ความคิดเห็นที่ 1 post doc นี่ก็ถือว่าทำงานนะครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:21:10

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่อยากนับ post doc ครับ เพราะมันกินระยะเวลาไม่มากพอ (ทุนรัฐบาลบางทุนอนุญาตให้ทำโพสต์ดอคได้ปีหรือสองปี) อยากให้นิยามของการทำงานตปท. คือ เข้าเป็นลูกจ้างของบริษัท/รัฐบาล/สถาบัน มีวีซ่าทำงาน ตัดพันธะในประเทศไทย อย่างต่ำๆ ประมาณห้าปี ทำนองนั้นมากกว่าครับ จากคุณ : PastelSalad เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:26:37

ความคิดเห็นที่ 3 ไป ถาวร เพราะเบื่อประเทศไทย (ผู้คน วัฒนธรรม องค์กร การเมือง ฯลฯ) ปล. จะไปตั้งรกรากอยู่ที่ไต้หวัน จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:26:54

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ไปครับ การศึกษาในต่างประเทศ ที่เมืองไทยต้องจ่ายให้สูงกว่าพลเมืองเขา ถึง 40 เท่า (ค่าเรียนปริญญาเอกพวกพลเมืองฝรั่งเพียง 10,000 บาท เท่านั้น แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติต้องจ่ายถึง 400,000 บาท) เวลาที่คุณสมบัติยังไม่พร้อม ยังไม่จบปริญญาเอก ยังไม่มี "ดีกรี" ให้ใช้ประโยชน์ได้ เขาไม่สนหรอกครับว่าจะมีศักยภาพขนาดไหน ไม่มีเงินก็ไม่ต้องเรียน กลับประเทศไปเสีย จะมีก็แต่รัฐบาลไทย ที่แม้ ตอนนั้นจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง นักเรียนทุนประเทศอื่น ถูกเรียกตัวกลับหมดแล้ว แต่ของนักเรียนไทย ได้จดหมายมายืนยัน ว่าจะไม่เรียกตัวกลับ ขอให้ตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่เพื่อกลับมาพัฒนา ประเทศชาติ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:35:17

ความคิดเห็นที่ 5 การลงนามในสัญญารับทุนเป็นนักเรียนทุน คือ หนึ่งในวิถีการใช้ชีวิตที่ได้ เลือกแล้วว่าจะทำงานเพื่อประเทศชาติภายใต้กรอบการพัฒนาที่กำหนด โดยรัฐบาล ด้วยความเชื่อที่ว่ากรอบการพัฒนานั้นจะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ของประเทศ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8094482/X8094482.html#22 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:38:01

ความคิดเห็นที่ 6 จากท่อนนี้ "คุณจะไปอยู่อาศัยและทำงานในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ไม่มีสมองให้ไหลค่ะ ขนาดอยู่ไทยยังไม่มีใครเอาเลย TT แต่ถ้าให้ไปทำงานด้านศิลปะ+ดนตรี ไปแน่นอน แล้วกลับมาหาทางพัฒนาประเทศต่อ... ยกเว้นกรณีไม่มีที่ให้ยืน หรือไม่มีการเปิดรับความคิดใหม่ๆ ก็คงเป็น freelance ทำงานส่งนอกล่ะ... จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:45:23

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าผมไม่กลับมาประเทศไทย ผมก็ไม่ได้รู้จักและยินดีในความสำเร็จของคนเหล่านี้ และอีกหลายๆ คนที่จะได้รู้จักในอนาคต จะไม่ได้เงิน 200,000 บาทต่อเดือน เอาไว้แต่งภรรยา ก็ช่างมันเถอะ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:45:26

ความคิดเห็นที่ 8 อ. แพรคหมายถึงตอนต้มยำกุ้งหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ ผมฟังจากอาจารย์ของผมมาว่า ตอนนั้น นร. ทุนไทย โดนเรียกตัวกลับกันเยอะเหมือนกันนะครับ แบบกลางอากาศเลย บางคนหางานหา stipend ได้ก็โชคดีไป แต่ที่หาทางออกไม่ได้ กลับมาก็มีเยอะครับ เข้าใจว่าแต่ละทุนไม่เหมือนกันมั้งครับ จากคุณ : PastelSalad เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:45:39

ความคิดเห็นที่ 9 ผมคงตอบได้เท่าที่ทราบครับ ช่วงนั้น ปี พ.ศ. 2540 - 2541 ถ้าเป็นนักเรียนทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ไม่ถูกเรียกตัวกลับครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 17:47:44 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:47:02

ความคิดเห็นที่ 10 ปล. อยากให้มีคนคิดแบบ อ.แพรคเยอะๆ เชื่อว่าประเทศไทยไม่สิ้นไร้คนดี+เก่ง สักวันเราจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และพัฒนาทั้งด้านวัตถุ+คุณธรรม (แม้จะไม่มีชีวิตถึงวันนั้นก็ตาม) จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:48:31

ความคิดเห็นที่ 11 ตามสบายครับ ก่อนจะเป็นห่วงประเทศชาติ ผมเป็นห่วงปากท้องครอบครัวผมมากกว่า พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว หาเงินเก็บไว้ใ้ห้ท่านใช้ยามแก่ ค่ารักษาพยาบาลที่ต้องเตรียมไว้ แต่งงานมีลูก ค่านม ค่าเสื้อผ้าลูก ค่าเทอม ใครจะว่าไงก็ช่าง อุดมการณ์ของผมตายไปเรียบร้อย แต่ก่อนตอนยังเยาว์วัยก็คงตอบว่ากลับมาพัฒนาประเทศแหละครับ โตมาเริ่มต้องคิดถึงครอบครัว ก็คิดว่า ก่อนจะไปช่วยประเทศชาติ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า ผมคิดว่า "ถ้าครอบครัวตัวเองยังไม่มีปัญญาดูแลให้ดี แล้วจะมีปัญญาไปทำอะไรเพื่อประเทศ" จากคุณ : kanoomtan เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:52:07

