ความคิดเห็นที่ 1 คำว่า "มนุษย์ต่างดาว" หรือ Alien จริง ๆ ก็คือมนุษย์หรือสัตว์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบนดาวบางดวงที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ เมื่อทำความเข้าใจถึง Alien ในมุมปกติก็จะพบว่ามนุษย์เราก็คือ 1 Alien สำหรับมนุษย์ (หรือสัตว์) บนโลกอื่น พวกเราบนโลกจึงมักนิยาม Alien ไปต่าง ๆ นานา ด้วยมุมมองที่เราคือที่สุดของมนุษย์ และสิ่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากโลก คือ Alien ทุกระดับสติปัญญา ซึ่งก็พูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นนั้นจริง แต่ที่พูดได้ไม่น่าจะจริงก็คือมนุษย์คือผู้แสวงหามนุษย์โลกอื่นเป็นการยาก ที่จะยกความรู้ความเข้าใจร้อยแปดพันประการเท่าที่อยู่บนโลกมนุษย์นี้เช่น นั้น แล้วไปสรุปเอาว่าพวกเราคือผู้แสวงหาโลกอื่น ๆ กล้องดูดาวล้าน ๆ กล้องบอกเราได้ดีว่า โลกมนุษย์เป็นแค่ธุลีเม็ดเล็กหนึ่งที่ปลิวว่อนตามแรงลมอยู่ในเกลียวพายุ ไต้ฝุ่นขนาดยักษ์ที่ควงสว่านบนน่านฟ้าไม่รู้จบ "การใฝ่หาความหมายของมนุษย์ต่างดาว จึงน่าจะมีค่าสูงส่งมากกว่าการแสวงหาตัวตนของมนุษย์ต่างดาวด้วยความพอใจ.." เรามักจะจำกัดความอยู่เสมอว่ามนุษย์ต่างดาวคือ สิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาชั้นเลิศกว่ามนุษย์โลก ซึ่งก็พูดได้เช่นนั้นจริง และไม่เป็นความจริงในเวลาเดียวกัน ที่ว่าไม่จริงก็ด้วยการมองถึงปัจจัยเชิงอารยธรรมในระดับหนึ่งที่ต้องปรากฏ ขี้นพร้อมหลักฐานสักชิ้นหนึ่งอย่างเป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นทางการ มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า? คำตอบคำรบแรก ณ. ที่นี้ อยู่ทีการทำความเข้าใจในเบื้องแรกของการตีค่าโลกเราดั่งธุลีในคลื่นไต้ฝุ่น ถ้ามองทะลุจุด ๆ นี้บวกกับความเข้าใจ ในหลักเกณฑ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ และตลอดจนประวัติศาสตร์ของโลกเราเงาแห่งความน่าจะเป็นก็ทอดเงาและพร้อมที่ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด เคยสังเกตบ้างไหมว่าภูมิประเทศบางส่วนของโลก เราแทบจะไม่ต่างไปจากภูมิประเทศหลายมุมของดาวอังคาร ทำไมสภาพหลุมอุกกาบาตที่รัฐอริโซน่า ในสหรัฐจึงไม่ถูกขยายความน่าสนใจออกไปในแง่ของความต่าง ไม่ต่างเท่าที่ดวงจันทร์และดาวอังคารเป็นอยู่ให้ระดับอุณหภูมิของการพินิจ พิเคราะห์ของการใฝ่รู้เรื่องดาวอังคารตื่นตัวมากไปกว่าที่เป็นอยู่ หรือทำไมภาพและข้อมูลเบื้องลึกในรายงานครั้งสุดท้ายของยานพาธไฟเดอร์บนดาว อังคารจึงไม่ถูกเจาะลึกและขยายรายละเอียดไปทั่วโลกมากกว่าที่ควรจะเป็น มนุษย์ต่างดาวกับความเป็นมนุษย์ของโลกเรายังคง อยู่บนขอบฟ้าคนละด้าน ที่แม้มองหากันเช่นไรก็ไม่มีวันพบเจอ ไม่มีความกระจ่างชัด แม้การเมียงมองอย่างละเอียดอ่อนไปยังม่านฟ้าอันดำทะมึนที่พราวแสงดาวยามค่ำ คืน และท้ายที่สุด การทำความเข้าใจในเรื่องของดวงดาว และแกแลคซี่ เป็นคนละเรื่องกับการประกาศก้องว่ามนุษย์ต่างดาวต้องมีจริงจากความรู้สึกที่ เข้าใจนั้น ตามลำพังส่วนตัว เพราะการที่จะพูดออกมาชี้ชัดเช่นนั้น ตามลำพังส่วนตัว เพราะการที่จะพูดออกมาชี้ชัดเช่นนั้นยังต้องอาศัยปัจจัยประกอบการพินิจ พิจารณาอีกหลายๆ ขั้นตอนในหลาย ๆ ด้านเชิงวิชาการ ซึ่งไม่จำเพาะแต่ในแง่ดาราศาสตร์ฝ่ายเดียวเท่านั้น Alien from "50 Years of Denial." c. 1952 แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 17:38:41 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 17:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หากการเรียนรู้ที่จะรู้จักทำความเข้าใจในรายละเอียดทุก ๆด้านของโลกเรา สามารถเสาะเข้าไปหาแง่มุมระดับหนึ่งของการพูดว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงได้ ก็เท่ากับว่า คำตอบที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตนอกโลกล้วนซ่อนตัวอย่างเงียบ ๆ อยู่ในโลกของเรานั้นเอง ในทำนองเดียวกัน หากการเสาะเข้าไปหาแง่มุมบางแง่มุมที่นำมาซึ่งมุมทึบ ของการหยั่งถึงมนุษย์ต่างดาวเผอิญมีน้ำหนัก ก็เท่ากับการเข้าไปหาคำตอบที่แท้จริงจะยังต้องพึงพาตัวตนและหลักฐานของจริงเท่าที่จะพึงปรากฏได้ในโลกเรา อันเป็นตัวตนและหลักฐานที่จะต้องเกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนวงกว้างเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างเปิดเผย การสรุปคำตอบถ่องแท้ของการเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงน้ำหนักที่เชื่อถือได้มักไม่หนีไปจากการเกิดปรากฏการณ์ระดับกว้าง ที่อยู่ท่ามกลางบทพิสูจน์ที่เป็นการเผชิญหน้าอย่างจริงจัง หรือที่เรียกกันว่า Close Encounter of The Third Kind ซึ่งเป็นประเภทที่ 3 ของการพบเห็นมนุษย์ต่างดาวตามที่วงการดาราศาสตร์ว่าไว้ แล้วการเกิด Close Encounter ขึ้นมาสักครั้งไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ในขณะที่เดียวกันก็ไม่มีเหตุผลใดเช่นกันที่จะไม่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ของโลกเรา แล้วก็ด้วยการเกิด Close Encounter of the Third Kind หรือ CE-3 นี้นี่เองที่กลายเป็นปมปริศนามาจนทุกวันนี้ของบรรดาพวกที่เคยถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปทั้งเชื่อว่าเป็นจริง และถูกมองว่าเลื่อนลอยหลาย ๆ ประเภทตามแต่จะว่ากัน พูดไม่ได้เช่นกันว่าผู้ที่อ้างว่าหรือพูดเองว่าตนเคยถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปทดลองล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งหมด พูดปรักปรำเช่นนั้นไม่ได้นัก แต่การคล้อยตามเพื่อเชื่อถือและคล้อยตามเพื่อตั้งคำถามในเชิงจับผิด  ตั้งข้อขัดแย้งก็สามารถนำมาตีค่าได้เช่นกัน และที่สำคัญที่สุดในกรณีนี้ก็คือ การไร้ร่องรอยการถูกทรมานที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว กับไร้หลักฐานเสียสิ้นจากสภาพที่เผชิญการถูกจับตัวไปทรมานนั้น 2 ประการนี้นี่เองที่เป้นการกลบความน่าจะเป็นจริงของการเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง และที่สำคัญที่สุดนอกเหนือไปจากนั้นคือทำไม่ เรื่องราวทุกแง่ทุกมุมที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวจำต้องปรากฏอยู่ในประเทศ สหรัฐอเมริกาแต่เพียงประเทศเดียว อีกกว่าร้อยประเทศ ค่อนโลก ถึงเงียบกริบ หรือไม่ก็ไร้วี่แวววงกว้างของการเกิดปรากฏการณ์แจ่มชัดใด ๆ ที่พากพิงไปถึงมนุษย์ต่างดาว จะว่ามนุษย์ต่างดาวทุก ๆประเภท ทุกๆ รูปแบบการสื่อสาร ต่างพากันรู้จักแต่สหรัฐอเมริกาและประเทศแถบใกล้ ๆ โซนแต่เพียงเท่านั้นรึเปล่า ทวีปอื่น ประเทศอื่น ๆ ถึงได้ไร้เรื่องราวเชิงสัมพันธ์ต่อมนุษย์ต่างดาวเกือบทั่วโลก มนุษย์ต่างดาวคงไม่ได้แยกแยะว่ามนุษย์โลกเขตไหนมีการพัฒนาการดีกว่า กันถึงจะลงมาพบเจอด้วย ซึ่งมันคงไม่ถึงกับเป็นอะไรเช่นนั้นในแง่ของความเป็นจริง หรือความน่าจะเป็น (รวมถึงเหตุผลในแง่ของดาวเทียมคลื่นวิทยุ) Alien picture taken in Alaska c. 1930s. แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 17:41:20 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 17:40:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การพินิจพิเคราะห์ถึงลำดับความสงสัยที่พึงเป็นไปได้ของมนุษย์ต่างดาว จะยังคงอยู่ในข่ายของหลักจักรวาลวิทยา (Cosmological Principle) ที่แสดงแผนภูมิของความสัมพันธ์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ขนานไปกับความต่างของระบบสุริยะจักวาล-แกแลคซี่ทางช้างเผือก-ระบบนิเวศน์ของดาวนพเคราะห์ (เช่นเดียวกับโลก) ที่ล้วนเปิดกว้างของวิถี-วงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตระดับหนึ่ง ๆ ที่จะบังเกิดขึ้น ในที่หนึ่งในระบบแกแลคซี่ ทั้งหมดนี้นำพาให้เรามองเห็นอะไรได้บ้างว่าการ ก่อกำเนิดโลกนับแต่ดึกดำบรรพ์ในวิถีกำเนิดดาวแบบ Nova (ระบบดาวคู่ที่ปรับมวลต่อกันจนเกิดระเบิด) ที่อาจเป็นเส้นทางกำเนิดแบบหนึ่งที่ดึงดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์บางดวงเข้าหากัน ให้เกิดเป็นระบบสุริยจักรวาลออกมานับแต่นั้น จวบจนการพอกพูนมวลแห่งแร่ธาตุก๊าซอ๊อกซิเจน ในตำแหน่งวงโคจรลำดับที่ 3 ดังที่โลกเราเป็นอยู่ก็พอจะกระจายความเป็นไปในระบบ Nova อื่น ๆ ได้บ้างถึงลำดับปฏิสนธิดวงดาว (The Birth Life) ในแต่ละระบบสุริยจักรวาลที่อยู่ในแกแลคซี่ถึงความพ้องรูปพ้องเสียงของรูป ลักษณ์เดียวกันในแบบจำลองเอกภพ ที่ไม่ต่างกัน ก็ทำให้เห็นภาพถึงจุดศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล จุดศูนย์กลางของแกแลคซี่ ให้กลับมามองถึงความเป็นมนุษย์และไดโนเสาร์ รวมทั้งสัตว์กลายพันธุ์รูปแบบต่าง ๆ ที่เคยปรากฏบนโลกใบนี้ ว่าในท้ายที่สุด มนุษย์โลกกำลังแสดงหามนุษย์และสัตว์บางชนิดในความหมายที่แปลกแยกออกไป ณ ทำเลที่ไม่ใช่โลก ด้วยความเข้าใจที่สิ่ง ๆ นั้นมีความแตกต่างจากเราอย่างใหญ่หลวง ทั้ง ๆ ที่มันอาจไม่แตกต่างอะไรจากเราเลย หรือสิ่ง ๆ นั้นมันยังแอบอยู่ในโลกของเรานั้นเอง Dead Alien from Russia State Security 1996 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 17:43:20 ]

