ พวกฟิลิปปินส์และอเมริกันซึ่งตอนนั้นยังครองฟิลิปปินส์อยู่ ก็ต้านญี่ปุ่นอย่างหนัก แต่ญี่ปุ่นก็ยกพลบุกกรุงมะนิลาจนได้ ถ้าจะให้ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจผู้นำเอเชีย คนฟิลิปปินส์ที่เคยเจ็บช้ำน้ำใจเพราะชาวญี่ปุ่นก็คงจะไม่ยอม ไทยเองก็โดนญี่ปุ่นบุกเข้ามา ญี่ปุ่นผ่านเข้าไทยและไปมาลายาหรือมาเลเซียทั้งทางรถไฟและทางถนน ยอดปรารถนาของญี่ปุ่นในมาลายา ก็คือยางพารา ญี่ปุ่นอยากเข้าไปครอบครองสวนยางพาราเพราะตอนนั้นญี่ปุ่นขาดยางเป็นอย่างมาก กับสิงคโปร์ ญี่ปุ่นก็ได้เข้าไปทำร้าย เครื่องบินญี่ปุ่นโจมตีทิ้งระเบิดสิงคโปร์อย่างหนัก ที่ญี่ปุ่นอยากได้สิงคโปร์ ก็เพราะต้องการฐานทัพเรือและ กองทัพบกที่คุมทางเข้าออกของช่องแคบมะละกานั่นเองครับ สรุปแล้ว มองไปทางไหนในเอเชีย มีคนไม่ชอบญี่ปุ่นมากกว่าชอบ สำหรับข้อมูลที่ผมเขียนพลาดไปเมื่อวันก่อน และท่านผู้ว่าฯ กทม. คุณสมัคร สุนทรเวช กรุณาเมตตาแก้ไขให้ ก็คือ ญี่ปุ่นส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อเอาเครื่องบินไปโจมตีทิ้งระเบิดอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวา–คม พ.ศ.2484 (วันในเมืองไทยคือวันที่ 8 ธันวาคม) หมู่เกาะที่สำคัญที่สุดในแปซิฟิกซึ่งเป็นมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น ก็คือ หมู่เกาะฮาวาย อันเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือแและเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสหรัฐฯในแปซิฟิก วันก่อนผมเรียนไปว่าญี่ปุ่นไม่จริงใจ ใช้ความเคลื่อนไหวในลักษณะสองหน้า หน้าแรกก็นายโตโจซึ่งตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นนี่แหละ ส่งนายซาบูโระ กรูสุ ให้ไปเป็นทูตสันติภาพกับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันก็ใช้เครื่องบินถึง 360 ลำ บินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน โจมตีทิ้งระเบิดอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ซะจนใช้ไม่ได้ โดยที่ญี่ปุ่นเสียเครื่องบินไป 29 ลำ เรือประจัญบานของอเมริกาจมน้ำทะเลไป 4 ลำ ที่ใช้การไม่ได้เลยมี 4 ลำ เรือรบอื่นๆอีกเป็นสิบๆลำเสียหายใช้รบอีกไม่ได้ เครื่องบินอเมริกันเสียหายไป 349 ลำ ทหารอเมริกันเสียชีวิต 3,581 คน พลเรือนอเมริกันเสียชีวิต 103 คน ญี่ปุ่นใช้เวลาโจมตีเพียง 2 ชั่วโมง กองทัพเรืออเมริกัน ในภาคพื้นแปซิฟิกแทบจะไม่มีอะไรเหลือเลย เอาละ รับใช้แก้ไขข้อมูลไปแล้วนะครับ ผมเขียนเรื่องเพิร์ล ฮาร์เบอร์ มาตั้ง 5 วันแล้ว วันนี้ต้องขอจบซะที ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน สำหรับคืนนี้นิทราราตรีสวัสดิ์ ไปนอนก่อนละครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [3/7/2544] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:40:23 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 19 "เด็กญี่ปุ่นยุคใหม่ต่อต้านพ่อแม่ที่ทำงานหนัก ไม่ชอบวิถีชีวิตแบบบรรพบุรษที่เป็น “เซฉ่ะอิน” ซึ่งหมายถึงพนักงานประจำ เดี๋ยวนี้มีศัพท์ใหม่เกิดในสังคมญี่ปุ่นคือ “ฟูรีต้า” ที่มาจากภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่นว่า ฟรีเทอร์ ซึ่งหมายถึงพวกเสรี" "สมัยก่อนถามเถอะครับว่า หนูอยากเป็นอะไร ไม่ว่าหนูเล็กหนูใหญ่ ใครๆก็ตอบว่า หนูอยากเป็นแพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักบริหาร ฯลฯ สมัยนี้มีแบบสอบถามไปตามสถานศึกษาชั้นมัธยม ผู้อ่านท่านเชื่อไหมครับ? อาชีพยอดฮิตของเยาวชนคนญี่ปุ่น คือ คนขับรถส่งของ เพราะจะได้เที่ยวสถานที่ต่างๆ ไม่จำเจ" ----------------------------------------------------------------------------- โลกที่จะเปลี่ยนไป วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ 08.30–10.30 น. ของวันนี้ นิติภูมิไปโม้เรื่อง “โลกที่จะเปลี่ยนไป” รับใช้น้องๆนักเรียนและชาวปฐมอโศก ที่ปฐมอโศก จ.นครปฐม บุคคลภายนอกก็เข้าฟังได้ครับ โดยปกติผมจะไม่คุยเรื่องสงครามกับคู่สนทนา เว้นแต่ว่าถ้าท่านถามมาก่อน ผมก็จะถามทัศนคติของท่านกลับว่า คิดยังไงกับสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับบิน ลาดิน ญี่ปุ่นหลายท่านยอมรับว่า นี่คือความขัดแย้งทางอารยธรรม แม้หลายคนจะพยายามโกหกตัวเองว่าไม่ได้เกี่ยวพันกับอารยธรรมหรือศาสนาก็ตาม บางท่านขนาดให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นครู–เสดในศตวรรษใหม่ หลายคนตำหนินายกรัฐมนตรีอิตาลีที่ปากเสีย ประกาศว่า วัฒนธรรมตะวันตกสูงกว่าวัฒนธรรมอิสลามมาก นิติภูมิเองก็นึกไม่ถึงครับ คนที่วุฒิภาวะเป็นถึงนายกรัฐมนตรีจากชาติที่ชูตัวเองว่ามีวัฒนธรรมสูงกว่า จะกล้าพูดประโยคที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันต่ำต้อยอย่างนี้ เรื่องวัฒนธรรม อารยธรรมของใครสูงกว่าใคร อยากถามนายกฯอิตาลีว่า ผู้ใดเป็นคนตัดสิน โลกเปลี่ยนทุกวัน วันนี้ชาติท่านเจริญ วันหน้าท่านอาจจะบ้อท่าก็ได้ ดูอย่างญี่ปุ่นซี ตอนเรียนรัฐ–ศาสตร์การทูตที่รามคำแหง ผมชื่นชมระบบ “ชูชินโคะโย” ของญี่ปุ่นมาก ยังจำได้ที่เคยท่องว่า “ชู” หมายถึง จบ ความหมายก็คือ จนสิ้นชีวิต “ชิน” ก็คือ ตัว (คน) ชูชินโคะโย ก็คือ ระบบการจ้างงานตลอดชีวิต ใครได้ทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ก็มั่นใจได้เลยว่า ทำเพียงบริษัทเดียวจนเกษียณ ไม่มีการลาออก บริษัทก็ไม่ไล่ออก เผลอแผล็บเดียว วัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นเปลี่ยนไปซะแล้ว คนรุ่นใหม่ไม่มีใครต้องการทำงานประจำ เดี๋ยวนี้ใครๆก็มุ่งแต่ระบบ “อะรุไบโตะ” ที่แปลว่า “งานชั่วคราว” ภาษาญี่ปุ่นคำนี้แผลงมาจากภาษาเยอรมันว่า Arbeiter ที่หมายถึงการทำงาน เด็กญี่ปุ่นยุคใหม่ต่อต้านพ่อแม่ที่ทำงานหนัก ไม่ชอบวิถีชีวิตแบบบรรพบุรษที่เป็น “เซฉ่ะอิน” ซึ่งหมายถึงพนักงานประจำ เดี๋ยวนี้มีศัพท์ใหม่เกิดในสังคมญี่ปุ่นคือ “ฟูรีต้า” ที่มาจากภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่นว่า ฟรีเทอร์ ซึ่งหมายถึงพวกเสรี ไปญี่ปุ่นคราวนี้ทำให้นึกถึงบีทนิค หรือพวกบีท ที่เป็นกลุ่มหนุ่มสาวที่หันหลังให้สังคมอเมริกันในทศวรรษ 1950 ที่ถือกันว่าเป็นยุคเงียบ พวกนี้เคยเห็นพ่อแม่ซึ่งเป็นคนอเมริกันที่ทำงานหนักจนประสบความสำเร็จ มีเงิน มีวัตถุ แต่ไม่มีจิตวิญญาณ เด็กอเมริกันสมัยนั้นจึงรังเกียจสังคมที่คลั่งไคล้ในวัตถุ พวกนี้ทิ้งวัฒนธรรมเดิม รังเกียจการดูถูก สมเพชพวกตามประเพณีที่ทำตามชาวบ้านจนขาดเอกลักษณ์ของตนเอง พวกบีทของอเมริกาจะไม่ผูกพันอยู่กับอาชีพ แต่จะเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นคนจรจัด เป็นกวี เป็นพวกสิ้นไร้ไม้ตอก เร่ร่อนพเนจรไปทั่ว มีชีวิตอิสระ เจอะอะไรไม่พอใจก็ยินดีสละทิ้งไปง่ายๆ ไม่เสียดาย นิติภูมิอยากจะเรียนว่า ใครอยากจะเป็นหมอดูทำนายอนาคตของญี่ปุ่นภายใน 10–20 ปีข้างหน้า ต้องไปศึกษาพฤติกรรมของพวกบีทนิคในอเมริกาเอามาเทียบ ยอดปรารถนาของเด็กญี่ปุ่นในยุคก่อน ตอนเรียนมัธยมก็อยากจะเข้าโรงเรียนท็อปเท็น เช่น สาธิตมัธยมกักคุเรย์ สาธิตมัธยมโอจะโนะมิซึ สาธิตมัธยมเคโอ สาธิตมัธยมซึคุบะ หรือไม่ก็ อิบิยะ หรือไคเซอิ กักคุเอน เทียบบ้านเราก็คือ เตรียมอุดม สวนกุหลาบ สาธิตจุฬาฯ สาธิตเกษตรฯ สตรีวิทยา บดินทรเดชา ฯลฯ ถึงตอนต่อมหาวิทยาลัย ใครๆก็มุ่งมหาวิทยาลัยดังๆอย่าง โตเกียว เกียวโต เคโอ โอซากา วาเซดะ ทซึคูบะ ฮิโตทซึบาชิ ฯลฯ ก็เหมือนกับจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มหิดล เกษตรศาสตร์ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ ปัจจุบันมีเยาวชนคนจำนวนน้อยลง ที่อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยอย่างว่า ถือว่าการกระทำดังกล่าว ทำให้เสียเอกลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ สมัยก่อนถามเถอะครับว่า หนูอยากเป็นอะไร ไม่ว่าหนูเล็กหนูใหญ่ ใครๆก็ตอบว่า หนูอยากเป็นแพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักบริหาร ฯลฯ สมัยนี้มีแบบสอบถามไปตามสถานศึกษาชั้นมัธยม ผู้อ่านท่านเชื่อไหมครับ? อาชีพยอดฮิตของเยาวชนคนญี่ปุ่น คือ คนขับรถส่งของ เพราะจะได้เที่ยวสถานที่ต่างๆ ไม่จำเจ พ.ศ.2544 เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ความเป็นมหาอำนาจทุกด้านของสหรัฐฯด้อยน้อยศักดิ์ศรีลงไป ในอนาคตไม่ช้าก็จะเป็นชาติธรรมดาสามัญประเทศหนึ่ง สิ่งที่ได้พบเจอในญี่ปุ่นใน พ.ศ.2544 นิติภูมิกิ๊กก๊อกก็ทำนายได้ว่า ในอนาคตไม่ไกล ญี่ปุ่นจะเสียความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกไปแน่ๆ นิติภูมิ นวรัตน์ [1/10/2544] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:42:49 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สมาคมมังกรดำ วันจันทร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ มีคำถามถามว่า ในอดีตที่ย้อนไปไม่ไกลนัก เคยมีกลุ่ม ชุมนุม หรือสมาคมรักชาติใดๆบ้าง เกิดขึ้นในทวีปเอเชียของเรา คำตอบก็คือ มีเยอะครับ แต่จะเอาที่มีอิทธิพลจริงๆ ก็เห็นจะเป็นสมาคมมังกรดำของญี่ปุ่น แต่ก่อนที่จะรับใช้เรื่องสมาคมมังกรดำ ผมขอเล่าเรื่องอาเซียนเพื่อเป็นเกียรติแก่การประชุมนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศกัมพูชา คือการประชุมอาเซียน ขอถือโอกาสนี้ รื้อฟื้นประวัติอาเซียนตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีมารับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพกันซัก 4–5 ย่อหน้า เยาวชนยุคใหม่จะได้ทราบว่า อาเซียนเกิดมายังไง ก่อนหน้าอาเซียน เมื่อ พ.