ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องเทวดานับเป็นหนึ่งในเวียนว่ายตายเกิดไหมครับ?? จากคุณ : Starfight เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 03:30:10

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าจำไม่ผิด พระพุทธศาสนาที่มาจากพระไตรปิฏก ส่วนหนึ่งไม่ได้มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่มีการแต่งเพิ่มเติมเข้ามาจากสาวกด้วย ดังนั้น ผมก็เลยคิดเอาง่ายๆว่า พุทธศาสนาอันไหนที่เป็นตรรกะ พิสูจน์ได้ อันนั้นมาจากพระพุทธเจ้า ส่วนอันไหนที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ยังพิสูจน์ไม่ได้ อันนั้นถูกแต่งเพิ่มเติมเข้ามา แต่ถ้าเป็นพวกใบ้หวยที่หากินกับศาสนา ก็คงไม่ต่างอะไรกับ NPF, เหรียญควอนตัม, น้ำ MRET ที่หากินกับวิทยาศาสตร์ จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 03:45:23

ความคิดเห็นที่ 3 คุณ mint_la  ก็ชอบเรื่องลี้ลับด้วยเหรอครับ ดีใจจัง ^^ เห็นด้วยครับ วิญญาณแบคทีเรีย ไวรัส สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จะไปไหน เวียนวนอย่างไร โลกหลังความตาย เป็นอย่างไร เราตายแล้วไปไหน ผมสนใจเรื่องพวกนี้มากๆครับ อีกอย่างเรื่อง บุพเพสันนิวาส ลางสังหรณ์ ญาณวิเศษ การรู้อนาคตล่วงหน้า พลังจิต เป็นเรื่องที่ผมก็สนใจมากๆครับ อยากให้มีการพิสูจน์จริงๆนะครับ ^^ จากคุณ : ละอ่อนเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 03:46:33

ความคิดเห็นที่ 4   เรื่องปาฏิหาริย์ หรือเรื่องที่คนธรรมดาถือว่ามหัศจรรย์นั้น คุณต้องลงมือปฏิบัติพิสูจน์อย่างจริงจัง ผมเชื่อว่า เทวดามีจริงแน่นอนครับ ... เพราะเคยมีประสบการณ์กับตนเองมาแล้ว (ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่เห็นในนิมิตครับ) คือ พระธาตุ ที่ผมเก็บไว้บูชา เพิ่มจำนวนได้เอง หลายครั้ง   มาวางให้เห็น จะ จะ จับต้องได้เลยครับ ไม่ใช่มีคนเอามาแกล้งวางแน่นอน เพราะห้องพระล็อคกุญแจ ไม่มีใครเข้าไปได้ครับ แต่เรื่องแบบนี้มักจะเกิดเฉพาะกับคนที่เคารพ ศรัทธาอย่างจริงใจเท่านั้นครับ คนที่ไม่สนใจ , ไม่ศรัทธา จะไม่มีทางพบเจอเรื่องแบบนี้ จนตลอดชีวิตของเขาครับ จึงไม่แปลก ที่จะมีคนไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เป็นจำนวนมากครับ  .... เหตุผลง่ายๆ เพราะไม่เคยเจอนั่นเอง แล้วก็มักจะตัดสินง่ายๆ ว่าเรื่องเทวดา หรือปาฏิหาริย์ ไม่มีจริง ก็น่าเสียดายว่า คนเหล่านี้เกิดมาชาติหนึ่ง จึงเสียโอกาสที่จะได้รู้ และเห็น ในสิ่งที่ยังไม่รู้อีกมาก เพราะมีทิฏฐิตัวนี้มาขวางตัวเองไว้ ยกเว้นว่าเป็นคนที่ไม่เชื่อเพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ดูหมิ่นนะครับ .... ถ้าคนแบบนี้ ก็ยังมีทางได้เจอสิ่งดีๆ ต่อไปครับ คนที่ไม่เชื่อเหล่านี้ ส่วนมากจะไม่เคยลงมือพิสูจน์ด้วยตนเองแต่อย่างใด  เพียงแต่นอนรอฟังข่าว จากนักวิทยาศาสตร์ฝรั่ง เท่านั้น เรื่องแบบนี้ ผมไม่อยากบอกเลย เพราะผมไม่อำนาจวิเศษอะไร ที่จะเอามาให้ดู แบบ จะ จะ ได้ มันต้องเจอเอง แล้วจะรู้ครับ  ว่ามีหลายๆ เรื่องที่พิสูจน์ยังไม่ได้ แต่เรื่องเหล่านี้ "มีจริง" แต่ก็มีคนเลวหลายๆ คน ที่เอาความศรัทธาของชาวบ้านที่ไม่ประสีประสา มาหากิน เอาเงินทอง โดยการทำเรื่องปาฏิหาริย์หลอกลวงขึ้นมามากมาย ตามที่เราเห็นในข่าวอยู่แทบจะทุกวัน ทำให้คนรุ่นใหม่ ที่ยังอ่อนประสบการณ์ และไม่ได้ลงมือพิสูจน์เอง ก็เลยมองไปว่า เรื่องปาฏิหาริย์เป็นเรื่องโกหก หลอกลวง บ้องตื้น ไปทั้งหมด ในทุกๆ เรื่อง แต่ความจริงแล้ว  มันเป็นเรื่องบ้องตื้นเฉพาะกับคนโง่ ที่งมงาย จนไร้สาระ , และบ้องตื้นกับคนเลวที่เป็นคนสร้างปาฏิหาริย์หลอกๆ นั้นขึ้นมาเท่านั้น ลองอ่านเรื่องเกี่ยวกับเทวดา ที่ "ดร.สนอง วรอุไร" เขียนไว้ก็ได้ครับ  ... หาดูใน Google ก็ได้ (ดร.สนอง เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทางด้านไวรัสวิทยา) แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 07:07:11 จากคุณ : SuperMox เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 05:47:21

ความคิดเห็นที่ 5 การมีอยู่  existance ของนิพพาน จากคุณ : เซียนแห่งmath เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 06:34:50

ความคิดเห็นที่ 6 นรก - สวรรค์ ภพภูมิต่างๆ ซึ่งปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ และมีหลายคนบอกว่า ถ้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ใช่พุทธแท้ จากคุณ : atheist เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 07:51:08

ความคิดเห็นที่ 7 พระไตรปิฎก84000พระธรรมขันธ์  (คำสอนของพระพุทธเจ้า)  ก็หนังสือตู้ใหญ่ๆใบนึงหล่ะครับ คนส่วนใหญ่เชื่อว่า   เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า  ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นโดยสอนแบบท่องจำปากเปล่าเพราะในสมัยพุทธกาลอินเดียยังไม่มีตัวอักษรใช้ ถ่ายทอดแบบท่องจำกันมา500กว่าปีจึงได้มีการบันทึกเป็นอักษร       ลองจินตนาการดูดีๆซิ สมมุติคุณมี  ข้อมูลหนังสือ1ตู้ใหญ่อยู่ในสมองคุณ    คุณจะถ่ายทอดข้อมูลนี้ให้เข้าไปในสมองลูกศิษย์ยังไง  คุณจะสอน  บอก ให้ท่อง  จำได้ยังไง   ไม่ให้ผิดเพี้ยน   ไหนคุณลองบอกมาซิจะทำ  วิธีไหน     แล้วต่อให้คุณเจอลูกศิษย์อัจฉริยะ  1ใน10ล้านคนที่ จำข้อมูลหนังสือ1ตู้ใหญ่ได้   อ่ะ ผ่านไปซัก5ปี   จะไม่มีหลงลืมหรือ  มิต้องเอามานั่งท่องทุกวันเลยหรือ  ต่อให้นั่งท่องก็ได้แค่วันละ  2-3เล่ม   ข้อมูลมีเป็น100เล่ม      แล้วลูกศษย์นี้จะถ่ายทอดข้อมูลในสมองตนเองไปสู่ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ ยังไงให้ครบถ้วน    ถ่ายทอดแบบนี้500ปีก็ประมาณ     7-8 เจเนเรชั่น  จึงได้มีการบันทึก         ผมไม่เชื่อว่าชาวหว้ากอที่คิดแบบวิทยาศาสตร์จะเชื่อครับ  ก็ดูแต่ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาก็เดินได้7ก้าว  แต่ละก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมาจากดินมารองรับ       อะไรก็ตามที่คนนับถือกันมากๆผ่านการpropaganda มาไม่มากก็น้อยล่ะครับ จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:04:34

ความคิดเห็นที่ 8 เออ จริง ๆ นะครับ ศาสนาพุทธแบบเพียว ๆ ไม่มีเรื่องเทวดา ปาติหาร อะไรมากหรอกครับ ส่วนใหญ่พวกเรื่องเหนือธรรมชาติได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพรามหม์และฮินดู เป็นสิ่งที่เรียกว่า องค์ประกอบเพื่อสนับสนุนความเชื่อ ก็เหมือนกับศาสนาคริตส์ที่ให้พระเยซูนั้นเป็นบุตรพระเจ้านะครับ เพราะจะให้คนเชื่อนับถือนั้น หากบุคคลที่เป็นผู้เผยแพร่ ดูเป็นแค่คนธรรมดา ย่อมจะยากจะให้มีความเชื่อถือเกิดขึ้น จึงต้องพยายามประกอบเรื่องให้ดูมีความเหนือมนุษย์อยู่บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของทุกศาสนา นรก สวรรค์ของพุทธนั้น ความจริงแล้วอยู่ในใจของคนครับ นรกสวรรค์ที่เป็นสถานที่นั้น เกิดจากการปรับความเชื่อให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเพื่อเป็นการขู่คนให้ไม่ทำชั่ว เหมือนกับการเ้วียนว่ายตายเกิด ก็เป็นการขู่กลาย ๆ ว่า หากทำชั่วไปแล้ว ไม่เห็นตอนนี้ ก็ไปเห็นตอนชาติหน้า ถ้านับแล้ว ศาสนาพุทธนั้นยังมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าหลาย ๆ ศาสนาที่ "บังคับให้เชื่อ" อยู่มากครับ เพราะเป็นศาสนาที่กล่าวไว้เลยว่า ให้คิดก่อนเชื่อ เช่นเดียวกับเหล่าบทสวดทั้งหลายที่ท่อง ๆ กันโดยไม่รู้แม้แต่ความหมายนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเท่าไหร่เลย ถ้าจะท่องเป็นบาลีแล้วไม่เกิดประโยชน์ สู้ท่องเป็นภาษาไทยของตัวแล้วเข้าใจจะได้ประโยชน์มากกว่า ยกตัวอย่าง บทสวดแผ่เมตตา คือการให้คนท่องนั้น มีจิตที่เป็นเมตตา มุ่งจิตที่จะให้ทานแก่ทุก ๆ คน ทุก ๆ อย่าง เพราะจิตที่คิดจะให้นั้น ย่อมมีแต่ความสงบ ไม่คิดแต่จะรับอย่างเดียว ซึ่งไม่เคยพอ ถ้ามองแบบนี้ จะเห็นว่า บทสวดนั้นไม่ต้องท่องก็ได้ ถ้าคุณทำจิตเป็นเมตตาได้ ดีกว่าท่องอะไรที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเยอะครับ แบบนี้จะเห็นได้ว่า มันก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์พื้นบ้านธรรมดานี่เอง จากคุณ : โช (โชคุง) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:20:33

ความคิดเห็นที่ 9 #4# ถ้าจะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ เชื่ออย่างเดียวไม่พอครับ ต้องพิสูจน์ แต่ทางศาสนา จะใช้ความเชื่อ หรือใช้การทำจริงพิสูจน์ได้ ก็ได้ครับ ไม่ควรเอามาปนกัน #7# คิดคล้ายๆกันครับ แต่เชื่อว่า เป็นเพราะอิทธิพลของศาสนาพราหมน์ที่ฝักรากลึกมากในอินเดีย ทำให้หลงเหลือแสดงออกมาในคำภีร์ศาสนาพุทธด้วย บางเรื่องเลยแปร่งๆแปลกๆ จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:41:26

ความคิดเห็นที่ 10 ประเด็นมันไม่ใช่ว่าคัมภีร์จะเพี้ยนหรือไม่ มันอยู่ที่ว่า จะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ denomination และหลายๆ denomination เรื่องเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องที่สำคัญพอสมควร แนะนำลองไปอ่านกระทู้ห้องศาสนาครับ แล้วจะเข้าใจว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใช้ไม่ได้กับแนวคิดพุทธกระแสหลัก จากคุณ : atheist เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:41:47

