ความคิดเห็นที่ 1 2 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 3 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 3 4 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เวลาดูโฆษณาทีวี โดยเฉพาะพวกผลิตภัณฑ์ขายตรง หรือโฆษณาตามหน้านิตยสาร ผู้อ่านคงจะเคยได้ยินประโยคแบบนี้ผ่านหูมาบ้าง “จากผลการทดสอบของสถาบัน “โน่นนี่ๆ” ครีม “ขาวปิ๊งๆๆ” สามารถช่วยลดปัญหาฝ้าได้ถึง 25%” “จากการศึกษาของสถาบัน “X” แห่งสหราชอาณาจักร การดื่มซุปไก่สกัดจะสามารถบรรเทาอาการอ่อนเพลียได้” “จากการทดลองพบว่า สารสกัดแคปไซซินจากพริก สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น คุณจึงมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร X จะทำให้สัดส่วนกระชับอย่างเห็นได้ชัด” ฟังดูแล้วช่างน่าเชื่อถือเสียจริง มีการศึกษาวิจัย ทดลอง เป็นระบบขั้นตอน เป็นวิทยาศาสตร์ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองมาดูเบื้องหลังของงานวิจัยที่ว่าบ้าง ถ้าเป็นแบบนี้ คุณยังจะอยากซื้อสินค้าอีกหรือไม่ “จากการให้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 20 คน ใช้ครีมทาฝ้าเป็นระยะเวลา 2 เดือน แล้วทำแบบสอบถามว่าฝ้าลดลงหรือไม่ พบว่าผู้ทำแบบทดสอบจำนวน 5 คน ตอบว่าปัญหาฝ้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด” “จากการศึกษาของสถาบัน “X” โดยศาสตราจารย์... ให้กลุ่มตัวอย่างดื่มซุปไก่สกัด เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่า พบว่ากลุ่มที่ดื่มซุปไก่สกัดมีการปลดปล่อยพลังงานมากกว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่า 12 %” “จากการทดลอง สารสกัดแคบไซซินจากพริก สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในหลอดทดลองได้ แต่การกินสารสกัดแคปไซซินในปริมาณเท่ากับที่ใช้ในหลอดทดลองนั้น อาจจะทำให้คุณกระเพาะทะลุตายได้ และถ้ากินน้อยกว่าที่ทำการทดลอง ก็ไม่ทราบว่าจะเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้หรือไม่” จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 6 งานวิจัยที่ดี จะสามารถไขคำตอบให้กับสมมติฐานต่างๆเพื่อปูทางให้กับการวิจัยในอนาคต เพื่อสรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ในทางตรงกันข้าม งานวิจัยที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดความน่าเชื่อถือ หรือมีความเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เมื่อนำไปใช้อ้างอิง หรือนำไปใช้ปฏิบัติ ย่อมส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในทางลบเช่นกัน วิชาหนึ่งที่นักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ต้องเรียน คือ Methodology ซึ่งว่าด้วย “การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย” เหตุผลที่ต้องเรียนวิชานี้ เพื่อจะได้สามารถออกแบบการศึกษาให้มีมาตรฐาน เป็นประโยชน์และนำไปใช้ได้จริง รวมถึงสามารถประเมินความน่าเชื่อถือจากผลงานวิจัยต่างๆได้ เพราะผลการวิจัยจำนวนไม่น้อยนั้นมีความขัดแย้งกันเอง ดังที่กล่าวว่า “ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” แต่เนื้อหาในบทนี้ไม่ได้เจาะลึกถึงขนาดนั้น เราจะมาว่ากันด้วย “วิธีวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยในโฆษณา” แบบพื้นๆ เพื่อให้สติและเงินในกระเป๋าไม่หลุดลอยไป จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:31:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เริ่มกันตั้งแต่ สมมติฐานที่ใช้ในการวิจัยหรือโฆษณา การวิเคราะห์สมมติฐานในการวิจัยอาจจะยากไปนิด เพราะฉะนั้นเรามาดูเรื่องสมมติฐานในโฆษณากันดีกว่า หากคุณลองค้นข้อมูลของเรื่องที่นำมากล่าวอ้างทั้งหลาย จะพบว่า การตั้งสมมติฐานและเนื้อหาที่นำไปใช้อ้างอิงในโฆษณาเพื่อขายสินค้านั้น อาจไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดเลย “คลอโรฟิลล์นั้นเปรียบเสมือนเลือดหล่อเลี้ยงให้พืชมีชีวิตอยู่ คลอโรฟิลล์สร้างออกซิเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเซลล์ การได้รับคลอโรฟิลล์ ก็เปรียบเสมือนการบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายให้สดชื่น” ถูกค่ะ คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) สามารถสังเคราะห์ออกซิเจน (O2) ได้ และเซลล์ก็ต้องการออกซิเจนเพื่อดำรงสภาพในการทำงาน แต่... คลอโรฟิลล์สามารถสังเคราะห์ O2 จากสมการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) ดังนี้ 6H2O + 6CO2 ----------> C6H12O6+ 6O2 ซึ่งมีกระบวนการสองขั้นตอน กระบวนการแรก ต้องอาศัยแสง (Light Reactions) ใช้พลังงานแสงโดยตรง(photophosphorylation) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ตั้งต้นนำไปใช้ในกระบวนการที่สองต่อ กระบวนการนี้เกิดขึ้นในชั้น grana ของคลอโรพลาสต์ กระบวนการที่สอง ไม่อาศัยแสง (Dark Reactions) เกิดขึ้นในชั้น stroma ของคลอโรพลาสต์ ประเด็น คือ คลอโรฟิลล์สังเคราะห์ออกซิเจนได้ แต่มันไม่ได้แปลว่า การรับประทานคลอโรฟิลล์ จะทำให้เซลล์คุณได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพราะ • วัตถุดิบตั้งต้นในการสังเคราะห์แสง เพื่อให้ได้ออกซิเจน คือ “แสง” น้ำ และ คาร์บอนไดออกไซด์ • นอกจากวัตถุดิบตั้งต้นในการสังเคราะห์แสง คลอโรพลาสต์ หรือเจ้าตัวคลอโรฟิลล์ที่ว่า ต้องอยู่ในสภาพที่ทำงานได้ แล้วคุณรับประทานคลอโรพลาสต์ที่ว่าเข้าไปในทางเดินอาหาร มันยังจะทำงานได้อีกหรือ ? • ปัญหาที่สำคัญคือ คลอโรฟิลล์มีโมเลกุลใหญ่ เกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ โปรดแยกแยะระหว่าง Beta-carotene ซึ่งเป็นสารประกอบ terpenoids พบในพืชผักที่มีสีเหลือง-ส้ม Beta-carotene สามารถดูดซึมได้ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายค่ะ อ่านแล้วคิดอย่างไรกันบ้างคะ ? กับสมมติฐานออกซิเจน... แนะนำให้ไปอ่านกระทู้ fallacy ของคุณ cryp ได้จ้า ว่าโฆษณาพวกนี้ใช้ fallacy ประเภทไหน จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ถ้าคุณอยากจะทราบว่า คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยชอบกินส้มตำรสชาติแบบไหน ? คุณจะไปถามใครบ้างเอ่ย... หากถามคนในภาคอีสาน คนอีสานอาจจะตอบว่า ชอบตำลาว ใส่ปู ปลาร้าครบเครื่อง และต้องเผ็ดๆ แต่ถ้าไปถามคนไทยเชื้อสายจีนที่ไม่นิยมกินเผ็ดและกินอาหารที่มีกลิ่นแรง กลุ่มนี้อาจจะนิยมตำไทยรสจืดๆ จะเห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของการกระจายกลุ่มตัวอย่าง และจำนวนกลุ่มตัวอย่าง คนเพียงแค่หนึ่งหยิบมือ ไม่อาจจะเป็นตัวแทนอธิบายพฤติกรรมและผลการศึกษาของคนจำนวนกลุ่มใหญ่ๆได้ หากอยากจะรู้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศชอบกินส้มตำแบบไหน ก็ต้องถามคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ถามแค่กลุ่มคนในภาคใดภาคหนึ่ง และต้องใช้จำนวนกลุ่มตัวอย่างมากพอ เพราะจะเลือกถามแค่จังหวัดละคนก็ใช่ที่ (ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนี่คะ) เพราะฉะนั้น งานวิจัยที่ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนหยิบมือหนึ่ง แล้วอ้างราวกับว่าคนจำนวนนั้นเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศจึงเป็นเรื่องที่ “ไม่สมเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง” จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องที่สาม การควบคุมตัวแปรในการศึกษา ในการศึกษานั้นมีตัวแปรอยู่มากมาย ที่สามารถส่งผลให้การศึกษาคลาดเคลื่อนไป หากคุณอยากรู้ว่า ขนมเค้กกับคุกกี้ อะไรทำให้น้ำหนักเพิ่มมากกว่ากัน ต้องเลือกชนิดของเค้ก คุกกี้ และควบคุมปริมาณของขนมที่ใช้ทดลอง เพราะถ้ากินเค้กวันละสองปอนด์ แล้วเปรียบเทียบกับการกินคุกกี้แค่วันละหนึ่งชิ้น เค้กก็ย่อมทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าแน่นอน การเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มซุปไก่สกัดกับน้ำเปล่า ก็คล้ายคลึงกัน การรับประทานอาหาร ย่อมมีการปลดปล่อยพลังงานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ใช้ซุปไก่สกัด แต่เปลี่ยนเป็นการกินไข่ต้มหนึ่งใบเปรียบเทียบกับน้ำเปล่า ผลสรุปคือ ไข่ต้มใบนั้นก็ย่อมทำให้มีการปลดปล่อยพลังงานเช่นกัน (แต่ในโฆษณาก็ไม่ได้โกหก จริงไหมคะ ?) ในงานวิจัย จึงมีศัพท์ที่เรียกว่า “bias” หรือแปลเป็นไทยว่า “อคติ” หมายถึงการควบคุมผลการศึกษาไม่ได้กระทำอย่างตรงไปตรงมา หรือมีแนวโน้มเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง ปัญหาคือ เราไม่อาจล้วงลึกถึงข้อมูลการศึกษาจากผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาได้ เพราะข้อมูลบางอย่างไม่เปิดเผย แต่เราสามารถวิเคราะห์แหล่งที่ทำการศึกษาได้ว่า มีความเป็นกลางหรือไม่ ทั้งจากความน่าเชื่อถือของสถาบัน และแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการทำวิจัย จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องที่สี่ เครื่องมือในการวัดผล ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ แบบสอบถามเกี่ยวกับความเจ็บปวด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วัดได้ยากมาก เพราะคำว่า เจ็บมากและเจ็บน้อยของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน แบบสอบถามความเจ็บปวด (Pain questionnaires) ที่ใช้ในการศึกษาทางการแพทย์ จึงได้รับการออกแบบมาอย่างละเอียดและรอบคอบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ (เจ็บลักษณะไหน เช่นตื้อๆแหลมๆ ระยะและความถี่ที่มีอาการเจ็บ และความรุนแรงในการเจ็บ) อีกตัวอย่าง คือ ผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องฝ้าที่ใช้วิธีตอบแบบสอบถามเป็นเครื่องมือวัดผล ถ้าแบบสอบถามไม่ชัดเจนเพียงพอ เช่น คุณรู้สึกว่าฝ้าจางลงหรือไม่ 1.จางลง 2.ไม่จางลง ผู้อ่านคงคาดเดาได้ว่าผลของการศึกษานี้ ช่างไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ในกรณีที่ใช้เครื่องมือในการวัดผลที่ดีขึ้น เช่น มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์เปรียบเทียบความเข้มของฝ้าและบริเวณที่เป็นทั้งก่อนและหลังการรักษา กล่าวคือ มีหลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบที่ชัดเจน ไม่ใช่ใช้ความ “รู้สึก” มาวัด กรณีนี้จะได้ผลการศึกษาที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือกว่าเป็นอย่างมาก จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:33:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นอกจากการประเมินในหัวข้อที่กล่าวถึงแล้ว ยังมีวิธีประเมินในส่วนต่างๆอีกมาก แต่พอหอมปากหอมคอกันเพียงเท่านี้ค่ะ ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะทำการศึกษาในหลอดทดลอง หรือสัตว์ทดลองบางอย่างแล้วเอามาสรุปผลใช้กับคน เพราะถ้ามีการศึกษาทดลองในคนอย่างชัดเจน และออกฤทธิ์ต่อระบบการทำงานของร่างกายอย่างมีนัยยะสำคัญ ผลิตภัณฑ์นั้น จะถูกจัดประเภทเป็น “ยา” (แต่ก่อนเรียก อาหารเสริม ทว่าทาง อย. ยกเลิกเปลี่ยนเป็น “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ไม่สามารถเป็น “อาหาร” เสริมให้กับร่างกายได้ แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่นำมา “เสริม” สำหรับคนที่รับประทานอาหารไม่ถูกส่วนหรือขาดสารอาหารค่ะ) ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางค์ จะทำการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างจำนวนเล็กน้อย ซึ่งปัจจุบันสารสกัดที่ออกฤทธิ์ต่อผิวอย่างเห็นได้ชัดและเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์มีไม่มากนัก เมื่อทราบแบบนี้แล้ว เวลาฟังโฆษณา ก็ต้องฟังหูไว้หู เผื่อใจเสมอค่ะ จบแล้วจ้ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ... จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คงไม่น่าเบื่อจนหลับนะคะ งุงิ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 10:44:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จากคุณ : Phoenix032 - [ 14 มิ.ย. 52 10:45:11 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เค้าเรียก ว่า ผลการทดลอง ที่มีผลสรุปตั้งอยู่แล้ว หรือ ตั้งธง - ให้ตั้งชื่อการทดลองให้ได้ผลตามนั้น - ให้ควบคุมการทดลองให้ได้ผลตามนั้น - ให้ตั้งจุดประสงค์ โน้มไปทางผลสรุปที่ต้องการ เป็นคำโฆษณา จากคุณ : IRQ5 - [ 14 มิ.ย. 52 10:56:52 ]