ศ.2504 เรามีสมาคมอาสา ASA หรือปฏิญญาแห่งกรุงเทพฯ ที่เรียกว่าปฏิญญากรุงเทพฯ เพราะลงนามกันที่ประเทศไทย ตอนนั้น มีสมาชิกเพียง 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ตอนที่ตั้งสมาคมอาสา ว่าไปแล้วก็ไม่น่าจะตั้งได้ เพราะสมัยนั้น ประเทศแถบนี้มีแต่เรื่องทะเลาะกัน ยังจำได้ไหมครับ มาเลเซียตั้งสหพันธ์มลายูโดยรวมเอาสิงคโปร์ ซาบาห์ ซาราวัก และบรูไน รวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ฟิลิปปินส์ไม่พอใจ ประกาศเปรี้ยงเลยว่า ซาบาห์บางส่วนเป็นของตน นอกจากนั้น มาเลเซียและอินโดนีเซียก็ยังทะเลาะกันอีนุงตุงนัง ถามว่า อาเซียนที่มีอยู่ทุกวันนี้เป็นฝีมือของใคร ต้องบอกว่าเป็นฝีมือของไทยครับ พอความขัดแย้งเริ่มเบาบางลงแล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยในสมัยนั้น ชวนรัฐมนตรีต่างประเทศอีก 4 ชาติ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาประชุมที่กรุงเทพฯกับบางแสน และก็พร้อมใจกันประกาศปฏิญญาอาเซียน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 หลังจากบรูไน เขมร ลาว ญวน และพม่า อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศ เอาละครับ คราวนี้มาว่ากันถึง สมาคมรักชาติ ที่ผู้อ่านท่านถามมา “มังกรดำ” เคยเป็นชื่อสมาคมของพวกชาตินิยมหัวรุนแรงในญี่ปุ่น มีจุดประสงค์เพื่อจะรวมชาติต่างๆ ในเอเชียให้เป็นเอเชียจริงๆ โดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้นำ สมาคมมังกรดำจะเข้าไปล้มรัฐบาลของชาติต่างๆ ที่นิยมตะวันตก นอกจากนั้น ยังช่วยเหลือคนจน เคยเป็นสมาคมที่มีอิทธิพลมากที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อสหรัฐอเมริกาชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เห็นภัยว่า สมาคมนี้นี่แหละจะเป็นสมาคมที่นำคนเอเชียต่อต้านตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อต้านอเมริกา ประธานาธิบดีสหรัฐฯก็สั่งให้ญี่ปุ่นยกเลิกสมาคมนี้อย่างเด็ดขาด จากนั้นก็สอดส่องสมาคมพวกนี้อย่างละเอียด สมาคมมังกรดำรังเกียจชาวตะวันตก เพราะเห็นว่าคนตะวันตก เป็นพวกป่าเถื่อน จึงต้องการกำจัดอิทธิพลของตะวันตกในญี่ปุ่นและในชาติเอเชียทั้งหลาย แต่สิ่งที่สมาคมมังกรดำพลาดไป ก็คือ ความคิดของสมาชิกในสมาคมเองก็เป็นอันตรายต่อโลก ยิ่งกว่าตะวันตกซะอีก เช่นความเชื่อที่ว่า 1. จักรพรรดิญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าในตำนานโคจิกิ ความเชื่ออย่างนี้ทำให้คนญี่ปุ่น มีความเห็นว่า ญี่ปุ่นควรจะเป็นชาติที่มีสิทธิพิเศษในการปกครองชาติอื่น 2. การขยายอำนาจของญี่ปุ่นเป็นสิ่งถูกต้องและชอบธรรม สมาคมมังกรดำรังเกียจการเมืองแบบตะวันตกที่มีการปกครองแบบรัฐสภา โจมตีพวกเสรีนิยม พวกหัวเอียงซ้าย สมาชิกของสมาคมนี้เรียกร้องให้จักรพรรดิ เป็นศูนย์กลางของการฟื้นฟูประเทศและเป็นจอมทัพ สมาคมนี้มีแนวคิดที่จะให้ญี่ปุ่นปกครองจีนและประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปเอเชียอย่างจริงจังต่อไป แต่การปฏิบัติการของสมาชิกสมาคมมังกรดำ นี่รุนแรงเหลือเกินครับ ใครคนไหนไม่เห็นด้วย หรือมีความคิดที่ไม่เห็นด้วยกับพระจักรพรรดิ ก็จะมีการส่งสายลับไปโจมตี จู่โจมถึงตัว เชื่อไหมครับ ในสมัยหนึ่ง ทหารในกองทัพและชาวนาทั้งประเทศ ต่างก็ยินยอมพร้อมใจกันเป็นสมาชิกสมาคมมังกรดำ ทหารหนุ่มๆ รังเกียจนักการเมืองคอรัปชัน ก็ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปปลิดชีพนักการเมืองชั่วทีละคนสองคน นายกรัฐมนตรีคนดังของญี่ปุ่นก็เคยถูกสมาชิกมังกรดำฆ่าตายมาแล้ว เช่น นายกฯยูโกะ ฮามางูชิ นายกรัฐมนตรีท่านอื่นๆ เช่น นายกฯเรจิโร วากาสึกิ นี่ก็เกือบตาย อย่าคิดตั้งอะไรอย่างนี้ขึ้นมาอีกเลยครับ ช่วยกันสร้างประเทศอย่างสงบสุขดีกว่า นิติภูมิ นวรัตน์ [4/11/2545] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:44:09 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สรุปญี่ปุ่น วันศุกร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อพิจารณาว่าญี่ปุ่นเป็นเกาะ ก็น่าเป็นสังคมปิด ที่ไม่ค่อยรับอารยธรรมจากแผ่นดินอื่น หลังจากศึกษาเรื่องญี่ปุ่นกันอย่างเจาะลึกกลับตรงกันข้ามครับ คือญี่ปุ่นแทบไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ไปเอามาจากอารยธรรมของเพื่อนทั้งนั้น เมื่อเอาเข้ามาแล้วก็นำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นแบบฉบับของตน คำพังเพย หรือพวกคำกลอนสุภาษิตต่างๆ ลองไปดูเถิด ส่วนมากมาจากจีน แม้แต่ตัวอักษร ก็อักษรจีน ท่านคงจะเคยเห็นภาษาเขียนที่เรียกว่า คันจิ ที่เป็นตัวอักษรจีน คงความหมายในภาษาจีน แต่ออกเสียงเป็นสำเนียงญี่ปุ่น ตระเวนญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ก็พอดีกับมีการถล่มตึกเวิลด์เทรด ไปที่ไหนในญี่ปุ่น ผมเจอแต่คนพูดถึง “เทโร” ที่หมายถึง ผู้ก่อการร้าย สืบไปสืบมา อ๋อ มาจากภาษาอังกฤษ Terrorist เท’เรอะริสต์ นี่เอง ไปเอาคำของฝรั่งมาแล้วก็เอามาปรับสนทนากันเรื่องการเมือง ก็ได้ยินผู้ใหญ่ท่านพูดว่า “คูเดตะ” คราวนี้เราผู้น้อยก็รู้โดยอัตโนมัติเลยว่า ต้องมาจากภาษาฝรั่งเศส coup d’etat คูเดทา’ ที่หมายถึง รัฐประหาร ด้านศาสนาก็จากจีน รับมาทั้งขงจื๊อและพุทธลัทธิมหายาน เอามาทั้งสองอย่างเลย แต่เอาไปดัดแปลงจนกระทั่งพระภิกษุสงฆ์ในญี่ปุ่นสามารถมีเมียได้ ทานอาหารเย็นก็ได้ ดื่มสุราก็ได้ ความสำคัญในญี่ปุ่น ไปเน้นที่กลุ่มมากกว่าคน หัวใจของกิจกรรมก็คือกลุ่ม ใครที่ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นต้องทราบหน่อยว่า ญี่ปุ่นไม่ชอบคนที่แสดงทรรศนะแตกต่างจากที่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มคิด ทำให้คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีความเป็นตัวของตัวเอง ทำงานกับญี่ปุ่นก็ต้องสังเกตให้ดีว่า ที่แท้จริงแล้วเจ้านายต้องการอะไร เพราะคนญี่ปุ่นไม่แสดงความรู้สึกจริงๆ ออกมา จะพูดกันอ้อมค้อมหน่อยๆ ญี่ปุ่นทำอะไรตามแบบ เมื่อออกจากบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน จะมีประโยคเฉพาะที่พูดเหมือนกัน ผมตระเวนทานอาหารตามจังหวัดต่างๆของญี่ปุ่น ไม่ว่าเมืองไหน จังหวัดใด ก็อาหารลักษณะเหมือนกันทั้งนั้น เราเข้าไปชี้ก็ทานได้เลย เจ้าของร้านพลิกแพลงไม่เป็น บ้านเรายังมี “เล็กแห้งไม่งอก” คือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำแห้งที่ใช้เส้นเล็กไม่ใส่ถั่วงอก ในญี่ปุ่นสั่งอาหารแบบนี้ไม่ได้ กุ๊กอาจจะตกใจจนประสาทกลับคาครัวแน่ พวกญี่ปุ่นนี่ยึดลัทธิสมบูรณ์แบบเป็นสรณะ ผู้อ่านท่านลองไปเดินทางโดยรถไฟในญี่ปุ่นดูซี ขบวนจะต้องเข้ามาตรงเวลาเป๊ะไม่ขาดไม่เกินเลยแม้แต่หนึ่งนาที ถ้ามาพลาดเพียงแค่ครึ่งนาที ขบวนรถทั้งประเทศจะต้องสับสนอลหม่าน ถ้าผู้ว่าการการรถไฟไปบริหารการเดินรถในญี่ปุ่น มีหวังว่าจะต้องฆ่าตัวตายวันละหลายร้อยรอบเพราะรถไฟไทยนี่ผิดเวลาบ่อยจริงๆ ตลาดญี่ปุ่นเจาะยาก แต่ถ้าใครเจาะได้ละก็เตรียมรวยเถิด สิ่งหนึ่งซึ่งผู้ที่จะส่งสินค้าไปขายญี่ปุ่นต้องตระหนัก ก็คือ ความสมบูรณ์แบบ สินค้าทุกอย่างต้องสมบูรณ์ การควบคุมคุณภาพต้อง 100% บรรจุหีบห่อก็ต้องเนี้ยบ เรื่องส่งตรงเวลานี่ก็สำคัญมาก ใครชอบทานเนื้อ นิติภูมิขอแนะนำเนื้อจากโกเบ ถ้าทานหมูต้องหมูจากนากีตะอากาศของจังหวัดนี้ทำให้หมูมีเนื้อเหมือนแป้งข้าว นุ่มไม่เหนียว ผู้คนก็เลยนิยมเรียกเนื้อหมูจากนากีตะนี่ว่า หมูโมจิ ทราบว่าเฉพาะนากีตะ (บ้านเกิดของอดีต รมว.มากิโกะ ทา–นากะ) มีฟาร์มหมูอยู่ 280 แห่ง ผมและพวกเคยอยากได้งานจึงไปติดต่อกับเจ้าของฟาร์มหมู การจะเจอกับคนเลี้ยงหมูสักคนหนึ่งยังมีรูปแบบที่สมบูรณ์มาก คือต้องไปจ้างนักเจรจาชาวญี่ปุ่นเกิดที่นากีตะ พวกเราต้องเข้าไปถึงฟาร์ม ต้องไปหลายๆครั้ง เพื่อแสดงถึงความตั้งใจ เจ้าของฟาร์มถึงจะเอาข้อเสนอของเราไปเข้าสหกรณ์ผู้เลี้ยงหมู โอย เป็นระบบมาก เรื่องของญี่ปุ่นที่ผมสัมผัสทั้งจากตัวเอง และจากประสบการณ์ของคนอื่นมีเยอะ เล่ากันทั้งเดือนก็ไม่หมด เอาไว้โอกาสหน้าค่อยว่ากันต่อดีกว่าครับ กลับมาจากปากีสถานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยังไม่ค่อยได้ไปรับใช้ด้วยการปราศรัยที่ไหน เอาละ พอหายเหนื่อยแล้วก็ว่ากันต่อ ศุกร์วันนี้ 19.00–20.00 น. เรื่อง “ตะวันออกกลาง” ที่มัสยิดฮะต์มีนา เขตหนองจอก กทม. เสาร์พรุ่งนี้ 19.30–20.30 น. เรื่อง “อัฟกานิสถาน” ที่โรงเรียนอัลอิศราฮียะห์ เขตประเวศ กทม. อาทิตย์วันมะรืนนี้ 21.20–22.20 น. เรื่อง “เปิดฟ้าโลกมุสลิม” ที่โรงเรียนธรรมมิสลาม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี คืนนี้ลาไปก่อน นิทราราตรีสวัสดิ์ แล้วเจอกันจันทร์หน้าครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [8/2/2545] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:45:53 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สังคมเครียด วันอังคารที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ “ผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” ทากายูกิ คาโมชิดะ ผอ.ฝ่ายบุคคลธนาคารชาติเขียน จ.ม.ลาตาย ในอพาร์ตเมนต์ของแม่ เดือนพฤษภาคม นี่เป็นตัวอย่าง จ.ม.ฉบับหนึ่งในจำนวนหลายฉบับของคนญี่ปุ่นที่ฆ่าตัวตายในปีนี้ ญี่ปุ่นมีสังคมที่เครียด ทุกชีวิตอยู่ภายใต้กฎระเบียบ คนเหมือนเครื่องจักร มีแต่งาน งาน และงาน ทั้งชีวิตเกิดมามีแต่การแข่งขัน ลืมตามาดูโลกได้ไม่กี่ปี พ่อแม่เทียวไล้เทียวขื่อยัดลูกให้เข้าโรงเรียนดังๆ สังคม กดดันให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ อย่างโตเกียว เกียวโต โตฮกกุ คิวชิว ฮอกไกโด ฯลฯ การศึกษาญี่ปุ่นมีจุดอ่อนเยอะ หลักสูตรแข็งทื่อ ตรงไป ตรงมา ไม่ว่าสอบไล่ สอบแข่งขัน ข้อสอบมีแต่เน้นแต่ความจำ ไม่สอน ให้เด็กคิด โรงเรียนกวดวิชาขายข้อสอบเก่าประมาณ 500 ล้านเล่มต่อปี แต่คนเข้าสอบท่องไปตอบเหมือนกันหมด จนไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ คนญี่ปุ่นยึดอะไรที่เป็นรูปแบบมากเกินไป ไม่ยืดหยุ่น ฝรั่งมาเมืองไทย ถามเราว่าใครปกครองประเทศไทย นิติภูมิตอบไม่ได้นะครับ ไปอเมริกาถามว่าใครปกครองอเมริกา ฝรั่งก็ตอบไม่ได้ เพราะสังคมยังพอยืดหยุ่นได้ แต่ถ้าถามว่าใครปกครองญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นตอบได้ทันทีเหมือนเป็นสูตรคณิตศาสตร์ ว่า 1. นสพ.อาซาฮีชิมบุน 2. สถานีวิทยุกระจายเสียงเอ็น- เอชเค และ 3. ม.โตเกียว ข้าราชการญี่ปุ่น 4/5 คน จบจาก ม.โตเกียว นายกฯ 14 คน จบจาก ม.โตเกียว นักธุรกิจชั้นนำ 50% ก็จบจาก ม.โตเกียว ปี 2537 มี นร. 9 ขวบ จมน้ำตายในอ่างอาบน้ำที่บ้าน เพราะอ่านหนังสือมากเกินไป เกิดหลับในอ่างอาบน้ำ โถ น่าสงสาร เด็กญี่ปุ่นฆ่าตัวตายปีหนึ่งเป็นจำนวนมาก ด้วยทนแรงกดดัน...ล้า...สู้ในสังคมต่อไปไม่ไหว หลุดออกมาจากท้องแม่ ก็ถูกสอนว่า โตขึ้นต้องเรียนหนังสือให้เก่งนะลูก สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตจะลำบาก ปีที่แล้ว ด.