ความคิดเห็นที่ 1 1. Sibling rivalry Sibling rivalry คือการอิจฉาและแข่งขันกันระหว่างพี่น้องในครอบครัวที่มักจะมีพี่น้องตั้งแต่สองคนขึ้นไปค่ะ สังเกตได้บ้านไหนที่มีลูกเยอะๆ พี่ๆน้องๆก็จะเล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ทะเลาะดึงหัวกันเป็นประจำ หลายคนคงจะจำเรื่องศรีธนญชัย ที่แม่บอกให้พี่ดูแลน้องด้วยนะ แม่สั่งว่า น้องต้องเรียบร้อยและเอี่ยมสะอาด ผลปรากฏว่าแม่กลับมา น้องถูกผ่าท้องลางเครื่องในไส้พุงจนสะอาดเรียบร้อยไปแล้ว ตามที่แม่สั่ง เบื้องหน้ามันคือความฉลาดแบบ cunning แต่เบื้องลึกคือการอิจฉาริษยา แข่งขันกันระหว่างพี่กับน้องในระดับที่รุนแรง การอิจฉาและแข่งขันกันระหว่างพี่กับน้องนั้นมักจะเกิดขึ้นในครอบครัวขนาดใหญ่สักหน่อย พ่อแม่มีลูกมาก เมื่อมีน้องเกิดมาพี่ก็ต้องเป็นผู้เสียสละเสมอ ได้คับแม่ ผมให้น้องเล่นก่อนก็ได้ ยอมทุกอย่างเพื่อน้อง แต่นั่น!!เป็นแค่เบื้องหน้า ส่วนเบื้องลึกเบื้องหลังย่อมเจ็บปวด เพราะรู้สึกว่าความรักที่เคยมีถูกแย่งยึดไปให้น้อง ความสำคัญของตนนั้นก็ย่อมตัดทอนลงไปด้วย โดยเฉพาะลูกคนโตกับน้องคนรอง และนี่คือที่มาของความอิจฉาริษยาและแข่งขันกันระหว่างพี่น้อง (เอาความรักและความสำคัญของหนูคืนมา) การแข่งขันและอิจฉานี้ไม่ได้มีในเพศเดียวเสมอไปค่ะ อาจจะเป็นพี่ชายกับน้องสาว หรือน้องสาวกับพี่สาวก็เป็นไปได้น้องบางคนบอกว่าทำไมต้องเชื่อฟังพี่ด้วยละ เค้ารู้สึกว่าพี่ได้รับอภิสิทธิ์จากพ่อแม่เลยต้องเชื่อพี่ทุกอย่าง ทำไมต้องยอมพี่ทุกเรื่องด้วยละ ? อารมณ์ประเภทนี้มักเกิดมากในช่วงอายุสองขวบขึ้นไปจนถึงห้าขวบ เพราะเป็นช่วงที่เด็กยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาพ่อแม่ทั้งหมด เมื่อถูกลดทอนความสำคัญลงก้เหมือนว่าตนเองนั้นโดนทอดทิ้ง อารมณ์ประเภทนี้บางคนก็สะสมจนไปถึงวัยรุ่นและผู้ใหญ่เลยก็มี นักจิตวิทยาตั้งข้อสังเกตว่าอารมณ์และพฤติกรรมประเภทนี้พ่อแม่ต้องไม่เห็นว่าพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องเล็ก ควรเร่งแก้ปัญหา เช่น อาจจะให้อำนาจฝ่ายพี่ขึ้นเป็นใหญ่ หรืออาจจะลดทอนอภิสิทธิ์ของพี่หัวปีลง ซึ่งก็ต้องแล้วแต่กรณีที่เหมาะสม และที่สำคัญต้องไม่เปรียบเทียบความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายให้ปรากฏ เช่น น้องเก่งกว่าพี่ หรือพี่ทำได้ดีกว่าน้อง เป็นอันขาด แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 22:53:55 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 22:48:38 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 22:48:01 จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:46:19

