Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    รถไฟความเร็วสูงในเวียดนาม ระยะทาง 1,000 กม. เพียง 3 ชม. !!!

    รถไฟความเร็วสูงในเวียดนาม ระยะทาง 1,000 กม. เพียง 3 ชม. !!!


    เวียดนามได้เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างสมบูรณ์แล้วในวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 11 ปี เป็นประเทศสมาชิกอันดับที่ 150 ของประชาคมการค้าโลก สำหรับประเทศนี้กำลังจะก้าวล้ำหน้าแซงประเทศไทยในทางเศรษฐกิจใช่หรือไม่?


    ** เวียดนามกำลังจะเจริญกว่าประเทศไทยใช่ไหม? **


    ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ความสำเร็จที่โดดเด่นประการหนึ่งก็คือ การที่คอมมิวนิสต์เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างมากมาย และ เรากำลังเผชิญกับความจริงที่ว่าวันนี้มีต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากกว่าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

    ** เวียดนามกำลังจะแซงหน้าประเทศไทยแล้วหรือ? **


    หลายคนเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ยังจะไม่ใช่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ เมื่อวัดกันด้วยปัจจัยและปรากฏการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ว่ามาแล้วทั้งหมด ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น


    1.แม้ว่าในวันนี้มูลค่าการลงทุนของต่างชาติในไทยจะเบาบางลง แต่การลงทุนที่นี่ก็เป็นแบบลงหลักปักฐานแน่นหนาแล้ว มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตออกมาก็ดีกว่าทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ


    ส่วนบริษัทต่างชาติในเวียดนามจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าจะถึงจุดที่ประเทศไทยได้มาถึงแล้ว ณ วันนี้


    2.จีดีพีของเวียดนามอาจจะขยายตัวในอัตราสูงมากก็จริง แต่มูลค่ารวม หรือที่เรียกกันว่า "ขนาดของเศรษฐกิจ" (Economics Size) ยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศไทย

    3. การส่งออกของเวียดนามเติบโตในอัตราสูงมากคือ ปีละกว่า 20% (ปีที่แล้ว 22%) แต่มูลค่าการส่งออกรวมก็ยังเทียบกับของไทยไม่ได้ สินค้าออกเกือบจะทุกรายการมูลค่ายังห่างกันแบบคนละชั้น หากเวียดนามส่งออกได้สักพันล้าน ไทยก็จะส่งออกได้ถึงห้าหรือหกพันล้าน หรือ หมื่นล้าน เป็นต้น


    ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันดิบที่เป็นตัวชูโรงในรายการสินค้าส่งออกของเวียดนาม ซึ่งประเทศไทยไม่มี ปีที่แล้วมูลค่าส่งออกน้ำมันดิบของเวียดนามสูงกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เพราะราคาตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นแม้ว่าจะลดปริมาณการส่งออกก็ตาม


    4. ตลาดหุ้นโฮจิมินห์เพิ่งตั้งมา 6 ปี แม้จะได้ทำสถิติเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แต่ยังไม่มีอะไรเทียบเคียงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่พัฒนามาก่อนถึง 30 ปีได้ ทั้งในด้านบริษัทจดทะเบียน มูลค่ารวมของตลาด และ คุณภาพของการลงทุน


    การพัฒนาตลาดทุนในประเทศต่างๆ จะต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทั้งวิกฤตและโอกาสมากมายพอสมควร จึงจะเข้าที่เข้าทาง นี่ก็เป็นความจริงที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว

    ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของไทยใช้เวลาสั่งสมมานาน 30-40 ปี แต่เวียดนามเพิ่งจะ "เปิดประเทศ" เมื่อปี 2529 เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมรัฐอุปถัมภ์ ไปเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) แต่กว่าจะตั้งลำได้ก็ในอีก 10 ปีต่อมา จึงยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย


    อย่างไรก็ตาม เวียดนามโตเร็ว ไปเร็วและแรงมาก อย่างที่หลายๆ คนกล่าว


    สิ่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นมากก็คือ รัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศให้ไปสู่ความทันสมัย มีนโยบาย มีเป้าหมาย และ ระยะเวลาที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ดังจะเห็นได้จาการทุ่มทุน ยอมกู้หนี้ยืมสินเป็นเงินมหาศาล และระดมความช่วยเหลือจากทุกทิศทุกทาง เข้าสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ


    เวียดนามเริ่มปรับทิศปรับทางการลงทุนของต่างชาติ จากที่เคยส่งเสริมให้เข้าลงทุนผลิตสินค้าเพื่อส่งออกอย่างเดียว ทางการยังได้หันไปส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างต่างๆ ภายในประเทศด้วย

