ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่าเหมาะ แล้ว จขกท.หล่ะ คิดว่าจังหวัดไหนเหมาะหล่ะ จากคุณ : ว่างมากๆ - [ 20 พ.ค. 52 23:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมชอบเชียงใหม่งับ จากคุณ : ship9960 - [ 20 พ.ค. 52 23:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าดูจากในปัจจุบันก็ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่า กทม. แล้วนี่ ในเมื่อศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจ ฯลฯ อยู่ที่นี่หมด จากคุณ : Bowling Bash - [ 20 พ.ค. 52 23:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คิดว่าน่าจะเป็นจังหวัดที่ติดทะเลมากกว่านะครับ จะได้เป็นเมืองท่าได้ด้วยเลย จากคุณ : HamyLee - [ 20 พ.ค. 52 23:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ภูมิศาสตร์ล้วนๆ จากคุณ : ดร บิว - [ 20 พ.ค. 52 23:53:27 A:125.26.147.111 X: TicketID:184507 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ว่ามันจะเหมาะหรือไม่ วันนี้มันเป็นแล้ว  และ เงินทุกอย่างถูกทุ่มเทมาที่นี่ เพื่อจ่ายในการบริการให้แก่คน ไม่ถึง 20 % ของประเทศ ด้วยงบมหาศาล มากเกินพอที่จะสร้างอ่างเก็บน้ำ และโครการผันน้ำ + คลองส่งน้ำ ให้แก่ ภาคอีสานได้ ทุกจังหวัด จากคุณ : น้าพร - [ 20 พ.ค. 52 23:54:16 ]

ความคิดเห็นที่ 7 #6 กำลังจะหมายถึง.....อุ๊บบบบ (โดนอุ้ม) (น่าจะมีภาพไปโรงเรียนนะ) จากคุณ : Duk_Dik_Kung - [ 21 พ.ค. 52 00:00:37 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เราว่าเหมาะค่ะ เนื่องจากมีวัดสำคัญๆ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และพระที่นั่ง แต่ถ้าจะย้าย คิดว่าอยุธยาหรือสุโขทัยดูเหมาะที่สุดค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 21 พ.ค. 52 00:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มหานคร หลายๆประเทศ ก็ย้ายเมืองหลวงกันนะครับ หลีกหนี้ความแออัดครับ จากคุณ : ปังปอนด์ป่วน - [ 21 พ.ค. 52 00:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เหมาะแล้วล่ะ จากคุณ : หัวใจถวายวัด - [ 21 พ.ค. 52 00:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรียนน้าพรครับ คนกรุงเทพฯ จ่ายภาษี 55 เปอร์เซ็น แต่ได้สัดส่วนเม็ดเงินจากภาครัฐประมาณ 45 เปอร์เซ็นครับ จากคุณ : Starfight - [ 21 พ.ค. 52 00:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คือเราก็คงกรุงเทพฯไว้ ในฐานะเมืองหลวงทางเศรษฐกิจ ส่วนเมืองหลวงทางการปกครองน่าจะแยกออกไปครับ ประเทศอื่นหลายประเทศก็แยกกันเช่น สหรัฐ แยกระหว่างนิวยอร์ค กับ วอชิงตัน ดีซี พม่า แยกระหว่างย่างกุ้ง กัน มินดานา จากคุณ : Darkvider - [ 21 พ.ค. 52 01:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมขอเปรียบเป็นเล่นเกมส์ Simcity ละกัน คือถ้ามองเฉพาะทำเลเชิงภูมิศาสตร์เปล่าๆ พื้นที่ที่เรียกว่ากรุงเทพฯ อาจไม่ใช่พื้นที่ๆ เหมาะสมที่สุดในการจัดตั้งเป็นเมืองหลวงหรอก แต่ด้วยเงื่อนไขในอดีตและสิ่งที่เป็นมาจนถึงปัจจุบัน กรุงเทพฯก็เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะครับ จากคุณ : vorpois - [ 21 พ.ค. 52 01:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 บางกอก แออัดมาก น่าจะขยายไป จังหวัดอื่นๆได้แล้ว จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 21 พ.ค. 52 01:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ย้ายไปปัตตานีครับ .... เศรษฐกิจคึกคัก โจรใต้จะได้เลิกจับปืน แล้วหันมาค้าขายกันซะที จากคุณ : มู้ดดี้ แม้ดอาย - [ 21 พ.ค. 52 02:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าพูดกันในเทอมของภูมิศาสตร์ล้วนๆ ไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีปัจจุบัน ผมเลือก ชลบุรี ครับ จากคุณ : Non - [ 21 พ.ค. 52 05:08:41 A:124.120.102.88 X: TicketID:204607 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนนี้ราชการย้ายมาแจ้งวัฒนะกันหมด รถติดมาก จากคุณ : interaction - [ 21 พ.ค. 52 07:17:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เหมาะครับ แต่ควรจะกระจายงาน กระจายรายไ ด้ กระจายสถานที่ราชการบางอยากออกไปจาก กทม.บ้าง หากเปรียบประเทศไทยเสมือนร่างกายมนุษย์ กทม. คือหัว นับวันแต่จะโตขึ้นๆแต่แขนขาและส่วนอื่นๆกลับลีบเล็กลงเรื่อยๆ ตราบเท่าที่โอกาส งาน เงิน ยังกระจุกตัวอยู่แต่ใน กทม. การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงาน ,นักศึกษาจบใหม่ ก็ไม่มีวันสิ้นสุด จากคุณ : snegku - [ 21 พ.ค. 52 08:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คนกรุงเทพไม่ถึง 20% แต่จ่ายภาษีมากกว่าครึ่งนึงของประเทศนะครับ แถมยังได้เงินพัฒนากลับมาน้อยกว่าที่จ่ายไปอีกด้วย จากคุณ : maxijojo123 - [ 21 พ.