ความคิดเห็นที่ 16 วู้วววว อยากโหวต ขอบคุณคะ ^^ จากคุณ : บ้าเกาหลี - [ 14 มิ.ย. 52 10:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ยาวจนขี้เกียจอ่านเลยแฮะ (แต่ก็อ่านจนจบ) ส่วนใหญ่เป็น common sense ที่ทุกคนควรรู้กันอยู่แล้วนะเนี่ย แต่ก็คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองข้ามตรงจุดนี้ไปเช่นกัน โหวตให้ละ จากคุณ : MoMelyz - [ 14 มิ.ย. 52 11:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เยี่ยมเลย จากคุณ : Lekfoto - [ 14 มิ.ย. 52 11:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบภาพประกอบจังครับ ^__^ เห็นมานานแล้วว่าโฆษณาชอบหมกเม็ดอ่ะครับ โดยเฉพาะพวกเครื่องสำอางค์ที่อ้างความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างน่ะ ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนนิดเดียวแต่โฆษณาซะใหญ่โตเลย แต่ดูเหมือนว่าคนก็ซื้อสินค้าที่โฆษณาแบบนี้อยู่ดีนะครับ ^^" จากคุณ : sleeper_j - [ 14 มิ.ย. 52 11:25:16 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านถึง#3 หัวเราะก๊ากเลย จากคุณ : 0vvaynar0 - [ 14 มิ.ย. 52 11:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คห.19 คุณ sleeper_j คะ เอ่อ.. เรื่อง เครื่องสำอางค์ คงถือเป็นกรณียกเว้นอ่ะค่ะ แบบว่าผู้หญิงอย่าหยุดสวย 555 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 12:17:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทำไมวันนี้ลูกเป็ดขยันหล่ะนี่ จากคุณ : WindMaster - [ 14 มิ.ย. 52 12:17:58 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยู่ห้องแลปคอมค่ะ มาเรียนวาดภาพกราฟฟิค หนีออกไปไหนไม่ได้ ระหว่างฟังอาจารย์เลยแอบเล่นพันทิพ อิๆ... คิดอยุ่เหมือนกันกลัวคนอ่านหลับไปก่อน หรือไม่ก็รีบกดปิดเพราะตัวหนังสือเป็นพรืดดด ฮาๆ อันที่จริงเรื่องนี้เคยเขียนนานมากๆแล้วค่ะ แต่เห็นมีคนถามถึงซุปไก่ จำได้ว่าเราเคยแอบจิกกัดอยู่ จึงนำมาโพสต์อีกครั้งหนึ่ง ส่วนจิกกัดรังนกนี่ต้องแยกประเด็นรังนกบรรจุขวดกับรังนกที่ขายเป็นรัง ซึ่งกรณีหลังใช้ในการแพทย์แผนจีน ไม่อยากให้นำมาเปรียบเทียบกัน เนื่องจากรังนกบรรจุขวดมีรังนกอยู่น้อยมากๆ ไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์มั้งคะ ที่จริงจะเขียนยาวกว่านี้อีกนะ แต่อย่างว่า กลัวคนอ่านเบื่อ หลังๆเลยสรุปย่อๆเฉพาะประเด็นที่พบบ่อยในการโฆษณา แต่แบ่งแบบไม่มีหลักเกณฑ์เน้อ ใช้หลักเกณฑ์ตามใจฉัน มีเรื่องเก่าๆเก็บไว้ในบล๊อกอีกนิดหน่อย ถ้าสนใจจะค่อยๆทยอยนำมาลงค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 12:31:07 ]

