ความคิดเห็นที่ 1 ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (Planet X) (เขียนโดย J.yuttana,Sonic ) ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่? ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ? จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:33:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930) ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่" แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:35:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่ คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!! ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ) Planet X และพระผู้สร้าง เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:39:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์ ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง? ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น? จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามา แล้วคุณล่ะครับ ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริง? ถ้ามีเวลาผมจะแกะหนังสือของนักเขียนคนนี้มาให้ดูกันเล่นๆอีก รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากครับแต่หลักฐานก็หนักแน่นน่าเชื่อถือดี หาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆน่าจะพอมีครับ จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 The Planet X ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น? หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป ขอฝอยเรื่องของ Sitchin สักหน่อยนะครับ จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่ กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมา ในอวกาศได้ พวกเขา(เพื่อความคล่องปาก ขอเรียกว่า Anunnaki ตามต้นตำรับก็แล้วกันนะครับ)เคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทำไมจึงเป็น 12th Planet? หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโตแท้ๆ ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์ เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้างไปเลย พวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปีว่างั้นเถอะครับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็น พื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่ เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ครับ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยายระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียนนี่ก็นับว่าแปลกเอามากๆ ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังว่า แนวคิดด้านนี้ของพวกเขา ก้าวไกลและน่าพิศวงเพียงไร มาพูดถึง Nibiru กันต่อ แม้ว่าดาวดาวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งน้องจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายคนปิ๊งไอเดียขึ้นมาล่ะครับว่า เจ้าดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง จะมีอยู่หรือไม่ก็คงต้องใช้เวลาค้นกันหน่อยล่ะครับ เพราะดาวฤกษ์ดวงดังกล่าว อยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะของเรามาก คิดดูง่ายๆว่า Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง เกิดหรือตายกันกี่รุ่นล่ะครับมนุษย์เรา ถึงจะมีบุญได้เห็นดาวเคราะห์ยักษ์ Nibiru ดวงนี้ ที่แน่ๆก็คือ คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นคนละดวงกัน อ้อ... สำหรับท่านที่สงสัยว่า ทำไมคนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวหางสีแดง เดี๋ยวผมจะมาเฉลยทีหลังนะครับ ตอนนี้พูดเรื่องวงโคจรให้จบเสียก่อน Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar (คูณกันเอาเองนะครับ) มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว Why the Anunnaki Came Down? ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในสมัยมัธยมได้ไหมครับ? จำเรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหม ว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดี ว่า เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำครับ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ (ก็คงสำคัญมากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต) Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา ภาพวาดพาหนะของพระเจ้า ซึ่งไม่น่าไปคล้ายกับยานอวกาศโดยบังเอิญขนาดนี้ จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนใน ภายหลัง ซึ่งผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกทีครับ จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Exodus and the 12 Planet จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง เรื่องของเอ็กซ์โซดัสนี้นายโซนิคคงไม่ต้องกล่าวมากความแล้วนะครับ เพราะเคยเล่าไปหลายครั้งมากเลย ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru เอง ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเอาละกันนะครับ ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาว(หาง)ขนาดยักษ์สีแดง (บอกแล้วนะครับ รายละเอียดของภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งเรื่องของโมเสสนั้นให้ไปอ่านกันเพิ่มเติมที่นี่) ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้) เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์ไงครับ ทว่า ทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือดจริง มันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูดระหว่าง ดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:46:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า? เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก เพราะดันไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง แถมยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีกแน่ะ แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหัวเราะได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบัก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบจังๆ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆกล่าวกันก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์ โอเคครับ... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม เซเปี้ยน มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ ช่วยตอบ Sonic ที จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าอย่างนั้นคำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับ อย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่ พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหาก เล่า สำหรับท่านที่เพิ่งมาใหม่และยังตามไม่ทัน โปรดอ่านปฐมบทและแนวคิดในทฤษฎีนี้ จากเรื่องไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศนะครับ สำหรับตรงนี้ผมขอสรุปเพียงสั้นๆว่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลักฐานที่ผมจะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆมาก หลักฐานอะไรเรอะ? ก็หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆน่ะซีครับ ซึ่งจริงๆแล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนานถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมี วิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง ของมนุษยชาติเลยทีเดียว หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าผมกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์ Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II. ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!?? แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อา ฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย ครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท) จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่ ที่มา members.thai.net/enlil/sumer/sumer2_1.htm members.thai.net/myth/sumer/sumer_2.htm http://scratchpad.wikia.com/wiki/ดาวเคราะห์ดวงที่_12_(Planet_X) จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 19:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รู้สึกอยากแวะไปเยี่ยมมิธแลนด์จังเลย d~_~b จากคุณ : Sakuder - [ 29 มิ.ย. 52 20:09:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แวะมาปาด ขอบคุณความรู้ที่แชร์กันค่ะ วันนี้ได้ข่าวเรื่อง Planet X จาก FW Mail เช่นกัน จากคุณ : เลื้อย - [ 29 มิ.ย. 52 20:34:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แล้ว Planet XXX ละอยู่ตรงไหน จากคุณ : Nibiru - [ 29 มิ.ย. 52 20:57:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าพิจารณาตามระบบสัญลักษณ์ของสุเมเรียนแล้ว เป็นรูปดาวครับที่อยู่ตรงกลาง ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ ชาวสุเมเรียนรู้จักแค่ดาวเคราะห์แค่ 5 ดวงครับ ไม่เคยบันทึกไว้ว่ารู้จักมากกว่านั้น คำว่านิบิรุเป็นคำกว้าง ใช้แทนดาว/เทพเจ้า ทั่วไปๆ ใช้เรียกดาวเคราะห์ 5 ดวงนั่นแหละครับ และไม่เคยกล่าวถึงดาวที่อยู่เลยพลูโตออกไป (พลูโตเองก็ไม่เคยพูดถึง) ถ้ามีบันทึกไว้ในแผ่นไหน ช่วยระบุด้วยครับ จะตามไปอ่านดู ^^ จากคุณ : PUFF - [ 29 มิ.ย. 52 21:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ้รู้แล้ว..... ไอ้ดาวเฮงซวยนี้ ที่แท้ก็คือเรื่องตลก ลวงโลกนั่นเอง ไว้หลอกขายหนังสือนั่นเอง ตามนี้ http://www.planet-x.150m.com/intro.html จากคุณ : X จริง ๆ - [ 29 มิ.ย. 52 21:56:03 A:110.49.78.63 X: TicketID:209656 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมก็ไม่ได้บอกให้เชื่อนี่ครับ เรื่องปี 2003 นั้นมันมามั่วกันทีหลัง ตอนนั้นผมก็คิดว่าไม่จริงหรอก (ถึงขนาดมีเวปนับถอยหลัง) แต่ผมนับมาจนเบื่อแล้วครับ 2525 โลกาวินาศ 2542 โลกแตก แล้วก็ปี 2000 นี่ยังไม่ถึง 2012 มีคําทํานาย 2017 มาอีกและ คุณ  PUFF ลองเข้าไปอ่านใน http://www.michaelsheiser.com/nibirupage.htm http://spookysdaddy.com/Planet_X.html ดูครับ  มีข้อมูลทั้งสองด้าน จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 22:11:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แล้ว Planet XXX ละอยู่ตรงไหน จากคุณ : Nibiru                ^                ^                ^ นี่ไงครับ จขกท. ถามเจ้าตัวดูดิครับ   จากคุณ : Mr.Terran - [ 29 มิ.ย. 52 22:17:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับผม กำลังหาอ่านอยู่ว่ามันบอกไว้ตรงไหนเหมือนกันครับ ^^ จากคุณ : PUFF - [ 29 มิ.ย. 52 22:53:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จบยังอะคะ ว่าแต่ยังไม่ทราบเลยอะคะว่า.... พอดาว Nibiru ชนโลกแล้วหายไปครึ่งนึง ( ตามรูป ) แล้วมันเป็นยังไงต่อ...อืม.... ปล.  เขียนเป็นหนังสือได้เรื่องนึงเลยนะคะเนี้ย แล้วเอาไปทำเป็นหนังเหมือนดาวินชีโค้ดไง  ว่าแต่อ่านไปอ่านมา แนวๆ เดียวกันเลยนะคะเนี้ย.....อืม ส่วนรวมแล้วน่าสนใจคะ แต่บางตอนก็ไม่ชอบเท่าไหร่ มันดูเป็นนิยายเิกินไปอะคะ..แปลกๆ จากคุณ : shall we dance - [ 30 มิ.ย. 52 01:37:45 ]

ความคิดเห็นที่ 25 วันสิ้นโลกที่ถูกตามหลักการพระคัมภีร์ และคำพยากรณ์บางตอนสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจ ! ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าข้อมูลนี้นำเสนอเพียงเพื่อให้รับรู้เท่านั้น   จะนำเสนอข้อความบางตอนที่ไปอ้างอิงเรื่องทางวิทยาศาตร์ที่กำลังเห่อและเชื่อกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นศาสนา  แต่หลายคำทำนายอ้างอิงพระคัมภีร์(Bible)กันมากและผิด ๆ  และเอาไปสร้างเป็นหนังและเรื่องต่าง ๆ เต็มไปหมด หลักการตีความพระคัมภีร์มี 2 แบบคือ 1. ตีความตามตัวอักษร 2. เป็นภาพเปรียบเทียบ   เอาว่ามาดูประเด็นที่หนึ่งคือตีความตามตัวอักษรดีกว่า เพราะมันดูตื่นเต้นเร้าใจสำหรับบางคน ที่ชอบแนวนี้  ซึ่งจะยกบางข้อความ บางตอนมาให้ดู ในเรื่องที่เกี่ยวกับคำทำนายในยุคสุดท้ายก่อนวาระสิ้นโลก   ก่อนอื่นต้องนิยามก่อนว่า  ยุคสุดท้ายหรือวาระใกล้สิ้นโลกนั้น เริ่มเมื่อใดและถึงไหน  วันสุดท้ายของโลกหรือวาระสิ้นยุคนั้น โดยหลักการแล้ว นับตั้งแต่เริ่มสมัยคริสตจักรยุคแรก คือนับแต่ที่พระเยซูถูกรับขึ้นสวรรค์หลังจากฟื้นจากความตาย ซึ่งเป็นวันที่เริ่มต้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือนับแต่ยุคพระธรรมกิจการของอัครฑูต หรือพวกสาวกเริ่มออกประกาศเรื่องพระเยซูเป็นขึ้นจากตายและก่อตั้งคริสตจักร หรือ สมัยสาวก 12 คนแรกนั่นแหละมาจนถึงวันนี้จนไปสิ้นยุค เรียกว่า วันสุดท้ายหรือยุคสุดท้ายเริ่มตั้งแต่เมื่อสองพันปีที่แล้วก็ว่าได้    คำถามคือ นานขนาดนี้จะเรียกว่ายุคสุดท้ายได้หรือ ? คำตอบคือได้ เพราะหนึ่งวันของพระเจ้าเปรียบได้เหมือนพันปีของมนุษย์  หนึ่งชั่วอายุคนของมนุษย์เปรียบเหมือนลมพัดผ่านแค่นั้นเอง   คือมองในมุมพระเจ้าไม่ได้มองในมุมมนุษย์  พระเยซูบอกว่าเราจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้  คำว่าเร็ว ๆ นี้ ก็เขียนไว้ในพระคัมภีร์มาสองพันปีแล้ว  ดังนั้นเราอยู่ช่วงปลายในวันที่สองนับจากพระเยซู  คือกำลังจะเข้าวันที่สามหรือกำลังจะถึงเที่ยวคืนวันที่สองเข้าเช้าของวันที่สามแล้ว  หรือใกล้สิ้นสุดพันปีที่สองนับจากพระเยซู   นี่คือ การนับวันและยุคที่ถูกต้อง  ซึ่งหลาย ๆ คนข้ามประเด็นนี้แล้วไปเอาพระคัมภีร์ไปอ้างถึงวันสิ้นโลกมาผิดตลอด ๆ เช่น  บอกโลกจะแตกหรือสิ้นโลกมา นับแต่ ปี  คศ.666 , 1000 ,1666 มาจนปี  2000 จนทุกวันนี้    คงเพราะเห็นว่าเลขมันสวยดีหรือจะเพราะอะไรก็แล้วแต่  แต่ตามคำพยากรณ์ต่าง ๆ ทำให้เราคาดคะเนได้ว่าใกล้มากแล้วแค่นั้นเอง   คำถามคือบอกเวลาเป็นตัวเลขได้ไหม  ตอบคือ 1. ได้    หากเป็นการคาดคะเนส่วนตัวหรือเผยแพร่ความเชื่อส่วนตัวให้ผู้สนใจ  ซึ่งมีหลายทัศนะ หลายกลุ่มตีความมาก ส่วนใหญ่จากคำพยากรณ์ที่สำเร็จไปแล้ว กว่า 90% ทำให้คาดเดาได้ว่าโลกจะสิ้นสุดภายในอีกไม่กี่ปีหรือไม่กี่สิบปีข้างหน้าจากนี้  ที่ใกล้ที่สุดที่เห็นนำเสนอออกมาคือปี  2011 ไปจนไม่เกินสามสิบปีนับจากนี้โดยประมาณ 2. ไม่ได้  หากนำไปใช้โฆษณาเป็นจริงเป็นจัง เพื่อให้คนเชื่อตามเพื่อหวังผลการค้า หรือเพื่อผลประโยชน์ใด ๆ  ตามมา เพราะผิดหลักคำสอน จะเรียกว่าเป็นผู้พยากรณ์เท็จ เพราะไม่มีใครรู้จริง มัธทิว บทที่ 24 ข้อ 36-37 "แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาของเราองค์เดียว ด้วยสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย"  สรุปคือ คาดคะเน ประมาณกะเกณฑ์ได้  แต่ฟันธงไม่ได้  เพราะจะหน้าแตก และต้องรับผิดชอบ! ต่อไปจะนำเสนอพระคัมภีร์บางข้อ บางตอน ที่อาจจะตรงกับข้อมูลที่กำลังเห่อกันถึงวันสิ้นโลก 2012 ที่มีตอนนี้  แต่ไม่ได้บอกว่าใช่หรือตรงกันน่ะ  ขอนำเสนอเพื่อเอาใจคนที่ชอบอะไรที่ตื่นเต้น เร้าใจ และชอบการตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษร   1.  