ความคิดเห็นที่ 12 คนที่เลือกไปต่างประเทศก็ดีครับ แต่อยากให้คิดถึงประเทศไทยบ้าง อย่างน้อยกลับมาเข้าร่วมโครงการสมองไหลกลับ (reverse braindrain) สัก 1-2 สัปดาห์ต่อปี ที่เมืองไทยจะได้มี connection กับต่างประเทศ คนที่เลือกอยู่เมืองไทยก็จะได้ช่วยประสานกับหน่วยงานภาครัฐให้ครับ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:54:07

ความคิดเห็นที่ 13 คิดว่าไปด้วยหลายๆเหตุผลรวมกัน โดยส่วนตัวแล้วไม่ใช่คนที่มีอุดมการณ์สูงส่งนักและส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับทุนรัฐบาลไทย คุณ PastelSalad ถ้าพูดถึงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งนั้นก็จริงตามที่พูดเลย เพราะมีอาจารย์รุ่นพี่ที่เคารพคนหนึ่งถูกยืดเยื้อเวลาไปเรียนต่อถึง 2 ปีเต็ม รัฐบาลไม่ส่งไปเรียนจนกว่าจะผ่านพ้นพิษเศรฐกิจไปได้ จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:55:27

ความคิดเห็นที่ 14 แต่ตามกระทู้คงทำได้แต่ในจินตนาการ เพราะชีวิตครอบครัวก็อยู่ที่เมืองไทย ไว้วันหนึ่งหากเป็นคนไร้ราก ขาดญาติพี่น้องจนหมดสิ้นไป วันนั้นขอไปตายดาบหน้าที่อื่น จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 17:58:50

ความคิดเห็นที่ 15 ชินเสียแล้วครับ ไม่เกี่ยงด้วยว่าทางนี้คงเป็นทางที่เดินคนเดียว แต่ก็จะเดิน ต่อไป ทำต่อไป จนกว่าจะหมดแรง (เพราะก็ทำมาเกือบ 20 กว่าปีแล้วนี่นะ) เพื่อนๆ สมาชิกชมรมวิทยาศาสตร์ สมัย ม.ต้น ก็ไม่มีใครเลือกเรียนวิทยา- ศาสตร์สักคน แม้แต่ประธานชมรม รองประธานชมรม ไม่มีใครอยู่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ยังทำตามฝันนั้นอยู่ ^_^ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 18:02:12 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 18:02:00 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:01:42

ความคิดเห็นที่ 16   จริงๆ เราเรียนเมืองไทยก็เรียน "ค่าใช้จ่ายถูก" กว่าที่เป็นจริงเยอะน่ะครับ เข้าทาง ขายข้าวส่งควายเรียน ส่วนสมองไหล ...อย่างเดียวครับที่ผมเบื่อ คือ การเมือง ผมขอพูดตรงๆ ในสิ่งที่ผมคิดว่า ... คนไทย(ส่วนหนึ่ง) ยังติดสสันดาน "ทาส" อยู่ คือ ไม่พัฒนา ... กัดกันเอง ... เห็นใครดีกว่าไม่ได้ (ต้องให้มันแย่เท่าเรา) แทนที่ จะแข่งขันในเชิงสร้างสรรค์..... คือ เห็นใครทำดี กว่า เราต้องทำให้ดีกว่า สรุปคือ ชอบใช้วิธีสกปรก ... เพราะเอาเข้าจริงๆ ตัวเองไม่ได้ เก่ง หรือมีความสามารถ แต่ ที่ตนอยู่ได้ ก็เพราะ พรรคพวก เส้นสาย หรือการทำลายคนอื่นเอา ทว่า ... ก็เป็น นร. อกเหมือนกันที่มองว่า ต่างประเทศไม่น่าอยู่ เพราะ ชีวิตมันไม่มีความผูกพัน ชีวิตชีวา อีกนัยหนึ่งผมมองว่า ก็เพราะ ชีวิต ไม่ได้ สามารถเอาเรื่อง พี่ น้อง พรรคพวก เส้นสาย มาเล่นได้ ... ตัวใครตัวมัน ... เลยอยู่ในสภาพสังคมแบบนั้นไม่ได้น่ันเอง จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:07:39 A:124.120.220.184 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 17 คุณจะยอมเสี่ยงชีวิตกับระบบขนส่งมวลชนของประเทศไทยไหม? หากคุณเลือกชีวิตที่ดีกว่าได้ เพื่อประเทศ ชาติแล้วประหยัดน้ำมัน ประหยัดพื้นที่ถนน แต่เมื่อคุณโดนรถเมล์ทับตาย ชาติหรือรัฐบาลรวมไปถึงหน่วย งานราชการได้กลับมาช่วยคุณบ้างหรือเปล่า พ่อแม่ลูกเมียนั่งทำตาปริบๆ ใครจะส่งลูกเรียน พ่อแม่ก็พลอย ลำบาก เสาหลักครอบครัวอยู่ล้อหลังรถเมล์ จะมีใครมาช่วยครอบครัวคุณไหม?? ถ้าคุณเลือกได้ คุณจะให้คนที่คุณรักขึ้นรถเมล์ทุกวันไหม? อุดมการณ์ที่กินได้ และต้องไปตายอยู่ล้อหลังรถเมล์ ตายเพื่ออุดมการณ์เพื่อให้คนข้างหลังลำบากขณะที่ผู้บริหารบ้านเมืองนั่งรถคันเป็นล้านไม่ได้มานั่งรถเมล์ ผู้ใหญ่ผู้โตมีแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นหาอำนาจและเงินใส่ตัว ไม่มาสนใจใครอยู่แล้ว อุดมการณ์มันกินได้ ถ้าคุณ ไม่ได้มีภาระลำบากต้องส่งเสียลูกเรียนพ่อแม่แกเฒ่า กลับมาช่วยพัฒนาประเทศชาติแต่เจอ "ตอ" เข้าไปก็ไม่ โตเหมือนกันอย่างที่ผมเคยตอบไปแล้วว่าผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักท่านก็กินอุดมการณ์เหมือนกัน ตอนนี้สมองก็ไหลออก ไปหมดแล้วเพราะเมื่อครั้นท่านจะพัฒนาอะไรแต่มันไปขัดผลปรโยชน์ใคร สิ่งนั้นไม่ได้เกิดทุกที จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:12:14

