ความคิดเห็นที่ 1 2. รูปขวาแผ่นโลหะทั้งคู่ต่ออนุกรมกับหลอดไฟ ถ้ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านระหว่างแผ่นโลหะคู่นี้ หลอดไฟจะสว่าง ถามว่าเมื่อเอาแผ่นโลหะรูปขวา จุ่มในบีเกอร์ทางซ้ายมือ ซึ่งมี น้ำกลั่น น้ำก๊อก น้ำเกลือ และน้ำเชื่อม บีเกอร์ไหนที่จะทำให้หลอดไฟสว่างบ้าง? ปัญหาข้อนี้ (และข้ออื่น ๆ ที่เป็นรูปเชิงทดลองเช่นเดียวกับข้อนี้) ผมแอบขโมยมาจากเว็บของมหาวิทยาลัยต่างประเทศ จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:36:27

ความคิดเห็นที่ 2 3. ตัวอะไรครับเนี่ย แล้ว NTC มันมีความหมายอะไรรึเปล่า? จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:37:07

ความคิดเห็นที่ 3 4. ระบุคุณสมบัติของ OP-AMP ในอุดมคติของค่าต่าง ๆ ต่อไปนี้ Gain (A), Input Impedance (Rin), Output Impedance (Rout), Bandwidth, Common Mode Rejection Ratio (CMRR) ข้อนี้มีเฮนิดหน่อย เพราะมีการประท้วงว่าในอุดมคติ CMRR ควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ ระหว่างสูงมาก หรือ ต่ำมาก 5. LED มีมากมายหลายสี (แดง, เหลือง, เชียว ฯลฯ) รู้มั้ยครับว่าเค้าทำให้มันเป็นสีต่าง ๆ เหล่านั้นได้ยังไง? จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:37:56

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อ 6-8 ผมลอกมาจากสคริปซึ่งเป็นบทพูดของพิธีกร 6. 'ตัวเก็บประจุชนิดที่มีค่าความจุคงที่ น้อง ๆ คงเคยได้ยินชื่อกันหลากหลาย เช่น ตัวเก็บประจุชนิดกระดาษ ตัวเก็บประจุชนิดไมก้า ตัวเก็บประจุชนิดเซรามิก ตัวเก็บประจุชนิดฟิล์มพลาสติก ตัวเก็บประจุชนิดอิเล็กโทรไลต์ ตัวเก็บประจุชนิดแทนทาลัม น้อง ๆ รู้มั้ยค่ะว่าตัวเก็บประจุที่เรียกชื่อแตกต่างกันหลากหลายเหล่านี้เราแบ่งประเภทกันด้วยอะไร (ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการบอกว่าตัวนี้คือไมก้า ตัวนี้คือเซรามิก)' 7. 'Potentiometer หรือที่นิยมเรียกกันว่า Volume เห็นหลายทีมใช้ตัวนี้กันนะคะ เช่นน้อง ๆ โรงเรียนอนุบาลทั้งสองใช้ Volume 1KA (15 mm) อยากทราบว่าเจ้าตัว “A” นี่มันคืออะไร มันบอกอะไรเรา ถ้า ดร. ปู ซื้อ Poten 100 KB ร้านขายของเค้าจะงงมั้ยคะ?' 8. '(พิธีกรหยิบ C ขึ้นมาตัวหนึ่ง) ปกติปัญหาที่จะเกิดขึ้นบ่อยกับตัว C คือปัญหา leakage ระหว่างแผ่นโลหะที่วางอยู่ใกล้ ๆ กันในตัว C เรามีวิธีวัดด้วยมัลติมิเตอร์ (แบบเข็ม) อย่างง่ายในการดูว่าตัวเก็บประจุตัวนี้เสียรึเปล่า ก่อนอื่นเราต้องมั่นใจก่อนนะคะว่า C ตัวนี้ไม่ได้เก็บประจุ ให้คายมันเสียก่อน (ลองถามน้อง ๆ ว่าจะทำให้มันคายประจุได้ยังไง? เฉลยคือให้นำขาทั้งสองของ C มาช็อตกัน) สมมติว่า C ตัวนี้มีความจุ 10 uF และคายประจุหมดแล้ว ปรับมิเตอร์สำหรับวัดค่า R ที่พิสัย 1K แล้วปรากฎว่าเข็มกระดิกแวบหนึ่งแล้วตกกลับมาที่เดิม น้องคิดว่าตัวเก็บประจุตัวนี้ดีหรือเสียคะ?' 9. จากรูปเป็นหน้าจอของ Oscilloscope ถ้าเราปรับ VOLTS/DIV = 1 และ TIME (s)/DIV = 0.2 สัญญาณในรูปที่ 8 มีค่าถี่กี่ Hz จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:38:41

