ความคิดเห็นที่ 1 ผมไม่ได้อยู่ห้องนี้ แต่ผมเชื่อครับ จากคุณ : จันทร์ทอแสง เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:37:40

ความคิดเห็นที่ 2 เชื่อค่่ะ จากคุณ : ยัยขี้อำ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:39:46

ความคิดเห็นที่ 3 เชื่อครับ มีเหตุผลด้วย แต่อธิบายยากมาก จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:42:04

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็อยากเชื่อนะว่ามันมีการเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็ยังสงสัยไม่หาย ถ้า 1 ศพ = 1 วิญญาณ = 1 คนเกิดใหม่ แล้วทำไมจำนวนคนในปัจจุบันถึงเพิ่มขึ้น แล้วจุดเริ่มต้นของชาติที่ 1 อยู่ที่ไหน จากคุณ : oppertunity เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:15:43

ความคิดเห็นที่ 5   ตายแล้วดับสูญครับ นึกไม่ออกว่า ประชากรโลกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี่มันเอาวิญญาณที่ไหนมาเกิด แล้วแบคทีเรียนี่ มันต้องใช้วิญญาณในการแบ่งตัวหรือเปล่า จากคุณ : AIM-9X เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:18:58

ความคิดเห็นที่ 6 ลองหา "ปฏิจจสมุปบาท" มาอ่านดูนะครับ หัวข้อธรรมะเรื่องนี้ส่วนตัวผมคิดว่าอธิบายเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดได้ค่อนข้างชัดเจนนะครับ ลองศึกษาดูแล้วจะรู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดที่เราถูกสั่งสอนต่อๆกันมาแตกต่างจากที่พูดไว้ใน ปฏิจจสมุปบาท ค่อนข้างมาก ลองศึกษาดูน่าจะได้ไอเดียใหม่ๆครับ ^^ จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:36:56

ความคิดเห็นที่ 7 ภูมิมนุษย์เป็น 1 ใน 31 ภพภูมิครับ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยบอกว่า พื้นที่ 1 ปรมาณู มีเทวดาอาศัยอยู่ 6 องค์เชียวนะครับ เรื่องการระลึกชาติก็มีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า การกลับชาติมาเกิดเป็นเรืื่่องจริง ถ้าเป็นชาวพุทธแท้ๆ ไม่ใช่พุทธตามทะเบียนบ้าน เขาจะศึกษาและปฏิบัติธรรม จนรู้แจ้งเห็นจริงได้ด้วยตนเองว่า ชาตินี้ที่เราเิกิดมา ไม่สามารถนับภพนับชาติได้ถ้วน วนเวียนอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน *******เพิ่มเติม พระพุทธองค์ทรงอธิบายถึงขนาดของปรมาณูไว้ว่า ถ้าเราแบ่งความยาวของเมล็ดข้าวแปลือกออกเป็นประมาณ 82 ล้านส่วนเท่า ๆกัน แต่ละส่วนนั้นจะมีขนาดเท่ากับ 1 ปรมาณู แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 52 22:17:09 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 52 22:13:38 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:40:22

ความคิดเห็นที่ 8   เป็นการเปรียบพฤติกรรมของจิตที่ว่า ความคิดคนเราวนเวียนเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เริ่มคิด(เกิด) คิดจบ(ดับ) ทวนซ้ำไปมา บางตำราเรียกว่า"ภพ" จากคุณ : Mr. k เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:43:30 A:58.9.154.74 X: TicketID:115608

ความคิดเห็นที่ 9 คห 7 ครับ รบกวนอธิบายต่อได้ไหมครับ อยากทราบเพิ่มเติมครับ จากคุณ : Eragon เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:44:19

ความคิดเห็นที่ 10 เอ่อ พื้นที่1 ปรมาณู นี่มันขนาดแค่ไหนครับ?? จากคุณ : okaunkung (okaunkung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:45:09

ความคิดเห็นที่ 11   กาลามสูตรมีไว้เพื่อ ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา -ให้เห็นจริง -ถึงคุณโทษ -หรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ +.+ แต่ถ้าคำว่าเกิด คือ การเกิดเชิง ชาติภพในความหมายของ ภาวะของชีวิตหรือภาวะของจิตที่อยู่ภายใต้การครอบงำของอุปาทาน ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายแล้วไปเกิดใหม่ ก็อีกนัยหนึ่ง ที่น่ากลัวกว่า หากไม่มีสติ จากคุณ : เดธซิทีนี้ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 21:47:21

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเชื่อครับ แต่ผมก็แยกแยะได้ว่าเมื่อไรควรจะใช้อะไร ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตอบโจทย์ของเรื่องการหาเลี้ยงชีพได้  แต่ว่ายังมีอย่างอื่นที่มากกว่านั้น จากคุณ : Mojo So Bad เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:00:46

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเชื่อคนนึงหละครับ ปัจจุบัน บางอย่างไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ นั้นหมายความว่า บางสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่จริงเช่นกัน จากคุณ : Starfight เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:11:42

ความคิดเห็นที่ 14 แปลกจริงเชียวมีผีไฟแดงด้วยแฮะ  เฮี้ยนจริงๆนะครับ ไม่น่าเชือว่า จะตามอาฆาตรุนแรงปานนั้น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:21:28

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ oppertunity วิญญาณ = อินฟินิตี้ การเกิดของมนุษย์ ขึ้นกับปัจจัยสภาพแวดล้อมโลก อาจจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ช่วงเวลา ชาติแรก = เวลาเริ่มต้นตรงไหน ชาติแรกก็เริ่มต้นตรงนั้น จากคุณ : ตะลึงจังงัง เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:32:07

ความคิดเห็นที่ 16 จะยกตัวอย่าง การเวียนว่ายตายเกิด หรือวิญญาณ ให้ง่ายก็คือ โทรทัศน์ หากคุณไม่เปิดมัน หรือไม่มีการแพร่ภาพ สัญญาณ มันก็ไม่มีอะไร แต่หากเปิดและมีสัญญาณ ก็ได้พบ ภาพและเสียง หากเอามาอนุมาน วิญญาณ กับ ร่างกายมนุษย์  ก็แบบเดียวกัน เพียงแต่ เรายังจับช่อง สัญญาณ ไม่ได้ และคิดว่า คงไม่ใช่สัญญาณ ทางไฟฟ้าเท่านั้น ฉะนั้น การที่จะเห็นอดีตชาติ ได้ก็น่าจะใช้หลักการ เดียวกันคือ คนผู้นั้นจะต้อง จับสัญญาณ หรือ สัมผัส สัญญาณ ของสิ่งมีชีวิต ได้ แล้วสัญญาณ ผ่านไปจุดไหน ที่ไหน ก็จะทิ้งรอยไว้ เหมือน แสงสว่าง เหมือน ตอนต้นเรื่อง ของหนังเรื่อง Contact ..... ซึ่งก็อาจทำให้เป็นไปได้ว่า สิ่งที่เร็วที่สุดในจักรวาล ไม่ใช่แสง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 52 22:39:02 จากคุณ : ใ (@Ble) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:37:25

