 |
.: [ (อีก) 6 เรื่องชวนขนลุก (ที่เคยเกิดขึ้นจริง!) ] :.
|
|
สวัสดีครับ 
หลังจากเพิ่งนำมาแปะไป 5 เรื่องหมาดๆ แต่ปรากฏว่ายังไม่หมดครับ ผมก็เพิ่งเจอ ไม่เช่นนั้นก็แปลทีเดียวหมดไปแล้วสำหรับ "รวมเรื่องชวนขนลุก (ที่เคยเกิดขึ้นจริง!)"
มีอะไรแปลกๆ อีกในโลกนี้ ลองไปดู~
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"6 More Creepy urban legends (that happen to be true)"
6. "รูปนั้นมันแปลกๆ นะ"
เล่ากันว่า
- ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินถือของที่เพิ่งซื้อจากร้านขายของชำเข้าไปในบ้านของหญิงชราหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็ทำของร่วงหลุดจากมือเมื่อเขาเห็นภาพติดฝาผนังภาพหนึ่งที่ทำให้เขาต้องขนลุกโดยไม่ทราบสาเหตุ
รูปภาพนั้นก็ดูปกติดี เป็นรูปภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่ก็ดูปกติดีทุกอย่าง แต่ก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ขาดหายไป เขาเลยตัดสินใจถามหญิงชราถึงภาพนี้
"อ๋ออ.." หญิงชราตอบเสียงยานโดยที่เธอคงไม่ทันสังเกตุว่าตัวเองกำลังยัดแมวใส่ลงไปในเครื่องล้างจาน "สวยใช่มั้ยล่ะ? ..เธอแทบดูไม่ออกเลยใช่ไหมว่านั่นเขาตายแล้ว" (แปลว่า..จับคนตายมาถ่ายรูป!!!)
เรื่องจริงคือ
- คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้คงไม่มีใครคิดแม้แต่จะชำเลืองลงไปมองศพในโลงระหว่างพิธีฝังศพ แต่ถ้าย้อนไปในสมัยช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถ้ามีใครสักคนตายก็แปลว่าถึงเวลาปัดฝุ่นกล้องถ่ายรูปเพื่อเอามาถ่ายรูปครอบครัวกันแล้ว เป็นพิธีที่เรียกกันว่า "Memorial Photography"
แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเป็นแค่เรื่องตลกร้ายที่น่าขนหัวลุกสำหรับบรรดาตากล้องทั้งหลาย แต่ก็ดันมีเหตุผลที่ถูกยกมาใช้เพื่อทำพิธีนี้อย่างจริงๆ จังเสียด้วย เหตุผลก็คือว่า ค่าใช้จ่ายในการถ่ายรูปในสมัยนั้นแพงระยับขนาดที่ว่าอาจจะมีโอกาสได้ถ่ายแค่เพียงครั้งหนึ่งในชีวิต (หรือแป็ปนึงหลังจากเคยมีชีวิต )
จะว่าไปแล้ว การถ่ายรูป (ที่แสนแพง) ก็ยังจำเป็นต้องให้ทุกคนอยู่นิ่งๆ เพื่อให้รูปออกมาสวยที่สุดให้คุ้มกับเงินที่เสียไป และถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่คนตายทำได้ดีที่สุด ก็คงเป็น... อยู่นิ่งๆ 
ดังนั้น เหล่าศพทั้งหลายก็จะถูกจับแต่งตัวและจัดท่าทางอย่างดี และ... "ถูกถ่างตาให้เปิด" เอาไว้ตลอด และถ้าบรรดาศพๆ ทั้งหลายยังดูไม่มีชีวิตชีวาพอ เขาก็จะตกแต่งหน้าตาของศพในรูปอีกทีในภายหลัง เพื่อให้ดูไม่ให้เหมือน "ศพที่ถูกผูกติดกับเก้าอี้" ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง 
ปัจจุบันนี้การถ่ายรูปที่ระทึกร่วมกับศพไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไปแล้ว (เหมือนโลงศพนิรภัยในตอนที่แล้ว) (ว่าแล้วคนสมัยก่อนนี่เพี้ยนจริงๆ ) ซึ่งสาเหตุที่มันไม่ฮิตอีกต่อไปแล้วอาจเป็นเพราะการถ่ายรูปมีราคาถูกลงมาก ก็เลยไม่จำเป็นต้องเอาไว้ถ่ายกันเฉพาะในโอกาสพิเศษอย่างเวลามีใครสักคนตาย (โคตรรรพิเศษเล้ยย~ )
หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาคงจู่ๆ นึกขึ้นได้มาแล้วพูดขึ้นมากระมังว่า "เดี๋ยวก่อน, นี่พวกเรากำลังทำบร้าอะไรกันวะเนี่ย!?!"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
7. "พรมห่อศพ"
เล่ากันว่า
- มีคนดวงซวยคนหนึ่งบังเอิญไปเจอพรมเก่าผืนหนึ่งเข้า ด้วยเพราะเห็นว่ามันยังสวยดี เขาจึงเอามันกลับบ้านและพบว่ามีสินค้าชวนสยองแถมกลับมาข้างในพรมด้วย
เรื่องเล่านี้ยังมีเวอร์ชั่นอื่นๆ อีกเช่นว่าพบศพในตู้เย็นที่ไม่ใช่แล้วหรือไม่ก็ตู้เสื้อผ้า แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง คำเตือนจากเราก็ยังได้ใช่ครับ คือ "อย่า เลือกซื้อของแต่งบ้านจากร้านที่ดูไม่น่าไว้ใจ"
เรื่องจริงคือ
- เมื่อปี 1984, นักศึกษามหาวิทยาลัยโคลัมบัส 3 รายเดินต๊อกแต๊กอยู่ดีๆ ก็เจอเข้ากับพรมอย่างดีม้วนทิ้งไว้ข้างทางเท้า เสร็จโก๋! พวกเขาตัดสินใจลากกลับหอพักทันที (เดาว่าอันที่จริงพวกเขาคงจะมองหาอะไรที่พอจะรองรับอ้วกหรือเศษขนมได้มากกว่าจะหาเครื่องประดับบ้านจริงๆ)
และเมื่อทั้ง 3 กลับมาถึงห้อง พวกเขาก็เลยคลี่พรมออกและพบศพชายนิรนามที่กำลังเน่าเฟะพร้อมรูกระสุนที่หัว 2 รู อยู่ในพรมผืนนั้น
ใช่ครับ, นักศึกษามหาวิทยาลัย 3 คนที่เสียค่าเทอมปีละ 50,000 เหรียญแบกพรมกลับห้องโดยไม่รู้สึกว่ามีศพเน่าเฟะเหม็นชวนอ้วกหนักเกือบ 100 กิโลฯติดมาด้วย!! (ได้ยังไงฟระนี่ )
อย่างน้อยที่สุดของที่สุด เราหวังใจอย่างยิ่งว่าเด็กหนุ่มพวกนี้คงจะไม่แค่โยนศพไปกองไว้มุมห้องแล้วหันกลับมาเล่นวีดีโอเกมส์เหมือนเดิม .. นะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
8. "ผู้หญิง...มีพิษ"
เล่ากันว่า
- หญิงป่วยคนหนึ่งมีอันต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วพยาบาลก็จัดการเจาะเลือดเธอไปตรวจ จนต่อมาก็พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษเข้มข้นจนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างเธอป่วยไปด้วย เมื่อพวกพยาบาลนึกขึ้นได้ว่าบางทีพวกเธออาจกำลังรับมืออยู่กับคนผสมเอเลี่ยน พวกเธอจึงตัดสินหนีเอาชีวิตรอดดีกว่า 
เรื่องจริงคือ
- ช่วงเย็นของวันอังคารที่ 19 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1994 หญิงสาวชื่อ "กลอเรีย รามิเรซ" ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแคลิฟอเนียจากอาการคล้ายมะเร็งที่พัฒนาตัวไปอีกขั้น
เมื่อพยาบาลเจาะเลือดของกลอเรียเพื่อเอาไปตรวจ เธอก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นรุนแรงขนาดที่ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่อยู่รอบๆ เธอต่างพากันคลื่นไส้และหมดสติในที่สุด โดยมีคนถึง 23 คนที่เกิดอาการป่วยจากเลือดของเธอ จากนั้นหน่วยงานหนึ่ง (คาดว่าเป็นรัฐบาลท้องถิ่น) สั่งอพยพประชาชนและเรียกหน่วยขจัดสิ่งปนเปื้อนเข้าควบคุมสถานการณ์ทันที