ความคิดเห็นที่ 24 #21 ทั้งๆ ที่บางคนหยุดไปนานแล้ว ก็ยังจะซื้ออีก จากคุณ : oppertunity - [ 14 มิ.ย. 52 12:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 รูปน่ารักจังเลย โหวต ๆ ^^ นะครับนะ จากคุณ : Ninoou - [ 14 มิ.ย. 52 12:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ว่าที่กระทู้แนะนำวันจันทร์เรียงคิวกันมาเป็นแถว ข้างล่างก็เป็นกระทู้ยาต้านเอดส์ของจ่าพิชิต คุณหมอจิตเวช พี่ลูกเป็ดได้ลงไปอ่านหรือยัง แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 12:37:44 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 14 มิ.ย. 52 12:37:30 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาชม จากคุณ : i.everyday - [ 14 มิ.ย. 52 12:40:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 นึกถึงโฆษณารังนกบรรจุขวดยี่ห้อหนึ่ง ที่มีชายหนุ่มโดนหญิงสาวตามหึง แย่งเอารังนกมาสาดหน้า ผ่านไปนานๆ ชายหนุ่มก็ยังคงหนุ่มอยู่ แสดงว่า รังนกบรรจุขวดเอามาทาหน้าจะทำให้หน้าอ่อนสินะ จากคุณ : หมีอ้วนขนนิ่มสมัครอมยิ้มมาเฮฮา - [ 14 มิ.ย. 52 12:54:16 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ คุณลูกเป็ด ว่าแต่ งวดนี้ เป็น ญ ซะแล้ว จากคุณ : คาถาป้องกันแห้ว - [ 14 มิ.ย. 52 13:04:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อยากโหวตให้จัง ^^ ป.ล. ตัวจริงจะน่ารักเหมือนการ์ตูนมั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆ จากคุณ : Sleeper MoNKeY - [ 14 มิ.ย. 52 13:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เราทำงานโฆษณาอยู่ ขอบอกว่าไอ้ที่อวดอ้างสรรพคุณทั้งหลายนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ ประเด็นคือ "ทำอย่างไรให้ส่งเซ็นเซอร์ผ่าน และหลีกเลี่ยง อย.ได้" จากคุณ : Dequardo - [ 14 มิ.ย. 52 13:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 32 การ์ตูนน่ารักดีครับ โฆษณาก็ต้องบอกด้านที่ฟังแล้วดีที่สุดเสมอแหละครับ จะซื้ออะไรก็คงต้องศึกษาดูกันอีกที จากคุณ : mrmamonzx - [ 14 มิ.ย. 52 14:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาแจกกิ๊ฟ^^ จากคุณ : พจมารร้าย - [ 14 มิ.ย. 52 14:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 34 หมดไป 3 กีบ โดยไม่รู้ตัว - -" (เพิ่งเถียงกับแฟนเรื่องไก่ดำเมื่อไม่นานมานี้เอง) จากคุณ : สมบัติดี - [ 14 มิ.ย. 52 14:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โหวตให้คุณเป็ดฯขี้ โดยส่วนตัวถ้าไม่ได้เห็นหลักฐานใดๆ (ในกรณีนี้คือได้อ่านเปเปอร์) ก็จะไม่เชื่ออยู่แล้วครับ เป็นพวก skeptic แต่สำหรับฐานลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไป เขาคงไม่ใช้เหตุผลหรือกลั่นกรองมากมายหรอกครับ ขอให้เป็นสินค้าใหม่ มีพรีเซนเตอร์ดูดี ใช้แล้วเหมือนได้เสพรสนิยม ฯลฯ ก็เพียงพอแล้ว ไอ้การอ้างอิงงานวิจัยหลายๆ อย่างนี่ก็เหมือนน้ำจิ้ม การจะมานั่งคิดว่า เฮ้ยสมุนไพรตัวนี้มันมีสรรพคุณอย่างนี้จริงหรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนไปใช้อีกยี่ห้อนึงที่ใช้สมุนไพรอีกตัว ความเนียนของหน้าจะเพิ่มขึ้น 0.73% ในราคาที่เพิ่มขึ้น 50 บาท เฮ้ยคุ้มนะเนี่ย ฯลฯ คงไม่มีใครทำ สรุปคือ พฤติกรรมการซื้อสิ้นค้าพวกนี้มันไม่เหมือนพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่วัดค่าได้ชัดเจน เช่น คอมพิวเตอร์ ครับ เพียงแต่มันจะน่าหมั่นไส้ที่พอซื้อมาแด๊กแล้วมาคุยว่า "โฮ้ย เนี่ยล่ะเห็นมั้ย ยี่ห้อนี้ใช้ดี ดูหน้าชั้นสิ ใสปิ๊ง เห็นเขาว่าทำมาจากอัณฑะเป็ดล่ะเธอ อัณฑะเป็ดนี่ดีจริงๆ เห็นว่าวิจัยกันที่ปารีส สาวปารีเชียงใช้กันทุกคนเลยเธอ โขวโบก" แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 15:02:52 จากคุณ : PastelSalad - [ 14 มิ.ย. 52 15:02:15 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คห.30 อยากโหวตให้จัง ^^ ป.ล. ตัวจริงจะน่ารักเหมือนการ์ตูนมั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆ จากคุณ : Sleeper MoNKeY จัดให้ค่ะ ตัวจริงหน้าตาแบบนี้เลย . . . . . . . . . . . ตาปิ๊งๆเหมือนในรูป ผมก็ทรงเดียวกันเปี๊ยบ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 15:29:47 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แต่การกินสารสกัดแคปไซซินในปริมาณเท่ากับที่ใช้ในหลอดทดลองนั้น อาจจะทำให้คุณกระเพาะทะลุตายได้ - กร้าก ฮาประโยคนี้ ขอยืมไปใช้บ้างเด้อ  กร้าก ๆ ๆ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 14 มิ.ย. 52 16:44:26 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เคยได้ยินอาจารย์บอกไว้ว่า พวกงานวิจัยที่ให้ผู้ใช้ทดลองสินค้าชนิดนั้นอย่างเดียวโดยไม่มีตัวหลอกหรือ placebo ที่ให้เปรียบเทียบ หากผลการทดสอบพบว่าดีขึ้นไม่เกิน 25% ถือว่ายังไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นปริมาณ % ที่ผู้ใช้คิดไปเองมากกว่า ไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากคุณ : ปิศาจร้ายยามจำเป็น - [ 14 มิ.ย. 52 22:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 39 สารภาพตรงๆ อ่านไม่จบครับ ถ้าอ่านจบคงหลับก่อน แต่ก็พอได้ idea ครับ พอรู้อยู่แล้วครับว่าไอ้พวกนี้มักจะโฆษณาหลอกลวงประชาชนเสมอ จากคุณ : Umiki - [ 14 มิ.ย. 52 22:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ทำไมเราไม่คิดได้แบบนี้บ้างนะ จากคุณ : SZ (StitchZaa) - [ 14 มิ.ย. 52 23:18:42 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมเคยเห็นโฆษณาครีมยี่ห้อหนึ่ง จำไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไร แต่ไม่นานมานี้เองครับผม เค้าบอกว่า "ผลสำรวจจากผู้ใช้ 96% บอกว่าพึงพอใจ" แต่ว่ามี * อยู่ด้านล่างตัวเล็กๆ ว่า "จากการสำรวจกลุ่มผู้ใช้ 42 คน !!" (ประมาณๆ นะครับความจำไม่ค่อยดี) ผมเลยคิดว่า*** มันอาจจะ**ไปสำรวจคนซัก 500 คน คนอาจจะบอกว่าพึงพอใจ 75 คน(ใน 500) แต่ว่าตอนจะเอามาโฆษณาเนี่ย คงคัดเอามาซัก 42 คน โดยคัดเอาคนที่พอใจมา 40 คน และคนที่ไม่พอใจมา 2 คน (จากผลสำรวจทั้งหมด 500 คน) ปล. เป็นการคาดเดานะครับ ไม่ทราบว่าจริงเท็จยังไงเหมือนกัน จากคุณ : Bz in Red - [ 14 มิ.ย. 52 23:50:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 การ์ตูนน่ารักดีครับ จากคุณ : คิดชื่อนานมากๆ - [ 15 มิ.ย. 52 00:07:19 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ว่างๆ หาพวกงานวิจัยพวกนี้มาสับก็ท่าจะดีนะครับ ทั้งรังนก เปปทีน ซุปไก่ จากคุณ : amscmu - [ 15 มิ.ย. 52 00:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ทาแล้วดูขาวขึ้น ดูใสขึ้น อืมม... จากคุณ : มือปราบหน้าใส - [ 15 มิ.ย. 52 06:35:07 ]