ความคิดเห็นที่ 5 10. (จากสคริปต์พิธีกร) 'น้อง ๆ เปิดโฟลเดอร์รูปภาพ k6-01.gif ใน Flash Drive หลอดไฟที่มีกำลังต่างกัน 2 ดวงต่อขนานกับแหล่งจ่ายไฟ AC 110 V (การทดลองจากรูปนี้ทำให้อเมริกา) น้อง ๆ จะเห็นว่าหลอดไฟที่มีกำลังสูง (มีขนาดทางกายภาพใหญ่) จะสว่างกว่าหลอดไฟที่มีกำลังต่ำกว่า ให้ถือว่าหลอดทั้งสองดวงสว่างเต็มที่พอดี ถามว่าถ้าเปลี่ยนจากหลอดที่ต่อขนานกันมาเป็นการต่ออนุกรมกันจะเกิดอะไรขึ้น? (หลอดไหนสว่างกว่า หรือสว่างเท่าเดิม เพราะอะไร)' จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:39:35

ความคิดเห็นที่ 6 11. (จากสคริปต์พิธีกร) 'ไฟล์ k6-11b.gif แบตเตอรี่ทั้ง 3 อันเหมือนกัน และ หลอดไฟทั้ง 2 ดวงเหมือนกันทุกประการ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเปิดสวิตช์คะ ให้ถือว่าแบตฯ ที่ต่อในรูปนี้ทำให้หลอดไฟสว่างเต็มที่พอดี' สวิตช์อยู่แบบคันโยก โยกไปมาระหว่าง OFF กับ ON นะครับ ในภาพนี้คันโยกอยู่ที่ OFF จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:40:50

ความคิดเห็นที่ 7 12. (จากสคริปต์พิธีกร) 'หลอดไฟทั้ง 2 ดวงเหมือนกันทุกประการ และมีตัวเก็บประจุต่ออนุกรมกับหลอดไฟทั้งสองคั่นกลาง (ชี้ที่รูป) ถ้าเราเปิดสวิตช์ไปทางซ้าย (ลองถามเล่น ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นคะ คำตอบ หลอดไฟทั้งสองดวงก็จะสว่างระหว่างที่มีการ charge ตัวเก็บประจุ และค่อย ๆ อ่อนแสงลงเมื่อตัวเก็บประจุได้รับการชาร์จจนเต็มแล้วมันก็คือฉนวนดี ๆ นี่เอง ไม่มีกระแสตรงใดสามารถไหลผ่านได้ หลอดไฟทั้งสองจึงดับ ลองชมไฟล์วีดีโอค่ะ - ไฟล์ k7-15.mpg) คำถามคือถ้าเราเปิดสวิตช์ไปอีกฝั่ง (ชี้ที่รูป ผลักสวิตช์ไปทางขวา เป็นการปลด source 3 V ออก) น้อง ๆ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลอดไฟทั้งสองดวงนี้?' จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:41:39

ความคิดเห็นที่ 8 13. (จากสคริปต์พิธีกร) 'หลอดไฟ 2 ดวงที่เหมือนกันทุกประการต่อกับแบตเตอรี่และสวิตช์โดยมีหลอดหนึ่งดวงหนึ่งต่ออนุกรมกับตัวเหนี่ยวนำ ถ้าเราเปิดสวิตช์ เราะจะพบว่าหลอดที่ต่ออยู่กับตัวเหนี่ยวนำจะถูกหน่วงเวลาให้สว่างช้ากว่าหลอดที่ไม่ต่อกับตัวเหนี่ยวนำครู่นึง (ลองถามเล่น ๆ ว่าทำไมคะ? คำตอบ ตัวเหนี่ยวนำไม่ยอมให้กระแสเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด ตามความสัมพันธ์ v = L(di/dt) มีแรงดันตกคร่อม L จนกว่าจะถึง steady state ที่ i คงที่ ทำให้ di/dt = 0, v จึงเท่ากับ 0 ช่วงเวลานี้เองที่หน่วงให้หลอดไฟที่ต่ออนุกรมกับ L ค่อย ๆ สว่างขึ้น) คำถามสำหรับข้อนี้คือ ถ้าเราปิดสวิตช์ไฟ หลอดไฟแต่ละดวงจะเป็นยังไง? (ดับพร้อม ๆ กัน, ค่อย ๆ ดับ, ใครดับก่อนดับหลัง)' จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:42:19

