ความคิดเห็นที่ 1 แล้วแต่คนครับ แต่โอตาคุ น่าจะมีบุคลิกที่เก็บตัวกว่าพวก Geek ดังนั้น Geek น่าจะมีทักษะทางสังคม สูงกว่าโอตาคุ แม้ว่าจะถูกสังคมตราหน้าเอาไว้ในกลุ่มประเภทที่คล้ายคลึงกัน แน่นอน โอตาคุ ไม่ใช่ Geek ในความหมายดั้งเดิม แยกคนสองกลุ่มนี้ให้ออกนะครับ แม้ว่าบางคนอาจเป็นทั้งโอตาคุ และ Geek ในตัวคนเดียวกันก็ตาม ส่วน Nerd นั่นก็อีกพวกนึง โอตาคุ เป็นซับเซตของ Nerd แต่ก็มี Nerd อีกมากมาย ที่เก่งกีฬาด้วย สังคมเก่งด้วยก็มี จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 2 มิ.ย. 52 23:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอาเนิร์ด มาดีกว่าครับ มาถ่วงดุลกะพวก ดรังก์ อย่างกระผม จากคุณ : Mypaa - [ 2 มิ.ย. 52 23:41:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ไทยมีแต่พวกที่อยากเป็นโอตาคุ ทั้งที่ญี่ปุ่นมองโอตาคุในแง่ลบ จากคุณ : ไม่เกียวกับกระทู้ XD (คุณซัมซุง) - [ 2 มิ.ย. 52 23:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับคุณซัมซุง ใครว่าทุกคนอยากเป็นโอตาคุ อย่างน้อยผมก็คนหนึ่งละ ที่ขอปฏิเสธ. <<< ไม่ได้ชื่นชมในแนวทาง >>> จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 00:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แต่สำหรับ คำถามของ จขกท. ผมคิดว่า ถ้าโอตาคุคนนั้นมีความตั้งใจจริง พยายามที่จะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น พัฒนาทักษะการเข้าสังคมให้มากขึ้น โฟกัสกับวิชาการ แทนที่จะโฟกัสกับงานอดิเรกจนหรือความชอบบางอย่าง จนมากเกินไป(อันนี้เป็นจุดต่างประการหนึ่ง) พัฒนาระดับของความชำนาญเชิงวิชาชีพ จนความชำนาญเฉพาะทาง ทางวิชาการขึ้นมากลายเป็นกลุ่มเดียวกับ Nerd & Geek ได้แล้วละก็ คนคนนั้นก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างแน่นอนครับ สำหรับคนกลุ่ม Nerd & Geek ที่ผมชื่นชม ก็มีอยู่สองท่านครับ นั่นคือ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C_%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5 และ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ครับ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98_%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C แต่ทั้งสองท่านนี้ จัดว่าอัพเลเวลขึ้นไปอีก กลายเป็นขั้นกูรู(Guru) ไปแล้วละครับ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 00:10:59 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 00:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เท่าที่รู้จัก ส่วนใหญ่เรียนเก่งนะ และก็หลายคนเลยที่เข้ามหาลัยแล้วเลิกเป็นโอตาคุ จากคุณ : ม้าไม้เมืองทรอย - [ 3 มิ.ย. 52 00:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Nerd & Geek  คืออะไรครับช่วยอธิบายหน่อย จากคุณ : dogfly - [ 3 มิ.ย. 52 00:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มันขึ้นอยู่กับว่าเป็นโอตาคุเรื่องอะไร บางคนเป็นโอตาคุแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ ติดอยู่กับโลกของตัวเอง มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น บางคนเป็นโอตาคุแค่ที่บ้าน อยู่ในที่ทำงานเค้าทำงานเต็มที่ นั่นก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพื่อนผมมันเรียนอยู่ที่ Imperial College นั่นก็เป็นโอตาคุ ในเครื่องนี่ 200 GB มีแต่เมะ ทั้งแบบสาวน้อยและผู้ใหญ่(แนว ฆาตกรรม ซีเรียส ชีวิตหนักหน่วง) มันก็ยังเรียนจบ Micro biotic จากมหาลัยอะไรหว่า ที่เป็นรูปกวางที่อังกฤษ แล้วต่อเข้า Imperialได้ ทั้งที่อายุเท่ากับผม ซึ่งก็คือ 21 ปี-"- จากคุณ : คดีฆาตกรรมถั่วงอก - [ 3 มิ.