ความคิดเห็นที่ 45 จากประสบการณ์ของผม งานวิจัยในโฆษณา ได้ผลน้อยกว่าป้ายนี้ครับ และจะได้ผลมากขึ้นอีกถ้า - ลด 70% - double point จากคุณ : หมอเถื่อน - [ 15 มิ.ย. 52 13:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เปปทีนมีคนสับแหลกเยอะมากเลยค่ะ อยากอ่านยกมือขึ้น เอ่อ แต่ถามก่อน ว่าล็อคอินเราจะโดนสับรึเปล่าน่ะสิ... ขำๆตั้งแต่กลุ่มตัวอย่าง ตัวสถิติที่ใช้ และวิธีการทดลอง เพราะ 2 การทดลองที่อ้างอิงถึง มีกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มละไม่ถึงสิบคน... แถมไม่มีการควบคุมตัวแปรอีก จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 15 มิ.ย. 52 14:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 47 การ์ตูนน่ารักมาก จากคุณ : apotheker - [ 15 มิ.ย. 52 14:18:54 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คิดเหมือน #15 เลยครับ จากคุณ : Disorder - [ 15 มิ.ย. 52 14:23:22 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คห. 8 มันต้องมีกลุ่มตัวอย่างถูกแล้วนิครับ ถ้าจะให้ใช้ข้อมูลจากประชากรทั้งหมดข้อมูลนั้นถูกต้องเกือบจริง แต่ทว่าสิ้นเปลืองเวลาและเงินตรามากมาย ที่คห. 8 ยกตัวอย่างมาเป็นการเลือก Quotas ที่ไม่ดีมากกว่าครับ แล้วมาโมเมว่าข้อมูลฉันถูกต้อง จากคุณ : b_b (blacklimpbizkit) - [ 15 มิ.ย. 52 14:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จะบอกว่าผมหา counter thesis ของการวิจัยในโฆษณาพวกนี้ได้อื้อเลยครับ ถ้าจะทำน่ะนะ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 52 15:54:27 ]

ความคิดเห็นที่ 51 พวกโฆษณา ผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับหน้า เกี่ยวกับผิวขาว ลดความอ้วน พรีเซ็นเตอร์ สวย ขาวววว หุ่นดี เห็นแล้ว อยากซื้อมาบริโภค ยิ่งนัก บร๊ะเจ้า จริงๆ พรีเซ้นเตอร์ ก็ไม่ได้ใช้ สินค้า ตัวนั้นหรอก เขาสวย ขาว หุ่นดี มาก่อนหน้านั้นซะอีก ดูแล้วก็ได้แต่ปลง การตลาดล้วนๆ จากคุณ : Choco-Mix - [ 15 มิ.ย. 52 16:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 52 มาดูการ์ตูน ^ ^ ขนาดโฆษณายาสระผม คนที่มายืนให้เราเห็นหน้า กะคนที่มาโชว์ผมมันยังเป็นคนล่ะคนเล้ยยยย พวกนี้เค้าหลอกลวงกันทั้งนั้นแหละ จากคุณ : elvish346 - [ 15 มิ.ย. 52 16:39:26 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ฝากเรื่องโฆษณาน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันด้วยนะครับ ที่มีผู้เชี่ยวชาญออกมาแนะนำน่ะ....ใครก็ไม่รู้-*- ใส่ชุดขาวปุ๊บเชี่ยวชาญปั๊บ...กรรม แล้วก็โฆษณาที่อมน้ำยาบ้วนปากแล้วหินปูนใต้ท้องเรือกระจาย...นั่นก็น่านัก คนไข้ชอบคิดว่าแปรงฟันไม่สะอาดไม่เป็นไรใช้น้ำยาบ้วนปากเอาก็ได้...ผิดครับ แล้วยาสีฟันที่โฆษณาว่าซึมเข้าซอกฟันได้....นั่นก็มั่วนะครับ ใช้แทนไหมขัดฟันได้ที่ไหน-*- ไอ้ยี่ห้อที่โฆษณาโดยมีคนยืนแปรงฟันตลอดทั้งวันนั่นอีก...บอกว่ายาสีฟันตัวเองยับยั้งเชื้อได้ 12 ชม. ลองให้ในช่องปากไม่มีแบคทีเรียเลยสิครับ...สนุกแน่ (แบคทีเรียมีทั้งที่มีประโยชน์และไม่มีครับ) ยาสีฟันที่ "ทันตแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ แต่เราแนะนำให้ทันตแพทย์ใช้"นั่นก็อีก...หลอดละ 200 กว่านั่นน่ะ ไม่มีฟลูออไรด์นะครับ -*- สรุปว่าโฆษณา ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากเนี่ย...อย่าไปเชื่อเชียว ไม่มีอะไรแทนการแปรงฟันและไหมขัดฟันได้หรอกครับ ปล. ไอ้แปรงสีฟันรูปร่างประหลาดๆทั้งหลายด้วยนะครับ...พวกนั่นก็ค่อนข้างมั่วทีเดียว จากคุณ : แดริดา (Derrida29) - [ 15 มิ.ย. 52 16:46:18 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ตัวอย่าง ^^ จากคุณ : Derrida29 - [ 15 มิ.ย. 52 16:47:11 ]