ความคิดเห็นที่ 18 อยู่เมืองไทยก็ขอทุนจากต่างประเทศได้ครับ ไม่ต้องใช้เส้นสายด้วย จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:15:24

ความคิดเห็นที่ 19 แหมอยากจะร่วมแสดงความเห็นด้วย แต่ด้วยฐานะคนตั้งโพล ต้องวางตัวเป็นกลาง  =_= ความเห็นเป็นกลางที่มี ก็คือ ยังไงการที่จะมีสมองไหลในบ้านเรา ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่ด้วยปัจจัยแวดล้อมของประเทศเรา การจะไปตั้งแง่หรืออะไรกับคนที่เลือกไปต่างประเทศ ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ดังนั้น แทนที่จะมานั่งบ่นหรือนั่งกลุ้ม สู้คิดหาวิธีใช้ทรัพยากรคนไทยในต่างประเทศนี้ให้เป็นประโยชน์เสียดีกว่า (เหมือนที่คนจีนคนยิวโพ้นทะเลเขาทำกัน) ดังนั้นผมเห็นด้วยกับ อ. แพรคที่ว่า ควรให้คนไทยในต่างแดนเหล่านี้มาเข้าร่วมโครงการในไทยปีละครั้งสองครั้ง มาทำวิจัย มาให้ปรึกษา ฯลฯ อะไรก็ได้ ว่าแต่ว่า โครงการ reverse braindrain ที่ว่านี่ ตอนแรกผมไม่นึกว่าเป็นอย่างข้างต้นนะ นึกว่าเป็นการเรียกคนกลับมาโดยให้เงินให้กล่องเสียอีก จริงๆ ไม่น่าจะเรียกว่า reverse นะ มันฟังดูเหมือน คนร้าย หรือคอมมิวนิสต์กลับใจยังไม่ไม่รู้ น่าจะเรียกเป็นทำนอง outsource ขยายราก เชื่อมต่อ หรืออะไรทำนองนี้มากกว่า จากคุณ : PastelSalad เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:15:36

ความคิดเห็นที่ 20 ในปีหน้าประเทศไทยจะได้เป็น host จัดประชุมวิชาการนานาชาติ โดยมี ผู้แทนจากนานาชาติในกลุ่มประเทศ APEC จาก 16 ประเทศครับ งบประมาณรวมประมาณ 3 ล้านบาท แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 18:22:31 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:20:03

ความคิดเห็นที่ 21 แต่ก็กังวลเหมือนกันครับว่า ถ้าโดนพิษไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ กับกีฬาสี งานคงต้องเลื่อน แต่เขาให้เวลา 2 ปี ก็จะพยายามจัดให้ได้ก็แล้วกันครับ อุตส่าห์ไปขอทุนมาได้แล้ว จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:23:59

ความคิดเห็นที่ 22 กลับมาอีกครั้ง... คห.16 พูดได้ตรงใจค่ะ คนอย่างที่กล่าวมีจริงๆ และจำนวนไม่น้อยด้วย ขอแสดงความเห็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการศึกษาของ ตปท. (พัฒนาแล้ว ถ้าเอาเฉพาะเอเชียก็ ญี่ปุ่น/สิงคโปร์ และปัจจุบัน... จีนก้าวหน้ากว่าเราเยอะ) ในความเห็นส่วนตัว (มองภาพรวม) เรากลับคิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่ายมาก โดยเฉพาะประชากรของเขา ห้องสมุดดีๆมีทุกหนทุกแห่ง พิพิธภัณฑ์ที่มีการพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลา... การศึกษาไม่ได้หมายถึงการเรียนมหาวิทยาลัยอย่างเดียว ประชากรมีคุณภาพต้องได้รับการวางรากฐานตั้งแต่การศึกษาภาคบังคับ... หาใช่ได้ปริญญา ตรี โท เอก หรือสารพัดปริญญาไม่... น่าขำที่บางครั้ง "บัณฑิต" ของบางประเทศกลับเป็นคนที่มีคุณภาพต่ำกว่าคนจบ "ไฮสคูล" เสียอีก มหาวิทยาลัยในต่างประเทศมีทุกอย่างครบ ห้องซ้อมดนตรี กีฬา แถม"ฟรี" หรือคิดค่าใช้บริการต่ำมากๆ ในขณะที่ประเทศไทยให้งบประมาณในการพัฒนาการศึกษาต่ำสุดๆ (โปรดอย่าเทียบกับเขมรหรือพม่า ยกเว้นคุณอยากให้เป็นแบบนั้น) อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย... สมัยเรียนมัธยม (ภาครัฐ) อาจารย์บางท่านขี้เกียจ เบี้ยวสอนยังมีเลย ขำๆน่ะ.... ไม่ได้เหมารวม แต่อยากบอกว่ามันมีอาจารย์แบบนี้จริงๆ... ขอสงวนไม่ใช้คำว่า "ครู" เพราะคำๆนี้เก็บไว้เรียกคนที่สมเป็น "ครู" จริงๆ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:25:29

ความคิดเห็นที่ 23 #17 ผู้ใหญ่ที่มีทัศนคติดีๆ ก็มีอยู่หลายท่านนะครับ คุณ axquest น่าจะได้ มีโอกาสได้คุยบ้าง บางท่านยังแนะนำผมเลยว่า อย่ามองบางเรื่องในแง่ร้าย เกินไปบางทีเป็นเพราะตัวเราเองที่คิดมากเกินไปก็ได้ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:51:03