ความคิดเห็นที่ 11 ในความคิดส่วนตัวนะคะ.. เรื่องของศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ บางครั้งมันก็ค่อนข้างไปด้วยกันลำบากนะคะ ในเมื่อ ศาสนา ความเชื่อความศรัทธา เป็นหัวใจสำคัญที่จะนำพาศาสนาให้รุ่งเรื่อง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยากมาก.. ในขณะที่ วิทยาศาสตร์ การหาเหตุผลการพิสูจน์หาทุกหลักฐานเพื่อหักล้างทุกความเชื่อ นำไปสู่ข้อเท็จจริง นั้นเกิดขึ้นทุกวัน (แม้แต่กระทั่งทฤษฎีที่เคยมีคนพิสูจน์มาแล้ว แต่เมื่อมีหลักฐานใหม่มาหักล้างก็พร้อมจะล้มเลิกทฤษฎีนั้นได้ด้วย) จะพิสูจน์ศาสนาในแนวทางวิทยาศาสตร์ หลายอย่างจึงค่อนข้างขัดแย้งกันค่ะ... แต่นักวิทยาศาสตร์ก็นับถือศาสนานะคะ... จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:59:00

ความคิดเห็นที่ 12 เกิดมาแล้วเดินได้ มั้งครับ จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 09:00:09

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าเรานับแบบพุทธตามพระไตรปิฏกก็ไม่มีอะไรที่ไปขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ เพราะแม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเองก็ยังเรียกตนเป็นผู้บอก ส่วนจะปฏิบัติก็เป็นเรื่องของส่วนตัวแต่ละคน เรื่อง ภพภูมิ เป็นเรื่องของการฝึกจิตที่จะเห็น และเห็นเพื่อเข้าใจเพื่อตัดละ เพราะลักษณะของมนุษย์ในโลกมีหลายเหล่า หลายแบบ บางพวกอาจพอใจที่จะพิจารณาแค่จิตใจตนเองก็พอ ไม่มีความสงสัยมากมาย ก็คือพวกสายสุขวิปัสโก แต่บางพวกถ้าไม่เห็นก็จะสงสัย พวกนี้ก็สายเตวิชโช และก็พวกสายอภิญญาที่ถ้าไม่ได้เล่นก็จะยังสงสัยอยู่ แต่ปัญหาคือปัจจุบัน มันมีคนที่ไม่ยอมรับในความแตกต่างเข้ามาบังคับว่า ศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ และถ้าคิดต่างแปลว่านอกรีต อย่าง คคห 8 ก็เป็นพุทธแบบสายสุขวิปัสโก แต่จะไปบอกว่าพวกสายเตวิชโชที่อยากรู้อยากเห็นอดีต อนาคต ภพภูมิเป็เรื่องเหลวไหลหรือ หรือบอกว่าพวกที่ศึกษาไปทางอภิญญาเป็นเรื่องเหลวไหลหรือ การไม่สามารถยอมรับความแตกต่างทำให้เกิดการเบี่ยงของเจตนาเช่นเรื่องการไม่เชื่ออย่าลบหลู่ การลบหลู่นี้ก็ถูกตีกว้างออกไปจนเป็นว่า ถ้าถามด้วยความสงสัยในเรื่องที่คนถูกถามไม่รู้ก็กลายเป็นเรื่องลบหลู่ ต้องไม่ลืมว่าตัวศาสนาพุทธเป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าสอนให้ลองทำ ลองปฏิบัติ การสงสัยหรือวิฉิกิจฉา ไม่ใช่ข้อห้าม แต่เป็นข้อที่ต้องทำให้หายสงสัย แน่นอนว่าเรื่องบางอย่างที่สงสัยมันเป็นสิ่งที่เกินความสามารถในการประมวลผลของมนุษย์ ที่เรียกว่าอจินไตยอย่างการกำเนิดจักรวาล ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้ง แต่มันทำให้หายสงสัยได้ก็อย่างน้อยสองวิธีคือ ทำให้แจ้งซะ เป็นพุทธภูมิไป หรือทำความเข้าใจว่ามันไม่เกี่ยวกับการรู้แจ้ง แต่ไม่ใช่ว่าห้ามสงสัยอย่างที่ตอนนี้เป็นๆกันอยู่ ถ้าเรานับกับตามวิทยาศาสตร์ เราก็บอกว่า ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าภพภูมิมีไหม แต่เงื่อนไขการมีอยู่ของภพภูมิก็มิได้ขัดแย้งกับหลักตรรกะ แต่มันก็ยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ว่ามีอยู่ ในเรื่องปาฏิหารย์ต่างๆเราก็รู้ว่าในความเป็นจริงที่มีอยู่ คนได้อาศัยประโยชน์จากความเชื่อในการหลอกลวงผู้อื่น ดังนั้นปาฏิหารย์เกือบทั้งหมดที่เป็นข่าวมาก็มักเป็นกลลวงโลก แต่จะพิสูจน์ว่าปาฏิหารย์ไม่มีจริงมันก็คล้ายกับการหาเลขจำนวนเฉพาะที่ไม่สามารถเป็นผลบวกของเลขจำนวนเฉพาะอื่นๆ 2 ตัว คือมันเป็นโจทย์ปลายเปิดที่ถ้าเกิดพิสูจน์ว่ามีปาฏิหารย์แค่ครั้งเดียว สมมุติฐานว่ามันไม่มีปาฏิหารย์ก็ถูกทำลายได้ แต่ในทางกลับกัน แม้จะพิสูจน์ได้เท่าไรว่าปาฏิหารย์นั้นๆเป็นกลลวงโลกแต่ก็ยังไม่อาจพิสูจน์ว่าปาฏิหารย์ไม่มีจริง ดังนั้นกับเรื่องปาฏิหารย์เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์หรือไม่ ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ และเพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ก็ยังไม่อาจเรียกว่าขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ครับ และเพราะถึงแม้มันไม่ข้ด แต่ประเด็นของศาสนามันมีหลายๆส่วนที่อยู่นอกขอบเขตที่จะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพราะต้องพิสูจน์ด้วยจิต เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล และประกอบเข้ากับความคิดที่คับแคบของหลายๆคนที่ทำให้การถกเรื่องศาสนากลายเป็นสงครามกันได้ทุกที่ทุกบ่อยๆ การไม่เอาศาสนามาถกในหว้ากอจึงเป็นมาตรการในการรักษาความสงบอย่างหนึ่งของบอร์ดนะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 09:29:10

ความคิดเห็นที่ 14 Dualism of mind ครับ ศาสนาทุกศาสนาในโลก (แม้แต่สมองมนุษย์เองมีวงจร Built-in) เชื่อว่า เรามีตัวตนแยกต่างหากจากกายเนื้อเรา จิต ใจ  หรือวิญญาณ เป็นเหมือนคนขับรถ ซึ่งก็คือร่างกาย แต่ไม่ได้เป็นส่วน หนึ่งของร่างกาย เมื่อตายไป คนขับรถก็ออกจากรถไป ณ ภพภูิมิอื่นๆ หรือ กลับมาเกิดใหม่ได้ แต่ในทางวิทยศาสตร์ จิตเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่ร่างแหประสาทสมองสร้างขึ้นเท่านั้น จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 09:34:11

ความคิดเห็นที่ 15 เกาะกระทู้นี้ดีกว่า จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 10:26:16

ความคิดเห็นที่ 16 ทำไมถึงไม่เชื่อเรื่องที่ท่องกันมานะครับ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เขามีการสังคายนา จากนั้นเขาจะแบ่งสายกันนะครับ สายนี้แม่นเรื่องสุตันตะ สายนี้วินัย สายนี้อภิธรรม แล้วก็บอกให้อีกอย่างนะครับ พระอรหันต์ที่มีอภิญญา จะไม่ลืม จะจำได้ตลอดไป เมื่อไม่กี่ปีก่อน ยังไม่ภิกษุพม่า ที่ท่องพระไตรปิฏกได้ทั้งหมดได้อยู่เลยครับ จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 10:49:16

ความคิดเห็นที่ 17 ... จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 11:00:31

ความคิดเห็นที่ 18 เราต้องเข้าใจถึงสิทธิที่จะไม่เชื่อ พอๆกับที่ความเห็นของอีกหลายคนต้องเข้าใจถึงสิทธิที่จะเชื่อ ถ้าเข้าใจในขอบเขตของสิทธิก็จะสามารถถกและเถียงกันได้ แต่ปัญหาคือมันขาดความเข้าใจในส่วนนี้และอ้างเอาแต่ตำราที่บอกๆมา พูดกันตามแนวทางวิทยาศาสตร์มันก็เป็นเหตุผลวิบัติ ที่จะบอกว่าความเชื่อเป็นความจริง และก็เฉกเช่นเดียวกันที่จะบอกว่าเพราะเชื่อว่ามันไม่จริงก็คือมันเป็นความจริงที่ค้นพบว่ามันไม่จริง ความเชื่อนี้มันอาจเป็นและอาจไม่เป็นก็ได้ เพียงแต่เราเห็นว่ามันไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่เรารู้อื่นๆเราจึงเชื่อ และก็ในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 11:06:24

ความคิดเห็นที่ 19 # 16 นั่นแหละที่เค้าถึงบอกว่ามันไม่เป๊ะและไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าจริงๆ จากคุณ : meddy hao เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 11:15:47

ความคิดเห็นที่ 21 ศาสนาพุทธได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เยอะมาก เราต้องแบ่งแยกระหว่าง ความเชื่อ   กับความจริง เข้าใจได้ง่าย กับ  เข้าใจได้ยาก พึ่งความช่วยเหลือ หรือ  พึ่งพาตนเอง เมื่อถูกสิ่งเร้า ไขว้เขวได้ง่าย หรือ ไขว้เขวได้ยาก สอดคล้องกับสันดาน พฤติกรรมดังเดิมของมนุษย์ หรือ ไม่สอดคล้อง การทดสอบทางจิตวิทยากับเด็กๆ ทำให้เราทราบ ลัทธิที่ใช้ความเชื่อนั้น เข้าใจได้ง่าย พึ่งความช่วยเหลือ ไขว้เขวได้ยาก สอดคล้องกับสันดาน พฤติกรรมดังเดิมของมนุษย์ แก่นพระพุทธศาสนานั้น (ไม่ใช่แบบที่แปลงๆมาแล้ว) เข้าใจได้ยาก พึ่งพาตนเอง เมื่อถูกสิ่งเร้า ไขว้เขวได้ง่าย และขัดกับสันดาน พฤติกรรมดังเดิมของมนุษย์ ฉะนั้นการที่จะดำรงศาสนาไว้ได้ ถ้ามีแต่แก่น คงไม่สามารถเผยแพร่ศาสนา ให้อยู่ได้ยาวนาน คนเราทำอะไร มักหวังผล (ตามสัญชาติญาณ) ถูกทำไม่ดี มักโกรธ  (ตามสัญชาติญาณ) ความเชื่อ ทำให้เรามีความมั่นคง ไม่กลัว  (ตามสัญชาติญาณ) ความจริง การพึง่พาตนเอง นั้นยาก  (ตามสัญชาติญาณ) เมื่อถูกสิ่งเร้ามักเกิด  รัก โลภ โกรธ หลง (ตามสัญชาติญาณ) ศาสนาจึงจำยอมเดินทางสายกลาง มีคำสอนสำหรับคนหลายระดับ ขั้นพื้นฐานคือ ทำความดี ละความชั่ว เมื่อทำอะไร จะได้สิ่งนั้นกลับมา ชาติภพ กับกลายเป็นเรื่องโลกนี้ โลกหน้า ชาติภพมีจริง โลกคู่ขนาน (ภพอื่นๆ) มีจริง แต่ไม่น่าใช่รูปแบบที่เข้าใจกัน การหมุนวนตามกฎความน่าจะเป็น ในระยะเวลา INFINITY สร้างวัฐจักรที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ คล้าย ธรรมจักร วิทยาศาสตร์ และ(แก่น) พระพุทธศาสนา ไม่ขัดแย้งกัน แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 12:18:56 จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:17:07

ความคิดเห็นที่ 22 การสังคายนา ครั้งที่ 1 มูลเหตุ : เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานได้ 7 วัน พระมหากัสสปเถระอยู่ที่เมืองปาวา ยังไม่ทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพาน จึงพาพระสงฆ์จำนวน 500 รูป เดินทางออกจากเมืองปาวาด้วยประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่เมืองกุสินารา ในระหว่างเดินทางนั้นเอง ก็ได้ทราบข่าวการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์จากอาชีวก (นักบวชนิกายหนึ่ง) คนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากเมืองกุสินารา พระสงฆ์ทั้งมวลซึ่งมีพระมหากัสสปเถระเป็นหัวหน้า เมื่อได้ทราบข่าวนั้นแล้ว ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ต่างก็มีความสลดใจ ผู้ที่เป็นปุถุชนอยู่ก็เศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญ รำพึงรำพันกันไปต่างๆนานา แต่พระภิกษุสุภัททะมิได้เป็นเช่นนั้น และได้ห้ามพระภิกษุเหล่านั้นมิให้เสียใจ มิให้ร้องไห้ โดยกล่าวชี้นำว่า ที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จปรินิพพานนั้นเป็นการดีแล้ว ต่อนี้ไปจะทำอะไรได้ตามใจ ไม่มีใครคอยมาชี้ว่าผิดนี่ ถูกนี่ ควรนี่ ไม่ควรนี่ ต่อไปอีก พระมหากัสสปเถระได้ฟังคำกล่าวจ้วงจาบเช่นนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ ภายหลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จสิ้นแล้ว ได้มีการประชุมสงฆ์ พระมหากัสสปเถระซึ่งเป็นผู้มีอายุพรรษามากกว่าพระสงฆ์ทุกรูป ได้รับเลือกให้เป็นประธานสงฆ์ มีฐานะเป็นสังฆปริณายก (ผู้นำคณะสงฆ์) บริหารการคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย ท่านจึงได้นำเรื่องที่ภิกษุสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยนั้นเสนอต่อที่ประชุมสงฆ์ ชวนให้ทำการสังคายนาพระธรรมวินัย และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม ต่อจากนั้นมา 3 เดือน ก็ได้มีการประชุมทำสังคายนาครั้งที่ 1 สถานที่ : ถ้ำสัตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ ชมพูทวีป องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู การจัดการ : พระมหากัสสปเถระได้รับเลือกเป็นประธาน และเป็นผู้ซักถามพระธรรมวินัย พระอุบาลีเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระวินัย พระอานนท์เถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระธรรม มีพระอรหันต์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์ (สงฆ์ผู้เป็นคณะกรรมการทำสังคายนา) จำนวน 500 รูป ระยะเวลา : 7 เดือน จึงสำเร็จ ======================================= -ภพภูมิต่างๆ การที่เราจะไปสัมผัสได้ ก็ต้องรับรู้ด้วยสภาวะจิต เฉพาะตนเท่านั้น ไม่สามารถใช้ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น ...แบบมนุษย์ไปรับรู้ได้เลย -เรื่องนิพพานเป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ หากเป็นคนที่เชื่อในศาสนาอื่นก็คงต้องปฏิเสธ ความหมายของนิพพานเป้นเรื่องของการดับกิเลส เมื่อหมดเหตุ ก้ไม่มีเวียนว่ายตายเกิดอีก - เรื่องของเทวดา ก็คือ นรก สวรรค์ เมื่อร่างกายในภพมนุษย์ดับลง จิตก้ไปจุติในภพภูมิอื่นๆตามกำลังของกรรมที่ได้สะสมมา การจะได้คำตอบนี้ได้ ผู้นั้นก็ต้องปฏิบัติภาวนาทางจิต ซึ่งคนนั้นต้องมีความสามารถมากพอ ไม่ใ่ช่ทุกคนจะสามารถรับรู้ได้ - ปาฏิหาริย์ต่างๆ อภิญญา ความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา การรู้วาระจิตของผู้อื่น การมองย้อนอดีตชาติของตน มองอดีตชาติของผู้อื่น รับรู้ว่าคนสัตว์เหล่านั้นเมื่อตายจากชาตินี้จะไปจุติในภพภูมิไหนบ้าง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไปที่สามารถฝึกฝนได้ เป็นเรื่องปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน ท่านว่ามีสี่เรื่องที่คิดแล้วจะกลายเป้นบ้า ดังนั้นการถกเถียงกันในเรื่องนี้ ในอดีตกาลมีคนเป็นบ้ามาเยอะแล้ว แต่สามารถรู้คำตอบได้เฉพาะตน ย่อมมีหาทางอยู่เพียงแต่คนที่ตั้งข้อสงสัยเหล่านั้น จะมีความสามารถมากพอหรือไม่แค่นั้นเองครับ อจินไตย ๔ ๑) พุทธวิสัย – หมายถึงคุณสมบัติและความสามารถของพระพุทธเจ้า ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในความสามารถของพระพุทธองค์คือ ‘ รู้ทุกอย่าง ' ถ้าด้วยปุถุชนวิสัยก็ย่อมสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร มนุษย์ที่ไหนจะไปรู้ทุกอย่างได้เล่า อันนี้เป็นการมองมาจากมุมมืดอันแคบจำกัดของปุถุชน ซึ่งแม้ได้ข่าวว่ามนุษย์อื่นแค่จดจำสิ่งต่างๆได้มากกว่า หรือคิดเลขได้เร็วกว่า หรือเจนจัดในการงานหลากหลายกว่าตน ก็โน้มเอียงจะดูหมิ่น เห็นเป็นข่าวกุ พร้อมจะเอ่ยเต็มปากเต็มคำแล้วว่าไม่เชื่อ อย่างนี้จะไปเชื่อพุทธวิสัยอันเหนือมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้อย่างไร ๒) ฌานวิสัย – หมายถึงคุณภาพจิตที่สามารถนิ่งอย่างเอกอุ เสพรสปีติสุขในสมาธิอันยิ่งใหญ่ระดับทิพย์ที่เกินประสบการณ์มนุษย์สามัญ และนอกจากนั้นยังมีผลเป็นความผ่องใสทางกายเกินคนธรรมดา ล่วงรู้สิ่งลี้ลับต่างๆมากกว่าที่จิตคิดๆนึกๆทั่วไปจะทำได้ เมื่อผู้ได้ฌานพยายามพรรณนาความสุขและความล่วงรู้ต่างๆให้คนกิเลสหนาทั้งหลายฟัง หรือกระทั่งอยากให้รับรู้ตาม เขาจะมีภาพของคนบ้า คนเพ้อเจ้อ หรือคนหลอกลวงมากกว่าอย่างอื่น และในทำนองเดียวกันแม้ใครเชื่อเรื่องฌาน ก็ไม่อาจจินตนาการถูกว่ารสสุขระดับฌานนั้นยิ่งกว่ารสสุขแบบโลกๆสักแค่ไหน รวมทั้งไม่อาจเข้าใจเลยว่าจิตอีกแบบสามารถทะลุทะลวงกำแพงความไม่รู้ต่างๆนานาได้อย่างไร เช่นอ่านใจคนอื่นออกเป็นคำๆ พยากรณ์อนาคตได้แม่นยำเหลือเชื่อ ฯลฯ ๓) วิบากแห่งกรรม – หมายถึงผลที่ปรากฏเป็นเหตุการณ์ต่างๆนานาในชีวิตเรา เมื่อไม่รู้เหตุผลเราก็อาจบัญญัติคำว่า ‘ บังเอิญ ' ขึ้นมา แต่แม้เมื่อเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายเป็นผลที่หลั่งไหลมาจากต้นธารคือกรรมเก่า ก็ไม่อาจเข้าถึงว่าตนเองเคยไปทำกรรมอันใดไว้ หลายคนโยงกรรมอันเป็นต้นเหตุเข้ากับผลกรรมอันเป็นปลายทางด้วยความคิดคาดเดา บางทีเผอิญถูก แต่หลายทีจะผิดถนัด และแม้จะเรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรมละเอียดลออปานใด ท่องจำหลักของกรรมวิบากได้มากมายเพียงไหน ก็ไม่อาจระบุด้วยจินตนาการคิดนึกว่าตนเจอสุขหรือเจอทุกข์หนึ่งๆเพราะแรงกรรมเก่าอันใดเหวี่ยงมา ๔) ความคิดเรื่องโลกและจักรวาล – หมายถึงที่มาที่ไปของวัตถุซึ่งใหญ่มากๆเช่นโลกและดวงดาว กับวัตถุที่เล็กมากๆเช่นอะตอมและองค์ประกอบสุดจิ๋ว หลายคนเข้าใจว่าปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบคำตอบทั้งหมดแล้ว แต่ความจริงก็คืออัจฉริยะที่อุทิศทั้งชีวิตทำงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับวัตถุระดับมหภาคและจุลภาคนั้น เลิกพูดถึง ‘ ความจริงสุดท้าย ' กันนานแล้ว หลายคนเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ที่รู้มากที่สุดในโลก อย่างมากก็เป็นได้แค่เด็กที่ยืนอยู่ชายหาดแต่อยากรู้อยากเห็นและสัมผัสความลี้ลับของท้องสมุทรกันเท่านั้น เอาแค่ได้ข้อสันนิษฐานว่าก่อนเกิดจักรวาลไม่มีอวกาศ ไม่มีกาลเวลา เท่านี้ก็งงแปดกลับแล้วว่าสภาพนั้นเป็นอย่างไร และเหตุใดจึงอุบัติมหากัมปนาท จากความไม่มีอะไรกลายเป็นดาราจักรนับแสนล้านอย่างที่กำลังเห็นๆอยู่ได้ท่าไหน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:28:53

ความคิดเห็นที่ 23   ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าเราถูกสร้างอยู่ในmatrix พวกพระเจ้าทั้งหลาย สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลาย เทวดา เทวทูตนั้นเกิดจาก คนที่อยู่ข้างนอกmatrixเข้ามาข้างในmatrix ก่อเกิดศาสนาทั้งหลาย ยกเว้นศาสนาพุทธที่เกิดจากหน่วยชีวิตข้างในmatrixเอง เป็นThe one ที่เกิดขึ้น รู้แจ้งในระบบ ซึ่งแสดงศักยภาพของหน่วยชีวิต(มนุษย์) การเวียนว่ายตายเกิด นั้นคือการย้ายหน่วยชีวิตที่เคยอยู่ คน แล้วไปอยู่ในหมา หรือไปเป็นมนุษย์ต่างดาวเรย อะไรแบบนี้ ลักษณะของนิพพานที่บอกว่าหลุดพ้นวัฎสังสารไม่เกิดไม่ดับแล้วนั้น ผมคิดว่าอาจจะคนที่รู้แจ้งเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ที่จะไม่เกิดอีกแล้ว จำเป็นต้องถูกทำให้ออกไปจากmatrix คิดมากไปใหมนิ จากคุณ : !!! เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:36:46 A:58.64.81.137 X: TicketID:203053

ความคิดเห็นที่ 24 ผมว่าที่เชื่อถือได้มากที่สุดก็ อภิธรรม (หลักธรรรม) อภินิหารอย่างอื่น ในพระสูตร น่าจะมีแต่งเติมนะ ใช้วิธิบอกต่อมา ห้าร้อยกว่าปี และถึงจะมีการบันทึกเป็นลายลักอักษร ผมว่าก็อาจมีการเพิ่มเติมอีกนะ แต่ถึงอย่างไร เราไม่รู้หรอกว่าวิทยาศาสตร์กับพูทธศาสตร์ มีอะไรเหมือนกันหรือต่างกัน เพราะวิทยาศาสตร์มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตอนเรามีแต่นิวตั้น เราก็ว่าพุทธงมงาย ตอนมี ไอน์ไสตน์ เวลาเดินไม่เ่ท่ากัน เราเห็นว่าชักเหมือนพุทธแฮะ ตอนมีความตั้ม ไม่มีอะไรแน่นอน อิเลคตรอนเปลี่ยนระดับพลังงานกระทันหัน เดินทางด้วยความเร็วอนันต์ เราก็ว่าชักเหมือนพุทธแฮะ ตอนนี้มีทฤฎี สตริง M อะไรอะไรก็เป็นไปได้ เวลาที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญความเพียรเพื่อให้เป็นพระพุทธเจ้า นานกว่าเวลาของจัราวาลตามทฤษฎิบิกแบง แต่ตอนนี้อาจอธิบายด้วยทฤษฎี M สรุปคือมันยังเปรียบกันไม่ได้ ฟรั่งว่าพุทธ เป็นปรัชญา คือพิสูนจน์ไม่ได้ พุทธว่าพิสูจน์ได้ให้ลองทำตาม(ฟฏิบัติธรรม) สรุปได้อย่างเดียวว่า พวกที่เอาวิทย์ม่เทียบกับพุทธว่าเป็นอย่างเดียวกัน เป็นตุเป็นตะ น่ะมั่ว มันแค่พอเทียบเคียงได้เทียบกับตรง ๆ ไ่ม่ได้ ถ้าพุทธกับวิทย์เป็นอย่างเดียวกัน เราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เพราะความรู้ทางวิทย์เรายังมีน้อยมาก  ๆ จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:39:30

