ความคิดเห็นที่ 1 การรับน้อง เป็นการที่ น้องต้องโดนกดดันครับ การที่จะไปทำงานโดยเฉพาะ สายวิศวะ ต้องทำงานโดยมีลูกน้องยกตัวอย่าง โยธา ต้องทำงานกับคนงานเยอะ ต้องเจอสภาพกดดันหลายๆแบบ ถ้าไม่ผ่านแรงกดดันหนักๆหรือเรื่องหนักๆ มันจะทำงานไม่ได้ครับ ผมฟังมาจากคนที่เป็นวิศวะโยธา นะครับ จากคุณ : เฟืองเหนือ - [ 28 มิ.ย. 52 02:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมคิดว่า เกี่ยวบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด เวลารับน้อง มีรุ่นพี่กี่คน ที่คิดว่ากำลังทำเพื่อรุ่นน้อง ส่วนใหญ่  ทำเพื่อสนองความต้องการของตัวเองมากกว่า และถ้ามีความจำเป็นอย่างที่คห1 ว่าจริงๆ  ก็น่าจะจัดเป็นหลักสูตร ไปเลย ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ออกเกรดให้ด้วย  เวลาไปสมัครงาน จะได้โชว์ให้เขาเห็นได้ว่า ตัวเองผ่านวิชา รับความกดดันได้ดีแค่ไหน จากคุณ : Roy E Nem - [ 28 มิ.ย. 52 03:01:14 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ู^ ^ ถูกแฮะ จากคุณ : คนที่ 9 นับจากทางซ้าย - [ 28 มิ.ย. 52 04:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เอ่อ.... คุณ คห1.ครับ แล้วที่ไล่ตีกันบนรถเมล์ หรือ ไล่ยิงคนบริสุทธิ์เนี่ยจัดว่าอยู่ในหลักสูตรไหนครับ? จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ - [ 28 มิ.ย. 52 04:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ใช่แบบคห2 จากคุณ : aerun - [ 28 มิ.ย. 52 05:00:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 fallacy คือคำตอบสุดท้าย การฝึกให้สามารถ  handle กับความกดดันได้ ไม่ได้ มาจาก การ สร้างความบีบคั้นจากการกดดัน แบบที่ เด็ก ปีสอง กระทำกับ เด็กปีหนึ่ง ผมเห็นมาเยอะแล้ว เด็กที่จบ จาก สถาบันที่ทำให้รุ่นน้อง ต้อง ไตวาย เพราะ ถูกบังคับให้อดน้ำ ต้องบาดเจ็บ กระดูกร้าว เำพราะ ถูกบังคับให้กระโดดจากที่สูง  พวกเขาไม่ได้แตกต่าง กับเด็กที่จบมาจาก สถาบันที่ มีการประชุมเชียร์ ตามปกติเลย หลายครั้ง เด็กที่มาจาก สถาบันที่มีการรับน้องแบบโหด ผิดมนุษย์ พอถึง จุดวิกฤติ พวกเขากลับใช้ความรุนแรง ในการจัดการกับปัญหา มักไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง เพียงเพราะ ความคิดเห็นนั้นมันมาจาก รุ่นน้องของเขาที่จบทีหลังเขาเพียงสองปี ในขณะที่ความเห็นของรุ่นน้องนั้น คนอื่นๆ เห็นว่า ถูกต้องเหมาะสมกว่า ด้วย สิ่งที่พวกเขาทำต่อกันนั้น เรียกว่า การกดขี่ ทางกายหรือจิต และเป็นรูปแบบหนึ่ง ของ "การทำร้าย" ไม่ได้เป็นการฝึก ส่วน การฝึกของ นักจู่โจมใต้น้ำ นั้น คนเข้ารับการฝึก รู้และเข้าใจดี  ที่สำคัญ "พวกเขาสมัครใจมา"   และพวกเขาสามารถออก  จากการฝึกได้ทุกเวลานาที และพวกเขา จะไม่ถูก กดดัน โดยการ "ตัดรุ่น" หรือข่มเหงใดๆ อีกทั้งยังคงกลับเข้าสู่กรมกอง และปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม ไปตามปกติ คนมีปัญญา ย่อม มอง เห็นได้ชัดว่า สองอย่างนี้ต่างกัน แม้ว่า รูปแบบการทำ บางอย่างอาจดูคล้ายกันบ้าง ก็ตาม แต่เป้าหมาย และเนื้อหา ต่างกันโดยชิ้นเชิง จากคุณ : น้าพร - [ 28 มิ.ย. 52 05:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเคยเจอเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่ผ่านการรับน้อง 60% หยิบโหย่ง ไม่สู้งาน รับความกดดันไม่ได้ และขนาดเจองานกดดัน นั่งน้องไห้โฮ บอก เกิดมาพ่อแม่ยังไม่เคยกดดันอย่างนี้ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไม่เคยเจอแบบนี้ ทำไม ลูกค้ามันทำอย่างนี้ ทำไมสำนักใหญ่ใหญ่ให้ทำแบบโน้น ลาออกครับ พี่น้อง..... เป็นกันเยอะรุ่นหลังๆ เด็กที่จบสมัยปี 2550 เป็นต้นมา พี่ที่ทำงานรู้สึกได้แทบทุกคนครับ อีกอย่าง ที่เขาไม่สอนในห้องเรียน เพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิตครับ การเรียนในห้องเรียนทุกคนรู้ว่ามันคือ การแสดง มันไม่จริง ไม่มีอารมณ์ร่วม เหมือนปาหี่... แต่การรับน้องจริงๆ ที่ไม่ใช่รับเวอร์ๆจนออกข่าว เป็นการละลายพฤติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยทั้งด้านการสร้างสัมพัธ์กับคนหมู่มาก รวมทั้ง ช่วยให้เข้าใจโลกผู้ใหญ่หลายแง่ด้วยครับ ฝรั่งมีหลายแง่มุม ที่เด็กเขาอายุ 18  ภาวะจิตใจ "โต" มากกว่า ผู้ใหญ่ไทยวัย 25 ด้วยซ้ำ ทั้งด้านความรับผิดชอบ และวุฒิภาวะทางอารมณ์ การรับน้องเลยไม่จำเป็น เด็กจบ ตรี อายุ 22 ของไทยส่วนมาก นิสัยยัง "เด็ก" ครับ สังเกตุจากความอดทน ความรับผิดชอบ ทนความกดดันไม่ได้ ซึ่ง สิ่งเหล่านี้ เขาเรียก มหาวิทยาลัยชีวิต ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน การเรียนในมหาวิทยาลัย ของเด็กไทยส่วนมาก คือ การเร่งจบไว หางานทำ ขาดทักษะชีวิต มีเพียงส่วนน้อยที่ทำกิจกรรม ผมว่ายังไง ยังคงต้องมีการรับน้องแหละครับ เว้นแต่เด็ก ม.ปลายบ้านเราจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ รับผิดชอบมากกว่านี้ ส่วนมาก เท่าที่ทราบ กฎเหล็กการรับน้อง คือ "ห้ามแตะตัวน้อง และ พูดหยาบคาย" แต่สามารถเสียงดัง พูดให้กระเทือนใจ เป็นการรับน้องโดยใช้จิตวิทยา สร้างความกดดันให้น้องๆ แรกๆอาจจะไม่ชิน แต่น้องๆ ครับ โลกการทำงานโหดร้ายกว่านั้นเป็นสิบเท่า ชีวิตจริง เขาอาจจะกดดันน้อง จนถึงขั้นน้องโดนไล่ออก หาคนใหม่ นินทา แทงข้างหลัง ทั้งงาน เงิน ความรัก และถึงชีวิตในบางกรณี รับน้อง --------------- เด็กๆ ครับ ส่วนมากพวกเข้าไปใหม่ แล้ว แอนตี้ ชีวิตจริงเขา เแ็นพวกรับความกดดันไม่ค่อยได้ สุดท้าย ออกตอนปี 2 ย้ายที่เรียนก็เยอะ พวกที่จบไปทำงาน เจออะไรมากระทบ นี่ น้อยใจ ตัดพ้อ ลาออกก็เยอะ.. แล้วแต่คิด... จากคุณ : moojiw - [ 28 มิ.ย. 52 05:19:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รับน้องเป็นสิ่งดี แต่ไม่จำเป็นทุกกรณี ที่ชอบออกข่าวกันว่า รุ่นพี่(ที่รักยิ่ง)รับน้องพิศดารประหลาดๆ ให้น้องกินพริก เผานั้นเผาไอ้นี้ มันรักรุ่นน้องตรงไหน ทำเพื่อความสะใจชัดๆ ปากอ้างว่าทำเพื่อรุ่นน้องครับ ผมรักรุ่นน้อง อยากให้รุ่นน้องฝึกความอดทน โอ้ววว พระเจ้าช่วยกล้วยเชื่อม ความอดทนที่แต่จริงคือ การอดทนอดกลั้นทางจิตใจ ไม่ได้มาทรมานร่างกาย แล้วบอกว่าให้อดทนแบบนี้ เวลาคุณทำงานจริงๆ มีป่ะครับ หัวหน้างานสั่งให้คุณ เอ้า ไปกินพริกป่นเพียวๆ เอ้า เอาอาวุธมานะ เดี๋ยววันนี้เราจะไปถล่มบริษัทคู่แข่ง เฮ้อ รับน้องบางสถาบันเขาทำเพื่อรุ่นน้องจริงๆ ทำเพื่อให้รุ่นน้องรักกัน สามัคคีกัน แต่แน่นอน มันก็ย่อมมีบางสถาบันที่ทำเพื่อ ตัวรุ่นพี่เอง เราก็สามารถตัดสินสิ่งเหล่านั้นได้เอง ถูกผิดมันเห็นกันอยู่แล้ว จากคุณ : UdornBoy2 - [ 28 มิ.ย. 52 05:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 #7 อย่าลืมนะครับ ว่ารับแรงกดดันได้ และรับผิดชอบงาน มันต่างกับ โง่ให้โดนคนอื่นจิกหัวใช้ ทำตัวเป็นพรมเช็ดเท้าให้เหยียบ เป็นกระโถนให้:-) ไม่ใช่เขาเป็นวิศวกร แต่คุณสั่งให้ไปชงกาแฟ พอเขาไม่ยอมทำ ก็หาว่าไม่สู้งาน แค่นี้ทำไม่ได้ หรือเวลาเลิกงาน 17.00น. คนอื่นอยู่ทำงาน เขากลับบ้าน ก็หาว่าเขารับแรงกดดันไม่ได้ ตอบ จขกท. อยู่ที่วัตถุประสงค์ในการฝึกครับ ถ้าคิดแบบนั้น ก็เหมือนให้ลูกทำงานบ้าน ไม่ใช่เพื่อฝึกความรับผิดชอบ แต่เพื่อจะได้เป็นภารโรงที่ยอดเยี่ยมในอนาคตได้ด้วย จากคุณ : powerconduit - [ 28 มิ.