ความคิดเห็นที่ 2 2.Lady Luck เจ้าแม่แห่งโชคลาภ ในแวดวงจิตวิทยาและสังคมวิทยาเห็นพ้องต้องกันว่า เธอผู้นี้เป็นมารดาที่นักติดพนันติดตามอย่างโหยหา เพราะเมื่อนักพนันได้พบเธอก็เหมือนได้รับความรักจากแม่ในจิตใต้สำนึกนั่นเอง นักพนันชนิดผีสิง ตลอดชีวิตไม่คิดจะทำอะไรเลย ทุ่มเทชีวิตให้กับการพนัน ยอมหมดเนื้อหมดตัว ทั้งนี้ในส่วนลึกต้องการจะสร้างความรักของแม่ขึ้นมาใหม่ ด้วยชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่น้อยจนใหญ่ เขารู้สึกชัดแจ้งว่าแม่ไม่รักเขาเลย ในโลกของการพนัน เลดี้ ลัค นี่แหละคือแม่ที่นักพนันปรารถนา ลึกลงไปในจิตใจของพวกผีพนันนี้จะมีความเชื่อประหลาดอย่างนึงว่า ตัวเองมีฤทธิ์ มีอำนาจ ความคิดของตนต้องมีผลต่อโลกภายนอก เช่น งวดนี้777แหงๆ เลยเที่ยวไปกวาดซื้อทั้งบนดิน ใต้ดิน แล้วบอกใครต่อใครว่างวดนี้รับรองไม่พลาดแน่นอน เราเรียกพวกนี้ว่า เมกาโลมาเนีย (Megalomania) คือพวกคิดใหญ่ทำใหญ่ทารกและเด็กเล็กๆคิดแบบเมกาโลมาเนียถือว่าเป็นเรื่องปกติ และมักเชื่อว่าตัวเองนั้นมีฤทธิ์จริงๆด้วย หิวนมก็มีแม่มาคอยให้นม เปียกชื้น ก็จะได้รับการเปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีทันใด งอแงอยากจะนอน ก็จะได้นอนในที่นอนนุ่มๆ   ความคิดว่าตัวเองมีฤทธิ์นั้นสัมพันธ์กับแม่ เพราะอย่างน้อยที่สุดแม่ก็เกี่ยวข้องกับการให้นม การหย่านม เช่นแม่ทาของขมไว้บริเวณหัวนม ก็ทำให้เด็กไม่ยอมและเกิดการต่อต้านขึ้นมา เด็กจะรู้สึกคับข้องใจ การหย่านมจึงเป็นจุดหนักใจที่ทำให้เด็กเห็นว่า ความรักของแม่ที่ไม่เคยมีขีดจำกัดนั้นเกิดมีขีดจำกัดขึ้นมา เด็กก็จะเรียนรู้ต่อไปว่าความพึงพอใจที่เขาได้รับเช่น อาหาร ความอบอุ่น ต้องแลกมาด้วย การเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ยิ่งโตก็ยิ่งมีกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นคนดีมากดดันพวกเขา แต่ยากที่พวกเขาจะยอมรับได้ เด็กบางกลุ่มเกิดอาการเสียเด็ก(Spoiled syndrome)โดยเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือพ่อแม่หามาให้ได้ เรียกร้องหาดาวหาเดือน  เด็กก็จะถือสิทธิว่าตนถูกต้องและมีสิทธิ์ที่จะโกรธพ่อแม่ พ่อแม่ไม่รัก ส่วนนี้นักจิตวิทยาเชื่อว่าเป็นพื้นฐานของการติดพนัน เล่นพนันเพื่อที่จะสร้างความรักที่ตนชอบและปรารถนาขึ้นมาใหม่ การชนะพนันก็เทียบกับการได้ดื่มนมแม่อย่างแสนสบายจากอ้อมอกที่อบอุ่น และจะเล่นต่อไปเรื่อยๆเพื่อหวังว่าจะคงความสบายในวัยเด็กนั้นไว้ให้ยาวนานที่สุด เมื่อเล่นได้ก็ถือว่า เลดี้รักกี้โปรดปรานคือแม่รัก แต่หากเล่นเสีย ก็เท่ากับรู้สึกว่าแม่ไม่รัก ความโกรธและความก้าวร้าวเหล่านี้เป็นพลังร้อนที่ระบายออกมาจากตัวนักพนัน บางครั้นก็ย้อนกลับเข้ามาที่ตนเองอันนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ นักพนันปรารถนาที่จะพบ เลดี้ ลัค (พบความรักแม่)กันโดยทุกคนเสมอ แต่ว่าเธออยู่ไหน ? จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:53:09

ความคิดเห็นที่ 3 มาอ่าน จากคุณ : PICCANINNY'S DAD เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:55:17