ความคิดเห็นที่ 4 MIB ในยุคเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ที่มนุษย์คิดว่าพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้า แต่มีอยู่บางสิ่งที่ยังคงสับสนและเป็นปัญหาสำหรับมนุษยชาติที่ต้องเสาะหาคำ ตอบให้ได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่ ถึงแม้ว่ารัฐบาลหลายชาติจะพยายามตั้งองค์กร องค์กรหน่วยงานหลากหลายเพื่อค้นคว้าวิจัยถึงเรื่องราวเหล่านี้โดยเฉพาะแต่ก็ ยังไม่ประสบผลสำเร็จ และก็ยังคงเป็นปริศนาให้มนุษยชาติรุ่นหลังๆ ได้ติดตามวิเคราะห์ค้นคว้าอีกต่อไป การพบเห็นยานประหลาด รูปจานบินทรงต่างๆ หลากหลายอันเป็นที่มาของคำว่า จานบิน (Flying Saucers) แต่นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าบางคน นิยมใช้คำว่า วัตถุบินลึกลับ (Unidentified Flying Object) หรือ ยูเอฟโอ (UFO) มากกว่า คำว่าจานบิน การที่ยานประหลาดแวะมาเยี่ยมเยียนชาวโลกบ่อยๆนั้น ก็ไม่สามารถศึกษาค้นหาคำตอบได้ว่าพวกเขามาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ และผู้ที่มากับยานประหลาดนั้นจะถูกเรียกว่ามนุษย์ต่างดาว มีเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ที่ชวนให้สงสัยและน่าติดตามในความลับปริศนาดังกล่าวของพวกเขา ความลับอันน่ากลัวอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับจานบินหรือจานผี และมนุษย์ต่างดาวก็คือ ผู้ชายชุดดำ (Men In Black) หรือเรียกย่อๆ ว่า MIBS ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเห็นจานบินนั้น หลายต่อหลายรายไม่ยอมบอกเล่าประสบการณ์ที่พบเห็น แต่เมื่อถูกสอบถามหนักๆ เข้าก็จะได้คำตอบว่าถูก " เขา " ห้ามไว้ และเขาในที่นี้ก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นใคร เพียงแต่ได้รับคำตอบว่าต่อไปว่า เขาคือ ผู้ชายชุดดำ โดยชายในชุดดำจะขู่ไว้ว่า ถ้าพูดหรือเล่าว่าเห็นอะไรให้ใครฟังจะได้รับอันตราย Alien, Caponi picture from Italy  1993 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 17:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผู้มีประสบการณ์หารเห็นจานบินรายแล้วรายเล่า ที่ถูกชายในชุดดำเล่นงานเอาจนไม่กล้าเล่าอะไรให้ใครฟัง เพราะกลัวอันตรายที่จะตามมา จากผู้มีประสบการณ์เห็นจานบินนั้นได้บรรยายลักษณะของบุรุษลึกลับไว้ตรงกัน คือมักแต่งกายสีดำเสมอ หน้าตาเหมือนคนเอเชียหรือคนชาติอื่นไม่มีใครรู้จัก รูปร่างสูงผอม นัยน์ตาคมกริบ ระแวดระวังตัวอยู่เสมอ พูดจาเสียงเบาแต่ชัดเจน และมีอำนาจบุรุษเหล่านี้จะมาหาพยานหลังจากที่เขามีประสบการณ์ที่พบเห็นจาน บินสดๆ ร้อน ๆ และจะขู่ว่า "ถ้ามีคนมาถาม ผู้ที่เห็นจานบินนั้นต้องบอกว่าไม่เคยเห็นอะไรมาก่อนเลย ถ้าขืนพูดว่าเห็นอะไรจะถูกฆ่าตาย" และเหตุการณ์เหล่านี้เป็นความจริงดังคำขู่ทุกครั้ง กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังด้านการศึกษาเกี่ยวกับจานบิน ได้ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับมาแล้ว 3 ราย คือ ดร.เจสสัน เป็นผู้นำในการค้นคว้าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ถูกพบว่านอนตายตัวแข็งอยู่ในรถยนต์ของเขาและต่อมาในปี 1971 ดร. เจมส์ แม็คโนแนลด์ นักเขียน นักพูดเกี่ยวกับ UFO ตัวยง ก็ยิงตัวตายในบ้านพัก และอีกหนึ่งปีต่อมา 1972 ศาสตราจารย์ฮาร์ดี้ นักวิทยาศาสตร์ผู้คนคว้าเรื่องจานผี ก็ยิงตัวตายในรถยนต์ของเขาเช่นกัน จากการเปิดเผยของญาติผู้ตายทั้งสามได้ความว่า ก่อนตายได้มีแขกพิเศษไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน และปิดประตูคุยกันนาน แขกพิเศษที่ว่านั้นแต่งกายชุดดำตลอด รายต่อมาที่เห็นจานบินอย่างชัดเจนคือนักศึกษาหนุ่มนักฟุตบอลในวิทยาลัยเคลิฟ อร์เนีย เขาเล่าว่า เห็นจานบินอย่างชัดเจน ในเช้ามืดวันหนึ่ง บริเวณเหนือไร่ส้มของลุงเขา เขาเลาว่ามันบินสูงจากพื้นประมาณ 50 เมตร ขนาดไม่ใหญ่โตมากนักเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุตและสูง 8 ฟุต มีรูปทรงเรียวๆ เหมือนรักบี้ ส่วนบนเป็นกระจกโค้งใส มีแสงส่องออกมาจากกระจกและเห็นอะไรดำๆ เขาคิดว่าน่าจะเป็นนักบินกำลังบังคับเครื่อง เขาได้จ้องมองดูมันอยู่นานและเหมือนมันจะรู้ตัว ก็เลยเคลื่อนที่ขึ้นสูงลิบหายไป หลังจากนั้นเขาก็ได้แต่งตัวเตรียมไปเรียนหนังสือแต่พอเดินออกจากบ้าน เขาก็ได้เห็น " ชายในชุดดำ " ชายในชุดดำได้ขู่เขาว่า ถ้ารักชีวิตก็อย่าได้เล่าเรื่องที่เห็นนั้นให้ใครฟัง แล้วเดินห่างออกไปแต่หันกลับพูดอีกว่า ถ้าไม่เชื่อให้ไปศึกษากรณีการตายของ ดร.เจสสัน ดูนักศึกษาผู้นั้นพอจะเข้าใจได้ว่า ชายลึกลับผู้นั้นต้องมีส่วนในเรื่อง UFO อย่างแน่นอน เขาจึงตัดสินใจบอกตำรวจ Glowing Alien,  1999 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 17:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 และอีกตัวอย่างหนึ่ง เคนเน็ธ อาร์โนลด์ได้พบเห็นจานบินที่เทือกเขาเรนเนียร์ในรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นผู้ประจำการท่าเรือฮาโรลด์ 60 ดาร์ดและเฟรด แอล คริสแมนกับพวกเพื่อนๆ กำลังเล่นเรืออย่างสำราญใจบริเวณพูล์เจ็ต ชาวนด์ใกล้มอร์ริไอสแลนด์ ขณะที่จานบินซึ่งมีลักษณะเหมือนโดนัทจำนวนทั้งสิ้น 6 ลำได้บินโฉบเฉี่ยวเหนือศีรษะของพวกเขาและทิ้งวัตถุประหลาดลงมาที่เรือ เป็นเหตุให้เพื่อในกลุ่มได้รับบาดเจ็บและสุนัข 1 ตัวตายคาที่ เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปก็เป็นช่วงเดียวกับที่เคนเน็ธ อาร์โนลด์ ได้มีส่วนร่วมวิเคราะห์ปัญหาเหล่านี้กับเรย์ พาล์มเมอร์บรรณาธิการชื่อดังแห่งนิตรสาร แฟนตาซี (Fantasy) ดาห์ลเล่าว่า เขาได้พบบุรุษลึกลับในชุดดำ ซึ่งอยู่ภายหลังเชื่อกันว่ามีส่วนพัวพันอยู่เบื้องหลัง UFO มาบอกให้พวกเขาปกปิดเรื่องราวทั้งหมดเป็นความลับ แล้วก็จากไป เคนเน็ธ อาร์โนลด์จึงแนะนำให้ติดต่อไปยังกองทัพอากาศ ฐานที่ 4 โดยขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ 2 คน คือ กัปตันวิลเลี่ยม เดวิดสันและเรืออากาศโท แฟรงด์ บราวน์ เมื่อบราวน์และเดวิดสัน มาถึง พวกเขาก็นำชิ้นส่วนที่หล่นลงมาจากยานบินออกมาให้พิจารณาและวางไว้บนพื้นห้อง แต่เจ้าหน้าที่ทั้งสองกลับไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก เพราะเชื่อว่าดาห์ลและพวกเพื่อนๆ ของเขาถูกกลั่นแกล้งโดยให้ใครสักคนที่นึกอย่างเล่นสนุกมากกว่า อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ยอมเก็บวัตถุประหลาดชิ้นนั้นกลับไปตรวจสอบโดยใส่ไว้ ข้างหลังรถ จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายไปไว้ในเครื่องบินบี-25 ของพวกเขาและบินตรงดิ่งกลับแฮมมิลตัน ฟิลด์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีข้อสงสัยว่า วัตถุชิ้นนั้นเป็นโลหะที่มีสารกัมมันตภาพรังสีที่ถูกผลิตขึ้นอย่างผิดกฏหมาย โดยคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู (Atomic Energy Commission) และชายในชุดดำที่มาปรากฏตัวก็คือหนึ่งในสมาชิกของ AECเนื่องจากไม่ต้องการให้เรื่องราวทั้งหมดรั่วไหล ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร เหตุการณ์กลับดูมืดมิดลงกว่าเดิมเมื่อเครื่องบินบี-25 ของเจ้าหน้าที่ทั้งสองเกิดระเบิดขึ้นกลางอากาศ ลูกเรือ 2 คนรอดชีวิตแต่ร่างของบราวด์และเดวิดสันแหลกละเอียด ไปพร้อมๆ กับเครื่องบินโดยไม่สามารถตรวจสอบได้ หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าการตายของคนทั้งสองเกิดจากก่อวินาศกรรมเพราะเป็นที่ รู้กันว่าพวกเขามีบางสิ่งบางอย่างไว้ในครอบครอง ซึ่งคงเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังได้รายงานอีกด้วยว่าหลักฐานบ่งชัดว่า เครื่องบิน บี-25 ลำนี้บรรทุกวัตถุลับต้องห้ามดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 2 คน เสียชีวิตไปพร้อมกับหลักฐานชิ้นเดียวที่มีอยู่ก็ทำให้เรื่องต้องจบลงโดย ปราศจากข้อสรุปที่แน่นอน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนาลับที่ยังไม่มีคำตอบมาจนกระทั่งทุก วันนี้ และยังมีคนอีกหลายรายที่ประสบพบจานบิน แต่ไม่สามารถบอกใครได้ เพราะทุกคนจะโดนคำขู่ของชายชุดดำ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่กลัวคำขู่ เพราะเมื่อสืบสาวราวเรื่องทีไร ก็ไม่ได้ตัวชายในชุดดำที่ว่านั้นสักที พวกเขาจึงสรุปเอาว่า เป็นเรื่องไม่จริงมากกว่า มีหลายครั้งที่มีโทรศัพท์แจ้งตำรวจว่าพบชายในชุดดำ แต่พอตำรวจไปถึง ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย มันก็เลยกลายเป็นความลับที่ซับซ้อน ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีชายในชุดดำที่มาจากนอกพิภพนั้นจริงหรือไม่ และก็คงเป็นปริศนาที่จะให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป Alien Italy, Ivan Yeraldo 2000 แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 17:55:03 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 17:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จานผีกับมนุษย์ต่างดาว ชัยสิริ สมุทวณิช สัปดาห์นี้ผมมีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวกับจานผีมาเล่าสู่กันฟังครับ แต่ไม่ใช่ว่าผมบังเอิญได้พบจานผีหรือมีประสบการณ์ได้พูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวนะครับ เพียงแต่เวลานี้มีหนังสือเล่มใหม่ตีพิมพ์โดยนักข่าวที่มีชื่อเสียงเคยได้รับรางวัลประเภทเจาะข่าวด้านวิทยาศาสตร์กับสังคมมาแล้วเสียด้วย       นักข่าวผู้เขียนเรื่องนี้ชื่อว่านายไบรอัน แอปเปิลยาร์ด ส่วนหนังสือที่แกเขียนนั้นชื่อว่ามนุษย์ต่างดาว : ทำไมพวกเขามาที่นี่หรือในภาคภาษาอังกฤษก็คือ Alien : Why They Are Here จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สคิมเนอร์ ราคา 15.99 ปอนด์ 336 หน้าครับ       หนังสือของนายไบรอันนี้มันน่าสนใจครับ เพราะว่าแกเป็นนักข่าวนักเขียนมีชื่อ จนนักวิจารณ์เห็นว่าแกไม่น่ามาเสี่ยงเขียนเรื่องที่เหลวไหลแบบนี้ แต่ประเด็นของนายไบรอันก็น่าสนใจนะครับ เพราะกว่า 50 ปีที่ผ่านมานั้น มีคนจำนวนมากต่างก็อ้างว่าเคยเห็นจานบินหรือจานผีแถมจำนวนไม่น้อยก็บอกว่า เคยพบกับมนุษย์ต่างดาวมาแล้วด้วย       การให้ปากคำของพวกมีประสบการณ์พบกับพวกต่างดาวส่วนใหญ่นั้นผ่านวิธีการสะกดจิตเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้นก็เคยเห็นจานผีเหมือนกันในตำบลนอร์โฟล์ก ประเทศอังกฤษ และตัวเขาเองก็ได้รับความช่วยเหลือให้ ดร.เดวิด โอคลีย์ จากมหาวิทยาลัยลอนดอนช่วยฟื้นความจำด้วยการสะกดจิตเหมือนกรณีรายผู้พบเห็น อื่นๆ       หนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาวนี้เขาเขียนแบบ จริงจังครับและก็พยายามสืบค้นหาคำตอบให้ได้ ขณะที่ศาสตราจารย์คนนึงที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ผ่านประสบการณ์มามากก็วิตกมากว่าอาชีพนักเขียนนักข่าวของเขาอาจเบี่ยงเบนไปได้ ก็เพราะเรื่องจานบินที่เขานำมาเขียนนี้แหละ ตัวผู้เขียนคือนายไบรอันนั้น บอกว่า ผู้คนที่ใกล้ชิดมักจะตีตัวออกห่างจากเขาในวงสนทนาบ่อยๆ ในเวลาที่เขายกเรื่องหนังสือที่เขาเขียนเกี่ยวกับจานบินนี้ขึ้นมาพูดด้วย       แต่ทำไมล่ะครับ เขาจึงสนใจหันมาเขียนเรื่องที่เขาอาจถูกมองเป็นตัวตลกมากกว่าได้ชื่อเสียง ก็เพราะโดยหลักใหญ่ๆ แล้ว เขาเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมันเป็นเรื่องจริงและมาจริงๆ แต่มันไม่ได้เป็นรูปธรรมแต่มันเป็นนามธรรมอยู่กับจิตสำนึกของมนุษย์เราและก็เกิดอยู่ในสังคมตะวันตกเป็นหลัก       ไบรอันเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นอกไปจากค่านิยมของพวกตะวันตก วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม คนส่วนใหญ่อาจไม่ตื่นเต้น หากมีคนมาบอกว่าสื่อสารกับพวกภูตผีปีศาจได้ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติครับ เพราะมนุษย์เรานั้นมีภาวะด้านความคิดว่ามีอีกโลกหนึ่งที่ใกล้ชิดกับโลกของเราและก็ติดต่อสัมพันธ์กับเราอยู่       แต่พวกเราชาวตะวันตกมักคิดว่า ฉลาด ทันสมัย และเต็มไปด้วยเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เราก็มีจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับพวกมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก และเกี่ยวกับจานบินค้างอยู่ เพื่อต้านกับความหวาดวิตกว่า เราจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังในจักรวาล       Alien from Germany, c. 1950s จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดนี้ก็ไม่ใช่ของใหม่นักครับ เพราะว่าเมื่อปี 1958 นักจิตวิทยา คาร์ล จุง เคยเขียนเรื่อง จานบิน : ตำนานสมัยใหม่โดยชี้ว่าเรื่องจานบินนั้นเริ่มมาตั้งแต่ปี 1947 ซึ่งเกิดหลังเกิดระเบิดนิวเคลียร์ได้เพียง 2 ปี และเมื่อมีความตึงเครียดระหว่างประเทศอเมริกากับรัสเซีย       คาร์ล จุง ใช้คำว่า ตำนาน เพราะให้มีความหมายว่ามันเป็นเรื่องของความลึกลับที่สะท้อนออกมาจากแรงขับ เคลื่อนของความต้องการภายในตัวตนมนุษย์ครับ และมันก็เหมือนกับในยุคก่อนๆ ที่คนเรามีความนึกคิดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าหรือพวกเทวดาทั้งหลายเป็น ประทีปส่องทางให้เราพึ่งพิงทางจิตใจ       ก็ด้วยเหตุ นี้แหละครับ เราจึงจินตนาการเกี่ยวกับสิ่งที่มีความเฉลียวล้ำหน้าหรือมีเทคโนโลยีที่จะ ยับยั้งให้เราพ้นภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ที่อาจจะล้างโลกได้ ไบรอันจึงเริ่มลงมือเขียนโดยใช้พื้นฐานมาจากคาร์ล จุง และใช้ปี 1947 เป็นจุดแรกที่เริ่มต้น       