ความคิดเห็นที่ 1 จากตำนานเชื่อถือได้ ซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลกคือ พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ในบทของเจนีซิส (Genesis '6:4') ก็มีใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า; "There were giants in the earth in those days;." ซึ่งแปลได้ความว่า แต่ก่อนโน้นเคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกของเรานี้เช่นกัน ในประเทศอังกฤษนั้น มีนิยายปรัมปราอยู่มากมายที่กล่าวถึงรากษสและแถมมีการเสริมทับให้เห็นจริง ด้วยหลักฐานทางโบราณวัตถุมากมาย เป็นสิ่งก่อสร้างประหลาดๆที่มีขนาดใหญ่โตและยังไม่มีนักโบราณคดีหน้าไหน สามารถอธิบายให้เจ๋งๆได้เลยว่าสิ่งก่อสร้างมหึมาแปลกประหลาดเหล่านี้นั้นใคร เป็นคนสร้าง สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด และสร้างไว้ทำไม อย่างเช่น กองหินประหลาดที่มีฉายานามบันลือโลกว่า "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge) นี่ ก็มีนิยายปรัมปราที่พวกชนพื้นเมืองเล่าซุบซิบ ต่อกันมาว่า เป็นสิ่งก่อสร้างของยักษ์ แต่นักโบราณวิทยาทั้งหลายแหล่ไม่ยอมเชื่อ กลับโต้แย้งว่าเป็นสถานีดาราศาสตร์ของ ชนเผ่านิรนาม สร้างขึ้นในสมัยนิรกาล พูดง่ายๆก็คือ ใครเป็นผู้สร้างตั้งแต่สมัยไหน อ้าว..ไม่รู้แล้วทำไมตอบได้หล่ะว่าไม่ใช่ยักษ์เป็นผู้สร้าง นอกจากตัวอย่าง สโตนเฮนจ์ดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ พวกรอยแกะสลักมหึมาตาม พื้นหินตามหน้าผาของภูเขาและเนินหืนเนินเขาหลายแห่ง มีรูปร่างเป็นวงโค้งกว้างใหญ่หรือไม่ก็เป็นรูปมนุษย์ขนาดมหึมาทำท่าอะไร บางอย่างที่คนรุ่นหลังดูไม่ออก แต่พวกชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีถิ่นกำเนิดสืบต่อกันมาชั่วลูกชั่วเหลนในแถบ นั้นมีเรื่องเล่าปรมปราสืบทอดกันมาว่า สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาพิสดารเหล่านี้เป็นฝีมือ ของพวกยักษ์ในสมัยโบราณทำเอาไว้ตอนรับการมาของเทพเจ้าของเขา ภาพจาก www.dailymail.co.uk แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 15:38:09 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 15:37:06

ความคิดเห็นที่ 2 ปาดดดด รูป#1 หน้าแบ๊วมากครับ จากคุณ : Time & Trust เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 15:40:03

ความคิดเห็นที่ 3 ปู๊นนๆๆ.... ปาดเป็นขบวน จากคุณ : พระยาผูกพันธ์สันธไมตรีศรีสยาม (BONDJUNG_TH) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 15:41:47

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งก่อสร้างบนพื้นหินในทำนองนี้มิใช่จะมีอยู่แต่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ในแถบอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ก็มีเหมือนกัน แถมยังมีโบราณสถานที่สร้างด้วยหิน แต่มีขนาดสแกลที่ใหญ่ผิดปกติอีกจำนวนมากมายหลายพันแห่ง มีทั้งวิหารที่มีประตูและหน้าต่างขนาดใหญ่ ใหญ่เกินความเหมาะสมสำหรับคนธรรมดา มีทางลาดและขึ้นบันไดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถก้าวขึ้นได้ทีละก้าว และที่น่าพิศวง ก็คือมีการแกะสลักหินเอาไว้เป็นแท่นลักษณะคล้ายที่นั่งหือเก้าอื้ แต่ก็มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะขึ้นไปนั่งได้ ต้อนปีนขึ้นไปนั่งถึงจะนั่งได้ สิ่งก่อสร้างมหึมาสแกลผิดปกติเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาของที่มาและวัตถุประสงค์ และยังคงลี้ลับสุดก้นบึ้งก็คือไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ที่พวกนักโบราณวิทยา ส่ายหน้าไม่ยอมเชื่อก็คือ คำบอกเล่าปรัมปราที่เล่าสืบทอดกันมาในหมู่ชนพื้นฐานโบราณ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในแถบนั้นพวกเขาบอกว่า "นั่นคือเมืองของพวกยักษ์ ซึ่งกาลครั้งกระโน้นเคยมีอำนาจรุ่งเรื่องอยู่ในแถบนั้น" คราวนี้มาดูรายงานจากหนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุชื่อ "History and Antiquities of Afterdate" ของ อังกฤษมีรายงานแปลกๆซึ่งน่าเชื่อถือได้อยู่คอลัมน์หนึ่งกล่าวถึงการค้นพบ สิ่งแปลกประหลาดมนประเทศอังกฤษเป็นประวัติการค้นพบเกิดขึ้นในสมัยกลาง (Middle Ages) มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า "ในการขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ (Cumberland) ได้ขุดไปเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (ประมาณ 3  เมตร) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื่อเกราะเหล็กแบบโบราณซึ่งไม่ทราบว่า เป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนึ้วเท้าพบว่ามีความยามถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาดมหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 15:41:51

ความคิดเห็นที่ 5 ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่า มีหัวกระโหลก หน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว "ปัจจุบันนี้เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพ ได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของมิสเตอร์แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sand's of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ได้ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อมิสเตอร์ไวเบอร์ แห่งเซนท์บีส์ (Wyber's of St.Bees)" นี่แหละครับ รายงานเก่าแก่ฉบับแรกจากสมัยแรกจากสมัยยุคกลางในอังกฤษ โครงกระดูกมนุษย์ขนาดสูง 4 หลา หรือ 12 ฟุต ชิ้นส่วนต่างๆของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้นถูก พวกนักสะสมของเก่า หรือของแปลกๆแย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกันอีกเลย รายงานอีกชิ้นหนึ่ง เป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ (Dr.Mazurier) เขียนบันทึกเอาไว้เป็น "แพมเฟลต" (pamphlet) หรือเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า "มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ (Chaumont) ในอังกฤษ ในสุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกระโหล กถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต" ในรายงานกล่าวว่า ดร.มาซูริเออร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไป ขายในตลาดมืด ของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Mus'ee de Pale ontologie ในกรุงปารีส คนงานเหมืองในอิตาลี ขุดค้นพบในปี 1856 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 15:51:08

ความคิดเห็นที่ 6 ปาดดดดดดดดดดด +โหวต จากคุณ : เจ้าชายโดดเดี่ยว เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 15:58:09

ความคิดเห็นที่ 7 โหวตครับ จากคุณ : เทนโด หลานคุณย่า (Awonizuka) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:00:40

ความคิดเห็นที่ 8 รูปติดเรท - - จากคุณ : jakkrissana เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:00:49

