ความคิดเห็นที่ 1 The Drake Equation ประมาณกันว่า ดวงอาทิตย์ของเราเป็นเพียง 1 ในดาวฤกษ์กว่า 400,000 ล้านดวงในเขตของดาราจักรทางช้างเผือก และทางช้างเผือกก็เป็นเพียง 1 ในหลายพันล้านดาราจักรในเอกภพ โลกเราจะโดดเดี่ยวขนาดที่เป็นดาวดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตเชียวหรือ ?  คนแรกๆ ที่ประมาณว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นก็คือนักบินอวกาศชื่อ Frank Drake  เค้าคิดสมการง่ายๆ อันนึงขึ้นมาซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า "Drake Equation" โดยใช้วิธีทางสถิติและความน่าจะเป็น สมการของ Drake เขียนไว้อย่างนี้ครับ N = R * f(p) * n(e) * f(l) * f(i) * f(c) * L โดยที่    * N คือจำนวนอารยธรรมบนดาวเคราะห์ภายในเขคดาราจักรทางช้างเผือกที่สามารถสื่อสารกับเราได้เป็นคำตอบที่เราต้องการ    * R ซึ่งเป็นอัตราของดาวฤกษ์มีการจัดตัวอย่างเหมาะสมพอจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตได้ ขนาดจะต้องไม่ใหญ่เกินไป เพราะดาวฤกษ์ขนาดใหญ่อายุจะสั้น และมักจะกลายเป็น Nova หรือ Supernova ก่อนที่ดาวเคราะห์จะเกิด    * f(p) คือสัดส่วนของดาวฤกษ์ที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร แต่เดิมเราไม่เคยพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะมาก่อน แต่เมื่อเร็วๆ นี้กล้อง Hubble พบหลักฐานของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะแล้วราวๆ 20 ดวง เช่นใน Orion Nebular และ Eagle Nebular    * n(e) คือจำนวนดาวเคราะห์ที่อยู่ในวงโคจรที่เหมาะสมที่จะก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิต (suitable ecosphere) หมายถึงต้องมีสภาพที่ก่อให้เกิดองค์ประกอบชีวเคมีที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น น้ำ  ดาวเคราะห์จะต้องมีขนาดที่พอเหมาะ ถ้าดาวเคราะห์มีขนาดเล็กจะมีแรงโน้มถ่วงไม่มากพอจะทำให้บรรยากาศมีความหนาแน่นพอจะเก็บน้ำไว้ได้ ถ้าดาวเคราะห์ขนาดใหญ่เกินไปจะมีแรงโน้มถ่วงมาก น้ำจะอยู่ในสภาวะความหนาแน่นสูงและมีอุณภูมิสูงเกินไป    * f(l) คือสัดส่วนของดาวเคราะห์ภายใน ecosphere ที่มีสิ่งมีชีวิตจริงๆ    * f(i) คือสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตภายใน ecosphere ที่มีสติปัญญา    *f(c) คือสัดส่วนของสิ่งมีขีวิตที่มีสติปัญญาที่พัฒนาเทคโนโลยีในการสื่อสาร และพยายามสื่อสารออกมาสู่เอกภพ    * L คือช่วงชีวิตของอารยธรรมที่สามารถสื่อสารออกมานอกดาวเคราะห์ได้ สมการของ Drake ไม่ได้บอกว่ามีจำนวนอารยธรรมเท่าไหร่แน่นอน อาจจะมีเพียงโลกเราเท่านั้นที่มีอารยธรรมที่เจริญพอจะสื่อสารออกไปนอกโลกได้ หรืออาจจะมีอารยธรรมอื่นอีกพัน หรือล้านแห่งก็ได้ แต่ก็เชื่อกันว่าเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวในเอกภพ  คำถามที่ตามมาก็คือ หากว่ามีอารยธรรมนอกโลกจริงเราจะค้นหาอารยธรรมนอกโลกนี้ได้อย่างไร ? Frank Drake จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:47:56