หลังจากนี้คนก็เริ่มเห็นจานบินและก็เริ่มมีคนพบกับมนุษย์ต่างดาว ตลอดจนมีการลักพาตัวไปกับจานบินด้วย โดยคนลักพาตัวจะถูกทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ บ้างก็มีการร่วมเพศกับมนุษย์ต่างดาวเสียอีก แม้ว่าเรื่องจานบินจะดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ก็เป็นเรื่องที่ทางการต้องเข้ามาสืบสวน และหาข้อมูลทำรายงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ       ผลของการสืบสวนก็พบว่า 2 เปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกันหรือประมาณ 5 ล้านคน มีความเชื่อว่าพวกเขาเคยถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว และถูกพาไปบินเหนือประเทศสหรัฐอเมริกามาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนพลอยสนุกสนานไปด้วยเมื่อเขาเขียนถึงประเด็นนี้ครับ แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่ามันยังไม่ปรากฏหลักฐานเลยว่าเคยมีจานบินได้มาลงจอดบน โลก แม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนั้นการสืบสวนที่เป็นของทางการก็ล้วนแต่พบว่าไม่มีเหตุผลที่อธิบายว่า การพบเห็นจานบินจะอธิบายได้       นอกจากนั้น กล้องดูดาวที่ถือว่าดีที่สุดของโลกที่ส่องดูในอวกาศนั้น ก็ไม่เคยพบว่ามีสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่ที่อื่นใดในจักรวาลของเรา แม้ว่าข้อนี้จะไม่ปฏิเสธว่า คนที่อ้างว่าเคยพบมนุษย์ต่างดาวทั้งหลายจะโกหกหรือเป็นพวกสติแตก ประเด็นมันมีอยู่ว่า เราอาจไม่เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของสภาพจิตใต้สำนึกของคนเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขารับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์มนุษย์ต่างดาว       ว่าไปแล้วผู้เขียนหนังสือเล่มนี้น่าจะพึงพอใจ และก็สนุกกับการเขียนงานชนิดนี้ไม่น้อยนะครับ และเขาใช้เอกสารจากนิยายวิทยาศาสตร์และภาพยนตร์เกี่ยวกับจาบินหลายเรื่อง รวมทั้งรายงานการพบเห็นจานบินจำนวนมาก       ตัวไบรอันให้ความสนใจและเขาชอบภาพยนตร์ชุด The X-Files มากเป็นพิเศษ เพราะตัวนำเรื่องมีความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว หนังสือเรื่องจานบินของไบรอันนั้น ได้รับคำชมว่าเป็นหนังสือที่เขียนดี อ่านสนุกครับ ผมไม่แน่ใจว่า ตลาดหนังสือบ้านเราจะหาหนังสือเล่มนี้ได้หรือยัง ไม่นานนักก็คงมาขายแน่ ผู้อ่านที่สนใจลองหาดูนะครับ ตามร้านหนังสือที่สั่งหนังสือต่างประเทศมาขายนั่นแหละครับ Alien, Ilkley Moor, U K 1987 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปาด หน่อย จากคุณ : ONaja - [ 14 มิ.ย. 52 18:04:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จานบินในโลกที่แตกต่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์ อาจารย์เบน แอนเดอร์สัน เคยบอกผมว่า ประเทศที่มีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอหรือยูโฟมากที่สุดในโลกปัจจุบันคืออเมริกา และที่ตามมาติดๆ ในตอนนี้คือจีน ส่วนประเทศยุโรปไม่เคยมีใครเคยเห็นเลย หรือนานแสนนานจึงมีรายงานสักทีหนึ่ง เช่น แถวสแกนดิเนเวีย หรือเยอรมันหรือยุโรปตะวันออก นัยะของความหมายก็คือ เมื่อไรที่ประเทศนั้นๆ รู้สึกว่าตัวเป็นศูนย์กลางของโลก ผู้คนก็จะพากันพบเจ้าวัตถุบินเคลื่อนที่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอะไรนี้บ่อยขึ้น ก็จริงนะครับ โลกกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้ เหตุใดมนุษย์ต่างดาวจึงเจาะจงจะลงจอดในประเทศนั้นๆ ประหนึ่งมนุษย์ต่างดาวรู้การเมืองโลกพอจะลงจอดในจุดสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจและการเมือง ถ้ารู้อย่างนั้นก็น่าจะจอดเมืองไทยหรือฮ่องกง จะได้กินต้มยำกุ้งหรือเป๋าฮื้อน้ำแดงอร่อยๆ ไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้น ยูโฟจึงจะปรากฏให้เห็นตามสำนึกของคนว่ากรูอยู่หรือไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางของโลก ผมควรกล่าวด้วยว่า การเห็นยูโฟโดยไม่มีสำนึกว่าเราอยู่ในศูนย์กลางของโลกก็เกิดขึ้นได้นะครับ แต่ไม่ถี่หรือมากเท่าไรนัก จะเป็นเพราะมียูโฟจริงๆ ปรากฏเพ่นพ่านไปทั่วโลกหรืออย่างไรผมไม่ทราบได้ แต่มาจากปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสำนึกดังกล่าว ดังเช่น ตัวผมเองโชคดีได้เคยประสบมา เมื่อเป็นเด็กและเติบโตที่อำเภอศรีราชานั้น ผมและเพื่อนเคยเห็นยูโฟอยู่ร่วมสัปดาห์ จะปรากฏให้เห็นในเวลาค่อนข้างแน่นอน คือตอนสายๆ และมีทิศทางการเคลื่อนที่ชัดเจนคือจากตะวันออกไปตะวันตก ค่อยๆ โผล่จากยอดเขาเตี้ยๆ และเคลื่อนที่ช้าๆ ลำตัวเป็นโลหะที่ส่งประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ไม่มีปีกหรือใบพัด พวกเราคอยจ้องดูตามเวลานัดหมายกับมนุษย์ต่างดาวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้น เมื่อตะวันเบี่ยงไปตามฤดูกาล ตอนสายของวันที่ 8 ยูโฟก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือยอดเขาตามเคย แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งอื่นตรงที่เราได้เห็นปีกและใบพัดอย่างชัดเจน และยิ่งเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเท่าไร ก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นเครื่องบินธรรมดาๆ นี่เอง เพียงแต่บินต่ำกว่าเครื่องบินโดยสารมากเท่านั้น พวกเราร่วมกันวิเคราะห์ว่า นั่นคือเครื่องบินของกองทัพเรือ ซึ่งบินขึ้นจากฐานทัพเรือที่สัตหีบ คงจะทำการฝึกบินตามตารางเวลาที่แน่นอน และทิศทางที่แน่นอน ผมจึงรู้สึกโชคดีที่ได้คำตอบภายในสัปดาห์เดียว ไม่-อย่างนั้น ป่านนี้ผมคงได้พบยูโฟและมนุษย์ต่างดาวบ่อยมากตลอดชีวิต เพราะคงคิดว่ากูนี่แหละวะเป็นศูนย์กลางของโลก เมื่อตอนเป็นเด็ก สังคมไทยส่วนหนึ่งรู้จักยูโฟ (และมักเรียกว่าจานบิน) และมนุษย์ต่างดาว (ที่ไม่ใช่เปรตหรือเทวดา) แล้ว ความรู้นี้แหละที่จุดจินตนาการของเด็กๆ อย่างพวกเรา รวมทั้งของนักเขียน เช่น ป.อินทรปาลิต และท่านอื่นๆ ด้วย การพบเห็นยูโฟของเราจึงไม่เกี่ยวกับสำนึกความเป็นศูนย์กลางของโลก จะว่าไม่เกี่ยวเลยก็ไม่เชิง กล่าวคือโลกในสำนึกของสังคมไทยตอนนั้นยังแคบๆ ถึงจะรู้ว่าโลกนั้นใหญ่โตมโหฬาร แต่ส่วนที่เกี่ยวถึงเรานั้นก็แคบนิดเดียว และในโลกที่แคบๆ นี้ จะว่าเราสำนึกว่าเราเป็นศูนย์กลางก็ได้ พูดแบบสมัยปัจจุบันก็คือ เรายังไม่มีสำนึกถึงโลกาภิวัตน์น่ะครับ จึงไม่เหมือนอเมริกาและจีนในปัจจุบัน ความคิดว่าศูนย์กลางของโลกหรือของสากลจักรวาลอยู่บนพื้นโลก และจริงชนิดที่เราจับต้องได้นั้น เป็นความคิดใหม่นะครับ ความคิดของคนโบราณดูจะออกไปทางนามธรรมมากกว่ารูปธรรม Aliens, London, England 1999 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:07:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คนจีนอาจเชื่อว่าอาณาจักรของตัวเป็นอาณาจักร "กลาง" ก็จริง แต่ความเป็น "กลาง" นั้นไม่ใช่ตัวแผ่นดิน (ซึ่งขยายมากขึ้นตามลำดับในประวัติศาสตร์) เท่ากับอารยธรรม เช่น หลักความถูกต้องดีงาม, ตัวหนังสือ, กาพย์กลอน, ดนตรี, ระบบปกครอง ฯลฯ เช่นเดียวกับพวกกรีก-โรมัน คนโบราณที่คิดอะไรค่อนไปทางรูปธรรมมากหน่อยเหมือนจีนคือฝรั่งคริสเตียน ที่ไปทำสงครามครูเสดก็อ้างว่า ไปปลดปล่อยดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานไว้ให้จากพวกมิจฉาทิฏฐิ แต่จะถือว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้คือศูนย์กลางของโลกในทัศนะฝรั่งสมัยนั้นก็ไม่น่าจะใช่ ส่วนความคิดว่าจะต้องหาว่า สวนอีเดนอยู่ไหน เรือโนอาห์ไปขึ้นฝั่งที่ไหน ฯลฯ นั้นเพิ่งมาเกิดสมัยหลัง (คือหลังยุคภูมิธรรมหรือยุคสร้างแสงสว่าง) คนไทยโบราณคิดว่าศูนย์กลางของโลกคือเขาพระสุเมรุ ซึ่งไม่ใช่หิมาลัยแน่ แม้ว่าอาจเป็นได้ว่าต้นความคิดในอินเดีย คงจะมาจากเทือกเขานี้ก็ตาม แต่ยอดเขานี้เป็นที่อยู่ของพระเจ้า และเป็นเสาให้แผ่นดินตั้งอยู่ ไม่ใช่ที่มนุษย์จะจัดทัวร์ไปเที่ยวเล่นได้ เพราะมีป่าหิมพานต์และแม่น้ำล้อมรอบอีก 7 สาย ตั้งอยู่เพียงในความฝัน แต่ไกลเกินกว่าความใฝ่ฝันจะไปถึงได้ ยังมีศูนย์กลางของโลกในวรรณกรรมไทยบางชิ้นอีกอย่างหนึ่ง คือพุทธบัลลังก์ หรือที่ประทับของพระพุทธเจ้าใต้ร่มโพเมื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ณ ที่แห่งนี้ เมื่อไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลก ก็ล้างไม่ถึง น้ำท่วมโลกเพื่อดับไฟบรรลัยกัลป์ก็ท่วมไม่ถึง เมื่อน้ำเริ่มลดจนเกิดแผ่นดินขึ้นใหม่ ก็ลดจากจุดนี้ไปจนกลายเป็นศูนย์กลางของโลก พุทธบัลลังก์อาจมีจริงและไปถึงได้ แต่ความเป็น "ศูนย์ ? กลาง" ก็ศักดิ์สิทธิ์เสียจนบริษัททัวร์พุทธคยาพาไปไม่ถึง ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ถ้ามีความคิดถึงศูนย์กลางของโลก คนโบราณมักคิดถึงอะไรที่เป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม พวกเขาอาจคิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวก็ได้ (ดังที่บางคนแสดงให้เห็นจากภาพเขียนฝาผนังโบราณ) แต่มนุษย์ต่างดาวไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมใครเป็นการเฉพาะ ต่างจากอเมริกันและจีนในปัจจุบัน ซึ่งมนุษย์ต่างดาวคอยส่งสัญญาณ "หว่อเอยี่ยว visit หนี่ very often" อยู่เป็นประจำ อันที่จริง ในเมืองไทยโบราณ แม้แต่คิดถึงศูนย์กลางแห่งชีวิตที่เป็นรูปธรรม ก็มักคิดถึงเจดียสถาน เช่น คนเหนือต่างก็มีเจดียสถานประจำวันเกิดในที่ต่างๆ ทั้งในเมืองไทยและเมืองมอญ-พม่า คนภาคกลางตอนล่าง (ชั้นในของราชอาณาจักรอยุธยาและบางกอก) คิดถึงพระพุทธบาทที่สระบุรี คนภาคใต้คิดถึงพระบรมธาตุนครฯ เป็นต้น แต่เมื่อเราเปิดประเทศและสมองของเรา เข้าไปรับรู้และผูกพันกับโลกกว้างมากขึ้นตามลำดับ ศูนย์กลางของโลกที่เราเคยรู้จักก็หมดความสำคัญลง แม้แต่ศูนย์กลางแห่งชีวิตก็เปลี่ยนไปสู่ศูนย์การค้าแทนเจดียสถาน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในโลกาภิวัตน์ไม่มีศูนย์กลางของโลกแก่คนทั่วไปอีกแล้ว ยกเว้นแต่คนอเมริกันและจีน ซึ่งพากันพบเห็นจานบินและมนุษย์ต่างดาวอยู่เสมอ Alien, North Carolina, 1967 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอปาด จากคุณ : [x] (BONDJUNG_TH) - [ 14 มิ.ย. 52 18:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โลกาภิวัตน์จึงไม่ได้มีความหมายแต่เพียงความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดในทางเศรษฐกิจ, การเมือง และสังคม-วัฒนธรรมเท่านั้น แต่หมายถึงการสิ้นสุดของโลกหน้าด้วย วัฒนธรรมไร้โลกหน้าอาจเกิดขึ้นก่อนในโลกตะวันตก แต่ก็แผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุดังนั้นศูนย์กลางของโลก จึงต้องเคลื่อนย้ายมาอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนผืนโลกนี้ โดยมียูโฟและมนุษย์ต่างดาวเป็นดรรชนีชี้วัด อย่างไรก็ตาม มีคนในสองชุมชนใหญ่ที่ยังยึดมั่นกับศูนย์กลางของโลกที่เชื่อมโยงกับโลกหน้าอยู่ในโลกาภิวัตน์ หนึ่งคือชุมชนฮินดูในอินเดียเหนือ ซึ่งยังยึดแม่น้ำคงคาซึ่งเชื่อมโยงกับเขาไกรลาศเป็นศูนย์กลางของโลก แต่อินเดียก็กำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และเป็นไปได้ว่าในอนาคตอีกไม่ไกลนัก ผู้คนจำนวนมากขึ้นในอินเดียก็อาจได้พบยูโฟและมนุษย์ต่างดาวถี่ขึ้นเช่นกัน ที่น่าสนใจกว่าคือชุมชนมุสลิม นอกจากกว้างใหญ่ไพศาลกว่าอินเดียเหนือมากแล้ว- ทั้งอาณาบริเวณและจำนวนผู้คน- ก็ยังยึดมั่นกับหินกะบะห์อย่างไม่เสื่อมคลาย ผู้คนนับเป็นพันล้านบ่ายหน้าไปยังหินก้อนนี้พร้อมกันในเวลาละหมาด 5 ครั้งต่อวัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของโลกนี้สักเพียงไรก็ตาม มีคนเดินทางไปแสวงบุญที่วิหารหินกะบะห์นับเป็นล้านทุกปี เป็นปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นอย่างสืบเนื่องในเมกกะมากว่า 1,000 ปี และไม่ว่าโลกาภิวัตน์ทางการเงิน, การค้า, วัฒนธรรม ฯลฯ จะขยายตัวไปอย่างไร โลกาภิวัตน์ของมุสลิมก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงสืบมา นั่นก็คือศูนย์กลางของโลกคือประจักษ์พยานแห่งพระเจ้าองค์เดียว หรือ "โลกหน้า" นั่นเอง และด้วยเหตุดังนั้น ผมจึงคิดว่า ในบรรดาชุมชนทางศาสนาต่างๆ ชุมชนของศาสนาอิสลามน่าสนใจที่สุด เพราะในท่ามกลางกระแสของฆราวาสวิสัย (Secularism) ซึ่งนำไปสู่ทุนนิยม, รัฐประชาชาติ, เสรีนิยมสุดโต่ง, บริโภคนิยม, และโลกาภิวัตน์ นั้น มีแต่ชุมชนมุสลิมและศาสนาอิสลามเท่านั้น ที่ยังยืนหยัดในคติธรรมของตนอย่างมั่นคง ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีนักคิดมุสลิมที่พยายามจะเอาหลักธรรมในศาสนาของตนขึ้นมาเผชิญการท้าทายใหม่ๆ เหล่านี้ ตรงกันข้ามมีมากและหลากหลายสำนักอย่างยิ่งทีเดียว เพียงแต่ว่าการเผชิญการท้าทายของแต่ละสำนักคิด ล้วนตั้งอยู่บนฐานคิดในศาสนาทั้งสิ้น ไม่ใช่การละทิ้งศาสนาเพื่อสมาทานทุนนิยมหรือโลกาภิวัตน์หรือบริโภคนิยมอย่างตื้นๆ ดังที่เราพบได้ในหลายสังคมของศาสนาอื่น ถ้าเปรียบเทียบในเมืองไทย ก็เหมือนความคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นกระแสเดียวในพุทธศาสนาไทย ที่เผชิญการท้าทายของโลกสมัยใหม่ด้วยฐานคิดตามคติธรรมในพระพุทธศาสนาจริงๆ และอาจจะเป็นเพราะเหตุนั้นกระมัง ที่ทำให้ประเทศซึ่งมีมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยมเยือนมากที่สุด รู้สึกว่ามุสลิมเป็นมนุษย์ต่างดาวเสียยิ่งกว่ามนุษย์ที่ติดมากับจานบิน Alien, Roswell Crash, 1947 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:15:39 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ยูเอฟโอกับมนุษย์ต่างดาว ชัยวัฒน์ คุประตกุล ยูเอฟโอมีจริงหรือไม่ ? ถ้ายูเอฟโอมีจริง ก็แสดงว่า มนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงโลกเราแล้วใช่หรือไม่ ? ยูเอฟโอ หรือ UFO มีความหมายตรงๆ คือ สิ่งบินลึกลับที่ไม่ทราบว่าคืออะไร และบ่อยๆ ที่ยูเอฟโอจะถูกโยงเข้ากับเรื่องมนุษย์ต่างดาว จนกระทั่งคนจำนวนไม่น้อยจะเข้าใจว่า ยูเอฟโอก็คือ มนุษย์ต่างดาว แล้วความจริงเป็นอย่างไร ? ก็คงต้องไปเริ่มต้นกันที่ความหมายของยูเอฟโอ หรือสิ่งบินลึกลับที่ไม่ทราบว่าคืออะไร จุดเริ่มต้นของยูเอฟโอยุคใหม่ เกิดขึ้นอย่างค่อนข้างชัดเจนในทศวรรษที่ 40 แห่งศตวรรษ 20 กับรายงานของนักธุรกิจนักบินเครื่องบินเล็กส่วนตัวชาวอเมริกัน ชื่อ เคนเนท อาร์โนลด์ ที่รายงานประสบการณ์ในวันที่ 24 มิ.