ความคิดเห็นที่ 9 บันทึกจากปูมเรือแมกเจลแลน สมัยปี พ.ศ. 2063 ในบันทึกกล่าวว่า "ในเดือนมิถุนายน ของปีพ.ศ. 2063 กองเรือสำรวจทวีปแมกแจลแลนได้แล่นเรือใบเข้าสู่ฝั่ง (ปัจจุบันคือบริเวณชาย ฝั่ง "Port San Julian" ในประเทศอาเจนติน่า) ปรากฏมีมนุษย์ตัวโตยีนอยู่ริมหาดเป็นพวกคนป่าที่มีความสูงใหญ่มาก ถ้าวัดเทียบขนาดกับพวกเรา พวกเราคงสูงแต่เอวของมนุษย์พวกนั้น (พวกลูกเรื่อแมกแจลแลนมีความสูงเฉลี่ย 5 ฟุต ถึง 6 ฟุต)  ลูก เรือได้จับพวกคนป่าร่างยักษ์ไว้ได้สองคนล่ามโซ่ตรวนนำกลับมากับเรื่อด้วย หวังว่าจะนำกลับไปยุโรป แต่เจ้าคนป่าร่างยักษ์ทั้งสองไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เลยเสียชีวิตคาโซ่ตรวนในขณะเดินทางกลับ จึงต้องโยนศพทิ้งทะเลไป" นอกจากบันทึกโบราณจากปูมเรือแมกแจลแลนแล้วยังมีบันทึกปูมเรื่องที่น่าสนใจ อีกฉบับหนึ่งเป็นบันทึกจากการเดืนเรื่อของคณะสำรวจทวีปใหม่โดยหัวหน้าคณะ ชื่อ คอมโมดอร์ ไบรอน (Commodore Byron) ซึ่งเป็นกัปตันอาวุโสของกองเรือดอลฟิน (Dolphin) ได้ออกปฏิบัติการสำรวจดินแดนในแถบช่องแคบแมกแจลแลน ในปีพ.ศ.2307 และ ได้พบกับคนพื้นเมือง ที่มีรูปร่างใหญ่โตมหึมา ผิดมนุษย์มนาเข้าอย่างจัง กัปตันไบรอนได้บันทึกลงในสมุดปูมเรือสำรวจมีใจความตอนหนึ่งว่า "คนหนึ่งในพวกนั้น ซึ่งตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นหัวหน้าเผ่า ได้ตรงรี่มาหาข้าพเจ้า ซึ่งเดินนำหน้าคณะลงจากเรือบดขึ้นมาบนหาดทรายถึงชายป่าละเมาะพอดี เขามีโครงร่างใหญ่โตมหึมาจริงๆ เขาสวมหนุงสัตว์บางชนิดพาดคาด คลุมไหล่ห้อยลงมใาปิดถึงต้นขา มีเชือกมัดคาดเอว ข้าพเจ้าไม่ได้วัดขนาดรูปร่างของเขาแต่ประมาณการเทียบ กับตัวข้าพเจ้าซึ่งสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว เขาจะต้องมีความสูงประมาณ 8 ฟุตเป็นอย่างน้อย เมื่อการพบปะที่น่ากลัวผ่านไปด้วยดี ต่างต้องใช้ภาษาใบ้และการคำนับน้อมเพื่อแสดงความเป็นมิตร เมื่อเขาพาไปที่หมู่บ้าน ที่พวกเขาอาศัย ก็พบคนที่มีรูปร่างใหญ่โต บางคนสูงถึง 14 ฟุต แม้ข้าพเจ้าจะยืนเขย่งและเอื้อมมือไปจดสุดแขน ยังไม่สามารถแตะคางของพวกเขาได้เลย ส่วนพวกผู้หญิงมีความสูง 8 - 10 ฟุตเท่านั้น" ฟอสซิลรอยเท้าที่ค้นพบใกล้ริมแม่น้ำ Paluxy ใน Glen Rose รัฐ Texas จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:01:10

ความคิดเห็นที่ 10 บันทึกของชาร์ลส์ ดาร์วิน บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เป็นนักเดินทางสำรวจธรรมชาติ นักสัตว์ศาสตร์ และนักมนุษย์วิทยา ตัวยง ของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 มี การจดบันทึกแบบ "แพมแฟลต" (สมุดจดย่อเล็ก ๆ ) ส่วนตัวของเขา ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งในบันทึก ขณะที่เขาได้เดินทางไปสำรวจดินแดนแถว ๆ แหลม เกรกอรี (Cape Gregory) และได้ไปเจอเอาชนเผ่าดงดิบที่มีรูปร่างมหึมาเข้ากับตาตนเอง "พวกนี้มีความสูงใหญ่มากกว่า ชาวยุโรปทั้งหมดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ฟุต และมีบางคนสูงถึง 12 ฟุต ผู้หญิงก็มีความสูงในสัดส่วนพ่อ ๆ กับผู้ชาย นับว่าเป็นชนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาในชีวิต" ในปี พ.ศ. 2512 นักโบราณคดีชาวอิตาเลี่ยน ได้ขุดพบสุสานรากษส ซึ่งมีโครงกระดูกอยู่ 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโรงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผา ซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใด ๆ ไว้ให้เห็นเลย ขุดพบอยู่ในบริเวณตำบล Terracina อยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีได้ทำการตรวจสอบโดยละเอียด แล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า "โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกระโหลกถึงปลายเท้า สูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35 -40 ปี โดยประมาณ พวกเขาเหล่านี้ยังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบ ๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มา เป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือ เราไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใด ๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย..." ฟอสซิลขุดพบในไอร์แลนด์ปี 1895 และได้ถูกนําไปแสดงโชว์ในนิทรรศการที่  Liverpool และ Manchester ถูกเรียกว่า "fossilized Irish giant" แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 16:11:58 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:09:45

ความคิดเห็นที่ 11 มีตำนานของพวกอินเดียแดงในอเมริกาอีกเผ่าหนึ่งซึ่งเป็นเผ่าที่เก่าแก่มาก อยู่ทางเหนือ พวกนี้คือ เผ่า Sioux Indian จากหนังสือประวัติศาสตร์ชื่อ Ohio Historical and Archaelolgical Society Vol.2 ได้กล่าวถึงตำนานที่เล่าสืบถอดกันมาแต่โบราณว่า "บรรพบุรุษ เคยอาศัยอยู่ในดินแดนป่าหนาวตอนเหนือ (แถบมินเนโซต้า) มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน กาลครั้งนั้นก็ปรากฏมีพวกยักษ์สูงใหญ่ล่ำสันน่ากลัวบุรุกเข้ามาจากทางใต้ จึงเกิดการต่อสู้กันเวลาช้านาน พวกมนุษย์ยักษ์ทยอยกันเข้ามาแต่ก็ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ จนพวกมันหายสาบสูญไปในที่สุด " จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:14:24

ความคิดเห็นที่ 12   ต่อเลยครับ รออ่านอยู่... จากคุณ : nobuts เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:18:00

ความคิดเห็นที่ 13 มาทันสดๆเป็นครั้งแรก ให้กำลังใจ Mr.Terran ครับ จากคุณ : Thadias เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:22:12

ความคิดเห็นที่ 14 ในตำนานหรือนิทานพื้นบ้านของไทย ที่เล่าต่อสืบทอดกันมานั้น หลายเรื่องได้เอ่ยถึงยักษ์ ทำให้น่าฉงนว่า สมัยดึกดำบรรพ์ อาจมียักษ์อยู่บนโลกนี้จริง เพราะเมื่อศึกษา พระคัมภีร์ของคริสเตียน ก็พบว่าได้เคยเอ่ยถึงยักษ์เช่นกัน "ในคราวนั้น มีคนเนฟิล (พวกมนุษย์ยักษ์) อยู่บนแผ่นดิน..." (ปฐมกาล 6.4) " แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ที่นั่น เราเห็นคนเนฟิลในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตน ในสายตาของเขาก็เหมือนกัน" (กันดารวิถี 13.32-33) จากเรื่องราวในหนังสือปฐมกาลและหลวงพินิจน้องวิ๊ง เอ๊ย..กันดารวิถี ซึ่งเป็นหนังสืออยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า มีมนุษย์ยักษ์เนฟิล ลักษณะของมนุษย์ยักษ์นั้นคือ มีรูปร่างใหญ่โต แสดงว่าจะต้องมีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในสมัยนั้นมากนัก ทั้งๆ ที่ตามหลักฐานทางโบราณคดีหลายชิ้นระบุว่า มนุษย์โบราณทั่วไปก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในปัจจุบันนี้ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:27:13

ความคิดเห็นที่ 15 ปาดครั้งแรกในชีวิต จากคุณ : shinjoker เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:31:27

ความคิดเห็นที่ 16 ขอปาดด้วยคนครับ อิอิอิ จากคุณ : BarLock เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:32:19

ความคิดเห็นที่ 17 แต่นี่ มนุษย์ยักษ์เนฟิลกลับมีรูปใหญ่โตกว่ามนุษย์โบราณยุคแรกๆของโลก จึงทำให้คนส่วนใหญ่เกิดคำถามขึ้นมาว่า มนุษย์ยักษ์มีจริงหรือ ? หรือว่าพระคริสต์ธรรมคัมภีร์โมเม เขียนขึ้นเอง ? ก่อนจะหาคำตอบของคำถามดังกล่าว ต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่ามนุษย์ยักษ์ อาจจะมีความหมายได้สองนัยคือ นัยแรก อาจจะหมายถึง ที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนธรรมดา มีความเข้มแข็งแกร่งกล้ากว่า ส่วน นัยที่สอง อาจจะหมายถึงมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่โต แต่ผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไป เช่น ลักษณะของยักษ์แบบไทยๆ ที่มีเขี้ยวโง้งออกมุมปาก มีลวดลายบนใบหน้า เป็นต้น ซึ่งนัยหลังนี้เป็นแบบภาพยักษ์ในจินตนาการมากกว่า สำหรับ มนุษย์ยักษ์ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์นั้น พระคัมภีร์ เขียนถึงทั้งก่อนสมัยนํ้าท่วมโลกหรือมหาอุทกภัย และหลังนํ้าท่วมโลก (ในหนังสือกันดารวิถี) นอกจากนั้น ยังเขียนถึงมนุษย์ยักษ์ที่ชื่อโกไลแอธ ชาวฟิลิสเตีย คนเมืองกัท สูงหกศอกคืบ สวมเสื้อเกราะหนักถึง 5,000 เชเคล ตัวหอกหนัก 600 เชเคล โกไลแอธเป็นยอดทหารที่เก่งกล้า ไม่มีนักรบคนใดกล้าต่อกรด้วย แต่ก็ต้องมาตายเพราะนํ้ามือของดาวิด เด็กเลี้ยงแกะที่มีเพียงสลิงเป็นอาวุธ ตํานานของโกไลแอธ ภาพจาก www.darkershadeofsports.com จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:33:18