ความคิดเห็นที่ 55 - -* คุณลูกเป็ด เป็น หญิง เหรอครับ นึกว่าเป้น ผู้ชาย ง่ะ -.- จากคุณ : vn, man - [ 15 มิ.ย. 52 17:20:54 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ู^ แค่ทดสอบเปลี่ยนคำลงท้ายเฉยๆครับ สาเหตุมาจากกระทู้หนึ่งของคุณ ปฏิบาทสหจุมปทา (พิมพ์ผิดโปรดอภัย) แต่เนื่องจากใช้คำว่าครับแล้ว ระยะหลังมีคนไขว้เขวมาก ผมจึงเปลี่ยนมาใช้คำลงท้ายว่า "ค่ะ" เหมือนกับที่เคยใช้ในช่วงแรกตามปกติครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ใช้คำลงท้ายว่า "ค่ะ" จะต้องเป็นผู้หญิงเสมอไปนะครับ... จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 15 มิ.ย. 52 17:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อ่านเรื่องแคปไซซิน แล้วเหมือนชาเขียวเลยค่ะ ทำการทดลองในหนู พบว่า ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ไม่รู้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นโดสที่คนกินไม่ได้ แต่ไม่เคยบอกไว้ แต่ที่เอามาขายแล้วอร่อยๆ อ่ะ มี %Catechin น้อยกว่า %น้ำตาลไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จากนั้นคนก็กินชาเขียวกันเพื่อลดการเกิดมะเร็ง  เหอๆๆ คงลดได้แหละ เพราะอ้วนหรือเป็นเบาหวานตายกันไปซะก่อนเกิดมะเร็ง จากคุณ : Phagus - [ 15 มิ.ย. 52 19:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คลอโรฟิลล์กินแล้วฉี่เขียวอ่ะ ดาราหลาย ๆ คนกินกระปุกละ 600 กินได้เดือนนึง 600 นี่ผมเอาไปซื้อขนมถังแตกหน้ารามได้ 60 อัน กินแม่มใส้ละสิบอัน (มันมี 6 ใส้)อ๊วกพอดี -0- จากคุณ : บัตรผ่านเวอร์ชั่น -0- - [ 15 มิ.ย. 52 19:42:54 A:112.143.31.240 X: TicketID:179013 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณคร้าบบบบ รูปน่ารักมากๆๆๆ แอบเป็นแฟนคลับมานานแล้วครับ ^^" methodology ผมเคยเรียนพร้อม stat ประมาณสัปดาห์นึงครับ ไม่ชอบอย่างแรงเลย แหะๆ อย่าโฆษณาซุปไก่สกัดเนี่ย ผมยังเคยคิดในใจเลยว่าที่ช่วยให้สมองปิ๊งขึ้นเนี่ย ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับปลาทู หรือถั่วเหลือง มันจะยังดีกว่ารึเปล่า จากคุณ : ตัวตุ่นตามัว - [ 15 มิ.ย. 52 21:17:16 ]

ความคิดเห็นที่ 60 วาดภาพได้น่ารักมากเลยครับ จากคุณ : รู้สึกตัว - [ 15 มิ.ย. 52 22:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เข้ามาอ่านไป ยิ้มไปครับ อิอิ จากคุณ : Nanoดะ - [ 15 มิ.ย. 52 22:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โอ้ย สับสนมากเลยครับ ไม่ใช่เรื่องเนื้อหากระทู้ นะครับ แต่สับสนเรื่องเพศ จขกท ครับ จากคุณ : Darkvider - [ 15 มิ.ย. 52 22:58:24 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ปวดหัวกับข้อความใน #56 จังครับ จากคุณ : Some-One - [ 15 มิ.ย. 52 23:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณครับ คุณลูกเป็ด รับไปเลย 4 Gift มีคำพูดของนักโฆษณาอยู่คำหนึ่ง "โฆษณาบอกความจริง แต่ไม่ทั้งหมด" หมายความว่า งานโฆษณาทุกชิ้น Creative ต้องศึกษาหาข้อดีของตัว Product ที่จะทำ Ads ให้ได้ แล้วเอาจุดเด่นนั้นแหล่ะมาทำ โฆษณา ส่วนข้อเสียต่าง ๆ ไม่ต้องเอามาบอกครับ มันอยู่นอกเหนือหน้าที่ ดังนั้น โฆษณา จึงทำหน้าที่บอกข้อดีของ Product ที่เป็นจริง (แต่ไม่ทั้งหมด อาจจะสามารถเป็นจริงตามคำกล่าวอ้างตามโฆษณาได้ ภายใต้เงื่อนไข ฯลฯ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ต้องบอกกลุ่มเป้าหมายอีกอยู่ดี) จากคุณ : หนอนปลอกผัดซอสมะเขือเทศเขตร้อน - [ 15 มิ.ย. 52 23:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อ๋อ..เพราะแบบนี้เอง  เข้าใจละครับ คุณลูกเป็ดขี้เกียจ อิอิ จากคุณ : takana - [ 16 มิ.ย. 52 00:41:07 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เห็นด้วยกับ คห. 31 ประเด็นคือ "ทำอย่างไรให้ส่งเซ็นเซอร์ผ่าน และหลีกเลี่ยง อย.ได้" ทำการวิจัยให้น้อยที่สุด เสียเงินน้อยที่สุด แต่สามารถผ่านกฏเกณฑ์ของระบบเซ็นเซอร์และอย.ให้ได้ และสามารถทำกำไรให้มากที่สุด นี่คือวิธีการคิดของบริษัทต่างๆ ครับ คอนเฟิร์ม จากคุณ : Iron-Spider - [ 16 มิ.ย. 52 01:04:44 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เคยกินที่เค้าบอกว่า บลา บลา บลา  "วันละเม็ดก่อนนอน" ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยค่ะ  -..- จากคุณ : Strawberry 59 Baht - [ 16 มิ.ย. 52 01:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมก็สงสัยเหมือนกันนะครับว่า 1. ทำไมพวก ไวท์เืทนนิ่งเนี่ย นางแบบทาแค่แก้ม แต่มันขาวไปยันรู...หูเลยอุ่ะ -*- 2. จากผลกาทดลอง ผู้ใช้ 95% ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ....  อ้าว สรุปว่าข้าพเจ้าอยู่ ใน 5% ที่เหลือหรือเนี่ย หรือหน้าผมมันด้านเกินไปหว่า ขำๆครับ จากคุณ : notegenocide - [ 16 มิ.ย. 52 07:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 69 กำลังสงสัยอยู่พอดีโฆษณาครีมหน้าขาว  จะขาวเมื่อ ใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง   ต่อเนื่องนี่ 5 วัน หรือ 1 เดือน หรือ 1 ปี จากคุณ : bermAggie - [ 16 มิ.ย. 52 08:18:25 ]