ย. 1947 ระหว่างการขับขี่เครื่องบินของเขาใกล้เขาเรนเนียร์ รัฐวอชิงตัน ว่า ได้พบวัตถุสิ่งบินลึกลับอยู่ฝูงหนึ่งจำนวน 9 ลำ บินผ่านหน้าเขาเรนเนียร์ จากรายงานของ เคนเนท อาร์โนลด์ นี้เอง คำว่า จานบิน (Flying Saucer) จึงเกิดขึ้น เพราะเขาบรรยายลักษณะของสิ่งบินลึกลับคล้ายจานที่ถูกจับร่อนไปในอากาศ สำหรับภาษาไทย นอกเหนือไปจากคำ "จานบิน" แล้ว ก็ยังมีคำ "จานผี" เกิดขึ้นอีกด้วย จากลักษณะของสิ่งบินลึกลับที่ เคนเนท อาร์โนลด์ พบ ซึ่งไม่มีลักษณะคล้ายเครื่องบินเลย ทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า คืออะไร แต่ที่เขาแน่ใจ คือ สิ่งบินลึกลับทั้งฝูงนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่สิ่งบินที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วจะเป็นอะไรได้ ? สำหรับ เคนเนท อาร์โนลด์ ค่อนข้างปักใจเชื่อว่า ต้องเป็นยานบินมาจากนอกโลก หรือยานบินของมนุษย์ต่างดาวนั่นเอง ดังนั้น สำหรับ เคนเนท อาร์โนลด์ สิ่งบินลึกลับทั้งฝูง 9 ลำนั้น เขามิได้คิดว่า เป็นสิ่งบินลึกลับแต่อย่างใด หากต้องเป็นยานบินของมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน Alien, Chile, 2004 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:20:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วสำหรับคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการวิทยาศาสตร์ล่ะ? สำหรับคนอื่นๆ ทั่วไป ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับ เคนเนท อาร์โนลด์ ว่า สิ่งบินลึกลับเหล่านั้นเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว แต่ส่วนใหญ่จะเห็นด้วย.. ทว่า สำหรับคนในวงการวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่ยังสงวนท่าที เพราะรายงานที่ เคนเนท อาร์โนลด์ พบสิ่งบินลึกลับนั้น มีเขาคนเดียวที่เห็น และที่สำคัญก็ไม่มีหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ เช่น ภาพถ่าย อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก เคนเนท อาร์โนลด์ ยืนยันการพบสิ่งบินลึกลับนั้นอย่างมั่นคง วงการวิทยาศาสตร์จึงไม่ถึงกับปฏิเสธรายงานของเขา แต่ก็ยอมรับให้เป็นยูเอฟโอแรกๆ ของโลก ที่มีรายละเอียดลักษณะ วัน-เวลา-สถานที่ ชัดเจน โดยสรุปแต่เพียงเป็นรายงานของสิ่งบินลึกลับหรือยูเอฟโอ จริงๆ แล้ว เรื่องรายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอมีมานาน ตั้งแต่ก่อนรายงานของ เคนเนท อาร์โนลด์ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากวงการสื่อนัก ยิ่งวงการวิทยาศาสตร์ด้วยแล้ว ถือว่า ยูเอฟโอเป็นเรื่องต้องห้าม ไร้สาระอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และจึงไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องยูเอฟโออย่างจริงจังเลย หลังรายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอของ เคนเนท อาร์โนลด์ เรื่องของยูเอฟโอก็กลายเป็นกระแสดังในวงการสื่อ และมีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอเพิ่มขึ้นอย่างมากมายทั่วโลก แต่สำหรับวงการวิทยาศาสตร์ก็ยังสงวนท่าทีเกี่ยวกับยูเอฟโออยู่ดี ท่าทีของวงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับยูเอฟโอเริ่มเปลี่ยน เมื่อมีรายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอเพิ่มขึ้น โดยนักบิน นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ วิศวกรการบิน ตำรวจ ฯลฯ สิ่งน่าเชื่อถือกว่ารายงานโดยคนทั่วไป และความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ในการสำรวจอวกาศและจักรวาล การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ อีกทั้งโครงการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในการค้นหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว เช่น เซติ (Seti) รวมไปถึงความพยายามอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ ในการส่งสัญญาณจากโลกสู่จักรวาลอย่างตั้งใจ ในรูปของสัญญาณวิทยุ โดยภาพรวมถึงขณะนี้ (เดือนเม.ย. 2009) เรื่องของมนุษย์ต่างดาว จึงมิใช่เรื่องไร้สาระทางวิทยาศาสตร์ ถ้ามนุษย์ต่างดาวมีจริง พวกเขาจะมาจากไหน? ความเป็นไปได้สูงสุด คือ พวกเขาน่าจะมาจากดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ทำไมล่ะ? ก็เพราะว่า จากข้อมูลความรู้เกี่ยวกับระบบสุริยะของเราที่มีอยู่ถึงปัจจุบัน พอสรุปได้อย่างมั่นใจว่า ไม่มีที่ใดอีกเลยในระบบสุริยะของเรา ที่จะมีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาถึงระดับเรียกเป็นมนุษย์ อาศัยอยู่ ถึงแม้ว่า ในระบบสุริยะของเรา อาจมีสิ่งมีชีวิตแบบง่ายๆ ขนาดเล็กกำเนิดเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ เช่น ดาวอังคาร หรือที่ดวงจันทร์ขนาดใหญ่บางดวงในระบบสุริยะ เช่น ไททัน (Titan) แต่ถ้าจะมีสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาถึงขั้นเป็นมนุษย์ได้ เราก็จะได้ทราบแล้ว จากนี้ เราก็พอจะหาคำตอบข้อสรุปประเด็นของเรา เรื่องของยูเอฟโอกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว ดังต่อไปนี้ Arctic Circle Alien 2005 แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 18:23:16 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:22:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ยูเอฟโอมีจริงหรือไม่ ? คำตอบคือ มีจริง! เพราะอย่างน้อย มีหลายประเทศทั่วโลก มีการเก็บรายงานและการศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโออย่างเป็นทางการหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ฯลฯ ส่วนสหรัฐอเมริกา ก็เคยมีการเก็บรายงานและการศึกษายูเอฟโออย่างเป็นทางการ สำหรับประเทศไทย ไม่มีหน่วยงานอย่างเป็นทางการ ในการเก็บและศึกษารายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอ แต่มีกลุ่มหรือชมรมเกี่ยวกับยูเอฟโอหลายกลุ่ม ทั้งที่เคยมีมาก่อนแล้วก็เลิกหายไป และที่เกิดใหม่กำลังสนใจเรื่องยูเอฟโอ (กับเรื่องมนุษย์ต่างดาว) อย่างจริงจัง แล้วมนุษย์ต่างดาวล่ะ ? ถึงแม้บทสรุปสำหรับวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปในปัจจุบัน จะไม่ปฏิเสธเรื่องความเป็นไปได้ของการมีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาหรือมนุษย์ต่างดาว ร่วมจักรวาลกับมนุษย์โลกแต่ถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีมนุษย์ต่างดาวเดินทางมาถึงโลกเราแล้ว โอกาสที่มนุษย์ต่างดาวจะเดินทางมาเยือนโลกเราเป็นอย่างไร ? คำตอบคือ เป็นไปได้ เพราะถึงแม้มนุษย์ต่างดาวจะมีอยู่ในระบบสุริยะอื่น ซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกเรามาก การเดินทางข้ามอวกาศระหว่างระบบสุริยะ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในจักรวาลและกาแล็กซีทางช้างเผือก จะต้องมีดาวเคราะห์จำนวนมหาศาล ซึ่งเกิดก่อนดาวเคราะห์โลกเป็นหลายร้อยหรือหลายพันล้านปี และก็เป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ต่างดาวก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเดินทางข้าม อวกาศเหนือมนุษย์โลกมาก จนกระทั่งสามารถเดินทางมาเยือนโลกเราได้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีรายงานมากมายทั่วโลก การเผชิญหน้าของมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว แต่บทสรุปที่เป็นวิทยาศาสตร์ถึงขณะนี้ คือ ยังไม่มีหลักฐานอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า มนุษย์ต่างดาวได้เคยเดินทางมาถึงโลกเราแล้ว ดังนั้น ถึงแม้บทสรุปเรื่องยูเอฟโอถึงขณะนี้ คือ ยูเอฟโอมีจริง แต่มิได้หมายความว่า มนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงโลกเราแล้ว ถ้าบทสรุปนี้ถูกต้อง และถ้ามนุษย์ต่างดาวสามารถเดินทางมาเยือนโลกเราได้ แล้วเมื่อไรมนุษย์ต่างดาวจะเดินทางมาเยือนโลกเราจริงๆ ? คำตอบของผู้เขียน คือ เมื่อไรก็ได้ อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ ปีหน้า อีกหนึ่งร้อยปี หรือแม้แต่ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่! ที่มา มติชนรายสัปดาห์ www.ufocasebook.com มนุษย์ต่างดาว /ต่วยตูน จานผีกับมนุษย์ต่างดาว /ชัยสิริ สมุทวณิช www.posttoday.com สําหรับวันนี้ก็ขอนิทราตรีสวัสดิ์ ลาไปก่อนครับ ลาไปแล้วครับ สวัสดีครับ.Terran แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 18:32:43 จากคุณ : Mr.Terran - [ 14 มิ.ย. 52 18:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมสงสัยว่ามนุษย์ต่างดาวในรูปที่7เป็นยิวปะครับ ขอบคุณครับ ถ้ามีโอกาสจะไปหาจีบเอเลี่ยนสาวๆ จากคุณ : 1234 - [ 14 มิ.ย. 52 18:35:21 A:125.26.139.171 X: TicketID:184507 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขออนุญาตแวะมาปาด ขอบคุณสำหรับความรู้ประดับสมองค่ะ จากคุณ : เลื้อย - [ 14 มิ.ย. 52 18:36:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เสียกิฟเกือบสุดท้ายของเดือนนี้ให้มร.Terran ไปละ ทำไมกิฟมันหมดเร็วอย่างนี้ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 14 มิ.ย. 52 18:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบอ่านค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารู้ค่ะ จากคุณ : Evelyna - [ 14 มิ.ย. 52 18:48:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ช่วงนี้หัวใจไม่พอใช้เหมือนกันแฮะ... ตั้งแต่มีคดีขนมอบ+ว่านน้ำ กิฟต์หมดไวมากๆ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 52 18:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อ่านจนตาลายเลยค่ะ ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านค่ะ จากคุณ : Matriarchal Miaw - [ 14 มิ.ย. 52 18:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณ Mr.Terran จากคุณ : anurak_jun - [ 14 มิ.ย. 52 19:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ยูโฟอาจเกิดจากจิตใต้สำนึกคนอย่างที่บอกก็ได้ แต่ก็แอบหวังให้มันมีจริงนะ เปิดการค้าเสรีเลย อิอิ จากคุณ : ขอบคุณค่า (มือปราบหน้าใส) - [ 14 มิ.ย. 52 19:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จากคุณ : anurak_jun - [ 14 มิ.ย. 52 19:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านเฉพาะสี่ห้าคห.แรกๆ นะครับ ไม่เข้าใจว่าบทความชิ้นนี้จะสื่อว่าอะไร =_=? นิยามคำว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวก็ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว ต่อให้ไปเจอแมลงสาบที่ดาว Alpha Centaury ก็ยังถือเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวอยู่ดี จะยกระดับนิยามเป็น มนุษย์ต่างดาว ก็ยังชัดเจนอยู่ดี ว่าคือสิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่มีอารยธรรม จะคิดอะไรให้วุ่นวายมากมายเป็นพระเซนดูเดอะเมทริกซ์ไปได้ แต่ชอบความคิดของ คาร์ล ยุง ครับ ที่ว่ามนุษย์ต่างดาวเป็น myth สมัยใหม่ จากคุณ : PastelSalad - [ 14 มิ.ย. 52 20:16:57 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ชอบคร้าบบบบบบบบบ จากคุณ : Kung (KiGoJuNg) - [ 14 มิ.ย. 52 21:24:56 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณ Mr.Terran จากคุณ : ต้องผ่านไปให้ได้ - [ 14 มิ.ย. 52 23:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอตั้งข้อสงสัย ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ รู้สึกว่า รูปบางรูปเป็น รูปทำปลอม จากคุณ : Prof.Sirius - [ 15 มิ.ย. 52 01:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มีบัตรตอกแล้วแฮะ จากคุณ : bbiggy - [ 15 มิ.ย. 52 08:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เอเลี่ยนๆๆๆ ^^ จากคุณ : vn, man - [ 15 มิ.ย. 52 09:29:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ลงชื่อ แจกกิฟท์ โหวต อ่านจบแล้ว สนุกมากครับ จากคุณ : knine2five - [ 15 มิ.ย. 52 09:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 33 งืมมมม ขอบคุณครับ แต่อ่านไม่หมด จากคุณ : LAPD21 - [ 15 มิ.ย. 52 11:39:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอปลอบใจคุณ Cryptoฯ ด้วยการคืนไป 3 กีบนะครับ คุณ  1234 คห. 17 เป็นมุกที่ฮาครับ ผมขํานะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม คุณ  Prof. บางภาพอาจเป็นภาพปลอมก็ำได้ครับ จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 14:46:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่องมนุษย์ต่างดาว ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก จนกว่าจะค้นพบความจริง อ่านกี่ครั้งก็ยังสนุกทุกครั้งไป จากคุณ : _The Enjoy_ - [ 15 มิ.ย. 52 15:01:22 ]