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเป็นนับถือ พระพุทธศาสนา เเต่ในเมื่อถามอย่างงี้ มันก้มีครับ ถ้าจำไม่ผิด(ถ้าผิดขออภัย) พระมารดา พระพุทธเจ้า ทรงตั้งครรภ์ เเบบท้องมิโต จากคุณ : palovema เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:45:34

ความคิดเห็นที่ 26 สงสัยเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏ - ถ้าบอกว่าทุกวันนี้เป็นผลจากกระทำของอดีตหรือจากชาติก่อนๆ แล้วในครั้งแรกสุดที่เข้าสู่สังสารวัฏเกิดเพราะเราไปกระทำสิ่งใด เหตุใดจึงต้องเข้าสู่วังวนของสังสารวัฏ? - เหล่าผู้เวียนว่ายในสังสารวัฏจากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้หรือไม่?(แน่นอนลดได้เพราะมีการนิพพาน) แต่ถ้าเพิ่มได้ ส่วนที่เพิ่มมันมีเหตุอันใดถึงต้องเข้าสู่สังสารวัฏ - จากจุดก่อนการเกิดจักรวาล เราเวียนว่ายในสังสารวัฏในรูปแบบใด คำถามสุดท้ายใครเป็นคนสร้างเราให้เข้ามาอยู่ในสังสารวัฏ??? จากคุณ : zars เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:49:24

ความคิดเห็นที่ 27 แล้วเทวดาจัดเป็นสิ่งมีชีวิตประใด อยู่ในมิติใหน ร่างกายประกอบจากสะสารแบบใหนครับ? จากคุณ : FIREHAWK เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:53:48

ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อก่อนผมเคยชื่อในพุทธศาสนาในลักษณะที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เช่นบุญ บาป นรก สวรรค์ แต่พอผมได้บวช ได้เรียนพระธรรม ถึงจะไม่มากแต่ก็พอจับหลักในส่วนตัวได้บ้าง ได้สอบนวกะ อยู่ครบ 1 พรรษาตามที่บุรุษควรกระทำในแบบแผนของชาวไทย ผมกลับไม่เชื่อตามความรู้สึกดั่งเดิมครับ แต่ทางตรงกันข้าม กลับศรัทธาและเข้าใจในธรรมะมากขึ้น ว่ากันง่าย ผมไม่เชื่อเรื่องกุศโลบาย แต่เชื่อในธรรมะครับ จากคุณ : SuperTee (itCrazy) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:54:31

ความคิดเห็นที่ 29 พระพุทธเจ้า  คือ    ท่านผู้ตรัสรู้สัจธรรม   พระองค์ทรงค้นพบความจริง อันสูงสุด    และมิได้ทรงบังคับผู้ใดให้เชื่ออย่างงมงายในคำสอนของพระองค์ ความมีเหตุผลของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ที่การเปิดโอกาสให้มี การสอบสวนอย่างถี่ถ้วนในทุกขั้นตอนแห่งวิถีทางไปสู่การตรัสรู้     เพื่อที่จะ เข้าใจสภาพแห่งปรากฏการณ์ทั้งปวง    จำเป็นจะต้องอาศัยปัญญาญาณกำกับ ตลอดสาย           สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนชาวกาลามะ    ผู้อาศัยอยู่ในเกสปุตต นิคม  ในราชอาณาจักรหรือแคว้นโกศล   ถึงท่าทีอันเหมาะสมเกี่ยวกับความเชื่อ ทางศาสนา  พระองค์ตรัสว่า "อย่าเชื่อหรือถือเอาสิ่งใด ๆ เพียงการฟังตาม ๆ กันมา  อย่าเชื่อเพียงที่ถือสืบกันมา  อย่าเชื่อเพียงข่าวลือ  อย่าเชื่อโดยอ้าง ตำรา   อย่าเชื่อโดยนึกเดาเอา   อย่าเชื่อโดยการคาดคะเน     อย่าเชื่อเพียง ตรึกคิดไปตามอาการ       อย่าเชื่อเพียงเพราะตรงกับความคิดเห็นของตน อย่าเชื่อเพียงเพราะน่าเชื่อถือ       อย่าเชื่อเพียงเพราะว่าสมณะผู้นี้เป็นครู ของเรา"  และแล้ว  พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนชาวกาลามะต่อไป ให้พิจารณา ทุกสิ่งด้วยตนเองอย่างถี่ถ้วน           "เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนเองว่า   สิ่งเหล่านี้ไม่ดี     นักปราชญ์ติเตียน เมื่อรับไว้และปฏิบัติแล้ว   จะนำไปสู่ภัยอันตราย     ก็จงสละละทิ้งเสีย ในทางตรงกันข้าม  เมื่อท่านทราบด้วยตนเองว่า   สิ่งเหล่านี้ไม่ถูกติเตียน นักปราชญ์สรรเสริญเมื่อรับไว้และปฏิบัติแล้ว       จะนำไปสู่ประโยชน์ และความสุข   ก็จงรับไว้ปฏิบัติ" จากคุณ : raccoonjr เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:54:59

ความคิดเห็นที่ 30   ผมมีคำถามคล้ายกับ คห 26 "พลังงานไม่สูญหาย แค่เปลี่ยนรูป" แล้วพลังงานเกิดมาได้ยังงัย หรือจากมวลเป็นพลังงาน แล้วมวลเกิดจากอะไร หรือเกิดจากกลุ่มของอะตอม แล้วอะตอมเกิดจากอะไร จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:02:44 A:99.172.1.90 X:

ความคิดเห็นที่ 31 อย่างนึง ก็การเวียนว่ายตายเกิด หละ ที่ยัง พิสูจน์ไม่ได้ จากคุณ : mint_la *** แล้วจะให้พิสูจน์แบบไหนล่ะครับ ถึงจะเชื่อว่ามีจริงไม่มีจริง วิธีการเดียวของเรื่องแบบนี้คือ ตัวเองต้องตายก่อนจึงจะได้เห็นผล แล้วใครล่ะครับที่จะกล้าพิสูจน์ ---------------------------------------------------------------------------------- ศีล 5 ๑. เว้นจากทำลายชีวิต ๒. เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ ๓. เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๔. เว้นจากพูดเท็จ ๕. เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ดูตรง ข้อ4 นะครับ ๔. เว้นจากพูดเท็จ คือการไม่พูดโกหก  ถ้าสิ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกคือมีเรื่องโกหก แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่า พระธรรมคำสอนต่างๆๆ นั้นเป็นของจริง ทั้งหมด นี่จะไม่ใช้สิ่งที่ขัดแย้ง กันเองหรอกหรือครับ ที่ว่า ไม่สอนให้คนอื่นโกหก แต่ตัวเองดันโกหกเสียเอง ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบ ง่ายๆ เข้าไปอีก ในด้านร่างกายของมนุษย์ ทำไม นักกีฬา บางคนถึงได้วิ่งเร็ว  แต่ทำไมพวกคุณที่มานั่ง พิมพ์คอมฯ อยู่ตอนนี้ทำไมถึงไม่สามารถวิ่งได้เร็วเท่ากับนักกีฬาเหล่านั้นทั้งที่มีร่างกายและแขนขา เหมือนกัน หรือ อย่างนักวิทยาศาสตร์ หลายๆท่านที่สามารถคิดค้นประดิษฐ์ สิ่งของ สารเคมี หลายๆอย่างออกมา พวกเขาก็มีสมอง พวกท่านก็มีสมอง แต่ทำไมพวกท่านไม่สามารถทำแบบนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้ล่ะครับ ศักยภาพของมนุษย์ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ท่านทำไม่ได้ นั้นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้เหมือนกับท่านไม่ใช้เหรอ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:06:12

ความคิดเห็นที่ 32 ขอตอบ #26 #27 #30 ก่อน ไปตั้งกระทู้ถามใหม่เลยดีกว่าไหมคะ มาเบี่ยงประเด็นเดิม จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:06:25

ความคิดเห็นที่ 33   ถึง คห 3/ คห 26 กับ 30 ไม่ได้เบี่ยงประเด็นนะครับ คุณบอกว่า "ก็การเวียนว่ายตายเกิด หละ ที่ยัง พิสูจน์ไม่ได้ " มันก็คือ สังสารวัฏ ใน คห 26 นี่ครับ ผมก็ลองมาเทียบกับ conservation of energy ของวิทยาศาสตร์ มันก็คงขัดกันมั้งครับ เพราะพุทธสามารถหายจาก cycle ได้ แต่ในแง่ของวิทยาศาสตร์ได้แต่เปลี่ยนรูป จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:27:34 A:99.172.1.90 X:

ความคิดเห็นที่ 34 พระพุทธเจ้า ท่านได้กล่าวไว้ดีแล้ว....ครับ จากคุณ : liddo-kun เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:30:01

ความคิดเห็นที่ 35 พูดเรื่องความเชื่อกันเยอะ คือ พุทธเค้าสอนให้ทำจริงนะครับ ไม่ใช่เชื่อ ใครสุขดีอยู่แล้ว ไม่กลัวก็ไม่ต้องทำ ใครกลัวความทุกข์อยู่มากพอ ก็ลองทำดู ก็จะได้รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องเอาความจริงให้ได้เท่ากับ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรอก เอาแค่ให้ตัวเองทุกข์น้อยลงก็พอ กลับมาตอบกระทู้ 1 พุทธ เป็นความจริงสัมบูรณ์ (ผมเข้าใจจากการกล่าวอ้างของพระพุทธเจ้า) วิทย์ เป็นสัมพัทธ์ 2 วิทย์ใช้วัตถุ เป็นเครื่องตรวจวัด พุทธใช้จิต เป็นเครื่องตรวจวัด 3 วิทย์ สนใจเน้นว่า มีวัตถุ อยู่เบื้องหลัง ปรากฏการณ์ต่างๆ พุทธ บอกแค่ว่า ขณะเกิด ปรากฏการณ์ มีจิต ไปสัมผัสกับ รูป ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ระบุถึงเบื้องหลัง ว่าอาจจะเป็นแมททริกซ์หรือเปล่า เมื่อวาน ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เราไม่ได้ตรวจวัด มี อิเล็คตรอนอยู่หรือเปล่า ทางควอนตัมแล้ว ก่อนวัด มันไม่ได้เป็นเม็ด อยู่ที่หนึ่งที่ใดแน่นอน มันมีโอกาสอยู่ในทุกๆที่ กระจายความน่าจะเป็นตามฟังก์ชันคลื่น อย่างนี้จะเรียกว่า มีเม็ด อิเล็คตรอน อยู่หรือเปล่า แล้วแต่จะคิดแล้วกัน แต่พอมี อะไรไปวัด มันจะยุบรวมขึ้นมาเป็นเม็ด ระบุถึงการมีอยู่ ด้วยการวัด เสริมข้อ3 อนิจจัง ทุกข์ขัง ค่อนข้างตรงกัน แต่ทางพุทธ มองว่าเป็น อนัตตา 4 สิ่งมีชีวิต ทางวิทย์ ก็คือวัตถุ ตายแล้วจบ พุทธ ระบุ ถึง การสืบต่อสายกรรม ไปยังวัตถุก้อนใหม่ เหมือน ไฟจากเทียนเล่มหนึ่งดับ ไปติดที่เทียน อีกเล่มหนึ่ง 5 เรื่องภพภูมิ มิติของจักรวาล มนุษย์ดาวอื่นๆ มิติอื่น 6 อย่างเช่นเรื่อง พระสงฆ์ 1250  รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย อย่างนี้เรียกว่า ปราฎิหารย์ ใช่มั้ย หรือถ้า ทำให้ถนนทั้งเส้น เป็นสีเหลืองได้ เรียกว่า ปราฎิหารย์ หรือเปล่า 7 พุทธ เน้นการศึกษาความจริง(เน้นสภาวะจิต) เพื่อการดับทุกข์ วิทย์ประยุกต์ เนื่องจากเนื้อหา เกือบทั้งหมด(ยกเว้นจิตวิทยา) เป็นวัตถุ จึงเน้น การศึกษาความจริง ใช้วัตถุ มาพัฒนาคุณภาพชีวิต ผมก็เก่งวิทย์อยู่ประมาณนึง แต่สิ่งที่ช่วยจัดการกับความทุกข์ของผมได้ คือ พุทธ ไม่ใช่วิทย์ และจะใช้วิทย์ มาพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้จริงๆหรือเปล่า ก็ว่าไป 8 อืม ทางพุทธ ไม่มีเรื่องการย้อนเวลา ไปแก้ไขอดีตแฮะ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:39:18