ความคิดเห็นที่ 24 #19 โครงการดังกล่าวเป็นไปโดยความสมัครใจครับ และทางฝ่ายที่ช่วย- เหลือ ก็มาจากคณาจารย์ที่อยู่ต่างประเทศด้วย เพราะในมหาวิทยาลัยต่าง- ประเทศนั้น กำหนดให้คณาจารย์ต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประชาคมโลกด้วย หลายท่านที่เป็นศาสตราจารย์เก่งๆ ก็เลือกที่จะกลับมาพัฒนาเมือง- ไทย มีการวางแผนโครงการหลายอย่างทีเดียวครับ เช่น แลกเปลี่ยนให้ นักศึกษาไทยได้มีโอกาสไปทำแล็บในต่างประเทศที่อาจารย์ท่านนั้นๆ สังกัดอยู่ หรือมาช่วยร่างหลักสูตรปริญญาโท ปริญญาเอก ให้ด้วย ยิ่งช่วงนี้ รัฐบาลไม่มีงบ ท่านเหล่านั้นก็ยังอาสาหาทุนจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เข้ามาช่วยเหลือโครงการ ก็ต้องขอขอบคุณคณาจารย์ไทยในต่างประเทศ มากๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 18:56:46 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 18:56:31

ความคิดเห็นที่ 25 ในประเทศนี้ไม่มีงานที่ผมอยากทำ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 19:11:37

ความคิดเห็นที่ 26 ผม จะไปญี่ปุ่น ครับ เพราะ คนญี่ปุ่น มีนิสัย คล้ายคนไทย อ่อนน้อม มีน้ำใจ แต่มีระเบียบมากกว่าครับ ทำงานอะไรก็ได้ ขอให้ใจเป็นสุขกว่าทุกวันนี้ครับ จากคุณ : hydrophobia เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 19:20:43

ความคิดเห็นที่ 27 ทุกคนต่างตวามคิดเนอะ... จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 19:22:22

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ไป ถึงจะแย่แค่ไหน ที่นี้มันบ้านผม จะทิ้งบ้านให้พังแล้วเอาตัวรอด สู้ให้บ้านพังทับตายดีกว่า จากคุณ : maninbox เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 19:34:26

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่มีสมองให้ไหลค่ะ แต่ถ้าถามจะไปไหม ไปค่ะ เพราะสู้กับอิทธิพลแถวนี้ไม่ไหว ไปอยู่บ้านเมืองอื่นไม่ต้องคิดถึงผลกระทบจากการทำงาน ไม่ต้องหวังว่าอะไรจะพัฒนาไม่พัฒนาไม่ต้องมีอุดมการณ์ แล้วก็ไปเพราะเบื่อผู้ชายรอบๆ ข้าง ค่ะ ฮะฮะ จากคุณ : sugarhut เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 20:17:58

ความคิดเห็นที่ 30 ไปคับผมก็จะพยายามที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะไปเมืองนอกให้ได้ จากคุณ : tabuya เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 20:23:49

ความคิดเห็นที่ 31 ไหลครับ  .... ไหลไปชนบท จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 20:32:27

ความคิดเห็นที่ 32 ผมจะไหลไปเพื่อสร้างตัวและติดอาวุธให้ตัวเองแข็งแกร่งก่อน... เมื่อไรที่ผมกลับมาผงาดอย่างสิงห์ จะไม่มีใครกล้ามองผมเหมือนเป็น i ลูกหมาอย่างที่เคยเป็นอยู่.... จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 20:50:59

ความคิดเห็นที่ 33 ไป ชั่วคราว (ประมาณ 8 ปี) แล้วจะกลับมาเมืองไทย จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 20:56:16

ความคิดเห็นที่ 34 เคยคิดเหมือนกัน ว่าถ้าเก่งๆจะพัฒนานู่นนี่ของเมืองไทย แต่พอเริ่มโต ก็เริ่มมองเห็นอะไรหลายๆอย่าง ยิ่งได้ฟัง ว่ามีท่านนึง จบมาพร้อมกับไฟโชติช่วง พอมาทำงาน เห็นอะไรไม่ดี ก็เสนอนู่นนี่เยอะแยะมากมาย สุดท้าย ถูกตอกกลับ ด้วยคำพูดที่ว่า "เค้าให้มาทำ ก็ทำไป อย่าสะเออะมาออกความเห็น" ฟังแล้วเศร้าๆไงไม่รู้ (เรื่องข้างบน ฟังมาจากไหนจำไม่ได้แล้ว) ตอนนี้ เบื่อการเมืองไทย เบื่อกีฬาสี เบื่อระบบเส้นสาย และอีกมากมาย ถ้ามีโอกาส ไปแน่นอน จากคุณ : kapmajang เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 21:16:43

ความคิดเห็นที่ 35 เบื่อการเมืองในระบบราชการ มันมีกันทุกระดับ ตั้งแต่กระทรวงยันแผนก  รันทด ตราบใดยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ตราบนั้นปัญหานี้ก็จะไม่จบ จากคุณ : ชาลีฟ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 21:41:27

ความคิดเห็นที่ 36 น่าจะไปชั่วคราว แต่นานหน่อยกว่าจะกลับเพราะอยากหาประสบการณ์ชีวิตก่อนมากกว่า ตอนแก่ๆก็ว่าจะกลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาลัย จากคุณ : jubchay เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 21:52:44

ความคิดเห็นที่ 37 เมืองไทย แค่กลับมาเที่ยวตอนว่างๆ ให้หายเครียดก็พอ คงไปทำงาน หาเงิน สร้างฝันของตัวเองที่นั่น เพราะที่เมืองไทย มันทำไม่ได้ หรือ ทำได้ยากกว่า หรืออาจใช้เวลานานมากจนผมต้องตายก่อนความฝันนั้นจึงสำเร็จ จากคุณ : ZGMF-X10A เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 22:41:42

ความคิดเห็นที่ 38 ทุกวันนี้ก็ไหลอยู่นะ ทำงานให้ต่างชาติแบบเต็มๆเลย ไม่เกี่ยวเนื่องกับประเทศเลย แต่ก็ยังอยู่ในประเทศนะ จากคุณ : หนังสือที่คุณอ่านแล้ววางไม่ลง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 23:01:13