ความคิดเห็นที่ 4 3.I had no idea syndrome เป็นกลุ่มอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงที่ตกลงปลงใจกับชายหนุ่มโดยที่ไม่ได้รู้จักเขาดีพอว่ามีภูมิหลังเป็นอย่างไร ไม่ได้คิดแต่ตัดสินใจโดยเร็วและตกเป็นภรรยาของเขา เข้าสูตร เปิดปุ๊บ ติดปั๊บ รักเมื่อแรกเห็น ไม่นานนักพ่อหนุ่มก็รับบทออกลายซ้อมภรรยาอย่างโหด หรือที่เราเรียกกันว่า เลี้ยงเมียด้วยลำแข้ง ซ้อมเมียไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีลูก ลูกก็จะซึมซับว่าทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับเขายิ่งนัก ถ้าไม่เอาอย่างพ่อก็จะเกลียดพ่อเข้ากระดูกเลยทีเดียว นักซ้อมภรรยานี้เราจะเรียกว่า The wife beater ที่มีความโหดเป็นคุณสมบัติ ภรรยาก็ยากนักที่จะหาความสุขในชีวิต ข้อมูลจากศูนย์การแพทย์มิชิแกนชี้ว่า ภรรยาทั้งหลายที่ถูกทำร้ายร่างกายเธอพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จอมโหดนั้นเป็นหนุ่มอัศจรรย์เมื่อแรกเจอ พวกเขาดูดีไปหมด และพวกเธอก็ไม่ได้ใช้สมองคิดเลยว่าเขามีภูมิหลังหรือลักษณะเป็นอย่างไร ภรรยาที่ถูกทารุณเหล่านี้ที่รู้กันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของส่วนใหญ่ซึ่งมีเป็นล้านๆคน มีปริมาณสูงเป็นสิบเท่าของผู้หญิงที่โดนข่มขืน แท้จริงแล้วตัวเลขในบ้านเราก็สูงไม่แพ้กัน ในวันฉลองวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวส่วนใหม่ มีปิ๊งปั๊งกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดกลุ่มอาการ I had no idea syndrome ขึ้นมาได้ คือไม่ได้คิดให้รอบคอบและตัดสินใจเร็วเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายมากเพราะไม่รู้จักเขาเหล่านั้นดีพอ ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ไวท์เฮิร์สท์ ผู้เชี่ยวชาญสังคมวิทยาให้ข้อแนะนำและวิธีการดูพวกผู้ชายจากหนุ่มผู้ดูดีไปหมด ไว้ดังนี้ ครอบครัวเขามีปัญหา ติดเหล้า และหย่าร้าง มีพ่อหรือแม่ชอบความรุนแรง โหดร้าย เขาเป็นคนสำส่อนและซิ่อสัตย์ เขาเกลียดผู้หญิง อาจเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อนและถือโอกาสนี้เป็นการล้างแค้นก็เป็นได้ **** สาวๆทั้งหลายจะเลือกหนุ่มๆก็ลองศึกษาให้ดีก่อนนะจ๊ะ จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:56:04

ความคิดเห็นที่ 5 4.Lesbian เป็นคำที่มาจากภาษากรีกคำว่า Lesbios ซึ่งมีความหมายเป็นนัยได้ว่า หมายถึงหญิงชาวกรีกนามว่าแซฟโฟ และเพื่อนหญิงของเธอเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งอาศัยอยู่ในเกาะเลสโบส หมายถึงประชากรชาวเลสโบสซึ่งมีแต่ผู้หญิง ปัจจุบันอยู่ใกล้ฝั่งตุรกี แต่เป็นของกรีซ หมายถึงรักร่มเพศระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง รักร่วมเพศระหว่างสตรีนั้นมีมานานเช่นเดียวกับรักร่วมเพศในบุรุษ มักจะปรากฏมากในสมัยกรีกโบราณ โรมัน เปอร์เซีย มอสเล็ม และมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า นายทาสหญิงมีสัมพันธ์ทางเพศกับทาสหญิงของตนได้โดยอิสระ และที่รู้จักกันกว้างขวางก็คือ กวีหญิงแซฟโฟกับเพื่อนสาวของเธอที่เกาะเลสโบสดังกล่าวข้างต้น รักร่วมเพศในอดีตถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่เป็นการยากมากที่จะเอาผิดกับเธอทั้งสอง เพราะเธออาศัยอยู่บ้านเดียวกันหรือห้องเช่าเดียวกัน แต่เธออาจจะเป็นเพื่อนรักกันมากก็ได้ รักร่วมเพศในอดีตเคยถูกวินิจฉับว่าเป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตหรือเบี่ยงเบนทางเพศ แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นรสนิยมส่วนบุคคล ซึ่งไม่ถือว่าป่วยทางจิตหรือเบี่ยงเบนทางเพศแต่อย่างใด หลายคนคงอยากรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นเลสเบี้ยน อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์และปัจจัยด้านฮอร์โมน คือ เชื่อว่าบรรพบุรุษหรือสายพันธุ์เคยมีมาก่อน ลูกหลานย่อมมีโอกาส ส่วนด้านฮอร์โมนหากเป็นทอมก็อาจจะหมายถึงมีฮอร์โมนเพศหญิงต่ำกว่าปกติ ส่วนในบทดี้อาจจะมีฮอร์โมนหญิงเกินร้อย เคยติดใจมากๆกับพฤติกรรมรักร่วมเพศในอดีต หรือเคยมีความรู้สึกเชิงลบกับรักต่างเพศอย่างรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพียงบางสาเหตุของการเป็นเลสเบี้ยนเท่านั้น การที่หญิงคนนึงจะเป็นเลสเลี้ยนน่าจะมีเหตุผลหรืออะไรที่ซับซ้อนกว่า และถ้าหากคุณเป็นแล้วรู้สึกพอใจที่จะเป็นก็ไม่ถือว่าเบี่ยงเบนหรือผิดปกติอะไรเลย ขอให้เป็นเลสเบี้ยนที่เป็นคนดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:59:31