พายุสุริยะจากดวงอาทิตย์พุ่งถล่มโลก   Super Solar Storm 2012            พระคัมภีร์  วิวรณ์บทที่  16 ข้อ 8    "ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เทขันของตนลงที่ดวงอาทิตย์ และทรงให้อำนาจแก่ดวงอาทิตย์นั้นที่จะคลอกมนุษย์ด้วยไฟ" 2. แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว   Pole Shift 2012       ซึ่งสามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้ - ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer) - การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก - ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม - สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับ อันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ - กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น - แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม        พระคัมภีร์  วิวรณ์บทที่  6 ข้อ 12-14 "เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่หกนั้นแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าก็ได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่โต ดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดดำดุจผ้ากระสอบขนสัตว์ และดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงบนแผ่นดิน เหมือนต้นมะเดื่ออันหวั่นไหวด้วยลมกล้าจนทำให้ผลหล่นลงไม่ทันสุก ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่เขาม้วนขึ้นไปหมด และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม"             พระคัมภีร์  วิวรณ์บทที่  16 ข้อ 17-20 "ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดได้เทขันของตนลงในอากาศ และมีพระสุรเสียงดังออกมาจากพระที่นั่งในพระวิหารแห่งสวรรค์ว่า "สำเร็จแล้ว" และเกิดมีเสียงต่างๆ มีฟ้าร้อง มีฟ้าแลบ และเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งตั้งแต่มีมนุษย์เกิดมาบนแผ่นดินโลก ไม่เคยมีแผ่นดินไหวร้ายแรงและยิ่งใหญ่เช่นนี้เลย มหานครนั้นก็แยกออกเป็นสามส่วน และบ้านเมืองของนานาประชาชาติก็ล่มจม มหานครบาบิโลนนั้นก็อยู่ในความทรงจำต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะให้นครนั้นดื่มถ้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของพระองค์ และบรรดาเกาะต่างๆก็หนีหายไป และภูเขาทั้งหลายก็ไม่มีผู้ใดพบ  และมีลูบเห็บใหญ่ตกลงมาจากฟ้าถูกคนทั้งปวง แต่ละก้อนหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม คนทั้งหลายจึงพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บนั้น เพราะว่าภัยพิบัติจากลูกเห็บนั้นร้ายแรงยิ่งนัก" 3. การล่มสลายของระบบโลก ระบบการค้าเศรษฐกิจ  อันเนื่องจากภัยพิบัติ           พระคัมภีร์  วิวรณ์บทที่  18 ข้อ 11-17 "บรรดาพ่อค้าในแผ่นดินโลกจะร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น เพราะว่าไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว....... เพียงในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่นั้นก็พินาศสูญไปสิ้น" และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือ พวกลูกเรือ และคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเล ก็ได้ยืนอยู่แต่ห่างๆ"    ที่ว่ามานี้หากเกิดจริงยังไม่ใช่วันสิ้นโลก ! แต่มันคือจุดเริ่มต้นของ  "Great Tribulaton" หรือกลียุคเวทนาของโลกตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้                พระคัมภีร์  มัธทิวบทที่  24 ข้อ 21 "ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย"    คือก่อนที่พระเยซูจะกลับมา ซึ่งไม่ได้บอกว่าจะใช่หรือตรงกับปี 2012 แค่ยกมาเทียบเฉย ๆ มันอาจเกิดแบบอื่น ในปีอื่นก็ได้     จุดเริ่มต้นของกลียุคนี้จะตามมาด้วยสงครามครั้งใหญ่ของโลกอีก พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเป็นสงครามโลกครั้งทีสามเหมือนที่หลาย ๆ คนอ้างบอก แค่กล่าวว่าสงครามใหญ่ ณ ตำบลที่เรียกว่า อารมาเกดโดน ซึ่งก็ตรงกับตะวันออกกลางทุกวันนี้  บางกลุ่มทัศนะกล่าวว่าจะเกิดสงครามก่อนเริ่มกลียุค     คำถามคือ  กลียุคนี้ หากว่า หรือ สมมติว่า เกิดขึ้นจริงในปี 2012 จะกินเวลาเท่าใด      คำตอบคือ 3 ปีครึ่ง    ดาเนียลบทที่ 12 ข้อ 7 เชื่อมโยงกับวิวรณ์บทที่ 11 ข้อ 2-5  กล่าวถึงความทุกข์เวทนาที่มีอามารเกดดอนเป็นศูนย์กลางนั้นก็หมายความว่า หากทุกขเวทนาเริ่มปี  2012 พระเยซูจะกลับมาประมาณปี  2015 ก็คือวันสิ้นโลกนั่นเอง  ซึ่งจะเหตุการณ์ตามมาก่อนสิ้นสุด    พระคัมภีร์  มัธทิวบทที่ 24 ข้อ 29 "แต่พอสิ้นความทุกข์ลำบากแห่งวันเหล่านั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป"    พระคัมภีร์  โยเอลบทที่ 2 ข้อ 30-31 "เราจะสำแดงลางมหัศจรรย์ในท้องฟ้าและบนดิน เป็นเลือดและไฟและเสาควัน ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด ดวงจันทร์เป็นเลือดก่อนวันใหญ่ยิ่งและน่าสยดสยองแห่งพระเยโฮวาห์จะมาถึง"     มีหลายคนบอกว่าจะเกิดเหตุการณ์พระจันทร์สีเลือด (Blood Moon) ในปี 2015 http://www.youtube.com/watch?v=7hsZd8tL_PA http://home.telkomsa.net/signsoftheend/aaa%20The%20Great%20Tribulation%20and%20the%201994- 2015%20Timeline.htm (ซึ่งความจริงแล้วเกิดได้หลาย ๆ ปีและเกิดมาตลอด แต่บังเอิญมันดูลงล๊อกกับ 2015เมื่อนับเวลาต่าง ๆ )     คำถามคือทำไมหลาย ๆ กลุ่มตีความหรือเห็นว่าเป็น 2012 ทำไมตอนนี้ดูเหมือนไม่เห็นมันจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็คงเพราะอ่านข้อความในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติต่าง ๆ นั้นดูแล้วถ้าจะเกิดได้ คงต้องพึ่งเหตุการณ์ที่คาดเดาว่า จะเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดใน 2012 ที่ออกมาเป็นกระแสเวลานี้  ก็เลยคิดว่าคงใช่หรือเป็นเหตุที่ทำจะเป็นไปตามคำพยากรณ์ ซึ่งอาจไม่ใช่ คือหมายถึงไม่ใช่ปี 2012 คือมันอาจไปเกิดปีอื่น ๆ ด้วยเหตุการณ์อื่น    จากพระคัมภีร์กล่าวว่าจะมีเวลา 7 ปีสุดท้ายของโลก   ช่วง 3 ปีครึ่งแรกจะค่อนข้างสงบสุข  ซึ่งก็ไม่สงบนักเพราะยังมี โรคระบาด ข่าวลือต่าง ๆ ภัยพิบัติต่าง ๆ  ความหมายคือรู้สึกว่าเป็นปกติสงบสุขในความคิดของคนทั่ว ๆ ไป   แต่จากนั้น              พระคัมภีร์     1เธสะโลนิกาที่ 5 ข้อ 3 "เมื่อเขาพูดว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว" เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น"     คือจะเข้าสู่ 3 ปีครึ่งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงอย่างไม่คาดฝันเหมือนตอนน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์  ซึ่งหลายคน หลายกลุ่มคาดเดาว่า มันจะเริ่มในปี 2012 นั่นเอง ! จากคุณ : 1p2m - [ 30 มิ.