"อาจารย์ติวชื่อดังในฮ่องกงล้วนเป็นเศรษฐีพันล้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่ถูกกระทบแม้เท่ารอยแมวข่วน"
"อาจารย์ท๊อป 20 คน ในวงการติวนี้ แต่ละคนมีรายได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญฮ่องกง (44 ล้านบาท) ต่อเดือน แต่ละคนขับรถหรู มีบ้านใหญ่โต และแต่ละคนแต่งตัว แต่งหน้าทำผมกันราวกับเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นฝรั่ง"
"หากเข้าสถาบันดังได้ก็จะสบายไปตลอดชีวิตเพราะเครือข่ายโอลด์บอยด์มันจะช่วยกัน ซึ่งที่เป็นดังนี้ก็เพราะสังคมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในระบบที่ผู้คนได้ดีเพราะความสามารถอย่างแท้จริง"
"ถูกกดดันให้ไปเรียนพิเศษกับครูและที่ร้ายกว่านั้นก็คือครูออกข้อสอบจากสิ่งที่สอนในการเรียนพิเศษ"
"ปรากฏการณ์เรียนติวพิเศษถือได้ว่าซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวยิ่งขึ้น"
------------------------------------------------------------------------------
บ้านอื่นก็บ้าเรียนพิเศษ
อาหารสมอง วีรกร ตรีเศศ Varakorn@dpu.ac.th มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 29 ฉบับที่ 1506
การบ้าคลั่งเรียนพิเศษของนักเรียนมิได้มีแต่เฉพาะในบ้านเราเท่านั้น ในฮ่องกงและ เกาหลีใต้ก็มีเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อกว่าเป็นอันมาก
อาจารย์ติวชื่อดังในฮ่องกงล้วนเป็นเศรษฐีพันล้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่ถูกกระทบแม้เท่ารอยแมวข่วน หน้าตาของอาจารย์เหล่านี้จะปรากฏอยู่บนแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ริมถนน อยู่ข้างรถเมล์ ข้างรถแท็กซี่ ไม่ต่างไปจากดาราทีวีหรือโทรทัศน์แต่อย่างใด
ลองดูตัวเลขกันก่อน สื่อฮ่องกงรายงานว่าอาจารย์ท๊อป 20 คน ในวงการติวนี้ แต่ละคนมีรายได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญฮ่องกง (44 ล้านบาท) ต่อเดือน แต่ละคนขับรถหรู มีบ้านใหญ่โต และแต่ละคนแต่งตัว แต่งหน้าทำผมกันราวกับเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นฝรั่ง
เด็กฮ่องกงราว 300,000 คน ทั้งในชั้นประถมและมัธยมเข้าโรงเรียนติว โดยจ่ายเงิน ค่าเรียนประมาณคนละ 1,000 เหรียญฮ่องกง (4,400 บาท) ต่อเดือน จนทำให้ธุรกิจนี้มีขนาดใหญ่โตถึง 3,600 ล้านเหรียญฮ่องกง (15,840 ล้านบาท) ต่อปี
เพื่อรับมือกับความต้องการของเด็กที่มีมากมาย โรงเรียนติวกว่า 800 แห่งแข่งขันกันแย่งชิงเด็ก ในจำนวนนี้มีอยู่ 4 โรงเรียนใหญ่ที่มีสาขาอยู่รอบเกาะและบนฝั่งเกาลูน และเพื่อให้ได้เด็กมาเรียนครูจึงต้องไม่ธรรมดา ต้องเก่งทั้งเรื่องการพูดโน้มน้าว วิธีการสอน เนื้อหาการสอน กลยุทธ์ในการตอบข้อสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าตาและการแต่งกาย
ครูสุดดังของโรงเรียนติวพิเศษใหญ่แห่งหนึ่งบอกว่าโรงเรียนติวก็เหมือนกับโมเดิลลิ่ง เอเยนซี่ และครูผู้สอนก็เหมือนกับนักแสดงที่ต้องทำให้คนดูคือเด็กพอใจ ถึงแม้ค่าดูการแสดงจะแพงไม่น้อย แต่พ่อแม่ก็ยินดีจ่ายเพื่อให้ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนชั้นดี (ร้อยละ 50 ของเด็กประถม และร้อยละ 70 ของเด็กมัธยมปลายเรียนโรงเรียนพิเศษ) เพื่อว่าต่อไปจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้
ฮ่องกงว่าบ้าคลั่งพอควรแล้ว แต่เกาหลีใต้นั้นไปสุดโต่งกว่าเพราะมีจำนวนนักเรียนมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ในทศวรรษ 1990 Son Joo-eun เป็นเจ้าของโรงเรียนติวสำหรับลูกคนรวยให้เข้ามหาวิทยาลัยดัง วันหนึ่งก็เกิดแรงบันดาลใจว่าน่าจะช่วยลูกคนจนด้วย โครงการสอนติวแบบ on-line (อินเตอร์เน็ตในเกาหลีใต้นั้นสุดยอดทั้งความเร็วและความนิยมของประชาชนในทุกเรื่องตั้งแต่ดูทีวี ช้อปปิ้ง เรียนหนังสือ ค้นคว้า หาคู่ หาความสนุกสนาน เล่นการพนัน ฯลฯ) จึงเกิดขึ้น
Megastudy.net บริการติว on-line ของ Son Joo-eun เกิดขึ้นในปี 2000 และโดนใจคนเกาหลีที่บ้าปริญญากับอินเตอร์เน็ต อีกทั้งรายได้ของคนหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใด ดังนั้น พ่อแม่จึงโดดลงมาเล่นเพื่อให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยตามที่หวังได้ บริษัทนี้ในเวลาไม่กี่ปีก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางติว on-line ปีหนึ่งเขามีรายได้ถึง 720 ล้านวอน (22 ล้านบาท)
Megastudy มีเด็กนักเรียนมัธยมปลาย 2.8 ล้านคน เป็นลูกค้า (เท่ากับประมาณครึ่งหนึ่งของนักเรียนมัธยมปลายทั้งประเทศ) เด็กเหล่านี้ได้เรียนกับครูติวชั้นยอดที่สรรหามาสอนโดยค่าเรียน แต่ละวิชาก็ถูกกว่าเรียนที่โรงเรียนจริงหลายเท่า (ถึงแม้ในที่สุดสำหรับบางคนอาจต้องจ่ายมากกว่าไปเรียนที่โรงเรียน เพราะวิชาหนึ่งถูกทอนลงไปเป็นหลายวิชาย่อยเพื่อสร้างรายได้)
ในเกาหลีใต้ เด็ก 8 ใน 10 คนของชั้นประถมและมัธยมเรียนโรงเรียนติว ทั้ง on-line และไปโรงเรียนจริง ค่าใช้จ่ายการศึกษาในส่วนที่พ่อแม่ต้องจ่ายเองนั้นสูงมาก ในแต่ละปีรัฐบาลใช้งบประมาณสำหรับการศึกษาประมาณ 55 ล้านๆ วอน แต่พ่อแม่ต้องจ่ายเองอีกประมาณ 20 ล้านๆ วอน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ทำให้ครอบครัวที่มีฐานะได้เปรียบเหนือครอบครัวอื่นเป็นอันมาก เนื่องจากโรงเรียนติวได้ผล (ไม่ได้ผลจริงใครจะไปเรียนกันขนาดนี้) จนคนเกาหลีบอกว่าในปัจจุบัน "มังกรขึ้นมาจากท่อน้ำทิ้ง" นั้นอย่าไปหาเลย มันไม่มีอีกแล้ว
Megastudy เก็บค่าเรียนเฉลี่ย 40,000-50,000 วอน (1,200-1,500 บาท) ต่อวิชา on-line ซึ่งมีอยู่นับพันๆ วิชาให้เลือก (โรงเรียนติวจริงแพงกว่านี้ประมาณ 5 เท่าตัว หรือประมาณ 200,000-250,000 วอน หรือ 6,000-7,500 บาทต่อวิชา)
คนเกาหลีใต้บ่นกันมากเรื่องข้อเสียเปรียบของครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย ไม่มีเงินให้ลูกไปเรียนพิเศษได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงจัดตั้งโครงการ EBS หรือติว on-line แบบฟรีให้ แต่นักเรียนก็ไม่ชอบ บอกว่าสู้ของเสียเงินไม่ได้ (เพราะไม่ได้จ่ายเงินเอง) เด็กบอกว่าโรงเรียนสอนพิเศษเอกชนเจ๋งกว่ามาก