ความคิดเห็นที่ 18 งั้นพวกเราก็เป็นลูกหลานของเซนทราดี้สินะ! จากคุณ : ELchan เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:36:35

ความคิดเห็นที่ 19 ความสูงของโกไลแอธนั้น หากเทียบมาตรากับสมัยนี้แล้วก็ประมาณ 9 ฟุต (270 ซม.) โกไล แอธ มีเรื่องราวบันทึกไว้ในพระคัมภีร์หลังนํ้าท่วมโลก และอยู่ในสมัยของดาวิด ซึ่งต่อมากลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงองค์หนึ่งของอิสราเอล ช่วงเวลาเหล่านี้ เป็นช่วงที่การจดบันทึก การจารึกต่างๆอยู่ในขั้นเจริญแล้ว เมื่อสรุปเรื่องราวจากคัมภีร์แล้ว แสดงว่า มนุษย์ยักษ์มีจริง มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกของโลกตอนที่มนุษย์กำลังเริ่มแพร่พันธุ์ นักโบราณคดีและนักมนุษยศาสตร์ ได้พยายามค้นหาหลักฐานสนับสนุนว่า เคยมีมนุษย์ยักษ์อยู่ในโลกนี้จริง ปรากฏว่าค้นพบหลักฐานมากมายกระจายอยู่ในหลายแห่ง โดยเฉพาะที่มลรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา ขุดค้นพบโลงศพขนาดยาว บรรจุศพขนาด 12 ฟุตได้สบาย โครงกระดูกผุกร่อนเป็นผงหมดแล้ว โลงนี้พบอยู่ในเนื้อหิน อีกรายขุดค้นพบที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย พบโครงกระดูกมนุษย์สูงถึง 12 ฟุต พร้อมฟัน 2 แถว ใกล้ๆกับโครงกระดูก ขุดพบเปลือกหอยรูปทรงแปลกๆ ขวานหินที่ใช้เป็นอาวุธ และเศษอาหาร ประกอบด้วยอาหารทะเล และเนื้อช้างแมมมอธที่สูญพันธุ์ไปจากโลกหลายล้านปีแล้ว จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:36:51

ความคิดเห็นที่ 20   ต่อเลยครับ กำลังเพลิน... จากคุณ : nobuts เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:37:38

ความคิดเห็นที่ 21 ูู^^ จากคุณ : ไม่ได้อ่าน เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:42:15

ความคิดเห็นที่ 22 ที่เกาะอีสเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีแท่งหินแกะสลักเป็นใบหน้าและหัวมนุษย์ จำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ ขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่สุดขนาดสูง 30 ฟุต แต่ละรูปแกะสลักจากหินแข็งมีอายุเก่าแก่ไปถึงยุคหิน ซึ่งมนุษย์ยุคนั้นยังใช้หินเป็นเครื่องมือ รูปสลักบางรูปตั้งอยู่ ห่างจากแหล่งหินแข็ง หลายกิโลเมตร และมีขนาดใหญ่โตมาก ไม่ มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเคลื่อนย้ายหรือสกัดได้ นอกจากมนุษย์ยักษ์เท่านั้น มนุษย์สมัยหินไม่มีทางทำได้เลย ที่ผนังหินแห่งหนึ่งใกล้กับแดนมหัศจรรย์ แกรนด์แคนยอน สหรัฐอเมริกา มีรูปเขียนโบราณรูปหนึ่ง แสดงให้เห็นภาพมนุษย์กำลังต่อสู้กับช้าง มีขนพันธุ์โบราณที่เรียกแมมมอธ ช้างชนิดนี้ เท่าที่พบซากฝังอยู่ในนํ้าแข็ง ในสหภาพโซเวียตรัสเซีย พบว่ามีร่างใหญ่โตกว่าช้างธรรมดามาก สูงราว 9-13 ฟุต มีงาที่ยาวน่ากลัว แต่ภาพเขียนโบราณดังกล่าว เป็นมนุษย์ต่อสู้กับช้างแมมมอธ แสดงว่า ต้องเป็นมนุษย์ยักษ์ร่างกายใหญ่โตพอๆ กับแมมมอธ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:52:17

ความคิดเห็นที่ 23 ประตูหินโบลิเวีย เป็นหลักฐานอีกชิ้น หนึ่งที่แสดงให้เห็นฝีมือของมนุษย์ยักษ์ หินแต่ละก้อนหนักถึง 10 ตัน (10,000 กิโลกรัม) คนธรรมดา ไม่สามารถนำขึ้นไปเรียงซ้อนกันได้แน่ๆ ยังมีอีกหลายอย่าง ที่แสดงถึงฝีมือของมนุษย์ยักษ์ เช่น ขั้นบันไดป้อมปราการของมนุษย์ก่อนหน้าเผ่าอินคาในเปรู สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้ล้วนใหญ่โตเกินกำลังความสามารถของมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเรา มีการขุดค้นพบแท่งหินสกัดเป็นรูปมนุษย์ จมอยู่ในทรายที่ทะเลทรายตอนเหนือของประเทศชิลี เป็นโครงมนุษย์ที่สูงถึง 32 ฟุต แสดงว่าต้องสกัดจากแบบที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงกับความจริง หลักฐานอีกหลายชิ้นบอกชัดเจนว่า เป็นร่องรอยของมนุษย์ยักษ์ เช่น รอยเท้ามหึมา ที่เหยียบลงบนโคลน แล้วกลายเป็นหินภายหลัง ก้อนหินที่สกัดจนกลมดิกขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 7 ฟุต จำนวนมากมาย อยู่บนเกาะคอสตาริกา มีผิวเรียบเกลี้ยงเกลา หินกลมดิกเหล่านี้กระจัดกระจายกันอยู่ ทั้งใกล้และไกล ไม่ใช่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:56:05