ย. 52 04:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ... เข้ามาทำลายล้างโลก แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 52 12:16:23 จากคุณ : Nibiru - [ 30 มิ.ย. 52 12:15:39 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สมมุติว่า คนสมัยเมื่อสองพันกว่าปีก่อน เค้าสามารถมีนิมิต มองเห็นอนาคตอีกสองพันกว่าปีได้ หากเค้ามองเห็นภาพยนต์ เค้าจะแยกออกหรือไม่ว่าไม่ใช่เรื่องจริง ^^' จากคุณ : nutxnut - [ 30 มิ.ย. 52 12:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มีอีกเยอะ http://www.mythland.org/v2/ จากคุณ : นายฮ้อยจ่าฝูง ([T]ango[A]lpha) - [ 30 มิ.ย. 52 13:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่เคยมีหลักฐานใด ๆ แสดงว่าโลกเคยถูกดาวพระเคราะห์ชนมาก่อนนับตั้งแต่กำเนิดโลกมาเลย และโลกก็ไม่ได้แหว่งแม้แต่เศษเสี้ยว แม้มหาสมุทรทั้งโลกจะแห้งเหือดไป โลกทั้งใบก็ยังคมกลมดิ๊ก แทบจะเป็นทรงกลมสมบูรณ์ด้วยซ้ำ หากมีการชนกันระหว่างดาวพระเคราะห์และโลกมาก่อนจริง เศษหินดินส่วนหนึ่งจะกระจัดกระจายไปทั่วฟ้าเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกดึงดูดไว้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะถูกดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งดึงดูดติดไป แน่นอนว่าต้องมีชิ้นส่วนที่หลุดไปถึงวงโคจร และจะต้องโคจรรอบโลกเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่หลักฐานนับตั้งแต่มนุษย์เริ่มบันทึกจนถึงปัจจุบัน โลกไม่เคยมีดวงจันทร์มากกว่า 1 ดวงเลย ดังนั้น นิยายเรื่องดังกล่าวเรื่อง Planet X สนุกดีครับ จากคุณ : Jeremy S - [ 30 มิ.ย. 52 15:08:49 A:124.120.138.239 X: TicketID:220946 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มีข้อมูลของ Zecharia Sitchin มาเสนอครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Zecharia_Sitchin ผมอ่านข้อมูลจากวิกิคร่าวๆ แล้วก็ทราบว่างานเขียนของคุณ Sitchin ค่อนข้างจะโมเมไปนิดและออกไปทางแฟนตาซีสักหน่อย ซึ่งแม้ว่าผมจะชอบเรื่อง alien แต่ก็อยากที่จะศึกษาข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าการตีความจารึกโบราณเพื่อสนับสนุนความคิดส่วนตัว บทความที่คุณ Terran เขียนมา ผมนับว่าเป็นแฟนตาซีไว้เติมแต่งจินตนาการ แก้เครียดกับปัญหาสังคมในปัจจุบัน แต่อยากจะแนะนำผู้อ่านท่านอื่นว่าอย่าถือเอาเป็นจริงเป็นจังเลยนะครับ ขอเอ่ยถึงกระทู้เก่าของคุณ Terran หน่อย พอดีผมไม่มีเวลากลับไปตอบและก็หากระทู้ไม่เจอแล้ว กระทู้เก่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวนั้นในส่วนของ Philadelphia Experiment นั้นก็มีการสืบพิสูจน์กันแล้วว่าไม่จริง จริงๆ แล้วผมก็ค่อนข้างชอบอะไรลึกๆ ลับๆ เหมือนกัน อันไหนที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็นั่งละเมอเพ้อพกต่อไปว่าเมื่อไหร่จะค้นพบอย่างเป็นทางการ ไอ้อันไหนที่พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงก็เลิกละเมอ แต่บางทีมันก็เสริมเติมแต่งจินตนาการเราได้สนุกสนานพอสมควร จากคุณ : Iron-Spider - [ 30 มิ.ย. 52 15:23:40 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตามไปอ่านเรื่อง Philadelphia Experiment หรือ Project Rainbow กันได้ตามลิ้งข้างล่างครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Philadelphia_Experiment http://en.wikipedia.org/wiki/Project_Rainbow เรื่อง Philadelphia Experiment ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หากรัฐบาลอเมริกาทำการทดลองได้จริง เขาไม่หยุดแค่นี้หรอกครับ พัฒนาต่อมาให้มีประสิทธิภาพที่สามารถใช้ได้จริง จะเป็นประโยชน์ทางด้านการทหารและการงานอื่นๆ มาก ลองเอาหลักความจริงมาจับเรื่องพวกนี้แล้วจะเห็นได้ว่าหลายเรื่องไม่น่าจะเป็นความจริง ... แต่ผมยังรอวันที่ทางรัฐบาลอเมริกาจะ declassify เอกสาร Roswell อยู่นะ  ^ ^ จากคุณ : Iron-Spider - [ 30 มิ.ย. 52 15:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ่า คุณ Iron-Spider บทความ planet X นี่ ผมไม่ได้เขียนครับ เป็นของนายโซนิคแล้วผมก็อ่านมา 10 กว่าปีแล้วครับเรื่องนี้ และที่อยากจะฮาสักนิดนึงครับคุณIron-Spider   คือ หนังสือของ  Zecharia Sitchin อยู่เมืองนอกเป็นที่ฮือฮามาก พอมาขายเมืองไทย อยู่แผนก วรรณกรรม จากคุณ : Mr.Terran - [ 30 มิ.ย. 52 15:33:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 หนุกๆๆ จากคุณ : -APEM - [ 30 มิ.ย. 52 15:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มีจริงทำไม Hubble ไม่เห็น? จากคุณ : PanJ - [ 30 มิ.ย. 52 15:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 35 Mythland พอเปลี่ยนเว็บโฮสต์แล้วมึนไปหมดกับฟังก์ชันใหม่ๆครับ มร.Terran ได้เข้าไปเยี่ยมบ้างหรือยังเอ่ย จากคุณ : Cryptomnesia - [ 30 มิ.ย. 52 15:38:11 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นายโซนิคไหนเหรอครับ? ตีไข่สนุกดี ฮาๆๆ ที่ว่าหนังสือของ Sitchin มาอยู่เมืองไทยแล้วได้ไปวางแผนกวรรณกรรม ก็สงสัยจะเป็นเพราะว่าที่เมืองนอกเขาฮือฮาจนมีคนค้นคว้ามาสวนแล้วว่า ที่ Sitchin แกเขียนมันเป็น Fiction หาใช่ Non-Fiction ไม่ ^ ^ จากคุณ : Iron-Spider - [ 30 มิ.ย. 52 15:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณโซนิคเป็นเวบมาสเตอร์ของเว็บไซต์ mythland.org ครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 30 มิ.ย. 52 15:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พูดถึงโซนิคแล้วนึกถึงวันเก่าๆ นะคุณCryp คุณIron-Spider สํานักพิมพ์ที่เมืองไทยก็บอกเองครับว่าเป็นนิยาย เหอๆ อ่านเอาความบันเทิงไปซะงั้น จากคุณ : Mr.Terran - [ 30 มิ.ย. 52 16:04:41 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แต่งไปได้ จากคุณ : xSharez - [ 30 มิ.ย. 52 17:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มาเจอมก่อนอ่าน ---------แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 52 17:36:18 จากคุณ : sassathx - [ 30 มิ.ย. 52 17:35:53 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ....................ตกลง เรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย จากคุณ : กรประเสริฐ - [ 30 มิ.ย. 52 19:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 จริงครับ จริงที่ว่ามันเป็นนิยาย ในเมื่อกระทู้นี้ตั้งในหมวดวิทยาศาสตร์ ก็ขอสรุปสั้นๆ ว่า ดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) เป็นดาวเคราะห์ที่ในอดีตคาดว่าส่งแรงโน้มถ่วงรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัสและเนปจูน นักดาราศาสตร์ได้ข้อสรุปกันไปนานแล้วว่าดาวเคราะห์เอกซ์ไม่มีอยู่จริง ความผิดปกติในการโคจรของยูเรนัสและเนปจูนที่ตรวจพบก่อนหน้านั้น เป็นเพราะยังไม่ทราบมวลที่แท้จริงของมัน ที่บอกว่าโลกจะพลิกกลับขั้วในปี 2012 ก็เรื่องโกหกทั้งเพ องค์การนาซาไม่เคยให้ข้อมูลนี้ จากคุณ : แมวสีหมอก - [ 30 มิ.ย. 52 19:34:56 ]