ย. 52 00:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 #7 V V V http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3107231/A3107231.html http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94 เนิร์ด สำหรับคนสายหัวเก่า เดิมหมายถึง คนที่ปกติจะขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ หรือเรื่องที่คนอื่นเห็นว่าไม่น่าสนใจ เนิร์ดจะหมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีระดับสติปัญญาสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สนใจในสิ่งที่สังคมทั่วไปไม่สนใจกัน (โดยมากจะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์) คำนี้ใช้กันแพร่หลายที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีใช้ไม่น้อยในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 เนิร์ดจำนวนมากบนโลกอินเทอร์เน็ต ถือเอาคำนี้เสมือนเหรียญตราแห่งความภูมิใจ และเริ่มใช้มันในความหมายแง่บวก เพื่ออธิบายถึงบุคคลที่มีความสามารถทางด้านเทคนิค ถึงแม้ว่าดั้งเดิมแล้วคำว่า "เนิร์ด" และ "กี๊ก" (geek) จะใช้เรียกผู้ชาย แต่ผู้หญิงจำนวนมากที่สนใจในเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสาขาวิชาอื่น ๆ ที่ปกติจะมีแต่ผู้ชาย ก็เริ่มรับเอาสองคำนี้ไปใช้เสมือนหนึ่งตราแห่งความสำเร็จด้วย แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 01:08:56 แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 00:58:59 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 00:57:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แฮคเกอร์ส(Hackers) และแครกเกอร์ส(Crackers) ก็คือ คอมพิวเตอร์กีค ขั้นกูรู ที่หลุดจากนิยามในเลเวลของคอมพิวเตอร์กีคไปแล้ว นั่นคือเหนือชั้นกว่าคอมพิวเตอร์กีค ที่เป็นเพียง Power User เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 01:04:55 จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 01:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตัวอย่างของ Nerd http://www.powerlabs.org/ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 01:11:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Lone Gunman ในภาพยนตร์ซีรีส์ชุด The X-Files จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 01:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Professor Kevin Warwick นักวิทยาการคอมพิวเตอร์/ทรานสฮิวแมนิสม์ มหาวิทยาลัยเร็ดดิ้ง UK ผู้ริเริ่มทดลองฝังอินเทอร์เฟซเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ กับระบบประสาทของมนุษย์(ตัวแกเอง) จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 01:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เท่าที่ผ่านมา คงพอเห็นนิยามโดยรวมของ Nerd & Geek แล้วนะครับ Nerd & Geek นั้นไม่ใช่ โอตาคุ ไปเสียหมด แต่โอตาคุ อาจเป็น Nerd & Geek ด้วยก็ได้ ถ้าขยันพอ จะเห็นว่า โอตาคุ เป็นง่ายและครอบคลุมกลุ่มคนกว้างกว่า ใครๆก็อาจจำแนกตัวเองว่าเป็นโอตาคุได้ แต่การจะพัฒนาความรู้ความชำนาญ จนพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็น Nerd ด้วยนั้น ..ค่อนข้างยาก บางคนอาจเป็น Nerd อย่างเดียว บางคนอาจเป็น Geek ด้วย บางคนอาจเป็นโอตาคุด้วย ก็แล้วแต่(เฮ่้อ) แต่สำหรับโอตาคุ ไม่ใช่ไม่มีแนวทางหลงเหลือไว้สร้างสรรค์เสียเลยทีเดียว ตัวอย่างก็โอตาคุที่กำลังดังนั่นไง Wonder Gay ที่รู้สึกได้ข่าวแว่วๆว่าค่ายอาร์เอส จะจับเซ็นสัญญาไปแล้วใช่มั้ย ? V V V จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 01:29:59 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าเอาตามความหมายญี่ปุ่นจริงๆ โอตาคุ ก็คือผู้ที่หมกมุ่นในงานอดิเรก จนความสามารถในการติดต่อสื่อสารกับคนทั่วไปแย่ลง หรือหลงอยู่ในโลกแห่งจินตนาการจนแทบแยกโลกจริงโลกงานอดิเรกไม่ออก เพราะคำนี้ถูกสื่อญี่ปุ่นใช้ครั้งแรกในการเรียก ฆาตกรโรคจิตที่เป็นคนหมกมุ่นกับการ์ตูนโป๊ (H ทั้งหลาย) แล้วมาฆ่าข่มขืนแล้วหั่นศพเด็กผู้หญิง คำๆนี้จึงถูกมองในแง่ลบตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว จนภายหลังก็ถูกนำมาใช้เรียกกลุ่มคนที่หมกมุ่นในงานอดิเรกจนเกินพอดีไป ตอบคำถามจขกท. ก็คงบอกว่า การจะพัฒนาตัวเองได้ขนาดนั้น ก็คงเลิกเป็นโอตาคุไปโดยปริยาย เพราะจะศึกษาความรู้จนแตกฉานหรือทำงานวิจัยอย่างเข้มข้น จนขับเคลื่อนประเทศได้ ก็คงไม่มีเวลาเหลือจะมาหมกมุ่นกับงานอดิเรกมากเท่าเมื่อก่อน และเมื่อหมกมุ่นน้อยลง ก็จะลดระดับ กลายเป็นคนที่ชื่นชอบการ์ตูน อนิเมะ เกม ทั่วๆไป ระดับนี้เพื่อนผมมีเยอะ ทั้งหมอที่ยังอ่านการ์ตูน ดูอนิเมะ ซื้อฟิกเกอร์ หรือแม้แต่นักวิจัยป.