ความคิดเห็นที่ 17 เชื่อแบบไหนตายไปก็จะเป็นแบบนั้นค่ะ  แต่ส่วนตัวเราไม่เชื่อค่ะ  เราแนววิทย์ฯ ล้วนๆ ตายแล้วทุกอย่างหายไปค่ะ จากคุณ : Arccyber2004 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:44:37

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่ค่อยได้อยู่ห้องนี้ แต่เชื่อค่ะ แต่ก็ยังสงสัยไม่หาย ถ้า 1 ศพ = 1 วิญญาณ = 1 คนเกิดใหม่ แล้วทำไมจำนวนคนในปัจจุบันถึงเพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นว่าเกิดใหม่จะเป็นคนนี่คะ จากคุณ : java~ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:46:38

ความคิดเห็นที่ 19   เชื่อ คะ จากคุณ : therumo (therumo) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:56:15

ความคิดเห็นที่ 20 *ขยาย rep.7 1 ปรมณูของพระพุทธเจ้า คือแบ่งเมล็ดข้าวสารออกเป็น 82 ล้านส่วนเท่าๆ กัน ถ้าเมล็ดข้าวยาวประมาณ 1 เซนติเมตร จะได้ว่า  1.0*10^-2 หารด้วย 8.2*10^-7 กดเครื่องคิดเลขออกมาแล้วได้ 1.22*10^-10 เมตร  มีค่าเท่ากับขนาดของอะตอมไฮโดรเจน ไม่น่าเชื่อ!!!!   เป็นคำพูดที่ออกมาจากพระพุทธองค์เลยจริงๆ ใช่มั้ย จากคุณ : <NaturaL M> เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:06:54

ความคิดเห็นที่ 21   ตายแล้วทุกอย่างหายไปนี่ ถือว่าเป็นแนววิทย์ล้วน ๆ เหรอครับ ตายแล้วสูญทุกอย่างหาย ผมว่ามันเป็น "ความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้อีกอันหนึ่ง และไม่มีเหตุผลอะไรสนับสนุนอย่างแน่นหนา หรือเป็นเหตุเป็นผลเลย" มันเป็น ความเชื่อที่นักวิทยาศาสตร์ยุกบุกเบิก ยกขึ้นมาเพื่อเอาไว้งัดข้อกับศาสนจักรของยุโรป โดยที่ยังไม่ได้ศึกษาศาสตร์ทางตะวันออกแค่นั้นแหละครับ หากจะผนวกว่าถ้าเป็นวิทยาศาสตร์แล้วต้องเชื่อว่าตายแล้วสูญ ผมว่ามันคือรูปแบบความงมงายอีกชนิดหนึ่งแค่นั้นเอง มุมมองผมผมมองว่า เรื่องใดก็ตามหากเรายังไม่รู้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น เราจะต้องไม่หยุดยั้ง ที่จะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากข้อมูลใดก็ที่เรายังไม่รู้จัก อย่างเปิดกว้างที่สุด และปราศจากอคติโดยสิ้นเชิง นี่ต่างหากครับถึงจะเป็น วิทยาศาตร์ จากคุณ : ก้อนกรวด เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:25:26 A:118.172.97.10 X: TicketID:121602

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ NaturaL M   ไม่สามารถยืนยันได้ครับ เป็นการบันทึกจากตำราที่สืบทอดมาหลายพันปี ในพระไตรปิฏก ยังมีการอธิบายหน่อยย่อยต่างๆ มีทฤษฏีต่างๆที่ถูกคิดค้นในนักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ไปสอดคล้องกับคัมภีร์ในศาสนาพุทธมากมายครับ ของแบบนี้ต้องไปลองค้นคว้าพิสูจน์ด้วยตนเองครับ เพียงองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่การสัมผัสด้วยจิต ด้วย ฌานวิสัย สามารถทำได้ แล้วคุณจะค้นพบความมหัศจรรย์ทางจิตที่อธิบายไม่ได้มากมายครับ พุทธศาสนาก็คือคำสอน ที่ศึกษาธรรมชาติ เรื่องกาย เรื่องใจ ของตน เป็นสำึัคัญ ถ้ายึดเอาแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียว แล้วนำมาใช้ในการดำรงชีวิต ก้ถือว่ายังใช้ชีวิตอยู่ในความประมาท ต้องลองหันมาศึกษาธรรมชาติของจิต แล้วคุณจะค้นพบความมหัศจรรย์เยอะแยะครับ แต่ก็ควรมีครูอาจารย์แนะแนวทางที่ถูกต้องด้วยนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:25:48

ความคิดเห็นที่ 23 ดังนั้น อะตอมไฮโดรเจน = เทวดา 6 องค์? ถ้าผมทำดีมากๆ จะได้ไปเกิดเป็น อะตอมไฮโดรเจน เหรอเนี่ย ผมลองคิดดูง่ายๆ เคยเล่น คอนทรา หรือ มาริโอ ที่มันจะมีสูตรเพิ่มตัวหลายๆตัวไหม ถ้าเล่นคอนทราแล้วมีสัก 99 ตัว แล้วคุณจะยังสนใจไหมว่าคุณจะทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ตายทิ้งตายขว้างได้เรื่อยๆ บางทีเบื่อๆโดดหน้าผาตายเล่นเฉยๆซะงั้น แต่ถ้าบังคับให้เล่นโดยมีแค่ตัวเดียวล่ะ ตายแล้วเกมส์โอเวอร์ ผมเชื่อว่าทุกคน ต้องพยายามเล่นให้ดีที่สุดแน่ บางทีมันอาจจะเป็นแนวคิดที่ว่า เริ่มใหม่ได้ไม่รู้จบนั่นแหละ ที่คอยดึงรั้งเราอยู่ ไม่ให้สนใจกับชีวิตเดียวที่เรามีอยู่นี่ เพราะใครๆก็คิดถึง "ชีวิตหน้า" จากคุณ : The Absurdist เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:32:22

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้า ทฤษฏีที่ว่า จักรวาล เป็นเรื่อง Loop เกิดๆดับๆวนเป็น วัฎจักร เป็น จริง ผมก็เชื่อว่า การเวียนว่ายตายเกิดเป็นจริง แต่ คนละแบบ สุดขั้ว กับที่ ทุกๆศาสนา อธิบายไว้ครับ จากคุณ : ZGMF-X10A เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:32:28