ความคิดเห็นที่ 6 มาปาดเป็นเพื่อนค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:03:18

ความคิดเห็นที่ 7 5. Exhibitionism พฤติกรรมชอบอวด เป็นพฤติกรรมอกปกติ มีความหมายได้สองอย่างค่ะ คือ มีความโน้มเอียงที่จะทำตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดึงดูดความสนใจของใครๆมาเป็นที่ต้องการเฉพาะ อาจแสดงกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างและเป็นเรื่องที่ไม่เป็นสาระเพื่อเป็นที่สะดุดตาของผู้คน ส่วนอย่างหลังหมายถึงพฤติกรรมที่ตกอยู่ในกลุ่มพาราฟิเลีย(Paraphilia)ซึ่งแสดงอาการเบี่ยงเบนทางเพศต่างๆ หลายแบบที่เรารู้จักกันคงจะเป็น ซาดิสม์ พฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นเจ็บ มาโซคิสม์ เป็นสุขที่ถูกทำให้เจ็บ หรือไพโรมาเนีย เป็นสุขกับไฟ และพฤติกรรมชอบอวดคือได้อวดอวัยวะเพศสู่สาธารณะชนแล้วมีความสุข นั่นเป็นความต้องการอวดที่เจ้าของมีความต้องการชนิดท่วมท้น ไม่ใช่ต้องการปกติธรมดาๆ แม้จะรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่สังคมยอมรับไม่ได้แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้ เมื่อได้อวดแล้วจะมีความสุข พื้นที่ที่คนเหล่านั้นชอบทำการอวดนั้นมักจะเป็นพื้นที่สาธารณะที่ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมามากนัก มุกถนน ซอกตึก ห้องน้ำสาธารณะ เขามักจะเปิดบริเวณส่วนที่อวัยวะเพศรออยู่ เมื่อได้โชว์แล้วก็จะหนีไป พวกชอบอวดไม่ได้มีเฉพาะเพสชายเท่านั้น แต่หากมีในเพศหญิงด้วย พฤติกรรมที่ชอบอวดอีกชนิดคือ streaker จะมีลักษณะเปลือยหมด เคลื่อนไหวเร็ว ระยะทางวิ่งสั้นๆ และต่อหน้าผู้คนมากมาย พวกนี้มักจะอวดในสนามกอล์ฟ คริกเก็ต สนามฟุตบอล อะไรผลักดันให้เป็นเช่นนั้น เอช เมอร์เรย์ นักจิตวิทยาบอกว่าพวกนี้มีความต้องการอวดและเป็นศูนย์กลางความสนใจของใครๆรุนแรง เพื่อที่จะให้ความบันเทิง สนุกสนาน ตื่นเต้น น่าตื่นตาตื่นใจต่อผู้คนรอบข้าง คือได้ดูฟรีๆโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย ซึ่งพลังความต้องการอันรุนแรงนี้อาจจะเนื่องมาจากพัฒนาการทางจิตที่ผิดพลาดตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะการอบรมดูแลที่ไม่สัมพันธ์ลงตัวทางธรรมชาติของเด็ก *** ตอนม.ปลายเคยเจอครั้งนึงเหมือนกันค่ะ จำได้ว่าเดินไปเรียนพิเศษกับเพื่อนสองคน ยังเช้าอยู่เลย เช้าๆอากาศดี ก็เดินเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยๆเพราะยังไม่ถึงเวลาเรียน เราเดินตรงที่เป็นฟุตปาธอ่ะค่ะ มันก็จะมีซอกเล็กๆตรงทางลงสะพานลอย ตอนแรกก็เดินทางด้วยกัน แต่พอเริ่มเดินเพื่อนเริ่มทิ้งห่าง เราก็เดินไปเรื่อยๆไม่ได้คิดไร ยอมรับว่าตอนนั้นไม่มีสติ เจอผู้ชายคนนึงตัวเล็กๆ ขาว หน้าตาพอดูได้อยู่นะ มันก็เรียก เฮ้ย! เราก็ตกใจ พอหันไปปุ๊บ เอาแล้ว เห็นแล้วว มันรูดซิปให้ดูเลย เราก็ดูนะ ก็มันเปิดแล้วหนิ หลังจากนั้นวิ่งเลยค่ะ กลัวมันจะวิ่งตามมาด้วย ไม่สนใจอะไรแล้ว เพื่อนนี่ก็เดินไปไม่รู้เรื่องอะไร ยอมรับว่าตกใจมาก ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันช็อคมากจริงๆ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางการเดิน และเดินติดเพื่อนตลอด กลัวมาก - - " จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:08:35