ค. 52 08:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คนกรุงเทพนี่นับ ยังไงครับ นับตามทะเบียนบ้าน หรือ นับ ตามที่อยู่อาศัย ? ถ้านับ ตามทะเบียนบ้าน ผมว่า คนกรุงเทพแท้ๆ ไม่น่าจะจ่ายภาษีภึง 55% ของประเทศนะ โรงงานใหญ่ๆ อยู่ตาม ต่างจังหวัดเยอะกว่ากรุงเทพ นิ จากคุณ : vn, man - [ 21 พ.ค. 52 09:02:33 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ต้องนับตามทะเบียนครับ เพราะสรรพากรเค้ายึดตามที่อยู่ในทะเบียน จากคุณ : อะธีลาส - [ 21 พ.ค. 52 09:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กรุงเทพตอนนี้เป็นเมืองท่าและเมืองธุรกิจ สภาพความแออัดไม่สามารถขยายเมืองโดยง่าย มีปัญหาแผ่นดินทรุดจากการใช้น้ำบาดาลน้ำท่วมซ้ำซาก ฯลฯ ไม่เหมาะสมกับการเป็นเมืองหลวงแล้ว แต่โดยธรรมเนียมการปกครองของเรา (ซึ่งก็น่าพอเดาออกว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร) การย้ายเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อหลีกเลี่ยงธรรมเนียมที่ผมหมายถึง เราน่าจะรวมจังหวัดเข้ากับจังหวัดใกล้เคียงเช่น แล้วย้ายสถานที่ราชการทั้งหมดออกจากพื้นที่ฝั่งบางกอกใหญ่ และทำระบบรางเชื่อมต่อความเร็วสูง อันนี้น่าจะลดความแออัดได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการต่างๆมากนักครับ จากคุณ : Darth Prin - [ 21 พ.ค. 52 09:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมว่า ไปเพิ่มบทบาทให้เมืองอื่นบ้างด้วยจะดีกว่า แต่ขั้นแรก ปัญหาใหญ่คือการคมนาคม เอาเป็นว่าใช้ กทม ไปก่อน แล้วเพิ่มรถไฟฟ้า ถ้าตอนไหนรางคู่1.4เมตร เสร็จ ค่อยขยายเพิ่มบทบาท อาจจะด้านการปกครอง และธุรกิจเฉพาะด้านออกไป จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 21 พ.ค. 52 09:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เหมาะเป็นเมืองหลวง แต่ไม่เหมาะเป็นเมืองรัฐ และไม่เหมาะเป็นเมืองเศรษฐกิจ ดูด้านภูมิศาสตร์ อย่างเดียวนะ จากคุณ : หงส์โหด - [ 21 พ.ค. 52 09:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าพูดถึงเรื่อภาษี อืมๆๆๆ คนกรุงเทพ + ภาคใต้ + ตะวันออก + กลาง คิดเป็นรายได้กว่า 70% ของประเทศ แต่งบพัฒนาส่วนใหญ่ ไปลงที่ภาคเหนือ อีสาน โดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภคทั้งหลาย แล้วเหนือ อีสาน ก็มีสัดส่วนประชากรมากกว่า สส.มากกว่า อีก อำนาจการตัดสินใจในการเลือกคณะผู้บริหารประเทศก็เลยตกอยู่ที่ภาคเหนือ อีสาน ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นก็ไม่เคยกลับไปตอบแทน และพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับคนในภูมิภาค ฝากคิดไว้แค่นี้ว่า เสียงส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้หมายถึงจะทำอะไรได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องดูแลเสียงส่วนน้อย ถ้าว่ากันไปแล้วอาจจะเป็นเสียงส่วนน้อยที่มีเสียงดังมากกว่าด้วยซ้ำ ถ้าเปรียบเทียบในเชิงคุณภาพ เมื่อคนในเมืองหรือพื้นที่ที่มีการพัฒนามากกว่า มีโอกาสที่ดีกว่า ก็ไม่เกียงที่จะแบ่งปันไปพัฒนาส่วนที่ด้อยกว่าเพราะทั้งหมดก็คือประเทศไทย แต่พี่น้อง และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในเชิงปริมาณ หรือมหาชน ซึ่งเป็นหลักการโดยทั่วไปของระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ ก็รบกวนนิดหนึ่งช่วยพิจารณาให้รอบครอบในการมอบอำนาจให้ชนชั้นปกครองหน่อย หรืออนาคตอีกหน่อยถ้าเลือก สส. ตามสัดส่วนการเสียภาษีก็น่าจะดีเหมือนกันนะ ทำให้เกิดมีการแข่งขันระหว่างจังหวัด แล้วก็นำไปสู่การพัฒนาในระดับประเทศ ..... น่าคิดเน้อะ ลืมตอบคำถามเจ้าของกระทู้ไป   ณ ตอนนี้ กรุงเทพเหมาะสมทุกประการ ทั้งศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจ  ปริมาณประชากร   ประวัติศาสตร์   ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์  ส่วนถ้าลดความแออัดของกรุงเทพ นั้นคิดว่าน่าจะย้ายศูนย์ราชการออกไปทั้งหมด  ทุก กระทรวง ทบวง กรม    ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ต่างๆ สร้างเป็นเมืองราชการ  แล้วเชื่อต่อการคมนามคมให้เพียบพร้อมใช้เวลาเดินทางจาก กทม.ไม่ถึง 45 นาที  อาจจะเป็นสระบุรี นครนายก  เหมือนปุตตราจายา ของมาเลเซีย ส่วน กทม. ก็คงไว้เป็นเมืองหลวง มีพระราชวังอันงดงาม ตามธรรมเนียมประวัติศาสตร์ชาติไทย  เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ  แต่เอาพวกอุตสาหกรรมหนักออกไปไว้   ยังปริมณฑล หรือจังหวัดใกล้เคียง   เป็นการแบ่งหน้าทีของเมืองอย่างชัดเจน แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 52 10:08:12 จากคุณ : ryu (Ryu_Krub) - [ 21 พ.