เอกที่ยังดูอนิเมะเป็นประจำ แน่นอนว่า เขาเหล่านั้นไม่ใช่โอตาคุ เพราะไม่ได้หมกมุ่้นจนเสียการเสียงาน หรือติดอยู่กับโลกจินตนาการจนพูดคุยกับคนทั่วไปไม่ได้ แต่อีกแง่นึุง ผมคิดว่าคนไทยให้ความหมายโอตาคุไว้ค่อนข้างดีกว่าญี่ปุ่น(โอตาคุแบบไทยๆ?) คือจะมองว่าเป็นของคนที่ชื่นชอบ หรือนิยม หรือศึกษาจนเชี่ยวชาญ ในงานอดิเรกเท่านั้น ยังไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นพวกหมกมุ่นจนพูดกับคนทั่วไปไม่รู้เรื่อง อันนี้ผมเห็นคนจำนวนมากเหมารวมง่ายๆตามความเข้าใจว่า คนอ่านการ์ตูน(ในระดับปกติ) ก็เป็นโอตาคุแบบไทยๆแล้ว ถ้าเป็นโอตาคุในความหมายนี้ ก็ไม่ได้เป็นเครื่องถ่วงการพัฒนาตัวเองแต่อย่างใดครับ เป็นแค่งานอดิเรกหนึ่งๆ ไม่ต่างจากการตีกอล์ฟ ขับรถ หรือเล่นกีฬาอื่นๆ เพียงแต่ปริมาณคนที่สนใจทางด้านนี้อาจมีน้อยและหายากกว่างานอดิเรกอื่นๆเท่านั้นเอง ป.ล. โอตาคุที่ญี่ปุ่นมอง เป็นพวกสุดโต่งจนน่ากลัวนะครับ แบบพึมพำคุยกับฟิกเกอร์ หรือพยายามคุยเรื่องเชิงลึกกับคนที่ไม่ได้สนใจในงานอดิเรกนั้น หรือแม้แต่ปฎิเสธสังคม โดยการทำในสิ่งที่ต้องเรียกว่าไม่มีมารยาทในการอยู่ร่วมกัน เช่นคุยเรื่องเกมโป๊กันดังๆ หรือกรี๊ดกร้าดดังลั่นเวลาเจอตัวละครที่ชอบในโปสเตอร์(อันนี้พวกบ้าดาราก็เป็น) ที่น่ากลัวกว่านั้น ก็ถึงขั้นไม่ทำงานทำการแม้จะเรียนจบแล้ว(หรือไม่จบ?) ขอเงินพ่อแม่ไปผลาญกับงานอดิเรก คล้ายๆกับพวกที่เรียกว่าฮิคิโคโมริ แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือคนแบบนี้ก็เริ่มมีในสังคมไทยกันบ้างแล้วน่ะซี (แบบแรกผมเจอบ่อยตามร้านหนังสือการ์ตูนใหญ่ๆ คุยกันเรื่องเกมโป๊หรือวิจารณ์ความโมเอะของตัวละครกันดังลั่น แบบไม่เกรงใจคนอื่น) แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 02:40:06 แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 02:36:56 จากคุณ : ....4จุด - [ 3 มิ.ย. 52 02:35:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรียนถามคุณ ดิจิตอล แคลช แล้ว "โลลิค่อน" หละคะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 3 มิ.ย. 52 04:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าให้ตอบตามนิยามดั้งเดิมของโอตาคุ(ที่มาจากญี่ปุ่น) ก็ต้องตอบว่าไม่ได้ค่ะ เพราะดิฉันอยู่ญี่ปุ่นมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยได้ยินว่าคนญี่ปุ่นจะพูดถึงโอตาคุในเชิง "เก่ง" ถ้า "เก่ง"ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเป็นที่ยอมรับ คนๆนั้นจะไม่ใช่ "โอตาคุ"ค่ะ "โอตาคุ"จะเป็นคำเรียกในเชิงลบมากๆ ออกในเชิง บ้าคลั่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ โดยอาจจะเก่งหรือไม่เก่งในเรื่องนั้นก็ได้ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เพราะ "โอตาคุ"ไม่สามารถหลุดออกจากตัวเองได้ พวกเค้าแทบไม่สามารถสื่อสารหรือพบปะพูดคุยกับใครๆได้ ดังนั้นจึงยากมากที่พวกเค้าจะแสดงความสามารถของตัวเองให้คนอื่นประจักษ์ หรือถ้าแสดงความสามารถให้เห็นได้ก็มักแสดงออกในแบบที่สังคมรับไม่ได้ อย่างแสดงความเก่งของตัวเองด้วยการเป็นฆาตรกรต่อเนื่องเป็นต้น ถ้าใครคนไหนออกสังคมได้ ถึงขั้นไปเรียนหนังสือได้เกือบทุกวัน ไปโรงเรียนจนเรียนจบด็อกเตอร์ได้ขนาดนั้น ที่ญี่ปุ่นจะไม่นิยามคนแบบนี้ว่า "โอตาคุ" ค่ะ ลป. ... "โอตาคุ" ที่เรียนอย่างเดียวจนได้ด็อกเตอร์ ภาษาไทยเรามีเคำรียกเด็กประเภทนี้แบบรวมๆง่ายๆว่า เด็กเรียน สำหรับ"โอตาคุ" ที่ไม่ค่อยเรียนแต่ชอบทำอย่างอื่นจนโดดเด่นขึ้นมา ภาษาไทยเชยๆของเราสมัยก่อนเรียกรวมๆว่า เด็กกิจกรรม จากคุณ : อยากกลับไปเป็นไม่สวยเหมือนเดิม - [ 3 มิ.ย. 52 07:55:23 A:114.181.179.62 X: TicketID:218741 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมไม่แน่ใจนะครับ เพราะผมเชื่อในความหลากหลายของผู้คนมาก อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ จากคุณ : Jc2000 - [ 3 มิ.ย. 52 09:24:40 ]