ความคิดเห็นที่ 8 กบ เขียด อึ่งอ่าง ได้ตามสบายเลยค่ะ 6.Cassanova นักรักผู้ยิ่งใหญ่หรือจอมเจ้าชู้ เขามีศิลปะและอัจฉริยะในเชิงจูงใจให้สาวๆหลงรักเขาชนิดถอนตัวไม่ขึ้น คาสโนวาผ่านสาวมาเป็นร้อย ไม่ว่าเธอเหล่านั้นจะเป็นแม่ค้าขายปลาหมึก แม่ชี โสเภณี ดารา สาวใช้ และบรรดาแม่ยกทั้งหลาย ความสามารถเชิงรักใคร่สไตล์คาสโนวาเป็นที่ปรารถนาของหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ เสมอมา ซึ่งทำให้รู้สึกว่าคาสโนวามิได้ตายไปจากโลกนี้เลย อย่างไรก็ดีหากรู้จักคาสโนวาในรายละเอียด อาจไม่เพียงอยากเป็นคาสโนวาเท่านั้น อาจชิงชังรังเกียจได้ เพราะนอกจากใช้ชีวิตแบบจอมเจ้าชู้แล้ว เขายังเป็นนักรักมายากล นักเทศน์ นักพนัน สายลับ สายให้ตำรวจ นักประวัติศาสตร์ และนักเล่านิทานสลับฉากรักของเขาด้วย นักจิตวิเคราะห์ประเมินย้อนกลับว่าเขาเป็นโฮโมเซกชวลชนิดแฝงเร้น คาสโนวามีชื่อเต็มว่า จาคอบ คาสโนวา พ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อเป็นดาราละคร ส่วนแม่เป็นบุตรสาวของช่างทำรองเท้า การศึกษาของเขาตอนเล็กๆนั้นแย่มาก ยายมองว่าปัญญาอ่อน ไอคิวอยู่ระหว่าง 35-49เรียนได้แค่ชั้นป.2 จนต้องพาไปหาหมอผีเพื่อปรับให้ฉลาดขึ้นมา พอย่างเข้าสู่วัยรุ่น คาสโนวากลายเป็นหนุ่มรูปงาม สูง ผิวคล้ำ จมูกโด่ง ไหล่กว้าง และผมสลวย ถึงแม้วัยเด็กจะโง่ เซ่อ แต่พอหนุ่มก็ฉลาดพอสอบเข้ามหาวิทยาลัยปาดัวได้ จบปริญญาตรีด้านศาสนาและกฎหมาย เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักบวชแต่ต้องล้มเหลวเนื่องจากชีวิตเขาวุ่นวายอยู่กับโยมสาวๆไม่เว้นว่าง ชีวิตของคาสโนวาพบกับสาวมากมาย เคยหนีไปอยู่กับผู้หญิงซึ่งตอนนั้นต้องมีอาชีพนักมายากลและหมอผี ชีวิตเขาพูดง่ายๆก็คือรักๆเลิกๆ จนวาระสุดท้ายคาสโนวาไปเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด ซึ่งมีหนังสือถึงสี่หมื่นเล่ม และหนังสือเล่มเดียวที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ลองทายดูค่ะว่าเล่มนั้นเป็นหนังสือของใคร เขาบอกว่าหนังสือเล่มนั้นก็คือ หนังสือประวัติของตัวเขาเอง ซึ่งได้พรรณนาถึงความรัก ความพยายาม การท่องเที่ยว และความล้มเหลวในชีวิตเพื่อให้เป็นบทเรียนแก่คนรุ่นหลังๆ ทำไมคาสโนวาไม่พอใจในสตรีสักสองหรือสามคน อย่างมากก็สักเจ็ดคน แต่นี่มีเป็นร้อย คำตอบของขาก็คือ เขาไม่แน่ใจในความเป็นชายของเขาจึงทดลองไปเรื่อยๆ คนทั่วไปเรียกเขาว่าจอมเจ้าชู้ หรือนักรักผู้ยิ่งใหญ่ แต่นักจิตวิเคราะห์กลับมองว่าเขาเป็นรักร่วมเพศชนิดแฝงเร้น แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 23:37:31 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 23:14:36 จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:13:48