ย. 52 05:53:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Giveหมดค่ะ เห็นด้วยกับ#9 จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 28 มิ.ย. 52 06:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาเสริม คห.9 จับเข้าร่วมกิจกรรมชมรมดีๆก็ฝึกเรื่องพวกนี้ได้ครับ ไม่จำเป้นต้องรับน้อง ถ้าเป็นอย่าง คห.7 ว่า "ส่วนใหญ่" คงเป็นพวกเด็กเรียนที่วันๆเรียนอย่างเดียวสนแต่เกรดมากกว่ามั้งครับ เด็กเรียนที่ทำกิจกรรมจริงจังด้วยนี่ขอบอกว่าสุดยอดเลย ไม่เห็นต้องรับน้อง "แบบปัจจุบัน" จากคุณ : Shiroi Tsuki - [ 28 มิ.ย. 52 07:28:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ติดแบบคนโง่ก็ #1 #7 ึคิดแบบคนมีปัญญาก็ #2  #6 การรับน้องโดยใช้ความรุนแรง เป็นความคิดโง่ๆ ของคนโง่ๆ กลุ่มหนึ่ง ถ้าไอ้สิ่งโง่ๆ อย่างนี้มันดีจริง ป่านนี้อาจารย์เค้าจับไปบรรจุอยู่ในหลุกสูตรแล้ว จากคุณ : kanoomtan - [ 28 มิ.ย. 52 07:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยกับความเห็น 11 เหมือนกัน รับน้องอะไรน่ะ ไร้สาระ ยกเลิกไปทั้งประเทศเลยก็น่าจะดี เวลาสมัครงานได้ไม่ต้องแบ่งสี..ไร้สาระ (ถ้าจะรับสมัครแบบแบ่งสี ไม่ไปตั้งซุ้มรับที่หน้าสถาบันนั้นไปเลยล่ะ) แต่การฝึกการใช้ชีวิต การเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ความมีน้ำใจ บลาๆๆๆ ทางสถาบันน่าจะจัดค่ายอบรมเช่น.. ไปพัฒนาชุมชนต่างจังหวัดให้ไปอยู่ซักอาทิตย์นึง น่าจะดีกว่าการรับน้องป่าเถื่อนอย่างในปัจจุบันที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไหร่ กับความคิดเห็นที่ 7 ก็เห็นด้วย.แต่ถ้าสังคมต้องการแก้ปัญหา มันก็น่าจะมีทางอื่นมาทดแทนรูปแบบการรับน้องแบบในปัจจุบันได้ ถ้าพวกรับน้องหนักๆ ไปเป็นหน่วยทหารช่างก็น่าจะดี..แต่เขามีโรงเรียนช่างทหารอยู่แล้วหนิ ? จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 28 มิ.ย. 52 07:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปล. #12 ใช้คำรุงแรงไปมั้ยน่ะครับ - -" จากคุณ : ทะเลสีดำ หัวใจสีชมพู - [ 28 มิ.ย. 52 07:43:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คห 7 เบื่อจังพวกอ้าง เด็กฝรั่งเนี่ย ดียังโง้น ดีัยังงี้ จำขี้ปากเค้ามาพูดทั้งนั้น เด็กฝรั่งนี้ตัวเกรียนเลย ฮามาก เวลาเที่ยวclubก็โคตรเรื้อนเลย ขนาดโตๆแล้วน่ะ40กว่าๆ ระดับmanager แค่เค้าออกมาจากครอบครัวตั้งแต่วัยรุ่นปลายๆเพราะเค้ามีช่องทาง ทำงานเป็นเด็กเสริฟก็เช่่าapartmentเอาอย่างสวยๆเลย 2คนแชร์กัน น้ำ ไฟ net เดือนละแค่700$ ทำงานไม่นับทิปได้ ชม ละ 12 วันๆนึงได้ รวมหมดได้เกือบ200 ซื้อรถusedคันละ2000หาได้เยอะแยะ น้ำมันgallon ละ 3เหรียญ ตกลิตรละ30กว่าบาท อยู่ได้สบายๆ อย่ามาเทียบกับเด็กไทยขอร้อง จบปตรี เงินเดือน10k เอาแค่กินอยู่ หาเช่าห้องโทรมๆแคบ ก็หมดแล้ว ส่วนใหญ่เลยต้องอาศัยพ่อแม่ บอกให้เด็กฝรั่งจะมาดิ้นรน สู้เด็กasiaกหน่ะยาก ทั้งด้านการเรียนทั้งด้านการใช้ชิวิต จำไว้ วันหลังจะจำขี้ปากใคร จำคนที่เค้าแปรงฟันแล้วน่ะ ผมเหม็นขี้ฟัน จากคุณ : Roninkung - [ 28 มิ.ย. 52 07:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับ คคห4 ครับ ทำไมพวกที่เรียนช่าง ต้องไปไล่ตีกัน จนชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องด้วยเค้าเดือดร้อน  หลายคนก็ตายไปเพราะโดนลูกหลงของเด็กช่างที่ยกพวกตีกัน จากคุณ : Anusorn P - [ 28 มิ.ย. 52 07:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ความกดดันในขณะถูกรับน้อง กับความกดดันในเวลาทำงาน มันเหมือนกันเหรอครับ หลายๆคนพยายามยกเหตุผลมาว่าเหมือนมันกัน จากคุณ : แม่ของเต้าหู้ - [ 28 มิ.ย. 52 07:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 18 รับน้องนี้แหละอาจารย์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง  มาเรียนมหาลัยนะครับ ไม่ใช่มัธยม  เอะอ่ะ ก็ฟ้องแม่    ถ้าแค่นี้ รับไม่ได้ ออกไป เจอความกดดัน เล็กๆน้อยๆ ก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วมั่ง  แรงกดดันต่อรุ่นพี่  ใน มหาลัย กับ ที่ทำงานมัน ก็ คือแรงกดดันครับ  ทนได้ อนาคตรุ่ง ทนไม่ได้ก็ออกไป จบ จากคุณ : joyrisus - [ 28 มิ.ย. 52 08:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 พวกคุณเชื่อจริงๆเหรอว่า วิศวะต้องทำงานหนักมาก มากเสียจน ไอ้การรับน้องแค่สองสามวัน จะฝึกให้คนอ่อนแอ กลายเป็นคนสู้งานหนักได้ คิดผิดคิดใหม่ได้นะครับ ปล.พวกรับน้องบ้าๆ อย่าพยายามสร้างปมเด่นอะไรขึ้นมาเลย แก่ตัวลงไป มานึกถึงย้อนหลังจะละอายใจตัวเอง จากคุณ : interceptor - [ 28 มิ.ย. 52 08:20:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 การรับน้องของเด็กช่าง เริ่มมีเมื่อไหร่ และสาเหตุที่มี เพราะอะไร แล้วเวลาที่เด็กตีกัน อาจารย์ปกครองหายหัวไปที่ไหน... จากคุณ : เด็กน้อยขี่ม้าก้านกล้วย - [ 28 มิ.ย. 52 09:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กะลามันครอบหัว ฮอร์โมนวัยรุ่นมันยังเหลือเฟือ.. การจะสอนคนให้แกร่ง ให้เก่ง มันไม่ต้องไปทำอะไรที่ปัญญาอ่อนแบบนั้นหรอก ถ้ามันดีจริงทำไมพวกสถาบัน มหาลัยไม่เอาเข้าหลักสูตรไปเลยละครับ รับน้องดีเด่น โหดได้ใจ รับประกันคุณภาพกันไปเลยสิ อีกอย่างพวกรุ่นพี่นี่มันเก่งมาจากไหนหรือ? - รุ่นพี่เรียนจบแล้ว มีงานทำ? - น้อง ๆ ทำคะแนนได้เกรดดีมากหลังจากรับน้อง? - มันก็พวกเข้ามาเรียนก่อนไม่กี่ปี คนพวกนี้มันรู้อะไร? - หน้าที่ตัวเองยังทำได้ไม่ดี กระแดะจะรับน้อง สอนน้อง.. ตัวรุ่นพี่เองจบไปแล้วยังต้องไปเป็นข้ารองมือรองเท้าคนอื่นอยู่เลย ขาก:-) ให้กับระบบงี่เง่า ของพวกคนงี่เง่าครับ จากคุณ : น้ำลายบูด (น้ำลายบูด) - [ 28 มิ.ย. 52 09:20:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 SOTUS กับ หลักสูตรทหาร มันคนละบริบทกันครับ เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก ส่วนเด็กจากสถาบันที่มีการรับน้องหนักๆ กับที่มีการรับน้องปกติ ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะประสิทธิภาพการทำงาน รับความกดดัน ฯลฯ มันไม่ได้ขึ้นกับการรับน้องเพียงอย่างเดียว แต่มันมีปัจจัยร้อยแปดพันเก้าอย่างอย่างมาร่วมด้วย ปล. นึกไว้แล้วเชียวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงรับน้องใหม่ กระทู้แนวนี้จึงมาแรง แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 09:28:32 จากคุณ : T7Promoter - [ 28 มิ.ย. 52 09:27:35 ]