ความคิดเห็นที่ 36 ต้องขออภัยคุณ mint_la ที่เข้ามาเบี่ยงเบนประเด็นของกระทู้จ้า จากคุณ : zars เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:10:01

ความคิดเห็นที่ 37 ทุกข์ และทางพ้นทุกข์  คือแก่นแท้  เดานะ จากคุณ : ละอองดินทราย เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:12:47

ความคิดเห็นที่ 38 คคห 31 วิธีการนั้นไม่ใช่การพิสูจน์ แต่เป็นคำตอบในรูปของทุรตรรกะอย่างหนึ่ง ขออ้างจากคำนิยามของคุณขลิบตุ้มนะครับ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X7930761/X7930761.html Fallacy of false cause (post hoc ergo propter hoc) - เพราะว่าสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงบังเกิด คนเราต้องมีเหตุที่ทำให้ไม่เท่าเทียมกัน เหตุที่ไม่เท่าเทียมกันคือกรรม อันนี้คือไปสรุปซะแล้วว่าต้องมีเหตุคือกรรม เป็นสิ่งที่ทำมาในภพชาติก่อนเพื่อจะบอกว่าคนเรามีการเวียนว่ายตายเกิด เวลาเราเอาประเด็นศาสนามาพูดในห้องวิทยาศาสตร์ ต้องรู้และต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่เป็นจริงพิสูจน์ได้ และสิ่งที่เป็นความเชื่อซึ่งสมเหตุสมผลแต่พิสูจน์ออกมาไม่ได้ การเชื่อไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การเอาความเชื่อออกมาตู่ว่าเป็นความจริงห้ามเถียง แล้วใช้เหตุผลแบบทุรตรรกะ เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ หลายความเห็นตรงนี้สับสนระหว่างเรื่อง "เชื่อว่าเป็นจริง" กับ "มันเป็นความจริง" การพิสูจน์ทางพุทธศาสนา พิสูจน์แบบพิสูจน์ได้ให้รู้ด้วยตนเอง แต่จะพิสูจน์แทนคนอื่นทำไม่ได้ครับ ถึงแม้มันไม่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ แต่จะไปใช้ทุรตรรกะในการอ้างพิสูจน์ยิ่งเป็นการทำให้ศาสนาเสื่อมเสียมากกว่า ต้องเข้าใจให้ดีว่า พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าขัดแย้ง (พุทธ - วิทย์) ไม่ขัดแย้ง ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ความเชื่อไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง ในขณะเดียวกันมันไม่จำเป็นต้องเป็นความเท็จ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:13:38

ความคิดเห็นที่ 39 คำว่าพิสูจน์ไม่ได้ นี่มันไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียวครับ พิสูจน์ได้ครับ แต่ต้อง พิสูจน์ด้วยตนเอง เพียงแต่คนสมัยนี้เคยชินกับการนั่งดูคนอื่นพิสูจน์ให้ดู จนเป็นอคติฟังหัวไปแล้วว่า "ทุกอย่าง" ต้องพิสูจน์แบบนั้นได้หมด ซึ่งมันไม่จริง ของบางอย่างก็พิสูจน์แบบนั้นไม่ได้ แต่ก็มีวิธีพิสูจน์แบบอื่นอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณ จะมีกำลังขวัญทดลองด้วยตนเองหรือไม่ต่างหาก จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:19:32

ความคิดเห็นที่ 40 คคห 20 โดนลบ พิมพ์ตั้งนาน -_-" ตอบสั้นๆ ถ้ามองในแง่ของศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์ ต่างก็เป็นศาสตร์ที่ศึกษาความจริงของธรรมชาติ คงอยู่ที่ว่า ใครศึกษาได้ถูกต้องที่สุด ส่วนเรื่องผีสางนางไม้เทวดา ปาฏิหารย์ต่างๆซึ่งเป็นเรื่องเล่าในคัมภีร์ บางเรื่องก็พิสูจน์ให้เห็นจริงในยุคปัจจุบันนี้ไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเรื่องเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นจริง ไม่มีจริง คงตอบได้แค่ไม่มีข้อสรุป ใครสรุปว่าพิสูจน์โดยตรงไม่ได้ = ไม่จริง ผมว่าไม่มีความเป็นนักวิทย์ ขัดแย้งไหม .... ถ้ามองลึกๆแล้วไม่ขัด แต่อาจขัดกับจริตความเชื่อส่วนบุคคลบ้าง โดยส่วนตัวผมมีอาชีพทางวิทย์แต่ก็ปฏิบัติธรรม ไม่เห็นขัดแย้งกันเลย เสริมกันอีกต่างหาก ถ้าว่ากันตามคัมภีร์ ศาสนาพุทธเกิดได้ทุกยุคนะครับทั้ง ยุคไฮเทคแบบสุดๆ หรือยุคแบบโบราณสุดๆก็มี ลองค้นเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในอดีตดู พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านเสด็จออกผนวชโดยมีม้าเป็นพาหนะ แต่บางองค์เสด็จออกผนวชด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ปราสาทที่ลอยได้ในอากาศ" ไฮเทคมาก เป็นชาวพุทธสามารถลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ครับ อย่าพึ่งปลงใจเชื่อจนกว่าจะ "สันทิฏฐิโก" รู้เห็นด้วยตัวเอง ลองหาอ่านพระสูตรที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่าเชื่อพระองค์ไหม ดู ปล. จากการอ่านความเห็นของหลายๆท่าน แสดงให้เห็นว่า ที่ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ concept บางอย่างเกี่ยวกับพุทธเลย เช่น เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:23:15

ความคิดเห็นที่ 41 #39 ประเด็นชัดเจนดี สิ่งนี้แหละที่เป็นข้อแตกต่างสำคัญระหว่างศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์ ศาสนาพุทธเน้นการพิสูจน์ เข้าถึงความจริงของสรรพสิ่งด้วยตนเอง บุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในความจริงใดจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตนเองจนรู้เห็นแจ้ง แต่วิทยาศาสตร์เน้นการพิสูจน์ที่เป็นสากลมิใช่ปัจเจก ความจริงทางวิทยาศาสตร์คือความจริงที่พิสูจน์ซ้ำได้โดยผู้ทดลองที่ต่างกัน และการพิสูจน์ซ้ำ (ภายใต้วิธีการศึกษาที่เหมาะสม) ที่ให้ผลเหมือนเดิมถือเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปอ้างอิงได้จนกว่าจะมีการพิสูจน์ใหม่ที่ขัดแย้ง จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:35:57

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าเอาตามพระไตรปฏิก ก็ขัดแย้งกันเรื่อง คนมาจากลิง มังครับ แต่พระไตรปฏิก ยึดถือไม่ได้หรอกครับ มันเคยถูกสังคายนา (ดัดแปลง) ใหม่ โดยคนที่หวังดี แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มาไม่รู้กี่สมัยแล้ว จากคุณ : ดีดลูกคิดแล้ว เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:39:10

ความคิดเห็นที่ 44   เรื่องการพิสูจน์ความจริงในพุทธศาสนานั้น จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ความรู้แจ้งทุกสิ่งในพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน(ปัจจัตตัง) มีลำดับขั้นโดย... ทาน = การสละออกไป(เพื่อลดความตระหนี่อันเป็นคราบใคลของจิดใจ) ศีล  = การตั้งตน(ใจ-จิต)อยู่ในความไม่ประมาท(ลด ละ กิเลส คือความอยากทั้งหลายทั้งปวง) สมาธิ = การมีสติ รู้ เห็น ตามจริง(ตามธรรมชาติที่มันเป็นของมันอย่าง)อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล ปัญญา = ความรู้แจ้งก็จะบังเกิดแก่ผู้นั้น(มากน้อยก็สุดแท้แต่กรรมของสัตว์โลกที่ได้เคยปฎิบัติมา) จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:15:20

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณ คุณ: Darth Prin มากครับ ที่ให้แง่คิด และผมอาจจะ เปรียบเทียบผิดไป จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:23:53

ความคิดเห็นที่ 46 แล้วคุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คนที่สังคายนาในอดีตเหล่านั้นจะแค่รวบรวมอย่างเดียว เวลาคนอยากได้บุญมากๆ ห้ามกันไม่ได้หรอก ใส่อภินิหารเข้าไปไปเยอะๆ นั่นแหละ จะได้แข่งขันกับศาสนาอื่นได้ ช่วยให้มีคนมานับถือมากๆ น่าจะได้บุญเยอะดี แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 19:30:05 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 15:31:46 จากคุณ : ดีดลูกคิดแล้ว เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:30:03

ความคิดเห็นที่ 47 เข้ามาเกาะว่าที่กระทู้แนะนำก่อน เด๋วว่าง ๆ เข้ามาอ่านใหม่ครับ จากคุณ : เตยทะเล เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:13:27

ความคิดเห็นที่ 48   อีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตุพบคือ ส่วนใหญ่คนที่รู้จักพุทธไม่จริง รู้จักพุทธแค่เปลือก เวลาต้องการพิสูจน์อะไรในทางพุทธที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็มักจะชอบยกพระไตรปิฏกมาอ้างกันจนเกร่อ ซึ่งไม่ค่อยจะถูกต้องนักนะครับ ขอแนะนำว่าถ้าอยากจะพิสูจน์พุทธในส่วนที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็ขอเชิญทำความรู้จักกับ"ไตรภูมิกถา" เลยครับ (ยกตัวอย่างเช่นพระพุทธองค์เคยวัดขนาดของตัวอสุจิมาให้ดูตั้งแต่เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วว่ามีความกว้าง-ยาวเป็นประมาณเท่าใด แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะวัดขนาดตัวอสุจิได้เมื่อร้อยกว่าปีมานี่เอง) จะได้เปิดโลกกว้างทางวิทยาศาสตร์กับพุทธได้เป็นเรื่องเป็นราว จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:24:03

ความคิดเห็นที่ 49 ยอมรับกันมั๊ยครับชาวพุทธทั้งหลายว่าส่วนใหญ่ท่าน  นับถือพุทธในแง่   "ความศักดิ์สิทธิ์ "       มีส่วนน้อยมากๆที่นับถือในแง่   "ปรัชญาในการดำรงชีวิตให้มีความสุข" จากคุณ : นายสีเสียด เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:46:55

ความคิดเห็นที่ 50 ก็การเวียนว่ายตายเกิด หละ ที่ยัง พิสูจน์ไม่ได้ ^^ เคยเห็นงานวิจัยที่เก็บข้อมูลการเวียนว่ายตายเกิดที่เก็บสถิติ คนที่ระลึกชาติได้ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์กระบวนการว่าเป็นอย่างไร เหมือนเราเห็นฟ้าผ่า (จากการเก็บข้อมูลนี้) แต่ไม่รู้ว่า ทำไมฟ้าต้องผ่า และกระบวนการทำงานของฟ้าผ่าเป็นอย่างไร เพราะเรายังไม่สามารถ นิยาม ได้ว่า จิตเป็นอย่างไร สภาวะจิตเป็นอย่างไรครับ จากคุณ : the_architect เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:51:37

ความคิดเห็นที่ 51 เรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ในศาสนาพุทธ  หลักๆก็จะเป็นเรื่องจิตวิญญาณ  การเวียนไหว้ตายเกิด  บาปบุญ อะไรพวกนี้ครับ  แล้วก็เรื่องทางปรัชญาต่างๆ ที่จริงมันจะมีพวกที่เชื่อมโยงเรื่องพวกนี้เข้า่ไปเป็นวิทยาศาสตร์  รอสักพัก  เดี๋ยวก็มา จากคุณ : @jirayu (wsteven) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:16:15