ความคิดเห็นที่ 9 7.Flotteurism กรณีข่าวเสมียนสาววัย 17ปีตกเป็นเหยื่อโจรโรคจิต จี้ชิงทรัพย์และกระทำอนาจารบนรถมินิบัส น่าสงสัยว่าผู้ร้ายจะมีพฤติกรรมแปรปรวนทางเพศซึ่งมีชื่อว่า ฟลอตตูริสม์ กล่าวคือเป็นผู้ที่มีความชอบที่เบี่ยงเบน ซึ่งอาศัยการเสียดสี หรือถูไถอวัยวะเพศตนโดยไม่เปลื้องผ้ากับสะโพก แผ่นหลัง แขน ขา บุคคลอื่นเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของตน มักจะกระทำในบริเวณที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น บนรถเมล์ ห้างสรรพสินค้า หรือ ชุมชนกีฬา บุคคลเหล่านี้จะอาศัยความแออัดและหาโอกาสโอบด้านหลังเหยื่อ เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเหยื่อ ด้วยรู้ว่าผิดศีลธรรมและน่าอับอาย แต่ก็ยังกล้าทำนะนั่น!! และไม่สามารถควบคุมหรือบังคับตนเองได้ พฤติกรรมเช่นนี้เป็นพฤติกรรมของคนที่เจ็บป่วยทางจิต อัตราผู้ป่วยมีไม่มากนัก เป็นเพศชาย ร่อนเร่อยู่ทั่วไป และมีแนวโน้มว่าจะมีความผิดปกติทางร่างกายอย่างใดอย่างหึ่งที่มักถูกปฏิเสธจากเพศตรงข้ามโดยง่าย พฤติกรรมเสียดสีและถูอวัยเพศดังกล่าวนี้ดูเหมือนจะเป็นทางออกหนึ่งสำหรับเขา ตามปกติแล้วผู้ป่วยมักจะกลัวเหยื่อ ไมทำอันตรายใดๆเมื่อโดนจับได้ และจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว กรณีที่เป็นข่าวข่มขู่และบังคับเหยื่อขณะทำอนาจารค่อนข้างที่จะพิเศษมาก หรออาจจะเป็นผู้ป่วยที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศชนิดอื่นก็เป็นได้ เช่น ซาดิสม์ เป็นต้น ยังไม่พบข้อมูลมากพอที่จะตั้งข้อสังเกตได้ว่า รสนิยมกระตุ้นอารมณ์ทางเพศแบบฟลอตตูริสม์นี้มีต้นตอมาจากการเรียนรู้ผิดๆตั้งแต่วัยเด็ก และแสดงอาการผิดปกติในวัยผู้ใหญ่คู่มือในการจำแนกความแปรปรวนหรือจำแนกโรคขององค์การอนามัยโลกจัดฟลอสตูริสม์ไว้ในกลุ่มความแปรปรวนความชอบทางเพศ (Disoders of sexual preferences) ในกลุ่มนี้อาจจะมี พวกชอบอวด ชอบแอบดู ชอบเด็ก ชอบวัตถุ เป็นต้น จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:16:48

ความคิดเห็นที่ 10 8.คนสูบไปป์ คนสูบไปป์พวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกที่สูบบุหรี่และสูบซิการ์ เพราะใช้กิจกรรมทางปากอย่างเดียวกันเพื่อการกัด ดูด กลืน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจและมีความสุข คนสูบไปป์อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ นักพูด บรรยาย นักดื่ม นักชิม และนักเขียน บุคคลเหล่านี้ใช้กิจกรรมทางปากมากเป็นพิเศษ คนสูบไปป์ไม่ใช่เป็นง่ายๆ น่าจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสองข้อคือ แรงผลักดันภายใน ให้กัด ดูด กลืน และอิทธิพลการเรียนรู้ ฝึกฝนจนเกิดเป็นนิสัย เราจะอธิบายได้ง่ายๆว่าแรงผลักดันภายในนั้นเกิดจากการกัด ดูด กลืน จนกลายเป็นคนสูบไปป์ เกิดเพราะขาดความสุขในการใช้กิจกรรมทางปากมาตั้งแต่เล็ก โดยเฉพาะวัยแรกจนถึงสามขวบ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่จะมีความสุขอยู่กับการใช้ปาก ดูดนิ้ว อมมือ กัดของเล่น เอาทุกอย่างใส่ปากหมด ทารกจะมีความสุขเมื่อได้เล่นน้ำลายและดูดนมแม่ ปากจึงเป็นโซนแห่งการสร้างความสุข เมื่อเด็กได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่ในวัยนี้ ชีวิตก็จะพัฒนาไปตามปกติ แต่หากได้รับการตอบสนองที่บกพร่อง เช่นการหย่านมเร็วเกินไป หรือหิวก็มักจะถูกให้รอ รอ จนกว่าจะมาไม่ได้กินสักที ทารกก็มักจะเกิดความคับข้องใจ เฝ้ารอ และหาความสุขทางปากเรื่อยมา เมื่อมีโอกาสก็มักจะย่อมตักตวงให้เต็มในสิ่งที่ตนเองได้ขาดหายไป เชื่อว่าไปป์ หรือบุหรี่ อาจจะช่วยลดความคับข้องใจในส่วนหนึ่งส่วนที่เหลือก็ยังคงมีความคับข้องใจต่อไป หรืออาจจะแสดงวาจาก้าวร้าว พวกเขาฉลาดที่จะเลือก หาคำ เสียดสี เหน็บแนม ถากถางคนอื่นได้อย่างสะใจได้เสมอๆ ส่วนอย่างหลังซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ เลียนแบบ เอาอย่างคนอื่นเห็นว่ามันสำคัญ มันดี เมื่อทำบ่อยๆก็จะเกิดเป็นนิสัยไปในที่สุด แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 23:19:31 จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:19:02

ความคิดเห็นที่ 11 9.The junk food syndrome เป็นกลุ่มอาการหรือพฤติกรรมอปกติชนิดหนึ่ง เนื่องมาจากการบริโภคอาหารขยะหรือจังก์ ฟู้ด มากเกินไป มักจะเกิดขึ้นกับเด็กวัยเรียน 6-12ปี หลังจากรับประทานมาสักระยะหนึ่ง พฤติกรรมอปกติก็ปรากฏขึ้นชัดเรื่อยๆ คือ ตื่นเต้นง่าย ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ฝันร้าย ปวดท้อง และเหนื่อยหน่าย ซึ่งส่งผลให้การเรียนตกลงจนทางบ้านและโรงเรียนตกใจ พฤติกรรมที่เด่นชัดอีกอย่างนึงก็คือ อารมณ์ร้อน ก้าวร้าว ตามมาด้วยดื้อดึง และไม่มีสมาธิในการเรียน บางทีกุมารแพทย์อาจจะวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มอาการ over consumption under nutrition ซึ่งมีความหมายว่า กินมากแต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโตพอๆกับเด็กยากจนที่อดมื้อกินมื้อได้เลยทีเดียว ซึ่งจะมีผลต่อระบบร่างกายและสมองตามมา จังก์ฟู้ด หรืออาหารขยะทั้งหลายนี่แหละเป็นตัวการก่อให้เกิดการทำงานของสมองและพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เพราะสมองจะได้รับพลังงานจากอาหารที่เรากินไปน้อยมาก จึงมีผลทำให้สมองทำงานได้ไม่เป็นปกติ ส่งผลให้เกิดอารมณ์ก้าวร้าวและมีอาการเจ็บป่วยตามมาได้  เด็กๆกลุ่มนี้มักจะรับประทานอาหารหลักๆที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาล นม ชอกโกแลต ขนมปัง และเครื่องดื่มน้ำอัดลมทั้งหลาย คุกกี้สารพัดชนิดที่ขาดวิตามินที่จำเป็นโดยเฉพาะวิตามิน นักวิชาการทั้งหลายแนะนำให้พ่อแม่ช่วยสร้างนิสัยการกินให้กับเด็กๆซะใหม่ โดยการรับประทานผัก ผลไม้ นม ไข่ และวิตามิน B ประมาณสามสัปดาห์ เด็กๆที่มีกลุ่มอาการอาหารขยะก็จะมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น อารมก้าวร้าวแบบไร้เหตุผลก็จะเริ่มหายลงไปด้วย เหนื่อยง่ายและนอนไม่หลับก็จะน้อยลง ไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่กินเข้าไปจะมีผลต่ออารมณ์ก้าวร้าวของเด็ก ผลงานการวิจัยชิ้นนี้เป็นของ ดร.โจเซ่ ยาร์ยุระ โตเบียส์ แห่งศูนย์สุขภาพจิตในแมนฮาสเสตต์ และเป็นที่ชัดเจนว่าพฤติกรรมก้าวร้าวบางชนิดสามารถอธิบายได้ด้วยการบริโภค จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:21:22