ความคิดเห็นที่ 25 บางทีมันอาจจะเป็นแนวคิดที่ว่า เริ่มใหม่ได้ไม่รู้จบนั่นแหละ ที่คอยดึงรั้งเราอยู่ ไม่ให้สนใจกับชีวิตเดียวที่เรามีอยู่นี่ เพราะใครๆก็คิดถึง "ชีวิตหน้า ================================= ตรงกันข้ามนะครับ คุณ The Absurdist เจตนาสูงสุดของคำสอนในพุทธศาสนาก็คือ สอนให้เห็นความจริงว่า การเกิดมาแต่ละภพชาติข้างหน้า ล้วนประสบไปด้วยความทุกข์ ความสุขปะปนกันไปทุกภพทุกชาติ สอนให้เห็นว่าการเิกิดใหม่ในภพชาติหน้า เป็นสิ่งที่น่าเบื่อสุดๆ เต็มไปด้วยทุกข์ล้วนๆ และสอนให้ดับเหตุแห่งการเกิด จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:38:29

ความคิดเห็นที่ 26 สมองมนุษย์ ส่วนที่ไม่ได้ถูกใช้ 90% จะคือคำตอบทั้งหมดไหมหนอ... จากคุณ : ... (@Ble) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:42:26

ความคิดเห็นที่ 27 เชื่ออะ ทุกเหตุต้องมีผล   เหตุที่เราทำไว้ทั้งหมด  มันก็ต้องส่งผลต่อเราไปอีกชาติต่อไป ถ้าตายแล้วสูญ  เหตุที่เราทำไว้  มันจะไปไหน ถ้าถามว่าชาติแรกอยู่ไหน  คำตอบคือ  ไม่มี สมมติ ตอนนี้ คือ  ชาติที่ 0   ก็ต้องมีชาติที่  -1 , -2, -3 ,  ...  - infinity  (นั่นคือ อดีตชาติ) และก็ต้องมีชาติที่  1, 2 , 3 , ...  ,  infinity  (นั่นคือ  อนาคตชาติ) พระพุทธเจ้า  มีวิธีทำให้เราไม่ต้องนับ ถึง  infinity ถ้ารู้จักดับเหตุทั้งหลาย  ที่จะทำให้เราต้องเกิดใหม่ได้สำเร็จ เมื่อไม่มีเหตุ  ก็ไม่มีผลให้เกิดอีก นี่แหละคือหัวใจของศาสนา   ของอื่นที่เสริมมาทั้งหมด  ก็เพื่อให้เราไม่ต้องนับถึง infinity   ให้จบซะทีที่นิพพาน  นั่นเอง ผลทั้งหลาย  เกิดจากเหตุ พระตถาคต  ทรงแสดงเหตุแห่งสิ่งเหล่านั้น และการดับไปซึ่งเหตุของสิ่งเหล่านั้น เหล่านี้แล คือ คำกล่าวแห่งมหาสมณะ จบ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 00:01:45 จากคุณ : ไจโรสโคป เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:53:51

ความคิดเห็นที่ 28 มีบางคนเชื่อว่า  การเกิดไม่ใช่ทุกข์   แต่ขอบอกว่าการเกิดเนี่ยแหละคือ  สุดยอดแห่งทุกข์ เกิดปุ๊บ  ทุกข์  ตามมาแล้ว ทันที  หิวข้าว  โหยหาความรัก ต้องมากลัวตาย   ต้องมากลัวพลัดพรากจากคนรัก ของรัก  (กลัวพ่อแม่ คนรักจะเจ็บ  จะตาย  กลัวต้องเสียเงิน  เสียบ้าน  กลัวเสียเพื่อน  กลัวเสียสารพัด)   ต้องมากลัวว่าจะประสบกับสิ่งที่ไม่รัก   กลัวเป็นโรค  กลัว 2009  กลัวเอดส์  เป็นหวัด  เป็นไข้   สอบตก  รถเฉี่ยวรถชน  กลัวพิการ  กลัวมะเร็ง   แน่ใจว่าไม่กลัว   ลองไปนั่งเครื่องบิน  แล้วเครื่องบินตกดิ  รับรองไม่กลัวให้มันรู้ไป   ทุกข์กาย  ทุกข์ใจ  เศร้าใจ  เสียใจ  คร่ำครวญ  ร้องไห้  คับข้องใจ  พลัดพรากจากของรัก  ประสบกับของไม่รัก  สิ่งที่ปรารถนาไม่ได้ดังหวัง  อื้อซ่า การเวียนว่ายตายเกิด  มี 2 แง่ 1.  มองว่าทุกอณูแห่งเวลา  เราเวียนว่ายตายเกิดตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะ  แค่เศษวินาทีที่ผ่านไป  ทุกอะตอมในตัวเราไ้ด้เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา   ดังนั้น  เราตายไปแล้ว  และเกิดใหม่แล้ว  ต่อเนื่องตลอดเวลา พูดง่าย ๆ  คือ   เราเมื่อเช้านี้   กับ  เราตอนกลางคืนนี้  ตายแล้วเกิดใหม่  มาเป็น infinity ครั้งแล้ว 2.  การตายแล้วเกิดข้ามภพภูมิ  คือ  มองว่า  คน  เทวดา  พรหม  สัตว์   สัตว์ใน Hell   เปรต  อสุรกาย ล้วนแต่เวียนว่ายตายเกิดกันได้ ตอบคำถามว่า  ทำไมมนุษย์ถึงเพิ่มขึ้น   เพราะ  เทวดา  พรหม  สัตว์   สัตว์ใน Hell   เปรต  อสุรกาย  ตาย  ก็เกิดใหม่มาเป็นคนได้ คนตายกลายเป็นเปรต  ก็ถือว่า  เกิดใหม่แล้ว การเกิดใหม่  ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนนะ   เกิดเป็นเทวดา  ก็คือเกิดแล้ว เทวดาตาย  ก็เกิดเป็นสัตว์ได้  เกิดเป็น  เปรต  ก็ยังได้ ตามเหตุปัจจัยที่สั่งสมมา คนเข้าใจผิดกันมาก  ตรงจุดนี้ จากคุณ : ไจโรสโคป เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:06:48

ความคิดเห็นที่ 29 อันที่จริงทุกข์ คือความเปลี่ยนแปลง เกิดดับ ฉะนั้น คนที่ยังไม่รู้ทุกข์ ก็เพราะยังไม่พบ หรือเข้าใจว่ามันทุกข์ แบบไหน เพราะตายแล้ว เกิดมาใหม่ มันก็ลืม ของเก่า เห็นมีเกือบทุกชาติเลย น้ำกินแล้วลืมก่อนเกิด ฮ่าๆๆ จากคุณ : .... (@Ble) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:35:54