ช. อายุ 13 ปี ใช้มีดแทงครูสอนภาษาอังกฤษซะตาย แค่โดนครูด่าเรื่องมาโรงเรียนสาย เด็กอีกคนหนึ่งแทงตำรวจเพราะอยากได้ปืนมาลองยิงเล่น อีกไม่กี่วันพี่น้องฝาแฝดอายุ 14 ปี แทงแม่บ้านอายุ 58 ปี ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน และก็ไม่สามารถบอกได้ว่าแทงผู้หญิงคนนี้ทำไม เด็กนักเรียนอายุ 14 ปี ใช้ไม้เบสบอลตีพ่อตัวเองตายคามือ วัยรุ่นอายุ 15 ปี อีก 2 คน ช่วยกันฆ่าคนแก่อายุ 69 ปี โดยคิดว่าคนแก่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม คนญี่ปุ่นมี 2 บุคลิกภาพ ยามปกติจะสุภาพเรียบร้อย โค้งเคารพกันจนหัวแทบจดพื้น แต่พอถึงคราวของขึ้น เป็นได้เรื่อง ลุยไม่รู้จักจบ ดูจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้ว่า ญี่ปุ่นน่ะโหดของแท้ขนาดไหน ปกติเด็กญี่ปุ่นเชื่อฟังครูอาจารย์ เช้าขึ้นมาแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย เดินเข้าแถวไปโรงเรียนเป็นระเบียบ แต่พอถึงจุดที่ทนไม่ไหว ทิ้งพฤติกรรมเรียบร้อยมาปล้น ฆ่า ข่มขืน วางเพลิง ฯลฯ ตรงนี้ทำให้นึกถึงสังคมไทย ที่พ่อแม่เห่อเอาลูกเข้าโรงเรียนดังๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกความรู้ความสามารถไม่ถึง เข้าไปแล้วเรียนตามเพื่อนไม่ทันก็เครียด คิดแต่ว่าจะเตรียมลูกเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ สุดท้ายลูกโดดเดี่ยว ชีวิตเครียด เป็นเพื่อนเรียนอยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ กลับแข่งขันจนเป็นศัตรูกัน เด็กๆ ไม่รู้จักสร้างมิตร จิตใจคับแคบ เลิกเรียนแล้วแทนที่จะได้ใช้เวลาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนฝูง กลับต้องโหนรถไปต่อที่โรงเรียนกวดวิชา ชายญี่ปุ่น 3 คน จบการศึกษาอย่างดีจากมหาวิทยาลัย ไต่เต้าจนได้เป็นประธาน 3 บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ นายมาชาอากิ โคบายาชิ อายุ 51 ปี มาซารุ ซูโด และโยชิฮารุ โชจิ สองคนหลังนี่อายุ 49 ปี แต่งตัวด้วยเสื้อกางเกงสีขาว เข้าโรงแรมเขียน จ.ม.ลาตาย ข้อความเหมือนกัน คือ บริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่กำลังแย่ไม่มีเงิน จากนั้นก็แขวนคอตัวเองกับลูกกรงช่องระบายอากาศที่เพดานห้อง ตายพร้อมๆ กัน จากนั้นไม่กี่วันก็มีนักการเมืองใหญ่ฆ่าตัวตาย เดือนพฤษภา-คมปีนี้ ฮิเดโตะ ฮิเดะ มัตซุโมะโตะ มือกีตาร์ของวงเอ็กซ์เจแปน แขวนคอตาย ทำให้แฟนเพลงญี่ปุ่นฆ่าตัวตายตาม บางคนแขวนคอ บางคนกระโดดสะพาน สาวบางรายใช้มีดกรีดข้อมือ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด วัดที่ไว้ศพชื่อวัดซึกิจิ ฮอนกัน-จิ มีวัยรุ่นที่กัดสีผมตามเอกลักษณ์ของวงเอ็กซ์เจแปน 5 หมื่นคน ไปร่วมพิธี ตำรวจต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ตรวจ เพื่อป้องกันเหตุร้าย แหม ถ้าเครียดกันอย่างนี้ ปิดประเทศทำการเกษตร อยู่พอมีพอกินสุขกายสบายใจเลียนแบบประเทศลาวดีกว่าครับ วันนี้ เวลา 09.00 - 17.00 น. คณะกรรมการพัฒนาสตรี จ.มหาสารคาม เชิญ ดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ ดร.ผุสดี ตามไทย และนิติภูมิ ผลัดกันไปพูดเรื่อง “ความจำเป็นของข้อมูลข่าวสาร” ที่ ร.ร.ศรีโกสุมวิทยา อ.โกสุมพิสัย ให้สตรี มหาสารคามฟัง ผมถามผู้เชิญว่า ผู้ชายเข้าฟังได้ไหม เธอกระซิบมาตามสายโทรศัพท์เสียงอายๆ ว่า “ก็ได้ค่ะ” นิติภูมิ นวรัตน์ [21/7/2541] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:48:16 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 23 บทความ โคลนติดล้อ เอาไปเปรียบเทียบได้อีกครับ จากคุณ : สายน้ำตะวันออก - [ 10 พ.ค. 52 21:49:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บทเรียนจากเยอรมัน วันศุกร์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ เคยมีคนถามผมว่า ประเทศไหนในโลกที่เคยทุกข์ทรมานจากเงินเฟ้อมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ผมบอกว่าเยอรมนี ท่านผู้ถามร้องอ๊าย ไม่น่าจะเป็นไปได้น่าคุณนิติภูมิ เพราะเยอรมนีน่ะ เศรษฐกิจแข็งแรงจะตายไป ตอนที่เยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ตอนนั้นสินค้าแพงขึ้นทุกอย่าง ค่าของเงินมาร์กตกต่ำมากที่สุด ตอนที่เงินเริ่มเฟ้ออ่อนๆ นั้น นักวิชาการที่บ้าแต่ทฤษฎี กอดแต่ตำรา แนะนำให้รัฐบาลเยอรมนีพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้มากมายเยอะแยะ และเล่นพิมพ์ออกมาหลายครั้ง พิมพ์ออกมามากจนทุกคนมีเงิน แต่ไม่มีสินค้าขาย คนเยอรมันต้องแย่งอาหารกินกัน ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า ประเทศเยอรมนีที่เศรษฐกิจแข็งโป๊กอยู่ทุกวันนี้นั้น ในต้นศตวรรษปัจจุบันนี่แหละ ขนมปังเคยราคากิโลกรัมละ 427 แสนมาร์ก ท่านไม่ได้ตาฝาดหรอกครับ อ่านว่ากิโลกรัมละสี่แสนสองหมื่นเจ็ดพันมาร์กจริงๆ ส่วนเนยแข็งเคยราคาสูงถึงกิโลกรัมละ... ผมอ่านไม่ถูกละครับ เขียนตัวเลขเต็มๆ รับใช้ไปก็แล้วกัน 5,600,000,000,000,000 มาร์ก หนังสือพิมพ์ฉบับละ 200,000,000,000 มาร์ก แสตมป์ดวงละ 100,000,000,000 มาร์ก ถ้าพูดถึงความทุกข์ของคนเยอรมันที่เพิ่งแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ทุกข์ยิ่งกว่าคนไทยสมัยนี้นัก สิ่งที่ทำให้ประเทศนี้ผ่านช่วงโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มาได้ก็คือ 1. ชาตินิยม 2. วินัยทหาร ทั้ง 2 อย่าง ทำให้รัฐบาลร่วมมือกับประชาชนสู้สงครามเศรษฐกิจด้วยความทรหดอดทน พวกนักข่าวต่างประเทศสมัยนั้น รายงานกลับประเทศว่า ความจนของชาวเยอรมันอยู่ลึก มองเห็นได้ยาก ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วจะไม่รู้สภาพอันแท้จริงเลย แม้แต่ตามถนนหนทางทั่วๆ ไป คนเยอรมันแสดงท่าทียังกับว่า พวกตัวไม่ได้ทุกข์โศกวิปโยคแต่ประการใด เยอรมนีใช้ความสงบ ทำงานหนัก ผู้คนในรัฐบาลไม่วิ่งว่อนไปขอความช่วยเหลือจากประเทศโน้น องค์การนี้ พยายามปิดความลับของตัวเอง กระทรวงการคลังก็ไม่ได้จ้างที่ปรึกษาชาวต่างประเทศเหมือนกระทรวงการคลังของบางชาติ แต่หันมาปรับปรุงจนตัวเองกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่ปี ข้อดีของเยอรมนีก็คือ รัฐบาลของประเทศนี้ไม่ตีโพยตีพาย ข้อเสียก็คือ เมื่อประชาชนช่วยกันฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง รัฐบาลก็นำประเทศเข้าสู่สงครามอีก เป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 จากประเทศที่อ่อนแอที่สุดทางเศรษฐกิจ กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ แข็งแกร่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ของเยอรมนี จนสามารถครองทวีปยุโรปได้เกือบทั้งหมด ขณะนี้ประเทศไทยของเรามีพลเมืองประมาณ 61-62 ล้านคน บางแหล่งข่าวก็บอกว่ามีคนว่างงาน 1.2 ล้านคน บ้างก็บอกว่า 2 ล้านคน หน่วยงานเอกชนบางแห่งบอกว่า ว่างงานตั้ง 3 ล้านคน หลายคนตกใจ บอกว่าโอย เมืองไทยไม่มีอนาคตแล้ว ตอนนั้นเยอรมนีมีประชากรใกล้เคียงกับไทยตอนนี้คือ 62 ล้านคน มีคนตกงานถึง 4 ล้านคน แต่ก็เพราะอาศัยรัฐบาลใช้จิตวิทยาโหมลัทธิชาตินิยมให้ประชาชนสู้ภัยเศรษฐกิจ เยอรมนีเป็นหนี้สงคราม หลังจากมีมือดีไปเจรจาหยุดใช้หนี้สงคราม 1 ปี ทุกอย่างก็เป็นปาฏิหาริย์ดีขึ้น รัฐมนตรีเยอรมันรักชาติดีเหลือเกิน วิ่งงดชำระหนี้กันจนเท้าพลิก ผิดกับรัฐมนตรีบางกลุ่มของบางประเทศนะครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [8/1/2542] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:52:36 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 25 กระทู้ผมนี่ นิติภูมิ นวรัตน์มาเองรึเปล่าครับ เยอะแยะเชียว จากคุณ : จขกท (i.everyday) - [ 10 พ.ค. 52 21:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อิสราเอลได้หัวกะทิยิวจากรัสเซีย วันพุธที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ เสาร์ 23 เมษายน พ.ศ. 2548... มร.เรมอนด์ คาลปักจิ กงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำซีเรีย และคหบดีใหญ่ของซีเรีย, นิติภูมิ นวรัตน์, นักศึกษา และนักธุรกิจไทยที่ไปงาน Rebuild Iraq 2005 ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน จำนวน 15 คน พูดเรื่อง “โอกาสทองของนักธุรกิจไทยในซีเรีย อิรัก เลบานอน จอร์แดน และตุรกี” เวลา 09.00-18.00 น. ที่ชั้น 24 ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ Exim Bank ถนนพหลโยธิน กทม. กาแฟ 2 รอบ อาหารเที่ยง ค่าลงทะเบียน เอกสารรายชื่อนักธุรกิจอิรักหลายร้อยคนที่ต้องการสั่งสินค้า ฯลฯ 1,500 บาท มีเพียง 50 ที่นั่ง โทร. 0-2319-8963 ผู้อ่านท่านครับ 8 จังหวัดภาคตะวันออกของประเทศไทย คือ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง และสระแก้ว รวมกันมีพื้นที่ 36,502.5 ตร.กม. มีพลเมือง 4.35 ล้าน แค่ภาคตะวันออกของไทยยังมีพื้นที่ใหญ่กว่ารัฐอิสราเอล ที่มีพื้นที่เพียง 20,770 ตร.กม. มีพลเมือง 6.3 ล้าน พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นภูเขาเลากาและทะเลทราย แต่ อิสราเอลก็สามารถปลูกพืชผักผลไม้กลางทราย เพื่อส่งไปขายเลี้ยงดูผู้คนในยุโรปได้ทั้งทวีป ขณะนี้อิสราเอลเจริญทางด้านเทคโนโลยีและอาวุธศาสตร์ยิ่งกว่าเก่าหลายเท่า ตอนที่สหภาพโซเวียตแตกเมื่อ พ.ศ. 2534 มีคนยิวจากสาธารณรัฐต่างๆของโซเวียตเดินทาง มาตั้งรกรากในรัฐอิสราเอลมากถึง 5 แสน และจนถึงบัดนี้ก็มีคนยิวรัสเซียอพยพเข้ามาอยู่ในรัฐอิสราเอล รวมแล้วมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่า 20% ของพลเมืองอิสราเอล ยิวรัสเซียพวกนี้ส่วนใหญ่จบแพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ เป็นมันสมองชั้นยอดของรัสเซียทางเคมี ฟิสิกส์ ฯลฯ มีจำนวนไม่น้อยที่มาจากคณะ Mechanics and Mathematics, Bioengineering and Bioinformatics เท่าที่ผมทราบ พวกที่ทำงานในสถาบันวิจัยทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ก็อพยพไปอยู่ในรัฐอิสราเอลกันเยอะ จากคณะอาวุธศาสตร์ก็มาก ผู้คนชนชั้นมันสมองของรัสเซียนยิวจำนวน 1 ล้านคน ที่เคยทำให้สหภาพโซเวียตเป็น มหาอำนาจ ทางอาวุธและทางด้านการศึกษา เมื่อมาอยู่ในรัฐอิสราเอล ผู้อ่านท่านก็พอนึกออกนะครับว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับรัฐเล็กๆ ที่อยู่ดินแดนตะวันออกกลางแห่งนี้ โดยเฉพาะด้านอาวุธ ด้านนิวเคลียร์ ก่อน พ.ศ. 2534 คือ ก่อนที่พวกยิว รัสเซีย จะอพยพเข้ามานี่ รัฐอิสราเอลก็รบชนะประเทศใกล้เคียงอยู่แล้ว ต่อจากนี้เป็นต้นไป เป็นเรื่องที่น่าติดตามว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศรอบๆ ที่มีพรมแดนประชิดติดกับ อิสราเอลอย่างอียิปต์ (266 กม.), จอร์แดน (238 กม.), เลบานอน (79 กม.), ซีเรีย (76 กม.) ฯลฯ คนอิสราเอลไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่อจบชั้น ม.6 อายุถึง 18 ปี ต้อง เกณฑ์ทหารทุกคน ชายเป็นทหารนาน 3 ปี หญิง 2 ปี พ้นจากการเป็นทหารแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตเดินทางท่องไปในประเทศต่างๆอีก 1 ปี แล้วถึงค่อยกลับเข้าไปเรียนหนังสือต่อในชั้นมหาวิทยาลัย นิสิตและนักศึกษาของอิสราเอล ได้เปรียบตรงที่ได้เห็นโลกกว้างก่อนเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่เหมือนในบางประเทศที่มีระบบสอบเทียบ ม.6 สมองของเด็กยังไม่พร้อม แม่พ่อก็ยัดเยียดให้เรียนโน่นเรียนนี่ เรียนมากจนโง่ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางท่านอายุยังไม่ทัน 30 ปี เป็นด็อกเตอร์ด้วย เปิดตำราสอนหนังสือปาวๆ หมดชั่วโมงก็ร่อนเข้าที่พัก เช้ารุ่งขึ้นก็ขับรถมา อ้า เปิดตำรา อ้า สอนอีก วัฏจักรหมุนเวียนไปอย่างนี้จริงๆ ขอโทษเถอะครับ ผมเจอมาแล้ว จบด็อกเตอร์จากสถาบันชั้นดี แต่ไม่ทราบว่าจีนเป็นประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก ในภัตตาคารแห่งหนึ่งชานกรุงเทลอาวีฟ คุณพวงเดือน และคุณณัฐ ยนตรรักษ์ ถูกเชิญขึ้นร้องเพลงไทยบนเวที คุณพวงเดือนแนะนำว่า การทักทายกันแบบไทย คือการนำมือสองข้างมาพนมแล้วพูดคำว่า...