ความคิดเห็นที่ 1 มันขึ้นอยู่กับค่า C ไม่ใช่หรอครับ *A* จากคุณ : atthaphong - [ 20 พ.ค. 52 12:13:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แต่ก่อนเป็นไบเมทอล เดี๋ยวนี้เป็นหลอดนีออน จากคุณ : =Lord Gary= - [ 20 พ.ค. 52 12:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รู้หลัการทำงานของวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์แล้วใช่ไหม จะทำโปรเจคเกี่ยวกับอะไรครับ จะเอาการทำงานสตาทเตอร์ไปใช้งานด้านไหนครับ หลอดฟลู จุดด้วยวงจรอีเล็คทรอนิคส์ ทั้งชุด 220 บาท เปิดแล้วติด จากคุณ : ตะอีโม่ง - [ 20 พ.ค. 52 13:19:29 A:115.67.168.23 X: TicketID:160546 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สตาร์ทเตอร์ มันเป็นแค่สวิทช์เฉยๆนิ อยู่เฉยๆมันก็ติดกัน พอมีไฟฟ้าผ่านมันร้อนมันก็อ้าออกแต่ไฟฟ้าก็สามารถเดินทางผ่านหลอดได้แล้ว หลอดติด จริงๆ ถอด สตาร์ทเตอร์ ออกเอาสายไฟช๊อตมันให้หลอดติดแล้วเอาออกก็ได้ เรียนสมัย 18 ปีก่อนผิดถูกขออภัย จากคุณ : แสนสุขสมนั่งชมวิหค - [ 20 พ.ค. 52 14:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สตาร์ทเตอร์ทำงานเป็นสวิทช์ความร้อนครับ เมื่อเปิดไฟ กระแสไฟจะวิ่งผ่านบัลลาส(เป็นขดลวดพันบนแกนเหล็ก) ผ่านใส้หลอด และผ่านสตาร์ทเตอร์ลงกราวน์ครบวงจร ทำให้เกิดความร้อนขึ้นที่ใส้หลอดและแผ่นไบเมทอลของสตาร์ทเตอร์จนถึงจุดหนึ่งแผ่นไบเมทอลที่ร้อนจนงอตัวออกทำให้สตาร์ทเตอร์ตัดวงจร  เมื่อไฟไม่ครบวงจรสนามแม่เหล็กรอบๆแกนบัลลาสจะหดตัวลงตัดกับขดลวดที่พันอยู่รอบๆทำให้เกิดไฟแรงสูงขึ้นในขดลวด(Back EMF) ไฟแรงสูงนี้จะทำให้อิเลคตรอนสามารถโดดข้ามจากใส้หลอดข้างหนึ่งผ่านไอก๊าซไปยังใส้หลอดอีกข้างหนึ่งได้ ทำให้หลอดฟลูออเรสเซนต์เรืองแสงได้(เมื่ออิเลคตรอนวิ่งผ่านได้แล้วก๊าซภายในหลอดจะมีความต้านทานลดลงคือนำไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง สตาร์ทเตอร์จึงหมดความจำเป็นแค่นี้) แคปาซิเตอร์ที่อยู่ในสตาร์ทเตอร์ใช้ป้องกันการอาร์คที่หน้าสัมผัสและลดสัญญาณรบกวน สตาร์ทเตอร์ที่ตัดเร็วเกินไปจะทำให้สนามแม่เหล็กในบัลลาสไม่อิ่มตัวเต็มที่แรงดันไฟแรงสูงจะตกทำให้สตาร์ทยาก สตาร์ทเตอร์ที่ทำงานช้าเกินไปจะทำให้สตาร์ทช้าและใส้หลอดเสื่อมเร็วเพระร้อนจัด จากคุณ : ลิงจุ่น - [ 20 พ.ค. 52 15:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไปดูการทำงานของทั้งระบบฟลูออเรสเซนต์ได้ที่นี่ http://home.howstuffworks.com/fluorescent-lamp4.htm ปกติโลหะข้างในไม่ติดกันครับ จะเริ่มติดกันหลังจากมีกระแสไฟผ่านไประยะหนึ่ง(ไม่เกินวินาที) จากคุณ : Ph - [ 20 พ.ค. 52 16:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ที่มันติดไม่พร้อมกันในกรณีมีหลายๆหลอดถูกเปิดพร้อมๆกันก็เพราะ ความแตกต่างเล็กๆน้อยๆของตัวแถบโลหะด้านใน , ระยะห่างระหว่างขั้วทั้งสองในตัวสตาร์ตเตอร์   จังหวะแรกที่จ่ายไฟ สตาร์ตเตอร์จะได้รับแรงดันไฟฟ้า จะเกิดอาร์คเล็กๆ จนเริ่มเกิดความร้อนทำให้โลหะนั้นโก่งตัว....(ทำจากโลหะสองชนิดประกบกัน มีการขยายตัวจากความร้อนไม่เท่ากัน ทำให้โก่งตัวได้ตอนร้อน) ที่สภาวะแรกนี้ ความแตกต่างแรกก็อาจเริ่มเกิดจากความร้อนที่ไม่เท่ากัน ซึ่งมีผลมาจากแรงดันไฟฟ้า บัลลาส หลอดไฟ ด้านนอกได้ทั้งสิ้น หรือแม้แต่ความอ่อนตัวของโลหะเองด้วย จังหวะถัดไปคือมันจะโก่งตัวไปชนกับอีกขั้วจนครบวงจร ช่วงนี้การผลิตอาจทำให้ระยะห่างมันไม่เท่ากัน 100 % ในแต่ละตัวที่ผลิต ทำให้ตัวที่มีช่องห่างน้อยกว่ามีโอกาสครบวงจรก่อน จังหวะถัดไป ความร้อนจะเริ่มลด เพราะขั้วทั้งสองสัมผัสกันครบวงจรทำให้ไม่มีแรงดันตกคร่อมตัวมันอีกต่อไป อาร์คจะดับ  ช่วงนีโลหะนั่นก็จะเริ่มมีอุณหภูมิต่ำลง แต่ละตัวก็มีโอกาสที่จะลดอุณหภูมิลงได้เร็วไม่เท่ากัน อาจจะขึ้นกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวมันด้วย จังหวะถัดไปหลังจากขั้วโลหะแยกตัว จะเกิดแรงดันสูงชั่วขณะจากบัลลาสเพื่อจุดหลอดให้ติด ก็เป็นอันจบการทำงานของสตาร์ตเตอร์ หากหลอดจุดไม่ติด ก็จะไม่มีกระแสไหลผ่านหลอด ทำให้แรงดันหัวท้ายหลอดสูงพอก็จะทำให้เริ่มเกิดอาร์คเล็กๆ สร้างความร้อนในสตาร์ตเตอร์ใหม่(เริ่มใหม่หมดอีกรอบ) ตัว capacitor นั้นช่วยลดการรบกวนทางไฟฟ้าที่ออกมาจากระบบฟลูออเรสเซนต์ ถึงไม่มีหลอดก็ทำงานได้ปกติ เมื่อหลอดติดแล้ว กระแสจะไหลผ่านก๊าซในหลอด ทำให้แรงดันหัว-ท้ายหลอดมีค่าต่ำ ต่ำจนไม่เพียงพอที่จะเกิดอาร์คในสตาร์ตเตอร์ เจ้าสตาร์ตเตอร์ก็จะไม่ทำงานและอยู่ในสถานะ open circuit ตลอด  (จะลองถอดออกก็ได้ หลอดไม่ดับ) หากไม่มีสตาร์ตเตอร์ จะเอาสายไฟไปลัดวงจรตรงช่องสตาร์ตเตอร์สัก 1 วินาทีก็ได้แล้วยกสายออก หลอดก็ติดเช่นกัน หากหลอดจุดติดยากก็ต้องทำซ้ำหลายๆ รอบแบบเดียวกับที่สตาร์ตเตอร์ทำ (มันจะกระพริบหลายๆ ครั้ง) แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 52 19:16:44 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 52 19:12:24 จากคุณ : Ph - [ 20 พ.ค. 52 19:07:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ชนิดของกาซในสตาร์ทเตอร์ และควมดัน ก็มีผล สตาร์ทเตอ์บางยี่ห้อ ใช้สารรังสีใส่ไปด้วย เพื่อให้เกิดไอออนเร็วขึ้น สตาร์ทเตอร์จะเริ่มทำงานเร็วกว่าปกติ สตาร์ทเตอร์บางบี่ห้อ ไม่มีสารรังสี การจุดหลอดจากสภาวะมืดสนิท ต้องรอสักครู่ เพราะไอออนไม่เกิด ต้องรอให้มีโฟตอนหรืออนุภาคบางชนิดในธรรมชาติวิ่งผ่านตัวมันไปก่อน มันถึงจะเริ่มทำงานได้ สตาร์ทเตอร์ที่มีลักษณะอบบนี้ ผมเคยพบตอนเด็กๆ  ประมาณเรียน ม ต้น มันอยู่บ้านเพื่อน ตรงห้องใต้บันได มีผนังปูนสามด้าน มีทางเดินแคบๆ เข้าไป  ตรงนี้มืดมาก และสภาพผนังน่าจะกั้นอนุภาคตามธรรมชาติไว้ได้ดี หลอดที่ติดอยู่จุดนี้ไม่เคยติดทันทีที่เปิดเลย ต้องรอสิบถึงยี่สิบวินาที ไม่ใช่ว่าสตาร์ทเตอร์เสื่อม หลอดตรงนี้ไม่ค่อยได้ใช้ด้วยซ้ำ เมื่อเปิดไปแล้วครั้งหนึ่ง เปิดอีกครั้งจะติดง่ายมาก สงสัยมาเป็นสิบปี เพิ่งรู้เมื่อสองสามปีนี่เองว่าเพราะอะไร จากคุณ : NaCl - [ 23 พ.ค. 52 15:50:35 ]