ความคิดเห็นที่ 9 14. (จากสคริปต์พิธีกร) 'รูปแสดงแผ่นตัวเก็บประจุ แผ่นโลหะทั้ง 2 แผ่น (ชี้ที่ภาพ) มีขนาดเท่ากัน และถูกประจุด้วยจำนวนประจุเท่ากันแต่เป็นประจุชนิดตรงกันข้ามกัน และความความต่างศักย์ระหว่างแผ่นทั้งคู่เป็นค่าคงที่ค่าหนึ่ง สมมติว่า V1 น้อง ๆ คิดว่าถ้าเราเลื่อนให้แผ่นโลหะทั้ง 2 ห่างมากขึ้น โวลท์มิเตอร์ตัวนี้ (ชี้ที่รูป) จะอ่านค่าโวลท์ได้มากขึ้นหรือลดลงคะ เพราะอะไรคะ?' จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:43:00

ความคิดเห็นที่ 10 15. (จากสคริปต์พิธีกร) 'ถ้าวัดแรงดัน Output จากรูปได้ 20 V น้อง ๆ คิดว่าเกิดจากสาเหตุอะไรค่ะ?' จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 13:43:22

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อแรกน่าจะเป็นทรานซิสเตอร์ จากคุณ : CozyMKIV เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:05:31

ความคิดเห็นที่ 12 ปาด...ไม่ทัน จากคุณ : ทะเลคราม (blueocynia) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:16:13

ความคิดเห็นที่ 13 NTC นี่  คณะกรรมการ ก ท ช ใช่เปล่าครับ จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:19:23

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ใช่เลยครับ :P คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ National Telecommunication Commission (NTC) จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:24:58

ความคิดเห็นที่ 15 ขอเดาดีกว่า ข้อ 3 เป็นเซนเซอร์ใช้วัดอุณหภูมิ (NTC)Negative Temperature Coefficient หรือเปล่าครับ ข้อ 5 ใช้การ dope สาร เช่น แกลเลียมอาเซไนต์ แกลเลียลซัลไฟด์ ข้อ 7 สัมประสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงความต้านทานเมื่อหมุนแกนปรับความต้านทาน มีแบบ linear และ non linear จากคุณ : Zero Fighter เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:26:36

ความคิดเห็นที่ 16 1 ทรานซิสเตอร์รุ่นแรก คิดค้นโดยสองคน คือ บาร์ดีนและ แบรตเทน ส่วนอีกคนนึงคือ ช๊อกลีย์ คิดค้นอีกแบบนึง รึเปล่าคะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:29:50

ความคิดเห็นที่ 17 อันแรกใช่ทรานซิสเตอร์ สาม ขา ป่าวครับ เหมือนกับที่สมัยก่อนแงะมาจากวิทยุ แต่ที่แงะมาตัวมันดำๆ จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:33:53

ความคิดเห็นที่ 18 4. Gain = infinity, Rin = 0 Ohm, Rout = infinity 8. C ยังใช้ได้ 9. 1.25Hz 13. หลอดบนดับก่อน 15. D3 ขาด จากคุณ : oppertunity เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:38:54

ความคิดเห็นที่ 19 #15 คุณ Zero Fighter ขนาดเดานะนี่ ข้อ 3 ถูกต้องนะครับ เสริมนิดนึงว่าตัว thermistor แบ่งออกเป็น 2 ชนิด NTC (ที่ไม่ใช่คณะกรรมการ กทช. :P) กับ PTC (Positive Temperature Coefficient) เป็นตัวบอกว่าความต้านทานกับอุณหภูมิมีความสัมพันธ์กันยังไง ข้อ 5 ขอเสริมนิดหน่อยนะครับ จริง ๆ แล้วจะเรียกว่า dope ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะคำว่าการ dope นี่โดยทั่วไปเราหมายถึงทำให้สารกึ่งตัวนำ intrinsic ชิ้นนั้นกลายเป็นสารกึ่งตัวนำ extrinisic เช่น n-type หรือ p-type แต่การที่จะทำให้มันเปล่งแสงออกมาได้นี่นะครับ นอกจากจะทำให้มันมีโครงสร้างแบบไดโอด (มีรอยต่อ p-n) แล้ว เราต้องเลือกสารกึ่งตัวนำ ปกติเราใช้ซิลิกอน แต่กรณีซิลิกอนกระบวนการ electroluminescence ของมันปล่อยโฟตอนย่านความถี่ที่ตามองไม่เห็นออกมา สีของ led ถูกกำหนดโดยสารกึ่งตัวนำครับ (ไม่ใช่ด้วยการ dope) เช่น แกลเลี่ยมอาเซไนต์ที่ยกตัวอย่างมา (จริง ๆ ตัวนี้ก็ปล่อยโฟตอนที่ตามองไม่เห็นนะครับ ปล่อย infrared) หรือ แกลเลี่ยมอาเซไนต์ฟอสไฟด์ (AlGaAs) ปล่อยสีแดง จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:44:13