ถึงตอนนี้ ลูกค้าชาวอิสราเอลหลายร้อยคนในร้านนั้น ตะโกนพร้อมๆกันว่า “สวัสดี” คุณพ-วงเดือนก็เลยถามว่า ใครเคยไปเมืองไทยมาแล้วบ้าง ผู้อ่านท่านครับ ผู้คนในร้านชานเมืองนั้นมากกว่า 80% ยกมือ สถิติของคนอิสราเอลที่เข้ามาไทยในฐานะนักท่องเที่ยว โอ้โฮ มีมากกว่า 1 แสนต่อปี รัฐเล็กๆที่มีพลเมืองแค่ 6 ล้าน แต่มีนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยมากกว่าแสน มาโดยไม่มีสำนักงานของ ททท.ประจำอยู่ จึงไม่มีการโปรโมตกันจริงจัง จะมีบ้างก็จากการประชาสัมพันธ์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ เท่านั้น นี่ถ้ามี ททท.เข้าไปอยู่ ก็คงจะมากันหลายแสนคนต่อปีทีเดียว นิติภูมิ นวรัตน์ [20/4/2548] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 21:56:53 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 27 วิเคราะห์ยิว วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ .................... .................... คนอิสราเอลมีนิสัยที่เราคนไทยควรเอาเยี่ยงหลายอย่างครับ เช่น ความรักชาติ เคยมีผู้อ่านท่านที่เคารพถามผมว่า มีชนชาติไหนบ้างที่เราควรเอาแบบอย่างทางด้านความรักชาติบ้านเมือง ผมเรียนรับใช้ไปว่า ที่น่าชื่นชมก็คือ คน 4 ย./ญ. 4 ย./ญ. ที่ว่าก็คือ ยิว ญวน ญี่ปุ่น และเยอรมัน โดยเฉพาะคนยิวนี่ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพวกมัธยัสถ์ หรือติดออกจะขี้เหนียวหน่อยๆ แต่พอถึงคราวจ่ายภาษีเพื่อรัฐบาลจะนำไปทำนุบำรุงชาติ คนอิสราเอลยินดีที่จะเสียภาษีรายได้มากกว่าร้อยละ 60 หาสตางค์ได้ 100 เซคเคิ้ล คนยิวได้ใช้จริงๆไม่ถึง 40 เซคเคิ้ล ที่เหลือมอบให้รัฐบาลนำไปใช้พัฒนาประเทศ ในประเทศอิสราเอลไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายเหมือนประเทศในตะวันออกกลางอื่นๆ นํ้ามันก็ไม่มี หรือแม้แต่ทรัพยากรนํ้า อิสราเอลก็ยังต้องทะเลาะกับชาวบ้าน ผู้อ่านคงจะเคยได้ยินข่าวเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วว่า อิสราเอลยิงสถานีเรดาร์ของซีเรียในเลบานอน โดยอิสราเอลอ้างกับโลกว่า เพราะต้องการตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮิซบุลเลาะฮฺ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องการแย่งทรัพยากรนํ้าในทะเลสาบกาลิลี อิสราเอลเหมือนสิงคโปร์ ที่มีปัญหาแม้แต่นํ้าจืด สิงคโปร์เองก็ต้องไปซื้อนํ้าจากมาเลเซีย ทั้งสองประเทศมีนโยบายเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือเก็บภาษีแพงๆ และนำภาษีเหล่านั้นไปปรับปรุงมาตรฐานโรงเรียนและฝึกวิชาชีพ เพื่อขยายแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี ทั้งสองประเทศเล็กๆนี่มีความเชื่อมั่นในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ นิติภูมิ นวรัตน์ [24/4/2546] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 22:00:08 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ยิวนั้นยิวนัก วันพุธที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนที่แล้ว ตอนที่เมืองไทยกำลังเลือกผู้ว่าฯ กทม. ประเทศอิสราเอล ก็กำลังเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ได้เป็นนายกฯนั้น อายุเพิ่งจะ 46 ปี เล่นการเมืองครั้งแรก พ.ศ.2531 ก็ได้เป็น ส.ส จากนั้นอีก 8 ปี ก็มาเป็นนายกรัฐมนตรีซะแล้ว ผู้นำหนุ่มห้าวอย่างนี้น่ากลัวครับ เพราะอิสราเอลนั้นจัดเป็นประเทศที่ไวไฟด้านสงคราม พอรู้ผลเลือกตั้ง ทั้งอาหรับ ทั้งอเมริกา ทั้งโลกเงียบกันไปหมดอยู่พักหนึ่ง คนยิววัยกลางคนเลือกนายเนทันยาฮูเป็นนายกฯ เพราะคิดว่าวัยเหมือนกัน ย่อมมองเห็นปัญหา และทางแก้คล้ายกัน นอกจากนั้นก็เชื่อว่า คนนี้ต้องมีสมองดี จบทั้งสถาปัตย์ และบริหารธุรกิจจาก เอ็มไอที เป็นสถาบันติดอันดับ 1 ใน 10 ของสหรัฐฯ พวกยิวหนุ่มสาวเลือกเนทันยาฮู เพราะพวกนี้อยากได้คนหนุ่ม เอาไปลุยกะอาหรับ ให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่ง คนยิวแก่ๆ ที่สุขุมหน่อยเลือก เนทันยาฮู เพราะแกเคยเป็นผู้ช่วยทูตประจำสหรัฐฯ ตอนหลังไปเป็นทูตประจำสหประชาชาติ พวกนี้เลือกเพราะเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากนักการทูต อาจจะใช้วิธีทางการทูตเข้าไปแก้ไขปัญหาของสงครามกะอาหรับได้ เมื่อวานนี้ ผมเขียน “พาคุณลัดฟ้าไปหายิว” ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ “เปิดฟ้าส่องโลก” ซึ่งอยู่ด้านขวาของหน้านี้ ถ้าคุณชำเลืองไปด้านซ้าย จะเจอคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” ซึ่งคุณยูเรนัส ฉายหนังชื่อ “นิคมยิวก่อเรื่อง” คือนายเนทันยาฮูให้ก่อสร้างที่พักให้ชาวยิวอีก 6,500 ยูนิต ในเขตตะวันออกของนครเยรูซาเลม ประธานาธิบดี ยัสเซอร์ อาราฟัต ของปาเลสไตน์ คนนี้แกออกมาโวยวายไม่อยากให้สร้าง ในอนาคตปาเลสไตน์ก็อยากตั้งประเทศเป็นเอกราชเหมือนกัน และก็อยากได้เยรูซาเลมนี่แหละเป็นเมืองหลวง เมืองเยรูซาเลมนี่มีความสำคัญกับทั้ง 3 ศาสนา ทั้งคริสต์ อิสลาม และยิว มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งศาสนา ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ถ้าจะมองให้ทะลุต้องคุยกันเรื่องศาสนาด้วยถึงจะมัน ศาสนาของยิวนั้นไปอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาคริสต์ตั้งค่อน ถ้าคุณไปดูในคัมภีร์ของศาสนาอิสลาม ก็มีศาสนายิวซ่อนอยู่เยอะเหมือนกัน แต่เนื้อหาและสำนวนอาจจะเพี้ยนไปบ้าง พวกมุสลิมบอกว่า คำสอนของศาสนาของพวกยิวนั้นผิด พระเจ้าจึงประทานมาให้พวกตนใหม่อย่างถูกต้อง เรื่องนี้แหละที่เถียงมาจนทุกวันนี้ เป็นชนวนอย่างหนึ่งทำให้ทะเลาะกันไม่รู้จักเลิก คนยิวกะคนมุสลิมจะเหมือนกัน ก็ตรงที่นำเอาศาสนามาเป็นกฎหมาย ใช้ในชีวิตประจำวันด้วย แต่ของยิวเคร่งกว่าเยอะ พ.ศ.2521 ผมยังเรียนหนังสืออยู่ในออสเตรเลีย ไปเที่ยวที่พักเพื่อนชาวยิว ซึ่งพักอยู่ในโรงแรมที่มียามตรวจหนาแน่นมาก ผมเดาเอาว่าค่าเช่าจะต้องแพงมาก แต่การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เขม็ดแขม่น่าเกลียดครับ ดื่มน้ำเหลือคาแก้ว ยังเอากลับไปเทรวมในขวดใหญ่เอาไว้ดื่มอีก พวกนี้ยอมเสียสตางค์เรื่องที่พักซื้อความปลอดภัย เพราะทั้งโลกมีคนเกลียดยิวเยอะ คนยิวใช้สตางค์ในเรื่องอื่นยังไงนั้น ขอให้คุณนึกถึงคำว่า ยิว ในภาษาไทยเถอะครับ แต่กับชาติเดียวกันเอง ยิวกลับอารีจนเกินเหตุ สมมติชาติหน้าคุณเกิดเป็นยิว ทำงานได้ 10 บาท ต้องบริจาคเข้าศาสนาบำรุงพวกยิวด้วยกัน 1 บาท ยิวกับยิวเป็นหนี้กัน ห้ามทวงกันเด็ดขาด เป็นจนครบ 7 ปี ยังหาเงินมาใช้ไม่ได้ ให้ถือว่ายกหนี้ให้กันไป แต่กับคนต่างชาติอนุญาตให้ทวงได้ จะกี่ร้อยกี่พันปีหนี้ก็ยังอยู่ น่าสงสารผู้หญิงยิว หน้าตาก็สวยๆ ยังกะนางฟ้าทั้งนั้น คนเจ้าชู้ไปเที่ยวอิสราเอล ต้องเอาถุงพลาสติกรองคางไปด้วย น้ำลายหกไหลไปตลอดทาง ตามหลักศาสนาเมื่อผู้หญิงเป็นเมียใครแล้ว ไม่มีสิทธิ์เป็นฝ่ายหย่าทั้งสิ้น ไม่ว่าขอหย่า ฟ้องหย่า หรือหนีไปเฉยๆ ถือว่าบาป แต่ผู้ชาย แฮ่ๆ...เพียงเขียนเป็นหนังสือว่าฉันหย่าเธอแล้วนะ สาเหตุเพราะเธอไม่ดียังงั้น ชั่วยังงี้ เสร็จแล้วก็เรียกผู้หญิงมาหา บอกให้แบมือเอาหนังสือใส่มือเป็นอันว่าพิธีหย่าเสร็จ ถูกต้องตามหลักศาสนาและกฎหมาย จากนั้นให้ไล่ลงกระไดไป ผู้ชายมีเมียใหม่ได้ อ่านตรงนี้แล้ว คุณๆ หลายคนอยากไปเป็นคนยิวกันเยอะ กะว่าจะจบเรื่องยิว กำลังสนุกจบไม่ลงซะแล้ว พรุ่งนี้มาต่อครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [5/3/2540] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 22:04:25 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คนไทยนิสัยไม่ดี น่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้ืหมดใช่หรือไม่ ตอบ เนื่องจากคนไทย มิใช่ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ จึงมีข้อบกพร่องบ้างเป้นธรรมดา อยู่ที่ว่า จะแก้ไขไหม เพราะว่า เมืองไทยดำรงอยู่มาได้ 200 กว่าปี แล้วนะครับ จากคุณ : Ice-man - [ 10 พ.ค. 52 22:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ไทยถอยไกลจาก “ชินเดีย” มากไปทุกที วันพุธที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ พ.ศ. 2534-2540เป็นห้วงช่วงปีที่อินเดียยุ่งยากมากส่วนใหญ่ของปัญหามาจากสงครามอ่าวที่ทำน้ำมันแพงขึ้น อินเดียเอาตัวรอดด้วยการยืมสตางค์จาก ไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกมาใช้.............วิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้อินเดียต้องปฏิรูป ขนานใหญ่ พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)มาถึงพร้อมกับความกลัวเรื่อง Y2K ของผู้คนในโลกไซเบอร์หมดไป จากนั้นเป็นต้นมา อินเดียก็บูมใหญ่ในกิจการซอฟแวร์ บริษัทระดับโลกอย่างเจเนอรัลอิเล็กทริก และอีกมากมายหลายแห่งเร่งเข้าไป ลงทุนในการวิจัยและ พัฒนาในนครบังคาลอร์ เมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะ สาธารณรัฐอินเดีย พ.ศ. 2533 ตลาดหุ้นของจีนเริ่มเปิดทำการในเทศบาลนครช่างไห่ และใน พ.ศ. นี้เองที่ทุนนิยมเข้าไปเปลี่ยนโฉมจีนคอมมิวนิสต์ที่เมืองเสินเจิ้น พ.ศ. 2540 ธนาคารโลกยอมรับแล้วครับว่า จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐ กิจขยายใหญ่โตไวที่สุดในโลก หลังจากจีนได้เขตบริหารพิเศษฮ่องกงกลับมาอยู่ในอ้อมอก หลังจากได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก จีนก็กลายเป็นประเทศทะยานบิน แต่ก่อนง่อนชะไร นิติภูมิไปสอนหนังสือที่ไหนต้องไม่พูดมากถึงความก้าวหน้าของจีนและอินเดียเพราะนิสิตนักศึกษารวมทั้งผู้อ่านท่านผู้ฟังทั่วไปยังรับไม่ได้ บางท่านขนาดหัวเราะเยาะเย้ยผมกันจนฟันกระเด็นออกมานอกปาก ปัจจุบันทุกวันนี้ พ.