ค. 52 10:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จ่ายภาษีน้อย ไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไร ก็แฟร์ดี แต่ทำไมถึงจ่ายได้น้อย แก้ตรงจุดนี้ได้คงจะดี สร้างอาชีพ สร้างระบบเศษฐกิจ ในต่างจังหวัดเหรอ จากคุณ : บ่าวจ่อย - [ 21 พ.ค. 52 10:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ตอบกระทู้ มันก็เหมาะดีนะ มีแม่น้ำเข้าถึงด้วย ต่อออกทะเลอีกต่างหาก แต่ตอนนี้คนมันเยอะเกิน เลยดูแออัดไปหน่อย ถ้าจะย้าย ไปขอนแก่นดิ ผมจะได้กลับบ้าน จากคุณ : DEXTERZ - [ 21 พ.ค. 52 10:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าด้วยทำเล ผมว่าน่าจะเขยิบขึ้นไปแถว ๆ สุพรรณ อยุธยา หรือนครนายก จากคุณ : AW Milan - [ 21 พ.ค. 52 10:55:48 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าดูจากแผนที่ประเทศไทยโดยรวมๆ และตำแหน่งที่ตั้งของกรุงเทพฯแล้ว ก็ถือว่าเหมาะที่สุดแล้วล่ะครับ เพราะอยู่แทบจะกึ่งกลางของประเทศ มีแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน จะหาประเทศไหนที่มีเมืองหลวงทำเลดีๆอย่างเราได้อีก ทั้ง ร.1 และสมเด็จพระเจ้าตากสิน เป็นกษัตริย์ที่ทรงมีวิสัยทัศน์ที่ดีมากๆเลยครับ จากคุณ : หนุ่มสอนราม (หนุ่มสอนราม) - [ 21 พ.ค. 52 11:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อืม... จากสรรพากรสาส์น http://www.sanpakornsarn.com/page_article_detail.php?aID จากคุณ : rp - [ 21 พ.ค. 52 12:03:53 A:125.25.34.185 X: TicketID:153655 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 (ตุลาคม 2548 - กันยายน 2549) รายได้สรรพากรรวมทุกประเภทภาษีจัดเก็บได้ 1,057,327 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการจัดเก็บภาษีในส่วนของกรุงเทพฯ : ต่างจังหวัดร้อยละ 65.30 : 34.70 จาก http://fs.doae.go.th/news/cluster/cdi/2.ppt สัดส่วน GDP ของภาคการผลิตและบริการของไทย ปี 2547: เกษตร 9.4% อุตสาหกรรม 38.5% บริการ 52% จำนวนแรงงานแยกตามสาขาการผลิตและบริการ เกษตรกรรม 41.4% อุตสาหกรรม 17.1% ก่อสร้าง 5.2% ค้าปลีก 13.9% ธนาคาร 0.9% บริการและอื่นๆ 20.3% จากคุณ : rp - [ 21 พ.ค. 52 12:04:22 A:125.25.34.185 X: TicketID:153655 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เรียนน้าพรครับ คนกรุงเทพฯ จ่ายภาษี 55 เปอร์เซ็น แต่ได้สัดส่วนเม็ดเงินจากภาครัฐประมาณ 45 เปอร์เซ็นครับ จากคุณ : Starfight ^ ^ คงจะลืมอะไรไปบางอย่างกระมัง คำว่า "ประเทศ" ไง คำว่า "รัฐ"  ไง ถ้าเราวัดว่า ใครจ่ายเงินมาก ก็สมควรที่จะให้ Facilities แก่เขามาก ตรรกะ อย่างนี้ เป็นได้เพียงเจ้ามือหวยครับ   คือใครแทงมาก ก็มีโอกาสถูกมาก ได้เงินกลับไปจากเจ้ามือไปมาก เป็นไม่ได้ดอก ผู้บริหาร ราชการแผ่นดิน   (อันที่จริง กทม เป็นหน่วยงานอยู่แล้วไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับเงินงบประมาณแผ่นดิน   หรือต้องให้รัฐเข้าไปผูกพันธ์ อะไรอีก) ยกเว้น เป็น ปัจจัยพ้นฐาน ในอัตราส่วนการจ่ายเงิน ต่อประชากรที่ไม่ต่างจาก จังหวัดอื่น กราบขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ ขอให้คิดให้รอบด้านครับ การที่คนที่บังเอิญได้อาศัยอยู่ในแหล่งที่ทำเงินง่าย กับคนบางคนอยู่ในแหล่งอาศัยที่หากินยากนั้น ไม่ได้เป็นความสามารถเฉพาะตัวอะไรดอก หากเป็นเพียงความบังเอิญ ซึ่ง คนทั่วๆ ไปเรียก ว่า "ดวง" พอได้โอกาสทำเงินมาก ภาษีก็จ่ายมาก และหลบภาษีได้มากเช่นกัน หลักการของการบริหารราชการบ้านเมืองนั้นมีหลักง่ายๆคือ 1. สร้างความเท่าเทียมกัน ในด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรืออย่างน้อย สิ่งที่รัฐจัดให้ต้องให้โดยเสมอ เช่นโครงการ 30 บาท จะอ้างว่า คนรวยเข้าไม่ได้นั้น ไม่ถูกต้อง เรียนฟรี ใช้รถไฟชั้นสาม ฟรี อย่างนี้ ถือว่า ให้โดยเสมอ 2. ยกระดับความเป็นอยู่ของคนชั้นล่างขึ้น 2.1 ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จัดการเรื่องนี้โดย ใช้นโยบายภาษี เช่น ออกภาษีมรดก เก็บภาษีที่ดินว่างปล่าวในอัตราก้าวหน้า  ฯลฯ 3. สร้าง Infrastructure ให้กระจายออกไปทุกภูมิภาค หากทำให้กระจุกตัวอยู่ที่ใด ผลคือ คนจะหลั่งไหลเข้ามาในเขตที่มีความเจริญมาก 3.1 ผลของความแออัดคือ ปัญหาสังคม เกิดการสูยเสียทรัพยากร เช่นเวลา น้ำมัน ค่าสึกหรอพาหะนะ ความเครียด ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 4. ทำทุกอย่างให้โปร่งใส  ตรวจสอบได้ ไม่คอรัปชัน ก็เท่านั้นเอง จากคุณ : น้าพร - [ 21 พ.