ความคิดเห็นที่ 20 #17 คุณ vn, man อันแรกถ้าพูดให้ตรงเป็นรูป point-contact transistor ครับ (บุกเบิกยุค solid state) คนประดิษฐ์ก็ตามที่คุณมิ้นบอกไว้ครับ Bardeen กับ Bratten ส่วนอีกคนคือ William Shockley นั้นเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะผู้เขียนคำอธิบายเชิงทฤษฎีของ point-contact transistor ตัวนี้ ทั้ง 3 คนแชร์รางวัลโนเบลร่วมกัน จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:48:28

ความคิดเห็นที่ 21 #18 คุณ oppertunity 4. ถูกต้องนะครับ (ขาด CMRR กับ BW) 5. เห็นด้วยครับ C ยังใช้ได้ (จะลองช่วยอธิบายให้ความรู้หน่อยได้มั้ยครับ) 9. ถูกต้องครับ 13. ทำไมคิดว่าหลอดบนดับก่อนครับ 15. ถูกต้องครับ (และไม่น่าเชื่อว่าข้อนี้มีนักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์บางแห่งงง - อาจจะคิดไม่ถึงว่าทำไมมันง่ายขนาดนี้ก็ได้ ^ ^) จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 14:55:28

ความคิดเห็นที่ 22 ลืมหมดๆ 555+ อ่านอย่างเดียวดีกว่า จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:02:02

ความคิดเห็นที่ 23 ขออนุญาต คุณศลถามเป็นความรู้หน่อยว่า zener diode หากจ่ายแรงดันกลับให้มากกว่าที่มันจะทนได้ zener diode จะพังแบบ เปิดวงจรหรือ ปิดวงจรคะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:03:24

ความคิดเห็นที่ 24   #1 เป็นทรานซิสเตอร์ตัวแรกครับ เป็นแบบที่ปัจจุบันเรียก bipolar junction transistor เพิ่มเติม ที่เรียก transistor เพราะมาจาก transfer resistor (ชื่อการทำงานอย่างย่อๆ) ที่เรียกว่า base เพราะเป็น "ฐาน" จริงๆ ตามรูป ที่เรียก emitter มาจาก electron emitter ที่เรียก collector มาจาก electron collector จากข้างบน คงพอจะเห็นว่า T ตัวแรกเป็นแบบ npn กระแสหลักไหลจาก collector ไป emitter เพราะ electron จำนวนมากไหลจาก electron emitter ไป electron collector จากคุณ : kuzibimun เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:04:59

ความคิดเห็นที่ 25   #4 A = Inf, Rin = Inf, Rout = 0, Bandwidth = Inf CMRR ผมเห็นว่าควรเป็น Inf เพราะ จากนิยามของ gain, Vout = diff_gain ( delta_v_over_inputs ) + common_gain ( sum_v_over_inputs ) CMRR วัด ratio ของ ( diff_gain / common_gain ) เป็น dB ซึ่งเราต้องการ Vout = A * ( delta_v_over_inputs ) เพราะฉนั้น ค่าอุดมคติควรมี diff_gain = A = Inf และ common_gain = 0 จากคุณ : kuzibimun เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:15:58

ความคิดเห็นที่ 26 #21 คุณศล ข้อ 5 เป็นเพราะว่าช่วงที่เข็มมิเตอร์ตีขึ้น เป็นช่วงที่ตัวเก็บประจุยังไม่มีประจุ กระแสไฟฟ้าเลยผ่านได้ครับ แต่พอผ่านไปซักพัก ประจุเต็ม กระแสไฟฟ้าก็ผ่านไม่ได้แล้วครับ เข็มมิเตอร์เลยตก ข้อ 13 ตอบผิดง่ะ จริงๆ จะต้องตอบว่าหลอดล่างดับก่อน เพราะหลอดบนยังสว่างได้อีกแป๊บนึงจากกระแสที่ค้างอยู่จากการเหนี่ยวนำของขดลวดครับ จากคุณ : oppertunity เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:19:24

