ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ได้อธิบายอะไรไว้ครับ เพราะหลักฐานว่าเกิดขึ้นจิงยังไม่มีด้วยซ้ำ มีแต่เรื่องเล่า ก็เลยไม่รุ้ว่าจะอธิบายยังไง เพราะทดสอบก็ไม่ได้ เนื้อหาเรื่องเล่าก็ไม่ละเอียด จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 04:54:05

ความคิดเห็นที่ 2   ก็ลองเลียนแบบท่านดูมั่งสิ เผื่อจะตรัสรู้เองได้มั่ง อดข้าวอดอาหาร บำเพ็ญทุกข์กริยา ผมก็เคยลองก็ทำให้เข้าใจถึงชีวิตมากขึ้นเลย ความหิวนี่สิสุดทรมาน ลดความอ้วนได้ด้วยนะเออ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ท่านต้องการพ้นจากทุกข์เหล่านี้ จึงหาหนทางเอาชนะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนท่านได้ตรัสรู้นั่นแหละครับว่าไม่มีสุขใดเท่าการนิพพานอีกแล้ว แล้วก็ได้คำสอนที่เป็นแนวทางในการพ้นทุกข์นี่เองที่ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ท่านก็กล้าเนอะเป็นถึงเจ้าชายแล้วดันมาบวชเนี่ย จนคนตอนนั้นเห็นว่าแปลกรึเปล่าเลยยกย่องนับถือกันถ้วนหน้า แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 05:28:32 จากคุณ : มนุษย์หน้าเขา (pon2007) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 05:21:58

ความคิดเห็นที่ 3 คำถามคุณคล้ายกับว่า "คนจบ ป.6 เขาอธิบาย เรื่องทฤษฎีควอนตัม ว่าอย่างไร" นั่นแหละ ...ความรู้ยังไม่เข้าขั้นที่จะถามคำถามนี้ จากคุณ : หมูลิน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 05:43:56

ความคิดเห็นที่ 4   ความคิดเห็นที่ 3 คำถามคุณคล้ายกับว่า "คนจบ ป.6 เขาอธิบาย เรื่องทฤษฎีควอนตัม ว่าอย่างไร" นั่นแหละ ...ความรู้ยังไม่เข้าขั้นที่จะถามคำถามนี้ ----------------------------------------------------- เอ่อ งั้นต้องศึกษาก่อนถึงจะมีสิทธิ์ถามเหรอครับ คำถามเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้นะครับ พูดอย่างกับศาสนาเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจ ----------------------------------------------------- ผมว่ามันก็แปลกนะครับ น่าจะหลงเหลือหลักฐานอะไรมั่ง หรือว่าจะเป็นตามที่คห.1 บอก จากคุณ : อยู่ๆมันก็คิด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 06:27:25 A:117.47.243.104 X: TicketID:214950

ความคิดเห็นที่ 5 ลองอ่านไอน์สไตน์พบ  พระพุทธเจ้าเห็นดูสิ สัมผัสของมนุษย์แคบ  ถ้าเทียบกับความว่องไวของจิต  ไม่ต้องเทียบกับพระพุทธเจ้าที่ท่านบำเพ็ญพระบารมีมานับภพชาติไม่ถ้วน  ท่านเห็นในจิต  ไม่ได้คิดเอาเอง  คนที่ไม่เคยนั่งสมาธิอย่างจริงๆจังๆ  จะไม่รู้   แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 06:40:32 จากคุณ : nuch_tiew เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 06:36:48

ความคิดเห็นที่ 6   ศาสนามองแค่กระพี้เหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้ามองที่แก่นเป็นเรื่องยากมาก การเอามุมมองวิทยาศาสตร์มาอธิบายพุทธศาสนาก็คงอธิบายได้แค่กระพี้ เพราะมันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน วิทยาศาสตร์เป็นคำตอบทางโลก แสวงหาความรู้ที่อยู่นอกกาย เรียนรู้จากสิ่งนอกกายออกไป ด้วยประสาทสัมผัสของร่างกาย ศึกษาปัญหาต่าง ๆ และเกิดปัญหาใหม่ ๆ ให้คิดฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พุทธศาสนาเป็นคำตอบทางธรรม แสวงหาความรู้ในใจ เรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจ และฝึกฝนตนให้เห็นว่าจิตของเราอยู่ในสถานะใด ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงหยั่งรู้สรรพสิ่งด้วยพระองค์เองจากการฝึกฝนจนพบกับผัสสะบริสุทธิ์ สงบจนไม่มียึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย สามารถตอบคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปในธรรมชาติได้ทั้งหมด การกำหนดจิตยากแค่ไหน ก็ลองนั่งนิ่ง ๆ แล้วพยายามไม่คิดอะไรทำใจให้ว่าง หากคุณไม่เคยฝึกเลยเวลาผ่านไปไม่นาน ใจคุณก็จะถูกสิ่งที่คุณรับรู้จากประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทำให้คุณต้องคิด เช่นคุณนั่งสักพัก ร่างกายจะสั่งให้ใจคุณคิดว่าคุณเมื่อย คุณหนาว หรือหากภายนอกมีการเปลี่ยนแปลง ใจคุณก็จะไปจับจ้องกับเสียงที่คุณได้ยิน กลิ่นที่ได้รับ หรือแสงสว่างที่เข้าตา มีหนังสือหลายเล่มที่พยายามเปรียบเทียบหลักวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา แต่หนังสือทุกเล่มก็สรุปคล้ายกันคือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำให้คุณมีความรู้วิทยาศาสตร์ และพระพุทธศาสนาได้ แต่ถ้าจะรู้พระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง มันต้องใช้ใจ ไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงใดที่ใช้ใจรับรู้ ดังนั้นถ้าจะอธิบายพุทธศาสนาด้วยวิทยาศาสตร์มันก็ได้แค่กระพี้เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 07:09:14 จากคุณ : กระเพาะปลาผัดแห้ง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 07:00:57

ความคิดเห็นที่ 7 #1 บอกไม่ละเอียด เคยอ่านพระไตรปิฏกหรือยัง มีทั้งหมด 45 เล่ม แปลเป็นไทยได้ 90 เล่ม ถ้าอย่างนี้ไม่ละเอียด ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร #3 ความรู้เริ่มจากการอ่าน การศึกษาครับ ไม่ใช่การถาม ถ้าคุณคิดแต่ถาม ชีวิตนี้คุณคงไม่ไปไหน โดยเฉพาะมาถามกับเว็บบอร์ด ถ้าอยากจะถาม ให้ไปที่วัดครับ หาพระที่เป็นมหาเปรียญ นั่นแหละครับ ผู้รู้จริงด้านปริยัติ แต่ถ้าจะหาผู้รู้จริงด้านปฏิบัติ จะหายากหน่อย เพราะคนที่รู้มักไม่ค่อยบอกใคร ----------------------------------------------------------------------- ถ้าคิด ๆ แล้วเรียกตรัสรู้ ก็คงมีคนคิดได้อีกเยอะแยะ ผมว่า จขกท. ไปศึกษาพุทธศาสนาให้ดีก่อน จะดีกว่า ปล. ขอให้ Give #6 ด้วยครับ จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 07:41:39

ความคิดเห็นที่ 8   แปลกขนาดผมเองยังอ่านไบเบิ้ล ก่อนได้อ่าน พระไตรปิฏก สนใจพุทธจริง ก่อนจะวิจารณ์พุทธ ควรอ่านพระไตรปิฏกโดยตรงด้วยตัวเองก่อนบ้าง เพื่อความยุติธรรมก่อนวิจารณ์ (ลองเวป84000.org) ส่วนการวิปัสสนาก็ไม่ใช่การวิปัสสนึก วิทยาศาสตร์จะต้องอธิบายได้ในอนาคตแน่นอน เพราะมีนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติเยอะขึ้น จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 08:37:51 A:58.64.62.50 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 9 ยัง ^^ จากคุณ : nutxnut เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 08:57:06

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 3 คำถามคุณคล้ายกับว่า "คนจบ ป.6 เขาอธิบาย เรื่องทฤษฎีควอนตัม ว่าอย่างไร" นั่นแหละ ...ความรู้ยังไม่เข้าขั้นที่จะถามคำถามนี้ ^ ตรงนี้ เป็นแนวคิดที่ผิดครับ ถ้า "การเริ่มถาม" เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาครับ ถ้ามัวแต่คิดว่า "ความรู้ยังไม่เข้าขั้นที่จะถามคำถามนี้" ละ ไม่มีจุดเริ่มครับ ถูกๆผิดๆบ้าง คลำทางไปๆๆ ถามไปอ่านไป ยังไงก็เป็นจุดเริ่มครับ มัวคิดยังงั้น ไม่มีเริ่มครับ จากคุณ : ไฟล์ท B ทีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:10:45

ความคิดเห็นที่ 11 ท่านผู้เฒ่า คคห7 ความรู้เริ่มไหนก็ได้ครับ ไม่ใช่ต้องจากการศึกษา หรือต้องการถาม ^ - การเริ่มจากการถามเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะจะได้ไปเริ่มศึกษาต่อ การเริ่มมีคนแนะนำ จะเร็วกว่า การเริ่มจาก ตาบอดคลำช้างเองครับ ถ้าคุณคิดแต่ถาม ชีวิตนี้คุณคงไม่ไปไหน โดยเฉพาะมาถามกับเว็บบอร์ด ^ "คนที่มาถาม ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่อ่าน" ตรงนี้เป็น Fallacy ครับ การถามนั้นถามกับใครก็ได้ กับเวบบอร์ดก็ได้ จะได้มุมมองที่ต่างกันออกไป ลองดู คคห ด้านบนสิครับ ถ้าไม่มาถามจะได้คำตอบดีๆอย่างนั้นเหรอ ที่ว่าถ้าอยากจะถาม ให้ไปที่วัดครับ หาพระที่เป็นมหาเปรียญ ^ อันนั้นก็สมควรครับ แต่ถามที่อื่นก็ได้ ที่พันทิปนี่ก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องรู้จักกรองคำตอบและคิด อ่านไปด้วยครับ ถ้าคิด ๆ แล้วเรียกตรัสรู้ ก็คงมีคนคิดได้อีกเยอะแยะ ผมว่า จขกท. ไปศึกษาพุทธศาสนาให้ดีก่อน จะดีกว่า ^ คนถามคงไม่ได้อยากตรัสรู้โดยแค่คิดๆหรอกครับ การแค่เริ่มคิดๆวิเคราะห์ในประเด็นนี้ ของจขกท.ในชาตินี้เนี่ย ก็เป็นบุญมากสำหรับ จขกท.แล้ว ผมอยากจะบอกว่า "บางคนตั้งแต่เกิดจนตายแค่ความคิดที่ศึกษาประเด็นนี้ แว่บเข้ามาในหัวยังไม่มี" เป็นการมาถามที่นี่ก่อนจะไปศึกษานั้นไม่ได้ผิดอะไร อย่างน้อยก็คงพอได้แนวทางไปบ้าง แต่ย้ำว่า ต้องกรองและพิจารณาไปด้วย แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 09:21:41 จากคุณ : ไฟล์ท B ทีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:16:22

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าพระยันตระเกิดก่อนหน้านี้ซัก100ปี    ก็อาจถูกจัดอันเป็นพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งก็ได้ จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:21:31

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับคนที่อ้างพระไตรปิฎก 84000 พระธรรมขันธ์     ในสมัยพุทธกาลนั้นยังไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรนะครับ    พระไตรปิฎกนั้นเป็นการมาเขียนทีหลังเมื่อไม่นานมานี่เองโดยการอ้างว่าจำต่อๆกันมา    ( จำต่อๆกันมา 84000  บทเนี่ยนะ )  และก็มาปัจุบันผ่านการแปลไม่รู้กี่ภาษา    ก็ไม่รู้จะเพี้ยนไปจากต้นฉบับขนาดไหนเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ    การแปลการตีความมันไม่ตรงเป๊ะเหมือนแปลนิยายหรอกครับ        ปล.   คำหนึ่งคำมีตั้งหลายความหมายแล้วแต่ว่าจะอยู่ในบริบทไหน  นักแปลภาษาน่าจะรู้ดี      แล้วนี่แปลจากภาษานั้นมาเป็นภาษานี้แล้วเอามาแปลเป็นอีกภาษานึง     . แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 09:31:15 จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:28:26

ความคิดเห็นที่ 14 จากความเห็นที่หนึ่งทำให้นึกถึงมิลินทปัญหา ในครั้งแรกเห็นจะได้ที่พระเจ้ามิลินหรือพระเจ้าเมนันเดอร์พบพระนาคเสนก็ถามประมาณดูถูกพุทธศาสนาว่ารู้ได้ไงว่ามีพระพุทธเจ้า พระนาคเสนก็เลยถามกลับว่าแล้วท่านมาจากไหนละ  พระยามิลินก็บอกมาจากพ่อแม่บรรพบุรุษน่ะสิ พระนาคเสนก็ถามอีกว่าแล้วท่านเคยเห็นบรรพบุรุษของตัวเองไหม ถ้าไม่เคยเห็นแล้วมีท่านยืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงเพราะพิสูจน์ไม่ได้นี่ ฉันใดก็ฉันนั้น การมีพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันก็คือหลักฐานยืนยันถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าในอดีต เพราะถ้าไม่มีพระองค์ ก็ไม่มีภิกษุสงฆ์ในปัจจุบัน ยกเว้นแต่จะมีใครหาหลักฐานมาบอกว่าคนสวมผ้าเหลืองคนแรกไม่ใช่พระพุทธเจ้า ส่วนเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผมไม่รู้ครับว่าวิทยาศาสตร์จะอธิบายยังไง ในทางศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่าปัญญาญาณหรือความรอบรู้ของพระพุทธองค์เป็นหนึ่งในสี่อจินไตย คือปัญหาที่ไม่ควรคบคิดเพราะเกินความสามารถของมนุษย์สี่ประการ   อยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรต้องเดินตาม ปฏิบัติตาม ฝึกตามนี่คือหลักของพุทธศาสนาครับ แบบนี้เห็นทีคงไม่ได้ช่วย จขกท เท่าไหร่เเฮะ ^_^ จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:32:31

ความคิดเห็นที่ 15 คราวนี้ขอตอบคุณ นายตั้ม จขกท. "สำหรับผม ผมคิดว่า เค้านั่งคิดไปเรื่อยๆ จนได้บทสรุป บรรดาสาวกเลยเรียกว่าตรัสรู้" ตรงนี้ ความ"คิด" ไม่ใช่ "รู้" ครับ การรู้ธรรม ไม่ใช่ รู้เหมือนที่รู้ด้วยความคิดเหมือนที่เราเข้าใจกันทั่วไป คำว่ารู้ จากการนั่ง วิปัสสนา การปฏิบัติธรรม นั้น คือเป็นทำนองความรู้สึกที่ใจครับ ลึกกว่าอารมณ์ อธิบายลำบาก ดังนั้นท่านจะเห็นการสอนในเชิงเปรียบเทียบค่อนข้างมาก จขกท.อาจจะลองนั่งสมาธิดูจนได้ฟิลลิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น ได้อารมรณ์ประมาณนี้ "ฟิลลิ่งนี้แหละ" อะไรประมาณนี้ นั่นเป็นก้าวแรก แต่ละระดับอธิบายพอได้ หาอ่านได้ทั่วไป แต่จะรู้สึกได้นั้นต้องเจ้าตัวทำเองครับ จะเห็นได้ว่า การระดับการวิปัสสนาไม่ใช่มาจากความคิด แต่มาจากการปฎิบัติจนรู้ อะไร ต่ออะไร แล้วมาอธิบายอีกทีครับ ในทางวิทยาศาสตร์ คือ การควบคุมอะไรสักอย่างในตัวเองครับ ในทางศาสนาเรียกว่าจิต พอควบคุมได้แล้ว ก็จะเกิดสภาพและคุณสมบัติบางอย่างขึ้น เพื่อไม่ถูกกิเลสดึงดูด วิทยาศาสตร์ยังไม่มีอะไร Detect สิ่งเหล่านั้นได้ จึงขอเรียกว่าอะไรบางอย่างครับ ผมเชื่อว่าถ้าเราอธิบายแรงดึงดูดได้ ก็จะได้แนวทางของจิตมากขึ้นครับ จากคุณ : ไฟล์ท B ทีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:38:19

ความคิดเห็นที่ 16 ตรัสรู้ เป็นคำที่ไม่มีนิยามทางวิทยาศาสตร์ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 10:14:39

ความคิดเห็นที่ 17 การคิดเชิงตรรกะมันใช้ไม่ได้กับการหยั่งรู้หรอก มันมีอะไรที่มีกว่านั้นเยอะ เคยได้ยินมาว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ขาดคำอธิบายที่ดี เรื่องบางเรื่องเรารู้ แต่อธิบายบอกต่อไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องเหนือสามัญสำนึก อย่าลืมว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้คลอบคลุม "ความจริง" ทุกสิ่งใดๆ ในธรรมชาติ ราวกับเครื่องมือหยาบโลน วัดอะไรลึกกว่าระดับหนึ่งๆ ไม่ได้ เพราะมีขีดจำกัด เราก็อยู่ในวังวนเท่าที่ธรรมชาติจะอำนวยให้รู้ นอกเหนือนั้นต้องฝึก และมีวิธีการที่มากกว่า "การคิดแบบวิทยาศาสตร์" จากคุณ : <NaturaL M> เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 10:15:53

ความคิดเห็นที่ 18 วิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้แค่ สัมผัส ทั้ง 5 นะครับ จากคุณ : siam starlian เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 10:43:42

ความคิดเห็นที่ 19 วิทยาศาสตร์ปัจจุบันอธิบายไม่ได้ครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 10:46:53

ความคิดเห็นที่ 20 แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า"การตรัสรู้"  นั้นเคยเกิดขึ้นจริง  เมื่อ 2500กว่าปีมาแล้ว    มิใช่เป็นการ propaganda           และถ้าผมจะบอกว่า  ผมเองก็ตรัสรู้แล้ว   คุณจะเชื่อผมมั้ย    ทำไมถึงไม่เชื่อ    แล้วทำไมถึงเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้  ???????     อ่ะ   ลองหลับตา จินตนาการว่า พระพุทธเจ้าหน้าตาเป็นยังไง  ..........  ....    ผมว่า ภาพในจินตนาการของทุกคนน่าจะเหมือนๆกัน คือ   ภาพของ   พระพุทธรูปหรือภาพวาดพระพุทธเจ้าที่เราเห็นๆกันอยู่ทุกวันตามวัด       ทั้งๆที่เราไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าแต่ทำไมเราจินตนาการถูกล่ะ    ????   การรับรู้เรื่องพระพุทธเจ้าของเรามาจากไหน     ?????   แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 11:03:37 จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 10:54:15

ความคิดเห็นที่ 21   ตอบ คห. 20 นะครับ สาระของพุทธศาสนา ให้สนใจในธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ในส่วนของประวัติพระพุทธเจ้า เป็นการบอกที่มาที่ไปของหลักธรรมว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อ 2500 กว่าปีก่อน ที่มาที่ไป เรื่องราวของพระพุทธเจ้า จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม จะเป็น propaganda หรือไม่ นั่นไม่สำคัญเท่ากับ หลักธรรมที่มีอยู่ สามารถอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเราได้ มันน่าแปลกตรงที่ว่า หลักธรรมเหล่านั้น สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามาได้ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย หลายครั้งที่มีความทุกข์ใจ หากได้อ่านหนังสือธรรมะสักเล่ม เราจะเห็นได้ว่า ในนั้นมีหลักเหตุผลที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น ทำให้เราสบายใจมากขึ้น หลายครั้งที่หนังสือธรรมะทำให้ต้องร้อง "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง" กับหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ทั้ง ๆ ที่ หลักธรรมดังกล่าว เกิดขึ้นมา 2500 กว่าปี แต่ก็ยังทันสมัยจนถึงทุกวันนี้ พระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่าจึงไม่ใช่สาระ แต่สาระก็คือ หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นหลักที่ควรยึดถือในชีวิตอย่างแท้จริงครับ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 11:16:33 จากคุณ : กระเพาะปลาผัดแห้ง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 11:12:06