ศ.2550 เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินครับ ที่เราชาวโลกจะขยับปากสนทนากันถึงเรื่อง ความมั่งคั่งของผู้คนชนที่อาศัยอยู่ในดินแดน ชินเดีย คำนี้มาจากชื่อประเทศของสองประเทศคือ China + India = Chindia สมัยก่อน สำนักข่าวอินเดียและจีนต้องคอยชะแง้แลชะเง้อ เพื่อที่จะ ได้มีโอกาสรายงานข่าวจากเกาะอังกฤษ สมัยนี้ สื่อมวลชน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอังกฤษอย่าง เดอะ ซัน กลับต้องจับจ้องหาจังหวะรายงานการกระดิกพลิกตัวของท่านอภิพญามหาเศรษฐีอินเดียและจีน อย่างเช่น ข่าวของเดอะซันวันนี้ที่รายงานว่า นายมูเกซ อัมบานี ซีอีโอชาวอินเดียของ รีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์ ซื้อเครื่องบินแอร์บัสราคา 2 พัน ล้านบาท เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ 44 ปีให้กับภรรยา ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่า นายอัมบานีคนนี้กำลังสร้างบ้านสูง 27 ชั้นราคา 3.5 หมื่นล้านบาทประสงค์เพื่อเป็นบ้านหลังใหม่ให้สมาชิกในครอบครัว 6 คนและพนักงานอีกมากกว่า 600 คน 26.5 พันล้านปอนด์ ก็ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาทไทย จันทร์วันที่ผ่านมา ปิโตรไชนา ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของจีนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของโลกด้วยมูลค่า 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ถัดมาวันอังคาร หุ้นอาลีบาบาดอทคอม เว็บไซด์ให้บริการซื้อขายผ่าน ออนไลน์ของจีนทำสถิติใหม่ โดยคาดว่าจะดมทุนจาก การทำไอโอพีได้สูงถึง 1.5 พันล้านดอลล่าร์ จันทร์วันที่ผ่านมาเช่นกัน ฉางเอ๋อ ยานโคจรรอบดวงจันทร์ลำแรก ของจีนเข้าสู่วงโคจรดวงจันทร์ได้เป็นผลสำเร็จต่อไปในพ.ศ. 2555 จีนตั้งใจจะส่งยานไร้มนุษย์ไปเก็บก้อนหินบนดวงจันทร์และจะส่งมนุษย์ไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ใน พ.ศ. 2563 ย้อนหลังไปไม่เกิน 10 ปี ทุกทีที่นิติภูมิเขียนถึงความก้าวหน้าของจีนและอินเดีย จะต้องมีจดหมายบ้าง แฟกซ์บ้างหรือแม้แต่จดหมายอิเล็กโทรนิกส์ส่งมากระแหนะกระแหน เหมือนจะตำหนิติเตียนและเยาะเย้ยถากถางว่า ผมเอาความฝันกลางวันกรณีที่จีนและอินเดียจะผงาดโลกมาพูด ข้อทำนายทายทักในลักษณะนี้ มีนักเรียนไทยในซีกตะวันตกจำนวนไม่น้อยรับไม่ได้ ก็ใครจะคิดละครับ ฮ่าๆ ว่าจะมีวันที่มูลค่าตลาดของบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของจีนอย่าง ปิโตรไชน่า จะมีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับหนึ่งบนพื้นพิภพ และแซงมูลค่าตลาดสูงกว่าเอ็กซ์ซอนโมบิลของสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่หยุดนิ่ง ชาติที่เราเคยคิดว่าท่าจะไม่รอดอย่างจีน อินเดีย รัสเซีย เม็กซิโก ฯลฯ กลับพุ่งทะยานไปไม่หยุด ส่วนชาติอย่างเรา ต้องยอมรับว่าก้าวผิด ทุกวันนี้จึงอยู่หลังเพื่อน เดิมผมคิดว่าเราอยู่หลังเพื่อนเพียงนิดหน่อย กลับจากอินเดียและญี่ปุ่นครั้งนี้ นิติภูมิสุขภาพไม่ดี ก็จึงมีเวลาว่างนิดหน่อยเพื่อดูแลตัวเองเวลานิ่งๆทำให้ได้สติในการพิจารณาปัญหาทั้งของไทยและของโลก ต้องยอมรับครับว่าไทยเราก้าวถอยไปไกลมากกว่าที่ผมเคยคิดเยอะ. [7/11/2550] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 22:07:07 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คนอินเดียสองเผ่าพันธุ์ วันศุกร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๗ ผู้ปกครองท่านหนึ่งสนใจจะส่งลูกหลานไปเรียนโรงเรียนกินนอนชั้นมัธยมที่สาธารณรัฐอินเดีย ท่านถามมาว่า บางโรงเรียนก็อยู่ตอนเหนือ บางโรงเรียนก็โฆษณาว่าอยู่ทางตอนใต้ อยากถามว่าตอนเหนือกับตอนใต้ของอินเดียต่างกันยังไงคะ? ผู้อ่านท่านผู้ถามครับ อินเดียเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมากก็จึงมีความแตกต่างกันมากมายหลายอย่าง อย่างแรกเลยก็คือ ต่างกันที่เรื่องของ “คน” คนอินเดียทางภาคเหนือเป็นพวกอารยัน ส่วนอินเดียทางใต้เป็นพวกดราวิเดียน อธิบายทีละสองเผ่าพันธุ์ไม่ไหวหรอกดอกครับ ขอรับใช้เรื่องของพวกดราวิเดียนก่อน คนอินเดียส่วนใหญ่จะใช้ภาษาฮินดี แต่พวกดราวิเดียนเคยมีขบวนการต่อต้านวัฒนธรรมรวมทั้งประเทศ ด้วยการไม่ยอมใช้ภาษาฮินดี หันไปใช้ภาษาทมิฬแทน ผู้อ่านท่านที่เคารพก็คงจะเคยทราบว่า ในอินเดียนั้นมีการแบ่งชั้นวรรณะมากมายหลายวรรณะ เป็นเวลาสี่ห้าพันปีที่ผู้คนเชื่อระบบวรรณะมาตลอด ต่อมาเมื่อมีสถาบันการศึกษาระดับต่างๆ โควตาการเข้ามหาวิทยาลัยและการเข้ารับราชการก็ขึ้นอยู่กับระบบวรรณะ พวกดราวิเดียนเป็นฝ่ายวรรณะต่ำเสียเปรียบ ก็จึงไม่พอใจ ดราวิเดียนนี่เป็นพวกคนอินเดียผิวดำ ตัวเล็กๆ ผมหงิกนิดหน่อยพวกนี้เป็นเจ้าของแผ่นดินในชมพูทวีปก่อนที่พวกอารยันจะเข้ามา ส่วนพวกอารยันเป็นคนผิวขาว ร่างกายสูงใหญ่ จมูกโด่ง แรกเริ่มเดิมทีเมื่อหลายพันปีที่แล้ว พวกนี้อาศัยอยู่แถวทะเลสาบแคสเปียน บางพวกก็อพยพขึ้นไปยุโรป บางพวกก็เคลื่อนไปอยู่ในเปอร์เซีย พวกที่กล้าเดินทางไกลก็เข้าไปที่อัฟกานิสถานแล้วก็เคลื่อนข้ามเทือกเขาไคเบอร์มายังชมพูทวีป มาถึงก็จัดการไล่พวกดราวิเดียนจนต้องถอยร่นลงไปทางใต้เรื่อยๆ วรรณะ แปลว่า “สี” ก็สีของผิวนี่แหละครับ อารยันมีผิวขาวดราวิเดียนมีผิวดำแต่เรื่องนี้ถ้าจะเขียนรับใช้ให้เข้าใจโดยละเอียดต้องมีเวลาหลายวัน ขอเป็นโอกาสหน้าเถิด เพื่อให้มีการปกครองง่ายเข้า พวกอารยันที่ส่วนใหญ่กลายเป็นผู้ปกครอง ก็ไม่แบ่งคนเป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ระหว่างอารยันกับดราวิเดียน แต่ใช้ศาสนาเข้ามาควบคุมมนุษย์โดยการประกาศว่าพระเจ้าแบ่งมนุษย์ออกเป็นชั้นวรรณะต่างๆ พระเจ้าสั่งให้คนแต่ละชั้นวรรณะทำหน้าที่ต่างกัน เอ็งอยู่ในวรรณะนี้ก็ต้องเป็นกรรมกรเป็นคนใช้ ถ้าจะสะเออะฉลาดเปรื่องปราดขยับขึ้นมาเป็นนายเมื่อใดละก้อ พระเจ้าพระองค์จะทรงเอาเมิงตายแน่ พวกดราวิเดียนก็ยอมรับอย่างนี้มาเป็นเวลาหลายพันปี จนกระทั่งซักประมาณหนึ่งร้อยปีมานี้ เริ่มมีดราวิเดียนคิดได้ว่า อา วรรณะนี่เป็นเครื่องขังเราไว้ให้กลายเป็นทาสพวกอารยันคนผิวขาวหรือเปล่า? พวกนั้นวรรณะสูง แต่ละวันไม่ต้องทำงานอะไรเอาแต่สวดมนต์เป็นพ่อค้าคนกลางติดต่อกับพระเจ้าให้พวกเราส่วนพวกเราก็ทำงานหนักเป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคมแทบตาย แต่ยังไม่วายโดนดูถูกดูแคลน อย่ากระนั้นเลย เรามาแบ่งวรรณะให้เหลือเพียง 2 วรรณะดีกว่า ตั้งแต่ต้นคริสต์ตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คนใต้เริ่มแบ่งวรรณะออกเป็น 2 วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ และวรรณะที่ไม่ใช่พราหมณ์ คนใต้ถือว่าพวกอินเดียวรรณะพราหมณ์เป็นพวกสืบเชื้อสายมาจากคนอารยันที่เข้ามารุกรานอินเดีย ส่วนพวกที่ไม่ใช่พราหมณ์เป็นคนอินเดียของแท้แน่นอน มีเผ่าพันธุ์ต่างจากพราหมณ์ ขบวนการดราวิเดียนทำให้เกิดพรรคการเมืองใหม่ๆ ในอดีตอินเดียอยู่ได้เพราะใช้ศาสนาฮินดูผูกผู้คนต่างเผ่าพันธุ์ ระยะหลังมีเรื่องน่ากลัวคือความแตกแยกที่มีสาเหตุมาจากเรื่องเผ่าพันธุ์ อินเดียเป็นประเทศใหญ่ มีผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนแออัดยัดเยียดอยู่ในประเทศ ความขัดแย้งและปัญหาย่อมมีมากกว่าในประเทศเล็กและชาติที่มีคนน้อย ชาติใดมีปัญหาในด้านการแตกแยกของผู้คนในประเทศเดียวกัน ลองหันไปพิจารณากรณีศึกษาจากสาธารณรัฐอินเดียซีครับ นิติภูมิ นวรัตน์ [18/6/2547] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 22:09:14 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ซอฟต์แวร์ อินเดีย สหรัฐฯ วันพุธที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔ วัสดุโบราณของอินเดียที่เราเอามาดูนั้น มีอายุเป็นพันๆปีขึ้นไป ผู้อ่านท่านที่เคารพอาจจะสงสัย ทำไมเอ็งรู้ว่าวัสดุหรือซากกระดูกชิ้นนั้นชิ้นนี้มีอายุเท่าไร? ไอ้นิติภูมิเอ็งโม้ เอ็งมั่วตัวเลขขึ้นมาเองหรือเปล่า? ไม่มั่วดอกหรอกครับ เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณรังสีคอสมิก เมื่อกระทบแก๊สไนโตรเจนในอากาศ ก็จะกลายเป็นคาร์บอน–14 เมื่อใดที่คาร์บอน–14 รวมกับออกซิเจน ก็จะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องเรียนรับใช้ซะก่อนว่า คาร์บอนธรรมดากับคาร์บอนที่ให้กัมมันตรังสีนั้นมีข้อแตกต่าง ไอ้ตัวที่ให้กัมมันตรังสี เราเรียกว่า คาร์–บอน–14 ส่วนคาร์บอนธรรมดาเราเรียกว่า คาร์บอน–12 คาร์บอน–14 มีช่วงเวลาครึ่งชีวิตสั้น การสลายตัวครึ่งหนึ่งนั้นใช้เวลาสั้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับธาตุกัมมันตรังสีตัวอื่น คือ ประมาณ 5,600 ปี เราเรียนกันตั้งแต่ชั้นประถมฯว่า พืชพรรณธัญญาหารในโลกนี้ต้องดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปทั้งนั้น ดูดทั้งชนิดที่มีรังสีและชนิดธรรมดา จากนั้นสัตว์ไปกินพืช เมื่อมนุษย์ไปกินสัตว์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสองอย่างก็เลยเข้าไปอยู่ในร่างกาย ในกระดูก เข้าไปอยู่ในเครื่องมือเครื่องใช้ เมื่อได้วัตถุมาแล้วเราก็หาอัตราส่วนของคาร์บอน–12 กับคาร์บอน–14 ที่เหลือค้างอยู่ โดยเทียบกับอัตราส่วนกับอัตราการสลายของคาร์บอน–14 ที่เราทราบอยู่แล้ว ก็เพียงคำนวณกลับไป ก็จะทราบอายุวัตถุหรือกระ–ดูกชิ้นนั้นได้ พวกผมไปไหนก็ต้องขนเอาเครื่องไกเกอร์เคาน์เตอร์ไปด้วย ความเจริญของอินเดียโบราณ ตอนเริ่มยุคอารยธรรมแรกๆ ของมนุษยชาติกำลังจะกลับมาอีกครั้ง ด้วยความก้าวหน้าชนิดหาตัวจับยากทางคอมพิวเตอร์ การออกแบบซอฟต์แวร์ของผู้คน ชนิดที่ไม่มีทางว่าชาติใดจะไปเทียบเคียงได้เลย นี่คือคำสารภาพของผู้นำทางคอมพิวเตอร์ระดับโลกอย่างบิล เกตส์ รวมทั้งคุณนารา ยาณะ เมอร์ธี และคุณอาชิม เปรมจิ ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาครบ 10 ปีแล้ว ที่บริษัทไมโครซอฟท์เข้ามาตั้งในอินเดีย บิล เกตส์ ราชาคอมพิวเตอร์โลก เข้ามาอินเดียแต่ละครั้งก็ต้องตะลึงตื่นตาตกใจ มาถึงใน พ.