ความคิดเห็นที่ 27 ข้อ 13 ผมว่า ค่อยๆดับพร้อมๆกันนะครับ เพราะพอตัดไฟออก พลังงานในขดลวดมันจะไหลผ่านทั้งสองหลอด ถึงจะครบวงจรได้ จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:43:45

ความคิดเห็นที่ 28 #27 เออแฮะ ผมลืมมอง loop ไปเลย จากคุณ : oppertunity เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:46:22

ความคิดเห็นที่ 29 #23 มันมี failure ได้ทั้ง short และ open ครับ ปกติถ้ากลัว power dissipation สูงจน destroy ให้มัน open เค้าก็นิยม duplicate หรือ tripicate มันซะ #24 คุณ kuzibimun ขออนุญาตcแสดงข้อคิดเห็นแตกต่างนิดหน่อยครับ ผมคิดว่า point-contact tr. กับ junction tr. แตกต่างกันนิดหน่อย และเห็นด้วยว่ามีการใช้ terminology (base, emitter, collector) มาจากทรานซีสเตอร์ในรูปนี้ครับ ข้อแตกต่างที่ว่าคือ กระแส input น้อย ๆ ของ point-contact tr. อยู่ที่ขั้ว emitter ส่วนขั้วกระแส output สูง ๆ นั้นได้แก่ขั้ว base กับ collector ครับ (แต่สำหรับ BJT กระแสอินพุทน้อย ๆ เข้าที่เบส และกระแสเอ้าพุทสูง ๆ ที่คอลเลคเตอร์กับอิมิตเตอร์ BJT ผลิตขายหลังจาก point-contact tr. ครับ) #25 คุณ kuzibimun เห็นด้วยครับ CMRR จากนิยามของมันต้องเป็น Inf. นิยาม CMRR = |Adm/Acm| Adm = เกนโหมดผลต่าง (สูงมาก ๆ) Acm = เกนโหมดร่วม (ต่ำมาก ๆ) #26 คุณ oppertunity คำอธิบายข้อ 5 ผมว่าโอเคนะครับ ไม่ผิด แต่ขอเสริมอีกมุมมองหนึ่งนิดหน่อยว่าโครงสร้างของ C มันมีฉนวนคั่นกลางตัวนำ 2 ขั้ว (ผมจำเลือนลางในตอนเรียนวิชา electromagnetics ได้ว่า ไดโพลของฉนวนที่บิดจากสนามไฟฟ้านั่นแหละครับเป็นตัวเก็บสะสมพลังงาน - อันนี้ไม่ชัวร์) แต่ที่ชัวร์คือ C ดี ๆ ไม่มีกระแสไหลผ่านมันได้ ตอนปรับวัด R มิเตอร์จ่ายกระแสให้ C ที่ไม่มีประจุ ทำให้ประจุค่อย ๆ สะสมที่ขั้วของ C ทั้งสองขั้ว ทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจร (แต่ไม่น่าจะมีอิเล็กตรอนอิสระเคลื่อนที่ผ่าน C) อิเล็กตรอนค่อย ๆ ถูกดึงจากขั้ว C ที่ต่อกับขั้ว + ทำให้แผ่นขั้ว C ขั้วนั้นค่อย ๆ มี potential เป็นบวก ขณะเดียวกันอิเล็กตรอนก็ถูกผลักไปสะสมที่แผ่นขั้วอีกด้านของ C และสะสม potential ลบ กระทั่ง potential ที่ขั้ว C กับขั้นแหล่งจ่ายเท่ากัน ก็ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหล เข็มมิเตอร์จึงตกลงมา ผมคิดว่าข้อ 13 เป็นเหมือนที่อาจารย์ ksk #27 ว่ามานะครับ คือ ค่อย ๆ ดับพร้อม ๆ กัน จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 15:55:38