ความคิดเห็นที่ 36 THK จร้า อ่านเพลินดี จากคุณ : -APEM - [ 15 มิ.ย. 52 15:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ชอบดู BEN10 เหมือนกัน เอเลี่ยนหน้าตาแปลกๆทั้งเรื่องเลยอะ จากคุณ : Choco-Mix - [ 15 มิ.ย. 52 15:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ยาวมาก ยังอ่านไม่จบเลยครับ จากคุณ : Darkvider - [ 15 มิ.ย. 52 16:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 บ้างก็ว่าของจริง บ้างก็ว่าของปลอม ใจนึงก็คิดว่าอาจจะมีจริงนะ มนุษย์เรายังอาศัยในโลกใบนี้ได้เลย ดาวอื่นก็น่าจะมีมนุษย์ต่างดาวบ้างแหล่ะ ใครจะรู้... จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 15 มิ.ย. 52 16:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เดือนนี้ กิ๊ฟ เปลืองมากๆ จากคุณ : Darkvider - [ 15 มิ.ย. 52 17:20:13 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณบทความดีๆครับคุณMr.Terran ผมเชื่อว่าในกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่มี ดาวฤกษเหมือนดวงอาทิตย์มากกว่า 150 พันล้านดวงนี้ ต้องมีที่ๆมีอารยะธรรมเหมือนโลกเรา อยู่อย่างแน่นอน จากคุณ : zakai - [ 15 มิ.ย. 52 17:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 42 *-* จากคุณ : ดารานำฝ่ายชาย - [ 15 มิ.ย. 52 18:12:33 ]