ความคิดเห็นที่ 12 สุดท้ายค่ะ อาจจะไม่ใช่พฤติกรรมแต่เป็นวิธีการระงับ หรือ ลดให้อาการนั้นเกิดขึ้นน้อยลง โดยอาศัยเสื้อตัวนี้ สมัยก่อน เราจะระงับผู้ป่วยโรคจิตโดยการขังผู้ป่วยไว้ในกรง ล่ามโซ่ ขังไว้ในห้องไม่ให้ออกไหน กิน ถ่าย อยู่ในห้องนั้น บางทีห้องนั้นก็เป็นห้องมืดซะด้วยซ้ำ เพราะสมัยก่อนเขาเชื่อว่า การที่คนเป็นโรคจิตเนื่องจากผีเข้าไปสิงอยู่ วิธีเอาผีออกก็คือ การเอาศีรษะผู้ป่วยเข้าไปในเตาร้อนๆ ทุบตีผู้ป่วยอย่างแสนสาหัส และวิธีอื่นๆ ไว้จะเอารูปมาแปะไว้ให้นะคะ 10. Straight jacket เป็นอุปกรณ์ดั้งดิมที่ใช้เพื่อการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคจิตหรือวิกลจริต เสื้อจะมีลักษณะคล้ายๆเสื้อกั๊กรัดเฉพาะลำตัวและแบบเปลหามผู้บาดเจ็บ ที่เห็นกันบ่อยๆบนเวทีมวย หรือ สนามฟุตบอล ผู้ป่วยจะมีอาการคลั่งวุ่นวาย เสื้อตัวนี้จะเข้ามามีบทบาททันที ผู้ป่วยจะถูกรัดแน่นด้วยเสื้อตัวนี้ ลำตัวจะถูกรัดและเคลื่อนไหวได้ยาก ความคลั่งของผู้ป่วยก็จะหายไป หรือผู้ป่วยจะถูกจับใส่เปลหามในท่านอนหงายและถูกรัดแน่นเคลื่อนไหวได้ยากเช่นกัน ทั้งหมดนี้เราจะเรียกว่าขึ้นเสื้อ ผู้ป่วยจะถูกจับขึ้นเสื้อเพื่อการบำบัดเป็นครั้งๆไป เช่น ครั้งละ15-30นาที วันละครั้งหรือ สัปดาห์ละ 3ครั้ง เป็นต้น กรณีผู้ป่วยคลั่งอาจจะมีความนานและความถี่ของการขึ้นเสื้อตามความเหมาะสมด้วย เสื้อตัวนี้เคยใช้กันแพร่หลายในทั่งโรงพยาบาลโรคจิตฝรั่งและโรคจิตในไทย ช่วงก่อนจะมียากล่อมประสาท จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:25:43

ความคิดเห็นที่ 13 ขอแปะหน่อยครับ คิดว่าเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องพฤติกรรมของคน (ในเว็บบอร์ด) จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:29:04

ความคิดเห็นที่ 15 เจอรูปแล้วค่ะ รูปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทรมานที่ขับไล่ให้ผีออกจากผู้ป่วย ขอบคุณภาพจก รองศาสตราจารย์ ลิขิต กาญจนาภรณ์ จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 23:51:01

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่อ่านหนังสือบ้างเหรอ อิิอิ จากคุณ : 1812Overtureyoot เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 00:06:15

ความคิดเห็นที่ 17 ยังๆๆ นี่ก็ถือว่าอ่านไปในตัวแล้วนะเนี่ย ขี้เกียจครอบงำ 555 จากคุณ : Epiglottis เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 00:12:21

ความคิดเห็นที่ 18 #7 ถ้าเกิดมีคนมาอวดให้ดูแล้วเราตอบกลับไปว่า "โอ้โห เล็กจัง ผิดหวังแฮะ" พฤติกรรมเค้าจะลดลงรึเปล่าครับ - -" จากคุณ : Seiki เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 10:05:22

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ #18 คนทั่วไปมักคิดแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงมันเหมือนการให้รางวัลเขาโดยให้ความสนใจ (อย่างน้อยก็พูดถึง..) อาจารย์คนนึงเคยบอกว่า หมาไม่ใส่เสื้อผ้ายังไม่เห็นสนใจเลย อีพวกแบบนี้จะไปสนใจทำไม??? หึ หึ จากคุณ : blessedness เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 01:34:39