ศ.2540 และอีกทีในปีที่แล้ว สามปีที่โลกดิจิตอลของอินเดีย อะไรเปลี่ยนไปใหญ่โตมโหฬาร ไม่ใช่บิล เกตส์อย่างเดียวครับ บิลล์ คลินตัน ตอนที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังอดรนทนไม่ไหว ขอเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เดินทางมาเยือนอินเดีย แรงจูงใจประการหนึ่งก็คือ อยากมาดูเทคโนโลยีของอินเดียให้เห็นกับตา ในรัฐอานธรประเทศนี่ละครับ ออกไปชานนครหลวง คือเมืองไฮเดอราบาด ผู้อ่านท่านจะเจอเนินเขา เนินแล้วเนินเล่า แต่ละเนินมีตึกสูงใหญ่ตั้งเต็มไปหมด ดูไม่ออกหรอกว่านี่คือชานเมืองอินเดีย บริษัทเหล่านี้ตั้งอยู่ที่ไฮเทคซิตี้ บริษัทเกือบทุกแห่งขึ้นต้นด้วยซอฟต์ทั้งนั้น ซอฟต์โน่นซอฟต์นี่ อีกทั้งยังมีไซเบอร์ แรลลี่ ที่เป็นทางลาดไปในหุบเขา อะไรเป็นไฮเทค เป็นดิจิตอลไปเกือบทั้งหมดทั้งสิ้น ตกเย็นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง มาชวนผมและคณะไปเที่ยวบริษัทขนาดเล็ก ที่ไม่มีสิทธิ์ไปตั้งอยู่บนเนินเขาไฮเทค หุบเขาไซเบอร์ หรือตามถนนที่มีบริษัทดิจิตอลทั้งหลาย เอ้า ไปก็ไป แต่อย่าให้บังนิติภูมิเสียเวลามากนักนะเฟ้ย ผ่านตึกเก่าๆ เข้าไปท่านเอ๋ย โอยนี่มันอะไรกันเฟ้ย โลกมนุษย์หรือต่างดาวที่ได้ดูจากเรื่องราวในหนัง ในตึกจะพังมิพังแหล่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของบริษัทเอฟจีไอเอส เจ้าของบริษัทอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า ในนั้นมีคอมพิวเตอร์เก่าๆ ตั้งอยู่ประมาณสองร้อยกว่าเครื่อง มีพนักงานใส่เฮดโฟนหูฟังกันทุกคน สายตาก็เพ่งไปที่หน้าจอ ยักคอทำท่าหน้าตาเข้าใจในคำสั่ง มือก็เคาะที่คีย์คอมพิวเตอร์ ลองเอาเฮดโฟนมาครอบหู อู้ฮู ผู้อ่านท่านครับ นี่คือคำสั่งจากลูกค้าในสหรัฐฯ หูฟังหนึ่งก็โรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งต้องการให้คนอินเดียออกแบบซอฟต์แวร์ให้ โรงพยาบาลของตัวเอง ไอ้หนูรักฮู วาสุ บอกว่า แต่ละวันจะมีเทปส่งมาจากอเมริกาถึงบริษัทผมประมาณสามร้อยตลับ ทุกตลับเป็นคำพูดของลูกค้า ว่าต้องการให้ออกแบบยังไง? แต่ต้องขอโทษที่บริษัทผมเป็นบริษัทเล็กๆ มีเด็กๆ อินเดียที่เพิ่งจบวิทยาลัยมาทำงานกันเพียงกะละ 150 คน นิติภูมิเคยไปตระเวนดูความก้าวหน้าทางซอฟต์แวร์ในอเมริกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฯลฯ ที่อื่นมีแต่ตึกหรูๆ ดูน่าเกรงขาม แต่ความสามารถในเรื่องงาน เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของแท้ของโลก ผมตัดสินว่าอินเดียน่าจะทิ้งห่าง พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ บิลล์ คลินตัน พูดถึงอินเดียว่ายังไง? เมื่อมาเห็นโลกดิจิตอลของแท้ โลกดิจิตอลของคนเอเชียที่พอทำงานเสร็จก็ทานโรตี ดื่มน้ำผลไม้ โดยไม่มีใครบ้าดื่มโค้กให้เงินกระเด็นออกไปนอกประเทศกันแม้แต่กระป๋องเดียว นิติภูมิ นวรัตน์ [28/2/2544] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 22:11:40 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ก็ไม่เห็นมี ใครเลย ในคนเดียวกันที่รวม 30ข้อไว้ด้วยกัน จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 10 พ.ค. 52 22:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 "รัฐสภาอเมริกันชุดที่แล้วผ่านกฎหมายให้วีซ่าพิเศษแก่คนอินเดียที่ประสงค์จะไปทำงานในสหรัฐฯ วีซ่าประเภทนี้อินเดียโกรธนัก เพราะกว่าจะสร้างนักคอมพิวเตอร์ชั้นยอดได้แต่ละคนต้องใช้เงินมากมายมหาศาล รัฐสภาอเมริกันยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ 1. สกัดยอดมนุษย์เหล่านี้ไม่ให้อยู่ช่วยสร้างอินเดียให้เป็นมหาอำนาจ และ 2. ได้ทรัพยากรมนุษย์ชั้นยอดโดยที่ไม่ต้องลงทุนผลิต อนิจจา ทราบว่ายอดสมองของอินเดียไหลไปอเมริกาเป็นแสน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอินเดียกำลังปวดหัวอยู่ในขณะนี้" ---------------------------------------------------------------------------- อินเดียสมองไหล วันอังคารที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔ ในเขตกรุงเทพมหานคร ผมว่ามีเพียงแถวบ้านผม ที่ยังมีป่ามีทุ่งนา มีหนองน้ำขนาดใหญ่ ให้ได้เห็นสัตว์หลายประเภทเหมือนในป่าใหญ่ ไม่ว่าป่าพรุหรือป่าบึง แม้ว่าแถวแขวงขุมทองของกรุงเทพฯตรงที่ติดกับแปดริ้วจะไม่มีหวาย ระกำ เถาวัลย์ หรือพืชมีหนามอื่นพอที่จะเป็นป่าดิบชื้น แต่ก็มีทั้งนกและสัตว์เลื้อยคลานคล้ายๆกัน กล้ายืนยันว่ามีสัตว์พวกนี้ เพราะทุกเช้าเย็นถ้าไม่ได้ไปไหน ผมจะปั่นจักรยานบนถนนขุมทอง–ลำต้อยติ่ง เข้าซอยแนวขนานไปตามคันนาหนองน้ำ ก็ได้เห็นทั้ง นกกะปูด นกดุเหว่า นกบั้งรอก แม้แต่นกกะรางหัวขวาน ใครที่ว่านกกระทุงหมดแล้วลองไปแกร่วแถวนี้ซิครับ ส่วนที่ยืนแช่ในท้องนาหาลูกปลา ลูกเขียด ก็พวกนั้นเอง เจ้านกกระสา ไม่ว่ากระสานวล กระสาแดง ทุ่งนาติดกับบ้านผมมีครบ เสียดายที่ระยะหลังมีคนใจร้ายไปล่านกธรรมชาติถี่ขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราคงไม่ได้เห็นสัตว์พวกนี้ในเขตกรุงเทพมหานครอีก เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมปั่นจักยานออกจากเดลี เมืองหลวงของสาธารณรัฐอินเดีย ตระเวนไปตามหมู่บ้าน ผ่านทุ่งพืช เข้าไปตามถนนที่ยังไม่ได้ราดยาง ทั้งสองข้างบางแห่งเป็นกลุ่มกระต๊อบของคนยากจน คนที่มีฐานะหน่อยก็ก่อไฟผิงแก้ไขความหนาว จนสักประมาณสิบโมงเช้าผมก็เข้าหมู่บ้านฮาซูลา ที่มีหนองน้ำตื้นขนาดไม่ใหญ่นัก น่าสนใจมากก็คือ ตรงหนองน้ำนี้มีนกปากซ่อมเต็มไปหมด นกปากห่างก็มีเยอะ แรกที่นิติภูมิเห็นนึกว่าเป็นกระยางโทน แต่พอเจอสีดำแถบใหญ่ตรงปลายปีกถึงรู้ว่าเป็นปากห่าง เดาได้อีกอย่างว่าเป็นนกปากห่าง เพราะบนดินมีเปลือกหอยโข่ง ทั้งเล็กใหญ่เต็มไปหมด มีนกประเภทเดียวเท่านั้นที่บังคับให้ตัวหอยเปิดฝาออกมาให้มันกินได้ ก็คือ นกปากห่าง คนในหมู่บ้านฮาซูลา แม้ว่าจะยากจนเข็ญใจอย่างไร ก็ไม่ไปยิงนกมากิน ไม่รู้ว่าคนอินเดียมีวิธีสอนลูกหลานให้รักสัตว์อย่างไรถึงกระถิก กระรอก ยังไต่ไปไต่มาบนหลังคากระต๊อบ ในขณะที่บ้านเรามีอาหารการกินสมบูรณ์ ยังอุตส่าห์ตั้งทีมล่านก บางแก๊งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยซะด้วย ไม่ได้ล่าเอาไปกินหรอกดอกครับ เอาไปอวดกันซะมากกว่า อินเดียมีประชาชนคนทั้งสาธารณรัฐถึงหนึ่งพันล้านเข้าไปแล้ว ความกังวลใจของรัฐบาลก็คือ ยังทำให้คนรู้หนังสือไม่ได้หมด พ.ศ.2444 ร้อยปีที่แล้วมีคนอ่านออกเขียนได้เพียง 5.3% ถึงวันนี้ก็ยังมีเพียง 64% รัฐที่มีคนไม่รู้หนังสือมากก็เห็นจะเป็นรัฐที่มีรัฐบาลไม่เข้มแข็ง อย่างพิหาร ราชสถาน อรุณาจัลประเทศ เมฆาลัย โอริสสา สหภาพดาดราและนครหเวลี ฯลฯ รัฐและดินแดนสหภาพพวกนี้มีคนอ่านเขียนได้ไม่ถึง 50% คนไทยท่านใดไปทำมาหากินในเมืองใหญ่อย่างภุพเนศวร อิฏานคร ปัฏนา ชิลลอง สิลวัสสะ ชัยปุระ อาจจะรำคาญที่สื่อสารกับผู้คนลำบาก แต่ถ้าคิดไปอีกมุมก็คือ คนไม่รู้หนังสือ โอกาสที่จะมองเห็นการณ์ไกลก็ไม่มี เมื่อท่านเห็นโลกได้มากกว่า ก็มีโอกาสทำมาหากินได้ไกลกว่า ก็ว่าก็คิดกันไป เพราะรู้ว่าจะพัฒนาชาติ ก็ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอันดับแรก รัฐบาลอินเดียชุดหลังๆก็เลยทุ่มงบไปในการศึกษา จนเดี๋ยวนี้มีโรงเรียนเกือบจะเก้าล้านแห่ง ห้าสิบกว่าปีก่อนตอนได้รับเอกราช อินเดียมีมหาวิทยาลัยเพียง 25 แห่ง สร้างเพิ่มเติมกันทุกปี จนเดี๋ยวนี้มี 222 แห่ง ไม่รวมระดับวิทยาลัยที่มีอีก 8,613 แห่ง พวกโพลีเทคนิคนี่ไม่ต้องพูด ถึง อินเดียทุ่มมหาศาลเพื่อบันดาลคนเก่งคอมพิวเตอร์และช่างเทคนิค ที่นักการศึกษาไทยน่าจะหามาอ่านประดับความรู้ ก็คือ นโยบายการศึกษาแห่งชาติของอินเดีย ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2529 ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอีกรอบ พ.ศ.2535 ถึงแม้อินเดียยังไม่บรรลุตามแผนที่วางไว้ แต่น่าสนใจกว่านโยบายของชาติมหาอำนาจที่เราพยายามเดินตามกันอยู่ เยาวชนคนของชาติมหาอำนาจเติบโตมาอย่างแตกต่างจากเด็กไทยจึงไม่ควรลอกเลียนตะวันตกมาทั้งดุ้น ผมว่าเราน่าจะอ่านของทั้งตะวันออกตะวันตก ประเทศร่ำรวยและยากจน พิจารณาวิธีของท่านเหล่านั้น แล้วสร้างวิธีการของเราขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องไปลอกเลียนของใคร รัฐสภาอเมริกันชุดที่แล้วผ่านกฎหมายให้วีซ่าพิเศษแก่คนอินเดียที่ประสงค์จะไปทำงานในสหรัฐฯ วีซ่าประเภทนี้อินเดียโกรธนัก เพราะกว่าจะสร้างนักคอมพิวเตอร์ชั้นยอดได้แต่ละคนต้องใช้เงินมากมายมหาศาล รัฐสภาอเมริกันยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ 1. สกัดยอดมนุษย์เหล่านี้ไม่ให้อยู่ช่วยสร้างอินเดียให้เป็นมหาอำนาจ และ 2. ได้ทรัพยากรมนุษย์ชั้นยอดโดยที่ไม่ต้องลงทุนผลิต อนิจจา ทราบว่ายอดสมองของอินเดียไหลไปอเมริกาเป็นแสน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอินเดียกำลังปวดหัวอยู่ในขณะนี้ นิติภูมิ นวรัตน์ [13/2/2544] จากคุณ : Cowboy - [ 10 พ.ค. 52 22:16:35 A:118.172.100.60 X: TicketID:215374 ]

ความคิดเห็นที่ 35 -*-.....คือว่า ขี้เกียจอ่าน ตั้งแต่ ความเห็น 3 แล้วอะ รบกวนคุณ Cowboy ถ้าเป็นไปได้ ช่วยสรุปแล้ว พิมพ์ลงมาได้ไหม มันยาว ขี้เกียจอ่าน จากคุณ : ginosty - [ 10 พ.ค. 52 22:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อ่านไม่ไหวเหมือนกันครับ - -''' จากคุณ : cookiecompany - [ 10 พ.ค. 52 22:43:20 ]

ความคิดเห็นที่ 37 น่าสนใจมากครับ แปลกใจที่ผมอ่านแล้วไม่เบื่อหรือรู้สึกขี้เกียจอ่านเลย คงเป็ฯเพราะคนไทยเรา น้อยครั้งที่จะมองย้อนกลับมาดูตัวตนของเราเอง ดูจากที่มีการ research กันมา ก็คงต้องให้เครดิตเขา เพราะเขาไม่ได้ใช้ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง ก็จะไม่มีวันแก้ปัญหาสังคมได้สำเร็จ ดูเด็กๆสมัยนี้ ก็ไม่ต่างจากรุ่นผมมากนัก ก็ยังรู้สึกเศร้าใจ นึกว่าจะมีการเปลี่ยนไปบ้าง ก็แทบไม่เปลี่ยนเลย จึงทำให้หวังกับอนาคตในระยะ 30 ปีข้างหน้าได้ยาก เทียบกับเด็กเวียดนาม คนละเรื่องเลย จากคุณ : Medic1669 - [ 10 พ.ค. 52 22:53:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 10 พ.ค. 52 22:54:54 ]

ความคิดเห็นที่ 39 หลายๆๆอย่างตรงกับผมเลยครับ  บางทีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่แบบสบายๆน่าจะเกี่ยวนะครับ   และเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยสิ จากคุณ : Rokudenashi BLUES - [ 10 พ.ค. 52 23:08:13 ]