ความคิดเห็นที่ 52 +++  ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีคนนับถือศาสนาพุทธมาก  จึงเป็นเมืองพุทธ ผู้นับถือจำนวนมากจะมีความรู้เพียงพื้นๆ    ถ้าเปรียบเป็นคณิตศาสตร์ก็ประมาณ บวก ลบ คูณ หาร ธรรมดาได้    ผู้นับถือไม่ใช่ผู้ปฏิบัติหรือผู้ศึกษา        แม้พระที่วัดก็ศึกษาและปฏิบัติน้อยมาก   ดังนั้นเราจึงมีผู้แตกฉานน้อยมาก ผู้แตกฉานถ้าเปรียบคณิตศาสตรก็  คณิตศาสตร์ชั้นสูงนั่นแล        เวียนว่ายตายเกิดเป็นพฤติกรรมของจิต   คือ เกิดขึ้น   ตั้งอยู่   ดับไป ตัวอย่าง..     ตอนนี้คิดถึงหน้าแฟน(เกิด)  ระยะเวลาหนึ่ง (ตั้งอยู่) อยากกินหมึกย่าง (จิตคิดถึงหน้าแฟนดับไป  เกิดชาติใหม่เป็นอยากกินหมึกย่าง) ระยะเวลาหนึ่ง (ตั้งอยู่)  กลับมาคิดถึงแฟนอีก ( หมึกย่างดับไป  กลับชาติมา เกิดใหม่เป็นคิดถึงแฟน)....ฯฯฯฯฯ จากคุณ : ตาเป๋า เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:16:55

ความคิดเห็นที่ 53 เรื่องนี้สงสัยจะยาว เข้ามารออ่าน จากคุณ : q_cosmo เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:36:18

ความคิดเห็นที่ 54   เรื่องของเรื่องคือ  ยอมรับความจริงได้รึเปล่าเท่านั้นแหละ  ถ้ายอมรับความจริงได้  ศาสนาพุทธเข้าใจได้ไม่ยากเลย   เวลาวิเคราะห์วิจารณ์แบบวิทยาศาสตร์มาก ๆ เข้า  กลายเป็นพวกลบหลู่  ไม่เคารพศรัทธา  ล่อเป้าไปซะฉิบ จากคุณ : ตีสี่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 20:42:40

ความคิดเห็นที่ 55   ถ้าพูดถึงพระไตรปิฎก  ต้องวกเข้าการเมืองครับ ฮาฮา พระไตรปิฎก  แฝงการช่วงชิงอำนาจกษัตริย์ในสมัยก่อนน่ะครับ   จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ล่ะ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ  เช่น  ถ้าคุณอยากให้ชาวบ้านเคารพคุณเหมือนเทวดาจริง ๆ  คุณก็ต้องเขียนตำราให้ชาวบ้านเชื่อว่า  มีสวรรค์ มีนรก มีเทวดา พุทธแท้ ๆ ไม่ได้สอนเรื่องเทวดวิมานอะไรเลย  รู้ ๆ อยู่ว่าเอามาจากพราห์ม ทีนี้  พราห์ม ที่ทำให้ชาวบ้านเชื่อเรื่องเทวดา เอื้อประโยชน์ต่อการสถาปนากษัตริย์ได้ จึงเอาเรื่องของพราห์ม ผสมลงในพระไตรปิฏก แค่นี้แหละ   ทำใจกันได้มั้ยเอ่ย จากคุณ : ตีสี่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 20:46:49

ความคิดเห็นที่ 56 ^ อืมมม... ส่วนคนที่พยายามลากศาสนามาปนกับการเมืองหรือหาที่จับผิดศาสนาก็คือคนที่จ้องจะทำลายสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์น่ะคับ... ทำใจได้มั้ยเอ่ย... -_-" จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 21:03:27

ความคิดเห็นที่ 57   เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่กษัตริย์ฮินดูเมื่อร้อยปีพันปีก่อน  โทษของผมคงโดนห้าม้าแยกร่าง  เชิญนั่งไทม์แมชชีนโดเรมอนไปฟ้องเลย  แบร่  แบร่ ๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : ตีสี่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 21:41:40

ความคิดเห็นที่ 58 เอ่อ... คุณตีสี่คับ คุณยังไม่เข้าใจอะไรหรือป่าว -_-" ทำไมคุณถึงคิดว่าไทยยอมรับศาสนาพุทธที่เผยแพร่มาจากอินเดียคับ??? แล้วทำไมถึงยังใช้ศาสนาพุทธเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของสถาบันพระมหากษัตริย์คับ... แบร่ แบร่ แบร่... จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 21:50:33

ความคิดเห็นที่ 59   ขอแนะนำอ่าน OSHO คุรุวิพากษ์คุรุ อธิบายศาสนาพุทธในมุมมองต่างชาติได้ดี ชาวหว้ากออ่านแล้วจะเข้าใจศาสนาพุทธในมุมมองอื่นบ้าง เพราะมองจากมุมคนไทย ศาสนาพุทธแบบไทยแบกวัฒนธรรม ความเชื่อ พิธีกรรมเยอะมากๆ มองแล้วอาจไม่เข้าใจแก่นของศาสนาตัวเอง แค่รู้ว่ามีคำสอนดีๆเยอะเหมือนกัน .. แก่นธรรมก็ยังอยู่ในเปลือกพุทธแบบไทยๆ มันอยู่ที่ใครจะหยิบส่วนไหนไปใช้ คุณออกจากบ้านอาบน้ำหยิบเสื้อผ้าไม่ได้มีใครบังคับว่าให้หยิบชุดไหนมาใส่ มันอยู่ที่คุณเองที่คุณสนใจมองหาอะไรในศาสนาพุทธ จะหาพระเครื่อง พิธีกรรม สักยันต์ รูปแบบวัดวาอารามความสวยงาม หรือจะเป็นหลักการสูงสุดที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ซึ่งไม่มีในศาสตร์อื่น ทรงไม่ได้เล่าเฉยๆ มีคำอธิบายให้ปฏิบัติตามเพื่อเข้าใจเองด้วย ส่วนคนที่สงสัยในพระไตรปิฏก เค้าก็สงสัยต่อไปเรื่อยๆของเค้า ผมก็เป็นมาก่อน ไม่เชื่อว่ามาจากไหนยังไงอย่างไร แต่ไม่เคยลงรายละเอียดอ่านเอง แต่พอปรัชญาที่ตัวเองชอบ สัจธรรมที่ตัวเองว่าดี ก็รับไว้ คุณสีเสียดแน่ใจหรือว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะท่องคำสอนต่อๆกันมา ลองเดินไปที่วัดแล้วดูชาวบ้านที่นั่งสวดมนต์ดูก่อน มองดูลุงป้าที่มาวัดประจำทุกวันไม่มีใครกางตำราสวดมนต์ แล้วค่อยๆวิเคราะห์ด้วยใจเป็นธรรม ว่าทำกันเป็นระบบจริงๆสวดต่อๆกันมาได้มั้ย??? (แต่ปฏิบัติได้ตามที่สวดเป็นอีกเรื่องนึงนะ) ในศาสนาพุทธมีกลุ่มคนที่เค้าศรัทธามากๆ การสวดมนต์สมัยก่อนมันไม่เกินความสามารถเค้าหรอก แล้วการบันทึกเป็นอักษรช่วงแรก หากไม่ใช่สิ่งสูงค่าล้ำค่าจริงๆเค้าไม่บันทึกไว้หรอก คุณต้องมองบริบทในสังคมสมัยนั้นด้วย แค่ย้อนอดีตไปตอนคุณเป็นเด็กเพิ่งมีการถ่ายรูป ก็คงไม่ถ่ายอะไรมั่วๆตามใจเหมือนยุคที่มีกล้องดิจิตอลในมือถือ ภาพสมัยก่อนนั้นมีค่ามากๆเค้าถึงถ่ายกัน พระไตรปิฏกก็เช่นกัน เมื่อแปลงเป็นอักขระได้เค้าก็บรรจงที่สุดที่จะส่งต่อข้อมูลนี้มาให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา แต่คุณกลับมองแต่มุมว่าต้องมีใครแน่ๆที่มั่วอะไรลงไปได้ง่ายๆเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะศึกษาดีๆซะก่อน พระไตรปิฏกแยกหมวดหมู่ชัดเจน การอธิบายเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าสอนก็อธิบายอย่างชัดทีละปัจจัยย้อนไปมาจนครบ หากนึกไม่ออกลองนึกถึงบทสวดที่วนเวียนหลายรอบ แต่เปลี่ยนคำบางคำแค่คำเดียว แล้วก็ย้อนใหม่ แล้วก็มาสรุป นั้นเป็นสุดยอดในการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการผิดพลาด ในส่วนของเรื่องเล่าเค้าก็แยกหมวดไว้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องเล่าเล็กน้อยเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า (ส่วนตัวเชื่อว่าคนสมัยนั้นมีอะไรที่เกี่ยวข้องได้ยินมาแต่ไม่รู้ที่มาของพระพุทธองค์เค้าก็ไม่กล้าทิ้ง ก็รวบรวมไว้ให้ แต่ก็บอกไว้ชัดเจนว่าเป็นส่วนเรื่องเล่า) ลองอ่านกระทู้นี้เพิ่มดูละกัน "พระไตรปิฎก: สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้ - พระพรหมคุณาภรณ์ " http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8276904/Y8276904.html ส่วนชาววิทย์ที่สนใจแก่นจุดเดียวน๊อก อ่านพระสูตรนี้ละกัน "มหาสติปัฏฐานสูตร" เป็นสูตรปฏิบัติธรรม เหมือนเข้า LAB http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0 ตัดตอนท้ายมาให้อ่าน "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ... ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้ หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น พระอนาคามี ๑ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ" จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:01:41 A:58.64.63.2 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 60   เอ่อ... คุณตีสี่คับ คุณยังไม่เข้าใจอะไรหรือป่าว -_-" ทำไมคุณถึงคิดว่าไทยยอมรับศาสนาพุทธที่เผยแพร่มาจากอินเดียคับ??? แล้วทำไมถึงยังใช้ศาสนาพุทธเป็นหลักในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของสถาบันพระมหากษัตริย์คับ... แบร่ แบร่ แบร่.. *********** ผมตอบคำถามคุณไม่ได้  เพราะไม่ทราบ  ถึงตอบได้ก็ไม่ตอบให้ไปอยู่กะ ดา ตอปิโดหรอก  ผมแค่บอกว่าพระไตรปิฎกที่ชาวพุทธเชื่อถือ ถูกดัดแปลงขึ้นเพื่อสร้างอำนาจของกษัตริย์อินเดียในสมัยก่อน  แค่นั้นเอง   ก็พยายามตอบคำถามของเจ้าของกระทู้นั่นแหละครับที่ว่า ********** ศาสนาพุทธ มีอะไร ที่ขัดแย้งกับ วิทยาศาตร์ในปัจจุบัน หรือว่าพิสูจน์ไม่ได้ บ้าง       ไม่ผิดห้องนะ ^^ อยากทราบจริงๆค่ะ คือเอา ศาสนาพุทธจริงๆ ตาม พระไตรปิฏกเลย *** คำตอบของผมคือ  ถ้าเอาตามพระไตรปิฎก  ก็ไม่ควรมาเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์แต่แรกแล้วครับ  ปล่อยให้เป็นพื้นที่ของความเชื่อความศรัทธากันไป จากคุณ : ตีสี่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:08:57

ความคิดเห็นที่ 61   ขอพูดการเมืองได้มั๊ย-*- ในภูมิภาคนี้เรารับศาสนาพุทธเข้ามาเพราะการอ้างตัวเป็นเทวะ ของเหล่ากษัตริย์เริ่มไม่สมเหตสมผลครับ กอปรกับการขยายดินแดนของอาณาจักร ก็เลยต้องบอกว่าตัวเองเป็นเทพ+พระ เข้าไปใส่ในชื่อ เนื่องจากเรื่อง บุญ-กรรม มันพอจะอ้างแล้ว พวกชนชั้นล่างเข้าใจได้ง่ายๆ ว่าทำไมข้าวที่เราทำต้องส่งให้กษัตริย์ ทำไมลูกเมียและชีวิตของเรา เป็นของของกษัตริย์ เพราะบาปของเราและบุญของเขา พอมันฟังขึ้นเราก็ปกครองได้ง่ายขึ้นอ่ะ ที่มาของศาสนาพุทธในภูมิภาคนี้เป็นแบบนี้อ่ะครับ จากคุณ : mr.soc เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:32:49 A:61.7.173.20 X: TicketID:220387

ความคิดเห็นที่ 62   งั้นนรก-สวรรค์อยู่ตรงไหนล่ะครับ? คนนับถือคริสต์ นี่จะตกนรก- ขึ้นสวรรค์แบบเดียวกับพุทธรึป่าว? บางศาสนากฎ(ศีล)ยังไม่เหมือน หรือขัดแย้งกันเองเลยครับ แล้วบุญ-บาปล่ะ คืออะไร? เราสวดมนต์ไป แล้วรู้ได้ไงครับว่าได้บุญ    ศาสนาใช้ความกลัวในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้มา เป็นเครื่องมือเท่านั้นเองครับ   ถึงจะมีหลายคนชอบโยงศาสนาให้เป็น วิทยาศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีจุดประสงค์เดียวกันเลย ป.ล.ขออภัยที่นอกประเด็นจขกท.ครับ จากคุณ : Animatter เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:33:23

ความคิดเห็นที่ 63 จาก คห.7 "พระไตรปิฎก84000พระธรรมขันธ์  (คำสอนของพระพุทธเจ้า)  ก็หนังสือตู้ใหญ่ๆใบนึงหล่ะครับ คนส่วนใหญ่เชื่อว่า   เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า  ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นโดยสอนแบบท่องจำปากเปล่าเพราะในสมัยพุทธกาลอินเดียยัง ไม่มีตัวอักษรใช้ ถ่ายทอดแบบท่องจำกันมา500กว่าปีจึงได้มีการบันทึกเป็นอักษร" หลักศิลาจารึก สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  24xx ปี ก่อน ซึ่งถูกค้นพบ โดยชาวอังกฤษ (Carbon Test แล้ว) มีการระบุ ด้วยภาษาโบราณ ว่า ข้อความบางส่วน คัดลอก จาก คำภีร์ตามที่ผรั่งบอก (หรือพระไตรปิฎก) แสดงว่าเมื่อ 25xx ปีก่อน มีภาษาหรือยัง คิดเองนะ ความรู้ในหลักศาสนาเพียงกระพี้ ของบางคน นำมาขยายเท่ามหาสมุทร ผิดไปมาก จากคุณ : sumalai_computer เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:33:51

ความคิดเห็นที่ 64   มันเป็นแนวทางนึงนะครับ ที่นักรัฐศาสตร์บางคนพูดไว้ ผมเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าจริงหรือเปล่า....ครับ จากคุณ : mr.soc เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:35:15 A:61.7.173.20 X: TicketID:220387

ความคิดเห็นที่ 65   อยากให้กี๊บ #41   ตามความเห็น 41#  แสดงว่า วิทยาศาสตร์จะมีความถูกต้องจริงๆเฉพาะในปัจจุบันหรือณ.เวลานั้นๆรึเปล่า   ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ยังไม่เกิด วิทยาศาสตร์ทำได้แค่คาดเดาจากข้อมูล และถ้าสิ่งต่างๆไม่เคยอยู่นิ่ง แสดงว่าโอกาสผิดพลาดมันก็ยังมี ทั้งการคาดเดาอดีต-อนาคต และแม้สิ่งที่เคยถูกต้องก็อาจกลายเป็นผิดก็ได้  ข้อนี้เห็นด้วยหรือเปล่าครับ?       ศาสนาพุทธเขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันมากเหมือนกัน เค้าคงให้น้ำหนักสุขทุกข์ของแต่ละคนซึ่งอาจจะเป็นความจริงเฉพาะตัว(ความจริงอื่นๆนอกกรวยแสงเหตุการณ์มันก็อาจจะไม่มีความหมาย) ส่วนเหตุอดีตผลอนาคต เขาก็ให้เป็นเหตุผลแทนข้อมูลหลักฐานแบบวิทย์  ถ้าตอบแบบวิทยาศาสตร์ คุณจะตอบว่ายังไง(ไม่ได้เจาะจง#41) - ระหว่างปัจเจกบุคคลกับมิใช่ปัจเจกบุคคล ใครควรเป็นผู้อยู่ใกล้ปัจจุบันมากกว่ากัน รึว่าเท่าๆกัน - ดวงจันทร์ที่เราไม่ได้มองดูไม่ได้ใส่ใจ มันเป็นสิ่งที่มีหรือไม่มี - ถ้าคุณตาย คุณคิดว่าโลกเราจะยังคงมีและเป็นอยู่ยังงี้ต่อไปหรือเปล่า จากคุณ : ยกกำลัง3 (คำเลาะ) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:37:01

ความคิดเห็นที่ 66   คำสอนเรื่องอจินไตย อย่าไปรู้มันเลย รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดว่าเป็นการสอนที่ปิดกั้นการคิดแบบจินตนาการ และหาเหตุปัจจัยที่มาที่ไป และขัดกับการที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ต่อวงการวิทยาศาตร์ จากคุณ : IDEA เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 01:20:48 A:203.188.31.249 X: TicketID:218828

ความคิดเห็นที่ 67   อ่านดูสำนวนการตอบของหลายๆ คนแล้ว  รู้เลยครับว่า ยังมีคนอีกจำนวนมาก เข้าใจศาสนาพุทธผิดไปมากๆ (และมากๆ) แต่เขายังไม่รู้ตัว เมื่ออ่านการแสดงความเห็นแล้ว รู้เลยว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังเลย เมื่อแสดงความเห็นผิดๆ ก็จะทำให้คนที่ไม่รู้จริง หรือคนที่กำลังเริ่มต้นศึกษา พลอยเข้าใจผิดตามไปด้วย ใช้การ "คาดเดา" เอาแทบทั้งสิ้น  ไม่ได้เกิดจากเอาตัวทุ่มเท เข้าไปศึกษาพุทธแบบ "วางจิตเป็นกลาง" เลย เพียงแต่ศึกษาพุทธ แบบเป็นประวัติศาสตร์ เท่านั้น ... แบบนี้ คงต้องทำอย่างที่พระท่านเรียกว่า "ปล่อยไปตามกรรม" มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่ตอบแบบถูกตรงตามหลักความเป็นจริง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 52 04:45:00 จากคุณ : SuperMox เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 04:27:29

ความคิดเห็นที่ 69 ถาม – มักมีผู้กล่าวว่าถ้าไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ก็ถือว่ายังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้หลงผิด เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ไปสู่อบาย อันนี้จริงเท็จอย่างไร บอกตรงๆว่าอยากเชื่อ แต่ไม่เคยปลงใจได้สนิท ในเมื่อไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นจะให้หลอกตัวเองว่ารู้แจ้งเห็นจริงอย่างไรไหว? เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์นั้น ชาวพุทธเรามีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามีจริงชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อแบบค้านหัวชนฝา ส่วนพวกที่อยู่ตรงกลางๆนั้นผมไม่ค่อยอยากนับ เพราะเมื่อสืบกันลึกๆแล้วพวกที่บอกว่าเผื่อใจไว้ทั้งสองแบบ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่แท้ก็แอบคิดเงียบๆไปในสุดโต่งข้างหนึ่งอยู่ดี ไม่เห็นจะเป็นกลางจริงสักคน และการจะบอกว่าใครเอียงไปทางเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ต้องดูด้วยว่าเป็นจังหวะไหนของชีวิตเขา บางคนสมัยวัยรุ่นท้าตีท้าต่อยกับเทวดามั่วไปหมดเพราะนึกว่าไม่มี เห็นเป็นเรื่องสนุกกับการท้าทายสิ่งที่ตนสรุปว่างมงาย แต่พอโตขึ้นอีกหน่อย ผ่านความประจักษ์แจ้งว่าสิ่งที่ตนไปท้าทายเอาไว้นั้นน่าจะมีจริง และสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาด้วยประสบการณ์แสบๆคันๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนที่มีศีรษะน้อมลงไหว้ได้ทั่วทั้งสิบทิศไป บางรายกลายเป็นคนทรงเจ้าไปเลยก็มี ชาวพุทธกลุ่มที่ ‘เชื่อว่ามี’ นั้น มักแสดงความเป็นห่วงเป็นใยคนไม่เชื่อไปต่างๆนานา เข้าขั้นพยายามบีบบังคับแบบหักดิบทำนองว่า ‘เธอต้องเชื่อ เพราะแค่ไม่เชื่อก็ต้องไปนรกแล้ว’ นี่เป็นคำที่ศาสนิกชนทั้งหลายมักใช้ทิ่มแทงกัน ไปๆมาๆความหวังดีก็กลายเป็นการสาปแช่งคนอื่นโดยไม่ทันรู้สึกตัว คือออกอาการทำนองว่าไม่เชื่อคนรู้ดีอย่างเรา เดี๋ยวสวย เดี๋ยวเจอนรกสถานเดียว เป็นต้น การเชื่อแบบไม่รู้เห็นกับตัวว่านรกสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร แถมไม่รู้จักเหตุแห่งการไปสู่นรกหรือสวรรค์อย่างแท้จริงนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นผู้พ้นจากความน่ากลัวนะครับ เช่นเที่ยวไปสาปแช่งคนที่เขาไม่เชื่ออย่างเราเป็นประจำ ก็ได้ชื่อว่ายังนิยมในการเบียดเบียนด้วยวาจา ยังชอบทิ่มแทงให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บใจ ยังติดนิสัยข่มขู่ให้ใครต่อใครหวาดกลัว อย่างนี้ย่อมเป็นผู้เหมาะที่จะได้รับผลสะท้อนกลับเป็นภพที่อาศัยอันเต็มไปด้วยการเบียดเบียน เต็มไปด้วยการทิ่มแทงให้เจ็บปวด เต็มไปด้วยความน่าพรั่นพรึงอยู่ คนเราชอบมีอำนาจ ชอบรู้สึกว่าตัวเองมีอิทธิพลเหนือคนอื่น แล้วก็มักจะนึกว่าความรู้หรือความปักใจเชื่อของตนคืออำนาจ สามารถเอาไปใช้บีบให้ผู้อื่นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางความเชื่อของตน นี่จึงมักเกิดโศกนาฏกรรมทางวิญญาณ เช่นพร่ำพูดเรื่องนรกสวรรค์ด้วยวิธีขู่เข็ญบังคับหรือสาปแช่ง เมื่อซักไซ้รายละเอียดเข้าก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง เป็นแต่เพียงฟังคนอื่นมา ดังนั้นแทนที่ผู้ฟังจะเกิดความคล้อยตามก็กลายเป็นรู้สึกต่อต้าน พานจะทำให้เห็นนรกสวรรค์เป็นแค่เรื่องของคนงมงายไป หากปรารถนาดีกับผู้อื่นอย่างแท้จริง ต้องเข้าใจให้ได้ว่าการบีบบังคับให้เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงนั้น อาจทำลายศรัทธาเสียก่อนที่ศรัทธาจะเกิดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับยุคที่เต็มไปด้วยความน่าคลางแคลงนี้ เคยมีคนทูลถามพระพุทธเจ้าทำนองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ด้วยวิธีใดดี พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบโดยใจความสรุปคือเมื่อเราเป็นผู้สั่งสมบุญ ย่อมเกิดสุขทางใจในปัจจุบัน และอุ่นใจว่าถ้าชาติหน้ามี เราย่อมเป็นผู้ได้เสวยสุขในสรวงสวรรค์ แต่หากเราเป็นผู้สั่งสมบาป ก็ย่อมเกิดทุกข์ทางใจในปัจจุบัน และต้องหวาดหวั่นว่าถ้าชาติหน้ามี เราอาจไม่แคล้วต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิ นอกจากนั้นท่านยังตรัสไว้ว่าการสร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง มีความสลักสำคัญเหนือการคาดหวัง เหนือการพร่ำวอน เหนือการปักใจเชื่อตามๆกันมา กล่าวคือเมื่อทำเหตุอันควรจะไปสู่สวรรค์ แม้ไม่ปรารถนาหรือพร่ำภาวนาว่าเราจงไปสวรรค์ทุกค่ำเช้า เขาก็จะไปสู่สวรรค์อยู่ดี ตรงข้ามเมื่อทำเหตุอันควรจะไปสู่นรก แม้ปรารถนาหรือพร่ำภาวนาว่าเราจงพ้นนรกทุกค่ำเช้า เขาก็ย่อมต้องไปสู่นรกอยู่ดี แม้จะเป็นผู้มีความเห็นถูกอยู่ส่วนหนึ่ง คือเชื่อว่านรกสวรรค์มี แต่ยังมีความเห็นผิดว่าตนเบียดเบียนคนอื่นไม่เป็นไร การผูกเวรกับใครๆไม่ต้องรับโทษ อย่างนี้เขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ และตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนว่าคติข้างหน้าจะร้ายหรือดี เช่นเดียวกัน หรืออาจจะยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อนรกสวรรค์เสียอีก http://www.dungtrin.com/prepare/archieve/prepare007.htm จากคุณ : semplice เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 04:53:54

ความคิดเห็นที่ 71 ถาม – ทำไมศาสนาพุทธต้องมีเรื่องเวียนว่ายตายเกิดซึ่งไม่มีใครรู้ได้ พิสูจน์ไม่ได้ จะพูดแค่เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ไม่ได้หรือครับ? พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่บอกตามจริงว่าอะไรเป็นอะไร กล่าวคือความจริงมีอยู่แค่ไหน พุทธศาสนาก็บอกไปแค่นั้น เมื่อเป็นศาสนาที่ประกาศความจริง คุณจะไม่ให้พระศาสดาท่านพูดถึงความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาก่อนเกิด และความเป็นไปหลังตายหรือครับ? จริงอยู่ ยอดสุดของพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ แต่เมื่อถามละเอียดเข้าไป ว่าทุกข์คืออะไร อันนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบกัน ว่าตามนิยามของพระพุทธเจ้านั้น ทุกข์คือกายใจนี้ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะความรู้สึกอึดอัดคับอกอย่างเดียว และที่พระพุทธเจ้านิยามไว้ว่ากายใจของพวกเราคือทุกข์ คือภัย คือโทษอันใหญ่ ท่านก็มีเหตุผลสนับสนุน ท่านตรัสว่ากายใจอันไม่เที่ยงนี้ เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่น กายใจหลอกให้สำคัญผิดว่านี่ตัวเรา นั่นของเรา เมื่อสำคัญผิดก็ย่อมก่อกรรมดีบ้าง ก่อกรรมชั่วบ้าง เพื่อให้ตัวเราได้สิ่งที่ต้องการ หรือเพื่อให้ตัวเราได้เป็นอะไรที่อยากเป็น ทั้งที่เห็นกันอยู่ ว่าตัวเราไม่เคยสามารถครอบครองอะไรได้จริง และไม่เคยเป็นอะไรได้ตลอดไป ถามว่ากายใจนี้ได้มาอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่ามาจากการที่ชายหญิงอยู่ร่วมกันหนึ่ง และวิญญาณหยั่งลงในครรภ์มารดาหนึ่ง หากขาดองค์ประกอบใด กายใจอันเป็นที่ตั้งของทุกข์นี้ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ แล้ววิญญาณที่มาหยั่งลงในครรภ์มารดามาจากไหน? มาจากบุญเก่าในภพก่อน บุญเก่าตกแต่งให้เกิดวิญญาณสว่างพอจะเข้าท้องคน! นี่แหละ แค่เริ่มต้นกล่าวถึงที่มาที่ไปของทุกข์ เราก็จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ทุกวันนี้ทางการแพทย์ยังอธิบายเป็นรูปธรรมไม่ได้กันอยู่เลยครับ ว่าด้วยเหตุผลอันใด การร่วมเพศในช่วงมีไข่สุกและไข่ตก บางครั้งจึงติดลูก แต่หลายครั้งไม่ติดลูก และแม้จะพยายามใช้วิทยาการผสมเทียมเข้าช่วย ก็หาได้เกิดเด็กขึ้นมาอย่างแน่นอนไม่ พุทธศาสนาจำเป็นต้องพูดถึงความจริงอันเป็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของกำเนิดมนุษย์ ว่ามีทั้งองค์ประกอบฝ่ายรูป และองค์ประกอบฝ่ายนาม เมื่อเปิดเผยเหตุผลได้ตรงกับความจริง จึงค่อยสมกับเป็นศาสนาแห่งคำตอบและความเข้าใจ และหากเราคุยกันเรื่อง ‘ความทุกข์โทมนัส’ อันเกิดจากสภาพชีวิตแย่ๆ เช่นไปเกิดในประเทศมีสงคราม หรือไปเกิดในถิ่นทุรกันดารอดอยากแร้นแค้น อันนี้ถ้าถามว่า ‘ทำไมต้องเป็นเขา?’ หรือ ‘ทำไมไม่เป็นคุณ?’ คุณจะไม่พบคำตอบใดเป็นเหตุเป็นผลดีไปกว่ากรรมเก่าก่อนเกิด เว้นแต่คุณอยากจะยักไหล่และบอกปัดว่าเป็นเรื่องของชะตากรรม ความจริงก็คือ ถ้าพอใจเชื่อว่าชะตากรรมเป็นสิ่งไร้เหตุผล คุณก็ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกไร้เหตุผล และเป็นไปโดยความบังเอิญทั้งหมดทิ้งสิ้นเช่นกัน พระพุทธเจ้าประกาศชัดเลยว่า ศาสนาของท่านให้เชื่อเรื่องกรรมและผลแห่งกรรม กรรมดีย่อมให้ผลน่ารื่นรมย์ ส่วนกรรมชั่วย่อมให้ผลอันเผ็ดแสบ หากนั่งคุยกันอย่างปราชญ์บนหอคอยงาช้าง เราอาจพูดได้ง่ายๆว่าทุกข์เพราะคิด ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ ชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆสบายๆ แต่หากมองความจริงในโลก จะเห็นว่ามีคนทุกข์โศกจากความอดอยาก ทุกข์โศกจากการถูกคนพาลเหยียบย่ำอย่างไม่เป็นธรรม และทุกข์โศกจากอุบัติเหตุกับอุบัติภัยนานาชนิด ซึ่งต่อให้ใช้โวหารปลอบประโลมดีแค่ไหน อย่างไรก็ช่วยให้บรรดาคนเคราะห์ร้ายทั้งหลายสบายใจขึ้นไม่ได้แน่ .... http://www.dungtrin.com/prepare/archieve/prepare116.htm จากคุณ : semplice เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 05:22:18

ความคิดเห็นที่ 72   ผมว่าแทนที่จะมาโต้ตอบตามในกระทู้ ลองมาศึกษาศาสนาพุทธกันในแง่มุมที่ถูกต้องกันดีกว่าครับ ผมขอแนะนำหนังสือของท่านพุทธทาสชิ้อ "บรมธรรม" จะได้รู้กันจริงซะทีว่า พุทธศาสนาจริงๆแล้วคืออะไร ซึ่งตัวท่านเองก็ไม่ได้ชื่อเรื่องปาฏิหาริย์เลย แต่ในหนังสือเล่มนี้ท่านได้อธิบายไว้ว่าทำไมถึงเขียนเช่นนั้น สังสารวัฏจริงๆคืออะไร มันไม่เหมือนที่คุณๆท่านๆเข้าใจกันเลย ศึกษาจากผู้รู้ดีกว่าครับ ดีกว่ามาเถียงกันเอง แล้วสุดท้ายก็ทางใครทางมัน เข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เชื่อต้องศึกษาครับ ไม่ใช่ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 06:46:51 A:99.36.63.89 X:

ความคิดเห็นที่ 73 # 66 คำสอนเรื่องอจินไตย อย่าไปรู้มันเลย รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดว่าเป็นการสอนที่ปิดกั้นการคิดแบบจินตนาการ และหาเหตุปัจจัยที่มาที่ไป และขัดกับการที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ต่อวงการวิทยาศาตร์ จากคุณ : IDEA // ถ้าว่างงานมาก ก็ช่วยคิดหน่อยสิครับว่าโลกมีกำเนิดมาอย่างไง สัตว์กำเนิดบนโลกได้ยังไง พิสูจน์ให้ผมเห็นหน่อยสิครับ  อยากได้เวลาสักเท่าไรดีล่ะครับ พันปี หมื่น ปีพอไหม จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 09:31:15

ความคิดเห็นที่ 74   มาลองหาค่า K แห่งนิพพาน ด้วยกันดีกว่า ศาสนาพุทธ เชื่อใน การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่า การเข้าถึง พระนิพพาน คือ วิถีทางเดียว ที่จะทำให้ชีวิตทั้งมวล หลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ถ้า กำหนดให้ K คือ ค่าคงที่ แทนจำนวนสิ่งเวียนว่ายตายเกิด ในตอนต้น (ของทุกสากลจักรวาล-ทุกภพ) ก่อนมีการเข้าสู่ นิพพาน เป็นครั้งแรก จำนวนสิ่งเวียนว่ายในทุกจักรวาล-ทุกภพ ในปัจจุบัน = K - จำนวนผู้บรรลุนิพพานแล้ว --- คำถาม 1. ค่า K = ? 2. อะไร เป็นตัวกำหนด ค่า K ให้เท่ากับ เท่านั้น และ ทำไมไม่เป็นค่าอื่น จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 10:32:00 A:58.9.66.232 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 75 คห 73 เป็นความคิดแบบมีอคติ ไม่ต้องถึงพันปีหรอก ร้อยปีก็เหลือเฟือและ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ครับ เรื่องพวกนั้น ไปหลับอยู่หลังเขาที่ไหนหรอครับ หรืออยู่ในกะลา องก์ความรู้บางอย่างอาจดูไม่มีประโยชน์ในวันนี้ แต่สักวันมันอาจมีประโยชน์กว่าที่คุณคิด วิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งคือตอบสนอง Human's curiosity จากคุณ : ชาลีฟ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 16:54:06

ความคิดเห็นที่ 76 ^ ใช้งบไปเท่าไหร่แล้วคับกับความหวังว่ามัน "อาจจะ" มีประโยชน์... -"- แล้วมันไม่มีอะไรที่ "มีประโยชน์" ทำแล้วเหรอคับถึงเอางบไปลงกับเรื่องที่มันมีแต่ความหวังแค่ "อาจจะ" เอามาทำไรได้น่ะคับ...-_-" จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 17:40:57

ความคิดเห็นที่ 77   ความคิดเห็นที่ 62   งั้นนรก-สวรรค์อยู่ตรงไหนล่ะครับ? คนนับถือคริสต์ นี่จะตกนรก- ขึ้นสวรรค์แบบเดียวกับพุทธรึป่าว? บางศาสนากฎ(ศีล)ยังไม่เหมือน หรือขัดแย้งกันเองเลยครับ แล้วบุญ-บาปล่ะ คืออะไร? เราสวดมนต์ไป แล้วรู้ได้ไงครับว่าได้บุญ    ศาสนาใช้ความกลัวในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้มา เป็นเครื่องมือเท่านั้นเองครับ   ถึงจะมีหลายคนชอบโยงศาสนาให้เป็น วิทยาศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีจุดประสงค์เดียวกันเลย ป.ล.ขออภัยที่นอกประเด็นจขกท.ครับ จากคุณ : Animatter ................................................................................................ ลองหยิบเกลือมาก้อนหนึ่ง แล้วลองเอาไปให้ไทย แขก จีน ฝรั่ง ลาว มอญ พุทธ คริสต์ อิสลาม พรามห์ เซน กัดชิมคนละทีดูซืครับ ไม่ว่าคนที่กัดชิมเกลือก้อนนั้นจะเปล่งสำเนียงความเค็มว่าอย่างไร แต่รสชาดความเค็มจากก้อนเกลือก้อนนั้นจะให้รสชาดความเค็มของเกลือที่ไม่มีความแตกต่างกันเลย ฉันใดก็ฉันนั้น นรก-สวรรค์ของทุกเผ่าพันธ์มันก็เหมือนๆกันหมดละครับ เพียงแต่อย่าเอาผัสสะของมนุษย์ที่เป็นเผ่านี้ไปตั้งความถามว่านรก-สวรรค์ของเผ่าอื่นหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะเข้าใจได้ดีขึ้น จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 18:46:45

ความคิดเห็นที่ 78 คห  76 ดูตัวอย่างของเมนเดลสิครับ การทดลองของเมนเดลไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ แล้วเป็นไงครับ ทุกวันนี้การพัฒนาพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นแค่ไหน กล้องจุลทรรศน์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยความอยากรู้ สงสัย ทุกวันนี้กลายเป็นเครื่องมือที่ก่อประโยชน์ให้กับมนุษยชาติมากแค่ไหน ซักวันนึง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งมีชีวิตมีกำเนิดมาอย่างไร เราก็จะเข้าใจคำว่า 'สิง่มีชีวิต' มากขึ้น ประโยชน์ทางการแพทย์มากมายรออยู่ วิสัยทัศน์อันคับแคบเท่านั้นแหละ ที่จะมาตัดสินว่าสิ่งไหน "มีประโยชน์" มากกว่าสิ่งไหน ก็แค่กบในกะลา วิสัยทัศน์อันคับแคบไม่ช่วยให้วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าได้หรอกครับ เทคโนโลยีต่างๆล้วนมีจุดกำเนิดมาจากองค์ความรู้พื้นฐานทั้งนั้น จากคุณ : ชาลีฟ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:15:21

ความคิดเห็นที่ 79 ^ ก็ใช่คับ แต่วิสัยทัศน์อันคับแคบนี้อาจจะทำให้สังคมก้าวหน้าขึ้นโดยปราศจากองค์ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ได้คับ... จากคุณ : Catwater (Catwater) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:33:07

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณทุกๆท่าน ที่เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ จากคุณ : หลานแว่น (mint_la) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 01:17:12