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่ไปค่ะ....อยู่พัฒนาเด็กน้อยกลอยใจดีกว่า ....แต่อาจมีแวบไปแวบมาบ้าง ตอนปิดเทอมใหญ่ เพื่อไปทำวิจัย ซักปีละ 2-3 เดือน (เพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่เมืองไทยมีน้อย ทำงานวิจัยขั้นสูงยาก) ...ทุกวันนี้มีความสุขดี แม้จะงานเยอะ เด็ก ๆ ที่จบไปแล้วยังติดต่อ กลับมาหาอาจารย์อยู่เสมอ ... เพื่อนร่วมงานมักแซวว่า ....อยู่เพื่อเด็ก.... จากคุณ : MissMicrobe เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 23:33:33

ความคิดเห็นที่ 40 ^^ คห บน น่ารักจัง อ่ะ ผมให้หนึ่งจึ๊ก จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 00:53:32

ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อก่อนจากไทยไปผมหวังไว้สูงว่าจะกลับ ตอนก่อนจะจบปีสุดท้ายผมก็พยายามมองหางานที่เมืองไทย คำตอบที่ได้คือไม่มีตำแหน่งงานให้ คนเต็มแล้ว ฯลฯ สุดท้ายแล้วผมก็ลงเอยที่ต่างบ้านต่างเมือง ซักวันหนึ่งถ้าอะไรมันเข้าที่เข้าทางผมก็คงจะได้กลับไทย.. แต่ก็คงไม่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย หรือพัฒนาอะไรแล้วมั้ง ผมจะกลับไปเป็นชาวบ้านธรรมดา ปลูกผักเลี้ยงไก่เลี้ยงปลากินนี่แหละ ชีวิตนี้ผมไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับราชการไทยใด ๆ ทั้งนั้น.. ผมเบื่อราชการไทย จากคุณ : น้ำลายบูด เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 01:26:22

ความคิดเห็นที่ 42   ผมขอเพิ่ม... คนระดับมันสมอง ที่เรากำลังพูดถึงนั้น "ไม่สามารถ" ล่อได้ด้วยเงิน หรืออำนาจหรืออะไรได้ง่ายๆ บุคลากร เหล่านี้ ล้วนแล้ว แต่เข้าใจสภาพแวดล้อม ปัญหา .. เป็นอย่างดี.. ทว่า ที่เค้า "เลือก" ที่จะไป เมืองนอก... เค้าคงต้องให้น้ำหนักเหตุผล แล้วล่ะว่า เค้าชอบ ที่จะอยู่แบบใหน ผมคิดว่า ในที่สุด ถ้าจะแก้ไขปัญหาในทุกเรื่อง ที่กล่าวๆ มา คงต้องเริ่มจาก "คน" หรือ "พวกเรา" ที่มีอุดมการณ์ เดียวกัน ... เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ภายใต้หลักการที่เรา อยากให้เป็น ผมคิดว่า นักวิทย์ ไม่ได้ โง่ การเมืองหรอก แต่ ถ้าถึงจุดนึง เราไ่ม่วางรากฐาน วัฒนธรรม ที่ดีไว้ คนรุ่นต่อไปก็จะยัง โง หัวไม่ขึ้น ทว่า... ถ้า เราอยากอยู่ สบาย เราจะทำไปทำไมเล่า ???? ---------------------------------------------------------- มีแนวโน้มนึงคือ คนกลุ่ม robinhood ที่ไปเติบโตใน us หลายคนประสบความสำเร็จ และอยากกลับมาอยู่เมืองไทย ... กลับบ้านเกิด คนเหล่านี้ เป็นที่น่าคิดว่า เค้ามีประสบการณ์ มี connection มีวัยวุฒิ หลายคนมีเครือข่ายในไทย ... และที่สำคัญมีตังมากกว่า ที่ภาครัฐเมืองไทยจะให้ได้ เราอาจจะไม่ได้ต้องการ เงิน ... หรืออะไรมาขนาดนั้น แต่.. เราแค่ ต้องการ "ที่" จะเชื่อมคนกลุ่มนั้น กับคนรุ่นใหม่ที่จะสานต่อความคิด .... และคนที่มีอำนาจทางการเมืองพอที่จะ พากันไปรอด ---------------------------------------------------- สำหรับผม เอง ผมเลือกที่จะเรียนต่อในไทย ใน แลปวิจัยที่มีคนหลายคนอุดมการณ์ แบบนี้ แต่ไม่วาย ที่สุดก็ยังเจอสภาพการเมืองกันเองในกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจนได้ (แม้ว่าผมจะทำงานกิจกรรมการเมืองนิดๆมาบ้างน่ะ แต่ก็เื่บื่ออยู่ดี) (แอบขอระบายนิดๆ) จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 02:45:43 A:124.120.225.134 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 43 ไปมาแล้วกลับมาแล้วเรียกว่าอะไรครับ? จากคุณ : appendix เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 03:45:15

ความคิดเห็นที่ 44 ^ ไปกลับคับ จากคุณ : maninbox เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 04:27:59

ความคิดเห็นที่ 45 ไปชั่วคราวครับ ผมก็ได้ไปศึกษาที่ออสมา ผมรู้สึกดีตรงที่ เราได้เห็นอะไรที่บ้านเราไม่เห็น การทำงานในแบบของต่างชาติ การบริหารงานต่างๆ ซึ่งต่างจากการทำงานบ้านเรามากมาย แล้วก็นำมาประยุกต์ใช้กับบ้านเราได้ครับ แต่การเป็นอยู่ผมชอบเมืองไทยมากกว่า ... สบายใจกว่ามากมายครับ จากคุณ : ^Nobi^ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 11:29:03