ความคิดเห็นที่ 43 วาว สุดยอดไปเลย ชอบๆๆค่ะ เอาอีกๆ จากคุณ : ปลาหมึกรสเลม่อน - [ 15 มิ.ย. 52 18:17:29 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมขอแนะนํา 10 สุดยอดหนังสือและสารคดีที่ผมใช้เป็นหลักในการศึกษานะครับ เผื่อท่านที่สนใจจะไปหามาอ่าน/ดู บ้าง (ผมไม่ได้โฆษณาทางการค้าหรือธุรกิจนะ เพราะไม่ได้เปอร์เซ็นต์แบ่ง 555+ ) 1. Alien from Space โดย Donald Keyhoe (1937,Doubleday) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 18:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 45 2. Communion โดย Whitley Strieber (1987/Marrow/Beech Tree)    Report on Communion โดย Ed Conroy (1989/Morrow) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 18:54:38 ]

ความคิดเห็นที่ 46 3. Crash at Corrona:The US Military Retrieval and Cover-Up of a UFO โดย  Staunton Friedman (1992, Marlow & Co.) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 18:57:41 ]

ความคิดเห็นที่ 47 4. Dimension and Revelations โดย Jacques Vallee (1998 & 1992, Bantam Books) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 18:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แอร๊ยยยยย!!! ได้กิฟท์จากMr.Terran ด้วย ดีใจครับ ดีใจๆๆๆๆ จากคุณ : knine2five - [ 15 มิ.ย. 52 19:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 49 5. The Encyclopedia By  Ronald Story (1980, Doubleday) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:02:52 ]

ความคิดเห็นที่ 50 6. The Flying Saucer Wilkins, Harold T. บรรณาธิการโดย Jay David (1967, New American Library) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:08:02 ]

ความคิดเห็นที่ 51 7. The Hynek UFO Report (1977,Dell) The UFO Experience (1972,Regnery) เขียนโดย J. Allen Hynek จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:09:20 ]

ความคิดเห็นที่ 52 8. The Randle Report:UFOs in the 90s Kevin D. Randle (1997 M.Evans and Company,Inc) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:10:49 ]

ความคิดเห็นที่ 53 9. UFO crash at Roswell (1991,Avon) The Truth about the UFO Crash at Roswell (1994,Avon Books) Kevin D. Randle , Donald R. Schmitt จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:12:09 ]

ความคิดเห็นที่ 54 10. UFO Encyclopedia Volume I :UFOs in the 1980s (1990,Apogee Books) Volume 2: UFOs fromthe Beginning Throught 1959(1992, Omnigraphics) จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:14:44 ]

ความคิดเห็นที่ 55 หาดู/อ่านทางเน็ตได้เยอะแยะครับ ต่อไปเป็นสารคดีครัีบ 1. Alien Autopsy fact or Fiction จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:17:10 ]

ความคิดเห็นที่ 56 2. Alien Secret: Area 51 จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:20:03 ]

ความคิดเห็นที่ 57 3.The Case For NASA UFO'S จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:21:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 4. Flying Saucer are Real จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 59 5. Larry Kings UFO Cover-Up? จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 60 6. The Roswell Incident จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 61 7. Overlords of the UFO จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 62 8. Where Are All The UFOs? จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 63 9. UFO Secret:The Roswell Crash จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:29:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 และสุดท้ายครับ UFO hunters จากคุณ : Mr.Terran - [ 15 มิ.ย. 52 19:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แวะมาโหวตอีกรอบ จากคุณ : anurak_jun - [ 15 มิ.ย. 52 19:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เพิ่งรู้ว่า MIB มีที่มาแบบนี้เอง จากคุณ : ด้วยดินสอและน้ำตา - [ 15 มิ.ย. 52 20:27:20 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อ่านเพลินดีคับ จากคุณ : No Regret - [ 15 มิ.ย. 52 21:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 68 รูปที่โชว์  ของจริงรึป่าวค่ะ หรือว่ามาจากหนัง อะไรแบบนี้รึป่าวง่า ตอบทีจ้า จากคุณ : Strawberry 59 Baht - [ 16 มิ.ย. 52 01:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เขียนดีมากครับ ปล. คำลงท้าย Mr.Terran ผมคิดถึง ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ เลย อิอิ จากคุณ : dentovic - [ 16 มิ.ย. 52 02:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 70 แฟนคลับ ลงชื่อฮับ จากคุณ : utd - [ 16 มิ.ย. 52 09:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ครับ จากคุณ : soodlor (Soodlor) - [ 16 มิ.ย. 52 09:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อยากรู้ครับว่า 3เหลี่ยมเบอร์มิวด้า มันเกี่ยวกับAlienรึปล่าวครับ จากคุณ : skullman - [ 16 มิ.ย. 52 10:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณค่ะ... สักวันโลกเราต้องมีเพื่อนแน่แนค่ะ.. จากคุณ : nuanapa - [ 16 มิ.ย. 52 10:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เข้ามายอมรับคะว่า...อ่านไม่จบ อิอิ จากคุณ : ngbobber - [ 16 มิ.ย. 52 11:43:22 ]

ความคิดเห็นที่ 75 มาลงชื่อด้วยคนค่ะ  ชอบๆๆๆๆ จากคุณ : นู๋ขี้สงสัย - [ 16 มิ.ย. 52 12:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เรื่อง Alien นี่ อ่านเมื่อไหร่ก็ยังสนุกจริงๆ ^^ จากคุณ : Yippie - [ 16 มิ.ย. 52 13:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณในบทความดีๆ ครับ แถมยังมีหนังสือมาแนะนำด้วย แต่..ไม่ไหวภาษาอังกฤษเราอ่อนแอ รออ่านบทคัดย่อจะดีกว่า โฮ่..โฮ่ จากคุณ : Duk-Dui - [ 16 มิ.ย. 52 13:29:57 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ผมอ่านไม่รู้เรื่องอ่ะครับ -*- จากคุณ : Pu'Chew - [ 16 มิ.ย. 52 13:31:28 ]

ความคิดเห็นที่ 79 อ่านบางบทความแล้วไม่ค่อยเกทเท่าไหร่ แต่นับถือความพยายามคับ ฮ่า ผมก็รอมะนาวต่างดุ๊ดว่าเมื่อไหร่จะมาแลนดิ้งอย่างเป็นทางการซะที ชาตินี้จะมีหวังรึเปล่าไม่รู้ หรือว่าต้องรอสร้าง warp drive ได้ก่อนนะ จากคุณ : Iron-Spider - [ 16 มิ.ย. 52 15:11:37 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณนะคะสำหรับข้อมูล จากคุณ : townthara - [ 16 มิ.ย. 52 15:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 81 มาอีกแว้ว ชอบๆๆ เข้ามาอ่านช้าไปหน่อย อิอิอิ จากคุณ : วัตถุต้องสงสัย - [ 16 มิ.ย. 52 16:01:37 ]

ความคิดเห็นที่ 82 รูปใน คห.5    ของปลอม?   (อ๊ะ  หรือเทียม) จากคุณ : ห้ามวางไว้ไกล้เด็ก - [ 16 มิ.ย. 52 17:06:31 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ผมเชื่อว่ามีจริงครับ จากคุณ : หมอไฟฟ้า - [ 16 มิ.ย. 52 20:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 84 หนังสือน่าอ่านมากกกค่ะ แต่คงแปลไม่ออกแหงๆ จากคุณ : Pretty_Cute_Girl - [ 16 มิ.ย. 52 22:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 85 มาตีตั๋วเกือบไม่ทันค่ะ อิอิ ขอบคุณค่า จากคุณ : รองเท้ากับนาฬิกา - [ 17 มิ.ย. 52 02:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 86 แฟนคลับแวะมาลงชื่อก่อนนอนค่ะ จิ้มไปที่ #69 >> นั่นจิคะ คิดเหมือนกันเลย หลังๆเห็นคำจบแบบนี้ตลอด ...พรุ่งนี้มาอ่านต่อนะคะ จากคุณ : just a little thing - [ 17 มิ.ย. 52 03:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เรื่องราวน่าสนใจและได้ความรู้มากมายทีเดียวครับ พูดถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอแล้ว หากศึกษาไปจริงๆเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ก็เหมือนมีนัยยะเรื่องทูตที่เป็นมนุษย์ต่างดาวด้วยนี่ครับ เพียงแต่ไม่ได้บอกชัดๆนั่นเอง หรือว่าผมดูหนังมากไป แต่คิดว่าเคยอ่านเจอครับ ไม่อย่างงั้นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่างก็ไม่น่าเกิดขึ้นได้ เรื่อง แสง รังสีต่างๆ จากคุณ : เด็กท้ายวัง - [ 17 มิ.ย. 52 11:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจจนโหวตนะครับ คห. 68 คุณ  Strawberry 59 Baht ภาพต่างๆนี้เป็นภาพของเอเลี่ยนที่ผู้ที่ถ่ายภาพได้ อ้างว่า เป็นของจริงครับ คห.72 คุณ  skullman บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีการพบเห็นจานบินบ่อยก็จริง แต่ไม่เกี่ยวกับการหายไปของเรือและเครื่องบินครับ เป็นเพราะสภาพอากาศและเทคโนโลยีสมัยนั้นก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ปัจจุบันไม่มีปัญหาแล้วครับ  แล้วถามว่าทําไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น มีเรื่องเล่าสนุกๆจากโครงการเรนโบว์ครับ โครงการ "เรนโบว์" ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเรือสหรัฐ ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการทหาร เพื่อนำไปใช้ในการสงคราม หนึ่งในการทดลองนั้นคือ การพยายามทำให้เรือพิฆาตไม่ปรากฏบนจอเรดาร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นการทดลองเทคโนโลยีล่องหนครั้งแรกของโลก โครงการ "เรนโบว์" (Project Rainbow) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment) ได้ทำการทดลองขึ้นที่ฐานทัพเรือสหรัฐในฟิลาเดเฟีย  ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1943 โดยการใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ สนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือและสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ ข้าศึกจึงไม่สามารถใช้เรดาร์ในการตรวจจับเรือรบดังกล่าวได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นสนามแม่เหล็กยังได้หักเหการเดินทางของแสง ทำให้เรามองไม่เห็นมันอีกด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวเหมือนกับการที่เราเห็นภาพลวงตาบนท้องถนนในวันที่แดดแรง (Mirage) en.wikipedia.org/wiki/Project_rainbow จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 13:47:26 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้นบนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173) เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงานมันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์! บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเหียน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann) นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหาสาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน เรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173) จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 13:49:55 ]

ความคิดเห็นที่ 90 กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หรือเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่าพวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือ กำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างสีฟ้าวาบขึ้น! เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ! ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann) จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 13:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการอยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek) ใครคือ "อัลเฟรด เบเลก" อัลเฟรด เบเลก เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ที่รัฐนิวยอร์ก เดิมทีนั้นเขาชื่อเอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron) จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 13:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เป็นบุตรชายของ อเล็กซานเดอร์ ดันแคน คาเมรอน ซีเนียร์ (Alexander Duncan Cameron, Sr) จบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939 ไม่เพียงแต่เท่านั้น อัลเฟรด ยังจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพรินสตัน และกำลังจะศึกษาต่อปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด อาจเป็นเพราะบิดาของเขาเคยรับราชการในราชนาวีสหรัฐ จึงทำให้ อัลเฟรด และน้องชายของเขาเข้ารับราชการในราชนาวีสหรัฐ เช่นกัน เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ เมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์ ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดิน พวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน อัล เฟรดถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่าสถานที่นี้คือ สถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island) อัลเฟรด เบเลก จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 13:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 93 วันนี้คือวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983 ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟีย ในปี ค.ศ. 1943 และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน เดิมที อัลเฟรด ได้ถูกรัฐบาล จับไปล้างสมองและลบความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาใช้ชีวิตในชื่อของ อัลเฟรด เบเลก ตลอดมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1983 บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ อี เอ็ม ไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.) ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง การทดลองฟิลาเดลเฟีย(Philadelphia Experiment) จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 13:59:41 ]

ความคิดเห็นที่ 94 อ่านได้ความรู้ + สนุกมาก  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : kekodes - [ 17 มิ.ย. 52 14:00:43 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ภาพยนตร์เรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ อัลเฟรด ได้ประสบมา อีเอ็มไอ ได้กำหนดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984 แต่เมื่อก่อนจะถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐ มีข้อความว่าพวกเขาไม่ประสงค์ให้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ อีเอ็มไอ ได้ลงทุนทำการประชาสัมพันธ์และออกกำหนดการ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะได้รับจดหมายห้ามจากสหรัฐเพียงแค่ 3 วันก่อนวันฉาย อีเอ็มไอ จึงได้ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ในสหรัฐ ตามกำหนดการเดิม โดยเสแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับจดหมายห้ามจากรัฐบาลสหรัฐ ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐ เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายเตือนฉบับที่ 2 จากสหรัฐอีก แต่คราวนี้ อีเอ็มไอ ไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดฉายภาพยนตร์ทันทีทันใด แถมยังได้ส่งจดหมายกลับไปว่า อีเอ็มไอ จะหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งห้ามเป็นคำพิพากษาจากศาลเท่านั้น เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็มีคำสั่งจากศาล ให้หยุดการฉายภาพยนตร์ เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หายไปจากประเทศสหรัฐถึง 2 ปีเต็มๆ ในระหว่างนั้น อีเอ็มไอ ได้พยายามหาหนทางที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้าไปในประเทศสหรัฐ จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไปพวกเขาก็ประสบความสำเร็จโดยผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของวิดิโอเทป และส่งเข้าไปขายในสหรัฐ เมื่อ อัลเฟรด ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ความจำของเขาก็เริ่มกลับมา อัลเฟรดกล่าวว่าในช่วงต้นเรื่องภาพยนตร์สร้างออกมาได้ใกล้เคียงความจริงมาก ส่วนช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นมีการเสริมแต่งเรื่องเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นที่ประทับใจ จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 14:05:19 ]