ความคิดเห็นที่ 23 #7 ที่ว่า แรกๆอาจจะไม่ชิน แต่น้องๆ ครับ โลกการทำงานโหดร้ายกว่านั้นเป็นสิบเท่า ชีวิตจริง เขาอาจจะกดดันน้อง จนถึงขั้นน้องโดนไล่ออก หาคนใหม่ นินทา แทงข้างหลัง ทั้งงาน เงิน ความรัก และถึงชีวิตในบางกรณี ################################# ไม่ทราบว่าผิดหวังในชีวิตมาป่ะคับ ผมไม่เห็นเจอ ผมว่าพอเข้ามหาลัยมาแล้วรุ่นพี่มาพูดแบบนั้นมันทำให้เด็กมองโลกในแง่ร้ายมากกว่านะครับ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ให้บ้านเมืองไม่พัฒนาก็ได้นะเพราะมัวแต่คิดว่าโลกการทำงานมันโหดร้าย คนเลยไม่อยากทำงาน จากคุณ : nisas - [ 28 มิ.ย. 52 09:32:09 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สมมติว่าแบ่งความสามารถทนแรงกดดันออกเป็น 10 ระดับ สมมติว่านาย A เคยทนแรงกดดันได้ระดับ 5 แต่พอโดนรับร้อง รุ่นพี่ใช้แรงกดดันระดับ 8 จะทำให้นาย A เพิ่มความสามารถทนแรงกดดันได้ระดับ 8 อย่างนั้นหรือ แ้ล้วพวกเด็กที่โดนทารุณกรรม ผู้หญิงที่โดนกดขี่ทางเทศ พอจบหลักสูตรทารุณกรรมแล้วพวกเขาจะสามารถทนแรงกดดันได้มากขึ้นรึเปล่า ผมว่าความมั่นคงทางจิตใจมันไม่ได้สร้างมาจากการโดนกดดัน แต่มันสร้างมาจากพื้นฐานทางครอบครัว การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม และทัศคติ จากคุณ : เทพฝึกหัด (เทพฝึกหัด) - [ 28 มิ.ย. 52 09:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ง่ายๆ สั้นๆ รุ่นน้องผมเดินออกจากห้องเชียร์ ตอนนี้ ดำรงตำแหน่ง " คณบดี  " ครับผม   จากคุณ : 447 - [ 28 มิ.ย. 52 09:43:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เคยเข้าห้องเชียร์แล้วเดินออกครับ มันจะเป็นลมแล้วอะ ลุกขึ้นเดินไปสตาทมอไซที่จอดไว้ข้างห้องเชียร์ บิดกลับบ้าน บรึ้น~~~ พี่ว๊ากมองกันตาปริบๆ  ตอนเลี้ยงสายรหัสยังโดนเอามาแซวเรื่องนี้อยู่เลย แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 09:58:26 จากคุณ : ม้าไม้เมืองทรอย - [ 28 มิ.ย. 52 09:58:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 การรับน้องคือการกดดันทางจิตใจ ไม่ใช่ร่างกายเหมือนที่ ช่างกลทำ อาจจะมีร่างกายบ้างแต่เน้นที่ใจเป็นหลัก เพราะเวลาไปทำงาน คุณจะเจอแรงกดดันตลอดเวลา จากทั้งหัวหน้าคุณ และ แผนกต่างๆ เพราะ ยังไง งานพวกช่างทั้งหลาย ก็คือ การบริการ จากคุณ : ZGMF-X10A - [ 28 มิ.ย. 52 09:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ้างว่ารับน้องเพื่อให้ทนกับแรงกดดันได้ ฝึกงานก่อนจบนี่มีไว้ทำไมครับ ถ้ารับน้องเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์นี่จะไม่มีใครว่าอะไรเลย และถ้าด้วยจุดประสงค์นี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องรุนแรงเลย รุ่นพี่ปีสองถึงปีสี่เอาประสบการณ์ที่ไหนมาสอนครับว่ารับน้องแล้วจะสู้โลภายนอกได้ พวกรุ่นพี่จบไปนานแล้วชอบมารับน้องด้วยนี่ ดีก็ทำได้ครับ มาเล่าประสบการรณืใ้ฟัง ชีวิตในมหาวิทยาลัยควรเก็บเกี่ยวอะไรออกไป แต่ที่เห็นโดยมา มีแต่บ้าอำนาจ ขี้เมา อาละวาด โวยวาย อันนี้ผมว่า น่าจะเก็บกดจากที่ทำงานมาอ่ะ มาลงกับเด็กๆปีหนึ่ง ชีวิตการทำงานจริง มันยากกว่ารับน้อง เยอะ จากคุณ : zoopod - [ 28 มิ.ย. 52 09:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 29 #25 เอิ่ม คณบดีเป็นรุ่นน้องเลยเหรอครับ จากคุณ : nisas - [ 28 มิ.ย. 52 10:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ก็ส่วนที่คล้ายกันก็การทำให้ ร่างกายทรหดขึ้นไงคะ แล้วก็ เรื่องจิตใจ เค้ายังกดดันพวกนักจู่โจมทำลายใต้น้ำเลย อย่างให้อดข้าวไรงี้ มันไม่เหมือนๆกันเหรอคะ ใครช่วยเอามาลงหน่อยว่ามีทำไรกันบ้าง เพิ่มเติม การรับน้องของเด็กช่าง เอาไว้ใช้ในการรบกับคู่อริ หรือเปล่าคะ แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 10:19:58 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 28 มิ.ย. 52 10:18:49 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ยืนตาม #15 เด็กฝรั่งดูมีความเป็นผู้ใหญ่เพราะมีอิสระในการใช้ชีวิตเองสูง ส่วนมากทำงานพิเศษหรือออกมาทำงานหาเงินใช้จ่ายเองตั้งแต่เด็ก ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ความอิสระ+ความรับผิดชอบที่ต้องทำงานจริงร่วมกับคนอื่นนั่นแหละที่ทำให้เค้าดูเป็นผู้ใหญ่และหลายคนมีวุฒิภาวะมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งผมมองว่าเป็นค่านิยมที่ดี แต่ก็ต้องบอกว่าสภาพสังคมและองค์ประกอบต่างๆเค้าเอื้ออำนวยมากกว่า เป็นต้นว่า กฏหมาย,ผลตอบแทน(ค่าแรง),สวัสดิการสังคม,การเปิดโอกาสมากกว่า,คุณภาพชีวิต,ความปลอดภัย ..บลา..บลา ซึ่งตรงข้ามกับบ้านเรา ! แต่ในสังคมไทยผู้ปกครองส่วนใหญ่จะค่อนข้างประคบประหงมเด็ก ประมาณว่าลื้อไม่ต้องทำอะไร แค่เรียนให้ดีกับไม่หาเรื่องปวดหัวให้อั๊วก็พอแล้ว จริงๆต้องร่ายยาวถึงการศึกษาที่เน้นการยัดและท่อง มากกว่าที่จะปล่อยให้หาข้อมูลและวิเคราะห์เอง ซึ่งยิ่งพูดยิ่งยาวววว.. 55 เรื่องรับน้องผมเองก็ผ่านคณะซึ่งถือว่าเมามันกับการรับน้องคณะหนึ่ง แต่ด้วยความที่ผ่านการเรียนแบบชายล้วนมาก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่ามันอะไรมาก(เกี่ยวมั้ย?) เข้าใจว่าพอเป็นรุ่นพี่ก็อยากมีน้องเป็นธรรมดา แต่ก็อยากให้มีconceptในการรับที่สร้างสรร ไม่อันตรายกับสุขภาพกาย&จิตใจจนเกินไป ยังเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ยังคิดอะไรดีๆได้อีกเยอะ แต่ถ้าคิดไม่ได้ก็เลิกเหอะครับให้เค้าด่าเปล่าๆ ปล.ท่านที่ไม่ประทับใจ ไม่เคยมีส่วนร่วม ไม่เข้าใจ ไม่คิดว่าสำคัญอะไร ก็เปิดใจให้กว้างอีกนิดครับ เรื่องเล็กของผู้ใหญ่ มันเป็นเรื่องใหญ่ของวัยรุ่นครับ จากคุณ : KOKISME - [ 28 มิ.ย. 52 10:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 32 การรับมือกับความกดดันได้ มันเป็นเรื่องของ EQ โดยแท้ EQ ต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็ก การรับน้อง เข้าห้องเชียร์ แค่เวลาสั้นๆไม่เกิน 1 เดือน หรือแม้แต่การฝึกของมนุษย์กบก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ ส่วนการฝึกพิศดารของมนุษย์กบนั้น ความเห็นของเราคือ เค้าไม่ได้มุ่งสร้าง EQ แต่มุ่งที่จะคัดคนที่ร่างกายแข็งแกร่ง และมีความมุ่งมั่นอยากเป็นมนุษย์กบอย่างแรงกล้า มากเสียจนยอมให้ตัดหัวขั้วแห้งอย่างไรก็ได้ แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 10:35:00 จากคุณ : แมวบอส - [ 28 มิ.ย. 52 10:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อะไรคือขั้วแห้งเหรอคะ คุณแมวบอส   นึกว่า การฝึกมนุษย์กบจะทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นซะอีก แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 10:51:21 จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 28 มิ.ย. 52 10:47:24 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ฝึกให้สามารถรับกับความกดดันมันก็ถูกแต่ก็ต้องมีขอบเขตของมันอย่าง ไปรบก็ฝีกแบบนึงโหดกว่าก็สมเหตุผลเพราะมันเกี่ยวกับชีวิตแต่ไปทำงาน ก็ควรจะเบากว่านี้ไม่ใช่หนักจนชีวิตรุ่นน้องต้องมีอันเป็นไป   ไปรบน่ะเต็มใจไปตาย  แต่ไปทำงานมันไม่ใช่นะครับ จากคุณ : Soudai - [ 28 มิ.ย. 52 10:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ^ ที่อื่นก็คงฝึกไปทำงานแหละค่ะ แต่บางที่ฝึกให้ไปรบกับคู่อริไงคะ เค้าเลยต้องฝึก รับน้องกันหนักหน่อย แบบนี้รึเปล่า จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 28 มิ.