ความคิดเห็นที่ 24 นักโบราณคดีชื่อนาย เอียน ลอตัน( Ian Lawton )จากหนังสือเรื่อง The Lost Wisdom of Our Forgotten Ancestors ได้วิจัยพระคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อว่า ในอดีตมีมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่โตเหมือนยักษ์มีชื่อเรียก เน็ฟฟิลิม Nephilim มนุษย์เผ่าพันธุ์นี้ได้ปกครองโลกในยุคก่อนน้ำท่วมโลก เอียน ลอตัน อธิบายว่า มนุษย์เผ่าพันธุ์ เน็ฟฟิลิม นี้ได้ถูกเอ่ยถึงครั้งแรกในบทที่หกของหนังสือเจนีสิสในพระคัมภีร์เก่า The Old Testament ซึ่งได้อธิบายชีวิตของมนุษย์ก่อนน้ำท่วมโลก และยังให้ข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย โดยบอกว่า "ในกาลโน้น มียักษ์อาศัยอยู่บนโลกนี้" ในพระคัมภีร์ของชาวฮีบรูพูดถึงมนุษย์กลุ่มนี้โดยเรียกเขาว่า "ชายที่แข็งแรง mighty men"อธิบายต่อว่า คนเผ่านี้เป็นลูกของผู้หญิงธรรมดา หมายถึงลูกสาวของมนุษย์ธรรมดา ซึ่งถูกทำให้ตั้งครรภ์โดยกลุ่มเทวดาที่เป็นลูกของพระเจ้า The sons of God. นิทานเรื่องเดียวกันนี้ถูกเล่าอย่างละเอียดในหนังสืออีนอค The Book of Enoc ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่รู้จักกันดีหลายร้อยปีก่อนการประสูติของพระเยซูคริสต์ ใน หนังสืออีนอคนี้เล่าว่า มีเทวดา 200 องค์ ลงมาบนโลกมนุษย์นี้ และมาทำให้มนุษย์ที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ลูกที่เกิดมาจึงมีรูปร่างใหญ่โตเหมือนยักษ์ และเทวดากลุ่มนี้ก็ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาที่ลึกลับ ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนให้มนุษย์ เช่น เรื่องมายาศาสตร์ magic, sorcerer, witchcraft, การเล่นแร่แปรธาตุ Alchemistry การแยกรากของต้นไม้ ดาราศาสตร์ การใช้สี ตลอดจนถึงการทำอาวุธเช่นดาบ เกราะ กระจก และ เครื่องประดับต่าง ๆ ถึงแม้ว่า มนุษย์ยักษ์ที่แข็งแรงเหล่านี้จะมีปัญญาและความรู้ที่ลึกลับมากมาย ความที่ยังมีกิเลสอยู่ จึงทำให้ประพฤติผิดทำนองคลองธรรม ทำบาป จึงทำให้พระเจ้าโกรธเคืองมาก จนถึงขนาดต้องกวาดล้างมนุษย์ยักษ์ที่ได้แพร่พันธุ์ออกลูกหลานอยู่บนพื้นโลก เหล่านี้ให้สิ้นซาก ฉะนั้น เรื่องน้ำท่วมโลกนี้จึงมิใช่มีจุดประสงค์ที่จะทำลายมนุษย์เผ่าดั้งเดิม แต่ต้องการขจัดมนุษย์ยักษ์เชื้อสายเทวดาเหล่านี้ จึงต้องให้แน่ใจว่า มีแต่เรือของโนอา Noah Arch เท่านั้นที่จะรอดได้ เอียน ลอตัน( Ian Lawton ) แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 17:03:41 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:02:37

ความคิดเห็นที่ 25 ขอ ปาด (ครั้งแรก เลยนะเนี่ย ) จากคุณ : Layzue เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:02:39

ความคิดเห็นที่ 26 เนฟิลิมกับดาวเคราะห์ X ภายหลังการค้นพบดาวเนปจูน ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 8 ในระบบสุริยะ เพอร์ซิวาล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันพบว่าตำแหน่งของดาวยูเรนัสและเนปจูนต่างไปจากที่ ควรจะเป็น เขาจึงเสนอว่ามีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกดวงหนึ่ง ส่งแรงโน้มถ่วงมารบกวน เขาเรียกมันว่าดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) ซึ่งจะสังเกตว่า X ในที่นี้ แสดงถึงการเป็นดาวเคราะห์ลึกลับที่ยังค้นไม่เจอ ไม่ใช่ตัวเลขโรมันที่หมายถึงเลข 10 แต่อย่างใด แต่เมื่อ ไคลด์ ทอมบอก์ ได้ค้นพบดาวพลูโตเมื่อปีค.ศ. 1930 และมันก็มีขนาดเล็ก มวลไม่มากพอที่จะส่งแรงโน้มถ่วงไปรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัสและเนปจูนได้มาก เท่าที่คาดไว้ นักดาราศาสตร์จึงตามหาดาวเคราะห์เอกซ์กันต่อไป ซึ่งในคราวนี้มันคือดาวเคราะห์ดวงที่ 10 (ในสมัยที่พลูโตยังมีสถานะเป็นดาวเคราะห์อยู่) ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ไม่คิดว่าดาวเคราะห์เอกซ์ตามสมมติฐานของ โลเวลล์มีอยู่จริง เพราะหลังจากยานวอยเอเจอร์ได้เดินทางเฉียดใกล้ดาวยูเรนัสและเนปจูน ทำให้สามารถวัดมวลที่แม่นยำได้ อีกทั้งไม่พบแรงรบกวนใดๆ ที่มากระทำต่อยานอวกาศ 4 ลำที่เดินทางออกไปสู่อวกาศนอกระบบสุริยะ ทั้งไพโอเนียร์ 10 และ 11 กับยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 นักดาราศาสตร์อธิบายได้ว่าสาเหตุแห่งความผิดปกติในการโคจรของยูเรนัสและ เนปจูนที่โลเวลล์พบ เกิดขึ้นเพราะขณะนั้นยังไม่ทราบมวลของดาวเคราะห์ทั้งสองดวงที่แม่นยำพอ ทำให้ผลการคำนวณตำแหน่งคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง วงโคจรของ nibiru จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:13:06

ความคิดเห็นที่ 27 ผู้ที่มีส่วนสำคัญในทฤษฎีที่อาจเชื่อมโยงดาวนิบิรุกับดาวเคราะห์เอกซ์ มีอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) อีกคนหนึ่ง คือ แนนซี ลีเดอร์ (Nancy Lieder) ผู้อ้างว่ามีความสามารถในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว นายซิตชินเขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มแรกตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ. 1976 เผยแพร่ความเชื่อในทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ ที่ว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกในอดีต การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและภาพจารึกโบราณอายุ 6,000 ปี ของชาวสุเมเรียน ที่แสดงให้เห็นวัตถุ 12 ชิ้นบนท้องฟ้า ซึ่งซิตชินตีความว่านั่นคือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กับดาวเคราะห์อีก 10 ดวง ทำให้เขาเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวเดินทางมาจากดาวเคราะห์ที่ยังไม่พบอีกดวง หนึ่ง นั่นคือ ดาวนิบิรุ (Nibiru) เขาอธิบายอย่างเสร็จสรรพว่ามันโคจรรอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรรูปวงรีที่มีความรี สูง (จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดกับจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ต่างกันมาก) คล้ายวงโคจรของดาวหาง และยังระบุอีกด้วยว่าดาวนิบิรุเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทุกๆ 3,600 ปี ซิตชินอ้างว่านิบิรุคือเทพมาร์ดุก (Marduk) ในตำนานความเชื่อของชาวบาบิโลเนียนในเมโสโปเตเมีย ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรตีส ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรมโลก บทกวีมหากาพย์ Enuma Elish ของบาบิโลเนียเล่าว่า มาร์ดุกต่อสู้ได้ชัยชนะเหนือมังกรเทียมัต (Tiamat) ชาวบาบิโลเนียนยกย่องบูชามาร์ดุกเป็นเทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลและมนุษย์บนพื้น พิภพ เป็นผู้ลิขิตความเป็นไปของอาณาจักรและชะตาชีวิตของมนุษย์ ซิตชินใช้ตำนานความเชื่อนี้ นำมาสร้างทฤษฎีอธิบายว่า ดาวนิบิรุพุ่งชนกับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งโคจรอยู่ระหว่างวงโคจรของดาว อังคารกับดาวพฤหัสบดี ให้ชื่อว่า เทียมัต ตามตำนานเทพเจ้า ชิ้นส่วนชิ้นใหญ่ต่อมาได้กลายเป็นโลกและดวงจันทร์ ซากที่เหลืออื่นๆ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง จารึกโบราณของชาวสุเมเรียนที่กล่าวถึงยักษ์ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:15:52

ความคิดเห็นที่ 28 เขาเชื่อว่าบนดาวนิบิรุได้เกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยี ก้าวหน้าขึ้น ชาวสุเมเรียนซึ่งยึดครองดินแดนทางใต้ของเมโสโปเตเมีย (ภายหลังคือบาบิโลเนีย) เรียกพวกเขาว่า อานุนนากี (Anunnaki) เป็นคนกลุ่มเดียวกับพวกเนฟิลิม (Nephilim) มนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ ซึ่งปรากฏในหนังสือปฐมกาล (Genesis) ของคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) ที่เล่าเรื่องพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์ ซิตชิน เล่าว่า ชาวอานุนนากีเดินทางมาถึงโลกเพื่อสำรวจหาแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ และพบบนทวีปแอฟริกา ต่อมาชาวอานุนนากีได้สร้างมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (มนุษย์แบบปัจจุบัน) ขึ้นมา โดยดัดแปลงพันธุกรรมของโฮโมอีเรกตัส (Homo erectus) ซึ่งทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ การสร้างมนุษย์ของอานุนนากีมีจุดประสงค์เพื่อเอามาเป็นทาสทำงานใน เหมืองทองคำ ซิตชินเชื่อว่าผลกระทบจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามการต่อสู้ระหว่าง มนุษย์ต่างดาว คือสาเหตุแห่งความพินาศของเมืองอูร์ (Ur) ในบาบิโลเนียเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ตามที่ปรากฏในบทกวีโบราณ ซิตชิน กล่าวว่า เรื่องของตนสอดคล้องกันกับข้อความในไบเบิล และคัมภีร์ไบเบิลเองก็มาจากบันทึกของชาวสุเมเรียน ดาวเคราะห์เอกซ์ในทางดาราศาสตร์ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับดาวนิบิรุ และตัวซิตชินเองก็ไม่ได้ระบุว่าดาวนิบิรุของเขาจะกลับมาเมื่อใด แล้วเหตุใดจึงมีความเชื่อว่าดาวนิบิรุกำลังกลับมา ? จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:18:29