ช่างชวนให้ยิ่งนึกถึงภาพสัตว์ประหลาดจากหนังเอเลี่ยนผสมกับกลิ่นผายลมจริงๆ 
เคสนี้ถูกวินิจฉัยว่าเป็น "อุปทานหมู่" (Mass Hysteria) อย่างรวดเร็ว แต่มาคิดๆ ดูจากการเหยื่อที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดต้องนอนทรมานในห้อง ICU จากอาการตับอักเสบ, ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง และโรค avascular necrosis (อาการที่ส่งผลให้กระดูกของคุณ ตาย) นานกว่า 2 สัปดาห์, คงต้องบอกว่าถ้านี่ไม่ใช่โคตรอุปทานหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ล่ะก็ หมอคนที่วินิจฉัยนี่ก็คงจบจากมหาลัยปัญญา-อ่อนเป็นแน่
*ขอบคุณคุณ อีกด้านของดวงจันทร์ ด้วยครับ ผมก็มึนจริงๆ มิเคยพานพบมาก่อน จะได้เมมฯไว้ครับว่า mass hysteria ไม่ใช่ฮีสทีเรียหมู่
ส่วนกลอเรีย, เธอตายเพียงแค่ 40 นาทีหลังจากมาถึงโรงพยาบาล การชันสูตรศพเธอทำโดยหมอหลายคนที่แต่งตัวในชุดเหมือนนักบินอวกาศ และแม้ว่าจะมีการตรวจสอบและสืบสวนอย่างเข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นความลับดำมืดต่อไปว่าอะไรทำให้เลือดของหญิงคนนี้กลายเป็นพิษมรณะ
หลังได้รับการอนุมัติ, เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่สืบสวนเคสนี้ตัดสินใจจะไม่ถอดชุดที่เหมือนนักบินอวกาศพวกนั้นอีกเลย และตอนนี้ก็ได้อพยพไปอยู่บนเกาะห่างไกลแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยลวดหนาม
จะว่าไปแล้วก็คงเป็นการป้องกันที่เหมาะสมแล้วล่ะ 
ป.ล. ต้นฉบับระบุว่าโรคดังกล่าว คือ "Hysteria" จริงๆ ซึ่งส่วนตัวผมก็สงสัยเหมือนกันเพราะทีแรกคิดว่าฮีสทีเรียคือโรคที่ผู้หญิงเสพติดผู้ชายเท่านั้น (ซึ่งก็เข้าใจผิดอีก )
หากท่านใดมีความรู้ด้านนี้ก็รบกวนให้ความรู้ด้วยก็จะดีมากครับ
**คห.10 คุณอีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์บอกแล้วครับว่าไม่ใช่ ฮีสทีเรีย แต่เป็น อุปทานหมู่ ขอบคุณอีกครั้งมา ณ ทีนี้ด้วยครับ 
อนึ่ง. ชุดที่ผู้เชี่ยวชาญใส่นั้นเรียกว่า "Haz-Mat" โดยย่อมาจาก Hazardous Material เดี๋ยวจะหารูปมาแปะให้ดูครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
9. "หัวที่รัก"
เล่ากันว่า
- หญิงท้องคนหนึ่งเดินเข้าไปหาสามีของเธอแล้วบอกว่า "เด็กในท้องไม่ใช่ลูกของเธอนะ" สามีของเธอจัดการทำสิ่งที่ดูจะสมเหตุสมผลและรอบคอบดีแล้ว โดยการเฉาะหัวของชู้ออกแล้วหิ้วกลับบ้านมาฝากคุณเมียเป็นของรับขวัญลูก
เรื่องเล่าทำนองนี้มีมากมายหลายแบบ อาจจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่สิ่งหนึ่งที่เรื่องแนวนี้ทั้งหมดต่างต้องการจะสื่อคือ
"อยู่ห่างจากเด็กหนุ่มเอ๊าะๆ หน้าใส วัยรุ่น หุ่นเกาหลีเอาไว้นะคุณป้าๆ ทั้งหลาย!!!" (เดี๋ยวจะหาว่าปั๋วไม่เตือน )
เรื่องจริงคือ
- จ่า "สตีเฟน แชปพ์" และ "ไดแอน แชพ์" คู่ทหารสามีภรรยาประจำการอยู่ที่เยอรมนี, ในปี 1993 ทั้งคู่คงเกือบจะมีความสุขสุดๆ กับการเป็นพ่อแม่ ถ้าไม่เพียงเพราะติดปัญหาอยู่นิดเดียวตรงที่ว่า..
