ความคิดเห็นที่ 1   สายเศรษฐศาสตร์-บัญชี-การเงิน หลักๆที่จำเป็นมากก็มี Calculus + Statistic ถ้ายิ่งต่อโทก็เพิ่ม Matrix กับ Linear Algebra เข้าไป ส่วนความน่าจะเป็นกับคอมบินาทอริกไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า แต่คิดว่าถ้าจะเรียนสายนี้ ความรู้พวกนี้จะทำให้ได้เปรียบมากครับ จากคุณ : โซรุจะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 19:40:14

ความคิดเห็นที่ 2   ความรู้ตามที่ #1 ว่ามานั้น ส่วนมากจะใช้ในการประกอบการตัดสินใจ หรือวิเคราะห์ความเป็นไปของระบบเศรษฐศาสตร์ครับ ซึ่งถือว่าสำคัญมากครับ จากคุณ : jiggawatt เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 19:52:42

ความคิดเห็นที่ 3   มันต้องใช้กราฟแล้วก็สมการน่ะครับ จากคุณ : Jacare เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 20:01:28

ความคิดเห็นที่ 4   โอ้ววว ตายๆ ที่ชอบ Eco เพราะผมชอบใช้ Logic ในการคิดเหตุผลต่างๆ ของโจทย์อ่ะครับ ==a แต่ถ้าเจอเลขเยอะๆงี้ ขอบา่ยดีกว่า 555+ ท้อเลยๆ อิอิ จากคุณ : Nanoดะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 20:12:09

ความคิดเห็นที่ 5   อย่าไปเชื่อ คห. ข้างบนครับ  เรียน eco แทบไม่ต้องใช้คณิตศาสตร์ แบบนั้นเลยเชื่อผม... อย่างมากก็แค่สถิติ หรือ ความน่าจะเป็นนิดๆหน่อยๆ ปล. ecology อ่ะนะ จากคุณ : FOR YOUR EYES ONLY เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 20:18:16

ความคิดเห็นที่ 6   ขึ้นอยู่กับว่าเรียน Economics สาขาอะไรครับ แต่โดยพื้นฐานแล้วจำเป็นต้องใช้คณิตศาสตร์ เรื่องที่จำเป็นมีเพียงไม่กี่เรื่องครับ แคลคูคัสเบื้องต้น, สถิติและความน่าจะเป็น, เมทริกซ์, พีชคณิตเบื้องต้น และทฤษฎีเกม เช่นถ้าคุณเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์การเมือง, การคลัง, ระหว่างประเทศ, พัฒนา, ทรัพยากรมนุษย์และสิ่งแวดล้อม, อุตสาหกรรม, เกษตร กลุ่มพวกนี้ก็ไม่ได้ใช้เลขเยอะแยะอะไรมากมาย แต่ถ้าคุณเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ทฤษฎี, ปริมาณ, การเงิน ก็ต้องหนักเลขหน่อย ถ้าเก่งจริง ตั้งใจเรียน ขยันหาความรู้ เรียนอะไรก็ไม่ตกงานครับ จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 20:36:08

ความคิดเห็นที่ 7   เรียนจนหัวบาน หนีไม่พ้นหรอกครับ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 21:19:52

ความคิดเห็นที่ 8   ^ ^ ^ หัว... อะไรบานครับเนี่ย ==a นะครับนะ >< จากคุณ : Nanoดะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 22:00:30

ความคิดเห็นที่ 9   ผมรักเศรษฐศาสตร์มากๆ สนุกครับ จากคุณ : i.everyday เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 22:13:45

ความคิดเห็นที่ 10   การไม่ใช้คณิตศาสตร์ ตอบ วิเคราะห์ ประยุกต์ไอเดีย อะไรได้ไม่เต็มที่หรอกครับ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 52 22:16:05

ความคิดเห็นที่ 11   ไม่มีตรีโกณ ครับ  Econ ส่วนมากเป็น กราฟ ครับ ไม่ต้อง dif อะไรมากมาย อันที่จริง หาค่า slope ได้ก็พอถมแล้วครับ ส่วน function ยากๆ  ก็เขียนตามสูตร แล้วแทนค่าก็ออกแล้วครับ อย่าวิตกไปเลย จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 00:15:57