ความคิดเห็นที่ 46 แบบไหนคือสมอง แบบไหนคือไหล? ไหลแล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับกระทู้ดังกล่าว? ถ้าไม่ไหลเลย แล้วเค้าจะมีอำนาจไปแนะนำให้ผู้รับผิดชอบปัญหาของแต่ละเรื่องทำตามได้หรือ? แน่ใจหรือว่าประเทศเรากำลังขาดสมอง ถ้าต้องการมากจริงๆ แล้วเค้ายังจะไหลไปได้อย่างไร? ทำไมถึงมองแต่เรื่อง รายได้ สวัสดิการ ตำแหน่งงาน สภาพแวดล้อม ความรู้ในระดับนั้น เมืองไทยพร้อมจะมีสิ่งที่ คอยสนับสนุนให้ได้ศึกษาวิจัยพัฒนากันทั้งหมดทุกคนเลยใช่ไหมครับ? ผมเห็นว่านักวิจัย ก็เปรียบเสมือน ชนเผ่าเร่ร่อน ที่อยู่ในสภาพแวดล้อม ที่มีทรัพยากรจำกัด จึงกำหนดให้ต้องมีวิถีชีวิตแบบนั้น ถ้าถูกจำกัดให้อยู่แต่ในที่ใดที่หนึ่ง ห้ามโยกย้ายไปไหนเลย ก็ต้องอดตาย แล้วสภาพแวดล้อมในเมืองไทย มันอำนวยให้มันสมองทุกคนลงหลักปักฐาน เลิกเร่ร่อนกันทั้งหมดได้เหรอครับ? เวลานี้ทุนต่างๆ ในเมืองไทยไม่ได้แย่งกันเลยใช่ไหม? ถ้าคำนึงถึงแต่ รายได้ สวัสดิการ ตำแหน่งงาน สภาพแวดล้อม ไม่ใช่สมองก็ไหลได้ครับ จากคุณ : ของเล่นใหม่ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 11:39:52

ความคิดเห็นที่ 47 ผมเห็นว่า ปัญหาในกระทู้ดังกล่าง ต้องโทษ สมองที่ไม่ไหลมากกว่า คุณถูกเก็บอยู่ในมิติที่ไม่ต้องออกมาสัมผัสกับปัญหาอะไรเลยหรือเปล่า? จึงเข้าใจว่าเมืองไทยสมบูรณ์อยู่แล้ว คนที่มีโอกาสแต่ไม่ได้สัมผัสจึงไม่รู้สึก คนที่ได้สัมผัสจึงรู้สึกแต่กลับไม่มีโอกาส เวลานี้ห่วงดีกว่าว่าประเทศที่เจริญเค้าจะยอมรับและสนับสนุน คนที่มีความสามารถของเราในทุกเรื่องไหม สุดท้ายความผูกพันในบ้านเกิด ถ้าประเทศเราต้องการ เค้าก็ต้องนำความรู้กลับมาช่วยพัฒนาแน่นอน แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 52 12:03:58 จากคุณ : ของเล่นใหม่ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 11:52:53

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่ไปครับ เพราะครอบครัวผม ลูก ภรรยา พ่อแม่ อยู่ที่ไทยครับ ตปท. ที่ดินแพง และถ้าไม่ใช่ citizen ก็ซื้อไม่ได้อีก ผมชอบต้นไม้ครับ จากคุณ : โลหการ4 เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 14:27:45

ความคิดเห็นที่ 49 ออกไปหาประสบการณ์นอกบ้าน เพราะมันให้ ประสบการณ์มากกว่า กลับมาบ้าน เพราะมันคือ บ้าน องค์กรณ์ไม่ดี ก็สร้างองค์กรณ์ขึ้นเองใหม่ การเมืองไม่ดี ก็อย่าไปพึ่งมัน ถ้าผลงานเรามีคุณค่าพอ อำนาจทางการเมือง มันจะมาเอง สู้ไม่ได้ก็แค่ตาย แต่ก็ต้องสู้ เพราะยังมีอีกหลายคน อยู่ในบ้านของเรา ปล. สู้เอาจริงๆ คงเอาตัวรอดได้ ไม่ถึงตายหรอก สู้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่อยู่บ้าน มันสบายใจกว่า จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 15:23:18