ความคิดเห็นที่ 96 อัลเฟรด ได้พยายามสืบหาผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็พบกับ นาวาตรี อลัน แบชเลอร์ (Lt. Commander Alan Batchelor) ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าลูกเรือในการทดลองฟิลาเดเฟีย อลันจำ อัลเฟรดได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในลูกเรือเอลดริจ และยังบอกกับเขาด้วยว่า เขาไม่ได้ชื่อ อัลเฟรด เบเลก อลัน ได้สูญเสียความจำบางส่วนไป แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่า อัลเฟรด ประจำการอยู่บนเรือร่วมกับน้องชายและยังพอจะจำเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นได้ มาถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของอัลเฟรดเขาหายไปไหน? ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์บนเรือเอลดริจ ตอนที่หลุดเข้าไปในประตูมิติเวลา ระหว่างที่เหล่าลูกเรือกำลังช่วยกันทำลายเครื่องสร้างสนามพลังอยู่นั้น น้องชายของ อัลเฟรดได้ตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ ครับเขาอยู่ในปี ค.ศ. 1983 ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นกลับมาในปี ค.ศ. 1943 หลังจากที่เกิดการผิดพลาดในการทดลองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ราชนาวีสหรัฐ ได้สั่งให้สร้างเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่และกำหนดให้มีการทดลองอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ลูกเรือ ราวปลายเดือนตุลาคม เวลาประมาณ 22:00 น. การทดลองได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ใช้สายเคเบิลยาวประมาณ 1,000 ฟุต ผูกติดกับคันบังคับปิด-เปิด เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อใช้เป็นรีโมท เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงาน เรือเอลดริจก็ได้หายไปจากน่านน้ำในฟิลาเดเฟีย มีพยานจำนวนมาก เห็นมันไปปรากฏตัวที่ท่าเรือใน นอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย นานเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจู่ๆ มันก็หายตัวไป เรือเอลดริจ กลับมาปรากฏตัวที่ฟิลาเดเฟียอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปิดเครื่อง แต่เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กได้หยุดทำงานด้วยตัวมันเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเรือ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์จำนวนมากกว่าครึ่งหายไป ห้องควบคุมมีกลุ่มควันเต็มไปหมด พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือเอลดริจ รู้ก็แต่เพียงว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอย่างแน่นอน ในที่สุดราชนาวีสหรัฐก็ตัดสินใจระงับโครงการเรนโบว์นี้ เรือเอลดริจ ได้ถูกนำมาประกอบอุปกรณ์มาตรฐานของเรือพิฆาตอีกครั้ง เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใข้ในการทดลองฟิลาเดเฟียถูกยกออก และส่งมันกลับเข้าประจำการตามปรกติ จนกระทั่งปลดประจำการณ์ในปี ค.ศ. 1950 สหรัฐได้บริจาคเรือลำนี้ให้กับประเทศกรีซ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือไลออน โดยที่กฏหมายการเดินเรือสากลนั้นปูมเรือจะต้องติดไปกับเรือด้วยทุกครั้ง ใช่ครับ ปูมเรือเอลดริจก็ติดไปกับเรือด้วย เพียงแต่ว่ามันเริ่มวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944 ไม่มีใครทราบว่าปูมเรือก่อนหน้านั้นหายไปไหน ที่มา การเดินทางข้ามเวลา /ศิลป์ อิสเรศ โครงการ "เรนโบว์" /ณรงค์ จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 14:10:41 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขอบคุณมาก  .. จากคุณ : palmfriday - [ 17 มิ.ย. 52 14:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เอาเรื่องโครงการเรนโบว์มาตอบ คุณ  skullman ซะเพลินเลย เพื่อไม่ให้เบี่ยงเบนเรื่อง ขอวกกลับมาที่เรื่องมนุษย์ต่างดาวอีกครั้งครับ คห. 87 คุณ เด็กท้ายวัง กล่าวไว้ได้ถูกต้องแล้วครับ   เป็นที่เชื่อไปตามๆกันว่า ยุคของยานอวกาศจากนอกโลก เปิดศักราชขึ้นอย่างเป็นทางการผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วโลกเมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมา แต่จากหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่ายืนยันว่า ยูเอฟโอ ได้อยู่คู่ฟ้าและมนุษย์ชาติมานานนับหมื่นๆปีตลอดทุกยุคทุกสมัยในประวัติ ศาสตร์ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวัตถุ - แสงประหลาด รถ -เรือเหาะ ราชวังลอยฟ้าตระการตา ราชรถที่มิได้มาเกยแต่ลอยเอ้อระเหยอยู่เบื้องบนตลอดจนไม้กางเขนที่ลุกเป็น เพลิงซึ่งพบเห็นกันทั่วยุโรปตะวันตก ศตวรรษที่เพื่งผ่านมาในอเมริกามีรายงานมากมายเกี่ยวกับเรือ เรือบิน และพาหนะประหลาดที่แล่นไปมาในท้องฟ้าเปรียบเหมือน ปริศนาชันสูงที่อยู่เหนือฟ้า และ ปัญญาขบคิดของมนุษย์มานานหลายยุค แต่ในปัจจุบันเราเรียกว่าปรากฎการณ์ " ยูเอฟโอ " ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ภาพของมนุษย์ประหลาดี่มีรัศมีรายรอบ สวมหมวกกลมโตคล้ายจะออกไปเดินเหินนอกอวกาศ พร้อมกับวัตถุบินขนาดยาว รูปจานประกอบด้วยโดม ได้ถูกบันทึกลงบนผนังถ้ำในเมืองนิโอ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส คล้ายกับเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งนักเดินทางจากต่างดาวเคยมาทัวร์รอบโลก เมื่อราว 30,000 ปีก่อน ภาพในแนวล่วงสมัยไปไกลอย่างไม่นาเชื่อนี้ มีอยู่ที่ถ้ำ อัลตามิรา ทางตอนเหนือของสเปน อายุ 15,000 ปีด้วย ดร.จอห์น แม็ค นักจิตวิทยาโด่งดังระดับโลกผู้ได้รับรางวัล พูลิทเซอร์ และสอนวิชาสุขภาพจิตในมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ อเมริกา ได้หันมาศึกษาเรื่อง ยูเอฟโอ พร้อมกับเขียนหนังสือชื่อ " มนุษย์ต่างดาวลักพาตัว " ออกมาสร้างความแตกตื่นในหมู่ปัญญาชนอย่างมาก ดร.แม็ค เชื่อมั่นว่า ร่องรอยของมนุษย์ต่างดาวนั้นแฝงอยู่กับบรรพบุรุษของเรามาแต่โบราณ " ตลอดจนหลายยุค ผู้คนรายงานว่า ได้ติดต่อกับบรรดาเทพเจ้า วิญญาณ เทพยดา ตลอดจนปิศาจซึ่งส่วนใหญ่แล้วมาจากแหล่งอาศัยอื่นหรืออีกมิติหนึ่ง เพื่อมาสั่งสอน ชี้แนะ ก่อกวนหรือไม่ก็เป็นมิตรกับมนุษย์ด้วยเจตนาและวัตถุประสงค์ต่างๆกัน จากการศึกษาทำให้ผมเชื่อว่า เราอยู่ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญา จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 14:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 99 บันทึกโบราณจำนวนมากได้กล่าวถึงเทพเจ้าที่มาจากดวง ดาวเพื่อประทานความรู้ต่างๆให้ จึงไม่น่าแปลกที่ต้นตระกูลอเมริกันอย่างชาวมายา ได้ครอบครองเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเกินสมัยของพวกเขาอย่างมาก ชนเผ่าสุเมเรียน ผู้สร้างอารยธรรมแห่งแรกของโลกตะวันออกใกล้รู้เรื่องดาว 12 ดวง ในระบบสุริยะของเราเป็นย่างดี ทั้งที่ไม่มีกล้องโทรทัศน์ หรือ อินเตอร์เนต ให้ค้นข้อมูล ชาวอินคาเชื่อว่า กาแล็กซี่คลาคร่ำไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งฌากส์ วัลลี ผู้เชี่ยวชาญการศึกษา ยูเอฟโอ ในประวัติศาสตร์ทั่วโลก ตั้งข้อสังเกตุว่า " จานกลม " ยังเป็นสัญลักษณ์ที่มีอยู่หลากหลายอารยธรรม ชาวคริสต์ยุคแรกๆ รวมทั้งฟินิเชียนต่างถือว่ามันมีความหมายแทนการติดต่อสื่อสารระหว่างทูต สวรรค์กับพระเจ้าชาวตะวันตกสมัยนี้ที่ได้อ่านมหากาพย์ของอินเดียเรื่อง รามาณะ และ มหาภารตะ ต่างรู้สึกทึ่งไปกับเรื่องราวที่เขียนขึ้นในราว 5000 ปีก่อน ซึ่งบรรยายถึงยานบนสวรรค์ของเทพเจ้าหรือที่เรียกว่า วิมาน ว่ามีหลายรูปทรงและขนาด สามารถปฎิบัติการณ์ผาดโผนโจนทะยานทางอากาศด้วยความเร็วอันน่าพิศวง พร้อมทั้งฉากการรบพุ่งที่ดูไม่ตางจากสงครามสมัยใหม่ จากการตีความของนักจิตวิทยา มาริโอ พาชซากลินิ ซึ่งทำการศึกษาคดีลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาวมาหลายปีนั้น ปราก ฎการณ์ ยูเอฟโอได้ถูกบันทึกไว้ร่วมหมื่นปี เริ่มด้วยเรื่องราวของ เอเสเคียล ใน คัมภีร์ ไบเบิล ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่เขาพบเห็นถึง 4 ครั้ง 4 ครา แต่ไม่มีอ่านแล้วเข้าใจเลยสักครา อย่างเช่น เมฆ แสงประหลาด ทูตสวรรค์ และวงล้อตามที่ปรากฎในพระธรรมเอเสเคียล บทที่ 1 , 8 , 10 และ 43 บางส่วนมีอยู่ว่า เทพเจ้าของสุเมเรียน จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 14:26:05 ]