ความคิดเห็นที่ 43 บทความนี้สุดยอดครับ อยากทราบมานาน แม้จะรู้ว่า มันเป็นเรื่องความผิดพลาดในการคำนวณและศึกษา ในช่วงพัฒนาความรู้ทางดาราศาสตร์ แต่ยอมรับว่ามัน คลาสสิกดี (ไม่แพ้เรื่อง สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่แม้จะรู้แล้วว่า เรือและเครื่องบินตกจมใต้มหาสมุทรเพราะความแปรปรวนของสภาพอากาศนั่นแหละ เขาค้นพบหมดแล้ว แต่มันก็ยังคลาสสิกอยู่) จากคุณ : Prof.Sirius - [ 30 มิ.ย. 52 19:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 44 กิฟหมด ขอโหวตไปพลางๆ ก่อน จากคุณ : Prof.Sirius - [ 30 มิ.ย. 52 19:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ความรู้เยอะแยะเรยย จากคุณ : กิกิ (chadiwe) - [ 30 มิ.ย. 52 21:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อืม น่าสนใจมากๆ จากคุณ : รองเท้ากับนาฬิกา - [ 30 มิ.ย. 52 21:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ยกย่อง Mr. Terran จริง ๆ สร้างสรรค์งานเขียนมีคุณภาพ อีกเเล้ววครับท่านนนนนนน จากคุณ : Gundam ELPIS - [ 30 มิ.ย. 52 21:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คิดว่าเหมือนตอนที่กาลิเลโอ บอกว่าโลกกลม จากคุณ : ข้าคือคนไทย - [ 30 มิ.ย. 52 21:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ดวงจันทร์ไม่ได้เกิดจากถูกดาวเคราะห์มาชนตอนโลกยังเด็ก ๆ หรอครับ เหมือนเคยดูในสารคดี จากคุณ : desmothenes - [ 30 มิ.ย. 52 21:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ว่างๆ แวะมาได้นะครับ Mythland V2 เพิ่งเปิดตัว วันนี้เอง ปล.ความจริงจะเปิด 1/07 แต่มีเหตุขัดข้องเหอะๆ http://www.mythland.org/v2/index.php จากคุณ : sos_num - [ 30 มิ.ย. 52 22:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ท่าทางต้องไปหามาอ่านด่วน หนังสือเล่มนี้ สนุกดี อิอิ จากคุณ : เจ้าหญิงจากความมืด - [ 1 ก.ค. 52 00:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อ่านถึงไม่ใช่ จะมาขัดนะครับ แต่ทำไมเรายังไม่เจอพวก Anunnaki สักที จากคุณ : G.ShamanCrazy - [ 1 ก.ค. 52 00:30:29 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เลื่อนลงมาเห็นข้อมูลจาก คห.2 เดาไว้ก่อนเลยว่าต้อง Mr.Terran ขวัญใจชาวหว้ากอ ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆครับ จากคุณ : knine2five - [ 1 ก.ค. 52 07:35:12 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ฮู้ยยยยยยยยยยย!!! สนุกครับ สนุกๆๆๆๆ อ่านได้ไม่ถึงครึ่งเลย ต้องกลับมาอ่านต่อตอนเย็นแล้ว ไปทำงานก่อนครับ จากคุณ : knine2five - [ 1 ก.ค. 52 08:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 55 จริงหรือเปล่าไม่รู้แต่น่าเอาไปต่อยอดเขียนเป้นการ์ตูนมากมาย จากคุณ : Desolation Angel - [ 1 ก.ค. 52 08:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เรื่องนี้เคยมีตั้งกระทู้คุยกันเมื่อช่วงเกือบปลายปีที่แล้ว กันไปแล้วนิครับ. จำลองภาพ: เมื่อโลกไม่มีน้ำทะเลในมหาสมุทร. http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7342227/X7342227.html ก็ยังแลดูเป็นทรงกลมอยู่ดีอ่ะ.. แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 52 09:37:39 จากคุณ : Kooly - [ 1 ก.ค. 52 09:34:42 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แย้ง คห ที่13 ครับ (ในกรณีมีคนเชื่อตามไปจริงๆ) ณ ปัจจุบันเรายังไม่สามารถทำ DNA sequencing ของ A. afarensis  หรือ H. erectus นะครับ เพราะ DNA มันสลายไปหมดแล้ว มีแต่ฟอสซิล ที่พอทำได้คือ DNA ของ นีแอนเดอร์ธอลเท่านั้นครับ เพราะตัวอย่างมีอายุหลักหมื่นปี พอมีเศษซาก DNA เหลือบ้าง แต่ก็ยับเยินเต็มที http://en.wikipedia.org/wiki/Neanderthal_Genome_Project ผลเบื้องต้นเราทราบว่า 1) มนุษย์นีแอนเดอร์ธอลไม่มีการผสมพันธุ์กับมนุษย์ Homo sapiens แปลว่า Homo neanderthal อาจจะเป็นมนุษย์อีก species หนึ่ง (ตามนิยามของ species) 2) มนุษย์นีแอนเดอร์ธอลมี Foxp2 หน้าตาเหมือนกับของเรา แสดงว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ธอลอาจจะสามารถใช้ภาษาได้ และจากการขุดค้นเราพบว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ธอล 1) มีพิธีกรรมศพ 2) ใช้ไฟได้ 3) ทำกับดัก ฯลฯ ที่มนุษย์ Homo sapiens ในยุคเดียวกันทำได้ ดังนั้นถ้าคิดว่า H. sapiens เป็น Species เดียวที่เป็นมนุษย์ เป็น Species เดียวที่พระเจ้า หรือมนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้น คุณก็มีโอกาสผิดสูงครับ เราไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย แ่ค่โชคดีกว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ธอลที่เรารอดมาถึงทุกวันนี้ก็เท่านั้น จากคุณ : Geneticist - [ 1 ก.ค. 52 10:59:14 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อืมมม  ลึกลับ จริง จากคุณ : ก้นกบ - [ 1 ก.ค. 52 12:29:07 ]

ความคิดเห็นที่ 59 น่าสนใจมาก จากคุณ : โควี - [ 1 ก.ค. 52 22:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 60 รอบนี้คุณ Terran เล่าได้คุณภาพกว่าครั้งก่อนๆเยอะเลยครับ /me ว่าแต่ถ้าพันทิบ แบน rep26 จะช่วยปกป้องเราได้สินะเนี่ย จากคุณ : Kross_ISC - [ 2 ก.ค. 52 08:32:59 ]

ความคิดเห็นที่ 61 Planet X disproved Harrington died in January 1993, without having found Planet X.[39] Six months before, Myles Standish used data from Voyager 2's 1989 flyby of Neptune, which had revised the planet's total mass downward by 0.5%—an amount comparable to the mass of Mars[39]—to recalculate its gravitational effect on Uranus.[40] When Neptune's newly determined mass was used in the Jet Propulsion Laboratory Developmental Ephemeris (JPL DE), the supposed discrepancies in the Uranian orbit, and with them the need for a Planet X, vanished.[3] Moreover, there are no discrepancies in the trajectories of any space probes such as Pioneer 10, Pioneer 11, Voyager 1 and Voyager 2 that can be attributed to the gravitational pull of a large undiscovered object in the outer Solar System.[41] Today, most astronomers agree that Planet X, as Lowell defined it, does not exist http://en.wikipedia.org/wiki/Planet_X#Planet_X จากคุณ : pendulum swings - [ 2 ก.ค. 52 09:59:37 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เป็นดาวที่สันนิษฐานกันว่า คือดาวเกตุที่โบราณจารย์ได้สังเกตุไว้ได้ แต่หลุดระยะ มองเห็นในรุ่นหลัง เลยเพี้ยนไปเป็นวิญญาณธาตุ จากคุณ : พัตรี - [ 2 ก.