ความคิดเห็นที่ 1   ได้ครับ( เกตต์ /บัฟเฟต ไม่นับถือศาสนาครับ - และเป็นเจ้าของสถิติบริจาคมากสุดในโลกในปัจจุบัน) คนเราทำดีเพื่อตัวเอง เพื่อสังคมได้ครับ และสังคมดำรงด้วยกฏหมายโดยไม่จำเป็นต้ิองมีศาสนาได้ แต่การไม่มีศาสนาบนโลก ผมยังนึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 22:55:09

ความคิดเห็นที่ 2   มีหรือไม่มีศาสนา คิดว่าโลกยังคงเป็นเช่นเดิมค่ะ... เพราะคนที่ไม่นับถือศาสนาเลย แต่เป็นคนดีก็มีมากค่ะ... หลายๆประเทศ แม้จะมี "ศาสนา" ประจำชาติ แต่คนไม่มี "ศาสนา" มีแค่ "ลัทธิ" ส่วนคนที่บอกว่าตัวเองมีศาสนา มากมาย... *ทำบุญ นุ่งขาวห่มขาว แต่เบียดเบียนคนอื่น *บ้างก็บอกว่าเป็นคริสเตียนที่ดี แต่เล่นชู้?? อันนี้ทางคริสต์ถือว่าแย่มากๆ *อิสลาม โอเค คุณบอกว่าฆ่าคนชั่วไม่บาป แต่คุณกลับฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีคำถามกลับว่า สามคนด้านบน จะเรียกว่ามีความเชื่อทางศาสนาได้หรือไม่คะ?? จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:02:58

ความคิดเห็นที่ 3   ผมเชื่อว่าได้ ยิ่งในยุคคลื่นลูกที่4-5 อะไรๆก็เปลี่ยนไปเยอะแล้ว วัฒนธรรมโลกยังมีขึ้นได้ อีกสักพักมันจะเกิด เพราะคำสอนทุกศาสนานั้นไปทางเดียวกันอยู่แล้ว แก่นแท้ ยังไงมันก็คงอยู่ จากคุณ : i.everyday เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:06:26

ความคิดเห็นที่ 4   ทุกวันนี้เรา นึกถึงความ เชื่อพวกนี้ตอนไหน แค่ตอนเรากลัวผี ตอนเรา อยากเข้าทำงาน หรือเรียน ตามทีต้องการ นอกจากนั้น ก็คือตอนที่เราเกิดคำว่า สงสารแล้ว ทำอะไรต่างๆ เพื่อเอาบุญ ตามความคิดผมก็คงได้เพราะมันก็คงอยุ่โดยไม่มีได้ ทุกวันนี้ เราคนไทยส่วนใหญ่เกิดมาก็นับถือตามพ่อแม่ โดยที่ไม่ค่อยได้มีใครเปลี่ยนเท่าไรตอนโต จากคุณ : Napoleonic เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:09:56

ความคิดเห็นที่ 5   อืม งั้นผมขอถามต่อนะครับว่า หากเป็นตามที่ คห1. และ 2 ว่าไว้ คือมนุษย์เป็นคนดีได้โดยไม่ต้องมีแรงจูงใจด้านศาสนา แล้ว เค้าเหล่านั้นจะใช้แรงจูงในใดในการทำความดีครับ? ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนทำอะไรก็ตามก็ด้วยแรงขับดัน หรือ แรงจูงใจที่มีที่มาที่ไป เช่น มนุษย์เราสืบพันธุ์ กินอาหาร ด้วยแรงขับดันของ อิด (Id) มนุษย์เราทำความดี เสียสละเพื่อชาติ ด้วยแรงขับดันจาก ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นต้น ผมคิดว่าถ้าคนเราไม่นับถือศาสนาแล้ว การยกย่องใครว่าเป็นคนดีก็จะไม่มีด้วยเช่นกัน เพราะตามหลักจิตวิทยาศาสตร์นั้น คนเราทำความดีโดยมีแรงขับดันจาก Superego ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่มาจากความเชื่อต่างๆที่คนคนนั้นโดนหล่อหลอม และ เสี้ยมสอนมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นถ้าไม่มีศาสนาก็น่าจะไม่มี Superego ด้านการเป็นคนดี การเอื้อเฟื้อ การไม่เบียดเบียนใคร จริงไหมครับ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว มนุษย์เราจะยังทำความดีกันด้วยแรงจูงใจด้านไหนครับ? จากคุณ : คนเบอร์เก้า เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:12:20

ความคิดเห็นที่ 6   จาก #5 งั้นแสดงว่า "ศาสนาไม่ได้สอนให้คนทำดี แต่คนยอมทำดีเพื่อศาสนา" ผมสรุปให้ตามนี้ พอได้ไหมครับ จากคุณ : taechawat เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:20:14

ความคิดเห็นที่ 7   /\ คห5 ความดีไม่ได้เกิดขึ้นเพราะศาสนานะครับ ความดีมีอยู่แล้ว แต่สถานะการณ์ สภาพสังคมจะกำหนดมันอีกทีหนึ่ง ศาสนาแค่อธิบายว่าอะไรดี-ไม่ดี ไม่ใช่ว่าศาสนาเป็นผู้จัดตั้งความดีขึ้น แรงขับเกิดจากธรรมชาติครับ คนเราจะทำสิ่งที่คนอื่นชอบ เราตบเขา เขาไม่ชอบ เรายิ้มให้เขา เขาก็ชอบ ไม่ใช่ว่าพอไม่มีศาสนา คนที่ถูกตบจะสงสัยว่านั้นมันดีต่อเขารึเปล่า(ขอเปิดคัมภีร์ก่อน) แต่ศาสนาเป็นสิ่งที่คนตั้งขึ้นมา แน่นอนด้วยความจำเป็นของอดีต ในยุคที่เราไม่รู้อะไร แต่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้นแล้ว ศาสนาเป็นเหมือนคราบที่ถูกลอกออกได้ ผมไม่เคยได้ยินนะครับ ว่ามีแรงขับศาสนาด้วย แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 52 23:26:42 จากคุณ : i.everyday เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:26:23

ความคิดเห็นที่ 9   ฟัง Imagine มาหรือ? เป็นไปได้ แต่ยากครับ เอาเหอะ.... จากคุณ : ไฟแดงลิซึม เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:39:23

ความคิดเห็นที่ 10   ถามต่อ คห.7 แปลว่าทุกวันนี้ที่มนุษย์เรานั้น ไม่ทำร้ายกัน มีน้ำใจต่อกัน ช่วยเหลือกันนั้นเกิดจากแรงจูงในด้าน "การอยากเป็นที่ยอมรับ" (คนอื่นยอมรับเรา เพราะเราทำให้เขาชื่นชอบ)  มากกว่า เป็นเรื่องของความเชื่อด้านศาสนา ใช่ไหมครับ? จากคุณ : คนเบอร์เก้า เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:39:35