ความคิดเห็นที่ 12   ได้ดู beautiful mind ไหมครับ นั้นแหละ คนคิดทฤษฏี เกมล่ะ จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 00:53:10

ความคิดเห็นที่ 13   ^ ไม่ใช่มั้งครับ ทฤษฎีเกม ที่พัฒนาเป็นระบบทฤษฎีเกมจริง ๆ เป็นผลงานของจอห์น ฟอน นอยมัน กับ โอสคาร์ มอร์เก็นชแทร์น ครับ (Theory of Games and Economic Behavior, 1944) ส่วนหนังเรื่อง A Beautiful Mind พูดถึงจอห์น แนช คุณูปการของแนชต่อทฤษฎีเกมคือจุดสมดุลของแนชครับ (ฮอลลิวูดเอามาล้อเป็นตัวอย่างในเรื่องจีบสาวนั่นแหละ) ใน Theory of Games and Economic Behavior ก็พูดถึงเรื่องจุดสมดุลของแนชครับ แต่มันจำกัดอยู่ในกรอบของ zero-sum game (ถ้าจะว่าไปจริง ๆ แนวคิดแบบจุดสมดุลแนชก็พูดถึงตั้งแต่ Cournot ใน ทฤษฎีตลาดที่มีผู้ขายน้อยราย - oligopoly ปี 1838 โน่นครับ) บทเด่นของแนช (1951) คือ บทความ Non-Cooperative Games ที่พิสูจน์ได้ว่ามีจุดสมดุลของแนชอย่างน้อย 1 จุดเสมอสำหรับเกมที่มีกลยุทธ์จำกัด จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 01:41:59

ความคิดเห็นที่ 14   ใครบอก math ไม่เยอะ ที่ผมเรียนนะ ทั้งโท และ ตรี bio1 stat 1 cal 1 + 2 math econ econometric (math+econ+stat) econometric computer programming ป.โท advance math advance stat advance econometric analysis 1 + 2 แล้วทุกวิชา มีทั้ง 3 วิชาประกอบทุกวิชา สาย pure econ ที่เรียนแต่ทฤษฎีอย่างเดียว math น้อย เพราะเรียนเพื่อเอา concept ทีีบริสุทธิ์ แต่โลกปัจจุบัน เศรษฐศาตร์ อธิบายด้วยโมเดลทางคณิตศาสตร์ และศาสตร์หลายอย่าง เช้น neuron network ที่ใช้ในพวกวิศวะ econ ก็นำมาใช้ เดี๋ยวนี้ econ หลายที่ require สายวิทย์กันนะครับ เพราะคำนวนหนักมากๆ จากคุณ : ตรี-โท ECON (moojiw) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 06:10:53

ความคิดเห็นที่ 15   ตอนผมเรียน เรียนกันด้วยสมการครับ ปล. เศรษฐศาสตร์เกษตร เผื่อหลายท่านคิดว่า Econ ไม่ได้ใช้ math ใครบอก ตัวใช้เลยหละ จากคุณ : moojiw เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 06:16:37

ความคิดเห็นที่ 16   ใช้การคำนวนเยอะครับ แต่ทุกวันนี้ใช้คอมพิวเตอร์ทำแทน เราแค่เรียนรู้ทฤษฎีการคำนวนและประมวลผล เพื่อที่จะตีความผลที่ได้ เศรษฐศาสตร์ มันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นการเชื่อมโยงศาสตร์การคำนวณต่างๆแล้วมาคาดการสิ่งที่จะเกิด(ศิลป์) ถ้าจะใช้เหตุผลว่าเศรษฐศาสตร์มีการคำนวณเยอะแล้ว จะไม่เรียน ศศ. ก็คงไม่ใช่เหตุผลที่ดี เรียน ศศ.ให้อะไรมากกว่าที่คิด จากคุณ : ทองนพคุณ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 10:03:54

ความคิดเห็นที่ 17   โหะๆ เหนจัวอย่างจากพี่ moojiw แล้ว T___T ไม่เรียนดีก่า 555 ไปเรียนนิเทศเหมือนเดิมดีกว่า ฮ่าๆ ผมโง่คณิตอ่ะครับ อิอิ จากคุณ : Nanoดะ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 10:40:57