ค. 52 12:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 33 การมองที่ เม็ดเงิน ภาษีนั้น เป็นการมอง ที่ปลายน้ำ ลองมามองที่ต้นน้ำกันดูนะครับ เอาหละ เราตัดพื้นที่ของกทม มาดูกันนะครับ ตีคร่าวๆว่า 50 ตารางกิโลเมตรก็แล้วกัน (มันจะเป็นร้อยก้อช่าง เอาว่า พอมองเห็นขอบเขต เป็นตุ๊กตานะครับ) กทม มีอะไรบ้าง มีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเองหรือปล่าว มีถ่านหินเป็นของตัวเองหรือปล่าว มีโรงแยกแก๊สเป็นของตัวเองหรือปล่าว มีโรงกลั่นเป็นของตวเองหรือปล่าว มีนาข้าวเป็นของตัวเองหรือปล่าว มีภูเขาหินปูนที่เหมาะแก่การก่อสร้างเป็นของตนเองหรือปล่าว มีโรงงานอิฐเป็นของตนเองหรือปล่าว มีโรงงานเหล็กเป็นของตนเองหรือปล่าว มีโรงปูนเป็นของตนเองหรือปล่าว มีสนามบินเป็นของตนเองหรือปล่าว ถ้าไม่ใช้ดอนเมือง วันนี้ไม่มีแล้ว มีท่าเรือ (อันนี้มี ) หากมีบางอย่าง แล้วบางอย่างนั้น พอเลี้ยงตัวเอง ได้หรือไม่ ปัจจัยการผลิต หรือ บริการ ที่จากต้นน้ำนั้น ที่ถูกนำไปไปต่อยอด แล้วเกิดรายได้ขึ้นมา นั้น ไม่ได้เป็นของคน ในเขตใดเขตหนึ่ง แต่เป็นของคนในสยามประเทศทั้งมวล เราเป็นประเทศเอกราช เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าแบ่งว่า ฉันจ่ายมาก ดังนั้นฉันต้องได้มาก ขอให้ดูว่า ที่มาแห่งการจ่ายมากนั้น มาจากไหน ปัจจัยการผลิต หรือบริการนั้น มาจาก เขต และคน ในเขตนั้น เท่านั้น หรือไม่   แล้วความคิด ของ ความเป็นประเทศ ความเป็นส่วนรวม ล่ะ   หายไปไหนสิ้น การที่ ใครสักคน ได้มี "โอกาส" นำไปต่อยอดได้ ด้วย เหตุปัจจัยแห่งภูมิศาสตร์  นั้น  ไม่อาจนับได้ว่า เขาผู้นั้น จะต้องได้รับ ผลตอบแทนกลับมาทั้งหมด ความคิดว่า จ่ายเท่าใด "ต้อง"  ได้คืนมาเท่านั้น อย่างนี้ อันตรายมากครับ ความเหลื่อมล้ำ ความแตกแยก  การแบ่งพวก นั้น จุดเริ่มต้นมาจาก แนวคิดนี้ ที่ คนคิด ไม่ทันรู้ตัว ขอให้ไตร่ตรองให้รอบด้านครับ จากคุณ : น้าพร - [ 21 พ.ค. 52 12:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 การที่ใครบางคน บังเอิญ ได้อยู่ในเขตที่ สามารถทำประโยชน์ จากปัจจัยการผลิตของสังคมได้มากกว่าคนอื่น จำต้อง มีความคิดเพื่อส่วนรวม จำต้องมีควาเอื้ออาธร อยู่ในจิตใจ จำต้อง เห็นแก่เพื่อนร่วมชาติ ลดความเห็นแก่ตัวลง ด้วย คนที่มีโอกาสนั้น ถือว่าได้รับโชคอันมหาศาลจากความบังเอิญ และถือว่าเป็นเกียรติแก่ตนและวงศ์วาน ที่ได้นำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศ เป็นการน่ายกย่องสรรเสริญ ที่จะกระจายความมั่งคั่งนั้น ไปสู่ทุกส่วนของรัฐไทย   ซึ่งจะเหมาะสมกว่าที่จะให้มันกระจุกตัวอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โปรดอย่าลืมคำว่า รัฐไทย ประเทศไทย และคนไทย ครับ จากคุณ : น้าพร - [ 21 พ.ค. 52 12:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อิจฉาคนกรุงเต๊บ อ่ะ..รถไฟก็มี ทั้งไฟธรรมดา ไฟฟ้า บนดินใต้ดิน.. รถเมล์เพียบแต่ออกมาข้องนอก กทม. รถไฟแต่ละขบวน สนิมกินหลังคาหมดแล้ว...รถเมลก็มีไม่พอ... จากคุณ : คนจ๊นจน - [ 21 พ.ค. 52 13:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยกับน้าพรครับ.... จากคุณ : TonTon1977 - [ 21 พ.ค. 52 13:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นด้วยกับน้าพรมากค่ะ จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 21 พ.ค. 52 13:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ... จะให้คนกรุงเทพ ฯ ไปแบกคนทั้งประเทศก็คงไม่ไหวกระมังครับ   จากคุณ : SoundForce - [ 21 พ.ค. 52 13:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขออนุญาตเห็นแย้ง กับคุณน้าพร ครับ เราๆ ทราบกันดีอยู่ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แต่ที่ น้าพร บอกนั่น มันสังคมยูโธเปีย ครับ เป็นอุดมคติ ซึ่งไม่มีอยู่ในโลกความเป็นจริง โดยเฉพาะหากเรายังใช้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนำ มันก็เป็นการแข่งขันโดยธรรมชาติ และโอกาสของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอยู่ที่การแสวงหา และสภาพที่ได้มาโดยกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิโดยกำเนิด ตามนิยามของปรมาจารย์ชื่อดังอย่าง จอหน์ ล็อค หรือสิทธิส่วนบุคคล อำนาจอธิปไตย ล้วนเป็นมายาคติ ที่สมมุตกันขึ้นมา ในโลกความเป็นจริงแล้วมันมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ครับ ไม่ว่าใครจะเรียกร้องความเสมอภาพอย่างไง ซึ่งก็เป็นสิ่งดี แต่เราก็จัดการได้แค่ในระดับหนึ่ง แม้แต่สังคมอุดมปัญญา ในประเทศที่เจริญแล้วในด้านต่างๆ เรื่องสิทธิมนุษย์ชน และการเข้าถึงทรัพยากร ก็หาได้มีความเท่าเทียมกันทุกผู้ ทุกนาม การแข่งขันมันเป็นไปธรรมดาของโลกใบนี้ครับ แม้แต่พืชยังต้องสูงแข่งกันเพื่อรับแสงแดด การที่จะทำให้ทุกคนได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมกันในทุกเรื่องนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ การแก้ปัญหาอยู่ การส่งเสริมที่ใช้ความถนัดความสามารถที่แตกต่างกันนำมาก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า โดยเฉพาะประโยคนี้ """""ขอให้คิดให้รอบด้านครับ การที่คนที่บังเอิญได้อาศัยอยู่ในแหล่งที่ทำเงินง่าย กับคนบางคนอยู่ในแหล่งอาศัยที่หากินยากนั้น ไม่ได้เป็นความสามารถเฉพาะตัวอะไรดอก หากเป็นเพียงความบังเอิญ ซึ่ง คนทั่วๆ ไปเรียก ว่า "ดวง" """"" ผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่อันตรายต่อการพัฒนาประเทศมาก เหมือนกับสิ้นหมดหนทางไม่รู้จะโทษอะไรหันไปโทษโชคชะตาดีกว่า คนเราสามารถสร้างและพัฒนากันได้ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องมีการแนะนำ หรือให้ลู่ทาง หยิบยื่นโอกาาส โดยที่ไม่ถูกกีดกัน ถูกต้องแล้วให้ผู้ที่มีโอกาสที่ดีกว่าควร จะหยิบยื่นให้กับผู้ที่ด้อยกว่า ซึ่งก็ต้องใช้การบริหารจัดการแบบมีทิศทาง และไม่เป็นการให้โดยสูญเปล่า หวังผลประโยชน์ต่างตอบแทน แต่เป็นไปเพื่อ การพัฒนาทั้งต่อตนเอง และนำกลับมาสู่ผลประโยชน์ของสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงขอผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศ และข้าราชการประจำที่ใกล้ชิดกับปัญหา ในการวางนโยบาย ที่สำคัญบุคคลเหล่านี้จะต้องมีจิตสาธารณะ หรือเห็นแก่อนาคต และผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่เพียงโครงการฉายฉวย หรือชั่วครั้ง ชั่วคราว เพียงพอกับอายุของรัฐบาล เป็นการหาคะแนนเสียงเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป โครงการที่เป็นการพัฒนาแบบยั่งยื่น และเห็นผลในระยะยาวอีก 10 ปี หรือ 20 ปี ข้างหน้า เรียกได้ว่าแทบจะยังไม่เคยเกิดในประเทศนี้เลย หากเราคิดจะสร้างความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แค่การให้สวัสดิการ การอุปถัมม์อุ้มชู หรือการให้ประโยชน์ หรือสิทธิบางอย่างเพียงครั้งคราว แต่เราก็ต้องเพิ่มศักยภาพ และพัฒนาคน ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับตนเองให้มีความเท่าเทียม ในระดับที่ใกล้เคียงกันทั้งในระดับประเทศ และในระดับสากล แน่นอนพวกเรารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ใครละจะลงมือปฎิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรมขึ้นมาเสียที ปัญหาทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ไม่ใช่เรื่องเสื้อเหลือง หรือแดง มันเป็นแค่เพียงฉากหน้า ถ้าใครคิดอยู่กับกรอบเพียงแค่นี้ก็เห็นที่ว่าจะมองปัญหาไม่รอบด้าน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องของผลประโยชน์และการแข่งขันของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่จะชักนำพาประเทศเรา และคนหมู่มากไปทางไหนต่างหาก ด้วยความเคารพ จากคุณ : ryu (Ryu_Krub) - [ 21 พ.ค. 52 13:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ก็เหมาะดีนี่คะ จากคุณ : รองเท้ากับนาฬิกา - [ 21 พ.ค. 52 14:25:19 ]

ความคิดเห็นที่ 41 งั้นคนภาคอื่นก็จะบอกว่า ตอนได้ตนกรุงเทพได้มากกว่า แล้วจะให้เสียภาษีเท่ากันได้ยังไง ลองไปหาดูนะครับว่าอะไรเริ่มก่อน ระหว่าง เอางบประมาณไปเทลงกรุงเทพ กับ คนกรุงเทพเสียภาษีเกินครึ่งนึงของประเทศ จากคุณ : เพ้อไปเรื่อย - [ 21 พ.ค. 52 14:56:08 A:58.9.101.14 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ต้องดูเมื่อ50ปีก่อนครับ ว่านโนบายอะไรที่ทำให้กทม.เจริญมากๆ และอะไรบ้างที่ต้องแลกมา อะไรบ้างที่เอามาอุ้มชูคนกรุง ในช่วงของ"เผด็จการ"สลิด ธนะรัตน์ และต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของ เกษตรกรภาคอื่นๆ อ่านจากนี้ได้ ไม่ได้โม้ http://www.human.cmu.ac.th/courseonline/index.html แล้วเข้าที่Huge103 หัวข้อ วิพากษ์ทัศนะครอบงำ : การพัฒนาสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และหัวข้ออื่นๆก็น่าสนใจ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 52 15:57:39 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 52 15:53:51 จากคุณ : i.everyday - [ 21 พ.ค. 52 15:11:13 ]

ความคิดเห็นที่ 43 กล่าวโดยสรุป ตั้งแต่เริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่1 จะสร้างไทยให้เป็นเหมือนอเมริกา หรืออังกฤษ เผด็จการยุคนั้น ใช่ ผมใช้คำว่าเผด็จการ เผด็จการที่ได้รับการหนุนหลังมาจากอำนาจเก่าแก่ จะทำอะไรก็ได้ตามใจ นโยบายโดยสรุปคร่าวๆคือ การเอาคุณค่าที่ออมไว้ทั้งหมดของประเทศไทยที่มีเกษตรกร80เปอร์เซ็น มาอุ้มคนหยิบมือ เพื่อสร้างปลายหอกของอุตสาหกรรม (รายละเอียดอ่านในลิงค์ข้างบนที่ผมให้มา ยาว) โดยที่เกษตรกรทั้งหมด ต้องเสียผลประโยชน์ที่ควรได้อย่างชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็น ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ถูกจำกัดไม่ให้เป้นไปตามกลไกลโลก และอื่นๆ ในที่สุดเราก็ได้ชนชั้นมา2ชนชั้น จากความคิดของเผด็จการที่ได้รับการหนุนหลังมาจากอำนาจเก่าแก่นั้น มันเป็นแบบนี้เสมอ พื้นฐานที่คนชั้นสูงเหยียบอยู่ทุกวันนี้  ได้มาบนความไม่ชอบธรรมครับ ไม่ใช่มาจากประชาธิปไตย มันได้มาจาก การเลือกของกลุ่มคนที่ยิ่งใหญ่ และมันส่งเสริมเฉพาะคนบางกลุ่ม 50ปีผ่านไปแล้ว ผลของมันก็ยังมีอยู่ให้เห็น อ่านจากลิงค์บนนั้นได้ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 52 15:20:28 จากคุณ : i.everyday - [ 21 พ.