ย. 52 11:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเสนอแบบนี้ครับ  ติดประกาศให้ชัดเจนว่า จะมีการว้าก ใครสมัครใจ เชิญเข้าร่วม ใครไม่สมัครใจ ไม่ต้องเข้า และต้องไม่มีการขู่ บังคับ หรือบอกเป็นนัยว่า ถ้าไม่เข้าจะมีการทำโทษ ตัดรุ่น ไม่มีใครคบ ไม่มีชีทเก่า รุ่นพี่ไม่ช่วยหางาน ฯลฯ (น่ากลัวสุดๆๆ ) โดยคณาจารย์รับทราบเรื่องทั้งหมด ลองดูว่าจะมีคนสมัครใจเข้าร่วมสักกี่คน บา่งคนให้เหตุผลว่า ถ้าไม่มีประเพณีนี้ ความผูกพันระหว่างรุ่นพี่ รุ่นน้อง และต่อคณะจะหายไป อยากรู้จริงๆ   ความเชื่อมั่นของคุณต่อคณะของตัวเอง มีน้อยขนาดนั้นเลยหรือ จากคุณ : 447 - [ 28 มิ.ย. 52 11:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ฝึกหนักมนุษย์กบเพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกไปถึงขีดสุดของร่างกายและจิตใจตนเองครับ เพราะถ้าร่างกายไม่แกร่งจิตใจไม่แน่วแน่แล้วไปทำงานพลาดในภารกิจจริงหมายถึงความเสียหายใหญ่หลวง คงนึกออกนะครับว่าถ้าเป็นภารกิจที่ต้องใช้หน่วยรบพิเศษมันสำคัญเพียงใด แต่ถึงจะได้รับความกดดันในการฝึกอย่างไรผู้เข้ารับการฝึกก็ยังสามารถถอนตัวออกจากการฝึกได้ทุกเมื่อ แต่พวกรับน้องด้วยกรรมวิธีพิศดารพวกนี้มันคนละเรื่องครับ การสร้างความสามัคคีในหมู่คณะมีอีกตั้ง 500 วิธีที่ไม่ใช่เอาไฟลน กินของที่กินไม่ได้ ทิ้งดิ่ง ฯลฯ สมองหมาครับพวกนี้ เด็กสมัครเรียนมาเรียนรู้วิชาชีพช่างครับ ไม่ใช่ไปเป็นทหารราบ จากคุณ : ความเห็น ๓๓ - [ 28 มิ.ย. 52 11:16:21 A:58.8.60.183 X: TicketID:207852 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อย่าเอาพวกนี้ไปฝึกหลักสูตรทหารเลย เสียดายงบกองทัพ แค่ไปเรียนยังไปรบกับ ม.อื่นเลย จากคุณ : PMC K.SRI - [ 28 มิ.ย. 52 11:19:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตัดหัวคั่วแห้ง เป็นสำนวนแปลว่า ฆ่าให้ตายเพื่อให้หายแค้น (เราเขียนผิดเป็นขั้วแห้ง ^ ^) ส่วนทำไมต้องคั่วแห้ง อันนี้สงสัยต้องไปถามที่ห้องสมุดค่ะ เราขอยกตัวอย่างมนุษย์กบคนเดียวในชีวิตที่เราเคยรู้จักนะคะ พี่คนนี้เป็นทหาร ลาเรียนมาเรียนรุ่นเดียวกับเรา เรื่องความอึดนี่ยอมรับจริงๆ กินเหล้าทั้งวันจนดึกแล้วก็อ่านหนังสือต่อเพื่อสอบตอนเช้า รับงานนอก ดูแลลูก เรียนป.เอกไปพร้อมๆกัน แต่พอโดนอ.ที่ปรึกษาตำหนิเรื่อง proposal และให้เปลี่ยนหัวข้อ แกก็ของขึ้น ขอลาออกเดี๋ยวนั้นเลย ในขณะที่นักเรียนคนอื่น ก็แค่เด็กกะโปโลธรรมดา แต่ทนอาจารย์โขกสับได้ 3-4 ปีจนจบ ที่เขียนมา ไม่ได้จะเหมากล่าวหามนุษย์กบทุกคนนะคะ แต่จะชี้ให้เห็นว่า ทำไมเราจึงคิดว่า การฝึกมนุษย์กบไม่ได้มุ่งหวังสร้างให้ใครมีจิตใจเข้มแข็ง เพราะของอย่างนี้ต้องค่อยๆสร้าง ค่อยๆปลูกฝัง คนธรรมดายังรู้ แล้วทำไมคนคิดหลักสูตรเค้าจะไม่รู้...ใช่ป่าว ^ ^ จากคุณ : แมวบอส - [ 28 มิ.ย. 52 11:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 40 วิศวกรโยธาครับคิดว่าดังนี -เห็นด้วยกับระบบ SOTUS ที่ไม่หนักจนเกินไปเช่นประชุมเชียร์ที่ไม่ได้กดดันน้องมาก มีมุขฮาเป็นระยะๆ -ไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับวิธีการรับน้องที่เป็นข่าวอันนั้นไม่เรียกว่าการรับน้องในสายตาผมมันเป็นการสนองตัณหาของรุ่นพี่ที่เคยโดนกระทำลักษณะนี้มาก่อนก็เท่านั้นไม่ได้ช่วยฝึกอะไรได้ -รังเกรียจพวกที่ไปไล่ตีกันให้เดือดร้อนชาวบ้าน พวกนี้ขออนุญาตเรียกว่าเดนสังคม อยากตีกันกรุณาไปที่ไกลๆไม่มีชาวบ้าน แลวก่อนไปตีช่วยบอกพ่อแม่ด้วยว่าผมจะไปตีกับคนอื่นนะครับ จะรอดตายกลับมาหาพ่อแม่ได้หรือป่าวก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าสถาบันสำคัญกว่าชีวิตครับ -เห็นด้วยว่าในเรื่องของการรับความกดดันเป็นเรื่องของ EQ ที่สามารถฝึกกันได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการรับน้องก็ได้ -สุดท้ายพอเป็นข่าวแบบนี้จะมีผู้ปกครองที่รักลูกคนไหนอยากให้ไปศึกษาในสถาบันที่ลูกตัวเองเอาชีวิตไปเสี่ยง ต่อให้จบมาจะดีแค่ไหนแต่ระหว่างเรียนต้องมีความเสี่ยงต่อชีวิตทุกวันคงไม่ไหว แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 11:35:44 จากคุณ : เอบ - [ 28 มิ.ย. 52 11:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 41 งั้นตอบรวบยอดก็แล้วกัน ทุกวันนี้ เรามีเด็กเก่งๆ มากขึ้น แต่ EQ ต่ำลงเรื่อง ไม่สู้งาน ไม่อดทนต่อแรงกดดันรอบข้าง unity ไม่มี  อะไรกูได้สาวได้สาวเอา ไม่คิดถึงประโยชน์องค์กร ทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวกับการรับน้องทั้งหมดหรอกครับ มันเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงดูที่บ้านด้วยซ้ำ รู้อย่างหนึ่ง เด็กสมัยนี้คำว่า ผู้หรับผู้ใหญ่ กับ การเคารพอาวุโส มันจะไม่เหลือแล้วครับ จากคุณ : moojiw - [ 28 มิ.ย. 52 11:52:00 ]

ความคิดเห็นที่ 42 #41 แต่การเคารพผู้ใหญ่ เคารพผู้อาวุโส สมควรมีแต่แรกหรือครับ? ความเคารพนั้นต้อง earn by doing (เคารพเพราะผู้นั้นปฏิบัติดี)ไม่ใช่ earn by aging(เคารพเพราะผู้นั้นเกิดก่อนเรา) ถ้าเห็นใครแก่กว่าแล้วต้องเคารพหมด ก็ง่ายสิครับ จะเลวแค่ไหน แค่ทำตัวตายยากหน่อย อยู่ให้นานๆ ก็มีคนมากราบไหว้ ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดี น่าเคารพ มีอยู่จริง แต่ผู้ใหญ่ที่ไม่ควรค่าแก่การเคารพก็มีอยู่เช่นกัน ผู้เยาว์เอง คนอื่นมองก็ไม่สามารถทราบอนาคตได้ว่า จะเติบโตไปเป็นอะไร มหาโจร หรือ นักวิชาการ การออกกฎให้เคารพคนอื่นโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์นั้นผมว่าไม่สมเหตุสมผล ต้องดูการกระทำต่างหากครับ จากคุณ : powerconduit - [ 28 มิ.ย. 52 12:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ตัดมาจาก #7 "แต่การรับน้องจริงๆ ที่ไม่ใช่รับเวอร์ๆจนออกข่าว เป็นการละลายพฤติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยทั้งด้านการสร้างสัมพัธ์กับคนหมู่มาก รวมทั้ง ช่วยให้เข้าใจโลกผู้ใหญ่หลายแง่ด้วยครับ" ผมอ่านแล้วเข้าใจว่าเค้าพูดถึงการรับน้องที่ดีๆอยู่นะ  เห็นหลายๆคนออกมาว่าเค้า โดยเฉพาะคุณ kanoomtan ว่าเค้าว่าโง่ซะอย่างงั้น อ่านความเห็นของคุณ moojiw  จบรึเปล่าครับ คุณ kanoomtan ???? อ่ะ ขอแสดงความคิดเ็ห็นบ้างละกัน การรับน้องของเด็กช่างมันเวอร์เกินไปครับ การทำงานจริงๆมันคงไม่มีใครเอาไฟมาเผาจู๋เราเล่นหรอก  บ้าไปแล้ว แต่การรับน้องของที่อื่นๆที่ดีๆก็มีเยอะแยะไป  แค่ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าั้นั้นแหละ การรับน้องเป็นการสอนน้องหลายๆอย่างที่หาไม่ได้ในห้องเรียน ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายน้อง อยากให้หลายๆคนเปลี่ยนความคิดที่ว่ารับน้องมันต้องโหด ต้องแย่ รับน้องของมหาวิทยาลัยที่ผมจบ"เจ๋ง"ครับ   รุ่นพี่สอนอะไรให้ผมได้เยอะจริงๆ และผมก็เก็บเอาคำสอนเหล่านั้นมาใช้จนถึงทุกวันนี้   ผมกล้าพูดเลยว่าถ้าตอนนั้นพี่ไม่รับน้อง ชีวิตผมคงจะแย่กว่านี้เยอะ  และผมขอบอกว่าผม"ภูมิใจ"ที่ผ่านการรับน้องมาครับ ผมว่าหลายคนคงไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ ถึงได้ออกมาว่าว่าโง่บ้างหล่ะ งี่เง่าบ้างหล่ะ   อย่าไปคิดว่าการรับน้องของทุกที่ต้องทำร้ายร่างกายน้องเหมือนกันหมดสิครับ เปิดใจหน่อย ไม่เคยเห็นของดีๆก็อย่าพูดเหมือนเหมารวมสิครับ อ่านแล้วมันสะเทือนใจนะ ปล. โลกการทำงานน่ะ มันโหดร้ายจริงๆน่ะแหละ แต่ถ้าคุณได้อยู่ที่ดีๆก็ถือเป็นโชคดีของคุณ จากคุณ : Sleeper MoNKeY - [ 28 มิ.