ความคิดเห็นที่ 11   ศาสนา การเมือง การปกครอง เกี่ยวพันกัน คนปกครองคน อาจต้องล้างระบบเก่าก่อน แล้วนับหนึ่งใหม่ คนมีอำนาจ ไม่ยอมเสียอำนาจง่ายๆหรอกครับ เช่น บางองค์กร อยู่ได้ ต้องมีคนศรัทธา หรือ พลังงานยุคนี้ยังพึ่งไฮโรคาร์บอน กลุ่มอำนาจในโลก ถือครองอยู่ วิทยาศาตร์ คงต้องรอ จนเทคโนโลยี ก้าวหน้า ถึงจุดหนึ่ง ทุกคนจะมาถึงจุดเสมอภาคกัน แต่คงอีกนาน โลกที่ไม่มีศาสนา มีแต่วิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมาย ของสิ่งมีชีวิตคืออะไร ถ้าวิทยาศาสตร์ตอบได้หมด ศาสนาคงไม่ต้องมี จากคุณ : mm เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 23:58:38 A:222.123.187.84 X: TicketID:207667

ความคิดเห็นที่ 12   ผมว่าคนส่วนใหญ่ที่เค้าทำความดี เค้าไม่ได้ทำเพื่อให้ได้ขึ้นสวรรค์หรอก แต่เพื่อต้องการให้สิ่งดีๆกลับมาหาตัวเองบ้างต่างหาก จากคุณ : คนมันเซ็ง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 00:01:45

ความคิดเห็นที่ 13   อ่านกระทู้นี้แล้วอยากเล่นเกมแนว Civilization อีกแฮะ ไม่รู้ทำไม จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 00:03:05

ความคิดเห็นที่ 14   ทำความดี เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข ...แล้วตัวเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย ทำความดี เพราะรู้สึกเห็นใจผู้อื่น (ถ้าเราเป็นแบบนั้นบ้าง...คงอยากให้ผู้อื่นทำแบบนี้) ถ้าศาสนาไม่มีความเชื่อ แค่บอกว่า ทำความดีอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าทำแล้วอะไร กับที่บอกว่าได้ขึ้นสวรรค์ คนรัก ชื่นชม (ทั้งๆที่อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น) แรงจูงใจมันต่างกันอะ ปล.สรุป...ขึ้นอยู่กับคน บางคนก็ทำดีโดยไม่ได้ยึดถือศาสนา แต่บางคนยึดถือศาสนาแต่ก็ทำไม่ดี(???) จากคุณ : ;) (rrltai^^) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 00:10:00

ความคิดเห็นที่ 15   ศาสนาจริงๆ แล้วก็คือเครื่องมืออย่างนึงเท่านั้นที่ช่วยสอนให้คนเป็นคนดี คุณธรรม  ความดี  เป็นสิ่งสากลอยู่แล้วครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใดๆ สิ่งที่กำหนดและควบคุมสังคมให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและสงบสุข คือ กฎหมายต่างหากครับ   ลองคิดดูก็ได้ครับ  สังคมไหนมีกฎหมายแต่ไม่มีศาสนา  ก็ยังอยู่กันได้                        แต่ถ้ามีศาสนาแต่ไม่มีกฎหมายเนี่ย  วุ่นวายแน่ครับ ผมทำความดีไม่ใช่เพราะอยากขึ้นสวรรค์หรอกครับ  ทำเพราะสามัญสำนึกมันบอกว่าต้องทำต่างหาก วันไหนทำชั่วขึ้นมา  ความรู้สึกในใจมันจะบอกให้ละอายเอง จากคุณ : deepthink เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 00:36:50

ความคิดเห็นที่ 16   ถ้าไม่มีศาสนา ก็ได้ครับ  สมมติว่าเราเอาศาสนาออกไปจากสมการโลก ไม่มีข้อห้ามทางศาสนา ไม่มีสิ่งที่จะบ่งชี้ว่าอะไรดีอะไรเลวนอกจากบาทวิถีของสังคม ไม่มีการขัดแย้งกันระหว่างหลายๆศาสนา ผมมองก็ว่าดีนะครับ  แต่ก่อนอื่นคุณต้องทำบาทวิถีของสังคม ให้เป็น บาทวิถีของโลกซะก่อน ไม่งั้นบางสังคมที่ชอบกินคนบอกว่า อีกสังคมบอกว่าทำไม่ได้ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก 1 world 1 Rules  = New world order นี่คือสิ่งที่ทุกคนปราถนาแต่ทำไม่ได้เพราะต่างคนต่างไม่ยอมละทิฐิซึ่งกันและกัน ก็ต้องรบกัน ล้างไพ่กันใหม่หมด เลียนแบบ จิ๋นซีฮ่องเต้ เอาตำราไปเผาทิ้ง ทำทุกอย่างอยู่ที่แกนกลาง มีระบบตัวอักษรใหม่ ระบบเงินใหม่ แต่ท้ายที่สุดก็ไปไม่รอด เพราะทุกคนต่างก็มีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นของตัวเอง ก็ชิงกันเป็นใหญ่ ส่วน ที่ถามว่าอะไรคือแรงขับให้ทำความดี ต้องดูครับว่า ชนชั้นไหนที่จำเป้นต้องทำความดี คนรวย นักการเมือง ชนชั้นปกครอง พ่อค้า ชาวบ้าน อื่นๆ อาจทำเพื่อให้สังคมยอมรับส่วนหนึ่ง อาจทำเพื่อไถ่ถอนความผิดในใจก็ได้ ทำเพื่อให้คนยอมรับว่าร้านนี้ซื่อสัตย์ค้าขายไว้ใจได้ รึว่าคนๆนี้คบได้ ไว้วางใจได้ ถ้ามีแรงขับก็แปลว่า ต้องการของตอบแทนในทางกลับกัน บางคนทำเพื่อผู้อื่น ไม่หวังผลตอบแทน คนเหล่านี้ทำไปเพื่ออะไร  อุดมการณ์  ใจรัก ทำแล้วสนุก เป็นสุขใจ  จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ตอบรับกลับมาทำให้อิ่มอกอิ่มใจ นี่คือ การตอบแทนในอีกรูปแบบที่ไม่มีแรงขับจากความโลภและการยอมรับแต่จากตนเองล้วนๆ ในความคิดของผม ผมมองว่าการทำดีคือการหวังสิ่งตอบแทนในรูปแบบต่างๆกันขึ้นอยู่กับผู้ให้และสถานการณ์  ดังนั้นไม่จำเป้นต้องมีศาสนามากำกับก็ได้ แต่ถ้ากำกับได้ก็เป็นแรงเสริมครับ เช่น กลัวการตกนรก อยากขึ้นสวรรค์  เหมือน โบนัสในการทำดี .... ใครบ้างทำงานแล้วไม่หวังโบนัส? จากคุณ : CitizenShip เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 00:43:36

ความคิดเห็นที่ 17   คำถามน่าสนใจ จากคุณ : tunnie555 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 00:46:29

ความคิดเห็นที่ 18   สังคมมนุษย์ ไม่มีดำ มีขาว หรอกครับ มีแต่เทาเยอะแยะ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 01:04:36

ความคิดเห็นที่ 19   แนะนำให้หาหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน นีทเช่ : คือพจนาซาราทุสตรา (Nietzsche) / Thus Spoke Zarathustra ... ขอยกมาความนึงที่ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง "ไม่ใช่บาปหรอกที่ทำให้ท่านร่ำร้องหาสวรรค์ แต่เป็นความเห็นแก่ได้ต่างหาก ความเห็นแก่ได้ที่มีอยู่แม้ในบาปของท่านเองที่ร่ำร้องหาสวรรค์" ปล. ผมก็ไม่นับถือศาสนา แต่ผมไม่เห้นจะเป็นดั่ง คห.8 ส่วนตัวผมว่าศาสนาก็เป็นแค่ที่พึ่งทางจิตใจ คนที่จิตใจเข้มแจ็งไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ ปล. อีกนิด ผมว่าจริงๆศาสนาเป็นเครื่องมือควบคุมคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมาเลยนะ จากคุณ : ร้อยวลี เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 01:05:29