ความคิดเห็นที่ 30 เปรียบเทียบนะ ธาตุน้ำ หรือ โมเลกุล H2O มีการเวียนสลับเปลี่ยนสถานะอยู่เสมอ เป็นเมฆบ้าง เป็นก้อนน้ำแข็งตามขั้วโลกบ้าง เป็นปัสสาวะของมนุษย์บ้าง เป็นน้ำแร่ในขวดสุดหรูบ้าง เป็นมหาสมุทรบ้าง ฯลฯ สภาพของน้ำแท้ๆ คือแบบไหน ก็ไม่รู้ละ แต่มันมีคุณสมบัติในตัวของมันคือ หลายๆ โมเลกุลเเกาะกุมกัน เหลวได้ แข็งได้ เป็นไอก็ได้ ไม่มีใครกะเกณฑ์ได้ว่า มันเกิดมาตั้งแต่ตอนไหน เปรียบว่า "ความรู้สึกทุกอย่าง" บางทีเรียกว่า จิตบ้าง วิญญาณบ้าง ฯลฯ เป็นธาตุอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นอะไรๆ ที่คล้ายๆ โมเลกุลอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถตรวจจับด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ ขอเรียกว่า ธาตุรู้ แล้วกัน ธาตุรู้นี้ มีคุณสมบัติไปรู้อะไรได้สารพัด รู้ดี รู้ชั่ว รู้ชอบใจ รู้ไม่ชอบใจ รู้วิทยาศาสตร์ รู้ศาสนา รู้เกิด รู้แก่ รู้เจ็บ รู้ตาย รู้ฉลาด รู้งมงาย ฯลฯ ธาตุรู้นี้ ในระยะเวลาหนึ่ง ก็จะไปอยู่ในเซลล์ของโฮโมซาเปียนซาเปียน ในอีกระยะเวลาหนึ่ง ก็ไปอยู่ในเซลล์ของจระเข้ บ้านโนนแดง จังหวัไชยภูมิ ในระยะเวลาหนึ่ง ก็ไปอยู่ในสภาวะของพลังงานระดับละเอียด มันจะแปลกไหม ถ้าธาตุหมุนเวียนได้? จากคุณ : ตะลึงจังงัง เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:43:12

ความคิดเห็นที่ 31   ผมคิดแบบนี้นะ  เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น 1 วัฎสงสาร แต่ ใน 1 วัฎสงสาร มันมี แยกย่อยออกไปอีก เกิดมา ก็ต้องใช้ชีวิต คิดนั้นทำนี่ เรียนรู้ จิปาถะ กว่าจะแก่ เจอเรื่องเยอะแยะ เกิดมาตั้งอยู่ดับไป เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยวัยรุ่น มันเกิดมา ตั้งอยู่ดับไป กี่เรื่องละครับ  จีบสาว ทะเลาะกับเพื่อน เรียนแย่ เรียนดี มีเพื่อน ทะเลาะกับเพื่อน แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว ทำกิจการ เจ้งบ้าง ดีบ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้าง สารพัด จนมาแก่ ถ้าไม่ตายซะก่อนแก่อะนะครับ 1 เรื่องก็ 1story 1ชาติ เกิดมา ตั้งอยู่ดับไป แต่ ยังคงอยู่ในวัฎสงสารใหญ่ ทุกข์ก็ตกนรก สุขก็ขึ้นสวรรค์ ทุกอย่างอยู่ที่ผลของการกระทำของเราเอง ทำดีก็มีสุข ทำไม่ดีก็มีทุกข์  มันวนๆเวียนๆอยู่อย่างนี้ แต่สุดท้าย ตายแล้วตายเลย ไม่งั้นชาติที่แล้วผมก็คงจำตัวผมเองได้ รวมไปถึงอีกหลายพันล้านคนที่จำตัวเองไม่ได้ใช่ชาติก่อน มีแค่จำนวน ไม่กี่คนที่ระลึกชาติได้ แถมแต่ละคนเอามาจอยประวัติศาสตร์ก็ไม่ตรงกันสักคน แปลกดี จากคุณ : CitizenShip เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:44:39

ความคิดเห็นที่ 32 หากบอกว่าความหลงลืม คือการขาดสติ หุๆๆ ฉะนั้น การที่ยังคงอยู่ในวัฏฏสงสารก็การขาดสติ อยางนั้นหรือ หุๆๆ แต่ คือสติ อะไร และปัญญาที่ว่า คือปัญญาอะไรอะไรหละ เพราะทุกคนต่างอยู่อย่างมีสติ ใช่ไหม ฉะนั้น อวิชชา คืออะไร ....... นิพพานเป็นเช่นไร ...... จงอยู่อย่างไม่ประมาท เถิด .... แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 00:48:00 จากคุณ : ..... (@Ble) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:46:53

ความคิดเห็นที่ 33 บางครั้ง บางคน อธิบายอย่างพุทธ บางครั้ง บางคน อธิบายอย่างคริสต์ บางครั้ง บางคน อธิบายอย่างอิสลาม มันอยู่ที่มุมมองในแต่ละศาสนา ถ้าเราตอบอย่างคนมีศาสนา แล้ว ถ้าเราก้าวออกมายืนอยู่ในจุดของคนไม่มีศาสนา เราอาจจะเห็นอะไรที่แตกต่างและทำให้คำตอบต่างออกไปก็ได้นะคะ ส่วนตัวแล้ว เราเห็นด้วยกับเพื่อนคุณค่ะ เราคิดว่าตายแล้วก็จบกัน มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เกิดจากธรรมชาติ ตายไปก็ไปเป็นสสารอยู่ในธรรมชาติ สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก มันก็แค่แปรสภาพไปเท่านั้น จากคุณ : Matriarchal Miaw เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:49:24

ความคิดเห็นที่ 34 คนเราเมื่อสลายไป แต่พวกอะตอมไม่สลายไปด้วย พอมันไปเกาะติดหรือไปรวมตัวเป็นสิ่งใหม่ๆ เช่นหมา แมว โต๊ะ ทีวี แบบนี้เรียกว่าเกิดใหม่ได้ไหม :P จากคุณ : Naruse_X เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:51:03