ความคิดเห็นที่ 19 โลลิคอน หมายถึงอาการที่ฝรั่งเรียก โลลิต้า เอฟเฟ็คท์ หมายถึงการชอบเด็กวัยกำดัด ภาษาไทยเรียก "โคแก่กินหญ้าอ่อน" ตามความเห็นผม โลลิคอน ก็เป็นรสนิยมทางเพศชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ความผิดปกติทางเพศ ถ้าเรายกระดับของรสนิยมทางเพศ อื่นๆที่แตกต่างไปจากนอร์มของสังคม เช่น เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวล มาเป็นเพียง "รสนิยมทางเพศ" ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิต ตามที่นิยามไว้แต่เดิมในคู่มือ การประเมินสุขภาพจิตและอาการวิทยา   (ICD-10 , DSM-IV) (ซึ่งจะมีกล่าวถึงไว้ในบทความเรื่อง ฆาตกรต่อเนื่องที่ผมกำลังทำ) ดังนั้นโลลิต้า เอฟเฟ็คท์ ก็น่าจะเป็นรสนิยมทางเพศ ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตเช่นกัน ตราบใดที่คนกลุ่มที่มีรสนิยมดังกล่าว ไม่ได้กระทำผิดกฏหมาย นั่นคือไม่ได้กระทำการใดๆที่ประทุษร้ายแก่มนุษย์อีกปัจเจกหนึ่ง เพียงมีความสุขกับการดูเท่านั้น ก็น่าจะเป็นที่ยอมรับได้ สำหรับผมแล้วประเด็น โลลิคอน ไม่น่าจะใช่สาระสำคัญในชีวิตมนุษย์ เช่นเดียวกับเรื่องกิจกรรมทางเพศอื่นๆ เป้าหมายสำคัญของมนุษย์ จึงควรอยู่ที่การขัดเกลาความรู้ความชำนาญ และสภาพทางกายภาพของร่างกายตนเองให้อยู่ในระดับ ที่สูงสุดเท่าที่มีกำลังทำอยู่เสมอ และการมุ่งหน้าก้าวเดินไปตาม แนวทางของการวิวัฒน์ตนเองด้วยการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ เทคโนโลยีเพื่อข้ามขีดจำกัดของการวิวัฒนาการทางชีววิทยา เมื่อจุดซิงกูลาริตี้ มาถึงตามแนวคิดทรานสฮิวแมนิสม์ ครับ. จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 09:25:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 lolicon  = lolita complex จากคุณ : ลาบราดอร์สีดำ - [ 3 มิ.ย. 52 10:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 21 homosexual ถูกถอดถอนจากความผิดปรกติทางเพศแล้ว แต่ pedophilia หรือโลลิค่อนยังเป็นความผิดปรกติทางเพศอยู่ครับ http://www.sapaan.org/article/39.html << ลองอ่านในนี้ดู pedophilia ที่เป็นปัญหาเพราะมันจะนำไปสู่ child sexual abuse ครับ ซึ่งคนตระหนักถึงปัญหานี้กันทั่วโลกแล้ว ประเทศญี่ปุ่นเองซึ่งเป็นตัวพ่อในการผลิตสื่อประเภทนี้ปัจจุบันก็ออกกฏหมายที่ควบคุม child porn อย่างเข้มงวด จากคุณ : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน - [ 3 มิ.ย. 52 11:05:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทุกอย่างเป็นปัญหาในการนิยามทั้งนั้นละครับ รวมถึงคู่มือที่ผมบอกด้วย เพราะมนุษย์เราชอบตัดสิน และสร้างวาทกรรมกันทั้งนั้น อย่างมีอยู่ยุคหนึ่งที่คนที่มีความเห็นในการเมืองไม่ตรงกับ แนวคิดทฤษฎีการเมืองของอีกค่ายหนึ่ง ก็ถูกตัดสิน หรือการที่มนุษย์แบ่งสังคมออกเป็นวรรณะต่างๆ ซึ่งเห็นชัดที่อินเดีย หรือชนชั้นในสังคมตามฐานะทางการเงิน บางทีมนุษย์อาจจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว ผมด้วย เพราะผมก็เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์มีสัญชาตญารในการจำแนกสิ่งของต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่อยู่แล้ว และต้องตัดสินคุณค่าของสิ่งของต่างๆ เปรียบเทียบกัน เพื่อการอยู่รอด เมื่อมนุษย์เจริญขึ้น การจำแนก และการตัดสิน ก็เลยติดมาด้วย จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 11:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 23 การแบ่งหมวดหมู่ทางการแพทย์ต้องอาศัยข้อมูล evidence base มายันกันเสมอครับ ไม่ใช่แบ่งหมวดนู้นหมวดนี้กันตามใจชอบ ปัญหาคือที่ homosexual ได้ถอดถอนออกจากความผิดปรกติทางเพศ ก่อนจะมาถึงขั้นนี้ได้รับการวิจัยมานมนานมากๆ และได้ผลสรุปออกมาว่า "มันไม่ใช่ความผิดปรกติทางเพศ" ไม่ใช่จู่ๆจะลุกขึ้นมาจัดไปอยู่อีกหมวดหนึ่งตามความพึงพอใจ ซึ่งเมื่อคุณอ้างอิง ICD10 และ DSM-IV  เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แปลว่าคุณต้องการอิงเกณฑ์วินิจฉัยของแพทย์ คุณก็ควรยอมรับความจริงที่ว่า ในปัจจุบัน phedophilia ยังเป็นความผิดปรกติทางเพศครับ จากคุณ : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน - [ 3 มิ.