ความคิดเห็นที่ 29 ปาดทันไหม - -* จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:20:59

ความคิดเห็นที่ 30 ปาดไหมเนี่ย จากคุณ : sassathx เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:21:56

ความคิดเห็นที่ 32 น่าอัศจรรย์ใจที่เรื่องราวของ "ยักษ์" หรืออมนุษย์รูปร่างใหญ่โตนั้นมีอยู่ในตำนาน ของทุกประเทศทั่วโลก ในเอเชียเราก็มีทั้งยักษ์จีน ยักษ์แขก ยักษ์ไทย ฯลฯ แต่หนนี้ จะขอนำเสนอเฉพาะ "ยักษ์ฝรั่ง"มาเล่าสู่กันฟัง ยักษ์ฝรั่งรุ่นเก๋ากึ้กแรกๆมี อาทิ"ยักษ์ เย็นเยือก (Frost Giant)"ตามตำนานของซีกโลกเหนือแถบสแกนดิเนเวีย กล่าวว่า ยักษ์เหล่านี้อาศัยอยู่ในดินแดนอันเต็มไปด้วยม่านหมอก แม้จะเป็นยักษ์เฉลียวฉลาด แต่ก็ดุร้ายและสร้างความวุ่นวายแก่ชาวโลก จนหมู่ เทวดาต้องเปิดศึกปราบปรามโดยมีเทพ"ธอร์ (Thor)" เป็นผู้นำ ซึ่งธอร์ก็เป็นโอรสของจอมเทพ "โอดิน (odin)" ผู้ทรงพลานุภาพ ดังนั้น จึงไม่เป็นปัญหาอันใดที่ธอร์จะใช้ศัสตราวุธสายฟ้าที่เรียกกันว่า "ค้อนของธอร์" ขับไล่เหล่ายักษ์ เย็นเยือกให้ถอยกลับไปอยู่ในถิ่นเดิมอันมืดมิดและหนาวจับใจ ยักษ์ใน ตำนานกรีก-โรมันก็ดึกดำบรรพ์ เช่นกัน ที่สำคัญ ได้แก่ เฮอร์คิวลิส(Hercules) และจอมเทพซูส (Zeus) ซึ่งว่ากันว่ามีร่างใหญ่โตเทียบเท่ามนุษย์ ธรรมดาร้อยคน รวมกันเลยเชียว ส่วนยักษ์ด้านอธรรมของกรีกที่รู้จักกันดีก็คือ พวก ไตตัน (Titan) โดยเฉพาะ ยักษ์ใหญ่ที่มีนามว่าแอตลาส (Atlas) เมื่อเทพและมนุษย์ถูกยักษ์รบกวน ก็ต้องมีวีรบุรุษ มากำราบ เขาผู้นั้นคือ เปอร์ซีอุส (Perseus) วิธีการกำจัดยักษ์แอตลาสของเปอร์ซีอุส ก็คือ ลอบสังหารและตัดหัวนางเมดูซ่าผู้มีศีรษะเป็นงูยั้วเยี้ย จากนั้นก็ชูหัวเมดูซ่าให้ แอตลาสเห็น พลันเจ้ายักษ์ก็กลับกลายเป็นหิน และด้วยรูปร่างที่ใหญ่โต ก็เลยปรากฏเป็นภูเขาค้ำฟ้าอยู่ จึงได้มีคำกล่าวว่า ท้องฟ้าของเราไม่ตกลงมาทับโลก ก็เพราะมียักษ์ แอตลาสแบกเอาไว้นั่นเอง (ภายหลังกลายเป็นแบกโลก) ยักษ์กรีกดังๆอีกตน หนึ่ง ได้แก่ ไซคลอป (Cyclop)-ยักษ์ตาเดียว ซึ่งชอบจับมนุษย์ และสัตว์มาเคี้ยวกินเป็นๆ มันอาศัยอยู่บนเกาะและเลี้ยงแกะไว้ในถ้ำเพื่อเป็นอาหาร เมื่อขุนศึกยูลิสซิส (Ulyses) กับพรรคพวกเดินทางกลับจากสงครามกรุงทรอย ก็มาติดอยู่ที่เกาะนี้ และโดนยักษ์จับขังไว้รวมกับแกะในถ้ำเพื่อรอเป็นภักษาหาร ยูลิสซิสได้ลวงล่อให้เจ้าไซคลอป ดื่มไวน์จนเมาหลับไปแล้วใช้หลาวทะลวงตาเดียว ของมันบอดไป แต่ไซคลอปก็นั่งขวางปากถ้ำไว้ และคลำสิ่งมีชีวิตที่จะเล็ดลอดออกไป ถ้าหากเป็นแกะก็จะปล่อยให้ออกไปกินหญ้าได้ ยูลิสซิสจึงต้องใช้วิธีการกอดใต้ท้องแกะ เมื่อยักษ์คลำแต่ส่วนหลังก็จึงไม่รู้ วีรบุรุษของเราก็เลยหลีกลี้ออกมาได้ ตํานานเทพ Zeus แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 17:32:38 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:29:41

ความคิดเห็นที่ 33 แปดดดดด.... มาดูอะไรใหญ่ๆ จากคุณ : SmallLittleTrifle เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:30:52