    จากที่เคยส่งเสริมการลงทุนแบบเหวี่ยงแห ก็เริ่มมีเป้าหมายเด่นชัดมากขึ้น มีการจัดลำดับความสำคัญของแขนงการลงทุน แยกแยะอุตสาหกรรมทั่วไป กับอุตสาหกรรมที่ประเทศต้องการอย่างเร่งด่วน ซึ่งนักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันไป


    จากที่เคยผลิตอาหาร เสื้อผ้า รองเท้า หรือ ผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เวียดนามได้หันมาส่งเสริมการผลิตสินค้าเทคโนโลยีมี่ใช้ความรู้และภูมิปัญญาต่างๆ มากขึ้น เพื่อป้อนตลาดต่างประเทศ


    เวียดนามประสบความสำเร็จมากทีเดียว ดังจะเห็นได้จากสามารถเอาชนะใจอินเทลคอร์ปอเรชัน (Intel Corp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกได้


    อินเทลประกาศในเดือน ก.พ. ปีที่แล้วเกี่ยวกับแผนการลงทุน 605 ล้านดอลลาร์ เพื่อก่อสร้างโรงงานออกแบบ ผลิตและทดสอบชิปแบบครบวงจรในนครโฮจิมินห์ พอถึงเดือน พ.ย.ก็ได้ประกาศขยายการลงทุนเป็นประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์


    ผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้อิเลกทรอนิกส์จากญี่ปุ่นจะเริ่มเข้าลงทุนในเวียดนามอย่างเป็นขบวนการในปีนี้ หลังจากมีการโหมโรงและบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เข้าไปนำร่องเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว


    นักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้เลือกเวียดนามเป็นปลายทางลงทุนแห่งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “จีน+หนึ่ง” (China plus One) ซึ่งหมายความว่า บริษัทใดจะขยายการลงทุนจากจีน เพื่อลดต้นทุน หรือ เฉลี่ยความเสี่ยงอะไรก็แล้วแต่ เป้าหมายก็จะเป็นเวียดนาม ไม่ใช่ที่อื่น


    ส่วนอีกทางหนึ่งเวียดนามมีประชากรกว่า 83 ล้านคน ชาวเวียดนามโดยพื้นฐานได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ขยันในการทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้


    พรรคคอมมิวนิสต์เอาใจใส่การพัฒนาการศึกษาของผู้คน สถิติผู้อ่านออกเขียนได้ในเวียดนามจึงสูงมากสูงเกือบจะ 100% สูงกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง ที่มีอัตราการรู้หนังสือของประชากร 50-70% เท่านั้น


    ประชากรเวียดนามกว่าครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีอายุ 20-40 ปี ที่นั่นจึงเป็นทั้งตลาดแรงงานสำคัญ และเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ในขณะเดียวกัน


    ** ที่นั่นทำอะไรกันบ้าง? แซงหน้าประเทศไทยไปหรือยัง? **


    กล่าวโดยสรุป เวียดนามกำลังเร่งพัฒนาทุกอย่างที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ 10-30 ปีก่อน บางอย่างในไทยดำเนินไปช้ามาก แต่ในเวียดนามไปได้เร็วมาก


    กว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ต้องใช้เวลานานกว่า 30 ปี แต่เวียดนามใช้เวลาเพียง 1 ปีในการศึกษาโครงการสนามบินลองแท็ง (Long Thanh) ใน จ.ด่งนาย (Dong Nai)


    เวียดนามได้ประกาศจะสร้างลองแท็งขึ้นมาแข่งกับปลายทางต่างๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นสุวรรณภูมิ ชางงีในสิงคโปร์ หรือ สนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อชิงความเป็นศูนย์กลางการบินพาณิชย์ โดยเป้าหมายจะรับผู้โดยสารได้ปีละประมาณ 100 ล้านคน ใหญ่โตกว่าสุวรรณภูมิเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว


    การเคลียร์พื้นที่ก่อสร้างสนามบินลองแท็งจะเริ่มลงมือในกลางปีนี้ ไม่ยากนักเนื่องจากที่แห่งนั้นมีสภาพคล้ายๆ กับสนามบินอูตะเภา คือเป็นฐานทัพอากาศเก่าของสหรัฐฯ ในเวียดนามภาคใต้ ที่ทำเอาไว้อย่างแน่นหนา


    แต่คงจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี จึงจะเปิดให้บริการเฟสที่ 1 ได้


    อีกเรื่องหนึ่ง ประเทศไทยพูดถึงรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หรือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา มานานกว่า 10 ปี แต่เวียดนามกำลังจะก่อสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงฮานอย-โฮจิมินห์ ความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ในปีนี้



    การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นก่อนในช่วงฮานอย-เหงะอาน (Hanoi-Nghe An) คือ ระหว่างภาคเหนือกับภาคกลางตอนบน กับ ช่วงด่าหนัง-โฮจิมินห์ (Danang-Ho Chi Minh) ระหว่างภาคกลางตอนล่างกับภาคใต้ รวมความยาวทั้ง 2 ช่วง เกือบ 1,000 กิโลเมตร ช่วงอื่นๆ รวมทั้งส่วนต่อขยายต่างๆ จะดำเนินไปตลอด 5-10 ปีข้างหน้า