ย. 52 12:30:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมเห็นว่า น่าจะ แต่ไม่ได้หมายความว่า ในนั้นมีการจัดใหม่ ในทางการแล้ว ก็เป็นตามที่คุณว่ามา แต่ผมจะมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ก็เป็นสิทธิของผมนะครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 12:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โอตาคุ ขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นครับ นายกญี่ปุ่นยังบอกเลยว่า ”ธุรกิจท่องเที่ยว otaku จะช่วยญี่ปุ่น” " ท่านนายกTaro Aso ผู้ชื่นชอบการ์ตูนของญี่ืปุ่น ฉายา Rozen Aso(เพราะลุงแกชอบRozen Maiden) ได้มีแผนกอบกู้เศรษฐกิจที่ไม่เหมือนใครและคงไม่มีใครคิดถึงด้วยเพื่อมาช่วย กู้วิกฤต เศรษฐกิจของญี่ปุ่นขณะนี้ นั่นก็คือ โปรเจกต์การท่องเที่ยวโอตาคุ อันเนื่องมาจากรายได้จำนวนไม่ใช่น้อยของประเทศนี้ มาจากอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการ์ตูนและอนิเมะ รวมไปถึงสินค้าต่าง ๆ ที่ทำให้เหล่าโอตาคุทั่วโลกหลงไหล มาหลายสิบปี  โปรเจกต์นี้ก็เพื่อเป็นการสนับสนุนให้โอตาคุจากทั่วโลกเดินทางมาเที่ยวแบบโอ ตาคุสไตล์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าในปีนึง จะมีรายได้จากโอตาคุเหล่านี้ถึง 2-3ล้านล้านเยน(เยอะโคตรรร) และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 500,000 รายเลยทีเดียว ท่านนายกตั้งเป้าหมายไว้ว่าตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2010 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวญี่ปุ่นเป็นจำนวนถึง20ล้านคน …นับว่าเป็นแนวทางการบริหารประเทศที่แหล่มไม่ใช่น้อยเลยเพราะสามารถใช้จุด เด่นทางวัฒนธรรมของประเทศตัวเองออกมาได้อย่างมีประสิทธิิภาพ ผิดกับประเทศสารขันฑ์แถวนี้จริงๆ เฮ้อ  " จาก akibatan.com จากคุณ : wachira2k - [ 3 มิ.ย. 52 13:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จะเลือกเชื่อยังไงก็ตามสะดวกครับ แต่ตอนคุณบอกว่าโลลิค่อนน่าจะเป็นแค่รสนิยมทางเพศแล้วอ้าง DSM-IV ผมเลยเข้ามาแก้ไขข้อมูลให้ไงครับ ความเห็นกับข้อเท็จจริงคนละส่วนกันนะครับ ไม่ใช่อ้างว่าเป็นความเห็นแล้วจะเอาข้อเท็จจริงมายำยังไงก็ได้ ปล.1 ตอนเขียนบทความที่ว่าถ้าอ้างอิงข้อมูลควรจะให้แม่นๆนะครับ ไม่ควรจะ "น่าจะ" ปล.2 นายกคนที่ว่าคะแนนนิยมตกฮวบๆแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 13:23:01 จากคุณ : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน - [ 3 มิ.ย. 52 13:16:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ข้อมูลที่อ้างอิงกับของจริง ผมก็บอกแล้วไงครับว่าเกย์ ไบเซ็กชวลได้รับการถอดถอนออกจากความผิดปกติแล้วไม่ได้ขัดแย้งกับข้อมูลตามความเป็นจริง แต่ผมก็มีความเห็นของผม ดังนั้นผมจึงมีสิทธิในการแสดงความเห็นของผมได้ ว่าน่าจะ เนื่องจากตรงนั้นเป็นความคิดเห็นของผม แต่ไม่ได้หมายความว่า ในทางการแล้วจะมีการถอดถอน phedophilia ออกจากคู่มือดังกล่าว ดังนั้นสิ่งที่ผมพูด ตรงกับข้อมูลความเป็นจริงแล้ว ดังนั้นการที่ ควร หรือ ไม่ควร ใช้คำว่า น่าจะ จึงเป็นสิทธิของผมในการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผมครับ คุณไม่สามารถบอกให้ผมพูดอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ผมเพียงบอกข้อมูลตามจริง และเสริมความคิดเห็นของผมเข้าไปเท่านั้น ลองอ่านดูใหม่ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 13:26:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 3 มิ.ย. 52 13:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อย่างนี้นี่เองแหะ แล้วอย่างเรานี่จัดอยู่ในประเภทไหนนะ? จากคุณ : MzChewiize - [ 3 มิ.ย. 52 13:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 <เสริมเฉยๆ> ทำไม homosexual ถึงได้ถูกถอดออกจากความผิดปกติทางจิตนั้น หากใครอยากรู้ให้ลองหางานวิจัยของเอเวอลีน ฮุคเกอร์, Avelene Hooker (สะกดถูกป่าวหว่า) มาอ่านดู เป็นงานวิจัยที่มีชื่อเสียงมาก และพลิกเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของการยอมรับรักร่วมเพศในสาธารณชน จากคุณ : Cryptomnesia - [ 3 มิ.ย. 52 13:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 31 รูปแบบความคิดของคุณเป็นแนวการใช้เหตุผลวิบัติครับ เอาข้อเท็จจริงด้านนึง มาโยงรวมกับความเห็นด้านนึง แล้วตีขลุมให้คนคล้อยตาม ผมเห็นว่ามันผิดก็เลยแย้งไงครับ ส่วนจะรับฟังไหมอันนี้เป็นสิทธิของคุณนี่ครับ ผมไม่ได้เอาปืนไปจ่อหัวให้คุณทำตามที่ผมพูดซักหน่อย ถ้่าไม่อยากให้มีคนแย้งแนะนำให้เขียนเองโพสเองอ่านเองใน blog ครับ จากคุณ : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน - [ 3 มิ.