ความคิดเห็นที่ 20   ผมว่าจริงๆศาสนาเป็นเครื่องมือควบคุมคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมาเลยนะ ^ ^ ผมชอบประโยคนี้จัง จากคุณ : ZGMF-X10A เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 01:22:37

ความคิดเห็นที่ 21   ต่อให้ไม่มีศาสนา มันก็หาเรื่องอื่นมาทะเลาะกันอยู่ดี ต่อให้เป็นสังคมวิทยาศาสตร์ล้วนก็เถอะ ประเทศแกผลิตการคาร์บอนมอนอกไซด์มากกว่าประเทศอื่น ดังนั้นเราจะบุกแกเพื่อหยุดโลกร้อน ประเทศลื้อมีน้ำมันแสนล้านตัน แต่ไม่ยอมแบ่งให้ทั้วถึง แถมตั้งราคาสุงกว่าราคาตลาด อั๊วะจะบุกประเทศลื้อ บทคนมันจะทะเลาะกัน มันหาข้ออ้างได้เสมอล่ะครับ ต่อให้ไม่มีศาสนา มันก็ยังมีเรื่อง"เชื้อชาติ"อยู่ดี ไอ้ชาวยิวมันบุกรุกแผ่นดินของชาวอาหรับเรา มันต้องตาย ไอ้พม่ามันเคยเข้ามาบุกกรุงศรีเรา ถล่มมันเลย คนขาวเข้ามาโขมยทรัพยากรของชาวแอฟริกาเรา ไล่มันออกไป แล้วมันก็ตีกันอีก ไอ้สงครามศาสนา สงครามครูเสด จริงๆแล้วมันเป้นแค่การนำศาสนามาอ้างเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น ในสงครามครูเสดยุคกลาง พวกคริสต์ที่ยกทัพไป ปากอ้างว่าทำเพื่อศาสนา แต่จริงๆแล้วหวังผลประโยชน์ หวังได้ครอบครองเมืองท่าเยรูซาเล็มอันมั่งคั่ง แถมด้วยเกียรติยศหากรบชนะ พวกอิสลามก็ทสงครามด้วยเหตุผลง่ายๆ "คนต่างชาติมาบุกรุกบ้านเรา ไล่มันไป" พระสันตะปาปาที่ประกาศครูเสด เพราะหวังผลทางการเมือง ต้องการสร้างบุญคุณกับอาณาจักรไบเซนไทน์ที่ถูกพวกเติร์กรุกรานอยู่ จริงๆทั้ง 2 ฝ่ายนั้น เหตุผลในการทำสงครามแทบไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย แค่ยกศาสนามาอ้างเท่านั้น ดังนั้นต่อให้มันไม่มีศาสนา มันก็หาเรื่องมาตีกันอยู่ดีแหละครับ ต่อให้ New World Order ทำได้จริง ก็ไม่สามารถกำจัด ความแตกต่างของเชื้อชาติ เศรษฐกิจ ชนชั้น อคติ ความละโมบ ของมนุษย์ไปได้ และตราบใดที่สิ่งเหล่านี้ยังอยู่ มนุษย์ก็จะยังตีกันเองอยู่ร่ำไป ตีกันมาตั้งแต่บรรพกาลแล้ว แม้แต่ศัตว์ป่า มันก็ตีกันเอง โดยที่มันไม่ได้นับถือศาสนาอะไร จากคุณ : ซามาโนสุเกะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 01:29:24

ความคิดเห็นที่ 22   ถึง คห.21 จริงๆผมเข้าใจว่า จะมีหรือไม่มีศาสนา มนุษย์เราก็ก่อสงครามด้วยเหตุผลและแรงจูงใจอื่นๆอยู่ดี เหมือนอย่างที่คุณเข้าใจแหละครับ แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือ หากไม่มีศาสนาแล้ว (หมายถึงมีแต่วิทยาศาสตร์) โลกของเราจะสงบสุขมากขึ้น หรือ สงบสุขน้อยลง นั่นคือความสงสัยที่เป็นประเด็นของกระทู้นี้ครับ จากคุณ : คนเบอร์เก้า เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 01:41:15

ความคิดเห็นที่ 23   ถ้าเอาแค่ โดยปราศจาก "ความเชื่อทางศาสนา" ล่ะก็นี่เลย.... แต่สุขหรือเปล่าไม่รู้ "Fear will keep the local systems in line. Fear of this battle station." - Grand Moff Wilhuff Tarkin อิอิ จากคุณ : DOS Shell เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 02:13:20

ความคิดเห็นที่ 24   ^ ^ ^ สำหรับผมมองว่า ศาสนาช่วยให้โลกสงบขึ้น นิดนึง เพราะมันมีอะไรมาคอยหักห้ามนิสัยและสันดานคนได้ระดับหนึ่ง ถึงแม้จะได้แค่นิดหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่มี ไอ้เรื่องนรกสวรรค์ บาปกรรมน่ะ ถึงแม้จะดูงมงาย แต่มันช่วยหักห้ามสันดานมนุษย์ได้ดีทีเดียว ลองดูพวกที่ฆ่าแกงฆ่าคนสิ พวกนี้เชื่อเรื่องบาปกรรมที่ใหน เขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวในการทำสิ่งเหล่านั้น เพราะกฏมหาย ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันมีช่องโหว่ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ ตามหลักสถิติ กฏหมายยังไงก็ต้องมีจับไม่ได้ มีลอยนวล ดังนั้นคนจึงยังกระทำตามสันดานของตนอยู่ ต่อให้วิทยาศาตร์ดีแค่ใหน วิทยาการตามจับผู้ร้ายดียังไง กฏหมายครอบคลุมแค่ใหน ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันสามารถหาช่องโหว่ได้เสมอแหละ ก็เหมือน คห.19 ศาสนาเป็นเครื่องควบคุมคนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ดีกว่ากฏหมาย หรือบทลงโทษทางการเมืองต่างๆเสียอีก มันคิดค้นขึ้นมาไม่ให้มนุษย์ทำอะไรตามสันดานเกินไป สมมุติว่าโลกนี้ไม่มีศาสนา ผมคาดว่าความรุนแรงจะยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม เพราะอย่างน้อย ศาสนายังคอยช่วยควบคุมสันดานของคนบางกลุ่มได้ หากไม่มีศาสนา คนเราก็สามารถกระทำเรื่องเลวร้ายได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ มนุษย์ที่นับถือศาสนา เวลาทำความผิดจะมีรู้สึกติดตะขวงในใจ สิ่งที่ศาสนาปลูกฝังมาคอยรั้งเหนี่ยวจิตใจไว้ ทำผิดก็จะรู้สึกหวาดกลัวบทลงโทษจาก"สิ่งศักดิ์สิทธิ"ทางศาสนาที่ไม่มีวันหนีพ้นตามที่ถูกสอนมา แต่ความเชื่อของศาสนา ปลูกฝังว่า กรรมจากการกระทำความผิดไม่มีทางหนีพ้น ความรู้สึกนี้จะมากน้อยขึ้นอยู่ว่าจะเชื่อในศาสนามากแค่ใหน เชื่อมากอาจมีจิตวิตก ไม่กล้าทำผิด ทำแล้วก็เกิดอาการหวากลัว เชื่อน้อยก็รู้สึกหวั่นๆนิดหน่อย ถ้าเกิดบาปกรรมมีจริงขึ้นมาจะทำยังไงดีนะ สำหรับผม ศาสนาเป็นมาตรการหนึ่งที่คอยห้ามสันดานของมนุษย์เอาไว้ครับ ถ้งแม้จะห้ามได้ไม่ดีนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย บางคนที่บอกว่า "ผมไม่นับถือศาสนา ไม่เห็นผมจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลย" คุณเอาตัวเองเป้นมาตรฐานไม่ได้หรอกครับ คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจต่างจากคุณนั้นมีอยู่ คนที่ถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากคุณนั้นมีอยู่ สำหรับคนบางประเภท ศาสนาอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉุดรั้งไม่ให้เขาทำความชั่วก็ได้ สมมุติถ้ามีแต่วิทยาสาสตร์ แน่นอนว่า ถ้าไตร่ตรองตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว การกระทำผิดนั้น มีโอกาสหนีรอดลอยนวลได้ ถึงแม้โอกาสนั้นจะน้อยเพียงใด แต่โอกาสนั้นยังมีอยู่ และคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมที่จะเสี่ยงกับโอกาสนั้น จากคุณ : ซามาโนสุเกะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 02:22:02