ความคิดเห็นที่ 34 ในไบเบิลนั้นมีพูดถึงยักษ์อยู่ หลายตน ที่เป็นยักษ์ใจดีมีเมตตาก็มีเหมือนกัน อย่างเช่น ยักษ์ที่ได้รับสมญานามภายหลังว่า เซนต์ คริสโตเฟอร์ โดยครั้งหนึ่งได้มีเด็กน้อย มาขอให้คริสโตเฟอร์ช่วยพาข้ามแม่น้ำซึ่งไม่กว้างใหญ่นัก ยักษ์ตนนี้ก็ยินดีช่วยเหลือ แต่พอเอาเด็กน้อยแบกขึ้นหลังและลงลุยน้ำไปก็กลับพบว่าน้ำนั้นลึกลงทุกที แถมยังขยายกว้างขึ้นอีก เท่านั้นไม่พอ เด็กน้อยที่เขาแบกอยู่นั้นก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกตะหาก ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงจะยอมแพ้ ถอยหลังกลับ แต่คริสโตเฟอร์คิดในใจว่า "เราจะยอมให้ เด็กคนนี้จมน้ำตายไม่ ได้เป็นอันขาด" และมุมานะแบกข้ามฝั่งไปจนได้ ผลสุดท้าย ที่ปรากฏแก่สายตาเขาก็คือ ภาพของเด็กชายที่กลายเป็นพระไครสท์ คราวนี้มาดูยักษ์ของอังกฤษกันบ้าง เซิร์น แอ็บบาส ในชนบทเป็นชุมชนเล็กๆที่ตั้งขึ้นราวปี ค.ศ.987 แล้วค่อยๆร้างไปกระทั่งช่วงศตวรรษที่ 17 ก็กลับเฟื่องฟูขึ้นใหม่ ทั้งนี้เพราะธารน้ำที่นี่มีความใสสะอาดบริสุทธิ์ จึงมีโรงงานเบียร์ มาตั้งมากมายกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมเบียร์ สิ่งที่ดึงดูดใจผู้มาเที่ยว เซิร์น แอ็บบาส นั้นนอกจากผับและร้านอาหารเก่าแก่หลายร้อยปีแล้ว ก็ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์ใหญ่ที่สุดของอังกฤษด้วย นั่นคือ เส้นรูปรอยขนาดมโหฬาร ที่ปรากฏอยู่บนพื้นดินท้องทุ่งของ เซิร์น แอ็บบาส เล่าลือกันว่าสมัยก่อนโน้นได้มียักษ์ตนหนึ่ง จากเดนมาร์กบุกรุกเข้ามายังดินแดนแถบนี้ หลังจากอาละวาด แล้วก็เกิดความเหนื่อยอ่อน จึงนอนหลับใหลอยู่เชิงเขาฝ่ายชาวท้องถิ่นได้ที จึงออกมาตัดคอยักษ์ตนนี้ และเพื่อเป็นการ ปรามยักษ์อื่นๆมิให้กล้าเข้ามา พวกเขาจึงทำเส้นรูปรอยเรือนร่างของเจ้ายักษ์ที่นอนตายไว้ โดยการเอาหินสีขาวที่ล้างสะอาดมาจัดวางแทนที่ทุกๆเจ็ดปี รูปยักษ์ที่เซิร์น แอ็บบาส มีขนาดความสูง 60 เมตร ในมือถือกระบองใหญ่ สามารถมองเห็น ได้ชัดจากเบื้องบน หากทว่ามีสัญลักษณ์หนึ่งซึ่งสาวๆเห็นแล้วต้องหน้าแดง นั่นคือเส้น ที่เป็นรูปองคชาตของเจ้ายักษ์ที่มีขนาดมหึมา ยาวถึง 10 เมตรกว่า!(ภาพใน คคห.ที่ 1) แต่ ยักษ์ที่โด่งดังที่สุดของเด็กๆท่าจะอยู่ในนิทาน "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ หรือ แจ๊คกับต้นถั่ว"เป็นเรื่องที่แจ๊คได้เมล็ดพันธุ์ถั่ววิเศษมา เมื่อปลูกภายในคืนเดียวมันก็เติบโต สูงทะลุฟ้าจนถึงปราสาทของยักษ์ แจ๊คปีนต้นถั่วขึ้นไปขโมยสมบัติ ของยักษ์แล้วไต่ต้นถั่วหนีลงมา โดยมียักษ์ไล่ตามหลังมา แต่แจ๊คถึงดินก่อน และใช้ขวานตัดต้นถั่ว ยักษ์ตกมาตาย-จบ แล้วก็มาถึงยักษ์ฝรั่งของอเมริกัน ซึ่งเป็นชาติที่ถือกำเนิดมาไม่กี่ร้อยปี ยักษ์ไอ้กันจึงแตกต่างจากยักษ์ยุโรปที่ตัวใหญ่โตดุร้าย น่ากลัว หากทว่าคนอเมริกันรุ่นบุกเบิกสร้างเนื้อสร้างตัวในดินแดนแห่งใหม่นั้น ต้องการสร้างภาพพจน์ของคนตัวโตที่มีคุณธรรมและช่วยเหลือพวกเขาในการดำรงชีพ โดยเฉพาะกลุ่มสร้างตนในรัฐเมน, มิชิแกน และมินเนโซตา ที่มีต้นสนสูงใหญ่รอการตัดมากมาย พวกชาวบ้านจะสร้างแคมป์ในฤดูหนาว เพราะเป็นการง่ายที่จะลากท่อนซุง โดยอาศัยเลื่อนชักลากไปบนหิมะ งานตัดซุงเป็นงานหนัก เป็นหน้าที่ของชายฉกรรจ์ รูปร่างใหญ่ บึกบึน ช่วงที่พวกเขา ชุมนุมแคมป์ไฟก็จะมีการ เล่าจินตนาการถึงคนตัวโตปานยักษ์ ที่มีพละกำลังมหาศาล จนในราวปี1900 ก็ได้เกิดตำนานยักษ์ใหญ่นาม "พอล บันยัน (Paul Bunyan)"ขึ้น แรกๆนั้นพอล เป็นเพียงมนุษย์ตัวโตธรรมดาๆ แต่พอนานไปเรื่องของเขาก็ถูกขยาย จนพิสดารเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ เช่นว่า ช่องทะเลเซนต์ ลอว์เรนซ์นั้นเกิดจาก การที่พอลเดินลากขวานของเขาไปบนพื้นดินหรือว่าพอลสามารถโค่นไม้ได้ ทั้งป่าภายในวันเดียว แม้ลักษณะของพอลที่ตำนานบรรยายไว้ออกจะมุทะลุ และโดดเดี่ยว แต่เขาก็เป็นยักษ์ที่มีน้ำใจ ข้างกายของเขาคือ สัตว์เลี้ยงคู่ใจชื่อ "เบ๊บ (Babe)" เจ้าวัวสีฟ้า พอลได้เจ้าเบ๊บมา โดยเขาพบมันตัวกระจิ๋วกำลังจะหนาวตายอยู่ในหิมะ เขาจึง นำมันมาเลี้ยง และมันโตขึ้นๆ แต่ถึงอย่างไรพอลก็เห็นมันเป็นทารกในสายตาของเขาอยู่ดี ยามที่ทั้งสองวิ่งเล่นกัน รอยเท้าของพวกเขาจะทำให้เกิดทะเลสาบ เมื่อพอลต้องการปรับที่ เพื่อให้เขาและเบ๊บได้ลงนอนพักผ่อน เขาจะถางป่าทั้งป่าจนเตียน ด้วยเหตุนี้รัฐนอร์ทดาโกตา จึงแทบไม่มีต้นไม้ขึ้นเลย ตํานานของ Paul Bunyan และเบ๊บ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:37:39

ความคิดเห็นที่ 35   ไม่แน่ใจว่าปาดไหม แต่เคยไปดูพิพิฐภัณที่แถวบริเวณทะเลสาบสงขลา ก็มีแหวนของคนโบราณ ซึ่งมีขนาดประมาณกำไลข้อมือของเด็กเลย ใครอยากดูไปดูได้ครับ ปล.ไปตอนเด็กๆไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างไร จากคุณ : ปู๊นปู๊นปุบปับปั๊บปาป้า เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:41:12 A:10.29.37.71 X:203.144.139.234 TicketID:170723

ความคิดเห็นที่ 36 เป็นมนุษย์ในกัปก่อนๆ แบบในพระไตรฯ หรือเปล่า จากคุณ : FIREHAWK เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:05:42

ความคิดเห็นที่ 37 ยักษ์ในพระพุทธศาสนา ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่ายักษ์มีอยู่จริง โดยในมิลินทปัญหา ตอนที่ ๒๙ วรรคที่ ๘ พระยามิลินทได้ตรัสถามพระนาคเสนถึงเรื่องยักษ์ และมีการสนทนากัน " ข้าแต่พระนาคเสน ยักษ์มีอยู่ในโลกหรือ ? " " ขอถวายพระพร มี " "ยักษ์จุติจากกำเนิดของยักษ์ไหม ? " " ขอถวายพระพร จุติ " " แต่เหตุไร เวลายักษ์ตายจึงไม่เห็นซากศพไม่ได้กลิ่นซากศพ? " "ขอถวายพระพร ซากศพของยักษ์ที่ตายไปแล้วมีอยู่ แต่กลิ่นซากศพถูกลมพัดไปเสียด้วยว่าเวลายักษ์ตายแล้วนั้น ปรากฏว่าเป็นตั้กแตนก็มี เป็นหนอนก็มี เป็นมดก็มี เป็นยุงก็มี เป็นงูก็มี เป็นแมงป่องก็มี เป็นตะขาบก็มี เป็นสัตว์เกิดจากฟองไข่ก็มี เป็นเนื้อป่าสัตว์ป่าก็มี" เอกสารอ้างอิง บทความ ยักษ์มีจริงหรือ ? /มิติที่ 4 ยักษ์เคยครองโลก ? /ต่วย'ตูน หลักฐานสนับสนุนการเวียนว่ายตายเกิด /ศุภวรรณ 2012 : วันสิ้นโลก ? /วรเชษฐ์ บุญปลอด ยักษ์ใหญ่ในตำนานฝรั่ง /ไทยรัฐซันเดย์สเปเชี่ยล www.oknation.net/blog/print.php?id=466241 www.yes-iloveyou.com สําหรับวันนี้ลาไปก่อนครับ ทิ้งท้ายด้วยภาพยักษ์ตัวใหม่ของเซิร์น แอ็บบาส The Simpsons กันเลยทีเดียว ^^ .Terran จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:10:15

ความคิดเห็นที่ 38   ผมว่ามีความเป็นไปได้นะ ทุกวันนี้ที่มีให้เห็นกันอยู่ เช่น ชนเผ่าแอฟริกาบางเผ่าที่ตัวสูงๆ หรือฝรั่งแถบสแกนดิเนเวียตัวใหญ่ๆ อาจเป็นบรรพบุรุษของเขาเหล่านี้ก็ได้ จากคุณ : Mr. k เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:25:28 A:58.9.153.55 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 39   อามาทันจบพอดี   จากคุณ : อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:34:19

ความคิดเห็นที่ 40 มาทันตอนจบก็ยังดี จากคุณ : หนูน้อยเหล็กดัดฟัน เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:42:04