ความคิดเห็นที่ 70 จขกท.กล้าๆหน่อย แค่นี้ มันน้อยไป ยังไม่สะใจ เอา Paper ที่สรุปได้แล้วว่า มั่ว มาขึงพืดประจานตรงนี้กันเลยดีกว่า จะได้รู้ว่า Product ตัวใหนอ้าง paper มั่วๆบ้าง จะได้บอกต่อๆกันไปว่า อย่าไปซื้อกิน เปลืองเงินเปล่าๆ ปอลอ เข้ามารอเก็บสาระอย่างตั้งอกตั้งใจ ปอลอสอง ลืมไป ปรกติผมก็ไม่เคยกินพวกอาหารเสริมอยู่แล้วนี่หว่า --" จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 16 มิ.ย. 52 09:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ^ ^ ^ จิ้มไปที่ คห.69 อาจจะทั้งชีวิตก็ได้นะคะ  อิอิ ล้อเล่นค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 52 09:21:02 จากคุณ : นู๋ขี้สงสัย - [ 16 มิ.ย. 52 09:20:25 ]

ความคิดเห็นที่ 72 นี่คือ slogan ของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ... Truth Well Told เห็นมั๊ยครับ ... เขาไม่ได้โกหกนะ ... เขาแค่ "พูดความจริงให้ดี" เท่านั้น อะ ... ผมก็เป็นครีเอทีฟคนนึงเหมือนกัน เคยเจอลูกค้าจะให้ทำโฆษณาเกี่ยวกับ serum บำรุงผิว ที่สามารถ "แก้ไข DNA ได้" โอ้พระเจ้าช่วย ... ผมไม่รับทำครับ ... เพราะมันโกหกล้วน ๆ ... เป็นไปไม่ได้ ผมบอกเลยครับว่า "พี่ครับ ถ้ามันแก้ DNA ได้จริง พี่ไปทำยารักษา AIDS เถอะ" จากคุณ : เศียรนาคา ... (Eumentis) - [ 16 มิ.ย. 52 09:54:00 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ต่อเนื่อง นี่ ปวช 3 ปี + ปวส 2 ปี + ป.ตรี อีก 3 ปี รวม 8 ปี ครับ จากคุณ : Humandroy - [ 16 มิ.ย. 52 10:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เข้ามาดูการ์ตูนค่ะ วาดน่ารัักจังเลยค่ะ อิอิ มีสาระดีด้วยค่ะ เย๊ จากคุณ : Kryta (kryta) - [ 16 มิ.ย. 52 12:16:17 ]

ความคิดเห็นที่ 75 โอ้ เป็นข้อมูลที่เพิ่งรู้ครับ ขอบคุณครับ โฆษณานะ ช่างมุสา แบบนี้ขอให้ตกนรกในชาตินี้ จากคุณ : yyswim - [ 16 มิ.ย. 52 21:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ซุปไก่สกัด เป็นสสารที่ผมไม่คิดอยากจะดื่มเลย จากคุณ : s m l xl - [ 17 มิ.ย. 52 09:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เลยออกมาเป็นโฆษณากาแฟ (ที่คิดว่ากินแล้วลดความอ้วนได้) ยี่ห้อนึง ด้วยการสื่อที่ฉลาด ไม่ต้องใช้คำพูดอวดอ้างสรรพคุณมากมาย ก็ต้องหาทางออกกันแบบนี้แหละครับ จากคุณ : phoenixia - [ 17 มิ.ย. 52 11:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุนคุงลูกเป็ดขี้ขลาดจร้า จากคุณ : -APEM - [ 17 มิ.ย. 52 11:24:59 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ช้านคิเกียจจะให้กีบเธอแล้วนะ หัดตั้งทู้ไร้สาระมั่งนะ เหนื่อยอ่าน ( เฮ่อ ) ประชดนะน่ะ จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) - [ 17 มิ.ย. 52 12:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 80 กระทู้สาระดี  การ์ตูนก็น่ารัก " โหวต " ค่ะ   . จากคุณ : suttimon - [ 17 มิ.ย. 52 13:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 81 โดยส่วนตัวคิดว่า ผลวิจัยในโฆษณาบอกข้อมูลเพียงด้านเดียวอยู่แล้ว พวกเขาบอกความจริง (มั้งนะ) แต่เป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว จากคุณ : สมาคมรักหนอนปลอกแห่งประเทศไทย (lizard8) - [ 17 มิ.ย. 52 16:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 82 บทความดีครับ....รูปประกอบก็น่ารัก ตัวอย่างอีกอันที่เห็นได้ชัดเจน สำหรับการโฆษณาเกินจริงคือ พวก เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน และครีม collagen ทั้งหลาย เนื่องจาก collagen เป็น protein ซึ่งมีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่ เพราะฉะนั้น การทาครีมที่มี collagen อยู่ ก็ไม่ได้เป็นการเพิ่ม collagen เข้าสู่ผิวเลย เพราะมันซึมผ่านผิวเข้าไปไม่ได้  สิ่งที่ได้ก็มีแค่ความชุ่มชื้นกับผิวชั้นนอกเท่านั้น ส่วนพวกเครื่องดื่มที่ผสม collagen ที่เคลมว่าจะช่วยทำให้ผิวสวย ใสเด้ง กินแล้วสวย อะไรแบบนั้น ได้มีการศึกษาวิจัยกันอย่างกว้างขวาง พบว่าการกิน collagen ไม่ได้มีผลต่อโครงสร้างของ collagen ในผิวหนังเลยเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม สรุปคือ พวกครีม  อาหารหรือเครื่องดื่มที่ผสม collagen โฆษณาเกินจริงทั้งนั้น จากคุณ : CLK BRABUS - [ 17 มิ.ย. 52 16:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ฝากของเก่านิดนึงด้วยเน้อ คราวนี้มาว่ากันด้วยโฆษณาหมกเม็ดสุขภาพในดวงใจกันดีกว่าครับ http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/12/L4955755/L4955755.html คุยกันเรื่องวิตามินกันหน่อยดีกว่าครับ{แตกประเด็นจาก L4944281} [สุขภาพกาย] http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/12/L4944701/L4944701.html จากคุณ : Epinephrine - [ 17 มิ.ย. 52 17:25:40 ]