ความคิดเห็นที่ 18   ป.ตรี แคล สถิติ ปโท ยากกว่าเดิมอีก แคล สถิติ วิเคราะห์ ปล.โทผมเรียนเน้นทางทฤษฎึครับ จากคุณ : troll เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 10:54:28

ความคิดเห็นที่ 19   ผมว่าไปเรียนmarkettingได้นะครับ ได้ใช้จินตนาการ วิเคราะห์ เชิงรูปธรรมมากกว่าmathคงไม่มีหรอก อาจมีอ้างถึงตัวเลขเชิงสถิติหรือยอด อะไรบ้าง(เด็กไทยเรียนทิเทศเยอะเกินความต้องการตลาดไปมากแล้วนะ) จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 13:06:56

ความคิดเห็นที่ 20   เป็นคณิตศาสตร์ กึ่งจิตวิทยา สังคมศาสตร์  มนุษย์ศาสตร์ครับ เพราะมีตัวแปรที่เป็นเรื่องจิตมนุษย์ เช่นความพอใจ ความไม่พอ การแก่งแย่ง คือตัวแปรบางทีตั้งจากการอนุมานว่า คนเราเป็นแบบนี้ จึงไม่ใช่คณิตศาสตร์บริสุทธิ์  ถ้าวันหนึ่งความคิดมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป  สูตรก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ผมเรียนทางนี้ได้ไม่ค่อยดี เพราะชอบแย้งไม่เห็นด้วย เช่นการเริ่มต้นด้วยว่า มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ไม่รู้จักพอ  เริ่มต้นแบบนี้  ทุกอย่างจึงคิดแต่ด้านวัตถุนิยม แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 52 13:58:22 จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 13:54:18

ความคิดเห็นที่ 21   เอ่อ   สมการข้างบนนั่นแค่ เทคล๊อก แล้วก็เอามาบวกๆกันแค่นั้นเองไม่ใชเหรอ??? จากคุณ : เฮียมี่ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 16:05:30

ความคิดเห็นที่ 22   ผมคิดว่าสิ่งที่ยากและน่ากลัวที่สุด ไม่ใช่การ solve ปัญหาคณิตศาสตร์ในเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นการตีความและแปลคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ออกมาให้ชาวบ้านทั่วๆไปได้เข้าใจง่ายที่สุดครับ ปล.เศรษฐศาสตร์ที่ใช้ไอเดียส่วนมากจะต้องทำงานออกไปในแนวนโยบายมากกว่านะครับ เช่น จะช่วยเหลือค่าครองชีพคนจะเอาอะไรเป้นเกณฑ์ว่าเค้าไม่พอกิน ก็ต้องคิดก่อนว่าเอาอะไรเป็น proxy ของคนไม่มีกิน เช่น เงินเดือนไม่ถึง 4 พันบาท ก็ต้องวัดให้ได้ว่าใครเงินเดือนไม่ถึง 4 พันบาท ทีนี้ก็มีคำถามต่อว่า อ้าว แล้วคนที่ไม่ได้เงินเดือนอย่างเกษตรกรล่ะ ก็ต้องลงไปดูว่า เค้ากินอยู่ยังไง ปลูกผักข้าวแลกกับเพื่อนบ้านกินเองหรือเปล่า แบบนี้ต้องช่วยเหลือค่าครองชีพหรือเปล่า เป็นต้น ปล.2 รูปเป็นตัวอย่างแบบฝึกหัดแล้วก็เฉลยบางส่วนครับ ใครจบเศรษฐศาสตร์ลองทำดูเล่นๆก็ได้ครับ (อยากที่บอก การ solve ได้ไม่สำคัญเท่าการตีความและแปลความเพื่อนำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง) จากคุณ : TheShadow เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 52 16:55:09

ความคิดเห็นที่ 23   ที่มันไม่ค่อยจะเจริญทุกวันนี้ เพราะใช้ความคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ (ใช้เหตุผลส่วนตัว ใช้ logic พิลึกๆ) มาตัดสินใจมากกว่าใช้เกณฑ์ที่ควรจะใช้มั๊ง จากคุณ : a-ผู้ชั่วร้าย เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 52 12:07:01