ค. 52 10:30:55 A:125.27.18.164 X: TicketID:206210 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เพิ่งอ่านได้จบ สนุกมากๆครับ ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ แต่การได้จิตนาการ เสพเรื่องราวแนวไซไฟแบบนี้ชอบครับ ชอบมากๆๆๆๆ จากคุณ : knine2five - [ 2 ก.ค. 52 11:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ่านไปอ่านมาเหมือนจะเป็นTransformers -*- จากคุณ : Xelong - [ 2 ก.ค. 52 16:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อ่านมาตั้งนาน น่าสนใจมากแต่ไม่เห็น x เลย จากคุณ : คิมบ๊อก - [ 3 ก.ค. 52 10:20:29 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ไปที่ nasa.gov กันเลยดีกว่า คอลัมน์นาซาตอบคำถาม มีหมายเหตุด้านบนว่า ทางนาซาได้รับคำถามเกี่ยวกับนิบิรุมาเป็นพันๆ ครั้ง และได้ตอบไปไม่ต่ำกว่า 200 ครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามส่งเข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นกรุณาอ่าน SUMMARY ก่อนค่อยถามนะจ๊ะ (นักวิทยาศาสตร์เบื่อจะตอบแล้ว) หน้า summary คือที่นี่ค่ะ http://astrobiology.nasa.gov/ask-an-astrobiologist/intro/nibiru-and-doomsday-2012-questions-and-answers ผู้เขียนคือ David Morrison, NAI Senior Scientist เพิ่งเขียนตอบครั้งล่าสุดเมื่อ 1 มิถุนายน 2009 ที่ผ่านมานี้เอง ในหน้าเว็บดังกล่าวมี 20 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับนิบิรุ ผู้สนใจเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ ขอสรุปแบบย่อๆ เอาไว้ดังนี้ 1. ข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับดาวนิบิรุชนโลกที่ปรากฏในอินเตอร์เน็ต เป็นข่าวลวงทั้งหมด (Hoax) 2. Nibiru คือชื่อทางโหราศาสตร์ของดาวพฤหัสบดีในวัฒนธรรมบาบิโลน ไม่ใช่ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของดาวเคราะห์ดวงใหม่แต่อย่างใด (ส่วนที่อ้างว่าเป็นชื่อของทางสุเมเรียน สืบเนื่องมาจากนวนิยายของ Zecharia Sitchin ที่เรียก Planet ดวงที่ 12 ว่า นิบิรุ – เรียกว่าเป็น Planet เพราะในวัฒนธรรมโบราณนอกจากดาวเคราะห์ทั้ง 9 แล้ว จะนับรวมดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็น Planet ด้วย) 3. หอดูดาวที่ขั้วโลกใต้ ไม่ใช่หอดูดาวของนาซา แต่เป็นของ NSF เป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุ (radio telescope) สร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ในช่วงคลื่นอินฟราเรด และวิทยุคลื่นสั้น ผลจากการสังเกตการณ์ไม่ใช่รูปภาพ ดังนั้นภาพถ่ายที่อ้างว่าเป็นภาพของนิบิรุที่มองเห็นแม้ในเวลากลางวัน จึงไม่จริง 4. คำว่า Planet X เป็นคำที่นักดาราศาสตร์ใช้เรียกดาวเคราะห์ลึกลับที่ยังค้นไม่พบแต่จากผลการ คำนวณเชื่อว่าน่าจะส่งอิทธิพลต่อวงโคจรของดาวเคราะห์ที่รู้จักแล้ว เมื่อมีการค้นพบดาวเคราะห์ ก็จะตั้งชื่อสามัญให้ ดังเช่น พลูโต และอีรีส ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยถูกเรียกว่า Planet X มาก่อน แต่ ดาวเคราะห์แคระที่ค้นพบอยู่ในเขตรอบนอกของระบบสุริยะ ไม่มีดวงใดที่มีวงโคจรเข้ามาถึงระบบสุริยะชั้นในเลย จึงไม่มีทางจะมาทับซ้อนกับวงโคจรของโลกได้ ในหน้า Summary ดังกล่าวยังมีการยืนยันถึงเรื่อง “โลกพลิกกลับด้าน” อีกครั้งด้วยว่า ไม่เป็นความจริง และว่าการกุข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับ “วันพิพากษา” เหล่านี้อาจส่งผลให้ผู้หวาดกลัวต้องเสียเงินเสียทองไปในกรณีต่างๆ กัน ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณและตรวจสอบความเป็นจริงกันก่อนจะเชื่ออะไร น่าสงสารคุณเดวิดจริงๆ ดูท่าจะต้องเขียนตอบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เพราะตอบด้วยความเหนื่อยใจอย่างมาก เอ้า! ก็ช่วยกันประกาศข้อเท็จจริงต่อไปก็แล้วกัน ข่าวลือน่ะแพร่ง่าย เชื่อง่าย แต่ความจริงมักไม่ค่อยมีใครเชื่อ แปลกแท้ๆ จากคุณ : iwc touch - [ 3 ก.ค. 52 12:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ก่อนอ่านกรุณาทราบ "นี่ไม่ใช่เรื่องหมิ่นศาสนาหรือความเชื่อนะคะ" ถ้าพระคำภีร์ต่างๆ ที่อ้างถึง มีพระเจ้าที่สร้างโลกจริง พระเจ้าเกิดหลังพระพุทธเจ้าเหรอค่ะ? (ก็เห็นนับปีคริสตศักราชช้ากว่าปีพุทธศักราช) ถ้าพระเจ้าเกิดหลังพระพุทธเจ้า แล้วพระเจ้าจะสร้างคนได้ยังไง เพราะพระพุทธเจ้าเกิดก่อน ในทางกลับกัน ถ้าพระเจ้าเกิดก่อนพระพุทธเจ้าก็เป็นกบฎ ที่พยายามล้างสมองมนุษย์เพื่อให้ลืมพระเจ้าเหรอค่ะ เพราะว่าในศาสนาพุทธเราไม่เชื่อเรื่องผู้สร้างโลก เราเชื่อว่ามนุษย์คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่หมุนเวียนวนอยู่แบบนี้ ส่วนเรื่องเวียนว่ายตายเกิดนั้นคนพุทธเองก็คิดกันคนละแบบ โดยส่วนตัวดิฉันเป็นคนที่เชื่อว่า "พระเจ้า" "พระพุทธเจ้า" ศาสดาทุกศาสนา ท่านคือผู้ปกครองชุมชน ที่ใช้หลักจิตวิทยา ในการสร้างสรรเรื่องราว ให้เกิดเป็นความเชื่อ เพื่อให้คนในสังคมอยู่กันอย่างสงบ เพราะเทียบกันตามข้อมูลดิบๆ ที่เรารู้กันแบบง่ายๆ ๑. ก่อนหน้านี้คนไทยไม่มีศาสนา นับถือผี นับถือธรรมชาติ ๒. ความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้า พระเจ้า เพิ่งเข้ามาในเมืองไทย เมื่อมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ถ้าพระเจ้ามีอิทธิฤทธิ เป็นผู้สร้างมนุษย์จริง ทำไมปู่ย่าตายายเราไม่รู้จักพระเจ้า ในเมื่อจากตำนานพระเจ้ามีอิทธิฤทธิ์มาก เป็นไปได้เหรอที่คนจำนวนหนึ่งจะไม่รู้จักพระเจ้า โดยส่วนตัวแล้วดิฉันคิดว่า "พระเจ้า" คือคำที่ใช้เรียกผู้ปกครองในสมัยก่อน อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่สร้างขึ้นก็เพื่อให้คนใต้ปกครองยำเกรง เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีกฏหมายแยกหมวดหมู่ การใช้กฏหมายจึงอยู่ในรูปแบบของศาสนา มีตัวแทนจากศาสนจักรเป็นผู้คุมกฏ การเผยแพร่ศาสนาคือการหาสมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้น ไม่ต่างจากการล่าอาณานิคมเลย เพียงแต่ว่าในรูปแบบของศาสนาเป็นการเข้าไปกลืนอย่างนุ่มนวลไม่ใช้กำลังให้เห็นจะแจ้ง วกกลับไปที่เรื่องของแพลนเนต X สัญลักษณ์ตัว X ใช้แทนได้ถึงสิ่งที่ยังไม่ทราบ และเลข สิบ ของโรมัน ถ้ากรณีที่ใช้ X แทนสิ่งที่ไม่ทราบ พอทราบแล้วมันก็ต้องเปลี่ยนไป เหมือนคุณ iwc อธิบาย ไม่ข้องใจกับการชนโลกของดาวปริศนา แต่ข้องใจกับการถูกชนจนแหว่งไปครึ่งหนึ่ง ลองเอาลูกบอลดินสองลูกปาใส่กันจนแหว่งสิค่ะ น้ำหนักของลูกบอลนั่นก็ต้องเปลี่ยนไป แล้วการหมุนรอบวงของมันจะไม่ถูกกระทบเหรอค่ะ ไม่เห็นเข้าพูดถึงเรื่องผลกระทบต่อแรงเหวี่ยงในระบบวงโคจรเลย ไม่ใช่แทงสนุ๊กธรรมดานะค่ะ แต่แทงสนุ๊กที่กำลังหมุนติ้วๆๆๆ การควบคุมทิศทางของลูกขาว หรือ ดาว X คงไม่ง่าย พอมันพุ่งชนโลกแล้วมันจะไม่กระเด้งกระดอนไปชนลูกอื่นบ้างเหรอค่ะ แล้วถ้าแนวความคิด สมมติฐานที่ว่าโลกมีพื้นเนื้อแค่ครึ่งเดียว ก็แสดงว่า มันก็เหมือนแตงโมที่ถูกหนอนชอนข้างในจนเป็นโพลง เหลือแค่เปลือกข้างนอกที่หุ้มไว้ให้ดูสวย (เปลือกนอกคือชั้นโอโซน) ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ยิ่งเราเจาะเอาพลังงานใต้พิภพออกใช้มากเท่าไร เราก็ยิ่งฆ่าตัวตายไวขึ้นเท่านั้น เพราะสมดลของเจ้าแตงโทที่ถูกหนอนเจาะ มันคงจะอยู่ได้ไม่นานหรอก เมื่อคนที่อยู่บนเนื้อแตงโมช่วยกันเจาะอีกแรง พอข้างในมันเละตุ้มเป๊ะไม่มีสภาพกลมเหมือนเดิม เนื้อที่อยู่ข้างในไม่มีส่วนที่รับน้ำหนักผิว สักวันมันก็ยุบสิค่ะ ยิ่งคิดยิ่งน่ากลัว แบบนี้ไม่ต้องรอพระเจ้ากลับมา ไม่ต้องรอดาว x มาเฉี่ยวแล้วค่ะ เพราะเรากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง จากคุณ : สีน้ำน้อย (sugarhut) - [ 3 ก.