ความคิดเห็นที่ 100 " พายุพัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบและมีไฟลุกวาบ ท่ามกลางไฟดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ ( ยานโลหะ ? ) ที่แวบวาบ ... " มีร่างของสัตว์ 4 ตัว วงล้ออยู่บนพิภพข้างสัตว์นั้นตัวละ 1 วงล้อ ... " และเหนือท้องฟ้าที่อยู่เหนือศรีษะของสัตว์นั้นมีสิ่งคล้ายบัลลังก์ ( ที่นั่งบังคับยาน ? ) และบนสิ่งนั้นมีลักษณะเหมือนมนุษย์ ... " และมีความสุกใสอยู่รอบท่านผู้นั้น " เอ เสเคียลบรรยายไว้ชัดเจนจนวิศวกรของ นาซา ชื่อโจเซฟ บลูมริช สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยานทั้งลำได้ ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า นี่คือ หลักฐานการลงจอดของ ยูเอฟโอ อย่างไม่ต้องสงสัย เป็นที่ยอมรับกันว่า คัมภีร์ ไบเบิล นั้นบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไว้ได้อย่างเที่ยงตรง ซึ่งในที่นี้อาจหมายรวมถึงปรากฎการณ์จานบินด้วยอย่างไม่มีหลงหายไปสักลำ โดยต่างเรียงลำเรียงรายอยู่ในพระธรรมหลายเล่ม ได้แก่ อพยพบทที่ 13 : 21 - 22 " เสาเมฆและเสาเพลิง " ได้บินนำทางโมเสสกับชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ , ในพงศาวดารกษัตริย์ฉบับ 2 บทที่ 2 : 11 ขณะที่เอลียาห์ข้ามแม่น้ำ จอร์แดนกับลูกชาย " รถเพลิงและม้าเพลิง " ได้แยกพวกเขาออกจากกัน และเอลิยาห์ก็ถูกพายุหอบขึ้นสู่สวรรค์อย่างไร้รองรอย , ในมัทธิวบทที่ 2 : 1 - 2 โหราจารย์ทั้งสามจากทางตะวันออก ได้เห็น " ดวงดาวแห่งเบธเลเฮม " ปรากฎขึ้นและนำทางพวกเขาจนไปถึงสถานที่ประสูติของพระเยซู ฟังดูเหนือชั้นกว่าดาวเทียมสมัยนี้เสียอีก ปรากฎการณ์ประหลาดทางท้อง ฟ้ามีรายงานจากหลากหลายอารยธรรม เช่น กรีก โรมัน และ อียิปต์อริสโตเติล นักปรัชญาผู้เป็นที่ยกย่องมากของกรีก ได้พรรณาถึง " จานกลมจากสวรรค์ " ไว้ตั้งแต่ 4 ปีก่อนคริสต์กาล และสาวความยาวไปถึงดาวตกดวงหนึ่งซึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าที่ เอกอสโพทามิ ก่อนที่จะ " ทะยานขึ้นกลางสายลมและร่วงลง ณ แดนอื่น " แม้ท่านอริสโตเติลจะใช้ภาษากวีเพริศแพร้วไปบ้าง แต่สิ่งที่บรรยายไว้นี้ไม่ใกล้เคียงกับลักษณะโดยทั่วไปของดาวตกที่เรารู้จัก ไพลนิ นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของโรมันได้เห็น " ลำแสงเรืองรองส่องสว่างทั่วฟ้า " ซึ่งมหัศจรรย์มากจนถึงกับบันทึกไว้ใน Historia Naturalis และในช่วง 66 ปีก่อนคริสต์กาล เขาบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับ " ลูกไฟ " ที่พุ่งจากดวงดาวมายังโลกจนกระทั่งมีขนาดใหญ่เท่าดวงจันทร์ มันลอยนิ่งสักพักแล้วค่อยๆหายไป เหตุการณ์ที่น่าตื่นตากว่ามาจากรายงาน ของ ซิเซโร นักประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในโรมันโบราณ ช่วงก่อนคริสต์กาล 1 ปี " ดวงอาทิตย์แห่งยามราตรี " ได้เบิกฟ้าขึ้นท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ต่อมาดวงอาทิตย์ระเบิดออก พร้อมกับปล่อยวัตถุทรงกลมไว้เบื้องหลังมากมายลิวิ นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เห็น " แท่นบูชา " รายล้อมด้วยมนุษย์ในชุดขาว ลอยไปมาเรียกความศรัทธาแบบไม่เคยมีมาก่อน เหนือเมืองฮาเดรีย ประเทศอิตาลี กล่าวกันว่า ยูเอฟโอ ได้แทรกแซงทางการเมืองด้วย อย่างน้อยก็สองครั้ง ที่เห็นชัดๆตา ระหว่างการเข้ายึดเมืองไทร์ ในปี 322 ก่อนคริสต์กาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้สถาปนา ตนเอาเองว่าเป็นทายาทของเทพเจ้าอียิปต์ผสมกับมนุษย์โลก ได้รับความช่วยเหลือโดยกองหนุนจากสวรรค์ที่มีลักษณะเป็น " แผ่นกลมเหมือนโล่สีเงินวาว " จำนวน 5 ลำ บินเรียงเป็นแถวรูปสามเหลี่ยมนำเข้าโอบล้อมเมืองได้สำเร็จ แต่นี่ไม่ใช่ปริศนากลางสนามรบครั้งแรก ก่อนหน้านี้ 7 ปี ขณะกำลังข้ามแม่น้ำจาสารเทคบนเขตแดนของอินเดีย ยานสีเงิน 2 ลำ ได้โผล่มาแสดงลีลาฉวัดเฉวียนทางอากาศ พร้อมกับบินปักหัวลงมายังกองทัพของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า รายงาน ยูเอฟโอ อย่างเป็นทางการฉบับแรก นั่นอยู่ที่ ... แน่นอนต้องเป็นอียิปต์โบราณ ซึ่งเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างไม่อายฟ้าดิน ดวงอาทิตย์แห่งยามราตรี จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 14:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ในกระดาษปาปิรัสได้บันทึกเรื่องราวของวัตถุแปลกปลอมเหนือฟากฟ้าในอียิปต์สมัย 1,450 ปีก่อนคริสต์กาล ไว้ดังนี้ " ในปีที่ 22 ( ของการครองราชย์ของฟาโรห์ทุธโมสที่ 3 ) ในเดือนสามของฤดูหนาว ในชั่วโมงที่ 6 ของวันบรรดาพระในราชสำนักได้พบเห็นวงล้อไฟผ่านมาทางท้องฟ้า มันไม่มีหัว ลำตัวกว้างและยาว 1 ไม้วัด ( 5 เมตร ) ปากของมันระบายกลิ่นออกมา มันไม่ส่งเสียง และแล้วพระทั้งหลายก็มีจิตใจตื่นตระหนกและงงงวย ต่างพากันนอนเอาท้องราบกับพื้น แล้วรายงานให้ฟาโรห์ทราบ ... หลังจากผ่านไปหลายวันก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นในท้องฟ้ามากกว่า ที่ผ่านมา มันส่องแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ และขยายไปจนถึงขอบเขตทั้ง 4 ด้านของสวรรค์ วงไฟเหล่านี้ครอบครองอยู่เต็มฟ้า เมื่อไพร่พลของฟาโรห์แหงนมองดูมันทันใดนั้น วงไฟก็ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าทางทิศใต้ ปลาและสัตว์ปีกหรือนกต่างก็ร่วงลงมาจากฟ้า เป็นสิ่งประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่การก่อตั้งอาณาจักร ฟาโรห์ได้บัญชาให้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้ในบันทึกเหตุการณ์ประจำปีของราช สำนักเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่จดจำไปตลอดกาล(จากกระทู้เหลือไว้ให้ชาวโลก -Terran) เรื่องทั้งหมดยืนยันว่า ยูเอฟโอ ไม่ใช่ปรากฎการณ์สมัยใหม่อย่างแน่นอน เจโรม คลาร์ก นักหนังสือพิมพ์ซึ่งศึกษารายงานการพบเห็นสิ่งแปลกปลอมบนท้องฟ้าตลอดช่วงปลาย ศตวรรษที่ 19 กล่าวสรุปว่า " แท้จริงแล้วมันคือ ยูเอฟโอสมัยนี้ที่ถูกตีความไปตามเทคโนโลยีและความเชื่อทางศาสนาของสมัยนั้น " ที่มา ต่วย'ตูน จากคุณ : Mr.Terran - [ 17 มิ.ย. 52 14:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ที่ประเทศไทยก็มีตำนานยูเอฟโอนะครับ ที่เขากะลาจังหวัดนครสวรรค์ รายละเอียดลองเข้าไปดูที่ http://www.oknation.net/blog/ufokaokala/2008/03/14/entry-6 จากคุณ : apichan (apichank) - [ 17 มิ.ย. 52 14:38:27 ]

ความคิดเห็นที่ 103 รูปไม่ขึ้นแฮะ :) แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 52 14:51:06 แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 52 14:50:22 จากคุณ : apichan (apichank) - [ 17 มิ.ย. 52 14:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 104 คุณหมายถึงสองคนนี้ใช่ใหมครับ จากคุณ : sem-pe (sem-pe) - [ 17 มิ.ย. 52 14:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ขอบคุณมากครับ ผมกำลังหาอ่านเรื่องพวกนี้พอดี จากคุณ : LightBreeze - [ 17 มิ.ย. 52 15:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 106 มนุษย์"ต่างดาว" ไม่เคยเห็นครับ แต่ มนุษย์"ต่างด้าว" เนี่ยะ แถวบ้านเยอะจริงๆ จากคุณ : [sebastian] - [ 17 มิ.ย. 52 16:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ขอบคุณบทความดีๆครับคุณMr.Terran จากคุณ : อิทธิบาทสี่ - [ 17 มิ.ย. 52 20:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ยังมีมนุษย์ต่างดาวอีกหรอเนี่ย โห่   แค่มนุษย์โลกก็จักรวาลนี้ก็วุ่นจะตายอยู่แล้วนะ จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream - [ 17 มิ.ย. 52 21:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 109 เคยดูหนังเรื่องไรแล้วไม่รุ มีเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงแอฟฟริกาทำกับข้าอยู่ในครัว จู่ๆหายตัวไปโผล่ที่อเมริกามือยังถือตะหลิวอยู่เลย เห็นเค้าว่ามีเค้าโครงเรื่องจริง อยากรู้ว่ามันมีจริงมั้ยการเทเลพอตนี่ครับ จากคุณ : รอมาสิบปีแล้วสินะ - [ 17 มิ.ย. 52 23:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ขอเป็นแฟนคลับด้วยคนนะคะ ชอบ UFO Hunters มากๆค่ะ จากคุณ : som tom - [ 18 มิ.ย. 52 11:24:38 ]

ความคิดเห็นที่ 111 UFO hunters จบซีซัั่่นไปแล้วนะครับ ที่ฉายอยู่คือเอามารีรันอีกรอบ ซีซั่นนึงจะมี 13 ตอน ต้องรอให้ซื้อซีซั่น 2 มาก่อนครับ หรือใครใจร้อนไปโหลดเอาก็ได้ครับ จากคุณ : Mr.Terran - [ 18 มิ.ย. 52 14:54:45 ]

ความคิดเห็นที่ 112 เข้ามาดูมนุษย์ต่างดาว... สมัครเป็นแฟนคลับท่าน Mr.Terran อีกคนนะคะ ^ ^ จากคุณ : Cha_cha_koi - [ 18 มิ.ย. 52 15:35:21 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ เมื่อก่อนมีกระทู้นึงในหว้ากอ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเป็นบทความอ้างถึงว่า มีคนที่ได้ไปสัมภาษณ์เอเลี่ยนมาแล้ว o_O มนุษย์ต่างดาวมีการบอกด้วยว่า จริงๆอยู่ปะปนในโลกมานานแล้ว สมัยก่อนได้สอนทักษะหลายๆอย่างให้คนโบราณแต่ตอนนี้แยกตัวออกจากมนุษย์แล้ว แถมยังบอกว่ามีวิธีพรางตัวที่ทำให้กลมกลืนกับคนด้วยอะค่ะ มีการบอกว่ามนุษย์เจอซากโครงกระดูกของเอเลี่ยนบ้างแล้ว แต่เอาไปประกอบผิดๆ บางทีออกมาเป็นสัตว์โบราณ ฯลฯ​ (สรุปก็คือ เจอโครงกระดูกแต่ต่อประกอบออกมาผิด) ...อยากตามบทความอันนั้นต่ออะค่ะ ว่าไปถึงไหนแล้ว ตอนนั้นอาจไม่ละเอียด ตอนนี้รู้สึกสนใจขึ้นมาอีกรอบ ไม่ทราบว่าคุณ​Mr.Terran ยังพอจำได้มั้ยคะ o_O จากคุณ : SICKHEART - [ 19 มิ.ย. 52 03:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 114 บทความแปล อ่านไม่รู้เรื่องเลยอ่ะครับ อ่านแล้วก็ งง ๆ กับความหมายของประโยค อ่านผ่านๆเหมือนประโยคจะสวย แต่ไม่รู้เรื่องครับ แฮะๆ พยายามแกะอ่านได้ 2 - 3 rep แต่ไม่ไหวแล้วครับ งง จากคุณ : Agent Molder - [ 19 มิ.ย. 52 12:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 115 Mr.Terran เราเตือนคุณแล้วนะ ว่าอย่าเอาความลับของเรามาเปิดเผย คุณจะถูกMIBติดตามตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณจะไม่มีวันรู้ว่าเป็นเราเด็ดขาด.. จากคุณ : มนุษย์ต่างเดือน (เด็กน้อยขี่ม้าก้านกล้วย) - [ 20 มิ.ย. 52 02:37:16 ]

ความคิดเห็นที่ 116 เรื่องเเต่ละเรื่อง เขียนซะยืดยาว เเต่จับประเด็นได้เเค่ไม่กี่ประโยค ที่เหลือมีเเต่น้ำ กับการพร่ำเพ้อพรรณา จากคุณ : เพื่อนเจสัน - [ 20 มิ.ย. 52 08:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ขอบคุณค่ะ ท่าน สว. Terran   ^^ จากคุณ : ฟินจัง - [ 20 มิ.ย. 52 10:31:01 ]

ความคิดเห็นที่ 118 116อยากได้เนื้อๆเน้นๆไปหากุเกิลสิครับ เค้าเอามาให้สนที่สนใจอ่านครับคุณไม่สนใจก็ข้ามไปได้นี่ จากคุณ : รอมาสิบปีแล้วสินะ - [ 20 มิ.ย. 52 14:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 119 116ไม่อยากอ่านก็ข้ามไปดิ คุณMr.Terranขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องลึกลับอีกครั้ง จากคุณ : หม้อแกงเมืองเพชร - [ 20 มิ.ย. 52 15:09:49 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ใช่มนุษย์ต่างดาวปะ จากคุณ : ใจบงการ - [ 20 มิ.ย. 52 19:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ทำไมมนุษย์ต่างดาว ต้องมีรูปร่างคล้ายๆกับคนด้วยง่ะ .. ไม่แปลกเหรอ ... จากคุณ : Baritoreca - [ 21 มิ.ย. 52 03:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ #116 ถ้าคุณไม่อยากอ่านก็ข้ามไปก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องบ่น จากคุณ : jubchay - [ 21 มิ.ย. 52 10:48:17 ]

ความคิดเห็นที่ 123 รอ Mr.Protoss มาตอบ จากคุณ : Hoo - [ 21 มิ.ย. 52 13:36:24 ]

ความคิดเห็นที่ 124 แวบมาดู ขอบคุณ Mr.Terranมากนะครับที่ช่วยตอบคำถาม ให้ผม เนื้อหาแน่นดี ไม่มากไปหรอกครับ กะลังดี เป็นกำลังใจให้ ปล.อยากถามเกี่ยวกับ Area 51 ที่เขาจับ UFO ได้ครับ สู้ๆครับ จากคุณ : skullman - [ 22 มิ.ย. 52 15:36:57 ]