ความคิดเห็นที่ 35 ห้องหว้ากอควรช่วยกันวิเคราะห์เหตุผลความจริงกันไป  ส่วนการเผยแพร่โดยอ้างอิงรายละเอียดตามความเชื่อที่แต่ละคนศรัทธา ก็ควรหยุดข้อมูลกันไว้ก่อนเพราะผิดหลักของวิทยาศาสตร์และศาสนาที่มีเหตุผล และไม่ใช่ลักษณะของบัณฑิตผู้มีปัญญาเลย การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ ?  ควรพยายามวิเคราะห์เหตุผลตามหลักความรู้ปัจจุบันที่เชื่อถือได้กันต่อไป และเมื่อยังไม่อาจได้ผลทดลองที่สมเหตุสมผลเป็นที่ประจักษ์แท้จริง ก็ยังไม่ควรสรุปผลไปทางใดทางหนึ่ง เหตุผลหนึ่งที่ขอเสนอแนะนั้นเป็นหลักเชิงปรัชญาขององค์ประกอบความมีอยู่ของสรรพสิ่งที่ต้องอาศัยที่สิ่งไม่มีชีวิตเป็นฐานปัจจัยความมีอยู่และดำเนินเป็นปัจจัยสู่การเกิดสิ่งมีชีวิต และต้องมีสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อรับรู้ความมีอยู่ใดๆ จึงจะครบองค์ประกอบความมีอยู่ของสรรพสิ่งได้ หากขาดองค์ประกอบของสิ่งไม่มีชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตด้านใดด้านหนึ่ง ย่อมไม่อาจมีอยู่ของสรรพสิ่งได้เลย เมื่อย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิตเกิดมาควบคู่กับสิ่งไม่มีชีวิตเสมอตามกาลเวลาสถานที่ที่เป็นไป ดังนั้นชีวิตที่เกิดมาแล้วรับรู้เผชิญชีวิตต่อสิ่งต่างๆแล้วต้องตายไปนั้น หากเป็นการตายแล้วสูญ ย่อมถือได้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมสิ้นสูญในห้วงเวลาอันจำกัดหากจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่เกิดมามีจำนวนจำกัด  แต่ถ้าจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่เกิดมามีไม่จำกัดก็ย่อมไม่อาจสิ้นสูญความมีอยู่ของสรรพสิ่งได้ ซึ่งเหตุผลของจำนวนของสิ่งมีชีวิตที่เกิดมามีจำกัดหรือไม่ นั้นเป็นเรื่องที่ควรหาเหตุผลมาอธิบายกันไปสำหรับผู้ที่วิเคราะห์ว่าชีวิตย่อมตายแล้วสูญ แต่ถ้าการเกิดของชีวิตนั้นไม่ใช่การตายแล้วสูญ ก็ย่อมว่าไปตามเหตุผลของผลปัจจัยสิ่งไม่มีชีวิตใดๆนั้นจะเป็นปัจจัยไปสู่การเกิดสิ่งมีชีวิตตามกาลเวลาสถานที่ได้หรือไม่  หากมีอาการตายของสิ่งมีชีวิต ณ กาลเวลาสถานที่ใดๆแล้วจะมีสิ่งไม่มีชีวิตเป็นฐานปัจจัยรองรับการเกิดตามกาลเวลาสถานที่ได้สมเหตุสมผลเพียงไร ฯลฯ ผู้ที่วิเคราะห์ว่าชีวิตย่อมตายแล้วเกิดใหม่นั้นควรหาเหตุผลมาอธิบายกันไป จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 01:12:16

ความคิดเห็นที่ 36 เราจะคิดแบบไหน จักรวาลก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดเสมอไป เราจะเชื่อแบบไหน จักรวาลก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราเชื่อเสมอไป เราจะหวังแบบไหน จักรวาลก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราหวังเสมอไป จากคุณ : ตะลึงจังงัง เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 01:16:00