ความคิดเห็นที่ 24   ในฐานะ professional economist (ไม่ใช่ academic economist) นะครับ ผมคิดว่าการใช้เลขทำให้คิดได้อย่างเป็นระบบแค่นั้นครับ เลขมากไปใช่ว่าจะใด้ใช้นะครับ เวลาทำการวิเคราะห์จริงๆ จริงๆผมคิดว่าเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ กำลัง "หลงทาง" อยู่ด้วยซ้ำโดยการที่ยึดติดกับการใช้เลขขนาดนั้น เลขใช้ไม่ได้เมื่อได? เมื่อข้อมูลไม่ดีพอครับ และก็ธรรมดามากๆๆๆๆๆ เวลาทำการวิเคราะห์ เช่นข้อมูลพวกเศรษศาสตร์มหภาค จะเป็นพวก low-frequency data หมดเลย (การเติบโตของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน อะไรแบบนี้) ถ้าจะมีข้อยกเว้นก็จะเป็นพวกข้อมูลของตลาดทุน และตลาดเงินครับ ที่จะสามารถหาข้อมูลที่มี high-frequency มาทำการวิเคราะห์ได้ อย่าลืมนะครับว่าวิชาอย่าง econometrics ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ค่อนข้างที่จะ fragile เช่น การตั้ง assumption เรารู้ true model ทั้ง specification และ functional form (ไม่ใช่นั้นทุก estimators จะ biased หมด!) ยิ่งถ้าเป็นพวก limited dependent variable model (พวก probit/logit) ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะต้องรู้ distributional structure ของ residual terms ด้วย.. ใครจะไปรู้ ?! ดูอย่าง IMF เมื่อปลายปีที่แล้วนะครับ ที่ต้องออกมา ปรับประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง เพียงแต่ 1 เดือนหลังจากออกประมาณการเท่านั้นเอง ขายหน้ามากๆๆๆ แสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์จ๋าๆ ยากที่จะจับ turning point ของเศรษฐกิจได้ ซึ่งดันเป็นช่วงเวลาที่การวิเคราะห์จะมีคุณค่าที่สุด เพราะว่าทุกคนก็อยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น! Random walk ไม่มีจริง ตัวแปลอะไรมันจะวิ่งจริง หลุด 2 standard deviation ทั้งนั้น เห้อๆ ถ้าอยากเป็นผู้ที่ใช้วิชาเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์ที่ดี อย่าอยู่ในโลกของ theory อย่างเดียวครับ เรียนเพื่อให้รู้ทั้ง framework และ limitation ของมันนะครับ เพื่อที่จะใช้วิชานี้ได้อย่างมีคุณค่าที่สุด จากคุณ : ฮืมม เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 52 11:10:23 A:58.9.223.183 X: TicketID:083442

ความคิดเห็นที่ 25   เออ อีกอย่าง เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่สามารถใช้ได้ในแค่ด้านนโยบายอย่างเดียวนะครับ ทุกธุรกิจต้องใช้เศรษฐศาสตร์มหภาค เวลาทำ business planning เพราะว่าเศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่เรามีเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้เข้าใจภาคกว้างได้ ถ้าทำได้ดี จะมีคุณค่าสำหรับธุรกิจมากเลยละ ทำได้ดีคือการวิเคราะห์ และประมาณการณ์โลกในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และสามารถเชื่อมภาพมหภาคเข้ากับภาพระดับธุรกิจได้ครับ -- เช่น ถ้าตัวแปลนี้เปลี่ยน จะกระทบต่อธุรกิจอะไร แค่ไหน และอย่างไร ครับ จากคุณ : ฮืมม เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 52 11:16:26 A:58.9.223.183 X: TicketID:083442

ความคิดเห็นที่ 26   วิศวะเห็นยังร้องจ๊ากเลย ฟังชั่นค์น่ากลัวขนาดนั้น.... ยิ่งตอนพิสูจน์นี่ หึหึหึ คนคิดเอาโนเบลไปเหอะ จากคุณ : ศิษย์ต้องห้าม เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 05:58:04