    ในบ้านเรากำลังพูดถึงการประมูลการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ในเมืองหลวงอีก 5 โครงการ เพื่อจะเริ่มลงมือกันเสียที ในเวียดนามก็กำลังศึกษาโครงการขนส่งมวลชนระบบรางและระบบล้ออีกนับ 10 โครงการ


    ในนั้นมี 2 โครงการเริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว อีกจำนวนหนึ่งอยู่ระหว่างการเชิญชวนผู้ลงทุน


    ในกรุงฮานอยเพิ่งมีการวางศิลาฤกษ์รถรางไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Tramway) สายแรก ที่นั่นยังจะมีรถไฟฟ้าชุมชนรอบนอกอีก 1 โครงการ กับรถไฟลอยฟ้าขนส่งมวลชนอีก 1 โครงการจากใจกลางเมืองหลวง


    ส่วนในนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภาคใต้ของประเทศเต็มไปด้วยโครงการพัฒนาต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวเมืองออกสู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไซ่ง่อน จึงต้องมีการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่รองรับ


    นครโฮจิมินห์เพิ่งประกาศเชิญชวนนักลงทุน เข้าร่วมโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยวความเร็วสูง (Hi-Speed Monorail) สายแรกจากทั้งหมด 3 สาย


    การก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเฟสแรกจำนวน 2 สายจากทั้งหมด 6 สายก็จะเริ่มขึ้นในปีนี้เช่นเดียวกัน


    ในกรุงเทพฯ กำลังจะมีรถบัสโดยสารขนส่งมวลชน ที่เรียกว่า BRT (Bus Rapid Transit) สายแรก ในนครโฮจิมินห์ก็มีกำหนดลงมือสร้าง BRT สายแรกในปีนี้เช่นเดียวกัน


    นักวิเคราะห์ทุกค่ายมองตรงกันว่า เหตุผลที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติแห่งเข้าสู่เวียดนามนั้นมีอยู่เพียงแค่ 2-3 ประการ สูงสุดในนั้นคือ เวียดนามมีความมั่นคงทางการเมืองสูงมาก และ ทางการมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน หนักแน่นและมั่นคง


    นอกจากนั้นรัฐบาลยังเอาใจใส่และมีมาตรการเฉียบขาดในการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่เคยเป็นปัจจัยเพิ่มต้นทุน และ เตะหน่วงการลงทุนของต่างชาติ


    ปัจจัยสำคัญต่อมาก็คือ เวียดนามมีตลาดแรงงานที่ใหญ่โตมาก ค่าแรงยังไม่สูงมาก และที่นั่นก็เป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่อย่างที่กล่าวมาแล้ว


    ห่างจากนครโฮจิมินห์ออกไปไม่ไกล เกษตรกรส่วนใหญ่ยังปากกัดตีนถีบ คนกลุ่มใหญ่ของประเทศพร้อมหรือยัง? สำหรับการแข่งขันภายใต้ WTO


    การเข้าเป็นสมาชิก WTO ในวันที่ 11 ม.ค. นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่สำหรับเวียดนามในการเข้าร่วมกับประชาคมการค้าโลก ในนั้นมีทั้งโอกาสและอุปสรรค ซึ่งอันหลังมักจะเรียกกันอย่างสวยหรูว่า "ความท้าทาย"

    เวียดนามกำลังจะมีตลาดส่งออกสินค้าที่ใหญ่โตและกว้างไกลกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว ไม่มีโควตา ไม่มีขีดจำกัด และ มีโอกาสๆ เท่าๆ กับอีก 149 ประเทศสมาชิก แต่ที่สำคัญก็คือ จะต้องเจาะให้ได้ ไปให้ถึง

    ขณะเดียวกันภายใต้พันธสัญญาที่ให้ไว้ เวียดนามจะต้องเปิดตลาด เปิดแขนงเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ที่เคยปิดตายมาตลอด เพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้าไปแข่งขันได้

    สำหรับประเทศสมาชิกใหม่ การแข่งขันที่รุนแรงอาจจะเริ่มต้นใน 3-5 ปีข้างหน้าโน้น แต่ที่สำคัญก็คือ เวียดนามจะต้องแข่งขันให้ได้ เช่นที่ประเทศไทยกำลังพยายามอยู่กระทั่งทุกวันนี้


    เวียดนามจะแซงหน้าประเทศไทยหรือไม่? คนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันตอบคำถามนี้.

    จากคุณ : หมื่นหัวนรกา - [ 16 พ.ค. 52 12:42:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com