ย. 52 14:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กลับมาแล้วครับ ออกไปไปรับประทานอาหารกลางวันมาอิ่มแล้ว ข้างต้นผมอาจจะใช้ตัวอักษรที่แรงไปบ้าง ก็ขอโทษนะครับ แต่คงไม่อาจจะเห็นด้วยในบางประเด็น เพราะเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งไม่ตรงกันเท่านั้น ตรงนั้นพักกันไว้ก่อน เพราะคงไม่สามารถจะหาข้อยุติด้วย การเขียนในกระทู้ หวังว่าต่างฝ่ายคงไม่มีอารมณ์กันมากเกินไป จากการโพสในความคิดเห็นก่อนหน้านี้ ผมมีความรู้สึกว่า คุณแสดงออกว่ามีความรู้ในด้านนี้พอสมควร ผมจึงอยากถามว่า คุณ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน ทำงาน หรือจบมาในสาขาที่ เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา หรือจิตเวช หรือไม่ครับ ถ้าคุณ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน มีประสบการณ์ในด้านนี้ ผมอยากขอให้แนะนำหนังสือที่ผมจะใช้เป็นข้อมูลสักหน่อยครับ ว่าผมควรจะอ่านเล่มไหนดี ที่มีคนเขียนวิเคราะห์เรื่องทางนี้เอาไว้ อย่างเข้าใจง่าย ขอความช่วยเหลือในด้านข้อมูลหน่อยครับ ปัญหาของผมคือ ขณะนี้ผมมีความต้องการเขียนเรื่องสั้น หรือนวนิยาย เกี่ยวข้องกับฆาตกรต่อเนื่อง แต่เมื่ออ่าน เรื่องที่เขียนแล้ว ผมพิจาณาว่า มัน "จืด" เกินไป เนื่องจากผมยังไม่อาจเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของฆาตกรได้ดีพอ เรื่องจึงยังไม่สมจริง ผมจึงเริ่มมีความสนใจที่จะอ่านเรื่องทางจิตเวช เพื่อทำความเข้าใจความรู้ในส่วนนี้ แต่ก็ยังไม่พบหนังสือ ที่วิเคราะห์กรณีดังกล่าวอย่างชัดเจนเลย อย่างเช่น ประเภท มูลเหตุจูงใจ ความรู้สึกข้างใน และอื่นๆ คุณพอจะให้ตำแนะนำข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในส่วนนี้ได้ไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 14:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ใช้ทุนปีสามครับ ตอนนี้เป็น ผอ. รพ.ชุมชนแห่งหนึ่งแถวๆภาคใต้ครับ เรื่องจิตเวชก็พอรู้บ้างในระดับ GP ครับ ทั่วไปก็อ่านจากตำราจิตเวชของรามา แต่ผมเคยซื้อหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในอาชญากรต่อเนื่องมาอ่าน รู้สึกจะซื้อจากศูนย์จุฬา เดี๋ยวเลิกงานกลับบ้านแล้วจะเอาชื่อมาให้ดูครับ (คนไข้หมดแล้ว ว่างงงงงงงงงง) แล้วก็ในห้องหว้ากอรู้สึกจะมี resident จิตเวชอยู่คนสองคนนะครับ ถ้าจำไม่ผิดนะครับ ผมว่าลองปรึกษาพวกเขาดูก็ไม่เลวครับ จากคุณ : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน - [ 3 มิ.ย. 52 15:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ พออ่านแล้วก็อยากรู้มากขึ้น เพราะความรู้ของผมอยู่แต่ในด้าน อุตสาหกรรมอาหาร ดังนั้นเรื่องทางนี้ผมจึงไม่มีความรู้เลย พอเริ่มสนใจ ก็ใช้วิธีัออกจะลูกทุ่งอยู่ คือผมไปหาเช่า หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิต เคสต่างๆ (ส่วนมากมักเป็นของ สรจักร เขียน) กับไปยืมหนังสือเรียน ด้านจิตเวชศาสตร์ มาจากห้องสมุดสองสามเล่ม แต่ก็รู้สึกว่า ยังไม่ได้ในจุดที่ต้องการ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 3 มิ.ย. 52 15:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โอตาคุ แบบไทยนี่มันเป็นยังไงอะ - - เท่าที่รู้จัก โอตาคุ ส่วนใหญ่มันจะพูดญี่ปุ่นได้ไม่ก็เรียนเอกญี่ปุ่น โอตาคุไม่จำเป็นต้องเก็บตัวมากกว่านะ บางคนก๊อชอบเข้าสังคมปั่นโด ทำชุดคอสมาแต่งกัน เพื่อนผมเป็นโอตาคุ จูบฟิคเกอร์ หมอนข้าง ที่นอนลายอนิเมะก็สะสมไว้เยอะมาก(และไม่กล้าเอามาใช้) เวลาทำงานมันก็ปกติ เวลาอยู่ในห้องถึงกลายเป้นโอตาคุ โอตาคุไม่ได้ตัดขาดสังคม คนที่ตัดขาดจากสังคมไม่จำเป็นต้องเป็นโอตาคุ โอตาคุไม่ได้เป้นสับเซ็ทของ NERD NERD และ โอตาคุ เป็นสับเซ็ทมาจากอย่างอื่นอีกที จากคุณ : mr.social - [ 3 มิ.ย. 52 16:10:02 A:124.120.232.248 X: TicketID:194874 ]