ความคิดเห็นที่ 40 รักสงบ เคารพอาวุโส ชอบผู้นำ ทำสำรวย ชอบบันเทิง (สนุกสนาน) จิตใจเอื้ออารี โอนอ่อนผ่อนตาม เชื่อโชคลางของขลัง เชื่อกฎแห่งกรรม เมตตากรุณา ผักชีโรยหน้า มีความเกรงใจ ให้อภัยเสมอ ยอมตามผู้มีอำนาจ ตามใจต่างชาติ รักเอกราช ไม่กระตือรือร้น สุกเอาเผากิน ไม่ยอมให้ใครดูหมิ่น ช่างอดช่างทน เป็นคนใจกว้าง ฉลาดเลือกงาน ทำการมักเบ่ง รักถิ่นและครอบครัว อ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูกตเวที ชอบมีอภิสิทธิ์ เคร่งครัดเคารพแด่พระมหากษัตริย์ แต่ผมไม่ชอบ  อภิสิทธิ์  ว่ะ จากคุณ : ปลาทูนอกเข่ง - [ 10 พ.ค. 52 23:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ตามที่ตนเองวิเคราะห์นะครับ อดีต        งมงาย ขายเสียง เลี้ยงฉลอง ปกครองง่าย จิตใจรวมหมู่ ฯลฯ ปัจจุบัน     ตั้งใจเรียนรู้ บูชาผ่อนซื้อ ยึดถือคุณค่า มองหาความเสมอภาค ฯลฯ อนาคต     เกลียดชังอำนาจเหนือ เบื่อสิ่งยึดเหนี่ยว อยากเที่ยวไปทุกที่               สดุดีเหตุผล มองคนด้วยวิญญาณ ฯลฯ จากคุณ : ผู้ศึกษา - [ 10 พ.ค. 52 23:18:36 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แค่ 20 ปีคงไม่ทำให้คนไทยเปลี่ยนแปลง เมื่อ200ปีก่อนก็คงเป็นแบบนี้แหละ แต่ถ้าคนไทยจะสูญพันธุ์ ก็เป็นเพราะลักษณะเด่น(หรือด้อยหว่า...)คือหูเบา ตื่นตูม เชื่ออย่างถวายหัวโดยไม่ต้องไตร่ตรองด้วยเหตุผลใดๆ(ดูตัวอย่าง FW mail เห็นๆ...กับดูทีวีช่องเดียว) จากคุณ : FreeWing - [ 10 พ.ค. 52 23:31:15 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องพวกนั้นผมพบเห็นในบางคน ในบางเวลา บางสถานการณ์ แต่โดยรวมแล้ว พวกเขาก็เป็นคนดี ... ...  ..... ..  ......... .  .....:  ...... .  ..... ...  ........ ..  ... ....  ... ...  ..... ..   ... .......  .......:  ..... ...  ......... ...  ..... .......  ...... .......  ... ..  ....... .....  .......:  ... ...  ...... ....  ........ ..  ......:  .... .......  ....... ....  ........ ..  .... ........  ....... ........  ...... ....  ........ .........  .......:  ... ....   ...... ....  ....... ....  ........ ..  ..... ..  ........ ...  ...... .......  ....... ........  ...... .  ........ .........  ........ .........  ...... .  ....... .... จากคุณ : soginal - [ 11 พ.ค. 52 00:24:57 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ไฟแดงเยอะจังเลยครับ จากคุณ : Mac_ximum - [ 11 พ.ค. 52 00:46:09 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ยาวไป   ไม่มีเวลาอ่านครับ ย่อให้ฟังที ^ ^ ^ จะบอกว่าเป็นนิสัยเสียคนไทยก็ไม่ได้ครับ ผมลูกครึ่งจีน จากคุณ : EleMent M@stER - [ 11 พ.ค. 52 00:46:17 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อ่านแล้วสนุกดีค่ะ ชอบอ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อยากให้คนไทยมองข้อเสียของตัวเองดีๆ แล้วยอมรับ เมื่อยอมรับแล้วจะหาทางแก้ไข แต่เห็นกระทู้แบบนี้ส่วนใหญ่คนไทยจะเข้ามาบอกว่า อคติจัง มองด้านเดียว คนไทยมีอะไรดีเยอะ ไอ้ข้อดีก็มี แต่ก็ต้องยอมรับอีกว่าข้อดีของคนไทยไม่ได้ ช่วยทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ เขาบอกแต่ข้อเสียก็ดีแล้วนี่คะ เพราะบอกข้อดีแล้วก็ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง (เอ๊หรือบอกข้อเสียแล้วจะไม่ยอมรับอีก) จากคุณ : RebmemeR - [ 11 พ.ค. 52 00:56:40 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เหมือนตอนนี้เด๊ะ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 11 พ.ค. 52 01:04:18 ]

ความคิดเห็นที่ 48 กูตายดีกว่า เมืองไทยที่มันบอก นี่มันนรกชัดๆ จากคุณ : อั้ม แฟนพันธุ์แท้ Liv tyler (อั้ม ติ่งเหลือม) - [ 11 พ.ค. 52 01:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 49 มันไม่ใช่ข้อเสียของทุกคนครับ เป็นบางคน เท่านั้น และเป็นได้ทุกชนชาติ ผมมองว่ามันไม่ใช่การติเพื่อก่อ มันเป็นแค่การหยิบยกความเลวร้าย ของบางคน ในบางโอกาส ในบางเวลา มาประจานว่า นี่คือคนไทย จากคุณ : soginal - [ 11 พ.ค. 52 01:13:08 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมชอบที่ จขกท. เสนอด้านลบของคนไทยเรานะครับ ถือเป็นการลด Pride of Nation ทางหนึ่ง ( การมี Pride of Nation มากไปจะไปขัดขวางความเจริญและความสงบสุขของบ้านเมือง ตัวอย่างคือ เขาพระวิหาร) ข้อเสียของคนไทย มีหลายสิ่งที่เรารู้กันอยู่ แต่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะเราเคยชินกับมันไปเรียบร้อยแล้ว การมีคนชี้ถึงจุดอ่อนจึงถือเป็นเรื่องดี   แต่หวังว่าคงไม่ใช่การติเพื่อทำลาย และกระทู้นี้จะน่าอ่านมากกว่านี้อีกถ้าคุณ Cowboy ไปเรียบเรียงมาให้ดี ว่าจะเสนออะไรให้คนอ่าน ดีกว่ายัดเยียดก๊อปๆลงมา ใครจะอ่านทั้งหมด? ไม่คิดหรือว่าเป็นการทำลายกระทู้ ผมเห็นตัวหนังสือยาดเหยียดขนาดนี้ ผมขอถามคำถามแรกคือ "ต้องการจะสื่ออะไร?" จากคุณ : qooqung - [ 11 พ.ค. 52 01:23:04 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ความรู้ดีครับ จากคุณ : tunnie (tunnie555) - [ 11 พ.ค. 52 01:28:49 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อีกนิด "อยากให้คนไทย รักการอ่าน" จากคุณ : RebmemeR - [ 11 พ.ค. 52 01:39:42 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขัดกันเองก็มีนะ ข้อ 5 กับ ข้อ 10 ไม่ทั้งหมดแต่มีส่วน เอาเหอะ.... จากคุณ : ไฟแดงลิซึม - [ 11 พ.ค. 52 02:02:18 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณ Cowboy ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ แต่นิดนึง ส่วนตัว อยากให้เอาลงตอนเดียวก็พอแล้วให้เอาลิ้งไปอ่านต่อส่วนที่เหลืออ่ะค่ะ (เพราะทีแรกก็อ่านแบบสนุกสนานอ่ะ แต่พอเลื่อนมาแล้วเจอเรื่อยๆยาวๆไม่มีสรุป มันเซ็งเหมือนกัน) แล้วมันดูเหมือนจะไม่เข้าประเด็นที่ จขกท เค้าต้องการจะสื่อ (ดูหัวข้อกระทู้) แล้วดูเหมือนจะไม่มีความเห็นของคุณเลยซักนิดเดียว ส่วนตัวบทความ จากที่อ่าน เราพูดตรงๆนะคะ คือคนนิสัยแบบนี้มันก็มีอยู่ทั่วโลกนั่นแหละ (อาจพบเจอได้ง่ายกว่าในคนไทยก็จริงอยู่) แต่ข้อดีของคนไทย+ประเทศไทยมีเยอะแยะ (ด้านลบที่ว่ามาก็จริง ดีด้วยที่เอามาบอก ก็มาดูตัวเองแล้วจะปรับปรุงยังไงก็ว่าไปตามเรื่อง) ดูเหมือนคุณเจ้าของบทความเค้าไม่ค่อยจะชอบคนไทยเท่าไรเลย เห็นพูดถึงข้อดีที่ไม่มีข้อเสียมาปนแค่ 2 ข้อ (จาก 30 ข้อ) 3. ผู้น้อยจะมีความเกรงใจผู้ใหญ่ 7. รักอิสระเสรี รักความเป็นไท นอกนั้น ถึงจะใช้คำดีๆ (ข้อ 24 คนไทยมีความสามารถพิเศษในการผสมกลมกลืน สามารถปรับตัวให้เข้าได้กับทุกสถานการณ์ ทุกยุคทุกสมัย) เราอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยมั้ง แต่อ่านแล้วรู้สึกถึงการพูดเสียดสีอ่ะ ไม่รู้สิ หรือเรารู้สึกคนเดียว จากคุณ : ไม่ได้อ่าน - [ 11 พ.ค. 52 02:05:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 มีเปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันครับ - ปัจจุบันคนชนบทก็ใช่ว่าจะเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษกันนัก - เด็กไม่มีความเคารพผู้ใหญ่ - หลังๆก็เห็นค้าขายกันมากขึ้นนะ แต่ไม่รู้ว่าค้าขายสุจริตรึเปล่า - รวมกลุ่มทำงานกันเป็นทีมมากขึ้น แต่เป็นม็อบนะ แถมอีกหน่อย - สามารถก่อคดีเลวร้ายเพื่อปล้นทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย - เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล - ชอบสร้างภาพ จากคุณ : Jacare - [ 11 พ.ค. 52 02:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 56 มองดูแล้วเหมือนเป็นการจับผิดนิสัยของมนุษย์มากกว่าครับ เพราะในหลายข้อจำนวนมาก มันเป็นนิสัยโดยรวมของมนุษย์หาได้เป็นนิสัยของชนชาติหนึ่งชาติใดโดยเฉพาะ การจะกล่าวว่าเป็นนิสัยของคนไทยเท่านั้น จึงไม่น่าเป็นการถูกต้องครับ จากคุณ : ++The Immortal LastMan ++ - [ 11 พ.ค. 52 02:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ผมอ่านเฉพาะ 30ข้อแรกนะครับ ซึ่งใน 30 ข้อแรกนั้น ผมว่าตัวผมก็มีหลายข้อในนั้น และเห็นด้วยทุกประการใน 30 ข้อนั้น แต่ยังไงซะ ผมก็ภูมิใจครับ ที่ผมเกิดเป็นคนไทย และโตในแผ่นดินสยาม ปล. เกิดมาผมไม่เคยไปนอกเลย  อยากไปมั่งจัง จากคุณ : SixaM - [ 11 พ.ค. 52 02:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อ่านถึงแค่ คห. 2 พอละ นอกนั้นแค่ลากผ่าน ๆ ยังปวดหมอง @_@ จากคุณ : GetIm@gE - [ 11 พ.ค. 52 02:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 59 17. คนไทยมีนิสัยชอบอภิสิทธิ์ สิทธิพิเศษ (^ ^) จากคุณ : แมวเทา - [ 11 พ.ค. 52 02:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 60 . . . รับปรับปรุง . . . จากคุณ : MIG-ON-THE-WAY - [ 11 พ.ค. 52 03:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เท่าที่ผมเห็นคนส่วนมากในสังคม ผมก็ว่าตรงกับ 30 ข้อนี้นะ คืออ่านแต่ละข้อแล้วก็นึกภาพออกเลย ว่าเป็นยังไง ผมไม่ได้อคติกับคนไทย (เพราะผมก็คนไทยเหมือนกัน) แต่ผมเห็นว่า การที่คนมาชี้จุดผิด มันดีกว่าคนมาชี้จุดที่เราดีอยู่แล้ว (เรื่องดีๆคนเรารู้ตัวเองอยู่แล้วแหละ แต่เรื่องแย่ๆ คนเรามักไม่ชอบยอมรับ มันก็เลยไม่ปรับปรุงกัน) แล้วไอ้ที่เขา list มาให้นี่ก็ทำให้เห็นอะไรหลายอย่างเหมือนกัน เช่น - คนชนบทไม่กล้าสู้กับผู้มีอำนาจ เพราะอะไร? - ทำไมระบบอุปถัมป์ถึงยังอยู่ยั่งยืนยงจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เกิดการคอรัปชั่นมากมาย ส่วนไอ้ยาวๆข้างล่าง ที่เป็นบทความของคุณ นิติถูมิ อะไรนั่น ผมไม่อ่านล่ะ เพราะอคติส่วนตัว ถ้ามีคนสรุปให้จะดีมาก :P แล้วอีก 20 ปีต่อไป ถ้าเรามาอ่าน 30 ข้อนี่อีกที จะมีอีกกี่ข้อหนอ ที่ยังเหมือนเดิม ผมว่าเกินครึ่ง ฟันธง :D จากคุณ : angel13th - [ 11 พ.ค. 52 05:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผมไม่อยากให้มีประเถทด่าคนเชื้อชาติเดียวกัน แล้วยกยอปอปั้นต่างชาตินะครับ แต่ข้อมูลที่ว่า 30 ข้อนั้น บางข้อก็เริ่มเลือนหายแล้ว บางข้อเป็นหนักกว่าเก่า แต่ผมพยายามคิดว่า มันน่าจะไปทางดี มากกว่าไม่ดี จากคุณ : Mypaa - [ 11 พ.ค. 52 06:45:03 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คนไทยไม่ยอมรับความจริง จะพูดจะชมเยินยอพวกเดียวกันไปไหน จะก้าวต่อไปหรือจะย่ำอยู่กับที่ ??? จากคุณ : Artaria EpisodeII - [ 11 พ.ค. 52 07:18:57 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คนไทยเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันแฮะ  จากที่เค้าสำรวจมา ผมว่า ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ จาก team work ไม่เป็น ผมว่าไม่จริง ไม่งั้นจะโกงกินกันเป็นกระบวนได้ไง คนไทยใจดี ให้อภัย ลืมง่าย อันนี้ก็ไม่จริง เปลี่ยนไปแล้ว ใจกว้างใช่ หน้าใหญ่ใจโตใช่แต่อาฆาตขู่ฆ่ากันไม่เว้นวัน  เกรียนเยอะขึ้น 4ประเทศที่เอามาเทียบ  บ้านเราสบายสุด ไม่มีคำว่าลำบากเลย ไม่มีงาน ไม่มีเงิน เดินเข้าวัด หาผักข้างรั้วกินได้ เลยไม่ค่อยมีแรงกดดันเท่าไหร่ ต้องไปเทียบกับลาวครับ  คนไทยเราชอบคิดว่า ลาวด้อยพัฒนากว่า  ตอนนี้เทียบไม่ได้แล้ว เพราะเค้าปูทางจากความล้มเหลวของบ้านเรา เดินแบบเงียบๆ  ไม่โฉ่งฉ่าง ยกตัวอย่าง เรื่อง บ่อคาสิโน  ลาวเป้นเมืองพุทธแท้ๆยิ่งกว่าไทยอีก อะไรที่สามารถเป้นประโยชน์ได้ เค้าก็เอาแม้จะขัดต่อความรู้สึกบ้าง แต่เค้ามีกฎห้ามเด็ดขาด ห้ามชาวลาวเข้าไปเที่ยวเด็ดขาด แต่ภาษีเอามาเต็มๆ บ้านเรา แค่คำว่า คาสิโน ไม่รู้ละ ค้านไว้ก่อน อ้างว่าขัดจริยธรรม ศีลธรรม และ จารีตอันดีของชาวไทย  ให้แมวดิ้นตายเถอะครับ ทุกวันนี้ จริยธรรมคืออะไร ศีลธรรมคืออะไร จารีตมีอะไรบ้าง ใครตอบได้หมดครับ จากคุณ : CitizenShip - [ 11 พ.ค. 52 08:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เปลี่ยนจากคำว่า "คนไทย" เป็นคำว่า "มนุษย์" ผมว่าบทความนี้ก็ยังจะเป็นความจริงเสมอ จากคุณ : AW Milan - [ 11 พ.ค. 52 09:15:57 ]