ความคิดเห็นที่ 41 กำลังสนใจอยู่พอดีเลยค่ะ  มาได้ตรงใจ ทันใจเลย หลังจากเรื่องมนุษย์ต่างดาวเลย สงสัยว่ามีจะยักษ์บนโลกมั่งรึเปล่า? จากคุณ : nutchanunu เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:43:12

ความคิดเห็นที่ 42 มาด้วยคน จากคุณ : ท่านประธานบริษัท เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:44:24

ความคิดเห็นที่ 43 มาอ่านด้วยคนครับ จากคุณ : monixe เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:07:40

ความคิดเห็นที่ 44 รูป 1 เอ่อ จะผิดมั้ยถ้าบอกว่าไม่ได้มองที่หน้าเลยอ่ะ จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:12:45

ความคิดเห็นที่ 45 อ่านสนุก ได้ความรู้ดีครับ ผมว่าเรื่องนี้อาจจะมีความเป็นจริงอยู่ส่วนนึงด้วยก็ได้นะ จากคุณ : Steyr Commando เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:13:48

ความคิดเห็นที่ 46 พวก Transformers นี่เอง จากคุณ : @jirayu (wsteven) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:14:14

ความคิดเห็นที่ 47 ผมนึกถึง พระพุทธบาท แฮะ ทำไมแต่ละอันถึงได้ใหญ่โตเว่อร์เหลือเกิน พระพุทธเจ้าคงตัวใหญ่มาก (ความคิดสมัยเด็กๆ) จากคุณ : zoopod เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:30:35

ความคิดเห็นที่ 48 มาตอนจบแล้ว แต่ขอบคุณครับ อ่านทีไรนึกถึงต่วยตูนขึ้นมาติดหมัดทุกทีครับ จากคุณ : djnyzzz เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:35:21

ความคิดเห็นที่ 49 เฮ้อ... จากคุณ : เด็กน้อยขี่ม้าก้านกล้วย เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 19:55:31

ความคิดเห็นที่ 50 มาลงชื่ออ่านด้วยคน จากคุณ : Antornz เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 20:20:39

ความคิดเห็นที่ 51   ยักษ์จริง ๆ ด้วย หมายถึงภาพใน คห 2 พาดมาถึงสะดือเชียว จากคุณ : devil amature2 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 20:22:41

ความคิดเห็นที่ 52 สมัยนี้มีให้เห็นเรื่อยๆ ยักษ์ที่ชื่อว่า "ยอก" จากคุณ : Blackion เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 20:23:47

ความคิดเห็นที่ 53 Mr.Terran สุดยอด จากคุณ : marktwo เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 21:08:19

ความคิดเห็นที่ 54 คห 51 เฮ้ย !!!??!!!...... นั่นมัน... จากคุณ : 15ค่ำเดือน11 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 21:32:00

ความคิดเห็นที่ 55 เอาเข้าจริง ถ้าหลักฐานที่แน่นที่สุด คือ ฟอสซิลมีจริง ต้องมีการบันทึกจริงๆแล้วล่ะครับว่าเป็นอะไรยังไง ตำนานกรีกเรื่องยักษ์ มาจากสุสานสัตว์ยุคน้ำแข๊ง แล้วนักปราชญ์ยุคนั้นมาพบและแต่งตำนานเหล่านี้ขึ้น ผมคิดว่าเหมือนตำนาน งูยักษ์ ในอเมกาใต้ ที่นักเดินทางคิดไปเองว่าใหญ่มาก(จริงๆก็ใหญ่มาก แต่เอามาโม้ซะโอเวอร์ จาก8เมตรเป็น30เมตร) เอาเข้าจริงด้วยหลักฟิสิกส์ คนที่ตัวขนาดนั้นเคลื่อนไหวลำบาก ช้า และไม่แข๊กแรงเท่าไหร่แล้ว อาหารที่กินก็ต้องมากอีก จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 21:38:00

ความคิดเห็นที่ 56 ผมว่ายักษ์น่าจะเป็นไปได้นะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้สูงเวอร์ๆขนาดนั้น ขนาดของใช้คนไทย หรือซากกระดูกคนไทยสมัยก่อน ยังค่อนข้างใหญ่เลย ยิ่งมาเจอคำว่า (ชายอก 3 ศอก) หรือ กรณีพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ที่สูง 3 เมตร ก็ยังเป็นไปได้ คือเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเผ่าพันธุ์หนึ่ง แล้วค่อยๆวิวัฒนาการมา จนพอเหมาะพอควร กับการดำรงชีวิต และใช้ชีวิตไปได้อย่างสบาย ส่วนที่เหลือ ก็ค่อยๆล้มหายตายจากไป (เดาล้วนๆ) จากคุณ : เครื่องทำน้ำขุ่น เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 22:03:05

ความคิดเห็นที่ 57 มาติดตามอ่านครับผม จากคุณ : ไม้ไผ่โย่ง เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 22:14:38

ความคิดเห็นที่ 58   เยี่ยมคับ จากคุณ : ใครคือใคร เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 23:04:58

ความคิดเห็นที่ 59 โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม หลายเคส เคยอ่านเจอว่า เขาพบว่าเป็นหลักฐานปลอม จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 23:29:34

ความคิดเห็นที่ 60 ยังไม่เคยเห็นกระโหลกอันใหญ่ๆ จั๋งๆ สักที อยากเห็นรูปที่ support ความเห็นที่ 5 จากคุณ : GSP1 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 23:42:49

ความคิดเห็นที่ 61 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 00:58:44

ความคิดเห็นที่ 62 แล้วที่ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์มาจากลิงล่ะครับ อยากทราบข้อมูลอ่ะ จากคุณ : อารมณ์ศิลปิน อินกับศิลปะ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 01:05:40

ความคิดเห็นที่ 63 ...คนไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิง แต่คนกับลิงมีต้นกำเนิดเดียวกัน จากคุณ : angel13th เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 01:10:09

ความคิดเห็นที่ 64 #56เรื่องนั้นเวอร์ทั้งนั้น อาวุธโลหะสัมยก่อนที่ใหญ่เพราะเทคโนโลยีโลหะยังไม่ดีขนาดทำให้เล็กแล้วทนทานได้นัก ของจีนพงศาวดาร โม้อยู่แล้วล่ะ ดูจากกระบี่สมัยชุนชิวที่สืบทอดมาก็ขนาดธรรมดา จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 09:48:00

ความคิดเห็นที่ 65 รากษส อ่านว่า ราก-สด จากคุณ : มีดปลายแหลมในความมืด เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 10:16:36

ความคิดเห็นที่ 66 ความสูงเฉลี่ยของคนเราค่อยๆเพิ่มขึ้นตั้งเเต่สมัยก่อนประวัติศาตร์รวมถึงอายุขัยเฉลี่ย เนื่องจากอาหารเเละการเเพทย์ที่สมบูรณ์ขึ้น จากคุณ : Chaos dragon เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 10:27:47

ความคิดเห็นที่ 67 ช่วงกำลังกำเนิดมนุษย์ ก็อาจะเหมือนช่วงวิวัฒนาการสัตว์ต่างๆ ที่แตกออกไปเป็นหลายลักษณะ หัวยาวบ้าง สั้นบ้าง ตัวใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เพื่อคัดสรรค์ออกมาให้เหลือสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ในยุคแห่งการคัดสรรค์สายพันธุ์มนุษย์ จะมียักษ์ มีคนรูปร่างแตกต่างจากเรา ก็คงไม่แปลก  จริงมะครับ   ^___^ จากคุณ : ฟาฬ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 10:57:41

ความคิดเห็นที่ 68 กิฟท์+โหวตครับ รากษส คำนี้ลืมไปนานแล้วนะเนี่ย ตั้งกะสมัยอ่านต่วยตูน จากคุณ : knine2five เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 11:48:00

ความคิดเห็นที่ 69 ได้บรรยากาศอ่านต่วยตูนมากๆ จากคุณ : นายเบียร์ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 12:08:59

ความคิดเห็นที่ 70 ฮูยๆ ขนาดนั้นเลยหลอคับ จากคุณ : [BeetUp] เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 12:34:13

ความคิดเห็นที่ 71 ขอโทษนะคะ อาจจะไม่เกี่ยวเท่าไหร่แต่ว่า... "รากษส" นี่อ่านยังไงหรือคะ  ใช่ "ราก-สะ-สะ" รึเปล่าคะ หนูตกภาษาไทยอ่ะ อ่านไม่ออกค่าาาา ---------------------------------------------------------------- Edit: เพิ่มข้อความ เพิ่งเห็น คคห.๖๕   ทราบแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 52 12:39:04 จากคุณ : Bangkokian เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 12:37:09