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อตกลงข้อหนึ่งระบุว่า นักดาราศาสตร์ที่ลงนามในข้อตกลง จะต้องเก็บข่าวการติดต่อจากนอกโลกไว้เป็นความลับสุดยอด จนกว่าสมาคมดาราศาสตร์และทางการจะได้รับแจ้งข้อมูล นอกจากนี้ข้อตกลงยังกำหนดไว้ว่า ถ้าตรวจจับคลื่นวิทยุใดที่มั่นใจได้ว่ามาจากนอกโลก สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศจะขอให้รัฐบาลทั่วโลก สั่งระงับการใช้คลื่นความถี่ช่วงเดียวกันนั้น ราว ๆ ปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ที่เซติเชื่อว่า พวกเขาได้รับการติดต่อจากนอกโลกเป็นครั้งแรก ในครั้งนั้นนักดาราศาสตร์ นั่งไม่ติดเก้าอี้กันนานถึง 12 ชั่วโมง หลังตรวจพบสัญญาณที่ส่งมาเป็นรูปแบบ จากระยะห่างจากโลกไปในอวกาศถึง 1 ล้านไมล์ สิ่งแรกที่พวกเขาทำ คือการแจ้งข่าวไปยังนักดาราศาสตร์ทั่วโลก ให้ปรับกล้องโทรทรรศน์เพื่อหาจุดกำเนิดสัญญาณ แต่การหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้พ้นระยะที่กล้องโทรทรรศน์จะมองเห็นได้ ดักลาส วากอช เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ส่งสัญญาณตอบกลับเผยว่า ขณะที่เซติกำลังเจรจากันภายในว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป สถานการณ์กลับพลิกผันเพราะทีมงานยืนยันได้ว่า แท้จริงแล้วสัญญาณดังกล่าวถูกส่งมาจากดาวเทียมตรวจสอบดวงอาทิตย์ คือ SOHO ซึ่งโคจรอยู่ห่างจากโลกราว 1 ล้านไมล์ ภาพจาก www.hilobrow.com แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 17:54:05 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:53:02

ความคิดเห็นที่ 3 ข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งมี ชีวิตจากนอกโลกถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันบ่อยขึ้น เมื่อมีการจัดตั้งองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐฯ หรือองค์การนาซา ขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 นาซาลงนามร่วมกับสถาบันบรูกกิงส์ สถาบันของเหล่านักคิดชั้นนำของสหรัฐฯ เพื่อหาคำตอบให้คำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับจุดกำเนิดของจักรวาล ในรายงานความหนากว่า 100 หน้าที่รู้จักกันในชื่อ "รายงาน บรูกกิงส์" นั้น มีการเอ่ยถึงมนุษย์ต่างดาวเพียงเล็กน้อย แต่ข้อความสั้น ๆ ในนั้นสร้างภาพลักษณ์มนุษย์ต่างดาวที่ไม่น่าพิศมัยสักเท่าไร เพราะเป็นการเตือนว่าการพานพบกับสิ่งมีชีวิตที่มีวิถีแตกต่าง ทั้งในด้านกายภาพและความคิด จะนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคมมนุษย์ได้ ปี 1972 บรรดาวิศวกรวุ่นวายอยู่กับการส่งยานอวกาศไปนอกวงโคจรโลกเป็นครั้งแรก นาซาตัดสินใจเมินเรื่องอันตรายของมนุษย์ต่างดาวที่ระบุไว้ในรายงานบรูกกิงส์ และจัดทำบัตรเชิญให้มนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกส่งไปพร้อมกับยานอวกาศ ไพโอเนียร์ 10 จดหมายเชิญใบนั้นทำเป็นแผนที่จากอะลูมิเนียมชุบทอง ระบุตำแหน่งของโลกในจักรวาล ไม่มีใครรู้ว่าบัตรเชิญสุดพิเศษจะถึงมือผู้รับเมื่อไร จดหมายเชิญถึงมนุษย์ต่างดาวขนาด กว้าง 6 นิ้ว ยาว 9 นิ้วที่ทำอะลูมิเนียมชุบทองติดไปกับยานไพโอเนียร์ 10 เพื่อบอกตำแหน่งของโลกว่าตั้งอยู่ที่จุดใดในอวกาศ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:58:18

ความคิดเห็นที่ 4 นับตั้งแต่สมัยโบราณ มนุษย์ได้เคยตั้งคำถามว่า จักรวาลของเรามีหรือไม่มีสิ่งมีชีวิตต่างดาว ถ้าเราตอบว่ามี หน้าตา รูปร่างและ นิสัยของชีวิตต่างดาวเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร จะคล้าย จะแตกต่างหรือจะเหมือนมนุษย์บนโลกเพียงใด เราจะติดต่อสื่อสารกับมันได้หรือไม่ หรือโอกาสที่เขาเหล่านั้นจะติดต่อกับเราเป็นไปได้เพียงใด เราจะติดต่อกันด้วยวิธีใด และจะเข้าใจกันหรือไม่ ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่บรรดานักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อนไม่มีคำตอบ คำตอบทั้งหลายที่ได้จึงเป็นเพียงความเชื่อ แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทุกวันนี้กำลังช่วยให้มนุษย์เราสามารถทดสอบความคิดหรือความงมงายต่างๆ ได้ดีขึ้นมาก ณ วันนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังศึกษาหาคำตอบสำหรับ คำถามนี้อย่าง จริงจังมาก เช่น นักชีวเคมีกำลังครุ่นคิดที่จะตอบให้ได้ว่า ในการที่จะให้สิ่งมีชีวิตต่างดาวอุบัตินั้น ดาวดวงนั้นๆ จะต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนอะไรบ้าง นักชีววิทยาได้พยายามตอบคำถามว่า ถ้าดาวมีสิ่งมีชีวิต สภาพแวดล้อมบนดาวจะทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นๆ มีวิวัฒนาการในทิศทางใด ส่วนนักฟิสิกส์เองได้พยายามคำนวณหาโอกาสความเป็นไปได้ที่ดาวในกาแล็กซีหนึ่งๆ จะมีอารยธรรม และนักปรัชญาก็กำลังตอบคำถามที่ว่า ถ้ามนุษย์โลกติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว การสื่อสารถึงกันจะมีความสำคัญต่อกันและกันเพียงใด เป็นต้น นักปรัชญาชาวกรีกในสมัยโบราณเชื่อมั่นว่า ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และดาวทุกดวงในสวรรค์มีมนุษย์อาศัยอยู่ แม้แต่ Aristotle เองก็เคยเชื่อว่า มีมนุษย์อาศัยอยู่บนดวงจันทร์ ในบทความเรื่อง The Face that is in the Orb of the Moon ที่ Plutarch เขียน มีใจความว่า เมื่อโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในบรรดาดาวหลายดวงของจักรวาล โลกก็ไม่มีความจำเป็นพิเศษใดๆ ที่จะต้องเป็น ดาวดวงเดียวเท่านั้นที่มีมนุษย์อยู่ Plutarch เองก็เชื่อว่าเมื่อดวงจันทร์มีคุณลักษณะหลายประการที่คล้ายโลก ดวงจันทร์ก็สมควรจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วย เพราะถ้าดวงจันทร์ไม่มีสิ่งมีชีวิตแล้ว โลกที่มีมนุษย์มีดวงจันทร์เป็นบริวารไว้เพื่อเหตุผลใด ส่วนในบทความเรื่อง De Rerum Nature ของ Lucretius ก็มีแนวคิดเช่นเดียวกับของ Plutarch ว่ามนุษย์ต่างดาวมีทั้งที่เหมือนและแตกต่าง จากมนุษย์โลก จักรวาลของ Aristotle จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:03:54

ความคิดเห็นที่ 5 ซึ่งแนวคิดของบุคคลทั้งสองนี้ได้เป็นปัญหาที่ผู้คนในสมัยต่อมาได้ถกเถียงกันนานถึง 1400 ปี จนกระทั่งถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 บาทหลวง St. Augustine ผู้ทรงอำนาจในคริสต์ศาสนาได้ประณามความคิดที่ว่า ในจักรวาลมีโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่หลายโลก ดังนั้นคำสอนของ Aristotle ที่ว่า โลกเป็นเพียงดาวดวงเดียวเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ จึงได้ถูกนำมาเผยแพร่ในกรุงปารีสอีก ผู้คนจึงพากันคล้อยตามและฝังใจเชื่อเช่นนี้อีกคำรบหนึ่ง จนทำให้คนที่มีความเห็นแตกต่าง เช่น Giordano Bruno ได้ถูกพิพากษา โดยศาลศาสนาว่า เป็นมนุษย์นอกรีตที่ต้องถูกเผาทั้งเป็น เมื่อเขาอ้างว่าในจักรวาลมีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่บนดาวต่างๆ มากมาย ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในอีก 700 ปีต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าจักรวาลมีดาวฤกษ์ประมาณ 1030 ดวง และถ้าดาวฤกษ์หนึ่ง ดวงในล้านดวงมีโลกที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่หนึ่งโลก นั่นก็หมายความว่า จักรวาลมีโลก 1024 โลก ที่มีสิ่งมีชีวิต และถ้าโอกาสที่สิ่งมีชีวิตนั้น เป็นมนุษย์มีค่าเท่ากับหนึ่งในล้านล้าน นั่นแสดงว่า จักรวาลมีโลกมนุษย์ทั้งหมดถึง 1012 โลกหรือล้านล้านโลก และนี่ก็คือเหตุผล ที่นักวิทยาศาสตร์ที่ได้พยายามหาหนทางติดต่อกับมนุษย์เหล่านั้นอยู่ โดยใช้ชื่อโครงการดังกล่าวว่า Search for Extraterrestrial Intelligence หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า SETI แต่ เมื่อเร็วๆ นี้ Ernst Mayr แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ในสหรัฐอเมริกา ได้ประเมินโอกาสความสำเร็จในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวของโครงการว่าเท่ากับ ศูนย์ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ นักเคมีได้รู้มานานแล้วว่า โมเลกุลที่มีขนาดเล็ก เช่น amino acids, purines และ pyrinidines สามารถอุบัติได้บนดาวเคราะห์ ต่างๆ ในจักรวาล แต่โอกาสที่โมเลกุลเล็กๆ เหล่านี้จะมารวมตัวกับ nucleic acid เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ของสิ่งมีชีวิตนั้น เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถประเมินได้อย่างมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นได้มากหรือน้อยเพียงใด และเมื่อโมเลกุลชีวิตเหล่านี้บังเกิดแล้ว มันจะวิวัฒนาการไปสู่สิ่งมีชีวิตรูปแบบใด นอกจากเหตุผลนี้แล้ว Mayr ก็ยังมีความเห็นอีกว่าสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการ ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต และทำให้ชีวิตนั้นๆ ดำรงอยู่ได้ เพราะถ้าดาวเคราะห์โคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากไปมันจะร้อนจัด จนสิ่งมีชีวิตตายหมด และถ้าดาวเคราะห์โคจรห่างจากดาวฤกษ์มากไป อุณหภูมิของดาวจะเย็นจัด จนสิ่งมีชีวิตต้องตายสิ้นเช่นกัน นั่นคือในการที่ดาวเคราะห์ ดวงใดจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะต้องโคจรอยู่ไม่ใกล้หรือไม่ไกลจากดาวฤกษ์นัก คือจะต้องอยู่ไกลพอดี นอกจากนี้ดาวเคราะห์จะต้องมีมวลมากพอที่จะดึงดูดโมเลกุลของอากาศไม่ให้หลุด หนีหายไปในอวกาศ เพื่อทำให้สิ่งมีชีวิตที่มี สติปัญญาสูงมีบรรยากาศสำหรับหายใจ และเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากภัยรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตที่เป็น อันตราย เหล่านี้เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ประเมินโอกาสที่ดาว เคราะห์ดวงนั้นๆ จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 18:08:47 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:08:12

ความคิดเห็นที่ 6   ปาดทันมั้ยนี่ จากคุณ : Animatter เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:14:00

ความคิดเห็นที่ 7 ซึ่ง Ernst Mayr ได้เสนอความเห็นว่า ในการคำนวณหาโอกาสการพบสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมนั้น นักวิทยาศาสตร์จะต้องพิจารณาประวัติความเป็นมาของสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นฐานในการเปรียบเทียบด้วย และเขาก็ได้พบว่า ถ้าเขาเปรียบเวลา 4500 ล้านปี ซึ่งเป็น ตัวเลขอายุโลกให้เป็น 1 ปีเต็มๆ เขาก็จะได้ตารางเวลาแสดงประวัติของเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกดังนี้    วันที่ 1 มกราคม เป็นวันที่โลก ถือกำเนิด    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่สิ่งมีชีวิตเริ่มถือกำเนิด    วันที่ 21 พฤศจิกายน เป็นวันที่สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังถือกำเนิด    วันที่ 12 ธันวาคม เป็นวันที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิด    วันที่ 26 ธันวาคม เป็นวันที่สัตว์ประเภทลิงถือกำเนิด    และเวลา 5 ทุ่ม 56 นาทีของวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่มนุษย์ Homo Sapiens ถือกำเนิด ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขหยาบๆ แต่ก็น่าสนใจ เพราะถ้าเรารู้ว่าหลังจาก ที่โลกถือกำเนิดเมื่อ 4500 ล้านปีก่อน แล้วอีก 700 ล้านปีต่อมา สิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกก็ถือกำเนิด เมื่อวันเวลาผ่านไปอีกนาน 3000 ล้านปี โลกก็ยังเป็นโลกที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่น่าสนใจอาศัยอยู่เลย จนกระทั่งถึงเมื่อ 800 ถึง 1000 ล้านปีก่อนพืชและสัตว์เซลล์เดียว ได้เริ่มเกิด แล้วหลังจากนั้นก็ถึงยุค Cambrian ซึ่งเป็นยุคที่มีสัตว์นานาชนิดถือกำเนิด แต่ก็มีเพียงสัตว์เพียงประเภท chordates เท่านั้น ที่วิวัฒนาการต่อไปเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา และกว่า สติปัญญาจะบังเกิดได้ สิ่งมีชีวิตก็ต้องการเวลาอีกถึง 500 ล้านปี อันจะเห็นได้จากการมีปลาในยุค Paleozoic กระบวนการ วิวัฒนาการได้ชักนำให้ปลากลายสภาพเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งได้แก่ เต่า ตะกวด งู จระเข้ ไดโนเสาร์ และสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ จากนั้นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนี้ก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นนก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในที่สุด แล้วหลังจากนั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็ได้วิวัฒนาการต่อไปเป็นชะนี อุรังอุตัง ชิมแปนซี กอริลลา และมนุษย์ Homo Sapiens เมื่อประมาณ 500000 ปีก่อนนี้เอง Ernst Mayr จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:15:47