ความคิดเห็นที่ 84 โคดสะนา (ออกเสียงพยางแรกสูงๆหน่อยนะ) พวกนี้ก็เลี่ยงๆความเป็นจริงทั้งนั้นแหละครับ ขนาดเอาดาราอายุคราวแม่มาแสดง ว่าอายุขนาดนี้ ใช้ . . . ยังไม่มีริ้วรอย โห ตัวจริงๆรอยบาทาอีกาเพียบ!!! แต่ผมว่า อะไรก็ไม่เท่าพวกขายตรง ที่เอาคนไปล้างสมอง แล้วบอกว่าสินค้าของเขาขั้น Inw!!! กินอันนี้แล้วรักษาทุกโรค ผิวขาวใส สกัดมาจากธรรมชาติ ไม่มีทางแพ้ บลาๆๆ แล้วคนเหล่านั้นก็จะเหมือนซอมบี้ . . . ตื้อขาย ยัดเยียดขาย จนเสียเพื่อนกันไปก็เยอะ!!! การทำแบบนี้ไม่ต้องผ่าน อย. (ยกเว้นว่าเจือกเอาไปเสนอขายให้พนักงาน อย. -*-) แล้วคิดดูว่าเวลาที่เค้าเอาไปขายให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มันจะน่ากลัวขนาดไหน!!! จากคุณ : หน้าบ่าแดง แฮงบ่ามี - [ 17 มิ.ย. 52 17:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 85 มีโฆษณาครีมทาผิวแปลกที่สุดที่เคยเห็นคือ มีการทดสอบ  เอาแผ่นพลาสติกที่มีรูปหน้าโมเดลมาหนึ่งแผ่น จากนั้นก็เอาครีมสองชนิด  ทาด้านละข้าง  ซ้าย  ขวา ปรากฎว่า ด้านที่ทาครีมที่ใช้ในโฆษณา  ขาว  แต่อีกด้าน ดำ มันไม่สมเหตุสมผลนะ   เพราะสิ่งที่เค้าเอามาทดลอง   เค้าทาบนพลาสติกนะ  ไม่ได้ทาบนหน้าคน จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream - [ 17 มิ.ย. 52 21:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ^^^ ทำไมจะไม่สมเหตุสมผลล่ะครับในเมื่อผลการทดลองสรุปไว้อย่างชัดเจนว่า "สีต่างชนิดกันเมื่อนำมาทาพลาสติกการยึดติดกับพลาสติกชนิดนี้จะต่างกัน" จากคุณ : npn - [ 17 มิ.ย. 52 22:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ตรูละขำ อัณฑะเป็ด จริง ๆ .. 555+ จากคุณ : DarkEnemy - [ 18 มิ.ย. 52 13:15:45 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณลูกเป็ด ขอบคุณค่ะสำหรับกระทู้ดีๆ จริงๆตอนเรียนก็เคยเรียนมาตัวนึงเกี่ยวกับเรื่องโฆษณานี่แหละเลยพอรู้มาบ้าง  แต่เพราะมันคือโฆษณาได้ออกสื่อ คนเห็นบ่อย เกิดการจดจำ มันเลยขายได้เรื่อยๆ  ก็เหมือนกระทู้ขอความช่วยเหลือในพันทิพนี่แหละค่ะ กระทู้ไหนน่าสนใจไปถึงมือสื่อเมื่อไหร่ คนก็ยิ่งให้ความสนใจมาก จริงๆอยากให้โฆษณามีความรับผิดชอบมากกวานี้นะ แต่คงทำอะไรไม่ได้ จะได้ของดีๆมาใช้จริงๆคงต้องหาข้อมูลจากแหล่งอื่นที่เชื่อถือได้มากกว่าโฆษณา ปล งงเพศคุณลูกเป็ดด้วยคน เห็นในเฉลิมไทยเป็นผู้หญิงนี่นา แต่ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณสำหรับกระทู้อีกครั้งค่าาา จากคุณ : หม้อแกงเมืองเพชร - [ 18 มิ.ย. 52 16:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ดื่มแบรนด์เถอะครับ มีผู้วิจัยแล้ว http://www.iterasi.net/openviewer.aspx?sqrlitid=7r5orxoxr0uayxitio18bw (ขออภัยที่หากระทู้ที่มีคุณแม่มาช่วยกันยืนยันไม่ได้) โฆษณา ก็คือ โฆษณาหละครับ บอกความจริงแต่บอกไม่หมดอยู่ดี จากด้านบนที่ยกตัวอย่างที่มีตัวหนังสือเล็กๆข้างล่าง ผมก็เห็นในโฆษณาแปรงสีฟันที่ทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ "จากการสำรวจทันตแพทย์เมื่อปีพ.ศ.2544" หรืออะไรสักอย่างที่มันนานมาแล้ว อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3ปี จากคุณ : Bassism - [ 18 มิ.ย. 52 17:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 90 วันนี้ลองหยิบยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งขึ้นมา ข้างกล่องบอกว่าเห็นผลใน 4 สัปดาห์ มีงานวิจัยรองรับด้วย ว่าแล้วก็ลอง serch หางานวิจัยที่ถูกกล่าวถึงมาสักหน่อย เป็นการเปรียบการลดเสียวฟันของยาสีฟันยี่ห้อในรูปกับยาสีฟันยี่ห้ออื่นในท้องตลาด วัดความเสียวโดยเขี่ยที่ฟันและเป่าลม ลองอ่านเล่นๆดูครับ Comparative investigation of the desensitizing efficacy of a new dentifrice containing 5.5% potassium citrate: an eight-week clinical study. Hu D, Zhang YP, Chaknis P, Petrone ME, Volpe AR, DeVizio W. College of Stomatology, West China University of Medical Sciences, Chengdu, China. OBJECTIVE: This double-blind clinical study was designed to investigate the relative effectiveness of a new desensitizing test dentifrice containing 5.5% potassium citrate, 1.14% sodium monofluorophosphate (MFP) and 10% high-cleaning silica (HCS) in a silica base for reducing dentinal hypersensitivity over an eight-week period, to that of a commercially available desensitizing positive control dentifrice containing 3.75% potassium chloride, 0.32% sodium fluoride and 0.3% triclosan in a silica base. METHODOLOGY: A total of 80 subjects were entered into the study, and stratified into two balanced groups according to their baseline mean thermal (air blast) and baseline mean tactile (Yeaple Probe) sensitivity scores. The two groups were randomly assigned to use either the test dentifrice containing potassium citrate/MFP/HCS, or the positive control dentifrice containing potassium chloride/sodium fluoride/triclosan. The two groups were well balanced with regard to their mean baseline thermal and tactile sensitivity scores, sex and age. Subjects were instructed to brush their teeth twice daily (morning and evening) for one minute with their assigned dentifrice and a commercially available soft-bristled toothbrush. Dentinal hypersensitivity examinations, which included tactile sensitivity and thermal sensitivity, were conducted at baseline, four weeks, and eight weeks. Examinations were conducted by the same dental examiner on the subjects at each examination. RESULTS: After four weeks' use of their assigned products, those subjects in the test dentifrice group demonstrated no statistically significant difference for controlling dentinal hypersensitivity as compared to the positive control dentifrice group in tactile and air blast. After eight weeks' use of their assigned products, those subjects in the test dentifrice group again demonstrated no statistically significant difference in tactile and air blast sensitivity as compared to the positive control dentifrice group. CONCLUSION: The results of this double-blind clinical study indicate that the use of a commercially available test dentifrice containing 5.5% potassium citrate, 1.14% sodium monofluorophosphate and 10% high-cleaning silica in a silica base demonstrates no statistically significant difference in tactile and air blast sensitivity compared to the commercially available desensitizing positive control dentifrice containing 3.75% potassium chloride, 0.32% sodium fluoride and 0.3% triclosan in a silica base. แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 52 20:04:39 จากคุณ : Carlziess Lens - [ 18 มิ.ย. 52 19:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เครดิต จาก สำนักพิมพ์บายเนเจอร์ค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 52 21:39:09 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 18 มิ.ย. 52 21:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แวะมาให้กำลังใจการ์ตูนน่ารักๆๆครับ จากคุณ : Dr.ภพ - [ 18 มิ.ย. 52 21:52:42 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ^ ^ อุ๊ย รู้สึกเจ้าของไอเดียมุกจะมาเอง ฮิๆ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 18 มิ.ย. 52 23:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ถ้าเรื่องงานวิจัยนี่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ค่ะ ฟังหูไว้หู ปกติจะเสิร์ชทางอินเตอร์เนตหลายๆแหล่งก่อนสรุป เจอหลายครั้งแล้ว ที่คนรู้จักเรียนป.โทแล้วทำงานวิจัยให้บริษัทผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือบางทีก็เป็นคนทำงานแล้วทำวิจัยให้บริษัทลูกค้าประเภทนี้ หลายๆคนมักง่าย เอาแบบสอบถามมามั่วทำเอง หรือไม่ก็แจกเพื่อนฝูงให้ช่วยทำ(อันนี้เจอบ่อย) เสร็จแล้วก็แปรผลสรุปเองตามที่มักง่ายมั่วเอา ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆไม่นานนี้ โดนให้ทำแบบสอบถามลักษณะการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ชาย โดยในแบบสอบถามระบุเป้าหมายว่าต้องเป็นผู้ชายอายุ30ปีขึ้นไปเท่านั้น แต่คนที่มาโดนให้ช่วยทำก็คือสาวๆออฟฟิศอายุไม่ถึง30กันทั้งนั้น โดยเค้าบอกว่าช่วยทำๆให้เสร็จๆไปเถอะ แถมคำถามคำตอบในแบบสอบถามก็มีช่องโหว่มากมาย คนวิจัยอยู่สถาบันค่อนข้างมีชื่อเสียงด้วย เจอกับตัวอย่างนี้หลายทีเลยเริ่มรู้สึกว่าผลงานวิจัยที่เราๆอ่านกันมันก็มาจากการมั่วแบบสอบถามนี่แหละ และแบบสอบถามก็ไร้คุณภาพมากๆ จากคุณ : Akrat - [ 19 มิ.ย. 52 16:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 95 บางครั้งก็ไม่ใช่ว่าครีเอทีฟในเอเจนซี่เป็นคนคิดหาวิธีพวกนี้มาอ้างนะครับ ลูกค้านี่แหละครับ (หมายถึงเจ้าของสินค้า) เป็นคนยัดเยียดข้อมูลที่จัดเตรียมไว้มาให้ จากคุณ : AUDAC!TY - [ 20 มิ.ย. 52 05:20:55 ]