ความคิดเห็นที่ 50   ขอเสรืมต่อนิดนึง บางทีสิ่งที่ผมกำลังพูดอาจจะกระทบต่อคุณ aLITTLEspaceAround7day เต็มๆ ซึ่งผมจะพยายามให้กระทบน้อยที่สุดน่ะครับ ที่อยากจะชี้ประเด็นนึง ของความไม่ เป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ ของไทย ก็เพราะจุดนึงคือ คนไทยที่ ยังสามารถอยู่กับ ระบบ แบบ ไทยๆ ได้ เป็นคน "ไม่ชอบเอาชนะ". ก่อนอื่น อยากจะแบ่ง คนไทยออกเป็นสองกลุ่ม ..คือกลุ่มที่ชอบเอาชนะ และ ไม่ชอบ ความแตกต่างของสองกลุ่มนี้คือ คนกลุ่มที่ชอบเอาชนะ ... เชื่อมั่นในตัวเองสูง ... คนกลุ่มนี้ จะพยายามทำ ทุกอย่างเพื่อให้ตยบรรลุผล ทั้งทางด้านงาน วิจัย ... เค้าเหล่านี้จะหาหนทางต่างๆ สร้างทฤษฏีหม่ เพียงเพื่อ ประกาศให้รู้ว่า "ข้าถูก" เฉกเช่นเดียวกับคนที่ทำทุกวิถีทาง เพื่อ บรรลุแก่ อำนาจ เงินตรา ชื่อเสียง ส่วนคนอีกกลุ่มนึง คือ คนกลุ่มที่ ไม่ชอบเอาชนะ ... ไม่ชอบการปะทะ ... ปลงต่อ สังสารวัฒน..... คนกลุ่มนี้ เมื่อ ติดปัญหาถึงจุดนึง ... ก็อาจจะมองปัญหาที่ตนเจอ เป็น ทุกข์ หาเหตุดับทุก ... ที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจ ผมเชื่อว่า ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ทางวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เกิดขึ้น จาก คนที่ชอบเอาชนะ.... ทว่า ในสังคมที่ มีเพียงการแสดงความสามารถ คนที่ชอบเอาชนะ จะถูกบังคับให้ ทำ เล่น บนกติกา และเค้นความสามารถของตนมาให้ได้มากที่สุด รางวัลอาจจะเป้นการยอมรับ ชื่อเสียง หรือเงินตรา (สำหรับประเทศทุนนิยม) ทว่า สำหรับเมืองไทย ... คุณไม่จำเป็นต้องมีความสามารถก็ได้ ขอแค่มีเส้นสายที่ดี ......คำแปลนี้ อาจจะเหมือนกับความเห็นที่ผ่านๆ มา ทว่า กลไกนี้ ไม่ทำให้คน เอาความสามารถเชิงบวก ออกมาใช้ กลับทำให้คนเก่งๆ ... เป็น ...วร.... มากขึ้น.. คนที่เก่ง แต่ไม่เห็นด้วยกับระบบแบบนี้ ที่สุดก็จะอยู่ไม่ได้ ... และจะหาทางหนีออกไปยังที่ดีกว่า เหลือแต่คนที่หมดไฟ .... และคนที่ ไม่ชอบเอาชนะ... ที่สุด คนที่มีความพยายาม ความเชื่อ ใดๆ ที่แตกต่าง กับคนอื่น ก็จะถูกมองว่า บ้า .... สังคมที่ มีการพัฒนาแล้ว จะเข้าถึงความ เก่ง ความสามารถ และมีคำที่ดีกว่าคำที่บ้า ... ดังเช่น เราเองที่มอง กับสมาชิกบางคนในบอร์ด.... ในมุมมองผม งานหลายงานของลุงแก หรือวิธีคิด ก็เคยเห็นมีการตีพิมใน paper เพียงแต่ เราเองอาจจะต้องมองว่า ความอดทนต่อ จินตนาการเราต่ำไปมั้ย ??? แม้กระทั้งในสังคม ที่ ต่างมีคนที่มีอุกดมการณ์เดียวกันเอง บางที่การกระทำของเรา ก็อาจจะไปทำลาย โอกาสหรือวิธีคิด และแม้กระทั่งขัดกับ แนวคิดอันสวยหรูที่เราชอบอ้าง ... เราควรจะพยายาม ... อดทน และเข้าใจความ แปลก แตกต่าง ได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาเตือนสติ... ผมขอน้อมรับคำวิจารจากทุกท่านน่ะครับ จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 22:10:01 A:124.122.164.123 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 51 ปัญหาสมองไหล ไม่ได้มีแต่เมืองไทยที่เดียวหรอก ถ้าคุณต้องลงทุนมาเรียนเองด้วยค่าใช้จ่ายปีละ1 ล้านบาท เพื่อกลับไปรับเงินเดือนสองหมื่นเนี่ย ต้องทำงานกี่ปีถึงจะคุ้มต้นทุนที่คุณจ่ายไป แต่ถ้าคุณรับทุนรัฐบาลมาเรียน หน้าที่คุณก็คือกลับไปใช้ทุนตามเงื่อนไขการรับทุนนั้นๆ เราไม่ได้มองว่าการที่คนมาเรียนจบแล้วกลับไปใช้ทุน เป็นการเสียสละแต่อย่างใด ในเมื่อคนได้ทุน รับเงินเค้ามาเรียน กลับไปทำงานใช้ตามเงื่อนไข มันก็เหมาะสมดีแล้ว ถ้าใครมาเรียนด้วยตัวเอง แล้วกลับไปเป็นอาจารย์สอน นั่นถึงจะน่านับถือในความเสียสละเพื่อบ้านเมือง ส่วนตัวเรา เราขอขวนขวายอยู่ที่นี่ก่อน ถ้าอะไรหลายๆ อย่างลงตัว เราก็ทำอะไรได้มากกว่านี้ การช่วยประเทศชาติ ไม่จำเป็นต้องกลับไปทำงานในเมืองไทยเสมอไปหรอกนะคะ จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 00:26:10

ความคิดเห็นที่ 52   ู^ ^ งง ว่าเป็นผู้หญิง จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 01:02:36 A:124.120.216.104 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 53 ใช่แล้ว เป็นนักเรียนทุนแสนสบาย งานก็ไม่ต้องทำ เรียนอย่างเดียว สมัยผม ได้เงินเดือนละ 1,400 เหรียญ คูณ 30 บาทเข้าไป ก็ 42,000 บาทต่อเดือนแล้ว เรียนจบก็มีคนเอางานมาให้อีก ยิ่งถ้ามี ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่สอนอยู่แล้ว เรื่องสอนไม่ใช่เรื่องยากเลย จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 17:16:56

ความคิดเห็นที่ 54 ดังนั้นแล้ว นักเรียนทุนจึงต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ เพื่อนำความรู้ที่ได้กลับมา สอนกลับมาพัฒนาประเทศอย่างเต็มที่ และทำประโยชน์ต่อหน่วยงานให้ได้ สูงสุด จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 17:26:45

ความคิดเห็นที่ 55 ข้อดีของการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล ตรี โท เอก มีอะไรบ้าง 1) ไม่ต้องรบกวนคุณพ่อคุณแม่ให้จ่ายเงินค่าการศึกษาตั้งแต่จบ ม.ปลาย และยังมีเงินเหลือกลับไปให้ท่านได้ด้วย 2) พ่อแม่มีความภาคภูมิใจ 3) ได้เงิน 10 ล้านบาทไปเรียนหนังสือ ได้ปริญญา ได้อาชีพหน้าที่การงาน ได้สอนนักศึกษา ซึ่งถ้าขยันตั้งใจอย่างสม่ำเสมอ ก็มีความก้าวหน้าในอาชีพ ถ้าอยู่ในมหาวิทยาลัย อย่างเบาะๆ ถ้าคิดจะทำ ก็ต้องไปถึงตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ได้โดยไม่ยากเย็น แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 52 17:33:49 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 52 17:33:23 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 17:32:32

