ความคิดเห็นที่ 1   เมื่อซัก10ปีที่แล้วบอกว่าราวๆ10ปี ครับ        นี่ก็10ปีมาแล้ว ยังไม่มีวี่แววเลย จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 16:23:36

ความคิดเห็นที่ 2   ผมอยากรู้ที่หลบซ่อนของเชื้อมากกว่าครับ จะได้โจมตีถูกจุด จากคุณ : อีคิวศูนย์ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 16:30:37

ความคิดเห็นที่ 3   ไวรัสหลบอยู่ในเม็ดเลือดขาว จากคุณ : Ken เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 16:31:35

ความคิดเห็นที่ 4   ได้ยินมาว่าปัจจุบันก็รักษาได้นิครับ โดยการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกจากคนที่ผิวของ T helper cell ไม่เหมือนผู้อื่นหรือ คนที่ไม่มีวันเป็นเอดส์ พูดง่ายๆก็คือในโลกนี้มีคนที่ไม่มีวันเป็นเอดส์อยู่ด้วยไม่ว่าจะได้รัยเชื้อมากแค่ไหนก็ตาม จริงเท็จแค่ไหนผมก็ไม่อาจจะทราบได้ จากคุณ : promlikit เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 16:53:08

ความคิดเห็นที่ 5   ให้เหล่านักวิจัยเก่งๆ ไปทำยาลดความอ้วน หรือครีมบำรุงผิดจะหาตังค์ได้ มากกว่าทำยารักษาโรคเอดส์ครับ   -*- จากคุณ : Kross_ISC เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 16:59:21

ความคิดเห็นที่ 6   เหอะๆ คือเชื้อมันติดที่เม็ดเลือดขาว ถ้าเอาเม็ดเลือดขาวออก ร่างการก็จะขาดภูมิ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 17:17:08

ความคิดเห็นที่ 7   ออกกำลังกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้มากๆ ทานอาหารให้มีประโยชน์ก็อาจจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้บ้างครับ จากคุณ : อาจจะแก่ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 17:19:59

ความคิดเห็นที่ 8   ได้ยินมาว่าปัจจุบันก็รักษาได้นิครับ โดย การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกจากคนที่ผิวของ T helper cell ไม่เหมือนผู้อื่นหรือ คนที่ไม่มีวันเป็นเอดส์ พูดง่ายๆก็คือในโลกนี้มีคนที่ไม่มีวันเป็นเอดส์อยู่ด้วยไม่ว่าจะได้รัยเชื้อ มากแค่ไหนก็ตาม จริงเท็จแค่ไหนผมก็ไม่อาจจะทราบได้ จากคุณ : promlikit -------------------------------------------------------- ^ ^ ^ ตามนั้นเลยครับ การรักษาโรคเอสด์โดยวิธีนี้ใช้หลักการเหมือนการรักษาโรคลูคีเมีย คือต้องเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเพื่อจะได้เปลี่ยนแหล่งผลิตเม็ดเลือดขาวจากแต่เดิมที่ผิวของมันเหมาะแก่การจับของHIV ไปเป็นแบบผิวใหม่ที่HIVจับไม่ได้ ตามไขกระดูกที่เราได้รับมา(จากกลุ่มบุคคลพิเศษที่ไม่มีวันติดเอสด์) แต่วิธีนี้มันมีปัญหามากๆอยู่ 3 ข้อ ข้อแรกกลุ่มบุคคลที่ว่ามีอยู่น้อยมาก ข้อสองโดยปรกติเราก็หาคนที่ไขกระดูกเข้ากับเราได้ยากอยู่แล้ว(เป็นสาเหตุว่าทำไมโรคลูคีเมียถึงรักษายาก) แล้วนี้เราต้องไปหาไขกระดูกที่เหมาะสมในกลุ่มบุคคลพิเศษที่ว่านี้อีก - -" ข้อสาม ยังไม่มีผลการศึกษายืนยันว่าทำแบบนี้แล้วจะหายจากเอสด์ได้จริง โดยที่ผ่านมาเคยมีเคสตัวอย่างแค่เคสเดียว แถมเคสนั้นโชคดีมากๆ เนื่องตัวผู้ป๋วยนั้นเป็นเอสด์+ลูคีเมีย แล้วบังเอิญได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกจากบุคคลกลุ่มพิเศษที่ว่านั้นพอดี จึงทำให้หายจากโรค เอสด์+ลูคีเมีย โชคดีมากมาย จากคุณ : อะไรจะโชคดีขนาดนี่เนี่ย (Ken Akamatsu) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 17:53:50