ความคิดเห็นที่ 25   ^ ^ ^ สำหรับผมมองว่า ศาสนาช่วยให้โลกสงบขึ้น นิดนึง เพราะมันมีอะไรมาคอยหักห้ามนิสัยและสันดานคนได้ระดับหนึ่ง ถึงแม้จะได้แค่นิดหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่มี ไอ้เรื่องนรกสวรรค์ บาปกรรมน่ะ ถึงแม้จะดูงมงาย แต่มันช่วยหักห้ามสันดานมนุษย์ได้ดีทีเดียว ลองดูพวกที่ฆ่าแกงฆ่าคนสิ พวกนี้เชื่อเรื่องบาปกรรมที่ใหน เขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวในการทำสิ่งเหล่านั้น เพราะกฏมหาย ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันมีช่องโหว่ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ ตามหลักสถิติ กฏหมายยังไงก็ต้องมีจับไม่ได้ มีลอยนวล ดังนั้นคนจึงยังกระทำตามสันดานของตนอยู่ ต่อให้วิทยาศาตร์ดีแค่ใหน วิทยาการตามจับผู้ร้ายดียังไง กฏหมายครอบคลุมแค่ใหน ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันสามารถหาช่องโหว่ได้เสมอแหละ ก็เหมือน คห.19 ศาสนาเป็นเครื่องควบคุมคนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ดีกว่ากฏหมาย หรือบทลงโทษทางการเมืองต่างๆเสียอีก มันคิดค้นขึ้นมาไม่ให้มนุษย์ทำอะไรตามสันดานเกินไป สมมุติว่าโลกนี้ไม่มีศาสนา ผมคาดว่าความรุนแรงจะยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม เพราะอย่างน้อย ศาสนายังคอยช่วยควบคุมสันดานของคนบางกลุ่มได้ หากไม่มีศาสนา คนเราก็สามารถกระทำเรื่องเลวร้ายได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ มนุษย์ที่นับถือศาสนา เวลาทำความผิดจะมีรู้สึกติดตะขวงในใจ สิ่งที่ศาสนาปลูกฝังมาคอยรั้งเหนี่ยวจิตใจไว้ ทำผิดก็จะรู้สึกหวาดกลัวบทลงโทษจาก"สิ่งศักดิ์สิทธิ"ทางศาสนาที่ไม่มีวันหนีพ้นตามที่ถูกสอนมา แต่ความเชื่อของศาสนา ปลูกฝังว่า กรรมจากการกระทำความผิดไม่มีทางหนีพ้น ความรู้สึกนี้จะมากน้อยขึ้นอยู่ว่าจะเชื่อในศาสนามากแค่ใหน เชื่อมากอาจมีจิตวิตก ไม่กล้าทำผิด ทำแล้วก็เกิดอาการหวากลัว เชื่อน้อยก็รู้สึกหวั่นๆนิดหน่อย ถ้าเกิดบาปกรรมมีจริงขึ้นมาจะทำยังไงดีนะ สำหรับผม ศาสนาเป็นมาตรการหนึ่งที่คอยห้ามสันดานของมนุษย์เอาไว้ครับ ถ้งแม้จะห้ามได้ไม่ดีนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย บางคนที่บอกว่า "ผมไม่นับถือศาสนา ไม่เห็นผมจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลย" คุณเอาตัวเองเป้นมาตรฐานไม่ได้หรอกครับ คนที่มีพื้นฐานทางจิตใจต่างจากคุณนั้นมีอยู่ คนที่ถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากคุณนั้นมีอยู่ สำหรับคนบางประเภท ศาสนาอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉุดรั้งไม่ให้เขาทำความชั่วก็ได้ สมมุติถ้ามีแต่วิทยาสาสตร์ แน่นอนว่า ถ้าไตร่ตรองตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว การกระทำผิดนั้น มีโอกาสหนีรอดลอยนวลได้ ถึงแม้โอกาสนั้นจะน้อยเพียงใด แต่โอกาสนั้นยังมีอยู่ และคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมที่จะเสี่ยงกับโอกาสนั้น จากคุณ : ซามาโนสุเกะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 02:22:17

ความคิดเห็นที่ 26   ถ้าถามคนไม่มีศาสนา  เค้าก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้อยู่แล้วครับ จขกท. ถ้าเค้าเลือกที่จะไม่มีศาสนา  หมายความว่าเค้าคิดแล้วว่า เค้าสามารถที่จะทำดีได้ด้วยหลักการของเขาเอง แต่ถ้าถามผม  ผมขอถามกลับว่า แล้วความดี  ความเอื้อเฟื้อ  ความมีน้ำใจที่พวกเค้าทำนั้น   ยึดจากหลักการอะไร   แค่หลักกฎหมายอย่างเดียวหรือ อย่าลืมนะครับว่า  กฎหมายไม่ได้บังคับให้คนทำความดี  มันแค่ควบคุมไม่ให้คนทำเลวเท่านั้น   คุณไม่จำเป็นต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   ช่วยเหลือใครก็ได้  กฎหมายไม่ลงโทษ ในขณะเดียวกัน  ต่อให้ทำเลว  ก็ใช่ว่ากฎหมายจะเอาผิดได้เสมอไป ผมก็รู้นะว่ามีบางคนที่ไม่มีศาสนา  แต่ก็ยังทำตัวดีกว่าคนมีศาสนา (บางคน) เสียอีก แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า  แล้วคุณทำความดีกันโดยยึดหลักอะไร  กม.อย่างเดียวก็ไม่น่าจะใช่แล้ว คุณก็ต้องเอาหลักปฎิบัติของศาสนามาใช้บ้างแหล่ะ จริงมั๊ย จากคุณ : คนตรงกลาง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 06:20:07