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ ฟหกด - เราเป็นหญิงตั้งแต่เกิดนะคะ ^^ ส่วนเรื่องการเป็นนักเรียนทุน เราไม่ได้อิจฉาริษยา หรือมีอคติหรอกนะคะ เพียงแต่เคยเจอนักเรียนทุน "บางคน" ชอบอ้างถึงบุญคุณที่ตัวเองมีต่อแผ่นดินไทย เพราะว่าเค้าต้องทิ้งโอกาสที่ดีใน ตปท เพื่อกลับไปรับใช้ชาติ อย่างที่บอกแหละค่ะ เรามองว่าเค้ารับเงินรัฐบาลไทยมาเรียน มันก็ไม่แปลกที่ต้องกลับไปทำงานใช้ทุนตามเงื่อนไข ไม่เห็นจะต้องมาอ้างว่าตัวเองมีบุญคุณต่อประเทศชาติ เสียสละ หรือ รักชาติมากกว่าคนไทยคนอื่นๆ แต่อย่างใด นักเรียนทุนบางคนที่เรารู้จัก ไม่ได้มีทัศนคติ และ ความตั้งใจพัฒนาการศึกษาไทยแบบอาจารย์หลายๆ ท่านในห้องนี้หรอกนะคะ เค้าคิดว่าการมาเรียนต่อเนี่ย ถือว่ามาพักผ่อน + เก็บเงิน + ใช้ชีวิตเริงร่าซะมากกว่า จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 52 18:36:34

ความคิดเห็นที่ 57 (ไม่ทราบกระทู้ ยังมีคนเข้ามาอ่านไหม) แต่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คห 56 (คุณ Living Extreme) เห็นหลายคนได้ทุนไปเรียน ตปท แต่ใช้ชีวิตเหมือนมาพักผ่อน มิได้ ทำเต็มที่ (อย่างตอนที่ ก่อนสอบ เพื่อให้ได้ทุนมา) จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 52 21:07:35

ความคิดเห็นที่ 58   มาทำงานครับ เพื่อ ทำเงิน ไปๆกลับๆ เพราะ จบ ดร. แล้ว ไม่มีอะไรทำที่ไทย ไปสมัครงานองค์กรก็ ไม่มีตำแหน่งว่าง ไปสมัครอาจารย์ ม.รัฐ ดังๆ ในกรุงเทพ 2 ที่ ก็ ไม่รับเพราะอายุน้อย (ไม่มีประสบการณ์สอน ซึ่งงงเหมือนกัน แทนที่จะจัดสอบ หรือวัดผลให้ชัดเจนไปเลย งง อยู่นานว่าระบบคัดเลือกมันยังไง ต่อมาจึงได้เข้าใจว่ามันเป็นตำแหน่งประเภท ชั่วคราว ไม่บรรจุ อะไรทำนองนี้นะครับ สามารถคัดเลือกได้แบบยืดหยุ่นไม่ต้องเป็นพิธีการเหมือนเมื่อก่อน เพราะการปรับเปลี่ยนระบบราชการ) สมัยเรียน รับทุนที่ไม่มี bond เลยตกงานตอนนี้ อยากทำสิ่งที่ทำได้และเชี่ยวชาญ ขอความกรุณาอย่าอ้างว่า ให้ทำด้วยใจ อะไรทำนองนี้เลย พอไปได้งาน lecturer ที่ภาคอีสานบ้านเกิด สอนอยู่ มหาวิทยาลัย XXXX ต่างจังหวัด เงินเดือน 14,000 + ค่าครองชีพอีกกี่ร้อยลืมแล้ว หักนู้นหักนี่ ค่ากินค่าอยู่ ส่งพ่อ ส่งแม่ สิ้นเดือนเหลือเก็บ 1000 บาท ขนาดยังไม่มีเมียไม่มีรถนะ สิ่งที่สอนก็ไม่ใช่สิ่งที่เรียน สิ่งที่เรียนมาก็ไม่ได้ใช้เลย นานๆ เข้า ก็เบื่อ ตอนนั้นการเมืองไทยระอุมาก วันหยุดกระหน่ำ ทำอยู่ปีหนึ่ง ก็หางานต่างประเทศ สมัครไว้ 4 ที่ เป็น researcher 2 ที่และ postdoc 2 ที่ สักพักก็ accepted มา 3 ที่ (เป็น postdoc accepted 2 ที่) ภายในสองเดือน งงเหมือนกัน เขาต้องการเราขนาดนี้เชียว สุดท้ายเลือก researcher เพราะสัญญา 5 ปี สามารถเริ่มงานได้เลย ก็บินเลยครับ ปัจจุบันสบายดี มีเงินเก็บ มีเงินส่งบ้าน และที่สำคัญ " ทำงานในสาขาที่ตัวเองจบมาใช้สมองได้ 100 % เต็ม" มีความสุขดี คำตอบสำหรับคำถามของ จขกท นี้คือ เมื่อมีโอกาส จะสมองไหลมาทันที เพราะเมื่อมีคนยื่นโอกาสที่ดีกว่า ขอย้ำว่าต้องดีกว่า ย่อมต้องรับไว้เสมอ เมื่อโอกาสนั้นได้ถูกกลั่นกรองแล้วว่า ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และทำให้คุณภาพชีวิตของเราและของครอบครัวดีขึ้น โดยส่วนตัว (ย้ำว่าส่วนตัว โปรดอย่าตำหนิ) ความจำเป็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องเงิน เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผมสมองไหล เพราะผมต้องเลี้ยงดูครอบครัว ครอบครัวไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มีเงินกินจนตาย ทุกคนในบ้านต้องกินต้องใช้ และผมต้องการมีครอบครัวจึงต้องสร้างรากฐานด้วยตนเอง ไม่มีเงินแล้วจะไปขอลูกสาวใครเขาจะให้ ไม่มีเงินพ่อเงินแม่ให้แบมือขอ เหมือนตอนเด็กๆแล้ว (เห็นวัยรุ่นปากซอยบ้านแต่งงานพ่อแม่ต้องเอา รถเข็นขายก๊วยเตี๋ยวไปจำนองกับธนาคารหมู่บ้าน แล้วเอาเงินไปจัดงานที่ศาลาประชาคม เห็นแล้วอนาถ สงสารคนแก่ หวังกำไรจากซองแค่ซองละร้อยสองร้อย) จากคุณ : TOMBO เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 20:05:22 A:123.136.68.2 X: