 |
ความคิดเห็นที่ 10 |
ในความเห็นผม โลกมนุษย์ก็เป็นเพียงมิติหนึ่งหรือภพภูมิหนึ่ง สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่ง ซึ่ง 2 ภพภูมินี้เป็นภพภูมิที่สามารถเห็นกันได้ อาจจะอยู่ต่างโลกหรือต่างดวงดาว ก็ได้ ซึ่งตรงนี้ไม่ได้ขัดกับความเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์ และเป็นไปได้ที่ว่าจะมีมิติอื่นหรือภพอื่นที่นอกเหนือหรือเกินไปจากความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ในตอนนี้ (อาจจะต้องใช้เวลาอีกเป็นพันๆ ปีกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะไปถึงจุดที่พอจะเข้าใจ) อย่างตอนนี้ ทฤษฎี 11 มิติ ก็ยังยากที่จะเข้าใจได้และมันอาจจะเป็นแค่ความรู้แค่กระผีกเดียว
เงื่อนไขในการเกิดในแต่ละภพภูมินั้น จุดสำคัญอยู่ตรงสภาวะจิตของจิตที่ไปปฏิสนธิในภพภูมินั้นๆ ว่าอยู่ในสภาวะแบบใด แบ่งประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 สภาวะ คือ 1. สภาวะ A (สภาวะที่จิตมีสภาพเป็นกุศล) และ 2. สภาวะ B (สภาวะที่จิตมีสภาพเป็นอกุศล)
ถ้าเป็นสภาวะจิตแบบ A ในขณะจิตสุดท้ายของภพภูิมิก่อน ก็จะไปปฏิสนธิในภพภูมิกลุ่ม A (ซึ่งก็แบ่งย่อยไปอีกหลายภพภูมิ เช่น A-1, A-2, A-3, A-4, A-5 ฯลฯ การจะไปเกิดในภพภูมิใดในกลุ่ม A นั้น ก็อยู่ที่สภาวะจิตมีสภาพเป็นกุศลมากน้อยแค่ไหน ถ้าจิตยิ่งมีสภาวะเป็นกุศลมากๆ ก็ยิ่งไปปฏิสนธิในภพภูมิที่สภาวะธรรมชาติที่ดีมากๆ ถ้าจิตมีสภาวะเป็นกุศลน้อยหน่อย ก็ไปปฏิสนธิในภพภูมิที่สภาวะธรรมชาติที่ดีลดหลั่นกันลงมา)
ถ้าในขณะจิตสุดท้ายของภพภูิมิก่อน จิตมีสภาวะแบบ B ก็จะไปปฏิสนธิในภพภูมิกลุ่ม B (ซึ่งก็แบ่งย่อยไปอีกหลายภพภูมิเช่นกัน) ภพภูมิในกลุ่ม B นี้มีสภาวะธรรมชาติที่ไม่ดีหรือลำบากกว่าในภพภูมิกลุ่ม A
การที่จิตขณะสุดท้ายของภพภูมิก่อนจะมีสภาวะเป็น A หรือ B นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยสำคัญ ก็คือนิมิตที่จะมาปรากฏให้จิตรับรู้ก่อนที่จะตาย เช่นเห็นเป็นภาพที่ตัวเองเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในโรงเชือดสัตว์ หรือเห็นเป็นภาพที่ตัวเองเคยสร้างโบสถ์วิหารศาลาการเปรียญ หรือเคยถวายสังฆทาน เป็นต้น เมื่อเห็นภาพนิมิตเช่นนี้แล้วจะเป็นปัจจัยทำให้จิตเกิดสภาวะแบบใดแบบหนึ่ง เช่น กระสับกระส่ายหรือเศร้าหมอง หรือทุกข์ทุรนทุรายเมื่อเห็นภาพที่ตัวเองเคยกระทำกรรมชั่วไว้ (สภาวะจิตแบบ B) หรือเกิดปิติโสมนัส อิ่มเอิบใจจากภาพบุญกุศลทีี่เคยกระทำไว้ (สภาวะจิตแบบ A)
ปกติในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คนเราจะมีสภาวะจิตได้ทั้ง 2 สภาวะ คือแบบ A หรือแบบ B ซึ่งจะมีสภาวะจิตแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับเหตุัปัจจัยที่มาผลของการกระทำ เช่น การช่วยเหลือบริจาคให้แก่คนยากไร้หรือตักบาตรทำสังฆทาน ฯลฯ เป็นเหตุให้เกิดผล คือผู้ให้เกิดความรู้สึกปิติใจ หรือมีความสุข ความอิ่มเอิบใจ สภาวะจิตในช่วงขณะนี้จะมีสภาวะ A ซึ่งจะตรงกันข้ามกับสภาวะจิตแบบ B ที่เป็นผลมาจากการกระทำ เช่น ด่าทอทุบตีพ่อแม่ สาดน้ำกรดใส่หน้าคนอื่น ฯลฯ ผลที่เกิดนี้ อาจะเกิดได้ทั้งก่อนกระทำ ขณะกระำทำ และหลังกระทำแล้ว เช่น เมื่อคิดถึงเรื่องที่เคยด่าทอทุบตีทำร้ายพ่อแม่ตัวเองครั้งใด ก็เกิดความโศกเศร้าเสียใจ เช่นนี้ สภาวะจิตก็จะเกิดสภาวะจิตแบบ B ทุกครั้งที่คิดถึง
การที่เราทุกคนมาเกิดร่วมกันบนโลกใบนี้ ก็เป็นผลมาจากการที่จิตขณะสุดท้ายในภพภูมิก่อนของแต่ละคนมาอยู่ในช่วงหรือในสภาวะที่ใกล้เคียงกันพอดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยแบบใดก็ตาม (เพราะแต่ละคนก็ทำกรรมแต่ละอย่างไม่เหมือนกับคนอื่น) แต่เมื่อมาปฏิสนธิบนโลกใบเดียวกันแล้ว แต่ละคนก็มีการกระทำที่แตกต่างกันไปตามการสั่งสมมาของจิตของแต่ละคน บางคน แม้ว่าพ่อแม่จะให้การเลี้ยงดูอบรมดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีจิตใจที่ชั่วร้ายแตกต่างไปจากพี่้น้องคนอื่นได้ บางคนก็มีจิตใจที่ดีแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนอะไร (แ่ต่ธรรมชาติของจิตมักจะดึงดูดจิตที่มีสภาวะะใกล้เคียงกัน เหมือนกับเวลาที่เอาแก้วใส่น้ำเย็นไปอังตรงหม้อน้ำเดือด ก็จะเกิดหยดน้ำรอบๆ แ้ก้วใบนั้น)
ผมเชื่อว่าหลายคนเคยทำความดีในแบบใดแบบหนึ่ง เช่นเคยช่วยเหลือคนอื่น ช่วยบริจาคทานให้คนยากไร้ เอาพวงมาลัยกราบพ่อแม่ในวันพ่อวันแม่ ฯลฯ และคนทุกคนก็คงจะเคยทำไม่ดีในแบบใดแบบหนึ่ง เช่นโต้เถียงทะเลาะกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์โทสะ หรือโกรธเคืองด่าทอหรือทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ฯลฯ
ลองสังเกตสภาวะจิตที่เกิดในขณะนั้น ก็คงจะพอจำได้บ้างว่ารู้สึกอย่างไร แตกต่างกันอย่างไรในขณะที่ทำความดี กับทำความชั่ว จิตในขณะที่ให้กับจิตในขณะที่เห็นแก่ตัว (งก) จิตในขณะที่เกิดเมตตาคิดจะช่วยเหลือหรือสงเคราะห์คนอื่นกับจิตในขณะที่โกรธคิดจะทำร้ายหรือด่าทอผู้อื่น
ถ้าเห็นความแตกต่างของจิต ก็แสดงว่าสภาวะจิตนั้นแปรเปลี่ยนไปได้ตามเหตุปัจจัยแต่ละอย่าง เมื่อขนาดที่เรายังมีชีวิตอยู่ปกติ สภาวะจิตยังแปรเปลี่ยนไปได้ตามเหตุปัจจัย แล้วในขณะที่นอนสลบใกล้จะตายอยู่บนเตียง สภาวะของจิตก็ย่อมจะแปรเปลี่ยนไปได้ตามเหตุปัจจัยที่สั่งสมมาเช่นกัน สั่งสมมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถจะช่วยได้ แม้ว่าญาติพี่น้องลูกหลานจะช่วยกันปลอบประโลมให้คิดถึงแต่สัมมาอรหังๆๆ หรือพุทโุธๆๆ หรือคิดถึงแต่พระคริสต์ๆๆ อันนั้นอาจจะช่วยได้เพียงบางส่วน แต่เมื่่อยามที่จิตอ่อนแรงถึงขั้นหมดสติ ใครพูดใครปลอบอย่างไรก็คงจะไม่ได้ยิน จะได้ยินได้เห็นก็แต่เพียงภาพนิมิตที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดเหมือนกับยามตื่น
ส่วนกรรมใดจะมาปรากฏเป็นภาพนิมิตให้เห็นในขณะที่ใกล้จะตาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเงื่อนไขไว้ 4 ประการ ดังนี้
1. ถ้าเป็นกรรมหนัก (ครุกรรม) ก็จะมาปรากฏก่อน อาจจะเป็นได้ทั้งกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เช่น เคยฆ่าพ่อแม่ ฯลฯ
2. ถ้าเป็นกรรมที่ได้กระทำเมื่อใกล้จะตาย หรือระลึกได้เมื่อใกล้จะตาย (อาสัณกรรม) ถ้าไม่มีกรรมหนักใน 1. กรรมนี้ก็จะมาปรากฏแทน เช่นได้มีโอกาสถวายสังฆทานก่อนจะตายไม่นาน และจิตยังจับเอาอารมณ์ปิติจากการถวายสังฆทานนั้นเป็นอารมณ์
3. กรรมที่ทำจนเคยชิน หรือทำเป็นประจำ (อาจิณกรรม) ถ้าไม่เคยทำกรรมหนักใน 1. หรือไม่มีอาสัณกรรมใน 2. กรรมนี้ก็จะให้ผล
4. กรรมเล็กๆ น้อยๆ (กตัตตากรรม) ถ้าไม่เคยทำกรรมหนัก หรือไม่มีอาสัณกรรม หรืออาจิณกรรม กรรมนี้ก็จะให้ผล
จากคุณ |
:
รัษฎา
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ส.ค. 52 02:04:12
|
|
|
|
 |