ความคิดเห็นที่ 37 ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องเกิดแก่เจ็บตายของพระพุทธเจ้าเท่าไรนะครับ แต่เราควรจะตั้งข้อสงสัยว่าท่านพิสูจน์มาได้ยังไงก่อน เอาเป็นว่า เราก็ต้องเข้าใจว่าพระองค์มองเห็นบางอย่างที่คนในสมัยยังไม่เห็น เพราะองค์อาจจะเป็นบุคคลแรกๆที่รู้ว่าเกิดมาแล้วตัวเองต้องตาย เพราะสมัยนั้น(ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าคนสมัยนั้นรู้ตัวไหมว่าจะต้องตาย)อาจจะไม่เข้าใจชีวิตเลยก็เป็นได้(ดูได้จากความเชื่อในอารยธรรมโบราณต่างๆ) และในอารยธรรม อย่างอียิปต์ ก็มีการพูดถึงเรื่องการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแต่อยู่ในรูปของตัวตนดังเดิมที่มีความจำอยู่เต็มเปี่ยม อะไรมีผลให้พระพุทธเจ้าคิดเช่ยนั้น เมื่อพระองค์ทรงเห็น คนแก่ คนเจ็บ และ คนตาย แล้วก็เห็นคนเกิด (ลำดับที่แน่นอนผมก็ม่รู้ว่าจริงๆพระองค์ ลำดับอย่างไร แต่คิดว่าคงไม่ส่งผลต่อความคิดในแง่ความสัมพันธ์มากสัก) อาจจะทำให้พระองค์เข้าใจไปเองว่า เมื่อคนมันเจ็บ ตาย แล้วก็ต้องเกิด เอะแล้ว ต้นไม้ยังเกิดได้มากมาย สัตว์ยังออกลูกได้มาก ทำไมมนุษย์จะออกลูกออกหลานเยอะๆไม่ได้ ขนาดบ้าขนาดวังก็เท่าเดิม ทำไมคนถึงเพิ่มขึ้นได้ ถ้าหากโลกมีขนาดเท่าเดิม มนุษย์ก็มีสิทธิ์ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถ้าวนเกิดเวียนตายแค่นี้ก็ต้องไม่เพิ่มขึ้นซิ เอะทำไมถึงเพิ่มขึ้นนะ ท่านก็เข้าใจเรื่องกรรมเข้ามา(ส่วนนี้ผมเข้าใจเองนะครับ) ก็สามารถแบ่ง คลาส การเกิดได้โดย อาศัยสิ่งที่เรียกว่าบุญกับบาป และสิ่งที่ผมเข้าใจหลักจริงๆของศาสนาพุทธคืออริยสัจสี่นะครับ(อาจสมมติฐานผิด) เข้าใจว่าการที่พระองค์ สอนเรื่องระบบความคิดให้แก่ปัญจวคีย์ ทั้งห้า คงจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญในเนื้อความของศาสนาพุทธทั้งหมด http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000165.htm อ่านดูในเว็บนี้ดูคร่าวๆก่อนก็ได้ครับ ในเนื้อความจะเห็นว่าพระองค์ก็ทรงพูดถึง ภพหน้า ตั้งแต่ ปฐมเทศนา แสดงว่าพระองค์คิด ระบบกรรมเอาไว้ก่อนแล้วอย่างถ้วนถี่ ในช่วงเวลาหลังออกบวชซึ่งน่าจะเป็นช่วงหลังจากทรมานร่างกาย แต่ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นมากๆในการที่พระองค์หยิบนำแนวคิดที่ใหม่มากๆในยุคนั้นมาจากการสังเกตธรรมชาติ ซึ่งใครคิดได้แตกต่างมากๆในช่วงเวลาอย่างนั้นก็ถือว่าเก่งพอสมควรนะครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำการศึกษาจริงจังว่าช่วงนั้นพระองค์ได้พบเจออะไรบ้างหลังจากปัญจวคีย์ละทิ้งพระองค์ไป(แต่น่าจะมีในพระไตรปิฎกมั้ง) (แว้บไปอ่านพระพุทธประวัติมา) ช่วงหลังจากทรงเลิกทรมานร่างกายตนเองแล้ว ก็มีแต่เรื่องปฏิหาริย์อย่างเดียวเลยอ่ะ = =" ไม่มีเรื่องว่าเจอใครเท่าไรเลยมีเจอ สองคนเอง คือนางสุชาดา ถวายข้าวปายาส กับ โสถิยะพราหมณ์น้อมถวายหญ้าคา ๘ กำ อืมมๆ แล้วจริงๆพระองค์เจออะไรบ้างล่ะเนี่ยถึงคิด เรื่อง ภาพนี้ได้ อ่านดู ก็ เจอว่าพระองค์นั่งสมาธิ แล้วเจอพญามาร พระองค์ก็พูดประโยคนี้ด้วยอ่ะ "ดูกรพญามาร บัลลังก์แก้วนี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมา ที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังไขยยกัปป์ จะนับจะประมาณมิได้ ดังนั้น อาตมาผู้เดียวเท่านั้น สมควรจะนั่ง ผู้อื่นไม่สมควรเลย" แสดงว่าท่านอาจจะเข้าใจมาก่อนหน้านั้นแล้วหรอว่ามี สิ่งที่เรียกว่าอสังไขยยกัปป์ และมีสิ่งที่เรียกว่าบุญเก่า ด้วย อืมม มันเหนือจินตนาการแหะ อีกอย่าง ไตรปิฎกก็มาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน น่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่ได้มีการเตรียมการบันทึกเรื่องต่างๆเอาไว้ก่อนเลยเห็นได้ว่าคนสมัยนั้นแถบจะไม่นึกถึงความตายเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งด้วย อีกอย่างที่ยังไม่ได้ศึกษาจากพระไตรปิฎกคือ ไม่รู้ว่ามีตอนไหนกล่าวว่าพระองค์เล่าเรื่องราวของตัวเองให้แก่ศาสยานุศิษย์ ฟังบ้างไหม ถ้ามีเป็นช่วงไหนของชีวิต ทำไมพระไตรปิฎก เขียนได้ละเอียด จัง = =" ผมว่า ช่วงที่พระองค์ เลิกทรมาน ร่างกาย คงเป็นช่วงที่ ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์ไปเจออะไรมาบ้างเราก็ไม่สามารถวิเคาระห์ได้เต็มที่ว่า ความคิดนี้มัน ยืนพื้นฐานจากเรื่องอะไรมาบ้าง แต่ถือว่าน่าสนใจในระดับหนึ่งทีเดียวนะเนี่ย แต่สิ่งที่พิสูจน์ว่ามี เรื่องเวียนว่ายตายเกิดก็คือพวกคนที่ระลึกชาติได้อ่ะ หลักฐานก็มีอยู่นะ พยานก็มี เพราะเค้าโกหกไปก็ไม่ได้อะไร ก็ถือเป็นพยานอ้างได้ในระดับหนึ่งแหละใช่ป่ะ แต่ที่ว่าพระพุทธเจ้าคิดมาได้ยังไงตั้งหากที่เป็นปริศนา คาใจคนทั้งโลก ที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎก มันน่าเชื่อถือแค่ไหน อะไรคือเรื่องจริงอะไรคือเรื่องแต่งบ้าง ผมว่าคงไม่ใช่อยู่จะมีบัลลังก์แก้วโผล่มาจากพื้นหรอกมั้งครับดูล่ะมั้งขัดกฏทรงมวลชอบกล ถึงแม้จะเป็นกฏแต่ก็ใช้ได้จริงในเงื่อนไขบ้างอย่างนะครับ เอาเถอะๆ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 02:19:00 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 02:10:38 จากคุณ : อะไรๆก็แพนด้า เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 02:09:17

ความคิดเห็นที่ 38 เชื่อ ตอบ คห. 4 ใช่แล้ว 1 ศพ = 1 วิญญาณ แต่ 1 นั้นเกิดใหม่ไปเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้แต่สัตว์เซลเดียว (แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิต) "แล้วทำไมจำนวนคนในปัจจุบันถึงเพิ่มขึ้น"...คำตอบเดียวกันคือ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้แต่สัตว์มาเกิดเป็นคน "แล้วจุดเริ่มต้นของชาติที่ 1 อยู่ที่ไหน"...ของนี้เป็นเหตุจากกรรม อธิบายลำบาก สนับสนุน คห.7 ภูมิมนุษย์เป็น 1 ใน 31 ภพภูมิครับ แต่สวรรค์นั้นคือความสุข ที่เรารับรู้ได้ เช่นบุคคลที่เกิดมาครบบริบูรณ์ เงินทองจากวงศ์ตระกูลดีนั้น เนื่องจากบุญกุศลให้เกิดจึงสมบูรณ์พูนสุข บางคนเกิดในวงศ์ตระกูลดีแต่พิการก็เกิดจากกรรม และนรกนั้นคือความทุกข์ ที่เรารับรู้ได้ เช่น บุคคลที่เกิดมาทนทุกข์ทรมาน ยากจน ไม่มีที่พึ่ง เนื่องจากไม่หมั่นทำกุศล และมีกรรมที่ก่อไว้ ตลอด จนการไปเกิดเป็นสัตว์ลงไปจนถึงสัตว์เซลเดียว สัตว์เหล่านี้มีความรู้สึกและดำเนินกายไปตามสัญชาตญานกำหนดกรรมได้ยาก ไม่เหมือนมนุษย์ ที่สามารถกำหนดได้ว่าจะฆ่าหรือทานเจ เพื่อประทังชีพ กรรม นั้นหมายถึงการกระทำ มีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม หากทำกรรมใดก็ตามหากชดใช้กรรมนั้นไม่หมดในชาตินี้ เวรก็จะตามไปในชาติต่อไป จึงไม่แปลกที่จะมีคนบ่นว่า "เป็นเวรเป็นกรรมอะไรหนอ" เวรกรรมตามทันในชาตินี้ เนื่องจากการยังไม่หมดอายุขัยของสังขาร แต่ถ้าหมดอายุ ซะก่อนเวรก็จะไปจองกระทำในชาติต่อไป หรือที่เรียกกันว่า "จองเวร" อีกเรื่องคือ พรสวรรค์ บางคนเกิดมาฉลาดหลักแหลมเป็นแพทย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ได้นั้นเกิดจากการเพียรเรียนรู้จากอดีตชาติ ติดตามมาใน ชาตินี้ไม่ลืมหายเหมือนเหตุการณ์ประจำวันทั่วไป จากคุณ : nucha2005 เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 02:56:24