ความคิดเห็นที่ 8 ข้อมูลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าถึงแม้สิ่งมีชีวิตจะมีหลากหลายรูปแบบถึงพันๆ ล้านชนิด แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่วิวัฒนาการไปเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญา ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานกว่า 4,000 ล้านปี จึงทำได้สำเร็จ และเมื่อเรากล่าวถึงความหมายของ คำว่าสติปัญญา คนหลายคนอาจมีความเห็นเรื่องนี้ไม่ตรงกัน เช่น หลายคนคิดว่าคนที่มีสติปัญญาคือคนที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ได้ แต่มนุษย์ Neanderthal ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 100,000 ปีก่อนนี้ ทั้งๆ ที่มีสมองขนาดใหญ่เท่าคนปัจจุบัน ก็หาได้มีอารยธรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไม่ คนกรีก คนจีนหรือคนเผ่ามายาที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนปัจจุบันทุกประการ ก็ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี สื่อสารหรือคมนาคมที่เราใช้กันทุกวันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราเองก็เพิ่งสร้างเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยเมื่อ 100 ปีก่อนนี้เอง ดังนั้น Ernst Mayr จึงมีความเห็นว่า ในการที่อารยธรรมสองอารยธรรมที่ต่างกัน จะสื่อสารถึงกันและกันได้ อารยธรรมทั้งสองจะต้องเจริญ เติบโตพร้อมๆ กัน เช่น สมมติว่ามีอารยธรรมต่างดาวอุบัติอยู่บนดาวดวงหนึ่งในกาแล็กซีทางช้างเผือก และอารยธรรมนั้นได้ค้นพบว่า โลกมีสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการบังเกิดของสิ่งมีชีวิต ปราชญ์ของอารยธรรมนั้นจึงได้ส่งสัญญาณ มายังโลกเมื่อ 1,000,000 ปีก่อนนี้ และเมื่อไม่ได้ยินสัญญาณตอบแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงหยุดส่งสัญญาณเมื่อ 100 ปีก่อนนี้เอง จากนั้น เขาก็ได้สรุปความเห็นว่าโลก ไม่มีมนุษย์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดอาศัยอยู่เลย ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าในความพยายามที่จะติดต่อกับมนุษยต่างดาวนั้น ความสามารถในการส่งและรับสัญญาณของ อารยธรรมทั้งสองจะต้องคล้องจองกัน นั่นคือ ในขณะที่อารยธรรมหนึ่งส่งสัญญาณ เป็นอีกอารยธรรมหนึ่งก็ต้องมีความสามารถ ในการรับสัญญาณนั้นเป็นด้วย การติดต่อจึงจะเป็นไปได้ ดังนั้น Mayr จึงมีความเห็นว่า ในภาพรวมเมื่อดาวต่างๆ มีโอกาสจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้อย และโอกาสที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะฉลาดปราชญ์เปรื่องน้อย โอกาสที่น้อยนิดนี้ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่มนุษย์โลกจะติดต่อกับมนุษย์เหล่านั้น ได้ก็ยิ่งน้อยกำลังสอง ลงไปอีกคือเท่ากับศูนย์ จะอย่างไรก็ตาม แม้โอกาสการติดต่อจะมีมากเท่ากับโอกาสการพบเข็มในมหาสมุทร มนุษย์ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะมนุษย์ตระหนักดีว่า ในการค้นหาสัญญาณ สังคม เทคโนโลยี จริยธรรมและกฎหมายต่างดาวนั้น เราต้องใช้เวลาในการค้นหากันนานๆ ไม่ใช่ทำการ ค้นหาแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ คือเพียงแค่ 2-3 ปี แต่การค้นหาอาจจะกินเวลานานถึง 100 ปี หรือนิจนิรันดร์ เพราะถ้ามนุษย์ต่างดาวมี เราก็อยากจะรู้ว่าบนดาวของเขานั้น 2+2 เท่ากับ 4 หรือไม่ และ E = mc2 หรือไม่  และเราสามารถนำเอาอารยธรรมต่างดาวเหล่านั้นมาใช้บนโลกได้หรือไม่ และที่สำคัญที่สุดสำหรับการที่เรารู้ว่า จักรวาลนี้มีมนุษย์ต่างดาวคือ เรามีเพื่อนร่วมจักรวาลครับ Frank Drake ทำการทดลองโดยใช้สายอากาศขนาด 85 ฟุตในการสังเกตดาวฤกษ์สองดวงที่อยู่ห่างจากโลกราวๆ 12 ปีแสง การทดลองที่ Drake ทำนี้เรียกว่า Project Ozma จัดทำในปี 1960  ในปัจจุบันมีโครงการ SETI ขนาดใหญ่อยู่สองโครงการคือ Project Phoenix ของ SETI Institute และ โครงการ SETI@home ของ University of California at Berkeley จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:21:46

ความคิดเห็นที่ 9   แวะมาปาดครับ ^^ จากคุณ : อยากมาเมนท์ (อยากมาเมนท์) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:24:36

ความคิดเห็นที่ 10 วันนี้ทิ้งท้ายชาวหว้ากอด้วยถาม-ตอบจาก ร.ศ.ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล ครับ ถาม-ทำไมมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์ มักจะคล้ายมนุษย์เรามาก หรือมิฉะนั้น ก็จะคล้ายส่วนผสมระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เช่น ตัวเป็นมนุษย์ แต่หัวเป็นสัตว์ ในนิยายวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหลายเรื่อง รู้สึกว่ามนุษย์ต่างดาวจะแปลกกว่าในภาพยนตร์ หลายเรื่อง อ่านแล้วก็ยังนึกภาพไม่ออกนักว่า มนุษย์ต่างดาว หน้าตาหรือรูปร่างหรือตัวตน เป็นแบบไหน ? ตอบ-เป็นความจริงครับว่า มนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์กับในนิยายวิทยาศาสตร์ มักจะไม่ เหมือนกัน หรือไม่เหมือนกันมากๆ เลยล่ะครับ เรื่องนี้ ใหญ่ๆ แล้ว เป็นเพราะว่า นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ จะมีความเป็นอิสระเสรีในการนำเสนอภาพของมนุษย์ต่างดาวมากกว่าผู้สร้าง ภาพยนตร์ และเป็นความท้าทายของนักเขียนมากกว่าผู้สร้างภาพยนตร์ ที่จะสร้างมนุษย์ต่างดาวให้แปลกอย่างที่จินตนาการของผู้เขียนจะสามารถสร้าง ขึ้นมาได้ ถ้าถามว่า แล้วทำไมนักเขียนจึงมีความเป็นอิสระในการสร้างมนุษย์ต่างดาวให้แปลกได้ มากกว่าผู้สร้างภาพยนตร์ คำตอบหลักๆ ก็คือ เป็นเรื่องราวของธรรมชาติ ประเภทของสื่อ กับผู้เสพย์ (คือผู้อ่านในกรณีของนิยายวิทยาศาสตร์ และผู้ชมในกรณีของภาพยนตร์) สำหรับนิยายวิทยาศาสตร์ จุดแข็งของนิยายวิทยาศาสตร์ในการนำเสนอเรื่องต่างๆ คือความแปลกใหม่ ผู้อ่านจะมีความคาดหวังในการอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ที่จะได้สัมผัสกับความแปลก ใหม่ของมนุษย์ต่างดาวจากจินตนาการของผู้เขียน โดยไม่กังวลหรือถูกผูกมัดว่าจะต้องเข้าใจทุกอย่างที่อ่านอย่างง่ายๆ หรือไม่ ... แต่สำหรับภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ ถึงแม้ผู้สร้างจะต้องการนำเสนอภาพของมนุษย์ต่างดาวให้แปลกใหม่แค่ไหนก็ตาม ก็ถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริงของภาพยนตร์ว่า ผู้สร้างภาพยนตร์ก็ต้องนำเสนอภาพของมนุษย์ต่างดาวที่ผู้ชมจะรับหรือเข้าใจ ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวได้อย่างไม่ยากเกินไป หรือต้องใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วย ดังกรณีของนิยายวิทยาศาสตร์ ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ใหญ่เสมอสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่าง ดาวไม่ว่าจะแปลกใหม่แค่ไหนก็ตาม แต่ประเด็นใหญ่ก็คือ ต้องสร้างมนุษย์ต่างดาวที่ผู้ชมจะเข้าใจหรือทราบได้อย่างไม่ยากเย็น ในขณะเดียวกัน ก็ต้องสร้างมนุษย์ต่างดาวให้น่าสนใจสำหรับผู้ชมด้วย นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้มนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์มักจะออกมาในลักษณะที่ คล้ายมนุษย์โลกมาก หรือมิฉะนั้น ก็สร้างมนุษย์ต่างดาวให้มีลักษณะผสมระหว่างมนุษย์โลกกับสิ่งมีชีวิตอย่าง อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ครับ อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่า ไม่มีภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่ผู้สร้างตั้งใจจะสร้างมนุษย์ต่างดาวให้แปลก ท้าทายจินตนาการของผู้ชมด้วยดังกรณีของนิยายวิทยาศาสตร์เลยหรือ ? คำตอบคือ ก็ไม่ใช่ ... เพราะมีภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ประเภทที่เน้นความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์จริงๆ ไม่ยึดติดกับกรอบของการจะต้องสร้างภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่าง ดาวให้ดูง่าย ให้ผู้ชมติดตามได้ง่าย แต่ก็มักจะเป็นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ประเภทที่เน้นกลุ่มผู้ชมทั่วไปครับ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:29:58

ความคิดเห็นที่ 11   ชอบจดหมายเชิญอะ เจ๋งดี / โพสแล้ว กลับไปอ่านต่อเงียบๆ จากคุณ : อยากมาเมนท์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:35:07

ความคิดเห็นที่ 12 ตามมาอ่านครับ กำลังคิดถึงเลย จัดไปครับผม จากคุณ : knine2five เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:41:43

ความคิดเห็นที่ 13   ความเห็น 8 อธิบายเห็นภาพมากกๆ จากคุณ : อยากมาเมนท์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:50:53

ความคิดเห็นที่ 14 ถาม-มาถึงวันนี้ อยากทราบว่า อาจารย์คิดอย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ในประเด็นว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ? ยูเอฟโอมีจริง หรือไม่ ? ตอบ-สรุปตรงๆ สำหรับความคิดเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวคือ ผมเชื่อครับว่า มนุษย์โลก มิได้อยู่ตามลำพังในจักรวาลหรอกครับ นั่นคือ ผมเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง ส่วนเหตุผลของผม ก็คือ ความรู้ ความเข้าใจ และข้อมูลหลักฐานถึงล่าสุด เกี่ยวกับกำเนิดและการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา และในอวกาศ ยิ่งสนับสนุนโอกาสความเป็นไปได้ของการมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ร่วมจักรวาลกับ มนุษย์โลกเช่นเรา ตัวอย่างข้อมูลหลักฐานที่สนับสนุนโอกาสที่มนุษย์โลกมิได้อยู่ตามลำพังใน จักรวาล คือ การค้นพบหลักฐานโมเลกุลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต (อย่างน้อย ตามที่มนุษย์หรือนักวิทยาศาสตร์โลกเข้าใจ) ในอวกาศ การค้นพบสิ่งมีชีวิตบนโลกเอง ในสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น หรือมีชีวิตอยู่ได้ ข้อมูลและความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับกำเนิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสรุปออกมาว่า ดูเหมือนชีวิต (บนดาวเคราะห์ต่างๆ) จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก แต่พัฒนายาก ดังกรณีของดาวอังคาร ซึ่งดูเหมือนว่า ในอดีตเคยมีสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นบนดาวอังคาร แต่ชีวิตบนดาวอังคารไม่พัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ ซับซ้อนขึ้น โตขึ้น หลากหลายขึ้น แล้วก็การค้นพบ (อย่างอ้อมๆ) ดาวเคราะห์ของดาวฤกษ์ ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งล่าสุดมีหลักฐานเป็นการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา รวมแล้ว  มากกว่าหนึ่งร้อยดวง อย่างแน่นอน มนุษย์ต่างดาว ถ้ามีอยู่จริง ก็ต้องกำเนิดเกิดขึ้นและพัฒนาเป็นชีวิตที่ทรงปัญญา ถึงขั้นเรียกเป็นมนุษย์ได้ บนดาวเคราะห์บริวารของดาวฤกษ์บางดวง ดังนั้น การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ จึงเป็นทั้งการยืนยันความเข้าใจของวงการวิทยาศาสตร์โลกว่า ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร และโอกาสที่จะมี สิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นร่วมจักรวาลกับโลกก็มีอยู่มาก สำหรับคำถามว่า ยูเอฟโอ มีจริงหรือไม่? คำตอบของผมคือ ต้องแยกแยะระหว่างความ หมายของยูเอฟโอว่าหมายถึงอะไรกันแน่ กล่าวคือ ยูเอฟโอ หมายถึงสิ่งบินลี้ลับ (UNIDENTIFIED FLYING OBJECT) ที่ไม่ทราบกันว่า คืออะไรกันแน่ หรือ หมายถึงจานบินหรือยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว เมื่อแยกแยะอย่างนี้แล้ว ผมก็มีคำตอบที่ ชัดเจน สำหรับความหมายแรกของ ยูเอฟโอ (เป็นสิ่งบินลึกลับ) ว่า ยูเอฟโอมีจริง เพราะมีรายงานถึงสิ่งบินลึกลับ ที่ปรากฏให้เห็นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยของเราด้วย เป็นจำนวนนับเป็นหลายหมื่นรายงาน ซึ่งอย่างแน่นอน เมื่อได้รับรายงานที่ชัดเจน ก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ ... แต่ถ้ายูเอฟโอ หมายถึง ยานบิน หรือยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งถ้าเป็นของจริง ตรวจสอบอย่างเชื่อถือได้ว่า ได้เกิดขึ้นจริง ก็ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญว่า มนุษย์ต่างดาว ได้เดินทางมาถึงโลกเราแล้ว โดยภาพสรุปรวม รายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอทั่วโลกเป็นจำนวนหลายหมื่นราย ประมาณ 85 % ก็ตรวจสอบกันมาแล้วว่า ไม่ใช่ยูเอฟโอตัวจริง นั่นคือ มีคำอธิบายเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ยานบินของมนุษย์ต่างดาว ยังเหลือประมาณ 15 % ซึ่งยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นยูเอฟโอของจริงหรือไม่ ด้วยเหตุผล ยังขาดข้อมูลหลักฐานที่จะตรวจสอบต่อไปได้ หรือ ไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจังครับ ที่มา www.seti.org en.wikipedia.org/wiki/SETI www.kitty.in.th/index.php?room=article&id=86 www.artsmen.net th.wikipedia.org/wiki/SETI@home เรื่องดาราศาสตร์ /ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน สําหรับวันนี้ลาไปก่อนครับชาวหว้ากอทุกท่าน ขอให้มีความสุขในสุดสัปดาห์ครับ.Terran จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:52:53

ความคิดเห็นที่ 15 ในช่วงชีวิตของเราเอง จะทันเห็นจักรวาลอื่น และเอเลี่ยนมั้ยน้อ... ขอบคุณ Mr. Terran กับ เรื่องราวที่น่าสนใจ จากคุณ : borderer (borderer) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 19:34:27

ความคิดเห็นที่ 16   ผมเคยจินตนาการว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง แต่อยู่ในรูปของพลังงานในแบบเฉพาะของดาวแต่ละดวง(ต่างมิติกัน) ต่างฝ่ายต่างไม่มีโอกาสเวียนมาพบกัน ฉะนั้นต่อให้มนุษย์โลกพยายามค้นหาดาวออกไปไกลแสนไกลแค่ไหนก็หาไม่เจอ แต่เมื่อไหร่ที่ชีวะในรูปพลังงานมีการค้นพบ เมื่อนั้นจะรู้ว่า ดาวเกือบทุกดวงล้วนมีสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้ก็เป็นได้ ^ ^ จากคุณ : Mr. k เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 19:58:33 A:61.90.69.23 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 17 มนุษย์ต่างดาวกินอะไรเป็นอาหาร แล้วทำไมถึงไม่ใส่เสื้อผ้าน้า ?? จากคุณ : Punkin'z pAPOr เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 20:05:07

ความคิดเห็นที่ 18 รู้ได้ไงว่าเค้าไม่ใส่เสื้อผ้า เค้าอาจจะใส่โค้ทหนังสัตว์ราคาแพงของอามานี่ก็ได้ จากคุณ : จับได้โดยละม่อม Return เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 20:10:06

ความคิดเห็นที่ 19 แวะมาอ่าน ผ่านมารายงานตัวครับผม จากคุณ : Zantha เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 09:04:15

ความคิดเห็นที่ 20 เยี่ยมเช่นเคยครับ จากคุณ : beer2nd เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 10:45:16

ความคิดเห็นที่ 21 ทำไมมนุษย์ต่างดาวไม่ชอบใส่เสื้อผ้าอะ ไม่หนาวเหรอครับ จากคุณ : โอพ่อพระ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 12:21:34

ความคิดเห็นที่ 22 ดัน ...   เอ๊า ......  พันทิป ดันไม่ได้นี่หว่า  .. จากคุณ : Joeeey เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 15:39:05

ความคิดเห็นที่ 23 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 05:26:44

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ ชอบมากๆ ผมอ่านตั้งแต่เด็กยันแก่ ก็ยังตื่นเต้นเร้าใจเสมอ จากคุณ : DON'T CARE NEVER DIE เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:38:33

ความคิดเห็นที่ 25   ถ้ามีคนที่รู้เรื่องชาวต่างดาวจิงๆจังๆ ก็ดี  กลัวเป็นพวกต้มตุ๋น แต่งเรื่องตักตวงบางอย่าง  คนที่บอกว่าเห็น ว่าเห็น มีใครเห็นจริงมั้ยนะ จากคุณ : ด.ญ.สุปรียา เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 14:49:21

ความคิดเห็นที่ 26 ^^ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:40:29