ความคิดเห็นที่ 96 สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน เยี่ยมเลย จากคุณ : bankgunners - [ 20 มิ.ย. 52 17:49:16 ]

ความคิดเห็นที่ 97 กำลังเกลียดโคนา แบรนด์ตอนนี้เลย.. จากวารสารทางวิชาการประเทศ... ทำดนตรีประกอบจริงจังสุดๆ คนเล่นทำหน้าตาแบบว่ากรูฉลาดสุดๆ จากคุณ : Kill11by1pass - [ 20 มิ.ย. 52 20:41:25 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ยอดเยี่ยมครับสำหรับกระทู้นี้ ข้อชื่นชมในฐานะคนที่เกี่ยวข้องกับการตลาดและงานวิจัย จากคุณ : 15ค่ำเดือน11 - [ 20 มิ.ย. 52 21:07:43 ]

ความคิดเห็นที่ 99 อันนี้ตัดตอนมาจากผลวิจัยส่วนหนึ่งเกี่ยวกับซุปไก่สกัดที่ชื่อว่า "Effect of Taking Chicken Essence on Stress and Cognition of Human Volunteers" ... Students were divided into three groups at random and given either CEC, placebo or a carageenan drink daily for two weeks. Before and after the two weeks, the students were given a series of tests to assess their mental and physical well-being as well as attention and memory. The tests were the general health questionnaire (GHQ), SF36, digit span, construction of figures, 3-min memory test, comprehension and mental arithmetic. The students who ingested essence of chicken fared significantly better than the other two groups of students. The ability of essence of chicken to control anxiety by distraction and promoting attention and memory is discussed. http://myais.fsktm.um.edu.my/2711/1/march03_article3_azhar.pdf จากคุณ : nisas - [ 20 มิ.ย. 52 22:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ^ ช่วยแปลให้คนที่ขี้เกียจแปลค่ะ นักศึกษาถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มโดยการสุ่ม และให้ CEC (ซุปไก่สกัด) กับพลาเซโบ (คือสารที่ไม่มีซุปไก่นั่นเอง) หรือเครื่องดื่มคาราจีนแนน แล้วก็ดื่มทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ก่อนและหลังสองสัปดาห์ นักศึกษาได้รับการทดสอบประเมินผลทางสมาธิ(attention ขอแปลเป็นสมาธิละกันนะคะ) และความจำ ซึ่งแบบทดสอบได้แก่ ... บลาๆๆ ที่เขาระบุในบรรทัดที่สอง จากนั้นก็ประเมินผล พบว่าคนที่ดื่มซุปไก่ มีคะแนนดีกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ สรุปสั้นๆ ซุปไก่ช่วยเรื่องความจำและสมาธิ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 20 มิ.ย. 52 22:53:25 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ^ ^ ประมาณนั้น แต่เรื่อง methodology ไม่ทราบว่า valid แค่ไหนนะครับ กลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง ใช้วิธีการสุ่มมาก็จริง แต่ทำการทดลองซ้ำหรือไม่ หรือได้ทำ triangular หรือไม่ ผมยังไม่ได้อ่านในงานฉบับเต็ม แต่ที่ผมจะบอกก็คือผลงานวิจัยต่างประเทศมันมีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าผมโปรซุปไก่นะครับ เพราะแม้จะมีงานวิจัยต่างประเทศมันก็ต้องมีการตรวจสอบ methodology อยู่ดี จากคุณ : nisas - [ 20 มิ.ย. 52 23:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ชอบรูปของคุณลูกเป็ดขี้เกียจจัง วาดได้น่ารักจริงๆ จากคุณ : jubchay - [ 20 มิ.ย. 52 23:49:05 ]

ความคิดเห็นที่ 103 มีอีกตัวได้ยินในวิทยุบ่อยๆ PEPTEiN ORIGINAL SOY PEPTiDE อย่ากรูู้ว่ามันต่างกับ ไวตามิล กับ แล็คตาซอย ยังไงครับ -*- ฟังเค้าโฆษณาแล้ว น้ำเทพชัดๆเลย -.- จากคุณ : อิอิ (MAXReal) - [ 21 มิ.ย. 52 14:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 21 มิ.ย. 52 21:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แล้วมีเรื่อง เกี่ยวกับ วีต้า ไหมครับ พอดีแฟนกินอยู่ แฟนมีปัญหาสายตา สั้นเอียงยาวอยู่ข้างเดียว อีกข้างปกติแต่ไม่ยอมทำงาน หุหุ อ่านแล้วอาจจะงง เอาเป็นว่าเวลาใช่สายมากๆ จะปวดหัวปวดตา เพราะมันทำงานอยู่ข้างเดียว เวลาปวดตาเค้าจะซื้อ วีต้ามากิน บอกว่ากินแล้วรู้สึกดีขึ้น ไม่ได้โฆษณานะ แต่เห็นว่ามาจากค่ายเดียวกันกะซุบไก่ น่าจะมีอะไร(หมกเม็ด) เหมือนกัน จากคุณ : ผ่านมาครับ (Fiarrytan) - [ 21 มิ.ย. 52 21:29:56 ]

ความคิดเห็นที่ 106 อาหารเสริมก็ย่อมเป็นอาหารเสริม (ผมใช้คำว่าอาหารเพราะเป็นของกินได้) อาหารหลักก็คืออาหารหลักซึ่งควรกินให้ครบ แต่จากการที่ผมได้ลองกินอาหารเสริมบางอย่าง บอกเลยว่าอาหารเสริมช่วยเสริมได้บ้าง(ขอเน้นที่ "ได้บ้าง") จริงๆ และอย่ากินติดต่อกันเป็นเวลานานครับ เพราะอาจเป็นพิษได้ ที่ผมว่ากินแล้วโอเคก็คือน้ำมันรำข้าวครับ กินจันทร์ พุธ ศุกร์ รวมสัปดาห์ละ 3 เม็ด ครับ จากคุณ : Y (yoyolandk) - [ 29 มิ.ย. 52 13:27:47 ]