ความคิดเห็นที่ 9   ขอเพิ่มเติมหน่อย ปัจจุบันยาต้านเอสด์ที่ใช้ในปัจจุบันก็ใช้หลักการที่คล้ายๆกันนี้ โดยที่ตัวยาจะเข้าไปบล็อกไม่ให้เอสด์ไปจับที่ผิวของเม็ดเลือด ทำให้จำนวนไวรัศลดลง หรือไม่เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่มีปัญหานิดหน่อยว่าตัวยาที่มีในปัจจุบันนั้นแพงมากมายด้วยหลายๆสาเหตุ รวมทั้งตัวยานั้นผมกระทบต่อร่างกายมาก เมื่อกินเข้าไปจะอาการข้างเคียงต่างๆมากมายรวมทั้งทำให้ไตตับเสียหายไปเรื่อยๆ และในปัจจุบันตัวยายังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรในการต่อต้านเอดส์ จากคุณ : Ken Akamatsu เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 18:02:01

ความคิดเห็นที่ 10   ^ ^ ^ ไม่จริงเรื่องราคาครับ ยาที่มีในปัจจุบัน มีบ้างที่แพง และ มีหลายตัวเช่นกันที่ถูกครับ ราคาหลักพันครับ และแน่นอน มีอยู่ในระบบ ประกันสุขภาพด้วยนะครับ  ส่วนผลกระทบต่อร่างกาย ต้องดูเป็นเคสครับ คนนึงกินยาตัวนี้ได้ ไม่มีการต่อต้านของยา แต่อีกคนกินแล้วแพ้ยา หรือ คนนึงกินแล้ว ไม่เกิดอาการอะไรเลย ร่างกายรับกับยาได้ดีมาก ซึ่งมีผลดีคือ ทำให้ลดจำนวนเชื้อลง ทำให้ร่างกายสามารถผลิต ภูมิต้านทาน ได้มากขึ้น และ แน่นอน โรคแทรกซ้อนก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนหลักการเรื่องยา จริงครับ ไปทำให้เชื้อ ไม่สามารถจับคู่กับ CD4 ( ก็คือ เซลเม็ดเลือดขาวชนิดนึง ) และระหว่างนี้ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งก็ทำให้ ยืดอายุไปได้อีกยาวนาน แต่... ผลของการกินยา แน่นอน ทำให้ตับ ไต ทำงานหนัก และยาที่กิน ต้องกินตลอดชีวิตครับ และต้องตรงเวลาด้วยเพื่อให้ ปริมาณยาในเส้นเลือดสามารถกดเชื้อ สม่ำเสมอครับ ณ ตอนนี้ ความเชื่อที่ว่า เป็นเอดส์แล้วตายเร็วนั้น ไม่จริงครับ แต่ สื้อไทยเรา ก็งี้แหละ  นำเสนอแต่ ภาพของคนเป็นเอดส์ ที่อยู่ในระยะสุดท้าย หรือโรคแทรกซ้อนเยอะแล้ว ซึ่งแน่นอน คนที่ดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกาย พักผ่อนเพียงพอ โรคแทรกซ้อนก็ไม่ปรากฏให้เห็นหรอกครับ ซึ่งต้องตรวจเลือดเท่านั้นที่รู้ แต่ทั้งนี้ ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆจะดีที่สุดครับ การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 52 22:06:26 จากคุณ : คาถาป้องกันแห้ว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 22:05:38