ความคิดเห็นที่ 30   1. Transistor 2. ผ่าน รายละเอียดไม่พอ 3. NTC Thermistor (Negative Temperature Coefficient) 4. คร่าวๆ Gain (A) --> Flat, Input Impedance (Rin)--> infinity, Output Impedance (Rout)-->0, Bandwidth ---> กว้าง, Common Mode Rejection Ratio (CMRR)-->ไม่สน ขึ้นอยู่กับจะใช้ทำอะไร 5. Dope สารให้ที่มี band gap ต่างกัน e' เคลื่อนจากชั้น energy ต่างกัน ปล่อยแสงคนละความยาวคลื่นกัน 6. แบ่งตามตัวกั้นตัวนำ (ฉนวนตรงกลาง) 7. Potentiometer เกี่ยวไรกะ Volume งง 8. การเคลียร์ประจุเอาขามาต่อกัน ทำให้ศักย์สองด้านเท่ากัน ต่อกับDMM โมดวัดความต้านทาน มีการจ่ายกระแสเข้าตัว C เพื่อวัด V คร่อม หากวัดได้แสดงว่ามีความต้านทาน C ยังไม่เสีย (มั๊ง) 9. t=0.2*4=0.8--->f=T^(-1) หาเอาเองคร้านกด 10. P=IV, V=IR --->ต่ออนุกรม I เท่ากันหมด กระแสเข้าหลอดเล็กมากกว่าเดิม หลดเล็กขาดจ้า ไม่ติดทั้งคู่ 11. หลอดล่างยุบเข้าเป็น R ในแบตสองก้อนซ้าย เมื่อเปิด on เหมือนเอาแบตอีกก้อนมาต่อขนาน V คร่อมหลอดลดลอง หลอดหรี่ลง 12. ดับทั้งคู่ ไม่มีกราวให้ลง C เก็บไฟอยู่ 13. ดับพร้อมกันเช่นกัน ตัดกราวน์ออกจากระบบ 14. มากขึ้น V=KQ1Q2/R2 15. D3 ขาด จากคุณ : หมึกหยอย เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 16:10:21 A:172.16.63.54 X:203.185.69.73 TicketID:216612

ความคิดเห็นที่ 31 1. ทรานซิสเตอร์ 2. น้ำก๊อก+น้ำเกลือ 3. คาปาซิเตอร์ 4. ลืมๆแล้ว จำได้แค่ Input Impedance (Rin) infinity, Output Impedance  - 0 A  น่าจะสูงๆนะ 5. สีพลาสติก? 8. ดี 10. หลอดแรกสว่างกว่า หลอดที่สองแรงดันจะตก ืที่เหลือลืมเรียบ T_T จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 16:49:53

ความคิดเห็นที่ 32 ข้อ 15 นี่แปลงกระแสสลับเป็นไฟตรง ซีโน่ ไดโอด ขาดเหรอครับ (ไม่งั้นมันต้อง 10 โวลซ์สิ) -*- จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 16:55:03

ความคิดเห็นที่ 33   คืนไปหมดแล้ว -*- จากคุณ : คนมันเซ็ง เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 16:57:29

ความคิดเห็นที่ 34 #2 หน้าตามมันเหมือนหลอดไดโอด เลยแหะ - -* จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 17:25:30

ความคิดเห็นที่ 35 #30 ข้อ 7 โดยทั่วไปเราแบ่งการใช้งานของ variable resistor (ตัวตานทานแบบเปลี่ยนแปรค่าได้ - เชื่อมั้ยครับว่าบางทีพอเราพูดถึง adjustable resistor หรือ ตัวต้านทานปรับค่าได้ จะมีเด็ก ๆ งงกัน เพราะคิดว่ามันเป็นจำพวกเดียวกัน) จะมีการใช้งาน 2 แบบ rheostat กับ potentiometer ครับ จึงมีหลายคนเรียกตัวต้านทานที่ใช้งานแบบ potentiometer ว่า potentiometer ครับ เวลาไปซื้อของบ้านหมอ เราก็เรียกมันว่า volume (10 KA หรือ 100KB ก็ว่าไป ขึ้นกับว่าต้องการ log scale หรือ linear scale) #31 คุณ house (panote_saechiew) 1. ถูกต้องนะครับ 2. ถูกต้องเช่นกันครับ 3. ตัว thermistor ครับ 4. ถูกต้องครับ 5. ไม่ใช่แล้วละครับ 8. ถูกครับ 10. ทำไมครับ 15. ใช่ครับ มันขาด จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 17:47:12

ความคิดเห็นที่ 36 เหลือข้อให้ให้ตอบได้มั่งครับ จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 18:21:04

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบข้อ 5 ละกัน ใช้สารแต่ละชนิดกัน ให้ความยาวคลื่น(สี)ต่างกัน แบบในรูปนะ จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 18:37:01