ความคิดเห็นที่ 27   คนตรงกลางครับ หลักนั้นคือEthics (จริยศาสตร์)ครับ ศาสนาเปรียบได้เหมือนกับ เครื่องมือสำเร็จรูปจากจริยศาสตร์ (กฏหมายก็ด้วย) คุณซามาโนสุเกะ การที่คนเรานั้นไม่กล้าทำเลว (เอาเข้าจริงๆ ดี-เลวนี้สังคมเป็นคนตัดสินนะ) ส่วนหนึ่งมาจากแรงกดดันของการอยู่เป็นกลุ่มครับ  ดังนั้นจิตใจไม่สูงมาก แต่แรงกดดัน (และบทลงโทษ) ก็จะช่วยตรงนี้ได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมยังต้องการการยอมรับจากสังคม และผลประโยชน์ของการอยู่เป็นสังคม (อยู่คนเดียวไม่มีทางทำได้ทุกอย่าง) เอาเข้าจริงๆจะเห็นว่าแรงกดดันทางสังคมมีอิทธิพลมากด้วยซ้ำ เช่น กินเหล้า(ผิดศีลข้อ 5)เพื่อเข้าสังคม หรือเดี๋ยวเพื่อนไม่รับเข้ากลุ่ม ดังนั้นผมมองว่า ถ้าอยู่ในกลุ่มที่ดี (ไม่ว่าฐานนั้นมาจากศาสนาหรืออย่างอื่น) ก็น่าจะโดนแรงกดดัน(และบทลงโทษ) ให้อยู่ในร่องในรอยด้วย ผมว่า ถ้าจะไม่ใช้ศาสนา สิ่งที่จะใช้ ไม่น่าจะเป็นวิทยาศาตร์ น่าจะเป็นจริยศาสตร์ครับ เพราะวิทยาศาสตร์แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับ Functions and Services ของศาสนา วิทยาศาสตร์อาจจะให้ความเข้าใจของการอยู่เป็นกลุ่ม (เช่น Group fitness) แต่การเอามาใช้ จะอยู่ในจริยศาสตร์ครับ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 52 06:46:09 จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 06:38:46

ความคิดเห็นที่ 28   อ๋อ ฝากถามนิดว่า เราใช้เกณฑ์อะไรมาบอกว่า "คนๆนั้นนับถือศาสนานั้นๆ" เช่น กระทำการอย่างหนึ่งไปเพราะคิดไปว่า ศาสนาว่าให้ทำอย่างนี้ แต่จริงๆไม่ใช่ อย่างนี้จะถือว่านับถือศาสนานั้นไหม หรือ ไม่เข้าใจถึงหลักจริงๆ ของศาสนานั้นๆ จะนับว่าเป็นคนที่นับถือศาสนานั้นไหม จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 06:56:00

ความคิดเห็นที่ 29   คุณ KL ถ้าคุณบอกว่า ศาสนาและกฎหมายคือเครื่องมือของ Ethics แล้ว จริยศาสตร์ ที่คุณยึดถือนั้น  มันคืออะไรล่ะ ถ้าไม่ได้ใช้หลักการจากศาสนา   ก็ต้องใช้หลักการจาก กม. แม่นบ่ อะไรที่เป็นเกณฑ์บอกให้คุณรู้ว่านั่นเรียกว่า คุณงามความดี  หรือจริยธรรม เพราะความดีของคนนี้  อาจเป็นความเลวในสายตาของอีกคนก็ได้ ผิด กม.ของประเทศนี้  อาจเป็นถูก กม.ของอีกประเทศนึงก็ได้ แต่หลักความดีในทางศาสนานั้นเป็นสากล  ไม่ว่าศาสนาไหนๆ  หลักจริยธรรมแทบจะเป็นความเห็นเดียวกัน จากคุณ : คนตรงกลาง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 07:41:23

ความคิดเห็นที่ 30   ข้อ 28 ไม่รู้ถามใคร  ต้องการคำตอบจริงๆ เปล่าเนี่ย ---เราใช้เกณฑ์อะไรมาบอกว่า "คนๆนั้นนับถือศาสนานั้นๆ"---    เกณฑ์ว่าใครนับถือศาสนาอะไรนั้น  มันมีอยู่แล้วในหลักความเชื่อของแต่ละศาสนา  แต่ถ้าจะดูง่าย ๆ ก็ดูที่ศาสดาที่เค้านับถือ ---กระทำการอย่างหนึ่งไปเพราะคิดไปว่า ศาสนาว่าให้ทำอย่างนี้ แต่จริงๆไม่ใช่ อย่างนี้จะถือว่านับถือศาสนานั้นไหม หรือ ไม่เข้าใจถึงหลักจริงๆ ของศาสนานั้นๆ จะนับว่าเป็นคนที่นับถือศาสนานั้นไหม---   ศาสนาอื่นผมไม่รู้  แต่สำหรับคริสต์  เพียงแค่คุณมีความเชื่อก็ใช่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องเก่งกาจรู้ไปซะหมดทุกอย่างหรอก ถ้ายังไม่รู้จริงว่าจะต้องทำยังไง  ก็ให้ศึกษาเรียนรู้จากผู้ที่รู้  ศาสนาคริสต์จะมีพี่เลี้ยงคอยดูแลให้อยู่แล้ว เราถือว่าเด็กทารกที่ค่อย ๆ โตก็จะต้องล้มลุกคลุกคลาน ผิดๆ ถูกๆ กันบ้าง ผมเองเชื่อมานาน   ก็ยังมีล้มลุกคลุกคลานอยู่เลย  ไม่แปลกอะไร จากคุณ : คนตรงกลาง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 08:19:34

ความคิดเห็นที่ 31   ไม่สงบสุขหรอกครับ ลงท้ายมนุษย์ก็จะมีปัญหากันด้วยสาเหตุอื่นอยู่ดี ศาสนาสอนให้คนทำความดี แต่คนดีไม่จำเป็นต้องมีศาสนา และคนมีศาสนาตั้งมากมายที่ำตัวเลวทราม ศาสนา "ช่วย" ให้คนทำดีมากขึ้นเท่านั้น แต่ศาสนา "ไม่ได้การันตี" ว่านับถือแล้วจะเป็นคนดี... แถมความขัดแย้งทางศาสนาบางศาสนา ก่อให้เกิดสงครามด้วยซ้ำไป... จากคุณ : Lethe เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 08:28:48

ความคิดเห็นที่ 32   ศาสนาคือเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์อยู่รวมกัน การที่คนหมู่มากจะอยู่รวมกันได้ต้องมีความเชื่อร่วมกัน ยุคแรกมนุษย์นับถือไฟ นับถือผี มันก็เป็นศาสนาอย่างหนึ่ง คนไม่เห็นด้วยก็แยกตนไปอยู่ต่างหาก แต่ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ที่อยู่ร่วมกับสังคมจึงจะอยู่รอด ต่อให้คุณใช้หลักของการใช้เหตุผล มันก็คงเป็นศาสนาอยู่ดี ศาสนาวิทยาศาสตร์ ศาสนาไม่จำเป็นต้องมีศาสดา ไม่จำเป็นต้องมีคัมภีร์ ไม่จะเป็นต้องมีพีธีกรรม ไม่จำเป็นต้องหลอกให้หวาดกลัว ศาสนาคือความเชื่อร่วมของสังคมครับ จากคุณ : กฤตยฎีกา เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:04:22

ความคิดเห็นที่ 33   อ้อ ศาสนาพุทธที่แท้จริง ไม่ได้บอกว่าคุณทำชั่วแล้วจะตกนรก แต่บอกว่าคุณจะทำอย่างไรคุณจึงจะพ้นทุกข์ จากคุณ : กฤตยฎีกา เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:04:57

ความคิดเห็นที่ 34   แนวคิดทางศาสนาอันหนึ่งที่ทำให้สังคมสงบสุขได้มากกว่าเดิมก็คือเรื่อง บุญ-กรรม ไม่ใช่แค่ในแง่ของการทำความดี ละเว้นชั่ว แต่ยังรวมไปถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ฐานะ การถูกกดขี่ด้วย ในปัจจุบัน แนวคิดกรรมเก่าช่วยให้คนเราไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกนี้ โดนเอาเปรียบมา ก็คิดว่าเป็นกรรมเก่า โดนปกครองแบบกดขี่ ก็คิดว่าทำบุญมาน้อย หากไม่มีแนวคิดนี้ คนคงออกมาเรียกร้องความเท่าเทียม เรียกร้องความยุติธรรมมากกว่านี้อีกเยอะ แล้วคงจะมีการล้างแค้น การแก้เผ็ดต่างๆมากขึ้น ส่งผลให้สังคมอยู่ด้วยความกลัว มากกว่าความสบายใจแบบมีศาสนา จากคุณ : หมีอ้วนขนนิ่มสมัครอมยิ้มมาเฮฮา เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:08:54

ความคิดเห็นที่ 35   #29 แล้วแปลกไหมละครับ ที่แต่ละศาสนาดันมีหลักความดีคล้ายๆกัน หลักที่เหมือนกันนั่นแหละครับ จริยศาสตร์ จริยศาสตร์พูดถึงความดีความเลว โดยไม่มีบทลงโทษ หรือรางวัล ไม่มีโลกนี้โลกหน้า ไม่มีความเชื่อ ไม่มีพิธีกรรม จริยศาสตร์ ขุดคุ้ยปัญหาที่คนทั่วไปไม่คิดถึงขึ้นมาถาม บังคับให้ขบคิด จนตั้งเป็นเกณฑ์จริยธรรม ในแง่นี้ กฏหมายและศาสนา คือจริยศาสตร์ สำเร็จรูป โดยเติมบทลงโทษและรางวัล ทางกายและทางใจ เข้าไปเท่านั้นเอง จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:11:02

ความคิดเห็นที่ 36   ลองนึกดูว่า ศาสนาหลักๆของโลกเกิดในสถานที่แตกต่างกัน คนละเวลา เหตุใดหลักความดีจึงคล้ายคลึงกัน ความดีมาก่อนศาสนา หรือ ศาสนามาก่อนความดี? เราย่อมตอบได้ว่าความดีนั้นมาก่อนและเป็นสากล ศาสนานำเอาหลักนั้นมาปรับปรุงแล้วสั่งสอน เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของสังคม และยุคสมัย ความดีอันเป็นสากลนั้นแหละ ที่เราพึงหา หากเราจะละทิ้งศาสนา จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:14:18

ความคิดเห็นที่ 37   สังเกตว่าหลายๆความเห็น คิดไปถึงยุค 'ก่อน' ที่จะมีศาสนา ในความเห็นผม สังคมที่ปราศจากศาสนา น่าจะยังไม่เคยมีในอดีต ยุคก่อนที่จะมีศาสนาฮินดู พุทธ คริส ยิว ก็ไม่ใช่ยุคที่ไร้ศาสนา หากแต่ยังมีลัทธิต่างๆ มาเป็นหลักความเชื่อในลักษณะเดียวกัน สมมุติให้เอาเด็กแรกเกิดที่ยังไม่เคยรู้เรื่องศาสนา มาอยู่รวมกัน เติบโตร่วมกันโดยไม่ให้การศึกษา อีกสักพัก สังคมของเขาเหล่านั้น ก็จะสร้างภาษา ศาสนา และระบบทางสังคมขึ้นมาอยู่ดี เพราะนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ศาสนายุคแรกๆ เกิดจากความกลัวของมนุษย์ การที่จะหลุดพ้นจากกรอบความคิดของศาสนา แสดงว่าสังคมจะต้องเรียนรู้อะไรมาบ้างแล้ว สังคมต้องเกิดความสงสัยในสิ่งที่เขาบอกให้ศรัทธา สังคมต้องเริ่มคิดว่าระบบความเชื่อนั้นมีความจริงอยู่มากน้อยเพียงใด การสงสัยทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ความเข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ เกิดจากความสงสัย ไม่ใช่การยอมเชื่อฟัง สังคมที่ไม่มีศาสนา คือ "สังคมที่หลุดพ้นจากศาสนา" ไม่ใช่ "สังคมที่ยังไม่มีศาสนา" จากคุณ : ikkyu เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:14:24

ความคิดเห็นที่ 38   ทุกวันนี้ผมมองว่าศาสนาเป็นกำแพงกั้นคนเหมือนเขตชายแดนประเทศอ่ะครับ จากคุณ : Tears เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:19:43

ความคิดเห็นที่ 39   กระืทู้นี่เข้าประโยค God is dead. God remains dead. And we have killed him มาก แล้วเราจะเป็น overman วู้ๆๆๆ จากคุณ : Naesala เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:38:57

ความคิดเห็นที่ 40   อยากให้ give #16 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8060062/X8060062.html#16 บางคนทำดีเป็นอุดมการณ์ การทำตามอุดมการณ์ ก็ได้ความสุข ก็คือได้ผลตอบแทน จากคุณ : chidkido เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 09:55:04

ความคิดเห็นที่ 41   คห.38 สิ่งที่กั้นคนเราทุกวันนี้คือความแตกต่างทางวัฒนธรรมกับเชื้อชาติครับ ดูอย่างไทยกับพม่าสิ พุทธเหมือนกัน แต่ไม่ชอบกันอย่างกับอะไรดี เหตุเพราะเชื้อชาติ วัฒนธรรม และการปลูกฝังที่ต่างกัน หรือคุณจะคิดว่า ศาสนากั้นคนเหมือนประเทศ ก็เหมือนกับคุณคิดว่า คนต่างศาสนากันอยู่ร่วมกันไม่ได้ คุณเคยมีเพื่อนเป็นคริสต์เป็นอิสลามมั้ยครับ เขาทำตัวแตกแยกจากคุณหรือ? สิ่งที่ทำให้คนต่างศาสนาบางที่ไม่อยู่ร่วมกันเป้นเพราะวัฒนธรรมครับ ในตะวันออกกลาง ชาวอิสลามไม่ถูกกับชาวคริสต์ เพราะวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ในอเมริกา คนอิสลามกับกลมกลืนไปกับชาวคริสต์ไปเสีย เพราะเขาปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เข้ากับสังคมที่เขาอยู่ จากคุณ : ซามาโนสุเกะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 10:12:15

ความคิดเห็นที่ 42   เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่มนุษย์ ยังต้อง กิน ขี้ ปี้ จากคุณ : jackmaster เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 10:51:13

ความคิดเห็นที่ 43   กฏหมายมีพื้นฐานมาจากศาสนา ในความคิดของเรานะคะ คนสมัยก่อนหรือรุ่นอย่างเรา เวลาจะทำอะไรก็จะนึกถึงบาปกรรมก่อน แม้เรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างตบตี ใส่ร้าย นินทา ที่บางครั้งกฏหมายก็ "เข้าไม่ถึง" ก็จะนึกถึงบาปกรรมไว้ก่อน ทำให้เราเชื่อว่า เชื่อนะคะ ว่า มนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่มีศาสนา แต่ทำความดี เราเชื่อว่าเป็นเพราะการปลูกฝังตั้งแต่เด็กค่ะ ถ้าแต่แรกมา เราไม่มีศาสนา มนุษย์เราอาจมีความเห็นแก่ตัว และ เบียดเบียนกันมากกว่านี้ก็ได้ค่ะ แค่ความเห็นค่ะ จากคุณ : Physics~easy~ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 11:06:19

ความคิดเห็นที่ 44   ให้กิ๊ฟคห.37ครับ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย สังคมที่ไม่มีศาสนา คือ "สังคมที่หลุดพ้นจากศาสนา" ไม่ใช่ "สังคมที่ยังไม่มีศาสนา" จากคุณ : i.everyday เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 11:58:17

ความคิดเห็นที่ 45   เคยไปทำบัตรประชาชน แล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่าไม่ต้องระบุศาสนาได้ไหม ปรากฏว่าไม่ได้ เจ้าหน้าที่สั่งมาว่าต้องมีศาสนาระบุไว้ด้วย จากคุณ : ยาหม่อง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 13:09:54 A:58.136.229.71 X:

ความคิดเห็นที่ 46   ^ ^ ไม่จริงครับ สามารถไม่ระบุได้ บัตรผมก็ไม่มีศาสนา ในคอมของเจ้าหน้าที่ ช่องศาสนาพอกดจะเป็น popup menu มี 4 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม และ ไม่ระบุ ถ้าไม่ระบุในบัตรเราหลังศาสนาจะเป็น ศาสนา : - ปล.รูปบัตรของผมยังเคยโพสไปเมื่อไม่นานมานี้เลย จากคุณ : ร้อยวลี เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 14:41:40

ความคิดเห็นที่ 47   ^ ^ ทำไมอาจารย์ผมกะพี่อีกคนที่เคยเอาบัตรมาโชว์ให้ดูในหว้ากอเค้าเอาศาสนาออกได้อ่ะครับ สำหรับผมตัวคำสอนที่ดีของศาสนาน่าจะจำเป็นต้องมีในโลกนี้อยู่นะ แต่ไอ้เรื่องความเชื่อหรือพิธีกรรมบางอย่าง ไม่มีจะดีกว่า จากคุณ : รู้รึเปล่าว่าเค้าคือแมว เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 14:48:35

ความคิดเห็นที่ 48   #45 เห็นมีใครเคยเอามาโชว์อยู่นี่ครับ บัตรประชาชนที่ไม่ระบุศาสนา จากคุณ : ++พ่อ_ไข่ต้ม++ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 14:58:29

ความคิดเห็นที่ 49   The weird thing is that I've never seen any religious person praise other religions........ However, I see a lot of killings that happened because of different believes................. What do you think? จากคุณ : pocco เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 15:11:56

ความคิดเห็นที่ 50   ตอบ คุณคนตรงกลาง ความคิดเห็น 29ครับ ก่อนอื่น จริยศาสตร์ ต่างจากจริยธรรมนะครับ จริยศาสตร์เป็นปรัชญา 1 ในสี่สายหลัก เกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์เริ่มถามว่า ชีวิตที่ดีคืออะไร ความดีความเลวคืออะไร ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น จริยศาสตร์ได้พยายามตอบคำถามพวกนี้ มีทั้งศึกษาส่วนที่เอาศาสนาเข้ามาจับดู (เมื่อศาสนาเกิดขึ้น) มีทั้งไม่เอามายุ่ง สมัยต้นๆ อาจจะเริ่มจาก ชีวิตที่ดี น่าจะมี อาหารกิน มีที่อยู่ ที่นี้อาหารอาจจะหายาก ต้องรวมกันเป็นกลุ่ม ก็เริ่มที่จะคิดว่าถ้าอยู่กันเป็นกลุ่มต้องทำอย่างไร จึงอยู่กันได้ ก็อาจจะเพิ่มคุณสมบัติต่างๆเข้าไป เช่นการแบ่งปัน (แล้วก็คิดต่อว่าแบ่งอย่างไรสมาชิกในกลุ่มจึงจะพอใจและอยู่ร่วมกันต่อไป) เวลาผ่านไป ก็มีการศึกษามากขึ้น องค์ความรู้และแนวคิดก็มากขึ้น อย่างแนวคิด สิทธิ-หน้าที่ ความยุติธรรม(Justice) Fairness ก็มาจากจริยศาสตร์ครับ ผมชอบคำพูดของคนรู้จักคนหนึ่งกล่าวถึงศาสนากับจริยศาสตร์ไว้ว่า "ศาสนาก็เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สะดวกใช้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะมีบะหมี่กิน" ลองศึกษาดูครับ อาจจะเริ่มจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Meta-ethics http://en.wikipedia.org/wiki/Ethics แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 52 15:31:02 จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 15:25:27

ความคิดเห็นที่ 51   ศาสนา ก็เป็น แค่ชื่อเรียกว่า สิ่งนี้ คือ สิ่งนี้.. ทุกอย่างในโลกก็เป็นแค่ ชื่อเรียก ว่าอันนี้ คนนี้ เวลานี้ แบบนั้น... แต่สิ่งๆหนึ่ง ที่ไม่เคยหายไปและไม่เคยเกิดขึ้น... จิตว่าง... เมื่อจิตว่างแล้ว ไม่สามารถมีความโกรธได้ มีแต่ความว่างเปล่าที่บริสุทธิ์ ต่อจากนั้น ความเอื้อหนุนจุลเจือกันก็จะมาโดยไม่ต้องพึ่งคำว่า ศาสนา เพราะศาสนา คือสิ่งสิ่งเดี่ยว และสิ่งหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ ความว่าง มองศาสนาให้เป็นความว่าง มองทุกอย่างให้เป็นของว่าง แล้วความสงบก็จะบังเกิด พระพุทธทาสภิกขุ... จากคุณ : สาธุ (ผีแอะ) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 17:44:22

ความคิดเห็นที่ 52   เป็นไปได้ยากครับ ธรรมชาติกำหนดเอาไว้ ให้เกิดการเบียดเบียน ไม่อย่างนั้น ประชากรจะล้นโลกนะครับ จากคุณ : E22QV เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 17:53:07

ความคิดเห็นที่ 53   ทำไม คห 25 โดนไฟแดง จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 19:29:07

ความคิดเห็นที่ 54   ปัจจุบันโลกนี้ก็มีศาสนาและไม่ได้ปราศจากความเชื่อทางศาสนาอยู่หนิครับ  แล้วตอนนี้สังคมโลกอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เต็มไปด้วยความเกื้อกูลรึเปล่า จากคุณ : delabiere เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 20:08:16

ความคิดเห็นที่ 55   แล้วถ้าไม่มีศาสนา มีแต่ศีลธรรม จขกทจะถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่สังคมโลกนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เต็มไปด้วยความเกื้อกูล โดยปราศจาก "ศีลธรรม" รึเปล่าครับ จากคุณ : delabiere เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 20:10:01

ความคิดเห็นที่ 56   นี่แหล่ะครับ สิ่งที่ต้องการสำหรับโลกใบนี้ จขกท. ตั้งคำถามได้ดีมากๆเลยครับ ใช้หลักการและเหตุผลในการกระทำดีกว่า สิ่งที่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ก็มีกฏหมายไว้บังคับใช้ มันก็ต้องให้พ่อแม่ ผู้ปกครองสั่งสอนกันไปเป็นทอดๆครับ จะเปลี่ยนปุบปับคงไม่ได้ ใช้เวลามากๆ แต่ถ้าใครคิดจะทำ ก็ทำเลยครับ เยี่ยม จากคุณ : kridsada1 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 23:07:31