...สตีเฟน ทำหมันไปเมื่อปีก่อน 
อุ๊ยย~ - -' เมื่อเหตุการณ์สวมรอย (เขา) (หมายถึง สวมทั้งรอย สวมทั้งเขา แต่ไม่สวมถุงยาง อันนี้คิดเอง) นี้บังคับให้ไดแอนต้องสารภาพว่าเธอเกิดไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับเพื่อนสนิทของสตีเฟน (เวรร ) เขาคนนั้นคือ "จอร์จ โกลเฟอร์" และ....
โชคร้าย, ที่สตีเฟนมีปฏิกริยาที่ดูจะหนักกว่าแค่กระฟัดกระเฟียดเหวี่ยงเก้าอี้โชว์พาวสัก 2-3 ตัว
ในคืนอันหนาวเหน็บของเดือนธันวาคมคืนเดียวกันนั้นเอง ไดแอนนอนคุยโทรศัพท์กับชู้รัก, เกรกอรี่, อยู่ที่โรงพยาบาล แต่แล้วจู่ๆ สายก็ขาดไป แต่ไดแอนไม่ต้องรอนานเลยเพื่อจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครึ่งชม.ถัดมาสามีของเธอกระแทกประตูเข้ามาในห้อง แล้วดึงศรีษะที่ยังอุ่นๆ ของเกรกอรี่ออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วพยายามยื่นมันใส่หน้าไดแอน
..."ดูสิไดแอน ไอโกลเฟอร์มันอยู่นี่แล้วไง! ทีนี้เขาจะนอนกับเธอได้ทุกคืนแล้ว แต่เธอนั่นแหละที่จะหลับไม่ลงไปตลอดกาล เพราะสิ่งเดียวที่จะติดตาเธอคือไอนี่!"
แล้วสตีเฟนก็ปล่อยหัวชุ่มเลือดของเกรกอรี่ลงบนโต๊ะข้างๆ เตียง, หันหน้าหาภรรยาของเขา
เรื่องนี้พูดไม่ออกเหมือนกันแหะ ทั้งโหดและเศร้า แสดงความเห็นตามสบายเลยครับ แต่ที่แน่ๆ สิ่งหนึ่งที่เห็นเลยคือ จ่าแชปพ์คนนี้เยือกเย็นโคตรๆ เป็นชายที่มีพรสวรรค์ทางการแสดงได้แน่..นอน
อนึ่ง. เผื่อท่านไหนงง ผัวเมียคู่นี้คุยกันที่รพ. เมียก็สาพภาพที่รพ. แล้วเห็นว่าคุณผัวดูปกติ ไม่แสดงอาการ แล้วคุณผัวก็กลับไปโดยบอกว่าจะไป "เก็บของ" (ก็ไม่พูดให้เคลียว่าของอาร้ายย )
แต่อันที่จริงคุณผัวแกไปตามหาชู้รัก และพบว่ากำลังคุยโทรศัพท์กับเมียตนเองอยู่ที่ฐาน (พวกเขาเป็นทหาร) พยานบอกว่านายแชปพ์แทงชู้ไป 10-15 แผลก่อนจะตัดหัวเอาไปฝากเมียนั่นแหละครับ
โดยเมื่อคุณผัวเอาหัวชู้มาฝาก คุณเมียก็กรี๊ดๆ ๆ ๆ ๆ ลั่น หมอ&พยาบาลก็เลยตามมาเห็นคุณผัวนั่งอยู่ปลายเตียงข้างๆ เท้าคุณภรรยา โดยมีหัวคุณชู้อยู่บนโต๊ะข้างเตียง, หันหน้าหาคุณเมีย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และก็เหมือนเดิมครับ เดี๋ยวผมค่อยต่ออีก 2 เรื่องนะครับ ตอนนี้ขอพักสายตาแป็ปนึง - -'
ป.ล. แก้ไขคำผิด (แต่เยอะเกิน+ตาลายเกินกว่าจะพบทั้งหมด เพราะฉะนั้นแนะนำผู้อ่านพยายามทำเป็นมองไม่เห็น ทั้งในส่วนของคำผิดและโยคท่อนไหนที่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องนะฮะ )
to b continued 
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 11:00:56
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 09:23:00
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 07:54:53
จากคุณ |
:
art_sarawut
|
เขียนเมื่อ |
:
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 07:41:33
|
|
|
|  |