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วน LED สีขาว มี 2 แบบ แบบแรก ใช้ LED สีน้ำเงิน แล้วเคลือบด้วย Phospher(ฟอสเฟอร์)สีเหลือง เรืองแสง ทำให้ผสมออกมาได้สีขาว ที่เห็นเหลือง ๆ ข้างหน้านะ Phospher จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 18:41:21

ความคิดเห็นที่ 39 สีขาวอีกวีธีจะใช้ แม่สี   แดง เขียว น้ำเงิน   อยู่ในหลอดเดียวกัน ผสมกันให้ได้สีขาว หลอดพวกนี้ใช้ทำจอ LED ใหญ่ ๆ (indoor)  แบบที่เห็นตามโรงหนัง ที่เอามาแทนจอ โปรเจคเตอร์นะ จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 18:44:26

ความคิดเห็นที่ 40 ลืมรูป จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 18:46:22

ความคิดเห็นที่ 41 หลายคนตอบไปแล้ว ขอมาอ่านดีกว่า ยังดีใจที่ตอบได้เกินครึ่ง ^^ ชอบกระทู้นี้จัง เหมือนกลับไปเรียน ปวช. ใหม่เลย ^^ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 52 18:54:28 จากคุณ : Steyr Commando เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 18:52:00

ความคิดเห็นที่ 42   ขอบคุณคุณศลมากครับ ผมเพิ่งรู้จัก point contact transistor วันนี้ ทีแรกเข้าใจว่า bipolar เพราะมอง n-p-n สองข้างมาแปะกัน จากคุณ : kuzibimun (kuzibimun) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 19:34:45

ความคิดเห็นที่ 43 1. Transistor ตัวแรก 2. น้ำเกลือกับน้ำกลั่น รึเปล่าครับไม่แน่ใจ 3. เป็นThermistor ส่วน NTC : Negative Temperature Coefficient อุณหภูมิสูงขึ้นค่าต่ำลง 4. Gain (A) : Flatและinfinity    Input Impedance (Rin) : infinity    Output Impedance (Rout) : 0    Bandwidth ---> กว้าง เป็น infinity    Common Mode Rejection Ratio (CMRR) : สูงมาก<<< ไม่แน่ใจ 5. ใช้สารต่างชนิดกัน หรือชนิดเดียวกันแต่โด๊ปต่างกัน 6. แบ่งตามฉนวนกั้นกลาง 7. ตัวอักษรข้างหลังจะบอกค่าความต่านทานต่อการหมุนของ VR    A : Logarithmic    B : Linear    C : Anti - Logarithmic    MN : Balance 8. ยังดีอยู่ กระแสตอนแรกเป็นกระแสชาร์ต 9. 1.25 Hz 10. ถ้าหลอดมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกอย่างยกเว้นค่า W หลอดจะสว่างเท่ากัน เพราะอนุกรมกันกระแสไหลเท่ากัน 11. ถ้าคิดตามกฎการแบ่งแรงดัน น่าจะไม่มีผลอะไรเลย 12. ถ้าสวิตช์ผลักไปทางขวา ให้ครบวงจร หลอดไฟจะสว่างจากกระแสดิสชาร์ตของ C และก็จะหรี่ลงเรื่อยๆจนดับเมื่อ C ดิสชาร์ตหมด 13. หลอดจะค่อยๆดับพร้อมกัน เนื่องจากเมื่อปิดสวิตช์กระแสที่สะสมใน L (ในรูปสนามแม่เหล็ก) จ่ายออกมาและครบวงจรผ่านหลอดไฟทั้งสอง 14. ข้อนี้ไม่แน่ใจครับ 15. D3 ขาด ไหนๆๆถูกกี่ข้อ จากคุณ : หวาก เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 20:25:27