ค. 52 15:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 44 น้าพรบอกไว้ชัดเจนดีครับ จากคุณ : ปีกแห่งรัก - [ 21 พ.ค. 52 15:30:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 การปกครองทำเพื่อคนครับ เราทำเพื่อความอยู่ดีกินดีของคนในรัฐ นี้ผมพูดโดยรวมนะ ตั้งแต่เริ่มต้นจนทุกวันนี้ เราเริ่มต้นจากกลุ่มคนมีอำนาจกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ประชาธิปไตย อำนาจนั้นจะทำอะไรก็ได้ จะสร้างคนกลุ่มนึงให้มีพลัง และเน้นเฉพาะกลุ่มก็ย่อมได้ ไม่มีใครขัดข้อง เปรียบเหมือนเรามีนักเรียนอยู่100คน  คุณครูคือผู้มีอำนาจ คุณครูที่ไม่ได้มาจากการยอมรับของนักเรียนทั้งหมด แต่มีอำนาจที่จะสร้างนักเรียนทั้งหมด ว่าจะให้เป็นแบบใด คุณครูนั่นไม่ได้ตระหนักถึงว่าจะต้องทำให้เด็กทั้งหมดมีปัญญาและมีความสุข หากแต่คิดว่าเราจะมีนักเรียนที่เก่งกาจไว้เป็นไม้ตาย 100คน เหนื่อยเกินไป คุณครูเผด็จการทำสื่อการสอน และถ่ายทอดความรู้ให้เด็ก30คน จนเป็นหลักของโรงเรียน เด็กอีก70 เป็นเด็กปกติ แต่คุณครูไม่สนใจ คุรครูบอกว่าเด้ก30ต่างหากที่สำคัญ เพราะสร้างชื่อมาให้ ทั้งๆที่เริ่มต้นมันก็ผิดแล้ว แต่เพราะตอนนั้นครูมีอำนาจเผด้จการ จึงสร้างมาได้แบบนี้ และมันก็ยังเป็นต่อไป จากคุณ : i.everyday - [ 21 พ.ค. 52 15:35:05 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คนสำคัญที่สุดครับ เรายอมอยู่ใต้ปกครอง เพราะหวังความยุติธรรม ความปลอดภัย และการอยู่ดีกินดี เสียงของผู้คน สะท้อนถึงสิ่งที่ต้องการ ความรู้สึกของผู้คนคือสิ่งสำคัญ หากผู้มีอำนาจ สร้างลู่ทางทำกินที่ไม่ยุติธรรม ไม่อาจโต้เถียงมาก่อน ผู้คนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมส่งเสียงร้องในใจตลอดมา และก็ใช่อีกครับ ที่ว่าความยุติธรรม ความเสมอภาค เท่าเทียม ไม่ได้เป็นไปด้วยวิธีตามธรรมชาติ นั่นสำหรับคนที่คิดว่ามนุษย์เรามีเพียงสัญชาตญาณ เป็นเพียงสัตว์ แต่ผมบอกว่าไม่ใช่  คำกล่าวของนักปรัชญาไม่ใช่มายาคติ แต่เป็นผลของซีรีบรัมที่ใหญ่ คนเราไม่ได้เป็นอย่างสัตว์ สัตว์ ถ้าเราตัดต่อมใต้สมองที่สร้างฮอร์โมนโพรแลกตินออก มันจะไม่มีการรักลูกของมัน เลิกรัก เลิกห่วง สัตว์ชั้นต่ำอย่างหนู ถ้าถูกตัดรังไข่ จะหมดความต้องการทางเพศอย่างสิ้นเชิง แต่สัตว์ที่สูงอย่างลิงหรือคน ไม่เป็นเช่นนั้น มันยังไม่หมด เพราะเรามีคอร์เทกไว้คิด มนุษย์เราคิดว่าต้องการความยุติธรรม เราสร้างและรักษามันด้วยตัวเอง เรารู้ว่ามันดีกว่าการปล่อยไปตามยถากรรม เพราะเรามีสมองที่เรียนรู้ เรารู้ว่าถ้าปล่อยไปตามสัญชาติญาณ มันจะนำความยุ่งยาก และป่าเถื่อนมาให้ ในท้ายที่สุด  และเราจะพินาศกันหมด เราพยายามสร้างมันอยู่ครับ อาจไม่มีที่ไหนสมบูรณ์แบบ แต่เราก็สร้างมันอยู่ มนุษย์ยุคใหม่อยู่บนวิถีทางของการเรียนรู้ มากกว่าสัญชาติญาณ อย่างไรเสีย ธรรมชาติก็มอบสิ่งนั้นมาให้เราแล้ว เรามีอำนาจที่จะบอกว่า ฉันต้องการความยุติธรรม ฉันต้องการประชาธิปไตย  ฉันเชื่อว่าปรัชญานั้นนี้ จะนำความดีงามมาสู่สังคม การพัฒนาต้องพึ่งอำนาจ อำนาจที่ดีคือที่ทุกคนยอมรับ หรือคนโดยมาก และต้องตรวจสอบได้โดยวิธีที่มีปัญญา ไม่มีปกปิด แต่เผอิญสิ่งที่ทำให้ชนชั้น2ชนชั้นต่างกันในทุกวันนี้ไม่ใช่อำนาจที่ว่านั้น แต่เป็นเผด็จการ ผ่านไปกี่ชั่วคนรากฐานยังคงเดิม คงต้องพึ่งสิ่งที่ฟังคล้ายกับการปฏิวัติกระมัง จึงจะเปลี่ยนได้ จากคุณ : i.everyday - [ 21 พ.ค. 52 15:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ความคิดน้าพร มันไม่เป็นไปตามกลไกตลาดหน่ะครับ ถึงจะดูเอื้ออาทร แต่ก็ออกแนวสังคมนิยมมาก ผมว่าโอกาสที่สมควรจะเท่ากันทั้งหมดนั้น คือการศึกษา ตอนนี้จำนวนชาวนายังมากเกินไปอยู่ กระจายภาคแรงงานไปด้านอื่นบ้าง จะช่วยได้เยอะ (กระจายไปด้วยการษึกษา) เอาเข้าจริง ผลผลิตทางการเกษตรของไทย มากเกินพอจะเลี้ยงได้ทั้งประเทศมากอยู่แล้ว จะเอางบไปทุ่มกับการเกษตร คงไม่เหมาะ หากคิดถึงผลตอบแทนหน่ะครับ เราไม่มีความต้องการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรขนาดนั้น ตอนนี้รัฐก็กึ่งๆทำแบบนั้นอยู่แล้วบ้าง เห็นได้จากเม็ดเงินที่สนับสนุน ที่ไม่สอดคล้องกับการเสียภาษีจริงๆ (เอาเข้าจริง คน กทม ส่วนใหญ่ก็มีทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัด ถึงช่วยกันปั่น ศก ให้กทม แต่ก็คงตรงกับตัวเลขที่น้าพรบอกคือ20%) จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 21 พ.