ค. 52 19:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 68 #29 โลกแหว่งขอรับ การถูกชนสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกลุ่มดาวเคราะห์น้อยมากกว่า ว่าแต่ไอ่ปี 2012 นี่ ข้าน้อยว่า บอกกล่าวกันหลายรอบแล้วนะขอรับ ว่า... มันเป็นเรื่องของปฎิทินมายัน แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับสุเมเรียนได้ยังไง? อยากทราบจริงๆ นะ เพราะมายันก็แค่บอกว่า ปฎิทินเขาสิ้นสุด เพราะ ปี 2012 พระเจ้าของเค้าจะกลับมารับ มันก็เท่านั้นเองขอรับ โยงกันเข้าไปได้่ยังไงขอรับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 52 20:20:51 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 3 ก.ค. 52 20:19:41 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คห. 67 ครับ ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์  ที่คุณถามเรื่องคริสตศักราชเริ่มนับหลังพุทธศักราชแล้วหมายความว่าพระเจ้าของคริสต์เิกิดหลังพระพุทธเจ้าหรือไม่นั่น จริงๆ แล้วนั่นคือพระเยซูครับ ไม่ใช่พระเจ้านะครับ  แต่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ลงมายังโลกเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ คือยอมตายแทนมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ครับ ส่วนพระเจ้าของศาสนาคริสต์นั้น เค้าเชื่อกันว่ามีมาก่อนกำเนิดโลกครับ เป็นผู้สร้างโลกขึ้นมาโดยใช้เวลาทั้งหมดเจ็ดวัน จากคุณ : RZENON - [ 3 ก.ค. 52 23:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 70 อืม... ก็ว่ากันไป *-* จากคุณ : Strawberry 59 Baht - [ 4 ก.ค. 52 02:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 71 สนุกสนานมาก อ่านแล้วได้อารมณ์สืบเสาะลึกลับ   ถ้าอ่านแบบตัดความรู้สึกว่าอะไรจริงอะไรเท็จออกไปต้องบอกว่า จขกท. เขียนได้ชวนติดตามมากค่ะ จากคุณ : คุณจ๊ะจ๋า - [ 4 ก.ค. 52 14:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 72 รูปงูที่พันกันนะครับ งูเวลามันผสมพันธ์กันมันก็พันกันแบบนั้นน่ะครับ ไม่เกี่ยวกับ DNA อะไรหรอก ส่วนเรื่องสัญลักษณ์รูปงูทางสาธรณะสุขเคยอ่านมาว่าที่เป็นรูปงูก็เพราะมาจากเรื่องตำนานกรีก ทีเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการแพทย์ครับ โดยเรียก Rod of Asclepius (ไม้เท้าของแอสคลีพิอุส) ในตอนหลังเลยเอามาเป็นสัญลักษณ์ของการแพทย์กันในภายหลัง   คนละเรื่องเดียวกันเลยทีเดียว ถ้าชาวสุเมเรียนมีความรู้ในระดับ DNA ชาวอียิปต์ที่เป็นชาวสุเมเรียนอพยพมาคงไม่ทำมัมมี่แล้วครับ   ส่วนอื่น ๆ อ่าน ๆ ไปมันแย้งกันเองโดยไม่น่าเชื่อถือเรื่อย ๆ   อย่างดาวอะไรนี่บอกยังหาไม่เจอ งั้นไปวาดรูปวงโคจรกันได้ยังไงเป็นตุเป็นตะ แถมรู้ว่าวงโคจรยังมาทับกับโลกอีก ถ้ารู้ขนาดนั้นป่านนี้ต้องคำนวณและหาจุดปัจจุบันของดาวนี้ได้แล้วครับ ถึงจะอ้างว่าเป็นวงรีก็เถอะ นอกจากนี้ยังบอกว่ามีขนาดใหญ่และสว่างอีกถ้าเป็นแบบนั้นจริงห่างจากโลกแค่สามปีป่านนี้คงเห็นไปแล้วแหละครับ   พวกดาวหางมืดยังน่ากลัวกว่าเลย จากคุณ : กระดาษเดียวดาย - [ 5 ก.ค. 52 08:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เรื่องนี้อ่านเพลินดีครับ ขอบคุณ Mr.Terran  เขียน  หรือไปเอามาจากที่อื่น มาให้ผมอ่านครับ  สนุกเชียว จากคุณ : เฒ่า - [ 5 ก.ค. 52 21:04:28 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขำ ตลก ฮา มาก อ่านถึงแค่ที่บอกว่าเอาแผนที่โลกมาต่อกันแล้วจะได้โลกเป็นครึ่งๆ แหว่งๆๆ อยากจะหัวเราะให้ตายเถอะ คนเขียนหนังสือ...และคนที่(โง่)เชื่อมันคงไม่ทันได้คิด เห็นว่ามีข้อมูลอะไรที่น่าสน แปลก และตรงกับปัจจุบันก็เชื่อตามเขาไป ไม่คิด ตลกครับ ไม่อ่านต่อหรอกเพราะผมไม่โง่เชื่อตาม แต่ก็ขอบคุณ จขกท ครับที่นำบทความมาสร้างกระแส ปล.ไม่เข้าใจคนเรานี้(หมายถึงมนุษย์โลก)จะอยากรู้อยากเห็น ไอ้โลกแตกนี้ไปเพื่ออะไรกัน ผมเข้าใจนะว่ามันต้องมีซักวันที่จะถึงวันสิ้นสุดของโลกใบนี้ แต่คงไม่ใช่อะไรทำนองดาวเคราะห์ดาวหางยักษ์พุงชนแน่ๆ เชื่อเถอะ น่าจะเป็นการกระทำของมนุษย์มากกว่า เอาง่ายๆ แค่เรื่องภาวะโลกร้อน รับมือให้ได้ก่อนเถอะ ที่จะไปคิดเรื่องโลกแตกด้วยวิธีอื่นๆ ชั่งสร้่างเรื่องจริง 555 จากคุณ : ผมมองโลกในแง่ร้าย - [ 5 ก.ค. 52 23:39:36 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ^ ^ หึหึหึ พ่อคนฉลาด จากคุณ : AUDAC!TY - [ 6 ก.ค. 52 12:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ^ ^ ^ คนคิดเช่นนี้มั้งตอนที่ กาลิเลโอ บอกว่าโลกกลม จากคุณ : ข้าคือคนไทย - [ 9 ก.ค. 52 15:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ~ ~ ~ Mr.Terran ~ ~ ~ - โทรจิตติดต่อต่างดาว เทพนม เมืองแมน ( ร่วมด้วย =Por= ) ( โปรดใช้วิจารณญาณเป็นพิเศษ ) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/07/X8073652/X8073652.html - ข้อมูลจริงของ Planet X ( ร่วมด้วย PUFF , Iron-Spider ตอบบัตรผ่าน ) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X8027313/X8027313.html - ระเบิดปริศนาป่าตุนกุสกี้ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X8029829/X8029829.html - สายลับพลังจิต http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X7962034/X7962034.html - หมอต่างดาว + ทฤษฎีโลกกลวง + มนุษย์ต่างดาวอยู่ใกล้เรา ( โปรดใช้วิจารณญาณเป็นพิเศษ ) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7649184/X7649184.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7710536/X7710536.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X7972627/X7972627.html - สัตว์ประหลาด เป็นแค่ภาพลวงหลอกตา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7873893/X7873893.html - ประวัติศาสตร์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า + ทะเลปิศาจแห่งมาดากัสการ์ + 5ทะเลสาบใหญ่ของอเมริกา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7838273/X7838273.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7917687/X7917687.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X8020194/X8020194.html - จานบินในมุมมองของอาเธอร์ ซี. คลาร์ก + Aliens Project + อุบัติการณ์จานบินตก Roswell http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7797557/X7797557.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7814795/X7814795.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7855126/X7855126.html - วบกอมวิทยาเบื้องต้น An Introduction to Flying Saucers + Life of the Universe http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7716506/X7716506.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7792460/X7792460.