ความคิดเห็นที่ 66 โอ๊ย ยาวมาก ผมสรุปให้ นิสัยแบบคนไทยเราอยู่ประเทศใดในโลก ก็อยู่รอด ^^~ จากคุณ : แพ้รอยยิ้ม - [ 11 พ.ค. 52 10:21:55 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คนไทยน่ารัก คึกคักเวลาลงเล่น ~ จากคุณ : KinkyVans - [ 11 พ.ค. 52 10:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 68 น่าจะเพิ่มอีกข้อนะครับ XX. คนไทยนิยมบูชา "บุคคล" มากกว่า บูชา "ชาติ" ...... จะเห็นได้ว่า ค่านิยมประเทศอื่นๆ ที่เจริญแล้ว เขาจะเน้นให้ประชาชน เสียสละเพื่อชาติ หรือ ขยัน ต่อสู้เพื่อชาติ ยกเว้นบางประเทศ ที่จะเน้นให้เสียสละเพื่อ บุคคล สู้เพื่อบุคคล มากกว่าชาติ ไม่แปลกที่จะเห็นความแตกแยกกันในประวัติศาสตร์ไทยอยู่เนืองๆ มาตั้งแต่โบราณ เพราะคนไทย นิยมตัวบุคคล ไม่นิยมเชื้อชาติ ไม่ภูมิใจในความเป็นชาติ ไม่คิดจะสร้างชาติ เพราะ ชาติ มีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง แต่บุคคล มีหลายคน มีหลายพวก จึงทำให้เกิดความแตกแยก แย่งชิงสมบัติ แย่งชิงอำนาจกันมาตลอดเวลา ถ้าเรารณรงค์ให้คนไทย รักชาติ มากกว่าบุคคล ประเทศเราคงจะไปได้ไกลกว่านี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   ด้วยสภาพที่ตั้งประเทศที่สมบูรณ์แบบ มีทั้ง ภูเขา ป่าไม้ ทะเล ที่ราบ ที่ลุ่ม ฯลฯ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเกาะ ที่ราบนิดเดียว ก็ยังพัฒนาได้ ประเทศสวิส,ออสเตรีย อยู่กลางแผ่นดินยุโรป ไม่มีทะเล ประเทศยุโรป อากาศหนาวเย็นทั้งปี ก็ยังพัฒนาได้ อเมริกา เกิดสงคราม Civil War ของฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้ ด้วยเหตุทางด้านการเมือง และ การเหยียดผิวคนดำ ญี่ปุ่น ในยุคขุนนางเรืองอำนาจ ไดเมียว และ โชกุน ต่างๆ ก็สะสมกำลังรบ เข่นฆ่าแย่งชิงอำนาจกันอย่างเมามันส์ สมเด็จพระจักรพรรดิ เป็นได้แค่ "หุ่นเชิด" ให้ขุนนางอ้างอิงอำนาจในการปกครองประเทศ จนถึงยุคสมัยสงครามโลก ที่อ้างให้คนญี่ปุ่น ยอมตายเพื่อจักรพรรดิ์ จีน ในยุคสามก๊ก ก็แบ่งพวกกันด้วยเพราะเจ้าเมือง เจ้าแคว้น รวมกลุ่มแบ่งแยกอำนาจกัน ฮ่องเต๊ ก็เป็นแค่ขอนไม้ที่เอาไว้บูชาเท่านั้น ไม่มีอำนาจบริหารใดๆ ทั้งสิ้น คนปกครองที่แท้จริงก็คือขุนนางและเหล่าขันฑีนั่นเองที่อ้้างอำนาจฮ่องเต้ จะเห็นได้ว่า สังคมประเทศยุคใหม่ จะเปลี่ยนแนวคิดการ บ้าคลั่ง จากตัวบุคคล ไปเป็นบ้าคลั่งชาติมากกว่า ประเทศถึงจะเจริญก้าวหน้า ผมว่า เราเดินมาผิดทางแล้วล่ะ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 52 13:37:21 จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 11 พ.ค. 52 11:03:06 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ตลกฝรั่ง..ที่คนไทยขำไม่ออก เรื่องนี้มาจากหนังสือของชาวต่างชาติ ลองอ่านดูนะ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆพระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง7 โดยการวางของวิเศษของพระเจ้า พระองค์จะต้องวางทั้งของดีและของไม่ดี คู่กันไป เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ ทรงเอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้ เอาเทือกเขาหิมาลัย ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้ ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป แต่ด้วยความที่เขาสูงมาก เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด ข้าวของที่ดีๆที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหาร อร่อยที่สุดในโลก ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่ประเทศไทยหมด ว้า แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิด ประเทศนี้ ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆทั้งหมดแน่นอน พระเจ้า ทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้ เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ ไม่ให้ล้ำไปกว่าที่อื่นๆ พระองค์ก็เลยสร้าง คนไทยขึ้นมา ถ้ า มี ค น ไ ท ย อ ยู่ ล่ ะ ก็ ต่ อ ใ ห้ ส ม บู ร ณ์ แ ค่ ไ ห น ไ ท ย ก็ ไ ม่ มี วั น เ จ ริ ญ [แก้ไข] เรื่องจริงของบทความนี้ บทความนี้จริงๆแล้ว ไม่ได้ถูกเขียนโดยมีคำว่า"ไทย"เลยสักประโยค ต้นฉบับจริงๆถูกเขียนด้วยชื่อของชาติอื่น แต่ไม่ทราบที่มาที่ไปว่าทำไมจู่ๆ ชื่อของชาตินั้นถึงหายไป แล้วกลายเป็นชาติ"ไทย"ที่ปรากฏในบทความนี้ไปได้ ดั ง นั้ น ค น ที่ เ ขี ย น บ ท ค ว า ม นี้ จึ ง ไ ม่ ใช่ ใ ค ร อื่ น ค น ไ ท ย เ ร า ด้ ว ย กั น นั่ น เ อ ง http://th.uncyclopedia.info/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87_(%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81) จากคุณ : iamnid - [ 11 พ.ค. 52 11:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ผมชอบผลงานการ์ตูนของคุณ ลูกเป็ดขี้เกียจ ที่สุดเลย จากคุณ : StoneHoof - [ 11 พ.ค. 52 11:28:20 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ย่อให้เหลือ 3 บรรทัดแล้ว SMS มาที จากคุณ : yugioh2500 - [ 11 พ.ค. 52 11:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ยาวมากกกกกก ตรงข้อเขียนของคุณนิติภูมิไม่ได้อ่านเท่าไร แกชอบจับแพะชนแกะเยอะ ทุกวันนี้หลายๆข้อคนไทยก็ยังเป็นอยู่ เอาชัดๆเลยก็เรื่อง เชื่อโชคลางของขลัง กับ การพนันและดื่มเหล้า จากคุณ : Desolation Angel - [ 11 พ.ค. 52 13:02:14 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ชอบตรงที่ > คนไทยไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง กับ > คนไทยไม่ตรงเวลา โดนใจ จากคุณ : StreamRider - [ 11 พ.ค. 52 13:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ผมว่า เปลี่ยนข้อ 3 ข้อเดียว-*- อยากให้ คนไทย รู้จัก เข้าคิว แล้วก็มีความภูมิใจในชาติพันธ์ ของตัวเองมากกว่านี้ (เห็นต่างชาติ ดีไปหมด) ผมว่าผมก็ไปหลายประเทศนะ มีคนไทยนี่แหล่ะที่ไม่แต่งชุดไทยๆ ในชีวิตประจำวัน แต่อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ส่วนหนึ่งต้องโทษทั่นผู้นำในอดีตด้วย แต่ยังไงๆ ก็รักเมืองไทยครับ^^ จากคุณ : semplice - [ 11 พ.ค. 52 13:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ผมอ่านจนจบครับ ก็ดีครับได้เห็นมุมมองอีก 1 มุมมอง ต้องขอบคุณ จขกท. ที่เอามาให้อ่าน จากคุณ : สะตอคุง - [ 11 พ.ค. 52 15:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ชอบบทความที่ 18 ค่ะ เราก็ไม่พอใจในชาติหลาย ๆ อย่างเช่นกันค่ะ อย่างกรณี ขายของทางเท้า เจ้าหน้าที่เทศกิจ จำต้องให้ออกจากทางเท้า เพราะไม่ใช่ที่ขาย รู้ไหมคะ พ่อค้าแม่ค้า ว่ากันยังไง ออกทีวี ว่า "ริดรอนการทำมาหากิน" เออ ทั้งทางเจ้าหน้าที่ อะไร ๆ ก็ตาม ก็จัดหาที่ใหม่ให้แล้ว ก็ไม่ยอมจนได้กระทบกระทั่งกัน และเรื่องตลาดอีก ที่ตั้งกว้าง ไม่ขายกัน มาแออัดกัน ตรงข้างนอก และไม่เป็นระเบียบ หลายเรื่องเลยค่ะ ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตลาดที่เราไม่พอใจ เพราะแหล่งนั้น เหมือนเพาะความเป็นไทยแท้ที่สุดเลย เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเส้นทางให้เราได้ ฮือ ๆๆๆ จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก - [ 11 พ.ค. 52 15:21:32 A:114.128.195.47 X: TicketID:191399 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ไม่ใช่แล้วล่ะครับ ไม่ใช่สรุปนิสัยของคนไทย นี่มันเป็นเพียงนิสัยส่วนด้อยที่ควรพัฒนา 30 ข้อต่า่งหาก ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่มีส่วนดี เพียงแต่คุณไม่เขียนลงไปแ่ค่นั้นเอง จากคุณ : tolstoy - [ 11 พ.ค. 52 16:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เหมือนการเอาส่วนไม่ดีมาขยาย แล้วเหมารวมว่า นี่คือทั้งหมดของคนไทยครับ สรุปก็คือ เจ้าของบทความ เอาสีดำสาดใส่พี่น้องร่วมชาติ แล้วบอว่า พี่น้องร่วมชาติของตนมีสีดำ โดยละที่จะไม่เอ่ยถึงสีขาว หรือสีเทา เพราะเขาเอาสีดำราดไปเรียบร้อยแล้ว โดยรวมแล้วผมคิดว่า เขาไม่ได้ติเพื่อก่อ แต่เขียนก่นด่าเอาความสาแก่ใจหรืออะไรก็ไม่ทราบ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 11 พ.ค. 52 16:55:32 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คนไทยไม่ได้เพอเฟคนี่ครับ ไม่เข้าใจ ทำไมว่าคนไทยไม่ได้ ผมเองก็คนไทยแต่บางข้อก็ต้องยอมรับว่ามันจริงเช่น ข้อ 25,28 หรือจะเถียงว่าไม่จริงครับ เห็นๆกันอยู่ว่าบัดเดี๋ยวนี้เมืองไทยเราเป็นอย่างไร วุ่นวายแค่ไหน จากคุณ : ทำไงได้เกิดมาหล่อ - [ 11 พ.ค. 52 19:34:34 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ผมชอบบทความคุณ cowboy ครับ อ่านจนหมดเลย จากคุณ : หมอหุ้น - [ 11 พ.ค. 52 19:40:45 ]

ความคิดเห็นที่ 81 รู้สึกว่าอ่านแล้วได้อะไรเยอะมาก ตั้งแต่บทความเจ้าของกระทู้จนกระทั่งคุณคาวบอย ไม่ใช่แค่ได้อะไร ทำให้มองไปดูตัวเองด้วยว่าเป็นจริงอย่างที่พูด อย่างที่เขากล่าวหรือเปล่า แล้วก็พบว่า มีส่วนจริงทีเดียว อยากนำไปแก้ไข อยากให้ทุกคนที่ได้อ่านลองไปพิจารณาดูนะคะ ไม่ใช่แค่ได้อ่านเท่านั้น ถ้าได้ทำจะยิ่งดีค่ะ ตอนนี้นั่งเซฟแล้วลิสตืไว้เลยว่าจะพยายามแก้ไขขอไหนได้บ้าง ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ จากคุณ : ซามูไรไก่ป่า - [ 12 พ.ค. 52 01:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ข้อ22โดนมาก จากคุณ : donutpla2 - [ 12 พ.ค. 52 17:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 83 อ่านครบ...เออแฮะ เราไม่เหมือนคนไทยเลย แต่ดันมาเกิดประเทศไทย....เอาวะ...คนเราเลือกเกิดไม่ได้ จากคุณ : powerconduit - [ 13 พ.ค. 52 11:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ยาว.... แต่ ดีค่ะ ได้ความรู้มากกว่าเข้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์อีก จากคุณ : Ae (miyabijung) - [ 15 พ.ค. 52 17:30:06 ]