ค. 52 17:22:04 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมเห็นว่า คุณ ryu (Ryu_Krub) ไม่เข้าใจว่า ผมกำลั้งพูดถึุงอะไร ผมพูดถึง ปัจจัยพื้นฐาน  และพูดชัด ในจุดนั้นไม่เบนไปทางไหนเลย แต่คุณ ryu (Ryu_Krub) กำลังพูดถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นคนละประเด็น และผมไม่ได้พูดถึงเลย ผมไม่ได้พูดถึง ศักยภาพอันแตกต่างของบุคคล ซึ่ง จะพูดกันยืดยาวและไม่มีข้อยุติ ที่ผมพูดมาเป็นพูดในหลักการและมองในภาพรวม ...................... เรื่องสังคม ยูโธเปีย นี่ เรารู้ ท่านรู้ ผมรู้ ว่ามันไม่มีอยู่จริง  และผมไม่เชื่อว่า ใครจะทำได้ อย่างน้อย ก้อ ภายใน 100 ปีนับจากนี้ ที่ผมพูดหมายถึง ระบบ Infrastructure และการได้รับการบริการใน ปัจจัยพื้นฐาน ด้านปัจจัยสี่  ซึ่ง จำเป็นต้อง เกลี่ยให้เสมอกัน หรือพยายามให้เสมอกัน  ไม่เกี่ยวกับ ยูโธเปียหรืออะไรอื่น เป็นปัจจัยพื้นๆ  ไม่เริ่ดหรูอะไร  ตัวอย่างก็ รถไฟชั้นสาม การรักษาพยายาบาลขั้นพื้นฐานทั่วไป และพูดมาชัด ลองกลับไปอ่านดูใหม่ครับ  ตรงๆ  ไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนแนวคิดที่ว่ามา จะเป็นสังคมนิยมหรือไม่ นั้น หรือเป็นสวัสดิการของรัฐ นั้น ต้องดูให้ชัด สังคมนิยม นั้น ประชาชนไม่มีสิทธิในปัจจัยการผลิต ส่วนทุนนิยม  ประชาชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตได้แทบไม่จำกัด สองจุดนี้ เป็นเรื่องชัดที่สุด ที่แบ่งระบอบสองระบอบนี้ออกจากกัน ที่สำคัญ ขอให้ดูตรงที่ ต้นน้ำของปัจจัยการผลิต ต้นน้ำของทรัพยากรของชาิติครับ ตรงนี้เป็นเรื่องหลัก ถ้าไม่มีต้นน้ำนั้น คนเก่ง ทำอะไรไม่ได้ดอก คนเก่งนั้น ไม่ได้มีอยู่เพียงในเขตใดเขตหนึ่งเท่านั้นครับ มีอยู่ทั่วไป แม้ว่าสัดส่วน อาจไม่เท่ากัน ก็ตาม ที่สัดส่วนไม่เท่ากัน เป็นเพราะ สภาวะแวดล้อม เป็นตัวคัดกรอง ต้องถูกบังคับให้ต่อสู้ดิ้นรน และหาทางเอาตัวรอด   จึงสะสมความจัดเจนได้มากกว่า  นี่เป็นปัจจัยของภาวะแวดล้อม ทางถิ่นที่อยู่  ที่เกื้อหนุนให้เกิดขึ้น  แน่นอน ความสามารถส่วนตัวนั้นก็มีอยู่ แต่หากคนที่มีความสามารถ อยู่ผิดสนามเล่า นักรบ ถ้าอยู่ในท้องนา ก็ไร้ประโยชน์  พ่อค้า ถ้าอยู่กลางป่า ไม่มีคนมาติดต่อ เป็นร้อยปี แม้เก่งกาจเพียงใด ก็สิ้นอายุขัียอยูีี่่ในป่านั่นเอง สองปัจจัยที่ ทำให้คนในเขตหนึ่ง ได้รับมูลค่าส่วนเกินมากว่าคนในเขตอื่นคือ 1. ปัจจัยเรื่อง ภูมิศาสตร์ ที่ได้อยู่ในถิ่นที่อยู่ที่เอื้อต่อการได้รับมูลค่าส่วนเกิน อันมาจากการใช้ประโยชน์ จากปัจจัยการผลิต 2. ปัจจัย ในเรื่อง การเป็นจุดศูนย์รวมของ Infra structure ทั้งมวล และ เป็นศูนย์กลางของ ปัจจัยการผลิตอื่นๆ ของประเทศ สองปัจจัยนี้ จึงทำให้มีโอกาสมากกว่า มีโอกาสได้รับมูลค่าส่วนเกินได้มากกว่าใครๆ มันก็เท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้ "รัฐ" หรือ ผู้ปกครองรัฐ จะต้องทำหน้าที่เกลี่ย ความเหลื่อมล้ำนี้ให้เป็นธรรม  เพื่อคนทั่วประเทศ ไม่งั้น ทรัพยากรของชาิติ จะไม่ตกแก่คนในชาติ มันจะตกไปยังคนไม่กี่ตระกูล  ตัวอย่างก็เห็นๆ กันอยู่   ส่วนจะทำได้หรือไม่  อยากจะทำหรือไม่  ก็สุดแท้แต่ นักเลือกตั้งครับ วันนี้เราเอา นาวาให้เขาถือหางเสือแล้ว  คงขึ้นอยู่กับ คนถือหางเสือแหละ ว่าเขาจะคัดท้ายไปทางใด ----------------------------------------------------------- ปล. ผมเสนอ ความเห็น เสนอแนวคิดของผมมา ไม่ไ่ด้มาชวนทะเลาะ หรือจะเอาชนะคะคานแต่อย่างใด ดังนั้น ท่านที่เห็นแย้งกับผม ไม่ต้องเกรงว่าผมจะหน้าแตก หรือจะเคื่องขุ่น  ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกดีใจ ที่มีคนเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ และนำมาถกกัน นี่ เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ  เราอยู่ในห้องหว้ากอ ไม่ได้อยู่ในห้องราชดำเินิน ที่จะต้องเหยียบให้อีกฝ่ายจมดินไป หากเ็ป็นอย่างนั้น คงเป็นเรื่องน่าเศร้า ห้องหว้ากอเป็นห้องแห่งการใช้เหตุผลมาว่ากัน ยกมากล่าวอ้างสนับสนุนแนวคิดของตน เป็นการทำให้ปัญญาแตกฉานครับ ผมเห็นว่าเป็นเกีีีีียรติ และเป็นประโยชน์ ต่อสมาชิก และน้องๆ หลานๆ ที่ได้เข้ามาอ่านครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : น้าพร - [ 22 พ.ค. 52 01:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เอ่อ..รู้สึกเหมือนมาเยี่ยมห้อง รดน. ไงไม่รู้แฮะ ผมชอบประจวบฯนะมันยาวดีฝั่งขวาติดทะเลฝั่งซ้ายติดพม่า ชอบแผนที่จังหวัดมากๆเลยจำง่ายดีจะผ่านจังหวัดนี้ต้องผ่านทุกอำเภอรับรองขับรถไม่หลง แหะๆๆ...ผมมาพาทุกคนกลับฝั่งหนะครับ ^_^ จากคุณ : NorsDavincy - [ 22 พ.