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7825624/X7825624.html - เอเลี่ยนที่บราซิล + นักบินอวกาศปะทะจานบิน + ปริศนาใต้หลังคาโลก + กระโหลกต่างดาว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7642825/X7642825.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7656852/X7656852.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7689994/X7689994.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7698905/X7698905.html - ฐานทัพใต้มหาสมุทร http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7616327/X7616327.html - ข้อหักล้างเรื่องมนุษย์ต่างดาว โดย วินทร์ เลียววาริณ และ ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7601269/X7601269.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7604128/X7604128.html - องค์กรลับยึดโลก http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7535043/X7535043.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7870240/Y7870240.html - แผนสํารวจต่างดาว + เทคโนโลยีจานบินกับสงครามอวกาศ + สงครามเหิรเวหาเหนือน่านฟ้าแอลเอ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7463445/X7463445.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7483405/X7483405.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7610782/X7610782.html - โครงการลับออโรร่า http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7434470/X7434470.html - บันทึกลับจานบิน + จดหมายถึงโลก + UFO Terminology http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7413249/X7413249.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7556844/X7556844.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7582554/X7582554.html - เผ่าพันธุ์เอเลี่ยน + UFO view sight + โดเวอร์ + มอธแมน + ชูปราคาบรา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7364645/X7364645.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7380914/X7380914.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7383362/X7383362.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7385424/X7385424.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7388054/X7388054.html - Atlantis http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7274200/X7274200.html - 6 วิชาเหลือเชื่อที่สอนจริงในมหาวิทยาลัย http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7260267/X7260267.html - คำทำนายมายัน 2012 วันสิ้นโลก http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/11/A7230718/A7230718.html - สัตว์โลกอีก 50 ล้านปีข้างหน้า http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7216733/X7216733.html - ตุ๊กตาผีสิง + เพชรโฮป + รัสปูติน http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/10/X7158455/X7158455.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7187005/X7187005.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7183978/X7183978.html - Lockness http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/10/X7148240/X7148240.html - ภูมิประเทศแปลกบนดาวอังคาร http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6905732/X6905732.html - ปริศนาของโบราณไฮเทค เหลือไว้ให้ชาวโลก + วิทยาศาสตร์ล้ำยุค http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6883653/X6883653.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/09/X6950732/X6950732.html - Crop circles + วงกลมปริศนา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6873637/X6873637.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7515215/X7515215.html - หยินหยางกับ UFO + ติดต่อมนุษย์ต่างดาวผ่านคนทรง + UFO กับการหาคําตอบ + เมื่อนักดาราศาสตร์หามนุษย์ต่างดาว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6881061/X6881061.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6894490/X6894490.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/09/X7011876/X7011876.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/09/X7030440/X7030440.html - Majestic12 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6861294/X6861294.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6869844/X6869844.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7510797/X7510797.html - Area 51 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6831305/X6831305.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/01/X7459614/X7459614.html - โทรจิตกับมนุษย์ต่างดาว + ศูนย์ปฏิบัติการลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว + จานบินในประเทศไทย + ใครชําแหละวัว + สืบเนื่องจากรอสเวลล์ + จดหมายจากต่างดาว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/08/X5694162/X5694162.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6757500/X6757500.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6833709/X6833709.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6837037/X6837037.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6846346/X6846346.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6850283/X6850283.html - สัตว์ลึกลับใด มีหลักฐานดีสุด ( ตอบบัตรผ่าน ) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6839487/X6839487.html - Natural Warfare อาวุธสิ่งแวดล้อม http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/07/X6815328/X6815328.html - แผนที่โลกอนาคตเมื่อ โลกร้อน ประเทศไหนน่าอยู่ที่สุด ( ตอบ bluewings ) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/10/X5960199/X5960199.html จากคุณ : Prof.Sirius - [ 16 ก.ค. 52 01:18:50 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ได้ความรู้มาเพรียบเรยครับ รู้สึกดีจังเลยที่ หลายท่านในนี้มีวิจารณญาณ และมีเหตุมีผลที่วิเคราะห์กันต่างๆ นานา และขอบคุณ Prof.Sirius ด้วยครับ ที่รวบรวมลิ้งๆ ต่างๆที่น่าสนใจ ว่าจะทำ forword mail กระทู้นี้ซะหน่อยครับ เพราะผมได้อ่านข้อมูลต่างๆ เริ่มจาก ค้นหากูเกิ้ล -คำทำนายโลก -พลังจิต กสิน มโนมยิทธิ ดูดวง สะพานเจ็ดดาว -คร็อบเซอร์เคิ้ล -ยูเอฟโอ -เพลนเน็ต-เอ็กซ์ และอื่นๆ มาจน ถึงกระทู้นี้ก็ แทบจะมีคำตอบของทุกสรรพสิ่งที่มันเกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้งเรื่องราวศาสนา และวิทยาศาสตร์มาผสมปนเปกันจนงงไปหมด เจอกระทู้นี้อันเดียวแทบจะตอบโจทย์ได้หมดเลยครับ ยังงัยจะทำ forword mail ให้เป็นวิทยาทานกันคนอื่นที่มองด้านเดียวด้วยครับ *ป.ล. คิดเล่นๆ ถ้าคำทำนายต่างๆ เกิดจากคนในอดีตมองผ่านไปเจอจอหนัง ปี2009 คงเป็นเรื่องดี? เรามองหลายๆ ด้านมันทำให้รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ไปอีกนานเลยครับ จากคุณ : CG (Headskru) - [ 17 ก.ค. 52 20:20:09 ]