ย. 52 12:20:32 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ที่ว่าให้รู้และรองรับแรงกดดันเมื่อออกไปทำงาน ต้องเจอได้นั้นไอ้นี่ จึงต้องให้น้องๆรู้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ **ฟังไม่ขึ้นเลยครับ พี่ปี2มีประสบการณ์การทำงานอะไรมาอบรมน้อง ที่ห่างกันปีเดียว มีความรู้ทักษะอะไร ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่เคยทำงานอะไรเลย เรียนก็ยังเรียนไม่จบเลย ยังไม่รู้เลยว่าจบออกไปแล้วจะไปเจอกับอะไรบ้าง ....ก็ในเมื่อตัวเองไม่มี ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าแรงกดดันเมื่อจบไปมีอะไรบ้าง แล้วจะเอาอะไรมาบอกเขา... ปี2 มีประสบการณ์เพียงอย่างเดียวว่า ปีที่แล้วโดนรุ่นพี่ทำอะไรมาบ้างด้วยเหตุผลข้างๆคูๆอันเดียวกันนี้ ก็ขอใช้เหตุผลเดิมเอาคืน หรือสร้างความสำคัญยำเกรงให้ตนเอง ถึงกับสอนให้วิธีน้องไปตีเค้า ไปฆ่าเขาอย่างไร นี่น่ะหรือสอนน้องรับแรงกดดัน อยากโชว์powerซะมากกว่า ถ้าจะให้รุ่นน้องรู้ว่าต้องเจออะไรเมื่อจบไป กดดันขนาดไหน จะเอาตัวรอดอย่างไร ต้องอดทนอย่างไร ต้องทุ่มเทกัดฟันสู้ขนาดไหน.ในการทำงานสร้างตัวสร้างครอบครัว ทำไมทางสถาบันไม่คิดเอารุ่นพี่ที่จบไป5-10ปีมีประสบการทำงานมากพอ แต่เลือกเอาเฉพาะที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นที่ยอมรับได้ในสังคม เป็นที่รู้จักกันดีจริงๆเท่านั้น เอามาอบรมน้องๆให้รู้จริงๆ แนะนำให้เกิดประโยชน์จริงๆ จากประสบการณ์จริงยอมรับได้ .....ว่าแต่ว่า หาได้ไหมคนเหล่านี้น่ะ ถ้าหาได้ก็ตรงประเด็น ตรงวัตถุประสงค์ หรือในทางกลับกัน หารุ่นพี่ที่ไปตีกัน ไปทำร้ายกันจนตัวเองติดคุกติดตะราง (เอาเฉพาะที่ยังไม่ออกจากคุก) เอามาอบรมให้สติน้องๆว่าผลของการเกเรเป็นอย่างไร ต้องไปอดทนรับแรงกดดันภายในคุกอย่างไรแทนที่จะไปรับแรงกดดันจากการทำงาน แล้วผลที่รุ่นพี่รับน้องเนี่ยได้ประโยชน์ตอนเข้าคุกตะรางไหม แล้วชีวิตครอบครัวเจ๊งอย่างไร พ่อแม่รู้สึกอย่างไร ร้องไห้วันละกี่หน ถ้าย้อนเวลากลับได้จะทำอย่างเดิมอีกไหม เข็ดไหม ที่เอาเฉพาะคนที่ยังติดคุกอยู่ ก็เพราะว่า ไอ้พวกที่พ้นคุกมาแล้วอาจจะมีegoสูง อบรมเค้าแล้วทำเหมือนตังเองเจ๋งผ่านคุกมาหมาดๆ กร่าง เหมือนมีประกาศฯ เพิ่มเครดิตตัวเองโง่ๆให้รุ่นน้องดู คนที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบในการรับน้องก็ตั้งสติคิดใหม่ทางที่ดีๆนะครับ จากคุณ : ป - [ 28 มิ.ย. 52 12:23:21 A:58.9.108.105 X: TicketID:058478 ]

ความคิดเห็นที่ 45 น้อยครั้งมากที่ผมจะบอกว่าใครโง่ เพราะ "ไม่รู้" กับ "โง่" มันต่างกันมาก สอนหนังสือมาผมไม่เคยบอกเด็กเลยว่า "โง่" จนวันนึง ผมเห็น รุ่นพี่มานั่งรอเด็ก ปีหนึ่ง หน้าห้องที่ผมสอน และซักพักก็เดินเข้ามาบอกว่า ขอเอาเด็กไปรับน้อง ให้อาจารย์ปล่อยเร็วหน่อยได้ไหม???? ช่างกล้ามากๆ ผมเลยจดชื่อไว้และไล่กลับไปเลย อาทิตย์ถัดไป เด็กในห้องเรียนผม เดินมาขอร้องผม บอกว่ากลัวมาก เพราะรุ่นพี่ทำโทษ เนื่องจากอาจารย์ (ผม) ไปจดชื่อรุ่นพี่ว๊ากไว้ พฤติกรรมข่มขู่รุ่นน้องแบบนี้ ไม่ให้เรียกว่า "โง่" แล้วให้เรียกว่าอะไรดีครับ กิจกรรมรับน้องจำเป็นจริงหรือ???? รุ่นพี่ที่แก่กว่าแค่ปีเดียว ดีไม่ดี เด็กปีหนึ่งบางคนแก่กว่ารุ่นพี่ ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากกว่ารุ่น ต้องไปเชื่อฟังใครไม่รู้??? ในเมื่อทั้งคุณวุฒิ (ณ เวลานั้นคือวุิฒิ ม.หกเหมือนกัน) วัยวุฒิ (อาจจะเท่าๆกันเลย) ไม่ได้ต่างการเลย ทำไมต้องไปเชื่อฟัง ในเมื่อรุ่นพี่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิต ไม่เคยทำงานจริง ไม่เคยสอบทุนได้ ไม่เคยได้เกียตรนิยม ยังไม่แม้แต่กระทั้งจะเรียนให้จบ แล้วคู่ควรอะไรกับการไปสั่งสอนน้องปีหนึ่ง??? --------------- อย่างที่บอกไป นั้นมันสำหรับกิจกรรมของคนโง่ๆ ทำอย่างไรให้ไม่โง่ ถ้าฉลาด อยากให้เกิดความผูกผันรุ่นพี่รุ่นน้อง ผมแนะนำให้ไปดูของจุฬา (ผมไม่เคยเรียนที่นี้ ไม่เคยจบที่นี้) ทำไมไม่ต้องมีรับน้อง(แบบว๊าก) แต่เค้ารักสถาบัน มี seniority กันได้   ทำไมมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่ามีการรับน้องรุนแรงทั้งหลาย ถึงยังไม่พัฒนากลายเป็นมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้า ถ้าการว๊ากมันดีจริง???? ----------------------------------------------------------------------- ในวิธีการเรียนนั้น มีการฝึกรับความกดดันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การสอบ การทำโปรเจค การนำเสนอรายงาน การสอบ defend การทำวิทยานิพนธ์ สิ่งเหล่านี้ดูจะสมจริงมากกว่า การรับน้องแบบโง่เสียด้วยซ้ำ ---------------------------------------------------------------------------- อะไรที่มันเป็นสิ่งดีจริง ไม่ต้องกลัวหรอก ครูบาอาจารย์เค้าเอาไปบรรจุในหลักสูตรและสอนแล้ว จากคุณ : kanoomtan - [ 28 มิ.ย. 52 12:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เห็นด้วยกับ # 40  ครับ ตามนั้น   ^^^^ ตามความคิด Civil Enginer^^^  เช่นกัน จากคุณ : Radompol_RT9 (Radompol_RT9) - [ 28 มิ.ย. 52 13:19:38 ]

ความคิดเห็นที่ 47 รับน้องมันตอบสนองความต้องการ จากจิตสำนึกของรุ่นพี่ ตอนรุ่นผมรับน้องผมยังไม่อยากไปเล่นกับพวกมันเลย น้องคนไหนไม่มา ยังไปว่าเค้าอีก จากคุณ : JohnnieWalker - [ 28 มิ.ย. 52 13:30:03 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เอ่อ... จิงๆแล้วสิ่งที่บรรจุในหลักสูตรก็ใช่ว่ามันจะดีเสมอไปนะ5555 บางทีสิ่งที่อยู่ในหลักสูตรก็แค่นโยบายบอกไว้ให้มี เพื่อให้อาจารย์บางคนมีงานทำ แล้วสิ่งที่ไม่มีในหลักสูตรก็อาจจะดีจิงแต่ไม่เปิดเพราะไม่มีคนสอน หรือกลัวว่าจะมาทดแทนวิชาที่ใครกำลังสอนอยู่ฯลฯ ดังนั้นการวิเคราะห์ว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดีก็ไม่ควรใช้หลักสูตรการศึกษาเป็นตัวอ้างอิงหรอกนะ คนคิดหลักสูตรจิงก็อาจจะไม่เคยทำงานจบด๊อกเตอร์มาก็หมกตัวอยู่แต่ในมหาลัยตั้งแต่เกิดยันแก่ไม่ได้ไปรับรู้โลกภายนอกหรือไม่ได้สนใจเลยก็ได้ อืมมม... ส่วนรับน้องดีจิงป่าวเหรอ... อืมมม... คิดว่าปกติเด็กนี่จะมีแนวโน้มที่จะแข่งขันกันเองสูงนะเพราะว่าชีวิตนี้ยังอีกยาวไกลอาจจะได้เจออะไรดีๆกับชีวิตนี้อีกเยอะ ดังนั้นถ้ารีบๆปีนป่ายก้าวขึ้นไปให้สูงที่สุดก็จะมีโอกาสไขว่คว้าสิ่งดีต่างๆให้กับชีวิตในวันต่อไปข้างหน้า ดังนั้นเด็กๆก็มีแนวโน้มที่จะถีบตัวขึ้นไปเป็นจุดเด่นเป็นผู้นำเป็นสารพัดสิ่งที่จะสามารถหาประโยชน์เข้าตัวได้ รวมทั้งไม่สนใจว่าจะไปแย่งผลประโยชน์ใครต้องเหยียบหัวใครไปกี่คนอีกด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้กลุ่มของเด็กก็มีแนวโน้มที่จะแตกเป็นกลุ่มย่อยๆที่จะต้องไปจับกับกลุ่มใหญ่ที่ตั้งอยู่ก่อน (แตกมาก่อน) เพื่อรวมกำลังกันไปสู้กับกลุ่มอื่นแย่งผลประโยชน์กันมากกว่าที่จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเองเพื่อไปต่อสู้พจญภัยกับโลกภายนอก แต่ถ้ากลุ่มใหญ่ที่แตกมาก่อน (ตามทฤษฎี) มันเสือกไม่ได้แตก มันเสือกรวมกันเป็นกลุ่มแล้วมากดดันกลุ่มใหม่ กลุ่มใหม่ที่พยายามจะแตกตัวออกจากกัน (ตามทฤษฎี) เมื่อมันแตกไม่ได้เพราะมันแตกไปมันก็สู้กันตายไปเองเพราะมันไม่รู้จะไปเกาะกับใครเพราะกลุ่มเก่าที่เป็นกลุ่มใหญ่ไม่ให้มันเกาะแถมจะมาไล่ฆ่ามันอีกขืนมันแตกกันเองอีกต่อให้มันชนะในกลุ่มมันเองมันก็โดนกลุ่มเก่าเจี๋ยนอยู่ดีสู้รวมกันเองเป็นกลุ่มไปคานกับกลุ่มเก่าดีกว่า ดังนั้นถ้ารุ่นพี่รวมกันเป็นกลุ่ม+แสดงตัวเป็นอริกับรุ่นน้อง ก็จะเกิดแรงผลักดันให้รุ่นน้องก็มีแนวโน้มจะรวมตัวกันช่วยเหลือกันมากกว่าจะต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันอ่ะนะ ส่วนเด็กช่างกลที่ตีกันนี่ไม่แน่ใจว่าตกลงรับน้องเพื่อให้เด็กรวมกันเป็นกลุ่มหรือว่าเพื่อให้เด็กไปเกาะอยู่กับกลุ่มที่แตกอยู่แล้วอ่ะนะ555 แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 13:39:45 จากคุณ : Catwater (Catwater) - [ 28 มิ.ย. 52 13:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จากประสพการ์ณของคนที่เคยเป็นเป็น ว้าก นะครับ ค่อนข้างยาวนะครับ ขอให้อ่านจนจบก่อน แล้วค่อยว่ากัน เพราะความเห็นผมโดยรวมแตกเป็นสองประเด็นที่ต่างกันมาก ส่วนตัว ผมเห็นด้วยบ้าง ถ้าการรับน้อง อยู่ในกฎเหล็กเสมอ "ไม่แตะตัวน้อง ไม่มีคำหยาบ" และรุ่นพี่ไม่ได้ทำด้วยความ เอาสะใจ แต่มีจุดมุ่งหมายและแผนการเสมอ และทีมงานรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในทีม ก็ต้องคอยช่วยกันดู และคอยปรามๆพวกพี่ ว้าก ด้วย ว่าทำเกินไปรึยัง สรุปคือ การประสานงานต้องดี ทำอะไรต้องมีจุดประสงค์และโดยรวมมันก็เป็นการเล่นละครน่ะหล่ะครับ  พอเอาเข้าจริงเวลาทำมันเครียดเหลือเกิน แต่พอมานับจริงๆ ทำอะไรกันไปบ้าง 1 ร้องเพลงมหาลัย 2 นั่ง นั่งเป็นส่วนใหญ่เลย ในร่มด้วย (เพราะพี่เองมันก็ร้อน ฮ่าๆ) 3 โดนว่า ว่าร้องไม่ดี 4 นำทีมไปเก็บขยะ ชมเมืองด้วย เพราะเป็นมหาลัยตจว 5 ออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ เช่นวิ่ง แล้วใครที่ดูไม่ไหว เราก็ทำเร่งๆ ไปงั้นคนเราแข็งแรงไม่เท่ากัน ถ้าดูไม่ไหวจริงๆ จะมีคนดึงออกไป   และจะมีการขอมติจากเพื่อนๆ ของน้องๆ มันว่า เออพวกคุณเหนื่อย กันแต่เพื่อนคนนี้เขาบอกไม่ไหวแล้ว คุณจะยอมไหม ถ้าพวกคุณไม่ยอมผมจะให้เขาวิ่ง ร้อยทั้งร้อย ก็พระเอกกันทั้งนั้น ฮ่าๆๆๆ 6 อาจจะมีการก้มๆ เงยๆบ้าง แต่ถ้ามีจะให้มีการเตรียมเสื้อมาเปลี่ยน ถ้าวันไหนรุ่นพี่ ไม่ให้เอาชุดมาเปลี่ยน เดาได้เลยว่านั่งร้องเพลงเฉยๆ ฮ่าๆๆๆ 7 กดดัน ให้ท่องชื่อเพื่อน ทำกิจกรรมร้องเพลง เชิงเดียวกับการละลายพฤติกรรม ที่มักจะทำกันเวลามีสัมนาต่างๆ 8 ร้องเพลง อันนี้พวกพี่อื่นๆ ที่ไม่ใช่พี่ว้ากมักจะทำ พี่ว้ากจะนั่งกันเฉยๆ คอยนั่งจ้องขู่ว่าร้องดีๆ นะ จนจบก็ไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นพวกรุ่น้องก็รักกันดี เคารพรุ่นพี่ตามสมควร และหลังจากจบ รุ่นพี่ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ถืออะไรเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้องมากนัก มีอะไรก็คุยกันไป หลักๆเลยทำเพื่อเป็นการให้รุ่นพี่รุ่นน้องรู้จักและสนิทกันมากกว่าครับ เรื่องทนความลำบากได้อะไรนั่นส่วนน้อยมาก อ้อเป็นการละลายพฤติกรรม บางส่วนครับ แต่!!!!!!! การรับน้องในไทย ผมไม่เชื่อว่าจะทำได้ยังงั้นครับ เพราะขนาดผมทำ ยังมีหลุดๆ กันบ้าง รุ่นพี่หลุดบ้าง ถ้าเป็นพวกที่รับน้องอย่างไม่มีหัวคิดยังมีกันอยู่ ผมว่าอย่าไปมีมันเลยครับ รับน้อง และลึกๆ ผมว่าระบบรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย มันทำให้ เกิดปัญหาบางอย่างครับ ตั้งแต่ การรับสมัครงานลำเอียงไปจน ถึงปัญหาการคอรัปชั่น! คนส่วนใหญ่จะทำยังไงเวลาเห็นรุ่นพี่ตัวเองโกงเงินแม้จะเล็กๆน้อยๆ ?!? ถ้าอยากฝึกวินัยและความเข้มแข็ง ทางกองทัพจัดให้ก็ได้มั้งครับ เข้าค่ายซัก 2-3 วันก็น่าจะโอเคแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 52 13:47:41 จากคุณ : xnone - [ 28 มิ.ย. 52 13:46:00 ]

ความคิดเห็นที่ 50 รู้สึกอนาถใจทุกครั้งที่ได้อ่านข่าวรับน้องโหด มันเป็นข้ออ้างเพื่อสนองความเถื่อนต่างหากซิไม่ว่า ควรนิยามคำว่า" รับน้อง "กันเสียใหม่ให้ชัดเจนลงไปเลยดีไหม ทำเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่างน้อยควรให้สมกับผู้มีการศึกษาเขาทำกัน แทนที่จะสร้างความกดดัน ควรหันมาสร้างขันติ(ความอดทนอดกลั้น)จะดีกว่าไหม คิดว่าอย่างไหนทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จมากกว่ากันล่ะ จากคุณ : Mr.k - [ 28 มิ.ย. 52 14:30:41 A:61.90.71.71 X: TicketID:200613 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมเคยช่วยเพื่อนผมจากการรับน้องทุเรศ เพื่อนผมโดนบังคับให้กินข้าวเหลือจากรุ่นพี่ แล้วมีเพื่อนๆผมในคณะนั่งรวมอยู่ ผมเดินเข้าไปหารุ่นพี่ แล้วโกหกว่า......คนที่เรียนรด.ปี4มาหาผมด้วย มีเรื่องคุย เพื่อนผมเรียนรดปี4 ผมเปนทหารยศสิบตรี แล้วคนที่กำลังรวมเพื่อนผมเรียนรด.ปี5 ซึ่งผมดูแลและเคยมาติดต่องานกับผม แล้วผมอบรมรุ่นพี่เอง และขอร้องว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมไม่ชอบ ส่วนรุ่นพี่ปี2ที่เรียนปี4กับผม ผมเรียกมาคุย(ในฐานะผู้บังคับบัญชา)และผมเตือนว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์รับน้องแบบนี้อีก วันอาทิตย์มาเรียนที่วิภาวดี รุ่นพี่ที่เรียนปี5และมีส่วนร่วมในการรับน้อง ผมปรับปรุงวินัยเอง...แค่จิ๊บๆ พุ่งหลัง20ยก .... ในเมื่อชอบรับน้อง ผมจะจัดการเองครับ จากคุณ : คุณฟิน - [ 28 มิ.ย. 52 14:37:39 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมก็สงสัยเหมือนกันว่ารุ่นพี่บางคนเอาข้ออ้างอะไรมาบอกว่าจะฝึกรุ่นน้องครับ แก่กว่าแค่ 3-4 ปีแปลว่าประสบการณ์ชีวิตมีมากถึงระดับมาสอนความอดทนในชีวิตการทำงานให้รุ่นน้อง ๆ ที่อ่อนกว่าแค่ 3-4 ปี ? ผมว่ารุ่นพี่ส่วนหนึ่งก็ฝันเฟื่องไม่ก็บ้าอำนาจว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วครับ เป็นแค่เด็กที่อยากโต รุ่นพี่ผมคนนึง กร่างมาก ทำตัวเป็นว้ากเกอร์ เสี้ยมสอนน้อง ๆ ให้ยังงั้นยังงี้ประจำ ทราบข่าวว่าไปทำงานวันแรก โดนหัวหน้างานตบหน้ามาเต็มฉาดเพราะไปต่อปากต่อคำกับเขา สมน้ำหน้า จากคุณ : นักกวีจากเงามืด - [ 28 มิ.ย. 52 14:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อย่าหลงประเด็นครับ คนที่ควรด่า คือ ไิอ้แก่หัวหงอกที่ปล่อยให้มีกิจกรรมทรามๆ พวกนี้ออกมาต่างหากล่ะ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 28 มิ.