ความคิดเห็นที่ 11   สงสัยว่ากลไกของยาที่ใช้ในการ พยุงอาการ มันแบ่งเป็นกี่แบบ แล้วทำงานยังไงบ้าง (เพราะผมเคยอ่านๆ เจอว่า มันมีอยู่ 3 แบบ ที่ทำหน้าที่คลละอย่าง บางอันป้องกัน repector บางอันป้องกันการ transcript แล้วก็ทำอะไรอีกไม่รู้...) เลยอย่ากถามผู้รู้ครับ อันต่อมา ถ้าอย่างนั้น ขบวนการที่จะรักษา (ได้ยินข่าวลือ) ว่า สามารถเปลี่ยนเลือด aka ไขกระดูก ตรงนี้ จาก คห. ข้างต้น ...มันก็น่าจะเป็นไปได้ แล้วผลการทดลองตอนนี้เป็นยังไง จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 02:53:55 A:124.121.210.198 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 12   ลิตออกมาแล้วยาต้านไวรัสจะขายใครครับ จากคุณ : พาลท้อแท้ เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 52 03:48:23

ความคิดเห็นที่ 13   อยากถามแบบฟันธงเลยนะคับ ตกลงเอดส์มีวิธีรักษาหายได้แล้วจริงเหรอเนี่ย........ จากคุณ : tunnie555 เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 01:46:30

ความคิดเห็นที่ 14   ผมเชื่อว่าวิวัฒนาการสมัยนี้ ยังไงก็สามารถค้นพบยารักาษเอดส์ได้แล้ว เพียงแต่ ลองคิดดูซิว่า หากป่าวประกาศให้ชาวโลกได้รู้ว่า เอดส์เป็นแล้วหาย อาชญากรรมทางเพศ จำนวนประชากร จะมากขึ้นแค่ไหนกันน้อ.. จากคุณ : Antonymer เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 09:04:12

ความคิดเห็นที่ 15   ถ้าผมคิดยารักษาได้ จะปกปิดทำป๊ะอะไร รวยไป 10 ชาติแล้ว จากคุณ : ชาเขียวเข้มๆ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 16:04:18

ความคิดเห็นที่ 16   อันต่อมา ถ้าอย่างนั้น ขบวนการที่จะรักษา (ได้ยินข่าวลือ) ว่า สามารถเปลี่ยนเลือด aka ไขกระดูก ตรงนี้ จาก คห. ข้างต้น ...มันก็น่าจะเป็นไปได้ แล้วผลการทดลองตอนนี้เป็นยังไง จากคุณ : ฟหกด ---------------------------------------------------------- ^ ^ ^ คือในปัจจุบัน ยังไม่มีใครทำการทดลองรักษาด้วยวิธีดังกล่าวเลยครับผม ส่วนเคสที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง รายนั้นเขาโชคดีสุดๆ แต่เดิมเขาเป็นเอสด์อยู่แล้ว ต่อมาเขาก็ดันลูคีเมียด้วย เลยจะตายด้วยโรคลูคีเมียก่อนตายเพราะเอสด์ทีนี้เขาโชคดีมากที่หาคนบริจาคไขกระดูกที่เข้ากันกับเขาได้ หลังรักษาโรคลูคีเมียเสร็จ ทีนี้เขาก็ต้องตรวจเลือดดูว่าหายดีหรือยัง(เช็คเม็ดเลือด) ปรากฏว่าเขาหายจากโรคลูคีเมียแล้ว แต่ได้ของแถมคือเขาหายจากโรคเอสด์ด้วย เช็คไปเช็คมาพบว่าเขาได้ไขกระดูกจากกลุ่มบุคคลพิเศษที่มีน้อยมาโดยบังเอิญครับ ทำให้เขาอาการเอสด์ดีขึ้นเรื่อย จนกระทั่งหายจากเอสด์ในที่สุดครับ ปล.คาดว่าเขาคนนั้นคงทำบุญมาเยอะกระมั้ง ว่าไปนั้น จากคุณ : Ken Akamatsu เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 11:40:01