ความคิดเห็นที่ 39   ใครเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อพุทธทาส ช่วยหลังไมค์มาหาผมหน่อยครับ อยากสนทนาข้อธรรมะด้วย นิดหน่อย ............................... ตอบ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด   ดร.เอียน สตีเวนสัน ได้เคยมาเมืองไทย และได้ปาฐกถาที่เมืองไทย เรื่องการกลับชาติมาเกิด ของคนทั่วโลก จากคุณ : SuperMox เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 04:01:05

ความคิดเห็นที่ 40 ขอกามแย้งด้วยความสงสัย จริงๆ ถ้าไปเกิดเป็น แบคทีเรีย จะทำบุญทำบาปอย่างไร ถึงจะได้กลับมาเกิดใหม่เป็นคน จากคุณ : oldzvic เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 05:40:04

ความคิดเห็นที่ 41   ผมก็ไม่บังอาจเรียกตนเองว่าเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อพุทธทาส ได้นะครับแต่ก็ศึกษางานของท่านมาบ้าง ในกรณีเรื่องเวียนว่ายตายเกิด มีชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า ภพภูมืต่างๆ มันเป็นเรื่องของคนที่พูดกันก่อนพระพุทธเจ้า ท่านพุทธทาสกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนวัฏฏสงสาร หยาบๆโง่ๆ อย่างนั้น " ขอเน้นนะครับว่าหยาบๆโง่ๆ วัฏฏสงสาร ที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆก็คือ วัฏฏสงสารที่อยู่ในจิตใจคนเรา คือเมื่อบุคคลอยากอะไรมันเป็น กิเลส, เมื่อบุคคลทำอะไรตามอยากนี้มันเป็นกรรม กรรมมันก็เกิดผลที่คนได้รับ นี่หล่ะวัฏฏสงสารที่เกิดขึ้นทุกว้นวนเวียนในจิตใจคน จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 10:22:28 A:99.172.9.44 X:

ความคิดเห็นที่ 42   ทุกวันนี้ ก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะเชื่อ ฝั่งไหนดี แต่ก็เฝ้า รอการ พิสูจน์ หา ค่า K แห่งนิพพานนั้นอยู่ ใคร พอมีไอเดีย ช่วยหน่อยครับ ถามมาหลายที่แล้ว ไม่ได้คำตอบ แบบพิสูจน์ได้ชัดๆ สักที --- ศาสนาพุทธ เชื่อใน การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่า การเข้าถึง พระนิพพาน คือ วิถีทางเดียว ที่จะทำให้ชีวิตทั้งมวล หลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ถ้า กำหนดให้ K คือ ค่าคงที่ แทนจำนวนสิ่งเวียนว่ายตายเกิด ในตอนต้น (ของทุกสากลจักรวาล-ทุกภพ) ก่อนมีการเข้าสู่ นิพพาน เป็นครั้งแรก จำนวนสิ่งเวียนว่ายในทุกจักรวาล-ทุกภพ ในปัจจุบัน = K - จำนวนผู้บรรลุนิพพานแล้ว --- คำถาม 1. ค่า K = ? 2. อะไร เป็นตัวกำหนด ค่า K ให้เท่ากับ เท่านั้น และ ทำไมไม่เป็นค่าอื่น จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 10:43:36 A:61.90.90.148 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 43   ^ ^ ^ ^ พระท่านก็บอกแล้วว่าเป็นวัฏฏสงสารแบบ หยาบๆโง่ๆ ก็ยังจะเชื่อแบบนี้อยู่อีกนะ จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 10:53:16 A:99.172.9.44 X:

ความคิดเห็นที่ 44   คำว่า เริ่มต้น คำว่า สิ้นสุด คำว่า ก่อน คำว่า หลัง เป็นความเชื่อชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์ให้ค่า เพื่อตอบสนองต่อ แก่ปรากฏการณ์ จำนวนมีอยู่จริงหรือ หรือเป็นเพียงความคาดเดาเก็งความจริงตาม ขีดจำกัดของการตรวจสอบที่ไม่น่าไว้วางใจของมนุษย์ จากคุณ : ก้อนกรวด เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 13:10:27 A:118.172.54.205 X: TicketID:121602

ความคิดเห็นที่ 45 สำหรับผม เป็นคำถามที่ไม่มีความหมาย และไม่ต้องตอบให้เสียเวลาคิด เชื่อ ไม่เชื่อ จริง ไม่จริง ไม่เห็นว่าชีวิตของผม  ณ ปัจจุบัน จะเปลี่ยนไปได้สักกี่มากน้อย จากคุณ : sproutshift เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 17:19:19

ความคิดเห็นที่ 46 หลวงตามหาบัวท่านสอนว่า " จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ออกจากร่างนี้ไปสู่ร่างนี้ เกิดเรื่อยไปจนถึงชาติสุดท้าย ชาติที่บริสุทธิ์ถึงมรรคผลนิพพาน บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี เปรต ผี เทวบุตร เทวดา มี อินทร์พรหมมี มรรคผลนิพพานมี " ตอนนี้ภูมิความรู้ของผมยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่หลวงตาพูดจริงหรือไม่จริง แต่ว่าปฏิบัติตามคำสอนของหลวงตาแล้ว ทุกข์น้อยลงจริง จิตสงบจริง จากคุณ : เหล็กแหนบ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 17:38:10

ความคิดเห็นที่ 47 นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ดวงจันทร์มีจริง ฝนดาวตกมีจริง คลื่นไมโครเวฟมีจริง คลื่นโทรศัพท์มือถือมีจริง หอเอนเมืองปิซ่ามีจริง รัฐอาร์คันซอส์มีจริง ป้อมอลาโมมีจริง ตลาดสามชุกมีจริง สวนจตุจักรมีจริง รังสีอุลตร้าไวโอเลทมีจริง เส้น A1 ของอุณหภูมิมีจริง ปลากริมไข่เต่ามีจริง ผมก็เชื่อนะ ถึงแม้ว่าบางอย่างผมรับรู้ได้ บางอย่างผมยังรับรู้ไม่ได้ก้เชื่อเหมือนกัน จากคุณ : เหล็กแหนบ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 17:44:53

ความคิดเห็นที่ 48 เชื่อครับ อธิบายยากครับ เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ก็เป็นบุญยิ่งของมนุษย์แล้วครับ เรื่องจะมาเถียงกันในเว็บบอร์ดมันเสียเวลาเปล่า ใครไม่เชื่อก็ช่างเถอะครับ ถ้าบุญยังมีคงได้รับรู้เข้าสักวัน แต่ถ้าตายซะก่อนก็น่าเสียดายครับ จากคุณ : sehen เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:00:42