ที่เด็กบอกอย่างนี้ก็ด้วยเหตุผลคล้ายกับเด็กฮ่องกงคือ ครูหน้าตาดี แต่งผมใส่เสื้อผ้าสวยงามราวกับเป็นดารา เด็กบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าครูที่น่าเบื่อเหมือนที่โรงเรียนอีก และอีกทั้งทำให้สอบเข้าเรียนในสถานศึกษามีชื่อเสียงได้ดังประสงค์อีกด้วย
เหตุใดโรงเรียนติวจึงรุ่งเรืองในเอเชีย (ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จีน ฯลฯ ก็อยู่ในสถานะเดียวกัน)? คำตอบก็อาจเป็นว่า (ก) พ่อแม่และตัวเด็กบ้าสถาบัน เนื่องจากความรู้สึกและความจริงที่ว่าหากเข้าสถาบันดังได้ก็จะสบายไปตลอดชีวิตเพราะเครือข่ายโอลด์บอยด์มันจะช่วยกัน ซึ่งที่เป็นดังนี้ก็เพราะสังคมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในระบบที่ผู้คนได้ดีเพราะความสามารถอย่างแท้จริง (ข) การออกข้อสอบ ดังเช่นปรนัยเปิดช่องให้กลยุทธ์ของการตอบข้อสอบมีบทบาทสำคัญต่อการได้คะแนน โรงเรียนติวเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าจึงให้คำแนะนำที่ได้ผล (ค) เด็กเรียนพิเศษตามๆ กันไปเพราะหากไม่ไปเรียนก็จะรู้สึกว่าตัวเองตามเพื่อนไม่ทัน เพื่อนรู้ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้และอาจสอบเข้าไม่ได้ (ง) ในบางโรงเรียนเป็นหนทางหาเงินพิเศษของครู เด็กถูกกดดันให้ไปเรียนพิเศษกับครูและที่ร้ายกว่านั้นก็คือครูออกข้อสอบจากสิ่งที่สอนในการเรียนพิเศษ
ปรากฏการณ์เรียนติวพิเศษถือได้ว่าซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวยิ่งขึ้น ครอบครัวที่มีเงินสามารถให้ลูกเรียนโรงเรียนติวที่ได้ผลก็จะยิ่งได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น เด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนก็จะสอบเข้าไม่ได้ดังประสงค์ ไม่สามารถ "ยก" ตนเองและครอบครัวขึ้นมาได้เลย
สำหรับประเทศไทยอย่านึกว่าโรงเรียนติวพิเศษมีเฉพาะที่สยามแควร์ และศูนย์การค้าใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ เท่านั้น อยากบอกว่ามันมีเกือบทุกจังหวัด เวลาปิดเทอมใหญ่และเล็ก เด็กจากอำเภอรอบนอกจะมาเช่าบ้านหรืออยู่กับญาติเพื่อเรียนโรงเรียนติวเพื่อให้สอบเข้าโรงเรียนใหญ่ประจำจังหวัดหรือเข้ามหาวิทยาลัยในภูมิภาคดังๆ หรือในกรุงเทพฯ ได้ แม้แต่ในอำเภอใหญ่ๆ บางแห่งก็มีเด็กจากตำบลรอบนอกมาเข้าโรงเรียนติวพิเศษเช่นเดียวกัน
ตราบที่การสอนที่โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างตรงใจและอย่างได้ผล และตราบที่การออกข้อสอบยังเปิดช่องให้ประโยชน์แก่ผู้รู้จักกลยุทธ์ของการตอบข้อสอบแล้ว ตราบนั้นก็จะมีโรงเรียนติวพิเศษเสมอเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้มีโอกาสจ่ายเงิน
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q2/2009june26p6.htm
จากคุณ :
แกะดำ
- [
3 ก.ค. 52 15:57:05
A:118.172.92.125 X: TicketID:219728
]