ย. 52 15:34:14 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมเพิ่งผ่านการรับน้องมาสดๆร้อนๆ สิ่งที่ผมได้รับมาเต็มๆตลอด 1 เดือน -ผมได้เจอหน้าเพื่อนๆในคณะทุกวัน จนสนิทสนมอย่างรวดเร็วเหมือนรู้จักกันมานาน -คณะผมเป็นคณะกิจกรรมมีกิจกรรมมาให้ทำเรื่อยๆ ขณะช่วงที่เปิดเรียนก็จะมีกิจกรรมพร้อมกับสอบ มาควบกันเรื่อยๆ ทำให้ผมรู้จักแบ่งเวลาและมีความรับผิดชอบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเวลา 1 เดือน -สายงานของผมเป็นสายงานที่ทำงานไม่เป็นเวล่ำเวลา ที่คณะมีกิจกรรมให้ทำเลิกดึกๆ เพื่อปูพื้นความเคยชินให้กับเด็ก -หลังจากทำกิจกรรม รุ่นพี่จะพาพวกผมไปทานข้าว อาจจะมีแอลกอฮอล์ บ้างนิดหน่อยเป็นบางครั้งบางคราว ทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับรุ่นพี่อย่างรวดเร็วและได้คุยกันอย่างเปิดอก ชอบส่วนไหนไม่ชอบส่วนไหน พอใจอะไรไม่พอใจอะไรก็คุยกันได้ตรงๆ -การที่ได้ทำการรุ้จักกับรุ่นพี่มีประโยชน์โดยตรงต่อสายงาน ที่ผมเรียน สังคมไทยเป็นสังคมที่เกื้อหนุนกัน เวลาพี่ๆเค้ามีงานก็จะคิดถึงน้องๆก่อนเสมอๆ ทำให้พวกผมโชคดีกว่าเด็กที่อื่น เป็นสายใยที่คณะผมมีมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ถ้าใครที่ไม่ได้มารับน้อง เปิดเทอมมาคงจะงงมากๆ ว่าทำไมเพื่อนๆถึงสนิทกันได้ขนาดนี้ และอาจจะมีปัญหาปรับตัวในช่วงแรกๆ ปล. ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้คำพูดถ้อยคำแรงๆ หรือที่เรียกว่า ว๊าก แต่ผมเห็นด้วยกับระบบรับน้องดั่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นครับ จากคุณ : Artaria EpisodeII - [ 28 มิ.ย. 52 17:01:22 ]

ความคิดเห็นที่ 55 รักกันมากในช่วง 1-2 เดือนแรก หลังจากนั้น ต่างคนต่างอยู่... มันต่างกับทหาร ก็ตรงความจำเป็นนี่แหละครับ ทหารต้องการวินัย เพื่อประสิทธิภาพของหน่วย และเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเองเวลาปฏืบัติหน้าที่ ส่วนระบบการศึกษาของประเทศไหนสักแห่งนี่แหละ ที่ผมเห็นรักกันจะเป็นจะตายตอนรับน้อง หลังจากนั้น ก็เริ่มเห็นแก่ตัว พยายามทำทุกอย่างให้เหนือกว่าเพื่อน โดยเฉพาะวิชาไหนที่อิงกลุ่มเนี่ย ยิ่งสร้างความเห็นแก่ตัวให้เพิ่มขึ้นไปอีก แทนที่จะพากันขึ้น ก็กดคนอื่นลงเพื่อให้ตัวเองดูสูงขึ้น ผมผ่านการรับน้อง ทั้งในส่วนของรุ่นน้อง และรุ่นพี่ ที่ต้องทำ ทั้งๆที่ไม่เห็นด้วย แต่ทำตามเสียงส่วนใหญ่ ตอนเป็นรุ่นน้องก็บ่นเบื่อ เหนื่อย รำคาญสารพัด แต่พอเป็นรุ่นพี่ก็ทะลึ่งอยากรับน้องอีก ด้วยเหตุผลที่ว่า "มันต้องโดนเหมือนที่เราเคยโดน" ไร้สาระที่สุด จากคุณ : สมบัติดี - [ 28 มิ.ย. 52 17:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ส่วนมากที่ผมเห็นนะ ที่เค้ารับน้อง ไม่ใช้เหตุผลเรื่อง แรงกดดัน อะไรพวกนี้นะ แต่เป็น "ระบบ" ซึ่งในทีนี้คือ Seniority (ระบบอาวุโส) และ การรักพวกพ้อง (จริงๆ รวมถึงการละลายพฤติกรรม, การเข้าสังคม ฯลฯ แต่ไม่นับ เพราะพวกนั้นสามารถทำได้จากการรับน้องแบบธรรมดา) ผมอยู่ปี 4 และไม่ได้ลงไปยุ่งกับการรับน้องแล้ว แต่ยอมรับเลยว่า รุ่นน้องผม ขาดความกลมเกลียวกันมาก ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป แล้วยังกระด้างกระเดื่องกับทั้งรุ่นพี่ และอาจารย์อีกต่างหาก เราสอน ให้ผู้ชายเสียสละแทนผู้หญิง นัดประชุมเชียร์ ถ้าคนไหนขาด ผู้ชายรับผิดชอบ โดยการโดนทำโทษ (แทงปลาไหล) หนักๆ ก็ยอมรับว่ามี แต่ปัจจุบัน แทบไม่ถึง 50 ครั้งครับ พวกผมเอง ถ้าโดนเล่นงานในวันปิดประชุมเชียร์ (เพราะมาไม่ครบ ผิดนัด มาสาย หรือว่าแต่งตัวผิดระเบียบ) ด้วยความเป็นรุ่นพี่ พวกผมจะโดนหลักร้อยครับ เล่นเอาขาสั่น เราพยายามสอนให้น้องรู้ว่า น้องไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้วนะ น้องมีเพื่อน น้องมีคนอื่นอยู่ด้วย น้องต้องปรับตัว และต้องรับผิดชอบในส่วนของตัวเองและส่วนของสังคม ซึ่งก็คือเพื่อนๆ ด้วย จะเกิดคนเดียวตายคนเดียวไม่ได้ แล้วผู้ชาย ต้องรู้จักรักกัน มาวันแรก ต้องท่องชื่อเพื่อนๆผู้ชาย ทุกคนให้ได้ ต้องเสียสละ ถ้าเพื่อนผู้หญิงทำผิดระเบียบ มาสาย ขาดประชุม ผู้ชายต้องรับผิดชอบแทน บางคนรู้ดี ไม่ยอมมา ขาด ไม่เคารพรุ่นพี่, อาจารย์ ก็จะโดนการรับน้อง หรือการประชุมเชียร์นี่ล่ะครับ เป็นตัวกรองออกมา ให้เห็นกันเลยว่าใครเป็นยังไง เราอยากให้เด็กคิด คิดนะว่า มันมีสังคม ซึ่งคุณต้องเคารพ ถ้าแค่รุ่นพี่คุณยังไหว้ไม่ได้ แล้วคุณจะยอมให้เจ้านายด่าไหม คุณจะโดดเรียนในวันที่เพื่อนๆ มีพรีเซ้นท์งานหรือปล่าว รับน้อง ไม่ใช่แค่ความสนุกแบบไร้หัวคิด ไม่ใช่แค่ใช้ความรุนแรง ยอมรับ ว่าบางครั้งก็มีการลงโทษแบบเอาจริงเอาจัง เพราะนี่เราอยู่มหาลัยแล้ว จะให้ปั่นจิ้งหรีดหรือดีดมะกอกก็ไม่ได้ ต้องเอาจริงเอาจัง ชีวิตเด็กสมัยนี้ก็ไร้กฏระเบียบเหลือเกิน งานไม่ส่ง โดดเรียนดื้อๆ ซึ่งอาจารย์เขาก็ไม่มาตามกันหรอกครับ ต้องมีรุ่นพี่อย่างพวกเราๆ นี่หละ แค่อยากบอกไว้ หลายๆ คนก็เคยผ่านการรับน้องมาแล้ว น่าจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น แรงไปไม่ดี แต่ไม่มีเลยผมว่ายิ่งไม่ดีเข้าไปอีก กลางๆ กำลังดีครับ จากคุณ : art_sarawut - [ 28 มิ.ย. 52 17:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 57 หลายๆคน ฟังคามคิดเห็นจาก คนที่รู้สึกดีๆต่อการรับน้องแล้วคิดว่ายังไงบ้างคะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) - [ 28 มิ.ย. 52 18:04:40 ]

ความคิดเห็นที่ 58 รับน้องน่ะมีได้  แต่ไม่ใช่เละเทะแบบช่าง เรื่องจบออกมาทำงานแบบหยิบโหย่งน่ะมีจริงๆ เอะอะ นิดหน่อยๆก็ลาออกๆ จนบางบริษัทเค้าไม่อยากรับเด็กจบใหม่แล้ว เพราะเข้าไปทำงาน สอนงานได้เดือน สองเดือน ลาออก รับไม่ได้ที่เป็นแบบนั้นแบบนี้ บริษัทเค้าก็เข็ดเพราะสอนงานไป ก็ลาออก ต้องหาคน สอนงานกันใหม่ เสียเวลา แต่จะเอาเรื่องรับน้องมาอ้างเรื่องการทำงานก็ใช่ที่ เพราะรับน้องมันก็แค่เล็กน้อย อีกอย่างผมสังเกตุจริงๆนะว่าเด็กวัยรุ่นบางคนสมัยนี้มีสัมมาคารวะและความรับผิดชอบต่อสังคมน้อยลงกว่าแต่ก่อนเยอะ เช่น ไปซื้อของตามร้านค้า ผมจะลงท้ายด้วยครับทุกครั้ง แต่เด็กสมัยนี้พูดห้วนๆ กระโชกโฮกฮาก เจอผู้ใหญ่ รับของจากผู้ใหญ่ไม่ไหว้ มือไม้แข็ง พูดจาหยาบคายมากแม้กระทั่งผู้หญิง มึ..มาพาโวยในที่สาธารณะ เทียบกับสมัยก่อนที่จะมีความเกรงใจต่อผู้อื่นมากกว่านี้ ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่สน ไม่แคร์ ผมอยากให้ปรับความคิดอ่านพวกนี้มากกว่า แล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง บ่นเป็นคนแก่เลยเรา อายุยังไม่สามสิบเลย แล้วที่ตอบๆมาเกี่ยวอะไรกับกระทู้หลักมั๊ยเนี่ยเรา จากคุณ : GT4Max - [ 28 มิ.