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ ^ ถ้าผมบอกว่าวิทยาศาสตร์ก็เพียงแค่การ propaganda อย่างหนึ่ง โลกจริง ๆ แบนไม่ได้กลม หรือหลุมดำไม่มีอยู่จริงแต่นักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นหรือไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เลยสร้างทฤษฎีขึ้นมาป้องกันไม่ให้ตัวเองหน้าแตก แบบนี้คงมีคนบอกว่าผมเพี้ยน เพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ มีหลักการ มีสมมุติฐาน มีการทดลอง มีการสังเกตผลการทดลอง มีการบันทึก มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ใช่ไหมครับ แล้วการ "ตรัสรู้" นั้นไม่น่าเชื่อถือเพราะพิสูจน์หรือทดลองไม่ได้ เช่นนั้นหรือ คุณอยากรู้ว่ากฎของนิวตั้นถูกต้องหรือไม่ก็ต้องทำการทดลองแบบนิวตั้นทำ ถ้านิวตั้นโกหก กฎของเขาก็ไม่จริงแค่นั้นเองครับ อยากรู้ว่าพระพุทธองค์ท่านโกหกไหม คุณก็แค่นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออก ปล่อยวางจากทุกอย่าง ไม่คิดสิ่งใด กำหนดจิตแค่ลมหายใจเข้าออก ให้รับรู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีอยู่แล้วก็ดับไป ทำอยู่อย่างนั้นโดยไม่กำหนดจิตให้ฟุ้งซ่าน ไม่คิดอคติ ไม่สงสัย ไม่นึก ไม่วาดภาพ ไม่ตั้งคำถาม มีแต่เข้าออก หรือ เกิดดับของจิต ทำไปเรื่อย ๆ ครับเมื่อถึงที่สุดคุณอาจรู้อะไรบางอย่าง ดูเหมือนผมจะอธิบายได้แค่นี้ครับ เพราะผมยังไปไม่ถึง หากคุณอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร คุณต้องลองปฏิบัติดู แต่ถ้าคุณสงสัยและปฏิเสธแต่แรกคุณจะไม่มีวันรู้ จริงไหมครับ อย่างไรก็ดี ถ้าทำแล้วไม่พบอะไรก็คือไม่พบอะไร ก็แค่นั้นเองครับ คนที่เชื่อก็คือคนที่เชื่อ คนไม่เชื่อก็คือคนไม่เชื่อ คนตายก็คือคนตาย คนเกิดก็คือคนเกิด เป็นเช่นนั้นเองครับ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแต่อย่างใด จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 11:14:23

ความคิดเห็นที่ 23 http://www.dhammathai.org/chadok/chadok10.php http://84000.org/tipitaka/atita/ http://www.larnbuddhism.com/buddha/ จากคุณ : ในบัดดล เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 11:46:35

ความคิดเห็นที่ 24   งง ตั้งมาเพื่อถกว่า พระพุทธเจ้าไม่มีจริงรึไงหว่า นั่งเทียนอุปมาตัวเองเป็นพระศาสดาเหรอครับ แล้วคำสอนที่ใช้ต่อๆกันมาเนี่ยใช้ได้จริงเป็นแก่นแห่งชีวิตไหมครับท่านสีเสียด ต่อให้เป็นpropakanda ก็เถอะ มันก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เราไม่ควรกล่าวยังงั้น ว่ายังงั้น เหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งนั้นและคนอื่นละ มันทำให้คิดได้สองแง่จากคำพูดของท่าน ท่านคิดตัวเองเป็นอัตตามากเกินไปรึเปล่าครับ ถึงเราไม่เชื่อ ก็ควรไม่กล่าวยังงั้นไปกับความเชื่อของบุคคลอื่น จากคุณ : wooo เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 11:59:03 A:192.168.140.182 X:202.29.20.140 TicketID:216008

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วพวกเราจะมัวมานั่งทำงานหนักให้เครียดกันทำไม  มัวมาเรียนให้ปวดสมองกันทำไม    มัวมานั่งหาเงินกันทำไม   มัวมาหาผัวหาเมียออกลูกออกหลาน     ทำไมไม่รีบออกบวช นั่งสมาธิ เพื่อหาทางหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารเสียในชาตินี้       แค่นั่งสมาธิชั่วพักชั่วครู่น่ะไม่มีทางบรรลุมรรคผลหรอก    คุณต้องตัด ทางโลกทุกอย่าง  ต้องไม่มีพันธะเรื่องที่ทำงาน  เรื่องไปเรียน  เรื่องผัวเรื่องเมียเรื่องลูก เรื่องครอบครัว  เรื่องธุรกิจ จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:01:32

ความคิดเห็นที่ 26 ของบางอย่างสำหรับบางคน มีไว้เชื่อ แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อพิสูจน์ จากคุณ : นายอุดม เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:03:48

ความคิดเห็นที่ 27 คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา ผู้เขียนเปรียบเทียบความแตกต่างของคนแต่ละระดับได้ดี เป็นหนังสือของคนไทยที่รวบรวมขึ้นได้อย่างน่าอ่าน คนโง่...คนฉลาด...คนเจ้าปัญญา ว่าด้วยความคิด คนโง่ : ทำก่อนแล้วจึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนืองๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึก ตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด คนฉลาด : คิดมากก่อนแล้วจึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีทากแต่ทำได้น้อย เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความกล้าหาญ คนเจ้าปัญญา : คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความผิดพลาดขื่นขมและประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ว่าด้วยทัศนคติ คนโง่ : ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจจึงพลาดโอกาสใหญ่ คนฉลาด : ชอบทำดีและคิดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้แต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก คนเจ้าปัญญา : ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็นที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่าทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกภาวการณ์ ว่าด้วยความโง่และความฉลาด คนโง่ : ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น คนฉลาด : ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด คนเจ้าปัญญา : ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนกันอยู่ และวิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่งๆขึ้นไป จึงค่อยๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ ว่าด้วยการพูดจา คนโง่ : ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะ และความบาดหมางแทนความรู้ คนฉลาด : ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้พร้อมความรำคาญจากคนอื่น และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก คนเจ้าปัญญา : ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง อย่างลึกซึ้งแล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา คนโง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย...... คนฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา...... คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น....... เมื่อจิตว่างแล้วจึงคิดหรือที่เรียกว่า คิดจากความว่าง ก่อให้เกิดความสว่าง ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง คนโง่ : พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน คนฉลาด : พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด คนเจ้าปัญญา : พยายามบริหาระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี..... ว่าด้วยความคิด!!! คนโง่ : เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย คนฉลาด. : เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ คนเจ้าปัญญา : เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็น***ส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป...... ว่าด้วยการบริหารธรรม คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ คนฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี คนเจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!....... ว่าด้วยการทำงาน คนโง่ : ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน คนฉลาด : ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และได้เงินตามมาโดยง่าย คนเจ้าปัญญา :.ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงและมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ...... ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ คนโง่ : เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก คนฉลาด : กตัญญูผู้มีพระคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รู้จบ คนเจ้าปัญญา : ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่องทุกฝ่ายจึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง ว่าด้วยความเพียร คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก คนเจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่หลงในเสียงที่ชมไม่จมในเสียงที่นินทา ว่าด้วยความจริงจัง คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นการเรียนรู้ มุ่งสู่การพัฒนาตนเองอยู่เสมอ   credit : http://blog.spu.ac.th/m3rcuriiez/2009/04/24/entry-2 จากคุณ : ในบัดดล เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:16:02

ความคิดเห็นที่ 28 ลองคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลดูนะครับ    คุณคิดว่าคนในสมัย2500กว่าปี เค้าจะมีวิธี สืบทอดพระไตรปิฎก 84000พระธรรมขันธ์    นี้มาสู่คนในยุคนี้ได้ยังไง   โดยที่ในสมัยนั้นไม่มีตัวอักษรใช้  ไม่มีสื่อการบันทึก เทป CD  แล้วจะทำไงให้ตกทอดมาถึงรุ่นเราได้   ท่องจำรึ??????    แล้วต้องท่องจำมาตั้งกี่รุ่นถึงจะถึงยุคที่บันทึกเป็นหนังสือ?????  คุณคิดว่ามีคนสมองดีขนาดท่องจำ หลักธรรมมะ84000 บทหรือ   แล้วไม่ใช่แค่คนเดียวแต่ต้องท่องจำมารุ่นสู่รุ่น   สู่รุ่น    สู่รุ่น    สู่รุ่น   30กว่ารุ่นกว่าจะถึงรุ่นที่มีตัวอักษรใช้บันทึก       คุณๆนักวิทย์ทั้งหลายไม่คิดเลยหรือว่า พระไตรปิฎกนี้อาจจะมาจากนักปราชญ์ นักปรัชญาเมธี    นักคิดนักเขียน   เขียนไว้เมื่อซัก  100หรือ200ปีมานี่เอง ไม่ได้มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรอก จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:40:50

ความคิดเห็นที่ 29 ที่กำลังคิดอยู่  นะ !  เห็นหรือเปล่า ? ที่กำลังสงสัยอยู่ นะ ! เห็นหรือยัง ? แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 18:00:14 จากคุณ : worapreecha เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:45:15

ความคิดเห็นที่ 30 สรุปแล้วคุณเพียงแต่ตั้งข้อสงสัยในพระไตรปิฏกหรืออย่างไร คุณสงสัยในอะไร พระพุทธเจ้า หรือพระไตรปิฏก หรือทั้งสองอย่าง เมื่อคุณตั้งข้อสงสัยแสดงว่าคุณมีจุดประสงค์อยากรู้คำตอบ แต่ถ้าคุณไม่อยากรู้คำตอบเพราะคุณไม่เชื่อแต่แรกการตั้งคำถามก็ไม่มีประโยชน์นี่ครับ ถ้าผมบอกว่าผมยินดีละทางโลกออกบวช คุณจะว่าอย่างไร สรรเสริญ ยอมรับ เทิดทูล หรือยังคงไม่เชื่อในพุทธศาสนาต่อไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องตั้งคำถามต่อพุทธศาสนาเพราะคุณมีคำตอบอยู่แล้ว ถ้าจะมีสิ่งที่ผมขอก็คือเลิกเบียดเบียนพุทธศาสนาด้วยใจที่มีทิฐิเสียดีกว่าครับ มีอะไรที่คุณทำประโยชน์ได้บ้างก็ไปทำอย่างนั้น ให้คนที่เขาเชื่อในศาสนาพุทธมีความสุขไปตามความเป็นคนพุทธ ส่วนคุณก็มีความสุขในโลกของคุณ ไม่เป็นการดีกว่าหรือ คนเราไม่เคยหยุดถามเพราะไม่เคยหยุดสงสัยหนึ่ง กับมีทิฐิหนึ่ง ต่อให้รวมคนที่เก่งที่สุดก็ไม่อาจหยุดคำถามของคนผู้นั้นได้ จำไว้เสมอว่าคำถามไม่จำเป็นต้องมีคำตอบเสมอไป แต่คำตอบแสดงว่ามีคำถามนำมาเสมอ ข้างบนนี้เป็นความคิดของผมเองครับ จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:53:05

ความคิดเห็นที่ 31   ย้อนไปไม่กี่ทศวรรตก่อน ทฤษฎีวิทยาศาตร์ต่าง ๆ นา ๆที่คนคนยุคนั้น ๆ เชื่อกันเป็นตุเป็นตะ พอมาถึงปัจุบันทฤษฎีมากมายก่ายกองที่เคยเชื่อ ๆ กัน ถูกล่มถูกโล๊ะทิ้งเกือบหมด แปลว่าคนที่นับถือวิทยาศาสตร์ในยุคโน้นถูกต้ม ถูกหลอก หรืองมงายอยู่กับ เรื่องไม่จริงทั้งเพ ที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นมั่วขึ้นมาก เรื่องที่ตลกร้ายกว่านั้น กลุ่มคนทั้งหลายที่เชื่อกันเป็นโขยงในยุคนั้น ได้ร่วมกันสร้างสังคมที่มาจากรากฐานนั้นแบบเบลอ ๆ จนคนยุคต่อ ๆ มา ต้องได้รับผลกระทบจากจุดนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหามากมายก่ายกอง จนคนในยุคเราตามแก้กันไม่หวาดไม่ไหว หมายความว่าอะไร หมายความว่า ยุคนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะเข้าข่ายอีหรอบเดียวกัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไอ้ที่เราเชื่อ ๆ กันตามทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์เสนอกันน่ะ วันข้างหน้ามันอาจจะถูกล่มทิ้งไม่เหลือเค้าเดิม แบบหลายทฤษฎีที่ถูกล่มทิ้งไป ก็เป็นได้ แล้วการมาถาม การตรัสรู้คืออะไร ทำไมต้องให้วิทยาศาตร์มาตัดสินเหรอครับ ทำประหนึ่งว่าถ้าให้วิทยาศาสตร์ตัดสินแล้วจะชี้ถูกชี้ผิดได้ พวกที่เชื่อในวิทยศาสตร์ก็กลุ่มนักมั่วกลุ่มนึง ที่มั่วทุกสิ่งตาม ฐานข้อมูลอันกระจิ๊ดริ๊ดที่มีอยู่ในมือ แต่ก็เชื่อกันโงหัวไม่ขึ้น อย่างกับพวกคลั่งลัทธิอะไรบางอย่าง อาศัยว่าไปเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์ไปสปอย์ใส่หัวเด็กตั้งแต่เด็กยังไม่รู้ความ เลยฝังหัวว่าจริงอยู่อย่างนั้นจนพอโตขึ้นก็รับอะไรใหม่ไม่ได้อีกต่อไป ตรัสรู้คืออะไร ไปถามคนเชื่อข้อมูลวิทยาศาสตร์(ที่ขาดตัวแปรอีกอื้อ) เป็นผู้ตอบ มันก็จะได้คำตอบที่มาจากความเชื่อที่โดนสะกดจิตใส่สมอง มาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ และจงเชื่อ ๆ ๆ ๆ ว่าตรัสรู้คือแบบนั้นแบบนี้ ตามที่ข้าบอก เพราะข้อมูลที่ข้าเคยอ่านมาแล้วจำมา ถูกที่ซู๊ด จากคุณ : บัตรไม่ผ่าน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 12:58:50 A:118.172.29.60 X: TicketID:121602

ความคิดเห็นที่ 32 ก็นั่งคิดไปเรื่อยๆนั่นแหละครับ เพราะว่าไม่ต้องห่วงว่าพรุ่งนี้จะมีกินหรือเปล่าเนื่องจากบิณฑบาตได้อาหารกินเรื่อยไป จนได้ข้อกำหนดที่จะทำให้คนที่แตกต่างกันอยุ่ด้วยกันอย่างเป็นสุข......... มันมีเท่านี้จริงๆ มรรคแปด จากคุณ : recombination เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 13:09:35

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 12     ถ้าพระยันตระเกิดก่อนหน้านี้ซัก100ปี    ก็อาจถูกจัดอันเป็นพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งก็ได้ จากคุณ : นายสีเสียด   เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 09:21:31            จะลบทำไมล่ะครับ      คุณเกิดทันมั้ย สมัยยันตระน่ะ  ช่วงซัก เกือบ20ปีที่แล้ว   ตอนนั้นแกดังมาก คนขึ้นกันทั้งประเทศ ทีมงานแกเก่ง  ภาพที่ออกสู่สาธารณะชนมักเป็นรูปกำลังนั่งเทศน์มีกงล้อธรรมจักรเป็นแบ๊กกราวน์ คนในยุคนั้นเชื่อว่าพระยันตระเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดใหม่  (คนยุคนั้นเค้าเชื่ออย่างนั้นจริงๆครับ)   ด้วยหน้าตา  บุคลิก  ลีลา น้ำเสียง  พอดีมาดับเอาตอนตรวจดีเอ็นเอ    ตอนผลตรวจยังไม่ออก  คนทั้งประเทศยังไม่เชื่อนะครับว่ายันตระไปมีอะไรกับผู้หญิงจนลูกออกมาโตแล้ว      (แกให้สัมภาษณ์นสพ.ว่าตอนออกบวชแกเอาหินทุบของตัวเองป่นไปนานแล้ว) ตอนนั้นคนด่าจันทิมากันทั้งเมือง  จนกระทั่งผลตรวจDNA  ออกมาเรื่องถึงจบ ยันตระหนีไปอมริกา    ถ้าไม่มีเทคโนโลยีการตรวจ DNA   ผมว่า  คนไทยเราก็นับว่ายันตระเป็นพระอรหันต์อีกองค์นึงไงครับ จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 13:09:44

ความคิดเห็นที่ 34   เหมือน 'สีซอให้ควายฟัง' ~~~~ สิ่ง ที่ฉันคิด สิ่ง ที่ฉันฝัน สิ่ง ที่ฉันเฝ้ารอ หรือสิ่ง ที่ฉัน พอใจ สิ่ง ที่ฉันเห็น สิ่ง ที่ฉัน สัมผัส สิ่ง ที่ฉัน ลิ้มลอง หรือสิ่ง ที่ฉันทำไป จะต้องเป็นจริงได้ ฉันต้องโด่งดังไกล แต่ไฉน ใครใครเห็น เป็นภาพ ลวงตา.. ดนตรี นั้นคือชีวิต จังหวะคอยลิขิต ให้ชีวิต ก้าวไป แสงสี ที่สวยสดใส นั้นเป็นจิตใจที่สดใสเสรี เสียงปรบมือ คือกำลังใจ ที่ต่อสู้ไป อย่าได้ ถอยหนี ความภาค ภูมิใจ ที่มี เกียติยศ ศักดิ์ศรี จากพวง มาลัย.. ดนตรี นั้นคือชีวิต จังหวะคอยลิขิต ให้ชีวิต ก้าวไป แสงสี ที่สวยสดใส นั้นเป็นจิตใจที่สดใสเสรี เสียงปรบมือ คือกำลังใจ ที่ต่อสู้ไป อย่าได้ ถอยหนี ความภาค ภูมิใจ ที่มี เกียติยศ ศักดิ์ศรี.. จากพวง มาลัย.. ~~~~ ดนตรีไม่ต้องเข้าใจ ขอเพียงแค่ได้ฟัง จะหวังอะไรในเมื่อตัวปล่อยกับตัวรับมันคนละตัว จากคุณ : ปล่อยผ่าน (เดธซิทีนี้) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 13:37:25

ความคิดเห็นที่ 35   เจ้าชายสิทธัตถะ ก็ไม่ต่างกับอริสโตเติ้ล เพียงแต่ว่า อริสโตเติ้ลเป็นนธรรมดา จึงเป้นได้แค่อาจารย์ ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะเป็นเจ้าชาย จึงกลายเป็นสิ่งที่เหนือกว่าเทพเจ้า เรื่องมันก็แค่นี้ ส่วนเรื่องจากหัวกระทู้ ใช่ครับ เจ้าชายสิทธัตถะคิด แต่ไม่ได้คิดจาก 0 หลายๆเรื่องมาจากคัมภีร์พระเวทบ้างอะไรบ้าง แต่คิดจนได้ข้อสรุปของตนเองมากกว่า จากคุณ : mr.soc เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 13:51:50 A:61.7.169.83 X: TicketID:220387

ความคิดเห็นที่ 36 อะไรคือความจริง อะไรคือความเห็น จากคุณ : ข้าวผัดหมูกรอบ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 14:47:26

ความคิดเห็นที่ 37 อริสโตเติ้ล บอกว่า  สัตว์พวกแมลงต่าง ๆ เกิดจากน้ำค้าง   เม็ด ไร เกิดจากสสารที่เน่าเปื่อย ของหนักตกถึงพื้นโลกเร็วมากกว่าของเบา   อากาศไม่มีน้ำหนัก และไม่มีสูญญากาศ ตอนนี้คุณก็เชื่ออยู่อย่างนี้หรือเปล่า ? คิดอะไรอยู่ถึงจะเอามาเทียบกับพระพุทธ  อย่าแกล้งโง่จะดีกว่า ส่วนเรื่องพระไตรปิฎก อยากให้หาข้อมูลบ้าง ไม่ใช่นั่งคิดแล้วมันจะออกมาเอง เพราะที่ยกๆกันมามั่วเกือบ 100% (คงไม่ต้องบอกว่าใคร)   ของบางอย่างคิดได้ครับ แต่ของบางอย่างมันต้องศึกษา หรือใช้อะไรมากกว่านั้น เหมือนเด็กแหละครับ ยังต้องไปโรงเรียน หรือถ้าไม่ไปโรงเรียน ก็ต้องมีคนสอน จู่ๆจับให้เด็กมานั่งคิดเอง เค้าจะรู้อะไรบ้างหรือเปล่า ? คุณเองก็น่าจะเคยไปโรงเรียน น่าจะมีการศึกษา ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไป นั่งคิดอยู่บ้านคนเดียว คุณว่ามันไม่บ้าไปหน่อยเหรอ สงเคราะห์ให้ เรื่องพระไตรปิฎก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81 จากคุณ : false เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 14:53:57

ความคิดเห็นที่ 38   วิทยาศาสตร์ศึกษาและมองหาต้นตอของสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วๆไปในธรรมชาติ การตรัสรู้ น่าจะหมายถึง การได้รับรู้หรือมองเห็นต้นตอที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติอย่างถ่องแท้แล้ว ตั้งแต่จาก 0 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจาก 0 ที่ว่ามันคืออะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงมีแต่การลองปฏิบัติตามหลักของศาสนาพุทธเท่านั้นถึงจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ดังนั้นหากถามว่า วิทยาศาสตร์อธิบายการตรัสรู้ได้รึป่าวนั้น ผมว่ามันเป็นอะไรที่คนละเรื่องกัน จากคุณ : วัยรุ่นยุคใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 14:54:53 A:124.157.152.120 X:

ความคิดเห็นที่ 39 เคยมีพระอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า "พระพุทธองค์ท่านทิ้งสิ่งที่มีค่าไว้อย่างนึง นั้นคือคำสอน เป็นสิ่งที่เราควรยึดถือ เป็นศาสดา" ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้เชื่อ ในพระเจ้า (พระพุทธเจ้า) และศาสนาพุทธก้ไม่เคย สอนให้เชื่อ ในคำสอนของพระองค์ เพียงแต่ เรา ควร ยึด หลัก คำสอนนั้น เพื่อดำเนินชีวิต ชีวิตเราจะได้ไม่ตกหล่ม อยู่ในโลก มากเกินไปต่างหาก ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ บุญ บาป  กงกรรม กงเกวียน ชาติหน้า ชาติที่แล้ว แต่สิ่งที่เชื่อเสมอมาก็คือ กรรม คือ ผลของการกระทำ ถ้ากำหนดการกระทำให้เป็นไปในทางที่ดีแล้ว สุดท้ายผลของการกระทำก็ส่งผลดี แม้บางครั้ง จะมีคนบอกว่า ทำดี ไม่ได้ดี นั้นเพราะเราควบคุม "ปัจจัย" ได้ไม่หมดทุกอย่าง สุดท้าย ไม่จำเป็นต้องเชื่อ และก็ไม่จำเป็นต้อง พิสูจน์ หรอกครับ ผมคิดว่า เพียงแค่ นำมาปรับใช้อย่างมีความสุข ก็เพียงพอแล้ว จากคุณ : ผ้านวมผืนเก่า เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 15:13:35

ความคิดเห็นที่ 40   วิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง คนที่คิดว่าวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง นั้น ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เป็นแค่พวกบ้าหรือคลั่งเท่านั้น คนที่ไม่เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การมีอยู่จริงของพระพุทธเจ้า หลักธรรมต่างๆ ก็ปล่อยเค้าไป ป่วยการที่จะทำให้คนเหล่านี้เขื่อ อย่าไปเถียงด้วย หลักฐานการมีอยู่จริงของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ตามทั่วทุกมุมโลก เก่าแก่เป็นพันๆปี อีกอย่างพระพุทธศาสนานั้น จะสอนเฉพาะคนที่พอจะสอนได้ จากคุณ : !!! เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 15:15:56 A:58.64.83.184 X: TicketID:203053

ความคิดเห็นที่ 41   วิทยาศาสตร์ อธิบายได้ครับ เพราะวิทยาศาสตร์ ต้องมี การตั้งสมมุติฐาน การทดลอง การสรุปผล ดังนั้น กระทู้นี้ตั้งสมมุติฐานได้แล้ว ก็ควรจะดำเนินการทดลองครับ . จากคุณ : ฟหด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 15:43:41 A:124.122.164.199 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 42 #5 หนังสือเล่มนั้นมั่ว ปัจจุบันเลิกพิมพ์แล้วครับ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 16:06:41

ความคิดเห็นที่ 43   ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่ภายหลังถูกตรวจสอบได้ว่าโม้ เราไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า ทฤษฎีเหล่านั้น บางอันมีการยัดไส้ ความเท็จโดยเจตนาด้วย ผลประโยชน์บางประการบางประการหรือไม่ ทฤษฎีทั้งหลายแหล่ที่คิดขึ้นมามากมายในปัจุบันก็เช่นเดียวกัน เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีอันไหน ที่ถูกจงใจปั้นขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจบางกลุ่มหรือไม่ แล้วยิ่งกลุ่มคนกลุ่มนี้พี่แกประกาศโต้ง ๆ ว่า ไม่เอาศีลธรรม ยิ่งไม่ต้องห่วงเลยว่า การยัดไส้ความเท็จลงไปในความรู้ มันจะมากมายก่ายกองแค่ไหน หลักการส่วนใหญ่ในวิทยาศาสตร์ก็คือ คิดอะไรก็ได้ที่ตนเองพอใจ จากนั้นหาข้อมูลต่าง ๆ นา ๆ ยกทฤษฎีนู่นนี่ที่ดูน่าเชื่อถืออันก่อนมา สนับสนุน แค่นี้ก็ดูจริงแล้ว แล้วก็เอาออกมาหากินหลอกต้มคนได้เป็นเบือ มีแค่นี้จริง ๆ วิทยาศาสตร์ อริสโตเติ้ลมีจริงหรือปล่าวก็ยังไม่รู้ พูดเป็นตุเป็นตะเชียว อาจมีคนแต่งขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้ จากคุณ : บัตรไม่ผ่าน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 16:14:30 A:118.172.29.60 X: TicketID:121602

ความคิดเห็นที่ 44   คำถามหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เคยได้ยินไหมครับคำกล่าวที่บอกว่า"ไอไสตย์บอกว่าต่อไปจะเหลือเพียงพุทธศาสนาเพราะพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ " ในเมื่อหลักของวิทยาศาสตร์อธิบายเกี่ยวกับพุทธศาสนาไม่ได้ ก็ไม่ควรมีใครกล่าวยังงี้อีกนะครับ จากคุณ : อยู่ๆมันก็คิด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 16:43:11 A:117.47.61.67 X: TicketID:214950

ความคิดเห็นที่ 45 กระทู้ศาสนาทีไร เรื่องยาวทุกที สำหรับคนที่คิดว่าพุทธศาสนามีหลักฐานอ่อน ลองเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นๆ ดูครับ ทั้งที่จารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งสถานที่และโบราณสถาน โบราณวัตถุ ต่างๆ ชัดเจนกว่าอีกหลายศาสนา ผมคิดว่าดีไม่ดีอาจชัดเจนกว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยในบางช่วงด้วยซ้ำ สำหรับคำอธิบายการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในเชิงวิทยาศาสตร์ หากให้อธิบายเชิงเปรียบเทียบก็คงจะได้ แต่จะให้อธิบายถึงการตรัสรู้จริงๆ คงทำไม่ได้ อย่าว่าแต่เรื่องของพระพุทธเจ้าเลย เรื่องบางเรื่องวิทยาศาสตร์ยอมรับว่ามีแต่ก็อธิบายไม่ได้ ยกตัวอย่างเรื่องของหลุมดำ วิทยาศาสตร์ยอมรับว่ามีจริง แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าภายในหลุมดำเป็นอย่างไร บอกได้แค่ว่าภายนั้นนั้นกฎทางฟิสิกส์ของจักรวาลนี้คงใช้ไม่ได้ เหมือนกันกับเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั่นล่ะครับ เมื่อความรู้ที่มียังเข้าไม่ถึง เราจะไปอธิบายได้อย่างไรล่ะครับ ผู้ที่จะอธิบายได้ก็คงต้องเป็นผู้มีความรู้ระดับเดียวกัน คือต้องพระพุทธเจ้าด้วยกันเท่านั้นล่ะครับ แก้ไขเพิ่มข้อความเนื่องจากเพิ่งเลื่อนขึ้นไปอ่านกระทู้ การคิดอะไรได้นั้นขอให้เป็นสิ่งใหม่ก็ดีแล้วนี่ครับ บางคนกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดเริ่มจากศูนย์แต่อาศัยแนวคิดจากคัมภีร์โบราณต่างๆ ถ้าคิดแล้วได้ผลที่ดีออกมา ผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกอะไรนี่ครับ วัตสันและคริ๊ก ผู้เสนอแบบจำลองดีเอ็นเออย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้นก็เอาผลการทดลองของหลายๆ คนมาสรุปรวมกันได้แบบนั้น แครี่ มูลลิส ผู้นำเสนอเทคนิคพีซีอาร์ ซึ่งงานชีววิทยาระดับโมเลกุลในปัจจุบันนี้ขาดเทคนิคนี้ไม่ได้เลยนั้น เขาก็รวบรวมความรู้ที่มีอยู่แล้วมาสังเคราะห์เป็นเทคนิคสะท้านโลกนี้ขึ้นมา คำถามก็คือ คนในยุคเดียวกันนั้นก็รู้เรื่องที่เขารู้ แต่ทำไมถึงคิดกันไม่ได้ พอเขาคิดได้ก็มาบอกว่ามันแค่เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาประติดประต่อกันเท่านั้นเอง มันควรหรือไม่ที่จะคิดเช่นนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรใหม่ แค่คิดสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ได้ก็เพียงพอแล้วครับ ผมอธิบายในมุมมองที่บางคนกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดอะไรใหม่ได้ ซึ่งแม้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่การที่ท่านสามารถสังเคราะห์ความรู้ให้เกิดประโยชน์สร้างสรรขึ้นมาได้นั่นก็นับว่าเป็นสิ่งวิเศษแล้วครับ พูดราวกับว่าวรรณะกษัตริย์มีแต่สมัยพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร กษัตริย์ตั้งแต่บรรพกาลก็มีตั้งมากมาย ทำไมไม่มีใครคิดได้แบบนี้บ้างล่ะ อ้อ คนเก่งจริงไม่ต้องเป็นกษัตริย์ก็มีคนรู้จัก อีสปเป็นแค่ทาสแต่เรื่องราวของเขาก็ถูกเล่าขานสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนะครับ แก้ไขครั้งที่สอง สำหรับผู้ที่กำลังพยายามเบี่ยงเบนกำเนิดของพุทธศาสนาว่ามาจาปราชญ์มารวมตัวกันรจนาพระธรรม หรืออื่นๆ ใดก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็ไม่มีผลกับผู้นับถือพระพุทธศาสนาหรอกครับ เพราะเรายึดมั่นในพระธรรม ถ้าวันใดมีผู้มาแจกแจงว่าพระธรรมนั้นๆ ไม่ถูกต้องนี่ล่ะจึงจะมีผล ป่วยการจะมาทำลายกันด้วยวิธีแบบนี้ครับ พุทธศาสนาต่างกับศาสนาอื่นตรงที่ไม่เน้นตัวศาสดา แต่เน้นที่คำสอนครับ ศาสนาอื่นหากว่าศาสดาไม่มีตัวตนจริงๆ แล้ว คำสอนที่เหลือก็เหมือนจะเป็นเรื่องโกหก แต่สำหรับพุทธศาสนา ไม่ใช่ครับ แม้ศาสดาไม่มีอยู่จริง แต่พระธรรมยังอยู่ ศาสนานี้ก็ยังดำรงอยู่ได้อย่างไม่หวั่นไหว เพราะเราเชื่อในธรรมครับ จึงเชื่อในตัวของศาสดาคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเชื่อในพระพุทธเจ้าแล้วจึงมาเชื่อในพระธรรม ไร้ประโยชน์หากจะมาล้มลางกันด้วยเหตุนี้ ทิ้งไว้อีกหนึ่งคำถามครับ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เลี้ยงดูเราอยู่ทุกวันนี้เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของเรา เพราะตอนเราเกิดก็ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง และหากเขาไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเรา เรายังให้ความเคารพรักเขาดังเดิมหรือไม่ ตอบใจตัวเองดูครับ ผมนับถือพุทธศาสนาด้วยเหตุผลเดียวกันครับ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 17:41:06 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 17:21:48 จากคุณ : นาย x-man (นาย X-MAN) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 17:07:11

ความคิดเห็นที่ 46 ผมนับถือศาสนาพุทธครับ มีเพื่อนเป็นมุสลิม และมีเป็นคริสต์ด้วย ทุกคนก็มีความสุขดีกับสิ่งที่ตนเองเชื่อครับ และดีที่ไม่ก่าวก่ายกัน นั่นแหละครับมีความสุข จากคุณ : GOLFGTC เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 18:16:14

ความคิดเห็นที่ 47   นายสีเสียด ทำไมไม่ลองศึกษาดูเองบ้างละ คำที่คุณเถียงนะผมก็เป็นมาก่อน ย่อมเข้าใจดี ขนาด TEXT ฟิสิกส์ มหาวิทยาลัย ยังต้องมาแก้คำผิดเลย พระธรรมในพระไตรปิฏก จากที่ผมอ่าน ส่วนที่สอนหลักปฏิบัติธรรมละเอียดมากๆ เรื่องจิต ละเอียดในการอธิบาย ส่วนมากอธิบายซ้ำย้อนกลับต้นไปท้ายสลับไปมาหลายรอบจนกว่าจะอธิบายปัจจัยครบ มีปัจจัย6อย่าง พระสงฆ์ยุคแรกที่ใช้การท่องต่อกันมาสุดยอดมากๆ ไล่ท่องหัวท้ายสลับคำป้องกันการผิดพลาดอย่างดี อ่านพระไตรปิฏกบ่อยๆจะเข้าใจจังหวะ สมมติหากอ่านผิดหรือท่องผิด1จุดจังหวะที่อธิบายซ้ำในรอบปัจจัยอื่นก็จะไม่สอดคล้องกันทั้งหมด อถิบายปัจจัยครบแล้วก็ยังสรุปด้วยธรรมดีที เหมือนบาร์โค๊ดที่มีระบบป้องกันความผิดพลาด เรียกว่าพระสงฆ์ยุคแรกที่รวบรวมนี่เจ๋งมากๆ (เวลาฟังพระสวดจะได้ยินคำซ้ำไปมาแต่เปลี่ยนนิดหน่อยบางคำใช่ไหม นั้นแหละสุดยอดความอุตสาหะ) จะมีก็ส่วนที่เป็นนิทานนิยายปลีกย่อยนี่แหละที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นพุทธพจน์ (และไม่ค่อยมีคำย้อนแบบพุทธพจน์) แต่พระสงฆ์สมัยนั้นมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าท่านเก็บมาทุกเม็ดเท่าที่จะทำได้เพื่อส่งต้อข้อมูลมาให้คนรุ่นถัดไปให้ศึกษา แล้วก็เป็นความโชคดีที่คำบาลี-สันสกฤต ก็เป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่มีการใช้งานอื่น การที่ความหมายคำฉบับบาลี-สันสกฤต จะเปลี่ยนก็ไม่มี แต่ภาษาไทยนี่แหละที่ยังเปลี่ยนแปลงในความหมาย ซึ่งพระพุทธองค์ยังตอบไว้เลย ว่าอะไรเป็นเหตุให้พระสัทธรรมเสื่อมสูญ พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือนเลือนหายแห่งพระสัทธรรม.... คือ พยัญชนะแห่งบทที่ทรงจำไว้ไม่ดี ๑ ความหมายที่ถ่ายทอดไว้ไม่ดี ๑ แม้ความหมายแห่งพยัญชนะของบทธรรมที่ทรงจำไว้ไม่ดี ดี เป็นอันถ่ายทอดไม่ดี “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ๒ อย่าง คืออะไร คือ พยัญชนะแห่งบทที่ทรงจำไว้ดี ๑ ความหมายที่ถ่ายทอดไว้ดี ๑ เมื่อพยัญชนะแห่งบทธรรมทรงจำได้ดี แม้ความหมายก็เป็นอันถ่ายทอดด้วยดี.....” ป. ทุก. อํ. (๒๖๖) อะไรเป็นเหตุให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว ? พระอานนท์ตอบ “ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้เพิ่มพูนซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคต เสด็จปรินิพพานแล้ว และเพราะบุคคลเจริญ เพิ่มพูนซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว....” ดังนั้นมันจึงไม่ใช่การมาตีความกันเอง เหมือนคำภีร์ศาสนาอื่น แต่เป็นการอธิบายทฤษฏีตรงๆ อย่างละเอียดมากๆ จะเหลือก็แค่การปฏิบัติเนี้ยแหละว่าทำกันหรือเปล่า ถ้าทำก็จะยิ่งมั่นใจในข้อมูลพระธรรมที่ถูกส่งต่อกันมา เพราะมันอธิบายเรื่องของตัวเราเองได้ตรงจุด แบบที่ไม่มีใครอธิบายได้มาก่อน ยิ่งเรารู้จักสภาวะที่เกิดมากขึ้นก็ยิ่งมั่นใจในพระธรรมมากขึ้น ส่วนอยู่ที่คุณมายกตย.พระยันตระ ก็ไม่เห็นเหรอว่าเดี่ยวนี้ไม่มีใครพูดถึงไม่ใช่หรือไม่กี่สิบปีเองที่มีเรื่อง นี่ปีพศ.2552แล้ว ต้องเข้าใจว่าพุทธศาสตร์เน้นผลที่การศึกษาความทุกข์ ระบบการทำงานของความทุกข์ จนเข้าใจปัจจัย รูปแบบกระบวนการทุกข์ จนหาทางพ้นทุกข์ หากมีศาสตร์อื่นทำได้ดีกว่ามีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่า นั้นแหละพุทธศาสน์ย่อมหายไปเอง ดังนั้นคุณสีเสียดไม่ต้องกังวล จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 19:38:30 A:58.64.64.234 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 48   ขอร้องเถอะครับ "ชาวไทยพุทธ" และ คนไทย ที่เคารพใน พุทธศาสนา ทุกท่าน อย่าเอา พุทธศาสตร์ ไปเปรียบกับ วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเลย เพราะตามจริงแล้ว วิทยาศาสตร์ ใช้คำว่า Science มีรากศัพท์ มาจาก Scient แปลว่า ความรู้ แต่คำว่า ตรัสรู้ หรือ สิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้นั้น เขาใช้คำว่า Omniscient ซึ่งมันคนละระดับกันเลย นัยยะว่า วิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ยังพยายามพัฒนาไปสู่ Omniscient มันดูเป็นการเปรียบเอาสิ่งที่เหนือกว่ามาเทียบกับสิ่งที่ด้อยกว่า เพียงแต่ว่าเราเห็นและเข้าใจในวิทยาศาสตร์ได้แพร่หลายกว่าเท่านั้น เราไม่เข้าใจพุทธศาสตร์เอาเสียเลย หรืออย่างน้อยก็ลือเล่าอ้างเท่านั้น ถ้าจะถกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ เราน่าจะมาถกในประเด็นว่า วิทยาศาสตร์ สามารถ ตรัสรู้ ได้ไหมมากกว่า เพราะ พุทธศาสนา อธิบายเรื่อง ธาตุ4 ไว้ครบ จนจบกระบวน สู่ สัจธรรม แต่วิทยาศาสตร์กำลังพยายามหาคำอธิบายของ แรงทั้ง4 และ ยังอีกยาว กว่าจะหาข้อสรุปรวม ได้อย่างที่พุทธศาสตร์ว่าไว้เก่าแก่ วิทยาศาสตร์ ต้องมี ตรรกะ ออกมาเป็นหลักฐานให้แก่ผู้อื่นยอมรับ เป็นเอกสาร ฯลฯ พุทธศาสตร์ อยู่เหนือตรรกะ(ก็ระบบมันไม่ได้มีแค่ตรรกนี่น่า) รู้ได้ด้วยตนเอง และชี้ทางให้คนอื่นได้ พุทธศาสนา บอกว่า ความว่างเปล่านั้นไม่ได้นิ่ง มันอยู่ในไตรลักษณ์ เช่นกัน วิทยาศาสตร์เพิ่งจะทราบจากการทดลองเร็วๆนี้ว่า ใช่ แล้วทำไมเราชอบเอาพุทธ ให้ต่ำลงมาเป็นแค่วิทยาศาสตร์กัน....? จากคุณ : ใบอณุญาตยังไม่ผ่าน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 20:54:51 A:112.143.51.70 X:

ความคิดเห็นที่ 49 ลองอธบายรสชาติของเกลือให้คนที่ไม่เคยกินเกลือ  ให้เขาเข้าใจสิ ฉันใดฉันนั้น สุข ปิติ เบิกบานใจ <--- พวกนี้ทุกคนรู้ความหมาย แต่จะมีกี่คนที่"เข้าใจ" ถ้าคนเคยปฏบัติและเคยสัมผัส พูดปุ๊บ ก็เข้าใจความหมายกันทันที เกลือ คำเดียว เข้าใจสำหรับคนเคยกิน คำสอนของพุทธศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ ครับ ท่านบอกว่าจงเดินทางไปทางนี้ จะเจออย่างนี้ๆๆๆๆ อาจจะมีอย่างๆๆๆๆ ให้ทำอย่างงี้ๆๆๆ อย่าหลง อย่าติดสุขสงบ แล้วจะเป็นอย่างนี้ๆๆๆๆๆ ผมเคยเดินไปตามทางได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็รู้ได้ทันทีว่านี่มันวิทยาศาสตร์ชัดๆ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่พูดถึงภายในจิต รู้เองเห็นเอง บอกใครลำบาก ยิ่งทำไปเรื่อยๆ จะยิ่งอัศจรรย์ในคำสอนของท่านที่ท่านเคยบอกมาแล้วถึงสองพันกว่าปี วิทยาศาสตร์จริงๆ    .... ไปกินเกลือนะ จากคุณ : kamas เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 21:36:11

ความคิดเห็นที่ 50   คุณต้องตรัสรู้เองถึงจะรู้ ไม่มีวิทยาศาสตร์ไหนหรือตำราใด อธิบาย เพราะมันนอกเหนือ... คว่ำกระดานที่คุณเคยรู้จักมากี่กัลป์กี่กัปทั้งหมดไปได้เลย ================================ " ทันใดนั้น เขาก็ได้ใจกลับคืนมา " ================================ " รู้แจ้งได้แค่เสี้ยววินาที มันไม่เกี่ยวกับการคิด แต่มันเห็นแจ้งเอง โดยไม่ต้องคิด เหนือผิดถูก ไม่มีข้อโต้แย้ง รู้แจ้งเสร็จสรรพเดี๋ยวนั้นในบัดดล ทุกอริยาบถ ไม่เป็นทั้งเข้าทั้งออก ไม่ติดไม่ขัด Smooth all the ways. นิพพานโดยไม่ต้องทำไร คุณจะเชื่อ ต่อเมื่อคุณรู้แจ้งเอง ตอนนี้พล่ามไป ไร้ความหมาย " ================================ พุทธภูมิหนึ่ง สัจจะหนึ่ง จิตหนึ่ง สัจธรรมสูงสุดหนึ่ง อิสระภาพนอกเหนือกาลเวลาชั่วนิรันดร์  (นิพพาน) แล้วจะหาอะไรมาอธิบายสัจธรรมสูงสุด ที่ไม่อาจคว้าจับ หว่านล้อมหรือเปิดเผยได้ด้วยถ้อยคำใด (บทความคัดมาจากบุคคลนิรนาม) แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 22:15:56 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 22:14:11 จากคุณ : Time & Space เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 22:02:57

ความคิดเห็นที่ 51 ผมไม่ได้อ่านจนจบ... แต่ผมคิืดว่า"การถาม"เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ผู้มีจิตใจอารีย์ไม่ควรติเตียน ควรสนับสนุนมากกว่า .. ลูกผมถามได้ทั้งวัน ผมก็ตอบไป ตอนนี้เค้ารู้อะไรๆมากมายโดยที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : smileNNa (smileNNa) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 22:29:03

ความคิดเห็นที่ 52 .. ในทางวิทยาศาสตร์  อธิบายการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า "โอ้โห  ใช่แล้ว  มันเป็นแบบนี้เองหนอ" หลังจากคุณทดลองอะไรมั่วๆ ทางวิทยาศาสตร์ แล้ว "ปิ๊ง" นั่นแหละการตรัสรู้ แต่ตรัสรู้ในเรื่องอะไร วิทยาศาสตร์ อาจจะตรัสรู้ในเรื่องหลุมดำ อะตอม อิเลคตรอน ฯลฯ แต่ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ในเรื่อง "ทุกข์" "เหตุให้เกิดทุกข์" "ทางดับทุกข์" "ความดับแห่งทุกข์" วิทยาศาสตร์ อธิบายเรื่องแรงไว้ยังไง คนอื่นมาศึกษา แล้วเข้าใจไปทางเดียวกัน ก็เรียกว่าเป็น ศิษย์ของศาสดานั้น พระพุทธเจ้า อธิบายเรื่องทุกข์ ไว้ยังไง คนอื่นมาศึกษา ก็เห็นเหมือนกัน ก็เรียกว่า เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ถ้าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องใด มีคนมาแย้งได้  ก็เป็นอันว่าทฤษฎีนั้นตกไป ถ้าทฤษฎีอื่นใด มาแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ก็เป็นอันว่า ทฤษฎีในเรื่องทุกข์ เป็นอันตกไปเช่นกัน แต่มีคนมีปัญญา บารมี  ลองทำตามแล้ว เห็นตามได้ เลยทำให้ทฤษฎีนี้ยังมีคนทำตามตลอดมา แต่ก็นั่นแหละ บางคนลองทำตาม แต่ไม่เห็นตาม จะเรียกว่าทฤษฎีเรื่องทุกข์ตกไป ก็คงไม่น่าใช่ เว้นเสียแต่ว่า ทฤษฎีที่คุณสร้างขึ้นมา สามารถหักล้างทฤษฎีนี้ได้ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 23:05:59

ความคิดเห็นที่ 53 #50 บุคคลนิรนาม เป็นใครกัน ? ด้วยความเคารพ  บุคคลผู้นี้ผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว จากคุณ : saengdaed เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 23:20:43

ความคิดเห็นที่ 54 ความเห็น 28 ................... ลองคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลดูนะครับ    คุณคิดว่าคนในสมัย2500กว่าปี เค้าจะมีวิธี สืบทอดพระไตรปิฎก 84000พระธรรมขันธ์    นี้มาสู่คนในยุคนี้ได้ยังไง   โดยที่ในสมัยนั้นไม่มีตัวอักษรใช้  ไม่มีสื่อการบันทึก เทป CD แล้วจะทำไงให้ตกทอดมาถึงรุ่นเราได้   ท่องจำรึ??????   แล้วต้องท่องจำมาตั้งกี่รุ่นถึงจะถึงยุคที่บันทึกเป็นหนังสือ?????  คุณคิดว่ามีคนสมองดีขนาดท่องจำ หลักธรรมมะ84000 บทหรือ   แล้วไม่ใช่แค่คนเดียวแต่ต้องท่องจำมารุ่นสู่รุ่น   สู่รุ่น    สู่รุ่น    สู่รุ่น   30กว่ารุ่นกว่าจะถึงรุ่นที่มีตัวอักษรใช้บันทึก      คุณๆนักวิทย์ทั้งหลายไม่คิดเลยหรือว่า พระไตรปิฎกนี้อาจจะมาจากนักปราชญ์ นักปรัชญาเมธี    นักคิดนักเขียน   เขียนไว้เมื่อซัก  100หรือ200ปีมานี่เอง ไม่ได้มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรอก +++++++++++++++++++++++++++++++++. นายสีเสียดไม่ควรเอาสติปัญญาความจำของตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปใช้ตัดสินสติปัญญาความจำของผู้อื่นทั้งหมดนะครับ พระภิกษุสงฆ์ในอดีตท่านมีวิระอุตสาหะเพียงใดไม่อาจที่จะคาดเดาได้ ท่านผู้ทรงพระไตรปิฎกจริง ๆ นั้นท่านสามารถท่องจำได้หมดและสืบทอดต่อๆ กันมาไม่ขาดสายเลย แม้ในยุคสมัยปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์ทรงสมณะศักดิ์และเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกชาวพม่า ที่สามารถท่องจำพระไตรปิฎกที่มีนับจำนวนเป็นหมื่น ๆ หน้าได้ด้วยปากเปล่าโดยไม่ผิดก็ยังมีอยู่นะครับ ในพม่าปัจจุบันมีประเพณีเป็นทางการของบ้านเมือง คือ มีการสอบพระภิกษุที่มาสมัครเพื่อจะแสดงความสามารถในการทรงจำพระไตรปิฎก พระภิกษุองค์ใดสอบผ่านแสดงว่าทรงจำพระไตรปิฎกได้หมด ซึ่งถ้านับเป็นตัวหนังสือพิมพ์เป็นอักษรไทย ก็ได้ ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า ถ้าท่านจำได้หมด ทางการจะตั้งให้เป็น พระติปิฏกธร แปลว่า ผู้ทรงจำพระไตรปิฎก ได้เป็นพระเป็นที่เคารพนับถือองค์หนึ่ง และทางรัฐบาลจะเลี้ยงดูโยมพ่อแม่ของพระภิกษุนั้น และอุปถัมภ์บำรุงด้วยประการต่างๆ          เดี๋ยวนี้ก็ยังมีพระติปิฏกธร คือพระภิกษุรูปเดียวที่สามารถจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า ให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย นี่คือองค์เดียวเท่านั้น ก็ยังจำไหว          ในสมัยโบราณต้องใช้วิธีทรงจำโดยท่องปากเปล่าอย่างนี้ เพราะไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะฉะนั้น พระภิกษุทั้งหลายก็ทรงจำกันไว้ องค์ไหนทรงจำไว้ได้มากที่สุด ก็จะได้รับความเชื่อถือ และเคารพนับถือ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 00:04:44 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 52 23:45:03 จากคุณ : ยังอีกไกล เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 23:37:36

ความคิดเห็นที่ 55 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 23:39:28

ความคิดเห็นที่ 56 เอามาให้คุณนายสีเสียดได้อ่านครับ โลกทัศน์จะได้กว้างขึ้น จะได้ไม่ดูถูกสติปัญญาของพระภิกษุสงฆ์ในอดีต ......................... พระไตรปิฎกยุคท่องจำ แม่นยำแค่ไหน ทีนี้การรักษาสืบต่อพระไตรปิฎกนั้นท่านทำกันมาอย่างไร เรื่องนี้ต้องแบ่งเป็น ๒ ยุค คือ               ๑. ยุคที่สืบต่อมาด้วยการทรงจำด้วยปากเปล่า เรียกว่ามุขปาฐะหรือมุขปาฐ และ               ๒. ยุคที่ได้จารึกเป็นตัวอักษร เช่นในใบลาน เป็นต้น          ช่วงแรก เป็นยุคของการรักษาไว้ด้วยการทรงจำ โดยสวด หรือสาธยาย แต่ก่อนนี้อาตมาเองก็เคยสงสัย เหมือนหลายคนสงสัยว่า เมื่อรักษาด้วยการทรงจำ ก็น่ากลัวว่าจะมีการคลาดเคลื่อนเลอะเลือนหลงลืมไป แต่เมื่อเวลาผ่านมา ได้พิจารณาไตร่ตรอง และได้เห็นหลักฐานและหลักการต่างๆ ก็กลายเป็นว่า การรักษาด้วยการท่อง โดยสวดแล้วทรงจำไว้นั่นแหละ เป็นวิธีที่แม่นยำยิ่งกว่ายุคที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร          ที่ว่าอย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะว่าการท่อง ที่จะทรงจำพระไตรปิฎก หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า ธรรมวินัยนั้น ท่านทำด้วยวิธีสวดพร้อมกัน คือ คล้ายกับที่เราสวดมนต์กันทุกวันนี้แหละ เวลาสวดมนต์พร้อมกัน เช่นสวดกัน ๑๐ คน ๒๐ คน ๕๐ คน ๑๐๐ คนนั้น จะต้องสวดตรงกันหมดทุกถ้อยคำจะตกหล่นตัดขาดหายไปก็ไม่ได้ จะเพิ่มแม้คำเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะขัดกัน ดีไม่ดีก็สวดล้มไปเลย          เพราะฉะนั้น การที่จะสวดโดยคนจำนวนมากๆ ให้เป็นไปด้วยดี ให้สอด คล้องกลมกลืนกัน ก็จะต้องสวดเหมือนกันหมด ท่านจึงรักษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ด้วยวิธีนี้ คือทรงจำพระไตรปิฎกด้วยวิธีสวดพร้อมกันจำนวนมากๆ          พระสงฆ์ทั้งหลายนั้นท่านเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก เพราะรู้อยู่ว่า นี้แหละคือพระพุทธศาสนา ถ้าหมดพระไตรปิฎกเมื่อไร พระพุทธศาสนาก็หมดไปเมื่อนั้น ถ้าพระไตรปิฎกเคลื่อนคลาดไป พระพุทธศาสนาก็เคลื่อนคลาดไปด้วย          พระเถระรุ่นก่อนนั้น ถือความสำคัญของพระไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ในยุคที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ก็ต้องถึงกับพูดกันว่า อักษรจารึกพระธรรมของพระพุทธเจ้านี้ อักษรเดียวมีค่าเท่ากับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามองในแง่บวก ก็คือว่าต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ดี แม้แต่จารึกหรือสนับสนุนการจารึกเพียงนิดหน่อยก็เป็นบุญเป็นกุศลมาก แต่มองในแง่ลบก็คือ ถ้าใครไปทำให้ผิดพลาด แม้แต่อักษรเดียว ก็เหมือนทำลายพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นบาปมาก นี่แหละ ท่านให้ความสำคัญถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พระเถระรุ่นก่อน ท่านจึงระวังมากในเรื่องการรักษาทรงจำพระไตรปิฎกไม่ให้ผิดเพี้ยน รวมความว่า               ๑. มีความระมัดระวังเห็นเป็นสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นตัวพระพุทธศาสนา               ๒. ถือเป็นงานของส่วนรวม โดยเฉพาะพระเถระผู้ใหญ่ ผู้นำหมู่คณะ และพระสงฆ์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา จะต้องเอาธุระในการดูแลรักษาอย่างยิ่ง          เป็นอันว่า การรักษาด้วยวิธีเดิม คือการทรงจำด้วยการสาธยายนั้น เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด เพราะรักษาโดยส่วนรวมที่สวดพร้อมกัน แต่พร้อมกันนั้นแต่ละองค์ก็มีหน้าที่ต้องท่องจำอยู่แล้ว โดยจะต้องมีการซักซ้อม และทบทวนกันอยู่เสมอ ซึ่งปรากฏแม้แต่ในสมัยนี้ ในพม่าก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ กล่าวคือในยุคนี้ ทั้งๆ ที่มีคัมภีร์จารึกและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือแล้ว เขาก็ยังพยายามสนับสนุนพระภิกษุให้ทรงจำพระไตรปิฎก          ในพม่าปัจจุบันยังมีประเพณีเป็นทางการของบ้านเมือง คือ มีการสอบพระภิกษุที่มาสมัครเพื่อจะแสดงความสามารถในการทรงจำพระไตรปิฎก พระภิกษุองค์ใดสอบผ่านแสดงว่าทรงจำพระไตรปิฎกได้หมด ซึ่งถ้านับเป็นตัวหนังสือพิมพ์เป็นอักษรไทย ก็ได้ ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า ถ้าท่านจำได้หมด ทางการจะตั้งให้เป็น พระติปิฏกธร แปลว่า ผู้ทรงจำพระไตรปิฎก ได้เป็นพระเป็นที่เคารพนับถือองค์หนึ่ง และทางรัฐบาลจะเลี้ยงดูโยมพ่อแม่ของพระภิกษุนั้น และอุปถัมภ์บำรุงด้วยประการต่างๆ          เดี๋ยวนี้ก็ยังมีพระติปิฏกธร คือพระภิกษุรูปเดียวที่สามารถจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า ให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย นี่คือองค์เดียวเท่านั้น ก็ยังจำไหว          ในสมัยโบราณต้องใช้วิธีทรงจำโดยท่องปากเปล่าอย่างนี้ เพราะไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะฉะนั้น พระภิกษุทั้งหลายก็ทรงจำกันไว้ องค์ไหนทรงจำไว้ได้มากที่สุด ก็จะได้รับความเชื่อถือ และเคารพนับถือ http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/menu2_12.htm แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 00:18:24 จากคุณ : ยังอีกไกล เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 00:07:02

ความคิดเห็นที่ 57 วิทยาศาสตร์ มองในแง่ปรากฎการณ์ วัตถุ พลังงาน พระพุทธเจ้า มองที่จิต มองสภาวะที่แท้จริง โดยจิตที่ไม่ปรุงแต่ง การมองโลกทัศน์ของมนุษย์ ถูกบดบัง ลวงตา ลวงความคิด ด้วยจิต การคิดแบบวิทยาศาสตร์ตามหลักเดิมๆ ไม่อาจจะเข้าไปอธิบายพุทธศาสนา ได้  แต่สิ่งสำคัญคือการรู้สรรพสิ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นปลายทางของพระพุทธเจ้า แต่เป็นการดับทุกข์  แต่สุดท้ายวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาจะบรรจบกัน เพราะเรื่องของจิต ผู้สังเกตุ กลายเป็นส่วนสำคัญในวิทยาศาสตร์ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 00:15:07 จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 00:13:28

ความคิดเห็นที่ 58 อจินไตย จากคุณ : แมวผจญภัย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 01:08:34

ความคิดเห็นที่ 59   ความเห็น 45 ....ตอบไปยกหางศาสนาตัวเองไป ข่มศาสนาอื่นไป แทนที่จะแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ดีไม่ดีจะสร้างศัตรูเพิ่มโดยไม่รู้ตัวนาครับ หุๆๆ เอาล่ะ ถ้าศาสนาพุทธสามารถอยู่ต่อไปได้โดยที่ศาสดาไม่จำเป็นต้องมีตัวตนจริงก็ได้ งั้นขอถามคุณหน่อยจิ........................ แล้วใครเป็นคนคิดพระธรรมครับ แสดงว่ามีคนอื่นแต่งพระธรรมขึ้นมาเอง แต่กลัวไม่ขลัง เลยเมคเรื่องโกหกว่า มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เทศนาสั่งสอนพระธรรม แบบนี้ก็แสดงว่าพระธรรมของศาสนานี้ มาจากคนที่ผิดศีลมุสาวาทาเวรมณี แล้วพระธรรมจากคนทุศีลนี่ คุณคิดว่า ยังควรค่าแก่การยึดถือเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตอีกเหรอครับ O_o #!!!# คิดตามหลักความจริง ถ้าศาสดาของศาสนา เกิดจากการโกหกเมคขึ้นเอง โดยที่ไม่เคยมีตัวตนจริง ศาสนาไหนๆ ก็ไม่มีค่าควรแก่การนับถือทั้งนั้น ไม่ต่างกันหรอกครับ จากคุณ : ยกตนข่มท่าน เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 01:21:32 A:203.188.31.225 X: TicketID:218828

ความคิดเห็นที่ 60 ยังไม่ได้อ่านค่ะ คห. ของท่านอื่นๆ นะคะ แต่สะดุดคำที่ว่า ((( ผมว่า เค้านั่งคิดไปเรื่อยๆ ))) เค้า ที่ว่านี่ หมายถึงพระพุทธเจ้าใช่มั๊ยคะ ( แก้ไขคำผิดค่ะ ) แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 02:12:37 จากคุณ : คุณนู๋เรย์ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 02:11:45

ความคิดเห็นที่ 61   สงสัยว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงมั้ย แค่ได้ยินคนดีดพิณแล้วตรัสรู้นี่มันไม่น่าเชื่อถือเหรอ แล้วNewtonแอปเปิลตกใส่หัวแล้วคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงได้นี่มันไม่แปลกใช่มั้ย ไอ้ที่อยู่ดีๆแล้วคิดคำตอบของอะไรขึ้นมาได้นี่เขาเรียกว่า intuition มันเป็นเรื่องปกติครับทุกคนเขาก็เป็นกัน ไอ้เรื่องที่แอปเปิลตกจริงมั้ยเราก็ไม่รู้ แต่แนวคิดที่ได้มามันดีจริง ผมยอมรับ พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงมั้ยผมไม่สนใจ ผมรู้แต่ว่าคำสอนท่านดีจริง พระพุทธเจ้าผิดที่เอาเรื่องของคนสมัยก่อนมารวบรวมแล้วเอามาสอน แล้วNewtonผิดมั้ยที่จริงๆแล้วเขาไม่ได้คิด calculusเอง แต่เขาแค่รวบรวมความคิดของคนรุ่นก่อนๆมาแล้วตั้งเป็นทฤษฎีของเขาเอง ผิดมั้ยที่อยู่ดีๆมีคนเอาสมการของ Gauss, Faraday, Ampere มารวมกัน แล้วเรียกว่า Maxwell's equations ผิดมั้ยที่มีคนเอา Poincare group,Lorentz invariant, Minkovski space ... มารวมกันแล้วเรียกว่า General relativity ผมไม่สนใจว่าผิดมั้ย แต่ผมว่าสิ่งที่ได้มามันดีจริงๆ แก้ปัญหาหลายๆอย่างได้ พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตนจริง คำสอนเป็นคนอื่นเขียน รู้จัก Nicolas Bourbakiมั้ยครับ หนังสือคณิตศาสตร์ของเขาดีมาก มีแนวคิดในหนังสือของเขาimpactต่อวงการคณิตศาสตร์ แต่จริงๆแล้วเขาไม่มีตัวตนจริงๆ มันเป็นแค่ ชื่อสมมุติของกลุ่มนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ถ้าNewtonไม่มีตัวตนจรืงๆ แล้วคุณจะยอมรับ Calculusมั้ยครับว่ามันเป็นเครื่องมือทางคณืตศาสตร์ที่ดีมากๆ ผมไม่สนใจว่าเขาจะมีตัวตนจริงมั้ย แต่ผมนับถือในแนวคิดของเขา และยอมรับว่ามันดีจรืงๆ บางคนบอก "พระธรรมจากคนทุศีลนี่ คุณคิดว่า ยังควรค่าแก่การยึดถือเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตอีกเหรอ" คุณเคยลองยึดถือเป็นนั้นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตหรือยังครับ ถ้ามันไม่ดีจริงค่อยมาพูด ไม่ใช่บอกคนที่คิดเป็นคนไม่ดีแล้วสิ่งที่ คนเหล่านั้นคิดมันต้องไม่ดีไปด้วย มันค่อยจะเป็นวิทยาศาสตร์ที่คุณชอบอ้างกันเลยนะ แล้ว ถึงยอมรับJohn Nashคนโรคประสาทที่รับรางวัลโนเบิล ทำไมถึงยอมรับคนที่มีนิสัยกร้าวร้าว และตายโดยการดวลปืนเพื่อแย่งผู้หญืง อย่าง Evariste Galois แล้วทำไมถึงยอมรับคนที่นิสัยกร้าวร้าว กลั่นแกล้งคู่แข่งเพื่อไม่ให้ผลงานคนอื่นเด่นกว่า อย่างNewton ผมไม่สนใจว่านิสัยเขาจะแย่ยังงัย แต่สิ่งที่เขาคิดมันดีจรืงๆ สุดท้ายนี้ผมไม่สนใจว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นคนเช่นไร มีตัวตนจริงมั้ย เป็นคนทุศีลหรือเปล่า ผมรู้แต่ว่าคำสอนท่านดีจริงเพราะลองใช้แล้ว และ ผมรู้เเล้วว่าบัวในตมมีจริง จากคุณ : Infineon เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 06:10:54 A:99.172.4.7 X:

ความคิดเห็นที่ 62 ภิกษุทั้งหลาย..!! เราจะแสดงธรรม เฉพาะที่เป็นไปเพื่อการระงับทุกข์เพียงเท่านั้น นอกจากนี้ หากรู้ไปก็เสียเวลาเปล่า... จากคุณ : francheska (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 10:35:30

ความคิดเห็นที่ 63 ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา  ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน จากคุณ : ปฎิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่จิต... (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 10:42:31

ความคิดเห็นที่ 64 วิทยาศาสตร์ไม่มีคำอธิบาย เพราะวิทยาศาสตร์ ติดกรอบหนึ่งเดียวของเขาคือ ศึกษาเฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น ถ้าในทางจิตวิทยาคงเรียกว่าการ insight แต่เป็นการ insight ระดับสุดยอด (เพราะเดิมก่อนตรัสรู้ ก็มีพื้นวิชาการทุกแขนงในยุคนั้น เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปแบบสุดๆอยู่แล้ว เรียนอะไรก็เหนือกว่าอาจารย์ไปหมด) คนทั่วไป โดยปกติจะเห็นว่ากายตัวเอง โดยเฉพาะใจตัวเอง เป็นตัวตนของตัวเอง เป็นตัวตน 1 ตัวตน และกระแสการเข้าใจมนุษย์ในแบบทั่วไปก็ยังติดกับปรัชญาของ Rene Descartes เห็นว่าตัวตนเป็น 1 เดียว และความคิดนั่นล่ะคือตัวตนหรือวิญญานทั้งหมดของคน (จากวลี "I think therefore I am.") ซึ่งนักมนุษย์ศาสตร์ สาย humanism ก็ติดกับอยู่แค่นี้ ไปไม่ได้ลึกกว่านี้ คนทั่วไป ก็เห็นตัวเองไปในลักษณะนั้นเหมือนกัน คิดว่าจิตใจตัวเองเป็น 1 ตัวตน เท่านั้น แต่ในทางจิตวิทยาจริงๆจังๆ ก็จะเข้าใจข้อเท็จจริงที่ก้าวหน้ากว่านั้นไปอีก จุดเริ่มจาก ฟรอยด์ฯ ที่เป็นบิดาแห่งจิตวิเคราะห์ แสดงให้เห็นว่า จิต ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา 1 เดียว แต่ประกอบขึ้นจากหลายส่วน และส่งอิทธิพลต่อกันในหลากหลายรูปแบบ ปัจจุบัน ก็ก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปอีก Information Technology ต้นกำเนิดก็มาจากจิตวิทยาสายหนึ่ง ที่มองในเรื่อง ข้อมูล เป็นสำคัญ และยืนพื้นด้านการพยายาม เข้าใจการคิดคำนวณหรือการใช้ตรรกะของมนุษย์ ต่อมาพัฒนาจนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่าเป็นสมองกล ในปัจจุบัน ซึ่งหลายๆครั้งนั้น ทฤษฎีทางคอมฯ สามารถใช้อธิบายและทำความเข้าใจควบคู่กับจิตวิทยาไปได้พร้อมๆกันอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ (ลองศึกษาจิตวิทยาเยอะๆ ไปพร้อมกับเข้าใจคอมฯ อย่างลึกซึ้งดูล่ะกันครับ) จากนั้นพอมาจับการศึกษาธรรมะเข้าไปอีก แหม ผมรู้สึกว่า จิตวิทยา + com-sci + ธรรมะ มันก็สอดคล้องกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์สุดๆ นักวิทย์คอมฯ เก่งๆระดับต้นๆของไทยหลายคน พอศึกษาธรรมะ ก็จะเจออะไรที่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย และมักจะอธิบายธรรมะผ่านมุมมองทฤษฎี com-sci กันประจำ (สิ่งหนึ่งที่ com-sci กับ ธรรมะ มองเหมือนกันคือ จิตใจทำงานในลักษณะเป็น cycle อย่างรวดเร็วหลายล้านรอบในชั่วพริบตา จนเมื่อมองอย่างหยาบๆ เหมือนกับเป็นเส้นสายเส้นเดียวที่ไร้รอยเชื่อมต่อระหว่าง cycle เหล่านั้น) จากคุณ : Detonator_Pao_ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 10:51:56

ความคิดเห็นที่ 65 กลางคืนนาน...สำหรับคนที่นอนไม่หลับ ทางหนึ่งโยชน์ไกล...สำหรับคนที่เมื่อยล้าแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดนาน....สำรับผู้ที่ไม่รู้พระสัทธรรม จากคุณ : เป็นมนุษย์สุดดีอยู่ที่จิต (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 11:02:37

ความคิดเห็นที่ 66 ถ้าต้นไม้ล้มในป่าที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ คุณว่าจะมีเสียงไหม แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 11:04:20 จากคุณ : kiamour เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 11:03:52

ความคิดเห็นที่ 67 อย่าดูหมิ่น บาปกรรม ว่าทำน้อย น้ำหยดบ่อย ลงกระถาง เต็มอ่างได้ แม้นบาปกรรม ทำบ่อยๆ น้อยเมื่อไร ท่วมทับใจ โง่งม สะสมกรรม..... จากคุณ : แก่แล้วยานหมดตึงอย่างเดียวคือ (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 11:45:18

ความคิดเห็นที่ 68 ทั้งๆที่ชีวิตคือความทุกข์ ชาวพุทธก็สามารถมีความสุขได้ทั้งนั้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่ช่วยให้มนุษย์มีความสุขได้ จากการกระทำของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยอำนาจภายนอก หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธ์ใดๆ พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา = บุคคลใดปฏิบัติศีล ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา ... จากคุณ : แก่แล้วยาน..ตึงอย่างเดียวคือหู (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 12:22:33

ความคิดเห็นที่ 69 ศาตราจารย์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีมากมายหลายแขนง แต่ไม่รู้วิชาที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ วิชาแก้ทุกข์ของชีวิต เราจึงมักได้ยินข่าวว่า คนบางคนแม้จะมีการศึกษาสูง แต่ก็เปราะบางเหมือนอ่อนหัดเมื่อประสบมรสุมชีวิต เขาคิดหาทางออก่ได้ บางทีถึงกับฆ่าตัวตายหนีปัญหาไปดลยก็มี เขาขาดความรู้ที่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากทุกข์ ซึ่งวิชาวิทยาศาสตร์ไม่สอน วิชาแก้ทุกข์หาเรียนได้จากพระพุทธศาสนา......  ( จากหนังสือ วิทยาศาสตร์ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ) จากคุณ : ยานหมดแหละ นอกจากหู (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 14:53:40

ความคิดเห็นที่ 70 ความหลงเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ...มักนำไปสู่ความงมงายทางวิทยาศาสตร์ คือทำให้เกิดความหลงผิดคิดว่า วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ให้คำตอบเรื่องความจริงที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ทั้งๆที่การค้นพบทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์แต่ละครั้งไม่ได้ให้สัจจธรรมที่สมบูรณ์ ( absolute truth ) ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ที่คนยุคหนึ่งเคยเชื่อว่าจริง ก็อาจจะถูกหักล้างโดยนักวิทยาศาสตร์ยุคต่อมา ดังเช่นทฤษฏีเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลของปโตเลมี ได้รับความเชื่อถือมานับพันปี ก่อนที่จะถูกทฤษฏีของโคเปอร์นิคัสหักล้างไป.....ทฤษฏีเรื่องอะตอม ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่า theory ทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่สัจจธรรมที่แท้จริงตลอดกาล.... ( จากบทความของ หลวงพ่อ Dr.Prayoon Dhammajitto ) จากคุณ : อยู่ๆมันก็ยาน..แฮ่ะ แฮ่ะ.. (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 15:20:07

ความคิดเห็นที่ 71 คุณความเห็นที่ 59 ผมคงต้องขอโทษคุณและศาสนาอื่นๆ ด้วยที่คำตอบของผมอาจสร้างความขัดเคืองให้เกิดขึ้น แต่ที่ผมตอบแบบนั้นเพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการจัดจำแนกศาสนาออกเป็นสองประเภทใหญ่ คือ 1 เทวนิยม 2 อเทวนิยม http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2 ซึ่งศาสนาไหนจัดอยู่ในกลุ่มใดก็แม้ไม่บอกก็คงรู้กันดีอยู่ และผมไม่ได้บอกว่าพระเจ้าของศาสนาต่างๆ นั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง หากแต่บอกว่าถ้าพระเจ้าของศาสนากลุ่มเทวนิยมไม่มีตัวตนจริงๆ จะมีปัญหากับคำสอน เพราะคำสอนของศาสนากลุ่มเทวนิยมนั้นถูกผูกติดกับตัวของพระเจ้าโดยตรง เขาทำตามวจะของพระเจ้า เพื่อพระเจ้า และเป้าหมายสุดท้ายเพื่อได้ไปอยู่รับใช้พระเจ้า เมื่อเป้าหมายของศาสนากลุ่มเทวนิยมเป็นอย่างนี้ หากขาดซึ่งศาสดาคุณคิดว่าจะเป็นอย่างไรครับ แต่ศาสนากลุ่มอเทวะนิยมนั้นมีเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ตัวศาสดา อย่างเช่นศาสนาพุทธนั้นจุดมุ่งหมายคือทำเพื่อความหลุดพ้นข้องตัวเอง ไม่ได้ทำถวายพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำเพื่อเป้าหมายจะไปอยู่รับใช้พระพุทธเจ้า เป้าหมายเพื่อตนเองล้วนๆ แม้ศาสดาไม่มีอยู่จริง ถ้าทางปฏิบัติยังให้ผลที่ต้องการอยู่ก็ยังยึดถือปฏิบัติได้นี่ครับ ด้วยหลักการดังที่กล่าวมา ผมจึงสรุปรวมความแตกต่างของสองกลุ่มศาสนาไว้ดังข้างต้น หากคิดว่าไม่ใช่ หรือไม่ถูกต้องผมก็ยินดีรับฟังคำโต้แย้งอย่างสุภาพชนครับ ขอตอบคำถามที่คุณถามครับ คำตอบนี้เกิดในกรณีที่ว่าหากพระพุทธเจ้าไม่มีตัวตนจริงๆ นะครับ (ซึ่งในหัวใจของผู้มีศาสนาทุกคนไม่มีทางที่จะเชื่อว่าศาสดาของตนไม่มีตัวตนอยู่จริง) แล้วใครเป็นผู้คิดค้นพระธรรม ผมไม่รู้ครับ แต่ถ้ามีหลักฐานเพียงพอผมก็ยินดีจะไปนับถือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้นั้น เพราะผมไม่ได้ยึดติดกับพระพุทธเจ้า แต่ผมให้ความเคารพนับถือผู้กล่าวหลักธรรมเหล่านี้ขึ้นมา แม้พระพุทธเจ้าเองก็เคยได้กล่าวว่า ศาสนาใดก็ตามหากกล่าวถึงเส้นทางมรรคมีองค์ 8 แล้ว ศาสนาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่นำไปสู่พระนิพพานทั้งสิ้น นี่คือความไม่ยึดติดครับ แล้วคนที่แต่งพระธรรมขึ้นมาโดยอุปโลกตัวเองเป็นพระพุทธเจ้านี่เข้าข่ายทุศีลข้อมุสาหรือเปล่า หากเจตนาอุปโลกก็ใช่ครับ แต่มีหลักฐานแค่ไหนครับว่าเขาเจตนา ระยะเวลาอันยาวนานกว่าสองพันปี ศาสนาผ่านอะไรมามากมาย แนวโน้มของมนุษย์นั้นนิยมเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นปกติ คนที่ได้รับธรรมะไปบางกลุ่มก็อาจยังไม่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ดีพอ เวลาบอกกล่าวก็อาจใส่เรื่องราวเกินจริง สร้างบุคลาธิษฐานขึ้นมาตามความเชื่อของตน แม้พุทธศาสนายังแยกเป็นมหายานและหินยาน โดยฝ่ายมหายานก็ค่อนข้างมองพระพุทธเจ้าเป็นเทพเจ้าซะด้วยซ้ำ นั่นแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ครับ ดังนั้นผมจึงมิได้แปลกใจอะไรหากจะเจอเรื่องปาฏิหาริย์ในศาสนา ผมเพียงแค่สนใจเนื้อหาคำสอน หาใช่ปาฏิหาริย์ไม่ นั่นคือ ระยะเวลาอันยาวนานกว่าสองพันปีนั้นอาจเกิดอะไรที่เราไม่รู้ขึ้นมาก็ได้ หากจะให้ปักใจเชื่อจริงก็ต้องดูหลักฐานครับ แล้วถ้าหลักฐานยืนยันว่าผู้คิดพระธรรมเป็นคนลวงโลกล่ะ ผมคงต้องพิจารณาพระธรรมอีกครั้ง หากเห็นว่าธรรมวินัยนี้เมื่อพิจารณาแล้วยังทรงคุณค่าอยู่ ก็คงต้องมาพิจารณาถึงเจตนาของผู้ที่คุณบอกว่าเป็นคนลวงโลก ว่าเจตนาที่ทำเช่นนี้นั้นเป็นกุศลเจนาหรืออกุศลเจตนา อย่างที่ผมได้เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าผมรู้ว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูผมมาจนโตนี้ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของผม และรู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้รู้จากปากของท่าน ผมก็ยังคงให้ความเคารพนับถือท่านอยู่ แม้ท่านจะหลอกลวงผมมาเป็นเวลาแสนนานก็ตาม เพราะเหตุใด ก็เพราะว่าผมพิจารณาที่กุศลเจตนาไงครับ ผมหวังว่าข้อเปรียบเทียบประมาณนี้คงชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมนะครับ สรุปสุดท้าย พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ยึดติดครับ หากคุณเข้าใจคำสอน คุณจะรู้ว่าทางสายกลางของการยึดติดนั้นอยู่ที่ตรงไหน แม้แต่อาจารย์บางท่านก็ยังสอนให้ “ฆ่า” พระพุทธเจ้าเสียด้วยซ้ำ และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองยังตรัสสรรเสริญท่านสารีบุตร เมื่อท่านถามว่า สารีบุตร เธอเชื่อในสิ่งที่เรากล่าวหรือไม่ พระสารีบุตรตอบว่า ข้าพเจ้าขอนำข้อความไปพิจารณาดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจพระเจ้าข้า หากผมยังตอบไม่ชัดเจน หรือมีเรื่องราวถกเถียงแลกเปลี่ยนกันอย่างสุภาพชน ผมยินดีเข้ามาตอบให้เสมอครับ แก้ไขเพิ่มเติมครับ จากประโยคของคุณ "แสดงว่ามีคนอื่นแต่งพระธรรมขึ้นมาเอง แต่กลัวไม่ขลัง เลยเมคเรื่องโกหกว่า มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เทศนาสั่งสอนพระธรรม แบบนี้ก็แสดงว่าพระธรรมของศาสนานี้ มาจากคนที่ผิดศีลมุสาวาทาเวรมณี" ประโยคที่ว่า "แสดงว่ามีคนอื่นแต่งพระธรรมขึ้นมาเอง" เป็นเงื่อนไขที่คุณทิ้งเอาไว้ให้ผมตอบคำถามของคุณ แต่ประโยคที่ว่า "แต่กลัวไม่ขลัง เลยเมคเรื่องโกหกว่า มีพระพุทธเข้ามาตรัสรู้ เทศนาสั่งสอนพระธรรม" เป็นคำตอบของเงื่อนไขที่คุณผูกและตอบเอาเอง ซึ่งตรงนี้ผมได้ทิ้งประเด็นไว้ว่า ต้องดูที่เจตนาครับ เพียงแต่คุณได้ให้เจตนาเป็นอกุศลไปซะแล้ว ถ้าเจตนาอกุศลแบบนี้ก็คงยากจะรับนะครับ เพียงแต่นี่เป็นเงื่อนไขในคำตอบของคุณเท่านั้น เจตนาจริงๆ ไม่ได้มีเพียงเส้นทางอกุศลอย่างที่คุณกล่าวไว้นะครับ สรุปว่าถ้าหลักการยังดีอยู่ก็ให้พิจารณาที่เจตนาครับ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 16:17:19 จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 16:05:22

ความคิดเห็นที่ 72 Materialism วัตถุนิยม ยอมรับว่า มีแต่วัตถุหรือสสาร ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นความเชื่อที่สุดโต่งข้างหนึ่ง ขณะที่ Idealism ยอมรับว่ามีแต่จิตวิญญาณ ไม่มีวัตถุหรือสสาร เป็นที่สุดโต่งอีกข้างหนึ่ง พระพุทธศาสนาเดินทางสายกลาง ยอมรับว่า วัตถุและจิตวิญญาณต่างก็มีด้วยกันทั้งคู่ เรียกว่า รูปกับนาม หรือ กายกับจิต พระพุทธศาสนาจึงได้ชื่อว่าเป็นสัจจนิยม Realism.... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 16:17:09

ความคิดเห็นที่ 73 เราจะสุข หรือทุกข์ เพราะเราสร้าง กรรมต่างหาก ที่เราทำ นำสนอง เราทำดี มีสุขได้ สมใจปอง ทำชั่วต้อง ได้ทุกข์แท้ แน่นอนเอย... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 16:39:05

ความคิดเห็นที่ 74 การศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการทำงานดำรงชีพ เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะพาให้ชีวิตรอดพ้นปัญหา เราต้องศึกษาพระพุทธศาสนาและปฏิบัติธรรมจึงจะสามารถแก้ปัญหา และนำพาชีวิตไปสู่เป้าหมายที่ดีได้ พระพุทธศาสนามีความสำคัญสำหรับชาวบ้านไม่แพ้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ ใครศึกษาเฉพาะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี่ ก็ชื่อว่ามีดวงตาแห่งปัญญาเพียงข้างเดียว ..... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 17:08:14

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านจบแล้วขอแจมสักหน่อย ตรัสรู้ [ตฺรัดสะ-] ก. รู้แจ้ง (ใช้เฉพาะพระพุทธเจ้า); โดยปริยายหมายความว่า รู้เอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้. อ้างอิงจาก พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตฯ ดูจากนิยาม รู้แจ้งครับ ไม่ใช่คิดเอา, คิดแจ้ง หรือ สารพัดคิด คิดกับรู้มันต่างกันนะผมว่า คิดๆอยู่ก็ไม่ได้แปลว่ารู้แล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้แจ้ง) ดังนั้นแล้วผมคิดว่าจขกท.อาจจะยังไม่เข้าใจในนิยามของคำว่าตรัสรู้ แล้วยิ่งมีการแตกประเด็นในเรื่องของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์มีอยู่จริงหรือไม่ จากเท่าที่เคยดูมา (อ้างอิงจากสารคดี "ตามรอยพระพุทธเจ้า" ของ บ.พาโนรามา ไม่ได้โฆษณานะ ฉายทางช่องเก้าปกติเมื่อนานมาแล้ว) มีหลักศิลาจารึกโดยพระเจ้าอโศกมหาราชระบุว่า ณ.ที่ที่ปักศิลานี้เป็นที่ประสูติ (หรือปรินิพพาน จำไม่ได้)ของพระพุทธเจ้า ผมคิดว่านี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์พอแล้ว เพราะมีหลักฐาน มีนักโบราณคดีจากอังกฤษเป็นผู้รับรองว่าของจริง (หลักศิลานะ) ส่วนในพระพุทธประวัติที่มีเรื่องปาฏิหารย์มาเกี่ยวข้อง อาทิเช่น เมื่อเจ้าชายสินธัตถะประสูติแล้วเสด็จพระราชดำเนิน (เดิน) ได้เจ็ดก้าวแล้วมีดอกบัวมารองรับ อันนี้เคยมีการอธิบาย (ที่ไหนผมจำไม่ได้แล้ว ขออภัยจริงๆ) ว่าเป็นกุศโลบายเพื่อบอกว่าพระองค์เสด็จโปรดสัตว์ ทั้งหมด 7 แคว้น เป็นต้น อันที่จริงแล้วระยะเวลาของพระพุทธศาสนาก็มีมากว่าสองพันหกร้อยปีแล้ว การเพิ่มเติมเสริมแต่งในเรื่องพุทธประวัติ หรือบรรดาพระอริยะสาวกทั้งหลายคงต้องมีบ้าง เป็นเรื่องธรรมชาติ อันมิได้หมายความว่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์จะมีหรือไม่มีจริง เพราะผู้เป็นอริยะย่อมไม่สำแดงฤทธิ์เพียงเพื่อพิสูจน์ทางโลก สิ่งที่เราไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เช่น อากาศ ไฟฟ้า ควาซ์ก ยันไปหลุมดำ เป็นต้น จากคุณ : Akysar เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 17:14:54

ความคิดเห็นที่ 76 ต่อๆ กลับมาประเด็นเรื่องการอธิบายการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในหลักวิทยาศาสตร์บ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะอธิบายได้หรอกนะ แค่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งในเชิงศาสนาและวิทยาศาสตร์ร่วมกันดีกว่า ตรัสรู้นิยามว่ารู้แจ้ง คราวนี้รู้แจ้งคือรู้เรื่องอะไร จากความคิดอันโฉดเขลาของผมขออธิบายไว้ว่า รู้แจ้งคือรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สมควรไปยึดติด ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้วอย่าปล่อยตัวปล่อยใจไปกับกิเลสทั้งหลายที่คอยดึงรั้งเราไว้ อะไรประมาณนี้ การรู้แจ้งต้องเกิดจากการปฏิบัติ หรือเทียบกับการทดลองในทางวิทยาศาตร์ ไม่ใช่อ่านๆเอา คิดๆเอา เชื่อผมหรือเปล่า บอกได้ว่าให้ทุกคนมีสติตลอดเวลา บอกแค่นี้ คุณทราบ ผมทราบ แต่ คุณทำได้หรือเปล่า ผมทำไม่ได้หรอก แต่เมื่อลงมือปฏิบัติ จากฟุ้งซ่านทุกๆ สิบวินาที คราวนี้ก็ยืดขยายสติผมได้ (ตอนนี้ตั้งสามนาที แค่นี้ก็เหงื่อตกแล้ว แต่ต้องพยายามต่อไป) ในบทสวดมนต์ ถ้าไม่ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ผมว่ามันมีคำตอบสำหรับคุณนะ ลองไปดูบทสวดธรรมคุณดูนะ 1.สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมเป็นคำสอนอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นความจริงแท้ เป็นหลักครองชีวิตอันประเสริฐ 2.สันทิฏฐิโก พระธรรมนี้ผู้ปฏิบัติตามจะเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อคำผู้อื่น ผู้ที่มิได้ปฏิบัตินั้นแม้จะมีใครมาบอกและอธิบายให้ฟังก็ไม่อาจเห็นได้ 3.อกาลิโก ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับเวลาปฏิบัติตามได้พร้อมบริบูรณ์เมื่อใดก็เห็นผลเมื่อนั้น เป็นจริงตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย สิ่งที่เนื่องด้วยเวลาเป็นสิ่งที่มีเกิด มีเปลี่ยนแปลง มีดับไปตามเวลา แต่พระธรรมเป็นจริงอยู่เสมอเป็นนิจ 4.เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู คือ พระธรรมเป็นคำสอนที่ควรจะเชิญให้ใครๆ มาดู มาพิสูจน์ มาตรวจสอบ เพราะเป็นของที่จริงตลอดเวลา 5.โอปะนะยิโก ควรน้อมเข้ามา คือ เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้าไว้ในใจเพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในชีวิต  จะได้บรรลุถึงความหลุดพ้น 6.ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ คือวิญญูชนรู้ได้เฉพาะตน คือพระธรรมนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนจะรู้ได้ และการรู้ได้นั้นเป็นของเฉพาะตน ต้องปฏิบัติตามจึงจะรู้ ทำแทนกันไม่ได้ แบ่งปันให้กันไม่ได้ ต้องประจักษ์ด้วยตนเอง มันตอบคำถามคุณได้หมดจดจริงๆนะ ตอบว่าอะไร ตอบว่าไม่มีคำตอบไงล่ะ เพราะพระพุทธองค์ทรงสนับสนุนให้ปฎิบัติ มิใช่ให้มานั่งคิด ลองกระทำตามระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ เริ่มด้วยการระบุลักษณะเฉพาะ (Characterization) โดยการตั้งปัญหาและสังเกต ปัญหาก็คือ ตรัสรู้คืออะไร มีความสุขจริงหรือ คุณตั้งสมมติฐานได้เลย ว่าปฎิบัติสมถะวิปัสสนาแล้ว จะบรรลุธรรม แล้วคุณลองทำนายผลดูว่าถ้าได้ปฏิบัติธรรมแล้ว คุณจะมีความสุขแบบ Ultimate สุดท้าย คุณลองทดลองสิครับ ทดลองอย่างไร ทดลองโดยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าลืมนะครับ ว่าอกาลิโก เห็นผลทันทีเมื่อปฏิบัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ (ลองอานาปานะสติก่อนก็ได้นะ เพราะเป็นพื้นฐานของทั้งหมดจริงๆ) เจริญสุขสวัสดี จากคุณ : Akysar เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 17:37:50

ความคิดเห็นที่ 77 ดับทุกข์ที่ไหน.....? ต้องดับที่เหตุแห่งทุกข์... ...คือความไม่ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งใดนั่นเอง..... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 17:54:52

ความคิดเห็นที่ 78   ถ้าคุณ #37 ไม่ได้แกล้งโง่ ผมขอบอกว่า พวกพุทธะนี่ทั้งงี่เง่า และจองหองเสียจริง และยิ่งทำให้ผมเชื่อในคำอธิบายศาสนาของ pol-sci กับ soc-sci มากขึ้น จากคุณ : mr.soc เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 19:50:56 A:61.7.175.232 X: TicketID:220387

ความคิดเห็นที่ 79 แสดงว่าโง่จริง ทุกวันนี้ยังเชื่อว่า หนูเกิดจากกองขยะ แมลงวันเกิดจากของเน่า ใช่ไหมนายหน้าโง่ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 52 20:15:28 จากคุณ : false เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 20:13:41

ความคิดเห็นที่ 80 การตรัสรู้เป็นปัจจัตตัง แปลง่ายๆว่า เป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน คือรู้คนเดียว แถมนิทานปล่ากับเต่า ปลาได้ยินเรื่องแผ่นดิน ก็เฝ้าแต่ถามเต่า ว่าแผ่นดินนั้นเป็นเช่นไร เต่าก็ตอบแล้วตอบอีก จนเบื่อปลาก็ยังไม่เข้าใจซักที นี่แหละ ปัจจัตตัง จากคุณ : mancunian เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 21:18:26

ความคิดเห็นที่ 81 พุทธศาสนามองดูชีวิตตามความเป็นจริงทุกแง่ทุกมุม คำสอนที่ว่าชีวิตคือความทุกข์นั้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากจินตนาการ หรือทฤษฏีหนึ่งทฤษฏีใด แต่เกิดจาก การที่พระองค์ ทรงวิเคราะห์ประสบการณ์ของมนุษย์อย่างละเอียดถี่ถ้วน จนทรงรู้แจ้งในธรรมแท้จริงของชีวิต พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิเสธว่าชีวิตมนุษย์มีทั้งความสุขและความทุกข์ผสมกัน แต่ทรงชี้ให้เห็นว่าความสุขในชีวตมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับความทุข์ที่ประสบอยู่ แม้แต่ความสุขก็มีความทุกข์แอบแฝงอยู่ด้วย เหมือนตัวหนอนที่ซ่อนอยู่ในผลไม้ที่ดูสวยงามน่ากิน ความทุกข์เหมือนจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ เพราะสามารถทำอันตรายใหญ่หลวงแก่มนุษย์ได้ ศาสนาพุทธไม่ต้องการให้เราทำตัวเป็นนกกระจอกเทศที่ชอบซุกหัวในทรายทุกครั้งที่มีอัตรายจากพายุทราย แต่ต้องการให้เรามองดูความทุกข์ที่เป็นเสมือนศัตรูให้เต็มหน้า แล้วพยายามค้นหาแนวทางที่จะเอาชนะศัตรูให้ได้ ถ้าหากพระองค์ทรงสอนแต่เพียงว่า ชีวิตคือความทุกข์อย่างเดียว เราก็อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงมองชีวิตในแง่ร้ายไม่ตรงตามความเป็นจริงและศาสนาพุทธเป็นศาสนาของความเศร้าสร้อย หรือความมืดมิด แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหยุดอยู่ที่ความทุกข์ที่ทรงพบเห็นเท่านั้น แต่ทรงมองเห็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ แล้วก็ทรงค้นหาสาเหตุแห่งความทุกข์เหล่านั้น และวิธีปฏิบัติที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงต่อไป.......... หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว........พระองค์ทรงประกาศอย่างอาจหาญว่า ศาสนาของพระองค์แตกต่างจากศาสนาอื่นทั้งหลาย เพราะเป็นศาสนาที่สอนเรื่องเดียวคือความทุกข์และวิธีพ้นทุกข์ เช่นเดียวกับน้ำทะเลที่มีรสเดียวคือรสเค็ม การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ ที่สุดในประวัติของมนุษยชาติ เพราะเป็นการค้นพบสาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ของมนุษย์และวิธีดับทุกข์ ที่จะทำให้มนุษย์มีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขและเสรีภาพที่แตกต่างจากที่เคยประสบมาโดยสิ้นเชิง โดยนัยนี้ศาสนาพุทธจึงเป้นศาสนาที่ยอมรับความจริงของชีวิต เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ในระหว่างความฝันที่สวยงามกับความจริงที่ไม่น่าชื่นชมยินดี ศาสนาพุทธสอนเราให้เลือกความจริง เพราะความฝันจะสลายได้เมื่อเราตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริง ศาสนาพุทธต้องการให้เรามองดูชีวิตให้ทะลุปรุโปร่ง และใช้ความจริงเป็นพื้นฐานของการสร้างความสุขให้เกิดขึ้น..... จากคุณ : คนบ้าอย่าถือ คนดื้ออย่าสอน (francheska) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 22:58:12

ความคิดเห็นที่ 82   โอ ช่างเป็นกระทู้ที่ฮิตดีจริงๆ " ผู้ตรัสรู้ไม่พูดหรอกว่าเขารู้อะไร " จากคุณ : Time & Space เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 23:20:12

ความคิดเห็นที่ 83 ความสุขและความทุกข์ของมนุษย์เป็นเรื่องที่ศาสนาทุกศาสนากล่าวถึงด้วยกันทั้งนั้น แต่ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นในข้อที่ไปขุดค้นและพบสาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ภายในจิตใจของมนุษย์ สาเหตุภายนอกของความทุกข์เช่นภัยจากธรรมชาติ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่มนุย์ควบคุมไม่ได้เต็มที่ เพราะขึ้นอยู่กบเหตุปัจจัยธรรมชาติที่เป็นของมันอย่างนั้น แต่สาเหตุของความทุกข์ที่อยู่ยในจิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ควบคุมและกำจัดได้ด้วยความสามารถของมนุษย์เอง ไม่มีศาสนาใดที่เชื่อมั่นในศากยภาพของมนุษย์มากกว่าศาสนาพุทธศาสนาพุทธเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งปวงได้จนหมดสิ้น จนในที่สุดก็สามารถพบความสุข และเสรีภาพ ที่สมบูรณ์แบบได้ด้วยตัวเอง ความเชื่อมั่นนี้ไม่ได้เป็นความเพ้อฝันที่ให้ความสำคัญแก่มนุษย์มากกว่าความเป็นจริง เพราะเป็นความเชื่อที่ได้ผ่านการทดสอบแล้ว จากประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าและพระอริยสวฆ์ทั้งหลาย นอกจากนั้นศาสนาพุทธยังมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ให้เราแต่ละคนใช้พิสูจน์ความเชื่อดังกล่าวด้วยประสบการณ์ของตัวเองอีกด้วย.................. จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 52 23:48:06

ความคิดเห็นที่ 84 การปฏิบัติเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นเครื่องมือให้พระธรรมคำสอน ซึมซับเข้าไปในจิตใจเหมือนกับลิ้นที่ได้ลิ้มรสอาหาร การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดคือการเจริญสติปัฐฐาน ศาสนาพุทธไม่ได้ต้องการให้เราปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ต้องการให้เราใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากการปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและสังคมที่อยู่ การช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของชาวพุทธนิกายมหายาน แต่ชาวเถรวาท การบเพ็ญภาวนาต้องมาก่อนการช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเชื่อว่าเมื่อ จิตบริสุทธ์แล้ว การช่วยเหลือผู้อื่นก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่มีเจตนาที่เห็นแก่ต้วแฝงอยู่...... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 01:16:25

ความคิดเห็นที่ 85 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสังคมนิยม สอนให้เราทำตัวเองให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นและสังคมให้มากที่สุด  เช่นที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ไม่ได้สอนให้ทอดทิ้งสังคม จะเห็นได้จากการที่นอกเหนือนอกเหนือจากการสอนและให้คำปรึกษาหารือกับชาวบ้านเรื่องปัญหาชีวิตเป็นประจำแล้ว พระสงฆ์ยังทำกิจกรรมต่างๆเพื่อยกคุณภาพชีวิตของชาวบ้านและชุมชนต่างๆให้ขึ้นด้วย.......... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 01:55:29

ความคิดเห็นที่ 86   ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลก คือ ศาสนา ของGu - ของMueng *มีศาสนานี้ศาสนาเดียวที่ชอบเบาะแว้งกัน พุทธ คริสต์ อิสลาม ฯลฯ ที่แท้จริงนั้น ล้วน มีแต่มิตรภาพ อบอุ่น และ เข้าอกเข้าใจ จากคุณ : ใบอนุญาติยังไม่ผ่าน เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 02:53:55 A:112.143.0.164 X:

ความคิดเห็นที่ 87 ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลก คือ ศาสนา ของGu - ของMueng *มีศาสนานี้ศาสนาเดียวที่ชอบเบาะแว้งกัน พุทธ คริสต์ อิสลาม ฯลฯ ที่แท้จริงนั้น ล้วน มีแต่มิตรภาพ อบอุ่น และ เข้าอกเข้าใจ จากคุณ : ใบอนุญาตยังไม่ผ่าน   ถูกกกกกกกกกกก คุณ false  เขายั่วก็อย่าไปดิ้นตามเลยครับ  เข้าทางเขาเปล่าๆ กระทู้นี้มีอะไรดีๆเยอะเลยครับ  ขอน้อมรับมาใส่หัว    สาธุ จากคุณ : mamarine เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 10:30:24

ความคิดเห็นที่ 88 "ดูกรภิกษุทั้งหลาย..จงดูกายอันนี้เถิด ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยวยาน มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัด เหมือนเกวียนที่ชำรุดแล้ว ชำรุดอีกได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมผูกกระหนาบค้ำไว้ จะยืนนานไปได้สักเท่าใร ...การแตกสลายย่อมจะเข้ามาถึงได้สักวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะที่พึ่งเถิด อย่าคิดยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย...แม้ตถาคตก็เป้นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 17:40:30

ความคิดเห็นที่ 89 ผมมาจาก คห. 1 นะครับ ผมไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีจริง หรือ ว่า ไม่ได้มีการตรัสรู้นะครับ คือผมบอกว่า มันพิสูจน์ไม่ได้ และหลักฐานก็ไม่มี ทำการทดลองซ้ำก็ไม่ได้ นิยามคำว่า "ตรัสรู้" ยังเถียงกันไม่เสร็จเลย วิทยาศาสตร์ก็เลยอธิบายอะไรไม่ได้ครับ จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 00:44:09

ความคิดเห็นที่ 90   จากคุณ 71 ----เพราะคำสอนของศาสนากลุ่มเทวนิยม...เป้าหมายสุดท้ายเพื่อได้ไปอยู่รับใช้พระเจ้า เมื่อเป้าหมายของศาสนากลุ่มเทวนิยมเป็นอย่างนี้ หากขาดซึ่งศาสดาคุณคิดว่าจะเป็นอย่างไรครับ----- งั้นผมขอถามกลับมั่ง 'เพราะคำสอนของศาสนาพุทธ เป้าหมายสุดท้ายคือ เพื่อนิพพาน หากพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ค้นพบนิพพาน ไม่มีตัวตนจริง คุณคิดว่าคนสติดีๆ ยังจะมองว่านิพพานเป็นเรื่องจริงได้อีกเหรอครับ' คุณบอกว่าอาจเป็นใครก็ได้ที่ตรัสรู้ค้นพบนิพพานขึ้นมาเอง (ตรัสรู้ได้ขนาดนี้ทำไมไม่เรียกคนนั้นว่าพระพทธเจ้าไปเลยล่ะ) คิดตามหลักความจริงดิ ใครคิดได้คนๆ นั้นต้องเป็นพระพุทธเจ้า สาวกรุ่นแรกๆ ที่รับถ่ายทอดพระธรรมมาก็ต้องรู้ว่าเขาผู้นั้นคือใคร เก่งซะขนาดนั้น แต่คุณและบรรดาสาวกไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร รู้จักแต่พระพุทธเจ้าที่สองพันปีใครก็ไม่รู้ แต่งเรื่องขึ้นมาเอง ตลกดี แต่งเติมได้แม้กระทั่งตัวศาสดา สามารถรับได้ว่าศาสดาที่ค้นพบนิพพานไม่มีจริง แต่มั่นใจมาก ว่า เรื่องนิพพานจากไผซักคนเป็นเรื่องจริง มันขัดแย้งกันเองในตัวไหมครับ ขอถามอีกคำ ถ้า นิพพานเป็นเรื่องจริง พระธรรมเป็นความจริง คนที่คิดขึ้นมา สมควรต้องถูกยกย่องเป็น 'พระพุทธเจ้า' ใช่หรือไม่ แล้วถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง นิพพานยังน่าจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงได้หรือไม่ จากคุณ : THDV เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 01:13:24 A:203.188.31.117 X: TicketID:218828

ความคิดเห็นที่ 91   ที่ คห 90 ถูกเลยครับ ในศาสนาพุทธเราเรียกใครก็ได้ที่ตรัสรู้ว่า พุทธ เช่น สัมมาสัมพุทธ ปัจเจกพุทธ ... ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จริงๆแล้วคือท่านค้นพบวิธีการดับทุกข์ ซึ่งก่อนที่ท่านจะตรัสรู้นั้นก็ได้ทำการศึกษาและทดลองจากหลายสำนักจนค้นพบวิธีการดับทุกข์ มันเป็นไม่ได้ตรงใหนเหรอครับ มันก็อธิบายได้นี่ ที่บอกว่าน่าจะมึหลักฐาน คุณคิดว่าสมัยก่อนมันมีเทคโนโลยีอะไรที่จะช่วยได้บ้างหล่ะครับ videoเหรอ ทำได้มากสุดก็คือเขียน ซึ่งพวกคุณก็ไม่เชื่อกัน จะบอกว่าทำซ้ำไม่ได้แล้วได้ลองหาวิธีการดับทุกข์หรือยัง ผมคิดว่าที่บางคนสงสัยในการตรัสรู้เพราะอาจจะติดกับแนวคิดเรื่องปาฏิหารย์ต่างๆในพระไตรปิฎก ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เหตุที่มีคนนำเรื่องปาฎิหารย์เข้ามาเกี่ยว เราต้องเข้าใจสังคมในสมัยนั้นก่อนว่าคนสมัยนั้นนับถือเทพเจ้า ถ้ามาบอกว่ามีคนรู้วิธีการดับทุกข์ คนสมัยนั้นใครจะสนใจ ใครจะรู้เรื่อง รู้อยู่อย่างเดียวว่าเทพเจ้าเป็นคนกำหนด จะสื่อสารกันก็คงต้องพูดในสิ่งที่คนเหล่านั้นเข้าใจครับ เราอย่ายึดติดกลับเปลือกนอก ต้องมองด้วยปัญญา ส่วนคำว่านิพพาน คืออะไรต้องมองที่จุดประสงค์ของศาสนาพุทธคือ การดับทุกข์ ท่านพุทธทาสกล่าวว่าการนิพพานก็คือการหลุดจากวงเวียนของความทุกข์ซึ่งก็เกิดกับทุกคน บางคนคิดว่านิพพานคือการหลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ก็เหมือนที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าถ้าพูดว่าหลุดจากวงเวียนของความทุกข์คนสมัยก่อนคงไม่สนใจ และไม่เข้าใจแน่นอน จะพิสูจน์ว่านิพพานมีมั้ยต้องมาจากการปฏิบัติครับ ถ้าลองแล้วไม่มีค่อยมาบอกครับว่าไม่มี จะบอกว่าพระพุทธเจ้ามีจริงมั้ย ก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังงัยเพราะไม่มี time machine ส่วนคนที่บอกว่าไม่มีขอเหตุผลหน่อยครับไม่ใช่กล่าวลอยๆ ลองศึกษาแก่นของศาสนาพุทธโดยไม่มีอคตืดูก่อนนะครับ แล้วคุณจะได้สิ่งดีๆกลับมา ผมว่าคำถามที่พวกเรากำลังเถียงกันสามารถหาได้ในหนังสือ บรมธรรม ของท่านพุทธทาส ครับ จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 10:57:24 A:99.36.62.43 X:

ความคิดเห็นที่ 92 พระสมณะโคดมเจ้า ตรัสไว้ว่าศาสนาของอาตมาจะอยู่ได้แค่ห้าพันปี หลังจากห้าพันปีผ่านไปจะไม่มีใครเชื่ออีกเลย ตอนนี้สองพันห้าร้อยปีครึ่งหนึ่งแล้ว ใกล้แล้วครับ จากคุณ : chem chem เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 11:39:23

ความคิดเห็นที่ 93 ศาสนาเทวนิยมสอนว่าพระเจ้าได้สร้างโลกและมนุษย์ในโลก แต่นักวิทยาศาสตร์เสนอทฤษฏีหักล้างว่า โลกและมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยการเนรมิตรขอวพระผู้สร้าง หากเกิดจากกระบวนการวิวัฒนาการในธรรมชาติ คัมภีร์ bible ตอนแรกที่เป็นพันธสัญญาเดิม old tetament ซึ่งว่าด้วยปฐมกาล Genesis ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเนรมิตรสรรพสิ่งเป็นเวลา 6 วันตามลำดับดังนี้ สร้างกลางวันและกลางคืนในวันที่ 1 สร้างท้องฟ้าในวันที่ 2 สร้างแผ่นดินและพืชทุกชนิดในวนที่ 3 สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในวันที่ 4 สร้างสัตว์น้ำแบะนกในว้นที่ 5 สรางสัตว์บกและมนุษย์ในวันสุดท้ายคือวันที่ 6 พระเจ้าทรงสร้างผู้ชายเป็นคนแรกชื่อว่าอาดัม ต่อจากนั้นพระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงจากกระดูกซี่โครงของชาย ชื่อว่าอีฟ ชาวคริสต์สมัยก่อนอยากรู้ว่าเหตุการณ์ที่พระเจ้าสร้างโลกนี้เกิดขึ้นเมื่อไรอาร์ชบิชอปแห่งไอร์แลนด์ชื่อว่า James Ussher พยายามตอบคำถามนี้โดยทุ่มเทวิจัยอายุของอาดัมและลูกหลานเหลน ของเขาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคนตามที่บันทึกไว้ใน Old Testament เมื่อคำนวณอย่างละเอียดแล้ว Ussher สรุปว่าพระเจ้าสร้างโลกเมื่อ 4004 ปีก่อนคริสต์ศักราช ดังนั้นเมื่อเราบวกกับปีปัจจุบันก็เกินกว่า 6000 ปี Ussher เขียนหนังสือคำนวณอายุโลกไว้เมื่อราว พ.ศ. 2093 (เทียบ พ.ศ.บ้านเรา) ชาวคริสต์ในยุโรปสมัยนั้น เชื่อว่าการคำนวณของ Ussher ถูกต้องแล้ว ต่อมาพวกเขาก็เลิกเชื่อตามนี้ เพราะอิทธิพลคำสอนของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันเสนอ theory ว่าด้วยกำเนิดของโลกที่ต่างไปจาก old testament ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่โคจรรอบดวงอาทิตย์แม้ดวงอาทิตย์จะเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล แต่ดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในบรรดาดาวฤกษ์ประมาณ 100,000 ล้านดวง ที่รวมกลุ่มกันเป็น กาแล็กซี่หรือดาราจักรของเรา ฝรั่'งเรียกว่า Milky way บ้านเราเรียกทางช้างเผือก ในจักรวาลของเรานี้มีกาแลคซี่ประมาณ 100,000ล้านกาแล็คซี่ นักวิทยาศาสตร์อธิบายกำเนิดของจักรวาลด้วยทฤษฏีที่ชื่อว่า Big Bang Theory การระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ดังต่อไปนี้ ในเบื้องต้นสรรพสิ่งในจักรวาลได้รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างหนาแน่นมากเรียกว่าฟองไข่จักรวาล Cosmic Egg และแล้วฟองไข่จักรวาลได้ระเบิดออกมาเมื่อประมาณ 15,000 ล้านปีที่แล้ว ทำให้เกิดฝุ่นละอองและปรมาณูของไฮโดรเจนและฮีเลียม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหมอควันและกลุ่มแก็สมหึมา แรงโน้มถ่วงทำให้กลุ่ม gas เหล่านั้นรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้นๆ จนเกิดกาแลคซี่หรือดาราจักร แรกสุดเมื่อ12,000 ล้านปีที่แล้ว จากนั้นกาแล็คซี่อื่นๆก็เกิดตามมาด้วยการรวมตัวของกลุ่ม gas และฝุ่นละอองอย่างนั้น กาแลคซี่ของเราที่ชื่อว่าทางช้างเผือกเริ่มก่อตัวขึ้นด้วยวิธีเดียวกันนี้เมื่อ 10,000ล้านปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ของเราซึ่งเป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในกาแลคซี่ทางช้างเผือกก็ถือกำเนิดขึ้นมาแบบเดียวกันเมื่อ 5,000ล้านปีมาแล้ว ดังนั้นดวงอาทิตย์จึงชื่อว่าเกิดจากการรวมตัวของกลุ่ม gas และฝุ่นละอองในอวกาศ แรงโน้มถ่วงระหว่างกันทำให้กลุ่มgas และฝุ่นละอองหดตัวจนมีรูปร่างเป็นแผ่นกลมแบนเหมือนจานข้าว แผ่นกลมนี้มีกลุ่มgas อยู่ที่จุดศูนย์กลางฝุ่นละอองด้านนอกหมุนรอบจุดศูนย์กลาวนั้นเร็วๆขึ้นเมื่อหมุนมากขึ้น ฝุ่นละอองและหมอกควันได้รวมตัวกันเข้ากับgas ที่จุดศูนย์กลางนั้นจนเกิดดวงอาทตย์ขึ้นมา ความหนาแน่นในดวงาอาทิตย์ก่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นภายในจนกลายเป็นแหล่งความร้อนและแสงสว่างในตัวเอง ในเวลาเดียวกันนั้นฝุ่นละอองแลหมอกควันที่ห่าวจากจุดศูนย์กลางได้รวมตัวกันเป็นโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น โลกถือกำเนิดด้วยวิธีนี้เมื่อประมาณ 5,000ล้านปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า ดวงอาทิตย์จะดับในอีก 5,000ล้านปีข้างหน้า ซึ่งก็จะเป็นวันสิ้นโลกด้วยเช่นกัน ที่ดวงอาทิตย์จะดับก็เพราะ ไฮโดรเจนในดวงอาทิตย์ถูกใช้หมดไป เหลือแต่ฮีเลียมที่จะเผาไหม้เป็น carbon ในระยะนี้ผิวนอกดวงอาทิตย์จะขยายตัวใหญ่ขึ้น จนกลืนดาวพุทธและดาวศุกร์ โลกอาจจไม่ถูกดวงอาทิตย์กลืนไปแต่ก็จะถูกเผาไหม้จนสิ่งมีชีวิตตายหมด จากนั้นผิวนอกขอวดวงอาทิตย์จค่อยๆเย็นลวแลแตกกระจายเป็น Nebula คือกลุ่ม gas และฝุ่นละออง จุดศูนย์กลางของดวงอาทิตย์จะหดตัวเล็กลงมาก จนกลายเป็นาวแคระสีขาวและดับหายไปในที่สุด ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยกำเนิดและวิวัฒนการของจักรวาลดังกล่าวมานี้ ย่อมจะขัดแย้งกับคำสอนเรื่องพระเจ้าสร้างโลก หรือพระพรหมสร้างโลกในศาสนาเทวนิยม เพราะวิทยาศาสตร์กล่าวถึงกำเนิดของโลกและจักรวาลโดยไม่อ้างถึงพระผู้สร้างแต่อย่างใด.... (ลองค้นคว้าเรื่องวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตล์กับพุทธศาสนาดู ..ข้าพเจ้าขี้เกียจพิมพ์แระ ..) จากคุณ : ทำไม...ทำไม..ทำไมมัน....จัง (francheska) เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 11:59:55

ความคิดเห็นที่ 94   พระพุทธเจ้าพูดแต่เรื่อง ทุกข์ และ การดับทุกข์ เท่านั้น เรื่องนอกจากการดับทุกข์ ล้วนแต่งเสริมภายหลัง ทุกข์ คืออะไร? ใครรู้อย่างเข้าใจจริงๆ ก็ รู้ทุกข์ หรือเรียกว่า ตรัสรู้ ได้แล้ว ประมาณว่า 1. ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ ทุกข์ (รวมถึง ความสุข ด้วย อะไรก็ตามที่ไม่คงที่ทั้งหลาย ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ) 2. เมื่อรู้ทุกข์ ก็รู้สาเหตุของมัน คือ รู้สาเหตุ เพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้ตามมา 3. และก็รู้การจบของมัน มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยแม้แต่ตัวมันเอง 4. เข้าใจวิถีทางของมันหมด จนจบ หมดสิ้นกระบวนการณ์ เข้าใจสถาวะปรกติพื้นฐาน ที่เป็นตัวระบุทุกอย่างขึ้นมา ทั้งนี้ 4 ข้อ เราจะรู้และเข้าใจได้พร้อมกันทันที และในขณะทันทีที่ "ความรู้"เรานั้นๆ สามารถรองรับด้วยความรู้สึก(ไม่ใช่คิดเอา) นี่แหละครับ ตรัสรู้ ที่ใครๆก็ทำได้ ง่ายๆ และ ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลย แค่ รู้ ให้เท่ากับสิ่งปรกติที่เข้าใจได้ง่ายๆ ตามที่เราเห็นเข้าใจทุกวัน แต่ต้องไม่อยู่ในระบบ ความคิด+ภาษา กลับสู่รากฐานดั่งเดิมเหมือนตอนเด็กๆ ที่ไม่ต้องคิดแต่งแต้มอะไรมาก รู้จักตัวเอง รู้จักธรรมชาติ กลายเป็นปรกติ แค่นี้แหละครับ ตรัสรู้ แปลว่า ความรู้ครบถ้วนสมบรูณ์ จริงหรือไม่จริง เชิญทดลองกันได้ ลุยเลย ไม่ดีไม่ต้องเชื่อ.... ตัดนิทาน นิยาย เรื่องปรุงแต่งในศาสนาพุทธออก (หยุดสนใจเรื่องปรุงแต่งในตำรา) ยืนยัน วิทยาศาสตร์ ยังต่ำชั้น กับ พุทธศาสตร์์ หลายขุม อย่าเอาไปเปรียบเลย จากคุณ : ใบอนุญาตยังไม่ผ่าน เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 14:07:35 A:112.143.53.227 X:

ความคิดเห็นที่ 95 ไหนๆก็ไหนๆแล้ว... นอกจากนี้ทฤษฏีวิวัฒนาการ Evolution ของชาลส์ ดาร์วินก็ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาเทวนิยมที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบในการสร้างโลกและสรรพสิ่ง ศาสนาเทวนิยมสอนว่าสิ่งต่างๆในโลกถูกสร้างมาอย่างมีระเบียบแบบแผนและประณีตบรรจง เช่นมะม่วงออกลูกเป็นมะม่วงตลอดกาล มือของมนุษย์ถูกสร้างไว้ให้จับ ตาถูกสร้างไว้ให้ดู หูถูกสร้างไว้ให้ฟัง ระเบียบแบบแผนและความประณีตบรรจงของสรรพสิ่งไม่ได้เกิดจากพลังมืดบอดในธรรมชาติหากแต่เกิดจากการออกแบบด้วยพระปัญญาของพระเจ้า ชาลส์ ดาร์วิน ( Charls Darwin ) เสนอทฤษฏีวิวัฒนาการ ในหนังสือเรื่อง The Origin of Spicies กำเนิดของชนิด เมื่อ พ.ศ. 2402 มีสาระสำคัญว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการคือการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆในเวลานับพันปี หรือบางทีก็นับล้านปี สิ่งมีชีวิตหลายล้านชีวิตในปัจจุบันวิวัฒนาการมาจากต้นกำเนิดเดียวกันซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแรกสุดในโลกจากนั้นก็แตกออกเป็นหลายชนิดหลายพันธ์ตามหลักการที่เรียกว่าการคัดสรรของธรรมชาติ Natural Selection พืชและสัตว์แต่ละชนิดเกิดมาพร้อมกับลักษณะประจำตัวที่ช่วยให้อยู่รอดและแพร่พันธุ์ต่อไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ถ่ายทอดลักษณะประจำตัวไปยังลูกหลาน ถ้าลูกหลานได้ลักษณะที่ดีก็จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ป็นอย่างดีและอยู่รอดต่อไปถ้าได้ลักษณะไม่ดีลูกหลานก็ไม่อาจอยู่รอดได้ จึงต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด ดัวนั้นลักษณะที่ดีจึงช่วยให้ปรับตัวเก่งและอยู่รอด The suvival of the fittest ทฤษฏีวิวัฒนาการ มีผลกระทบในทางลบอย่างมากต่อศาสนาเทวนิยมเพราะขัดแย้งต่อคำสอนของศาสนาที่ว่าพระเจ้าสร้าวโลกและสรรพสิ่ง การที่Darwin ประกาศว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีวิวัฒนาการมานับล้านปีเท่ากับปฏิเสธคำสอนที่ว่าพระเจาได้สร้าวมนุษย์ พืช และสัตว์เสร็จสมบูรณ์ภายใน 6วัน การที่ Darwin กล่าวว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงท่ากับคัดค้านคำสอนที่ว่า พระเจ้าสร้าง Adam and Eve และการที่ Darwin กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดนั้น เท่ากับยืนยันว่าระเบียบแบบแผนและความประณีตบรรจงที่พบในสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเป็นผลจากการปรับตัวมานับล้านปี ตามหลักการคัดสรรของธรรมชาติเช่นการที่มนุษย์เดินตัวตรงทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากการปรับตัวของมนุษย์แต่ละยุคที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะการออกแบบล่วงหน้าของพระเจ้าแต่อย่างใด เพราะเหตุผลดังกล่าว  ทฤษฏีวิวัฒนาการของ Darwin ได้ถูกคัดค้านโดยศาสนาเทวนิยมตั้งแต่ต้นจนทุกวันนี้ ตัวอย่างความขัดแย้งในเรื่องนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อพวกครูได้สอน ทฤษฏีวิวัฒนาการ ในโรงเรียนรัฐบาลในราว พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา กลุ่มผู้เคร่งศาสนาได้เสนอให้รัฐจำนวน 20 รัฐในสหรัฐอเมริกาอกกหมายห้ามสอนทฤษฏีวิวัฒนาการ ในโรงเรียนของรัฐ ปรากฏว่าหลายรัฐได้ออกกฏหมายดังกล่าวออกมา จนเกิดการฟ้องศาลเป็นคดีโด่งดังในปี พ.ศ. 2468 เมื่อครูชื่อ จอห์น สะโคปส์ ถูกกล่าวหาว่าสอน ทฤษฏีวิวัฒนาการ ในโรงเรียนของรัฐเทนนเนสซี และตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา โรงเรียนรัฐบาลหลายแห่งเริ่มสอน ทฤษฏีวิวัฒนาการ พราะเกรงว่าสหรัฐอเมริกาจะล้าหลังประเทศอื่นในด้านวิทยาศาสตร์แต่กฏหมายที่ห้ามสอนทฤษฏีวิวัฒนาการ ในโรงเรียนของรัฐบาลก็ยังมีผลบังคับใช้ในหลายรัฐจนกระทั่ง พ.ศ. 2511 ศาลสูงของ สหรัฐอเมริกา มีคำสั่งห้ามใช้กฏหมายดังกล่าวเพราะเป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ถึงกระนั้นกลุ่มผู้เคร่งศาสนาก้ยังไม่ละความพยายาม พวกเขาเสนอให้รัฐต่างๆ ออกกฏหมายให้โรวเรียนของรัฐบรรจุวิชาว่าพระเจ้าสร้างโลกเป็นวิชาบังคับที่ต้องสอนคู่กับวิชาทฤษฏีวิวัฒนาการ  รัฐอาร์คันซอร์และรัฐหลุยส์เซียน่า ได้อกกฏหมายดังกล่าวมา เมื่อ พ.ศ.2524 ศาลชั้นต้นได้ประกาศในปี พ.ศ.2525 ว่ากฏหมายของรัฐอาร์คันซอร์นี้ เป็นเรื่องขัดต่อรัฐธรรมนูญ และต่อมาในปี พ.ศ.2530 ศาลสูงก็ประกาศทำนองเดียวกันในกรณีของกฏหมายรัฐหลุยส์เซียร์น่า การต่อสู้ของผู้เคร่งศสนากับ ทฤษฏีวิวัฒนาการของ Charls Darwin ก็ยังไม่จบง่ายๆ ตราบจน ณ.บัด now..... จากคุณ : ทำไมล่ะ.... (francheska) เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 14:44:20

ความคิดเห็นที่ 96 จากคุณ   : ใบอนุญาตยังไม่ผ่าน ^ ^ ^ ผมเองครับ.... ใบอนุญาตผ่านแล้วครับ ผม ดีใจกับผมหน่อย T^T เปลี่ยนชื่อมาหลายชื่อมากๆ  T*T จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 15:19:42

ความคิดเห็นที่ 97 ดีใจด้วยหลายๆๆๆ คร่า...... จากคุณ : ทำไม..ทำไม...ทำไมมัน....จัง (francheska) เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 15:47:14

ความคิดเห็นที่ 98 ^^ เพิ่งรู้ว่าเป็นผู้หญิง อธิบายได้เก่งดีครับ... สาธุ จากคุณ : ฝนฟ้ากะพายุ เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 16:56:11

ความคิดเห็นที่ 99 ความขัดแย้งระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ มีมานาน ...ย้อนกลับไปสมัยที่วิทยาศาสตร์เริ่มเจริญก้าวหน้า คือคริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 22 ในช่วงที่วิทยาศาสตร์เริ่มเจริญเติบโตในโลกตะวันตก คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาทางราชการของประเทศต่างๆในยุโรป ศาสนานี้ได้ประกาศความจริงของโลกและจักรวาลตามหลักฐานในคัมภีร์ไบเบิล ที่ได้รับการอธิบายเพิ่มเติมโดยอาศัยหลักปรัชญากรีกนั่นคือ เซนต์โธมัส อะไควนัส นำปรัชญาขอของ อริสโตเติล มาอธิบายศาสนาคริสต์ได้อย่างผสมผสานกลมกลืนจนเกิดปรัชญาอัสสมาจารย์ (Scholastic Philosophy) ขึ้นมา หลักปรัชญาของอริสโตเติลได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากศาสนจักรว่าเป็นหลักธรรมที่สอดคล้องกับคริสต์ศาสนา ใครก็ตามสอนขัดแย้งกับอริสโตเติล จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลศาสนา และถูกไต่สวนในข้อหาว่าเป็นคนนอกรีต ศาลศาสนา INQUISITION  เป็นสถาบันตุลาการของศาสนาคริสต์สมัยกลาง ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยพระสันตปาปาเกรเกอรี่ที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 1774 ให้ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนว่า คำสอนของใครนอกรีต ศาลนี้ได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายบ้านเมืองให้มีอำนาจลงโทษคนที่เผยแพร่คำสอนนอกรีตด้วยการยึดทรัพย์ จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น ศาลศาสนานี้กลายเป็นเครื่องมือ ที่ศาสนจักรนิกายโรมันคาทอลิคใช้ลงโทษนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอทฤษฏีขัดแย้งกับศรัทธาในศาสนาคริสต์ กรณีตัวอย่างในเรื่องนี้คือ คดีของกาลิเลโอ...... จากคุณ : ทำไม...ทำไม.... (francheska) เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18:20:45

ความคิดเห็นที่ 100 กาลิเลโอ Galileo เป็นนักวิทยาศาสตรืชาวอิตาลี มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2107 - 2185 เป็นบุคคลแรกที่ใช้กล้องดูดาวส่องดูความเคลื่อนไหวของดวงดาวบนท้องฟ้า เมื่อรวบรวมข้อมูลได้มากพอเขาก็ประกาศชัดเจนใน พศ 2156 ว่าทฤษฏีของโคเปอร์นิคัสที่ว่าโลกโคจร รอบดวงอาทิตย์เป็นเรื่อวที่ถูกต้อง กาลิเลโอยืนยันว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล คำประกาศของกาลิเลโอขัดแย้งกับทฤษฏีของ ปโตเลมี จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18:29:16

ความคิดเห็นที่ 101 ปโตเลมี Ptolemy .....เป็นนักดาราศาสตร์ชาวกรีก อาศัยอยู่ที่เมือง Alexandria ในราว พศ 670-688 เขาเสนอทฤษฏีว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก ชาวตะวันตกสมัยโบราณและสมัยกลางเชื่อตามทฤษฏีของปโตเลมีสืบต่อกันมากกว่าพันปี คริสต์ศาสนจักรก็ได้ประกาศยอมรรบอย่างเป็นทางการว่าเป็นทฤษฏีที่ถูกต้อง เพราะคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึงโครงสร้างของจักรวาล ว่ามีโลกเป็นศูนย์กลาง จนกระทั่ง พศ 2086 นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ชื่อ โคเปอร์นิคัส Copernicus ได้เขียนหนังสือ ออกมาเล่มหนึ่ง ประกาศทฤษฏีใหม่ว่า โลกหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ โลกจึงไม่ใช่ศูนย์กลางดังที่ปโตเลมีเข้าใจ... จากคุณ : ทำไมล่ะ.... (francheska) เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18:48:04

ความคิดเห็นที่ 102 ในระยะแรกทรรศนะของเคอร์โปนิคัสยังเป็นเพียงทฤษฏีที่ขาดการสนับสนุนด้วยข้อมูล จากการสังเกตุการเคลื่อนไหวบนท้องฟ้า จึงมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทฤษฏีนี้ ต่อมาเมื่อกาลิเลโอ ได้ใช้กล้องดูดาวเก็บข้อมูลจากท้องฟ้ามายืนยันทฤษฏีของโคเปอร์นิคัส ทฤษฏีนี้จึงมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การกระทำของกาลิเลโอได้สั่นคลอนระบบศรัทธาขอวศาสนจักรที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล.... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18:57:23

ความคิดเห็นที่ 103 ดังนั้นใน พศ 2159 กาลิเลโอจึงถูกเรียกตัวมาสอบสวนที่ศาลศาสนาที่กรุงโรมเป็นครั้งแรก ศาลศาสนาสอบสวนแล้ว มีคำสั่งห้ามกาลิเลโอมิให้ยึดถือหรือปกครองทฤษฏีของ โคเปอร์นิคัสอีกต่อไป พร้อมกันนั้น ศาลศาสนายังได้มีคำสั่งให้หนังสือของโคเปอร์นิคัสเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับชาวคริสต์ ต่อมาใน พศ 2175 กาลิเลโอ ได้ผลิตผลงานชิ้นเอกเรื่อง บทสนทนาเกี่ยวกับสองระบบโลกที่สำคัญ Dialoques Concerning the Two Chief World System ในหนังสือนี้ กาลิเลโอ เปรียบเทียบทฤษฏีของปโตเลมีกับทฤษฏีของโคเปอร์นิคัส และแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏีขอวโคเปอร์นิคัสน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะผลงานชิ้นนี้ กาลิเลโอจึงถูกเรียกตัวขึ้นศาลศาสนาอีกครั้ง ด้วยข้อกล่าวหาว่าจงใจขัดคำสั่งของศาลที่ห้ามมิให้ยึดถือหรือปกป้องทฤษฏีของโคเปอร์นิคัส ศาลไต่สวนแล้ว ตัดสินว่ากาลิเลโอมีความผิดที่ประกาศคำสอนนอกรีต จึงพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต แต่เนื่องจากว่าเห็นว่ากาลิลโอแก่ชราแล้ว ศาลจึงลดโทษเหลือแค่กักบริเวณ และสั่งให้กาลิเลโอประกาศว่า ตนเลิกเชื่อทฤษฏีขอวโคเปอร์นิคัส กาลิเลโอจึงจำใจต้องทำตามคำสั่งศาล ด้วยการประกาศยกเลิกความเชื่อที่ว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ กาลิเลโอถูกกักบริเวณอยู่ภายในบ้าน นอกเมืองฟลอเรนซ์ จนกระทั่งเขาตาบอดและเสียชีวิตในที่สุด.... จากคุณ : francheska เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 19:17:04

ความคิดเห็นที่ 104 ตอบคุณ THDV ความคิดเห็นที่ 90 ครับ “งั้นผมขอถามกลับมั่ง 'เพราะคำสอนของศาสนาพุทธ เป้าหมายสุดท้ายคือ เพื่อนิพพาน หากพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ค้นพบนิพพาน ไม่มีตัวตนจริง คุณคิดว่าคนสติดีๆ ยังจะมองว่านิพพานเป็นเรื่องจริงได้อีกเหรอครับ' “ การจะตอบเรื่องนี้ได้คงต้องอธิบายเปรียบเทียบครับ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ เมื่อดับชีวิตลงจะกลายเป็นหลุมดำ หลุมดำมองไม่เห็น ไม่ใช่เพราะเป็นสีดำ แต่เพราะมีแรงโน้มถ่วงสูงมากๆ มากเสียจนไม่มีแสงใดๆ หนีออกมาจากหลุมดำได้ เพราะเหตุว่าการมองเห็นวัตถุนั้นอาศัยหลักการสะท้อนแสงที่กระทบวัตถุเข้าสู่ดวงตา แต่หลุมดำนั้นไม่มีแสงใดๆ สะท้อนออกมาได้ เพราะไม่สามารถหนีจากแรงดึงดูดมหาศาลได้ ดังนั้นเราจึงมองไม่เห็นหลุมดำ แต่เราสัมผัสหลุมดำได้โดยทางอ้อม โดยสังเกตุพื้นหลังที่ส่องสว่างเช่น เนบิวล่า หรือ กลุ่มดาวต่างๆ ที่เป็นฉากหลัง แต่เห็นบางอย่างที่เป็นสีดำบดบังบางส่วนของแสงสว่างนั้น อนุมาณได้ว่าบริเวณนั้นมีหลุมดำกั้นขวางระหว่างเรากับเนบิวล่าหรือกลุ่มดาวต่างๆ นอกจากนี้ยังสังเกตได้จากการเคลื่อนที่ที่ผิดปกติของดาวฤกษ์บางดวง ประหนึ่งว่าถูกดึงดูดด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น หรือกระทั่งเห็นการดูดกลืนดาวฤกษ์เลยก็มี ซึ่งการจะเห็นหรือสัมผัสได้ถึงเรื่องราวเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ทรงอานุภาพ อย่างน้อยที่สุดก็คือกล้องโทรทัศน์กำลังสูง และภาพบางภาพต้องออกไปมองจากนอกโลกเพื่อให้พ้นสภาวะอากาศของโลกจึงจะมองเห็นได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นหลุมดำจริงๆ ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และนักวิทยาศาสตร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า ณ ที่แห่งนั้นกฎทางฟิสิกส์ของจักรวาลนี้ไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นภายในหลุมดำได้ เปรียบเทียบกับพระนิพพานได้ดังนี้ พุทธศาสนากล่าวถึงพระนิพพานไว้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดที่ต้องไปให้ถึง ไม่มีใครเคยเห็นพระนิพพานแล้วเอามาบอกต่อได้ เพราะที่นั่นเป็นจุดสุดท้าย เมื่อไปแล้วก็จะไม่มาเกี่ยวข้องกับโลกนี้อีก แสดงให้เข้าใจก็ไม่ได้ เพราะการจะรับรู้ถึงพระนิพพานได้จำเป็นต้องมีโสตสัมผัสที่จำเพาะ ซึ่งได้จากการฝีกฝนอบรมด้วยกระบวนการที่พุทธศาสนาสั่งสอนเอาไว้ กล่าวโดยย่อคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเข้าถึงได้ด้วยมรรคมีองค์ 8 หากทำไม่ได้ดังนี้ก็หมดสิทธิ์ที่จะรับรู้หรือสัมผัสถึงพระนิพพานได้ แต่เราสัมผัสพระนิพพานโดยทางอ้อมได้ จากการเข้ามาศึกษาและทำความเข้าใจกับคำสอน ปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้ พบพูดคุยกับสมณะสงฆ์ผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าคุณได้ลองทำดูคุณจะสัมผัสได้ว่า เส้นทางเหล่านี้นำไปสู่บางสิ่ง ซึ่งคุณอาจไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ก็มีผู้บอกว่าเส้นทางนี้ล่ะนำไปสู่พระนิพพาน คุณอาจแย้งว่าวิทยาศาสตร์นั้นรู้จักหลุมดำได้ด้วยการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์มากมาย แต่พุทธศาสนาก็มีพระสงฆ์ผู้น่าเลื่อมใสศรัทธาหลายรูปทั้งในและต่างประเทศที่ยืนยันได้ คุณอาจแย้งว่าวิทยาศาสตร์มีวิธีตรวจสอบชัดเจนและแสดงให้คนทั่วไปประจักษ์ได้ แต่พุทธศาสนาก็มีวิธีตรวจสอบของตนเองที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพียงแต่คุณต้องพยายามเข้าไปสู่จุดนั้นด้วยตัวเองด้วย มิใช่ว่าจะรอให้คนนำข้อมูลมากองให้ดูตรงหน้าได้เหมือนวิทยาศาสตร์ เพราะแม้มีหลายอย่างที่เหมือนกัน แต่พุทธศาสนาก็มีหลักการจำเพาะที่ต่างไปจากวิทยาศาสตร์ ดังนั้นการเข้าถึงก็ต้องไปด้วยกระบวนการที่กำหนดไว้เช่นกัน แม้วิทยาศาสตร์เองจะเอาข้อมูลมากองให้คุณดูตรงหน้า แต่คุณสามารถรับรู้และเข้าใจได้ทั้งหมดนั้นหรือ หากว่าคุณมิใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้น เหมือนกันกับพุทธศาสนาที่แม้จะสอนอะไรไป หากผู้รับฟังไม่เคยเรียนรู้อะไรมาเลย ก็คงยากที่จะเข้าใจได้ทั้งหมด ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ คือได้ศึกษาและปฏิบัติมาระดับหนึ่งจึงจะสามารถเข้าใจได้ หากอยากรู้จริงก็ต้องลองเข้ามาดูครับ พระธรรมนี้เป็น เอหิปัสสิโก ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด พอใจหรือไม่ นับถือหรือไม่ ไม่ว่ากัน แต่หากสงสัยก็ยินดีให้เข้ามาดู แล้วเชิญพิจารณาเอาเถิด ยังไม่จบครับ เดี๋ยวมาต่อใหม่ แก้ไขเพิ่มวรรคตอนเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นครับ แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 19:19:44 จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 19:18:16