ความคิดเห็นที่ 72 มาอ่านค่ะ แต่ยังไม่จบติดไว้ก่อนเน่อ จากคุณ : HeLL_Is_HeRe เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 12:54:44

ความคิดเห็นที่ 73 รากษส     รากษส (ราก-สด) น.ยักษ์ร้าย ,ผีเสื้อน้ำ ,ใช้ รากโษส ก็มี (ส.: ป. รกฺขส) จากคุณ : false เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 13:10:45

ความคิดเห็นที่ 74 เข้ามาลงชื่อ พร้อมโหวต... ขอบคุณ จขกท ครับ... จากคุณ : น้องคำหล้า เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 17:37:39

ความคิดเห็นที่ 75 มาลงชื่อก่อน อีกแปปมาอ่านต่อ ^^ จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 17:52:04

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่รู้ว่าเคยเห็นภาพนี้กันแล้วยัง แต่ผมว่าเป็นผลงานของมนุษย์ สร้างขึ้นมาเอง จากคุณ : KJ@KJ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 18:56:04

ความคิดเห็นที่ 77 นี่ก็ด้วย จากคุณ : KJ@KJ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 18:57:05

ความคิดเห็นที่ 78 Fake ชัวร์เลย จากคุณ : KJ@KJ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 18:59:21

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณครับ  ติดตามผลงานคุณterran มาตลอด ชอบมาก เรื่องยักษ์ตอนต้นๆเหมือนเคยอ่านมาจากหนังสือของสนพ.มิติที่4  ชื่อหนังสือ มิติพิศวง  หรือ ปริศนาชั่วนิรันดร์ ประมาณนี้ล่ะครับ ในเล่มมีเรื่องสนุกๆมากมาย  แต่ว่าโครงกระดูกยักษ์ที่ขุดพบที่อังกฤษ(น่าจะใช่ภาพกระทู้ที่76รึเปล่า ไม่แน่ใจนะครับ) นี่ตอนหลังพบว่ามีการพิสูจน์ว่าทำปลอมขึ้นมานะครับ ก่อนหน้าที่จะพิสูจน์ว่าปลอม  ก็มีนักวิทยาศาสตร์หรือนักประวัติศาสตร์ดังๆหลายคนรับรองว่าจริง  รวมทั้งเซอร์อาเธอร์  โคนันดอย  ผู้แต่งเรื่องเชอร์ล็อค โฮล์ม ก็เชื่อด้วย  เลยเสียฟอร์มกันไปเยอะเลยครับ แก้ไขเพราะมีเพื่อนๆมาอัพรูป76หลังพิมพ์ครับ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 52 19:18:05 จากคุณ : น้องหมีพุงนุ่มนุ่ม (มีดบินไร้เงา) เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 19:15:49

ความคิดเห็นที่ 80 อยากเห็นยักษ์เพศเมีย จากคุณ : in_my_metal เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 20:19:36

ความคิดเห็นที่ 81 อ่านกันปวดตา.... แต่ขอบคุณครับ จากคุณ : แขม่วแมน เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 22:29:57

ความคิดเห็นที่ 82 ถ้าเป็นหลักฐานจริงๆทำไมถึงไม่มีการศึกษาและเผยแพร่ให้ได้รู้กันทั่วๆล่ะคะ อย่าง BBC หรือ PBS หน่วยงานเหล่านี้คงต้องออกมาทำสารคดีไปเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ไม่เคยได้ยิน... จากคุณ : หญิงป้า เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 00:55:17

ความคิดเห็นที่ 83   MTFC รายงานตัว!!!! จากคุณ : utd เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 00:56:04

ความคิดเห็นที่ 84 #80 ก็ผีเสื้อสมุทรของไทยเราไงครับ จากคุณ : Autster เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 09:08:01

ความคิดเห็นที่ 85 อื้ม ยักษ์ๆ จากคุณ : ratmo_11 เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 10:01:21

ความคิดเห็นที่ 86 โครงกระดูกไดโนเสาร์ เราก็ขุดพบแล้ว แล้วยักษ์พวกนี้ถ้ามีจริงๆ ทำไม่เราไม่พบโครงกระดูกล่ะครับ หรือญาติยักษ์เผาไปหมดแล้ว จากคุณ : ++พ่อ_ไข่ต้ม++ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 13:20:21

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณทุกๆท่านมากครับที่ให้ความสนใจจนโหวต คคห.47 คุณ zoopod พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆสูงกว่าคนปัจจุบันมากครับ ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ท่านมีพระชนชีพเมื่อ 2500 ปีก่อนนี่ ท่านสูง 200 เซนติเมตร แต่องค์ก่อนหน้านี้ เช่น พระพุทธเจ้าโกนาคม ท่านสูง 1500 เซนติเมตร พระพุทธเจ้่าดิสสะ สูง 3000 เซนติเมตร เป็นต้น (ว่าตามพระไตรปิฏกนะครับ) คห.59 คุณ  Prof.Sirius ต้องใช้วิจารณญาณในการชมอยู่แล้วครับ หลังๆเหลือเชื่อมากขึ้น ( จนเชื่อไม่ได้เลย  เอ้ย..ไม่ช่ายยย) ^^ คห.76 คุณ   KJ@KJ  ภาพชุดนี้ FAKE ครับ (รู้สึกจะมีเป็นฟอร์เวิร์ดเมลล์ด้วย คนทําฟอร์เวิร์ดนี่ คงตอบคําถามไปในตัวเลย) ไม่งั้นผมคงเอามาโพสต์แล้วล่ะ เหอๆ คห.79 คุณมีดบินไร้เงา  ..ใช่ครับ เซอร์ อาเธอร์ โคแนน ดอยซ์ ก็เคยหลงเชื่อ จริงครับ คห. 82 คุณหญิงป้า  ช่อง Discovery ทําสารคดีเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วครับ ยังมีหลักฐานอีกมากที่สนับสนุนว่าในอดีต มีมนุษย์ที่มีความสูงและรูปร่างใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบัน อาศัยอยู่บนโลก ..แต่ไม่ใช่ในแนวของยักษ์นะครับ คือ ตัวใหญ่กันหมดทั้งโลกเลย  ถ้ายักษ์นี่แสดงว่าต้องมีคนตัวเล็กอยู่ด้วยถึงเรียกว่ายักษ์ นอกจากภาพชุด ในคห.76-78 แล้ว ภาพนี้ก็ FAKE ครับ (แหม ดันเป็นภาพแรกของกระทู้ซะอีก) จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 13:35:20

ความคิดเห็นที่ 88 น่าสนใจดี เพราะมันก็ไม่แน่นะ จากคุณ : คุณฉงน เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 14:56:53

ความคิดเห็นที่ 89 โอ้วผลงานดีๆเสริมสร้างจินตนาการ+ความรู้ของ Mr. Terran รอเรื่องต่อไปนะคะ ^o^ จากคุณ : citrus_tree เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 16:06:34

ความคิดเห็นที่ 90 ขอบคุณคุณ mr.terran มากๆ เลยค่ะ จากคุณ : รองเท้ากับนาฬิกา เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 23:13:02

ความคิดเห็นที่ 91 อ่านสนุกได้ความรู้ครับ ^^ จากคุณ : Kamen Rider Agito เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 20:17:39

ความคิดเห็นที่ 92   ช้างแมมมอธไม่มีทางสู้มนุษย์ได้เลยครับ เนื่องจากตัวใหญ่มาก แค่ทำให้มันมีบาดแผลที่ขาหรือเท้า มันก็เคลื่อนไหวลำบากแล้วครับ เพราะตัวมันใหญ่ หลังจากนั้นก็เล่นงานขาทีละขาจนครบ4ขา จากคุณ : วมแย์ราจอา เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:39:59 A:125.27.14.2 X: TicketID:199878

ความคิดเห็นที่ 93 สนุกจังค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : MeaoNoi เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 23:32:57

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : gorpor เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 14:08:18

ความคิดเห็นที่ 95 ลงชื่ออ่านด้วยคน จากคุณ : rustyblade เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 17:52:52

ความคิดเห็นที่ 96 โลกกว้างขึ้นอีกนิดนึง แต่จะกว้างในมิติลวงตาหรือไม่ก็ต้องรอต่อไป จากคุณ : isazza (isazza) เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 14:39:35