ความคิดเห็นที่ 36 #25 Taro Aso เนี่ย เขาแค่ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง Rozen Maiden เป็นพิเศษเท่านั้นเอง ไม่น่าจะถึงกับเป็นโอตาคุในแบบที่คนญี่ปุ่นมองจริงๆ เพราะผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นจำนวนมากเขาก็ยังซื้่อมังงะ(หนังสือการ์ตูน)อ่านกันเป็นเรื่องปกติ เห็นมีแต่โอตาคุเท่านั้นที่ไปเหมาว่า Taro Aso เป็นโอตาคุด้วย(ตาTaro ก็คงหวังฐานเสียงด้วยล่ะมั๊ง) #35 ผมว่าเราต้องนิยามคำว่าโอตาคุ ให้ตรงกันเสียก่อนล่ะมั๊ง ? อย่างเพื่อนคุณที่ยกตัวอย่างมา เขาได้ทำแบบนั้นข้างนอกไหม? (คุยกับฟิกเกอร์ หรือจูบฟิกเกอร์) จากคุณ : ....4จุด - [ 3 มิ.ย. 52 17:32:14 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาอ่าน จ่าพิชิต ขจัดพาลชน กับ DigiTaL-KRASH!!! เถียงกันแล้วตลกดี ปกติถ้าเป็นคู่อื่นคงออกทะเลด่ากันเละ แต่อันนี้คุยกันด้วยเหตุผลดีน่านับถือ=w= ข้าน้อยขอคาราวะหนึ่งจอก ~ จากคุณ : dogfly - [ 4 มิ.ย. 52 00:54:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 - คนเรามีอารมณ์ได้ตามปกติ แต่ควรให้เหตุผลมีน้ำหนักมากกว่าอารมณ์ (ผมมักจะหลุดๆบ้าง ส่วนมากตอนหิวหรือยังไม่ได้กินข้าว) และผมคิดว่า คนเล่นห้องหว้ากอส่วนใหญ่ น่าจะมีอะไรคล้ายๆกันนี่แหละ คือไม่ได้เอนเอียง ไปทางอารมณ์มากเกินไป จนพูดกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งต่างจากห้องอื่น บางห้อง - ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณจ่าพิชิตฯ พยายามจะบอก แต่ผมก็ได้พยายาม บอกในจุดของผมว่า ผมรู้ว่าตามที่เป็นทางการแล้ว เป็นอย่างไร แต่ผมก็อยากให้ความเห็นส่วนตัวผมบ้าง แล้วอยากวิจารณ์ว่า การตัดสินนั้น กระทำโดยคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ณ วันนี้เรารู้ว่าข้อสรุปเป็นยังไง แต่อนาคตอีกสิบปี ร้อยปี พันปี เราไม่รู้ ซึ่งตรงนี้เท่านั้น ที่ไม่ตรงกัน ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้น แต่ผมพิจารณาแล้ว มันก็เป็นแค่เรื่องปลีกย่อย ไม่น่าจะต้องเถียงกันใหญ่โต - ผมยึดหลักอยู่อย่างว่า อะไรที่เรารู้ เราต้องยืนยันว่ารู้ แต่อะไรที่เราไม่รู้ เราก็ต้องยอมรับว่าเราไม่รู้ ถ้าเจอคนที่น่าจะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือมีความรู้ในเรื่องนั้น มากกว่าเราแน่นอน เราต้องไม่ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว แต่ต้อง เรียนรู้เพิ่มเติืม จากคนคนนั้นที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นมากกว่าเรา - จากที่สนทนากัน คุณจ่าพิชิตฯน่าจะเป็นคนที่มีความรู้ตรงนี้มาก ดังนั้นน่าสนใจที่จะขอถาม ขอเรียนรู้จากเขา เพราะเรื่องนี้(จิตเวชศาสตร์) น่าสนใจ และน่าสนุก อะไรที่น่าสนุก ผมจะชอบถามแล้วก็ชอบฟัง จากคนที่รู้จริง เพื่อว่าเราจะได้มีความรู้เพิ่มขึ้นจากการฟัง เห็นไหม ว่าการมีข้อขัดแย้ง สามารถสรุปได้ด้วยตรรกะ มากกว่าอารมณ์ และก็สามารถคุยกันดีๆต่อได้ แต่เอาไว้ตั้งกระทู้ถามอีกทีดีกว่า กระทู้นี้เริ่มตกไปแล้ว จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 4 มิ.ย. 52 10:00:37 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เห็นด้วยครับ การถกเถียงกันที่ดีคือควรทำตัวเป็นแก้วเปล่าๆไว้รองรับน้ำ ไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว รับอะไรมาก็ปริ่มล้นออกหมด โอย เพลีย กะจะค้นหาหนังสือให้คุณ Digital แต่เจอเคสเด็กจมน้ำกับคนไข้ล้นวอร์ด ผมขอนั่งพักก่อนล่ะครับหมดแรงแว้ว จากคุณ : จ่าพิชิต ขจัดพาลชน - [ 4 มิ.ย. 52 11:26:22 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณคุณจ่าพิชิตฯ มากๆครับ เอาไว้ว่างๆก่อน ค่อยๆหาก็ได้ครับ ไม่ซีเรียส (ตอนนี้ก็มีงานเข้าเหมือนกัน โดนทวงงานวิจัย) ไว้ผมจะมาขอคำปรึกษาต่ออีกทีนะครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 4 มิ.ย. 52 14:36:38 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ตอบคุน 4จุด จูบฟิกเกอร์ข้างนอก? ถ้าแบกฟิกเก้อออกไปจูบข้างนอกเพื่อเจตนาโชว์ มันไม่ใช่โอตาคุคับ เค้าเรียกคนบ้า โอตาคุไม่ได้แปลว่าบ้า ไอ้พวกไม่ทำงานทำการมันคือ NEET ไม่ใช่โอตาคุ โอตาคุบางคนเป็น NEET แต่ NEET ทุกคนไม่ใช่โอตาค จากคุณ : mr.social - [ 4 มิ.ย. 52 18:31:33 A:112.142.127.169 X: TicketID:194874 ]

ความคิดเห็นที่ 42 #41 แล้วตกลงว่า โอตาคุของคุณเอาความหมายจากไหน จากญี่ปุ่น หรือจากความเชื่อที่เด็กไทยเชื่อกัน? เด็กไทยคิดว่า mania คือ โอตาคุ ดูเดนฉะโอโตโกะ กับ เกนชิเคน ก็เหมารวมแล้วว่านั่้นคือโอตาคุที่เว่อสุดๆแล้ว ทั้งๆที่อนิเมะ/หนัง เขาทำภาพให้ดูไม่รุนแรง จะได้ทำให้ขายได้กว้างๆ ก็คือภาพที่เห็นน่ะไม่ถึงกับโอตาคุหรอก แค่คนชื่นชอบการ์ตูนระดับธรรมดาๆ โอตาึคุของจริง ยิ่งกว่านั้นเยอะ โอตาคุไม่จำเป็นต้องไม่ทำงาน(ไม่ทำงานคือ NEET อะถูกแล้ว) แต่ที่ทำงานดันเข้ากับสังคมคนส่วนใหญ่ไม่ได้ คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง จะเรียกว่าเพราะงานอดิเรกไม่ตรงกับใครไหม คงไม่ใช่ แต่เป็นว่า แยกแยะกาลเทศะ หรือมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นกันไม่เป็นมากกว่า เช่นเขาคุยเรื่องตีกอล์ฟ ว่าสนามไหนน่าสน ที่ไหนแค๊ดดี้สวย คุณก็โพล่งไปว่า ผมตีปังย่าได้บ่อยๆนะเก่งมาก หรือคุยกันเรื่องสงครามอ่าวเปอร์เซียร์ คุณดันพูดถึงสงคราม1ปีของซีออนกับสหพันธ์ การที่มองสภาพการณ์ไม่ออก ไม่ดูอารมณ์ฝั่งตรงข้าม ลากเข้าหัวข้อที่ตัวเองสนใจฝ่ายเดียวโดยไม่สนว่าเขาสนใจด้วยไหม แบบนี้แหละครับที่ผมเรียกว่าโอตาคุ ป.ล. จูบฟิกเกอร์ถ้ายังอายุเด็กๆ คงไม่เท่าไร แต่ถ้าโตแล้วยังทำ เขาเรียกว่า พวก Fatishism แล้วล่ะครับ ไม่ว่าจะจูบในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม จากคุณ : ....4จุด - [ 4 มิ.ย. 52 21:51:32 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เอ้า 4 จุด ใช้ความหมายของโอตาคุตามที่คุณคิดเท่านั้นผมก็ไม่เถียงด้วยแล้ว -*- จากญี่ปุ่นที่4จุดว่ามันคืออะไรล่ะ? โอตาคุต้องก่อคดีเท่านั้น? มันไม่ใช่ชื่อโรคทางวิชาการนิหวา ไอโอตาคุเนี่ย ความหมายก็กำหนดกันเอาเอง แล้วก็บอกว่าของคนอื่นไม่ใช่ ของตัวเองคิดต้องเป้นของจริง? เหรอ? 4จุดกำลังบอกผมว่าโอตาคุต้องบ้า ไม่บ้าไม่ใช่โอตาคุ?? -*- จากคุณ : mr.social - [ 5 มิ.ย. 52 11:48:36 A:112.142.127.169 X: TicketID:194874 ]

ความคิดเห็นที่ 44 น่ากลัวมาก จากคุณ : เล็กกว่าโลง - [ 5 มิ.ย. 52 15:04:35 ]

ความคิดเห็นที่ 45 #43 ที่มาของโอตาคุแท้ๆ ก็มาจากฆาตกรโรคจิต แม้่ว่าภายหลังจะไม่ได้่หมายถึงฆาตกรโรคจิตอีกแล้ว แต่ความหมายมันก็ไม่ได้ดีขึ้นมาก จนขนาดกลับดำเป็นขาวหรอกนะครับ ยังไงมันก็ยังเทาๆอยู่เยอะ คือความหมายมันเป็น negative ในตัวอยู่แล้วล่ะ เหมือนกับภาษาไทยคำว่าหมกมุ่น ที่แปลว่าเอาใจจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป จนละเลยเรื่องอื่นๆที่จำเป็นกว่า มันก็คงจะใช้ภาษาวิบัติแปลให้มันดีขึ้นจนกลายเป็น คนเก่งที่เชี่ยวชาญไม่ได้หรอก นอกเสียจากเรียนภาษาไทยมาน้อยไป เลยตีความมั่วแบบนั้น ไอ้แบบเด็กโอตาคุส่วนใหญ่ต้องเรียนเอกญี่ปุ่นไรงี้ อันนี้ผมว่ามันคิดเองเออเองมากไปกว่าซะอีกนะครับ จริงอยู่ว่าโอตาคุ ไม่ใช่ศัพท์บัญญัติ อาจมีการเปลี่ยนแปลงความหมายไปได้บ้าง แต่ไอ่ที่เปลี่ยนแปลงน่ะ เปลี่ยนเพราะอะไร เปลี่ยนโดยใคร จากสังคมไหน แล้วอันไหนน่าเชื่อถือว่ากัน? ถ้าถาม เจ้าของบ.อนิเมะ ผู้ผลิตฟิกเกอร์ เขาก็ต้องบอกโอตา่คุนั้นไม่เลวร้ายหรอก ดีซะอีก ชอบมากๆ ก็ซื้อเยอเะๆ กำไรเยอะ โอตาคุคือลูกค้าเขานี่นา เขาจะพูดในแง่ร้ายทำไม ถ้าถามเจ้าตัวโอตาคุเอง เขาก็ต้องบอกว่าแค่ชอบงานอดิเรกที่คนอื่นไม่ชอบเท่านั้นเอง อย่ากีดกัน แต่ถ้าลองถามสื่อหรือคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ล่ะ? เขาคิดแบบคนไทยหรือเปล่า? จากประสบการณ์ตรงถ้าพูดถึงเรื่องนี้ เขาจะยี้ทันที แม้ว่าคนพูดจะอ่านการ์ตูนซื้อฟิกเกอร์บ้างก็ตาม แต่เขาบอกว่า โอตาคุมันมากเกินกว่าปกติไปแล้ว คนธรรมดา ดูหนังการ์ตูน อ่านการ์ตูน ซื้อฟิกเกอร์ กันบ้างไม่แปลก แต่ก็ไม่ได้คลั่งหรือหมกมุ่นขนาดโอตาคุ ผมเองตอนได้ยินคำนี้ใหม่ๆ ก็คิดในแง่ค่อนข้างดีเหมือนคุณน่ะแหละ(ได้ยินความหมายจากฝั่งไทย) แต่พอไปค้นรายละเอียด รวมไปถึงพูดคุยกับคนที่อยู่ที่นั่นจริงๆแล้ว ก็พบว่าความหมายมันเชิงลบอย่างมากเลยทีเดียว ก็็เลยไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมคนไทยถึงต้องบิดความหมายมันให้ดีขึ้น จนเด็กๆอยากจะเป็นโอตาคุกันเสียด้วยซ้ำ(wannabe) เพื่อการตลาด? หรือเพื่อสร้างลัทธิใหม่? คุณจะเชื่อใครมากกว่ากัน ระหว่างคนไทยกับคนญี่ปุ่นเจ้าของคำศัพท์? จากคุณ : ....4จุด - [ 5 มิ.ย. 52 18:19:25 ]