ย. 52 18:38:51 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อืมมม... ถึงเด็กจะรักกันแค่แป๊บๆหลังจากนั้นก็กลับมาแข่งกันอีกแต่มันก็จะยังเป็นความขัดแย้งบนมิตรภาพนะ ยังไงมันก็จะดีกว่ามิตรภาพบนความขัดแย้ง... ผมเคยไปลงตัวเมเจอร์ของเมเจอร์อื่นเป็นตัวฟรีอ่ะนะ (จิงๆก็มีตัวฟรีตัวอื่นให้ลงตั้งเยอะแต่ผมดันจะไปลงตัวเมเจอร์เค้า) แล้วผมพอสอบมิดเทอมผมได้รองท๊อป เด็กเมเจอร์นั้นแทบจะไม่พูดกับผมยันสอบไฟนอลเลยนะ พอตัวสองผมว่าจะไป sit in เฉยๆ แค่เข้าห้องไปแค่นั้นแหล่ะทั้งห้องมองผมตาขวางกันหมดเลย5555 (ตกลงไม่ได้ลงไม่ได้ sit in เลยตัวนั้น) แต่หลังจากนั้นก็คุยกันดีกับเพื่อนๆเมเจอร์นี้เรื่องนั้นก็นำมาแซวกันอยู่เล่นๆเฉยๆ จะว่าไปจะบอกว่าเด็กไม่อดทนรับแรงกดดันไม่ได้จิงๆจะใช้ที่ทำงานเป็นจุดอ้างอิงก็ไม่ได้อีกแหล่ะนะ ถ้าจะบอกว่าเด็กจบใหม่ฝึกงานเดือนสองเดือนลาออกหมายความว่าเด็กผิดอะไรทำนองนั้น ถ้าเด็กทำเครื่องเซิฟเวอร์หรือเครื่องจักรราคาซัก 100 ล้านพังบริษัทเจ้งแล้วค่อยสรุปดีกว่านะว่าเด็กมันไม่ตั้งใจทำงาน เพื่อนผมเคยทำงานอยู่บริษัท มินิแบร์ ที่อยุธยาบริษัทนี้ก็ให้สวัสดิการอะไรดีนะมีที่พักให้มีแม่บ้านคอยดูแลทำงานถึงระดับหนึ่งจะมีโน๊ตบุคบริษัทให้ใช้ มีรถประจำตำแหน่งฯลฯ ทำได้ซักปีสองปีเนี่ยแหล่ะมันอยากได้ pda ก็ไปเลือกๆกันแล้วก็ได้มาตัวนึงแล้วมันก็เอาไปกดๆในโรงงานขณะที่เจ้านายมันแบกโน๊ตบุคอันเบ้อเร่อ หลังจากนั้นไม่นานบริษัทมินิแบร์ออกกฏ "ห้ามพนักงานพก pda"... -_-" อะไรน่ะ ไม่เข้าใจ... มันก็มาบ่นๆว่าที่มันซื้อมาก็เพื่อบริษัท มันพก pda บริษัทก็ได้ประโยชน์ แล้วอะไรมาออกกฎห้ามพก เพื่ออะไรไม่เข้าใจ??? จิงๆแล้วเรื่องความกดดันในที่ทำงาน เจ้านายด่าเจ้านายว่าอะไรนั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าคนโดนว่าจะผิดเสมอไป บางทีคนด่าเองนั่นแหล่ะที่ผิดมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น... จากคุณ : Catwater (Catwater) - [ 28 มิ.ย. 52 19:01:52 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อยากรู้จัก ไอ้พวกรุ่นพี่ีที่มารับรุ่นน้องแล้วบอกว่าทำงานอย่างงั้นทำงานอย่างนี้ "มันมีงานทำ เคยทำงานมาแล้วหรอถึงมาเล่าได้" พวกแกก็เดินเตะฝุ่นแหละ งานก็ไม่มี เงินก็แบมือร้องจะเอาจะเอาขอพ่อแม่อยู่ดี แล้วมาบอกว่าทำงานต้องเจอแบบนั้นแบบนี้ โถ่ ไม่ต่างกับเราหรอกเฟ้ย! จากคุณ : Shineokung - [ 28 มิ.ย. 52 19:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 61 #59 ออกกฏบ้าบอแบบนั้น ผมก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกันครับ ผมคนนึงละที่แอนตี้กฏ งี่เง่าๆมากๆ ผมมองเคสที่ผมยกมาในกรณีที่ระบบของบริษัทนั้นๆดีอยู่แล้วแต่เด็กรับไม่ได้เองมากกว่า รวมไปถึงการรับสภาพแวดล้อมการทำงานไม่ได้ด้วย เช่น เรื่องของเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย บุคลากรต่างๆที่อยู่ใน บ. นั้นๆ ประเภท คิดว่า อะไรว้า ทำไม่ บ. นี้ไม่เห็นเป็นอย่างที่นึกภาพไว้เลย ไม่เอาละ ออกดีกว่า ผิดหวัง ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อ บ. นั้นๆน่ะครับ จากคุณ : GT4Max - [ 28 มิ.ย. 52 20:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 62 มหาลัยไหนในกรุงเทพรับน้องแบบทุเรศบ้างคับ ผมจะเดินทางไป ถ้ารุ่นพี่เรียนรด.ปี5 ผมจะปรับปรุงวินัยรุ่นพี่เอง และพิจารณาพฤติกรรม รด.ปี5 ผมจัดการครับ และไม่ให้จบปี5ด้วยครับ...... ใครคิดว่าโดนรุ่นพี่แกล้ง บอกมาเลยคับ มหาลัยไหน ผมจะช่วยเอง.......จะบอกว่าเป็นเพื่อนผม จากคุณ : คุณฟิน - [ 28 มิ.ย. 52 20:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ยอมรับเถอะว่ารับน้องมันจะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนานนนนแสนนาน จากคุณ : โต้ บ้านกุดขนวน - [ 28 มิ.ย. 52 21:24:11 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ผ่านการรับน้องมาแล้ว ค่อนข้างโหด นะ คิดว่า ตอนแรกก็คิดเหมือนคุณๆรุ่นพี่ทั้งหลายเนี่ยล่ะค่ะว่ารับน้องมีดี ช่วยให้น้องรับแรงกดดันจากภายนอกได้ โตมาจะได้ไม่แพนิกเวลาเจอที่ทำงานกดดัน โฮ้ยยย เห็นด้วยทุกอย่างเลยตอนนั้น โซตัสจ๋ามาก ตอนนี้ใกล้จบ ใกล้จะหางานทำละ และรู้สึกว่า ความกดดันที่เคยเจอตอนรับน้อง กับความกดดันขณะที่ต้องไปทำงาน มันคนละเรื่องกันเลยค่ะ โดนพี่ว้ากๆ ตอนนั้นก็แค่ตกใจ กลัว กดดันเล็กๆ แต่ก็มีกำลังใจว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป เดี๋ยวเขาก็รับเป็นน้องแล้วถ้าอดทน แต่ที่ทำงาน ต่อให้คุณสามารถรับมือกับเจ้านายได้มากแค่ไหนก็เถอะ ถ้าทำงานไม่เก่งพอ หรือไม่ไหลตามน้ำเหมือนคนอื่นเขา ก็จอดไม่ต้องแจวล่ะค่ะ โดนบีบให้ออกแน่นอน (อันนี้ในวงการวิชาชีพของเราเองนะ) หรือการรับน้อง คือ การสอนให้น้องรู้ว่า ต้องทำตามคำสั่งงกๆๆต่อให้คำสั่งนั้นจะปัญญาอ่อนแค่ไหนก็ตาม? จากคุณ : Hypocritus - [ 28 มิ.ย. 52 22:00:04 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ความรู้สึกดีๆต่อการรับน้องประชุมเชียร์ เกิดขึ้นก่อนวันสุดท้ายของการประชุมเชียร์ เป็นความรู้สึกดีใจที่ทนกับมันมาได้ทุกวันโดยไม่ขาด ทั้งๆที่โรคที่เป็นอยู่มันทำให้เราทรมานมากพอแล้ว แต่พอวันสุดท้าย.. พอถึงเวลาที่ใกล้จะจบ..พี่ๆก็มาทำดีให้.. มาร้องเพลงรักน้อง..รับขวัญน้อง.. มาร้องไห้บอกพี่เสียใจที่ทำไม่ดีไป.. แต่ที่ทำก็เพราะความหวังดี มีพี่ๆทุกชั้นปี(ยกเว้นปีหก)มาช่วยกันใช้ยกให้ ในใจก้เข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาที่ต้องมี แต่พอประสบกับตัวเองแล้วรู้สึกคลื่นไส้ ตอนนี้ก็รู้สึกเฉยๆกับรุ่นพี่.. ไม่ได้รักเป็นพิเศษ..แต่ไม่ได้เกลียด..ไม่ได้ไม่พอใจ ตอนนี้..ในฐานะที่เป็นพี่..พอถึงเทศกาลรับน้อง.. ก็จะทำแค่สิ่งที่พอใจจะทำ อะไรที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ทำ ..ความรู้สึกคือไม่ต่อต้านหรอก แต่คิดว่าสามารถทำให้มันดีได้มากกว่านี้.. จากคุณ : ภวรัญชน์ - [ 28 มิ.ย. 52 22:32:13 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สถาบันทหาร การรับน้องของเค้า มันมีความหมายมากกว่า เพื่อให้รับความกดดันจากการทำงานนะ สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจนคือ ความสามัคคี กลมเกลียว ในรุ่นพี่ และ รุ่นน้อง นักเรียน นักศึกษาทั่วไป เรียนกัน 4 ปี รู้จักเพื่อนมากแค่ไหน แต่นี่ เพื่อน 300  คน แค่เห็นหลัง ก็รู้จักชื่อกันแล้ว เจอรุ่นพี่ รุ่นพี่จะต้องดูแลรุ่นน้องเสมอ ขอคัดค้านถ้าใครจะเอามาเปรียบเทียบกันแล้วบอกว่า การรับน้องของสถาบันทหารนั้นไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่ผิดพลาด มันเกิดจากส่วนผิดพลาด ที่ นานๆ จะเกิดซักครั้งมากกว่า สถาบันทหาร มีมาเป็นหลายสิบปีแล้ว เพิ่งจะเกิดความผิดพลาดที่มีการเสียชีวิต ทั้งที่คุณเองก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ แต่การยกมันมาเป็นตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบ มันไม่ยุติธรรมนะ คนที่ผ่านมาแล้วได้ดี ก็มีมากมาย จากคุณ : unimox - [ 29 มิ.ย. 52 12:01:41 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คนที่ผ่านมาแล้วได้ดี ก็มีมากมาย ^ ^ คนที่ผ่านมาแล้ว และเข้ามา รัฐประหาร ทำให้บ้านเมือง ล้าหลังไปหลายปี ก็มีให้เห็นอยู่  ไม่เห็นทหารที่เห็นแ่ก่ประเทศชาติทำอะไร เพื่อเป็นการขัดขวาง พวกที่มีความคิดเผด็จการเช่นนั้นเลย จากคุณ : น้าพร - [ 30 มิ.ย. 52 04:19:46 ]