ความคิดเห็นที่ 44   โอ้วพึ่งเห็น เอา led ก่อน จริงๆ มีพวก SiC และอื่นๆ อีกครับที่ทำสีแปลกๆได้ ถามว่าได้ยังไง ก็เพราะค่า BandGap ตามที่ตอบไป ... แต่... มี LED อีกบางกลุ่มที่กำลังจะเอามาใช้กันที่ใช้การควบคุม เช่น OLED ที่การเปลี่ยนหมู่ Function สามารถเปลี่ยนค่า สีได้ .. หรือ Led ที่ใช้ ความหนาของชั้น ในการควบคุมความยาวคลื่นแสงที่ปรากฏ หรือ LED สีขาวที่ จขกท บอกไป จริงๆ ได้มีการเอาสาร PhosPhor อื่นๆมาใช้ (อันที่จริง สีขาวผมไม่อยากเรียกว่า PhosPhor น่ะ เพราะมัน เป็นการ ขยาย Spectrum ออกไป แบบเป็นแถบต่อเนื่องกันกว้างๆ .. ถ้าเป็น Phosphor มันจะแปลงจากสีนึงไปยังอีกสี ค่า Spectrum จะมี ค่า สูง อยู่เป็นกระหย่อม) ข้อ 6. ชนิดของ dielectric ใช่มั้ยครับ ข้อ 7 ระวังครับ A กับ B อาจจะสับกันได้ ... จริงๆ แล้ว A กับ B ในสมัยนี้กับสมัยก่อนบางทีสลับกันน่ะครับ ต้องเช็คดีๆ (Linear กับ Log ไม่ขึ้นกับ A หรือ B) ข้อ 2 ผมคุ้นๆ ว่าเป็นน้ำตาลเพราะ ..ใันแตกตัวไม่เหมือน NaCl คุ้นๆ ว่าดูจากใหนสักที่ ??? ข้อ 13 หลอดทั้งสองติด แล้วก็ดับ (แต่อาจจะดับเพราะหลอดขาด) ข้อ 15 ง่ายๆก็ โหลดเป็น reactive คือป้อนไฟกลับ กวนนิดๆ ก็ มีคนเอาไปแช่ในไนโตรเจนเหลว.... ข้อ 8 ต้องดูขั้วของ multimeter น่ะครับว่า ตอนวัด R ให้อันใหนเป็น + อันใหนเป็น - เพราะมิเตอร์เข็มกับ Digital ออกแบบมาไม่เหมือนกัน เดี๋ยวชาร์ต ลง C มีขั้วไปไม่เข้าแล้วอาจจะงงๆ ไ้ด้ จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 02:09:54 A:124.120.216.59 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 45 +++   ข้อ 14  กำลังอยากรู้ครับ   ขอเดา         E=Q/C         C= KA/D         เมื่อ D เพิ่ม C ย่อมลดลง     เมื่อ C ลดลง แรงดันจะเพิ่มขึ้น         น่าจะหมายถึงต้องใช้แรงดันในการชาร์ทเพิ่มขึ้นทนแรงดันได้มากขึ้น         ปัญหาคือชาร์ทไว้ 1 โวลท์ แล้วเลื่อนออกไป         1 ประจุมีแรงกระทำต่อกัน  F=KQ1Q2/d^2 ....F ลดลง(ก็คือEลด)         2 ประจุไฟฟ้าที่แผ่นทั้งสองต่อผ่านเครื่องวัดเป็นการวัดเปรียบเทียบ            ประจุระหว่างแผ่นทั้งสอง....น่าจะได้ความต่างศักย์เท่าเดิม จากคุณ : ตาเป๋า เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 11:35:12

ความคิดเห็นที่ 46 #43 คุณหวาก ถูกเกือบหมดเลยนะครับ มีข้อที่ไม่เห็นด้วย ดูรูปเฉลยจากการทดลอง ข้อ 2 จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 13:16:03

ความคิดเห็นที่ 47 #43 คุณหวาก 10. หลอดที่มีกำลังต่ำกว่าจะสว่างกว่าครับ จาก P = V2/R ตอนต่อขนาน V ที่ตกคร่อมหลอดไฟ 2 ดวงเท่ากัน หลอดที่มีกำลังสูงกว่าจึงเป็นหลอดที่มี R ต่ำกว่า แต่พอนำมาต่ออนุกรมกัน I ที่ไหลผ่านเท่ากัน แรงดันตกคร่อมหลอดที่มี R สูงกว่าจึงมากกว่า พูดง่าย ๆ ว่า V ตกคร่อมหลอดเล็กมากกว่าหลอดใหญ่ครับ ทำให้หลอดเล็กสว่างกว่า (ดูรูปเฉลยจากการทดลองจริง) จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 13:16:57

ความคิดเห็นที่ 48 #45 คุณตาเป๋า 14. เฉลย V มากขึ้น เพราะ C ~ 1/d เมื่อ d คือ ระยะห่างระห่างระหว่างแผ่นแพลต และ Q = CV หรือ V = Q/C ดังนั้น V ~ d จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 13:17:35

ความคิดเห็นที่ 49 นี่มัน คำถาม YECC 2009 ใช่มั้ยครับ คุ้นๆ มากมาย ครับ จากคุณ : LinkinTua เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 04:27:47

ความคิดเห็นที่ 50 ง่ายทุกข้อเยย จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 19:30:59