ความคิดเห็นที่ 57   ผมเคยถามแบบนี้นานมากแล้วที่ห้องหว้ากอ ผลที่ได้คือ โดนรุมเละ จากคุณ : thelegendary เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 01:28:38

ความคิดเห็นที่ 58   #53 ผมกดไฟแดงคนแรกหละ เพราะ #25 มันเป็น double post ของ #24 จากคุณ : chidkido เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 03:53:47

ความคิดเห็นที่ 59   ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 09:45:55

ความคิดเห็นที่ 60   ผมคิดว่า ศาสนาก็เหมือนอีกหนึ่งวิชา จะมีหรือไม่มี ก็เหมือนว่าขาดวิชาหนึ่งๆไปสักอัน เหมือนไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์ แต่ความเป็นจริงหลักการณ์ ความเป็นไปของมันยังคงมีอยู่แต่แค่เราจะไม่ได้ศึกษามัน ต้องหาเหตุผลเองต้องคิดเอง โดยไม่มีใครมาแนะนำ สุดท้ายคนเราทำอะไรก็เพื่อตัวตนของตัวเองอยู่ดี ทุกอย่างอยู่ที่เราเป็นคนคิดครับ ที่พิมพ์มาเกี่ยวกับหัวข้อใหมฟ่ะนี่ (เหอๆ) จากคุณ : wisanuoo เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 09:46:46

ความคิดเห็นที่ 61   ใครช่วยยกตัวอย่างสังคมที่ไม่มีศาสนา และอยู่กันได้ดีอย่างที่ว่ามาซักที่ซิครับ.......นึกไม่ออก จากคุณ : ลิงจุ่น เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 14:36:27

ความคิดเห็นที่ 62   อื้ม....ถ้าเป็นตามที่จขกท.ว่ามา เรามาสมมุติโลกๆนึงแบบหนังไซไฟเลยดีมั้ยครับจะได้ง่ายต่อการตัดสินใจ สมมุติว่ามีโลกๆนึงที่ไม่มีศาสนา มนุษย์ใช้หลักวิทยาศาสตร์และหลักการเหตุผลต่างๆในการตัดสินใจกระทำเรื่องต่างๆอย่างเคร่งครัดประหนึ่งหุ่นยนต์  สมมุติว่ามีขนมที่อยู่ในร้านๆนึง เราอยากกินมากแต่ไม่ได้ถือเงินมาจากบ้าน ถามว่าจะเดินกลับไปเอาเงินมาจ่ายซื้อกินตามปกติหรือหยิบฉวยขโมยไปดี เราจะเริ่มใช้เหตุและผลโดยไม่ยึดอิงศาสนาตามนี้ พิจารณาการหยิบฉวยขโมยไป หากเจ้าของร้านตรวจพบจะต้องไม่พอใจและดำเนินการตามกฏหมายกับเราซึ่งทำให้เราต้องไปอยู่ในคุก นับเป็นผลลัพท์ด้านลบที่ไม่พึงปราถนาอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับผลลัพท์ด้านบวกนั่นคือได้กินฟรีหากทำสำเร็จ เมื่อเราวิเคราะห์จากสภาพการโดยรวมจะมองเห็นว่าแนวคิดนี้มีความเสี่ยงไม่คุ้มค่ากับการตัดสินใจเลือก  ดังนั้นเราจะเดินกลับบ้านไปเอาเงินมาจ่ายซื้อกินตามปกติดีกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าความคิดอ่านที่สมเหตุสมผลนี้จะลดการก่ออาชญากรรมได้เป็นอย่างมาก   เพราะการละเมิดกฏหมายต่างๆส่วนมากเกิดจากการปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือเหตุผลและความเสี่ยง คนจึงเสี่ยงที่จะปล้นชิง ข่มขืน ฆ่าเพื่อให้เกิดผลประโยชน์กับตัวเองโดยไม่คำนึงถึงผลลัพท์ด้านลบที่จะตามมาในภายหลัง แต่ในแง่ด้านศีลธรรมในมุมมองอื่นๆก็อาจมีปัญหาตามมาเพราะสมมุติว่าเราพบคนกำลังบาดเจ็บใกล้ตายในกองเพลิง แทนจที่จะเข้าไปช่วยเหลือเราจะพิจารณาว่ามีความเสี่ยงและอันตรายจนเกินไปที่จะเข้าช่วยแถมผู้ที่บาดเจ็บน่าจะไม่รอดชีวิตแม้หลุดจากกองเพลิงมาได้ รวมถึงตัวเรานั้นไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เหมาะสมจากการกระทำนี้ เราจะเลือกที่ไม่สนใจและปล่อยให้คนผู้นั้นตายไปซะดีกว่าเป็นต้น จากคุณ : Ferrick เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 15:14:31

ความคิดเห็นที่ 63   ผมเชื่อว่า จะมี"ความเชื่อทางศาสนา"ก็ไม่ทำให้โลกสงบสุข จากคุณ : เฮียมี่ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 16:57:10

ความคิดเห็นที่ 64   ผมคิดว่า จริยศาสตร์ เปรียบก็เหมือน กฎหมายที่เขียนขึ้นมาลอย ๆ แค่เพียงบอกเล่าให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เท่านั้น การที่มันไม่ได้บอกถึงผลลัพธ์ หรือผลเสียที่จะตามมา ทำให้มันไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมและจิตใจของคนได้ดีเพียงพอ ถ้าคุณต่อต้านศาสนาเพราะคิดว่า "ศาสนาทำไมจะต้องบังคับจิตใจโดยมีบทลงโทษและการให้รางวัล ที่ไร้เหตุผล ในเมื่อคนเราก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรดีชั่ว โดยยึดหลักจริยศาสตร์ เราก็สามารถเลือกทำแต่สิ่งดีๆ และไม่ทำชั่วได้ด้วยตัวเราเอง" ถ้าอย่างนั้นกฎหมายบ้านเมืองที่มีบทลงโทษ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะแค่เขียนบอกว่าอะไรผิด กม.ก็น่าจะเพียงพอแล้ว พอคนรู้ว่าอะไรผิด กม. คนก็ไม่ทำเองแหล่ะ ไม่เห็นต้องมาลงโทษกันเป็นเด็กๆ เลย กม.ที่ไม่มีบทลงโทษ คนก็คงจะเชื่อฟัง กม. กันทุกคน และบ้านเมืองก็คงสงบสุขของมันเอง ยังงั้นสินะ จากคุณ : . (คนตรงกลาง) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 20:38:11

ความคิดเห็นที่ 65   มาช้า ตลาดวาย??? กระทู้น่าสนใจ ตามเข้ามาอ่านด้วยค่ะ อ่านหัวกระทู้แล้วทำให้นึกกถึง Imagine จริงๆแหละนะเพราะเราก็อยากให้โลกนี้เป็นอย่าง Imagine แต่มันก็เป็นเพียง Imagine ดิชั้นคิดว่าการไม่มีศาสนาไม่จำเป็นว่าจะทำให้โลกสงบสุขหรือดีขึ้น เพราะมนุษย์ยังไงก็ยังต่อสู้กันเพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจ การครอบครอง + ทรัพยากร + ปัจจัย 4 อยู่ดี ดิชั้นเป็น Atheism ค่ะ แต่ก็เคารพในสิทธิ์ของท่านอื่นที่นับถือศาสนาอื่นๆ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 52 01:59:40 จากคุณ : หญิงป้า เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 52 01:58:20