ค. 52 02:36:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเอาทุกอย่างมาสุมไว้ที่เมืองหลวงที่เดียวก็ไม่รู้ สมัย ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมาอาจเหมาะแต่ ปัจจุบันคิดว่า ปัญหาต่างๆ จากความแออัด ทำให้ไม่เหมาะแล้วครับ อยากให้รัฐ กระจายความเจริญออกไปส่วนภูมิภาคให้มากๆ แต่ชุมชน ก็ควรรู้จักรักถิ่นฐานและพัฒนาตัวเองด้วย ไม่ใช่รอเขามาช่วยอย่างเดียว จากคุณ : semplice - [ 22 พ.ค. 52 13:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมมองว่า กรุงเทพ เหมาะสมแล้ว แต่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ควรที่จะมีการพัฒนาและย้ายภาคส่วนเศรษฐกิจไปบ้างเช่นกัน เช่น เชียงใหม่ โคราช ชลบุรี ภูเก็ต ที่ผ่านมา มันกระจุกตัวกับกรุงเทพมากเกินไป ความแตกต่างระหว่างกรุงเทพ กับ เมืองใหญ่เหล่านั้น ยังมีมากเกินไปน่ะครับ จากคุณ : LAPD21 - [ 22 พ.ค. 52 17:15:43 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เสนอความคิดครับ..... อยากให้ ลองเปลี่ยนเมืองหลวงจากกรุงเทพ มาเป็น นนทบุรี ปทุมธานี  บ้างก็ดีนะครับ... ความเจริญจะได้กระจายทั่วถึง.... ลดความแออัดในกรุงเทพฯ ราคาที่ ที่ สีลม สาธร สุขุมวิท จะได้ตกลงมาบ้าง หุหุหุ แล้วราคาที่ จังหวัดนนทบุรี กับปทุมจะได้กระฉูด หุหุหุ..... ย้ายเมืองหลวง เร็วๆนะครับ รักนะ จรุ๊ฟๆ...... จากคุณ : TonTon1977 - [ 22 พ.ค. 52 20:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เมืองหลวงในที่นี้เราเข้าใจกันว่าอย่างไร เอาตามสากลก็คือเมืองที่เป็นศูนย์รวมการปกครองของประเทศ กรุงเทพฯเองก็นับได้ว่าเป็นภูมิประเทศ ที่เหมาะสมแล้วในการตั้งเมืองหลวง สำหรับในประเทศของเรา และสิ่งที่ได้ตามมาจากการเป็นเมืองหลวง ก็คือความก้าวหน้าและการพัฒนาด้านต่างๆ ให้เหมาะสมกับการเป็นศูนย์รวมการปกครอง ทำให้กรุงเทพฯเจริญรุดหน้าไปกว่าจังหวัดต่างๆอย่างเห็นได้ชัด การกระจายความเจริญส่วนภาคจังหวัดอื่นๆ ที่ผ่านมาจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละภาคก็ไม่ได้หยุดพัฒนาเลยนะครับ อย่างเชียงใหม่หรือขอนแก่น เองก็พัฒนาไปอย่างมาก แต่กรุงเทพฯ เองก็ยังต้องพัฒนาอีกมากถ้าเทียบกับเมืองหลวงของประเทศที่พัฒนาไปไกลแล้ว  และด้วยงบประมาณที่มี จำกัดของประเทศ การที่ให้งบประมาณส่วนใหญ่ในการพัฒนาเมืองหลวงของประเทศก็ไม่น่าจะแปลกอะไร  ส่วนภูมิภาคอื่นๆก็ได้รับการสนับสนุน แตกต่างกันไปตามศักยภาพของภูมิภาคนั้นๆ  โดยส่วนตัวผมมองว่าภาคอื่นๆมีศักยภาพในการพัฒนาตัวเองอยู่ในระดับดีอยู่แล้ว ขาดแต่เพียงการกลับ ไปพัฒนาจังหวัดของตัวเองของคนท้องถิ่น ที่มักไม่กลับไปสร้างอาชีพสร้างงานให้กับท้องถิ่นของตัวเอง แต่กลับมาทำมาหากินกระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ มากกว่าที่ทำให้ท้องถิ่นนั้นๆไม่พัฒนาตัวเองไปเท่าที่ควร  ถ้าบอกเพราะว่ากรุงเทพฯรายได้ดีกว่าจึงไม่กลับไป  ถ้าอย่างนั้นควรโทษกรุงเทพฯหรือครับ หรือควรโทษคนท้องถิ่นที่ไม่กลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง ผมเห็นคนท้องถิ่นส่วนน้อยที่กลับไป ทำอะไรจริงๆจังจนเห็นผลมาเป็นความเจริญใน ทุกวันนี้ก็ตั้งมากมาย  ถ้ากลับกันคนในท้องถิ่นส่วนใหญ่ที่มาตักตวงอยู่ในกรุงเทพฯ ได้กลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองแล้วดั่งที่คนส่วนน้อยได้กลับ ไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองจนเจริญมาถึงทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าภูมิภาคนั้นหรือจังหวัดนั้นๆ ก็เจริญได้ไม่แพ้กรุงเทพฯหรอกครับ จากคุณ : ++The Immortal LastMan ++ - [ 22 พ.ค. 52 23:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อยากให้ไป นครราชสีมานะ หรือโคราชบ้านเฮา จากคุณ : ธรรมชาติลงโทษ - [ 26 พ.ค. 52 23:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะถมปากแม่นำเจ้าพระยาแถวป้อมพระจุล สร้างเป็นเมืองใหม่ศูนย์กลางทางการเงิน การค้า และการลงทุน ย้ายตลาดหุ้น มาไว้ที่นี้และสร้างท่าเรือระดับโลกขึ้นที่นี้ ลองคิดดูว่าเดินทางมาจากกรุงเทพเพียง30นาที่ก่มาถึงเมืองใหม่แห่งนี้ ที่มีผังเมืองแบบสุดยอดเอาไว้ทั้งระบบขนส่งมวลชลก่คิดออกแบบไว้อย่างมีระบบจะเดินทางไปสุวรรณภูมิก่เพียง45นาทีเท่านั้น ถึงเวลานั้นเมืองใหม่แห่งนี้จะเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดในเอเขียตะวันออกเฉียงใต้ แค่ใช้พื้นที่หลวงสักหมื่น-สองหมื่องไร่ แถวๆที่ดินของทหารเรือตรงนั้นก่จะได้เมืองท่าระดับโลก เช่นเมืองท่า ทราวดี ของเราเมื่อ1000ปีก่อน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหลอกจีนใช้เวลาแค่10-20 ก่เนรมิตรเซี่ยงไห้ให้เป็นมหานครระดับโลกได้ แล้วทำไม่เราจะทำไม่ได้ ภูมิศาสตร์ของเราก่ดีกว่าเห็นๆ อย่าไปเชื่อมันมากไอ้พวก NGO เพราะบ้างอย่างเราก่ต้องย้อมเสียไปบ้างเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า จากคุณ : คิดว่าเป็นนายก - [ 1 มิ.ย. 52 07:51:08 A:125.27.9.218 X: ]