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องพวกนี้ผมคิดว่าเป็นความเชื่อและมุมมองของแต่ละคนล้วนๆ ก่อนอื่นถ้าคิดที่จะศึกษาก็ควรต้องทำใจให้เป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่เอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ใช้ข้อมูลจากสื่อต่างๆประกอบกับความคิด ส่วนตัวผมเรื่องพวกนี้ทุกวันนี้ผมยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งครับ เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ศึกษา อยากให้ลองหาหนังสือเล่มหนึ่งอ่านดูครับ "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" จำไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นหนังสือของใคร แต่ที่แนะนำเพราะเป็นหนังสือที่มีความรักมาเกี่ยวข้อง ออกไปทางด้านนิยายเล็กน้อย จึงไม่น่าเบื่อ เนื้อหาในหนังสือก็คือการใช้ระลึกชาติบำบัดของหมอผู้หนึ่งรักษาคนสองคน ซึ่งไม่เคยพบเจอกัน และไม่ได้รักษาพร้อมกัน จนในสุดท้ายหลายๆชาติที่ระลึกได้ตรงและใกล้เคียงกัน อย่างที่หลายคนพูดว่าทำไมถ้าเวียนว่ายตายเกิดจริงแล้วถึงมีประชากรเพิ่ม ถ้าผมเป็นคนที่เชื่อสนิทใจ ผมจะอธิบายว่าดวงวิญญาณไม่ได้จำเป็นต้องเป็นมนุษย์ อาจเป็นสัตว์มาก่อน เทวดา หรือแม้แต่ชาติที่เราจะเกิดใหม่เราก็จะไปเป็นสัตว์ ประมาณนี้ครับ อย่างไรก็ดี เมื่อครั้งหนึ่งเราได้เกิดมาแล้ว แม้จะเป็นชาติแรกและชาติสุดท้าย แต่สิ่งที่จะอยู่กับโลกนี้ก็คือสิ่งที่เรากระทำไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ความดีจะถูกจาลึกลงในแผ่นหินอ่อน หรือความเลวที่จะถูกตราหน้าในบัญชีตำรวจ นี่แหละที่คุณเลือกเองได้... จากคุณ : Mr.Kaidow เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 23:03:51

ความคิดเห็นที่ 50 ส่วนใหญ่ผมอยู่ห้องสีลมครับ วันนี้เผอิญได้มีโอกาสเข้าหว้ากอ ก็มาเจอกระทู้ที่น่าสนใจนี้ ผมไม่เก่งด้านวิทยาศาสตร์นะครับ แต่ผมเชื่อเรื่องการ เวียนว่ายตายเกิดครับ หลายๆครั้งผมเองก็คิดว่า คงเป็นเล่ห์กลของคนยุคก่อน มาหลอกให้เรากลัวบาปจะได้ไม่ทำบาป ทำแต่ความดี แต่ถ้าผมมีลูกมีหลานก็จะสอนให้เขาเชื่อเช่นกันนะครับ เพื่อจะได้กลัวบาป กลัวการตกนรก เพื่อที่จะได้เป็นคนที่ดีมีศีลธรรม ทำให้สังคมเรามีความสุขและน่าอยู่ครับ หากผมไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ผมคงใช้อำนาจในการงานในทางที่ไม่ดี หรือทำทุกทางเพื่อให้ได้เงินหรือของที่อยากได้มาแน่ๆครับ เพราะตอนนี้ผมก็เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมหลายคนทำเช่นนั้นอยู่โดยไม่กลัวเลยว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไร ขอแค่เสวยสุขในชาตินี้ก็พอ ผมเชื่อในเรื่องนี้ ผมเลยไม่เคยโกงใคร และพยายามเลี่ยงบาปทั้งปวง เพราะหวังว่าถ้าเกิดชาติหน้า จะได้เกิดเป็นคนสมบูรณ์ไม่ทรมานน่ะครับ จากคุณ : ม้าดีกำลังเยี่ยม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 23:11:50

ความคิดเห็นที่ 51   โชคดีนะห้องนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ไม่งั้นมีทะเลาะกันยืดเยื้อแน่ อิสลามกับคริสต์ไม่เชื่อเรื่องนี้นะครับ จากคุณ : ชายเหงา เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 10:18:41 A:192.168.1.1 X:203.107.154.223 TicketID:230642

ความคิดเห็นที่ 52 มันกึ่งๆเชื่อหรือไม่เชื่อนะสำหรับผม 50/50 เพราะว่าทำไมมีแต่ คนเท่านั้นที่เวียนว่าย สัตว์อีกนับพัน มันก้อเป็นสิ่งมีชีวิต มีการทำกรรม เหมือนกัน ทำไมคนเราเท่านั้นถึงมี หลักการแบบนี้ แล้วการเวียนว่ายมาเกิดใหม่ มันจะมีประโยชน์อันใดเล่า ถ้าคนๆนั้นไม่สมารถรับรู้ได้ว่าตัวเองเวียนมาเกิดใหม่ แบบนี้แล้ว มันก้อไร้ซึ่งเหตุที่เราจะไปถามหาเหตุผล อะ ไม่ได้ลบหลู่นะเพียงแต่คิดเฉยๆตามหลักอะ จากคุณ : อาท (chan ty) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 10:20:30

ความคิดเห็นที่ 53 อาจารย์เคยสอนว่า ที่เราเกิดมาเพราะชดใช้กรรมของชาติที่แล้ว เราเลยถามว่า "คนเราก่อนจะชดใช้กรรมในชาติถัดมาต้องมีชาติแรก แล้วชาติแรกจะเอากรรมที่ไหนมาชดใช้ล่ะค่ะ " วันนั้นก็เลยยังสรุปไม่ได้ว่า ทำไมคนเราถึงเกิดมา ? ยังไม่เคียร์เหมือนกัน แต่เราเชื่อว่า ตายแล้วก็คือจบ ไม่มีเกิดมาใหม่หรอก จากคุณ : ประธานสมาคมTakahiroแห่งExile เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 16:28:59

ความคิดเห็นที่ 54 เราคิดว่า ทุกสิ่งที่ทุกคนนึกคุณเชื่อหรือพูดออกมา จริงๆแล้ว ใจความของแก่นแท้ มันมีแค่นิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ และเรียบง่ายสุดๆด้วย แต่เรายังหาคำมาอธิบายมันไม่ได้ เพราะเราไม่เข้าใจ ส่วนตัวแล้วไม่อยากจะเชื่อเรื่องเทพ นรก สวรรค์ ซักเท่าไหร่เพราะแต่ละศาสนาก็ไม่เหมือนกันเป๊ะ มันมีข้อสงสัยเพียบสำหรับเรา แต่เรื่องชาติก่อนชาติหน้ากลับมีแนวโน้มที่จะเชื่อมาก ไม่รู้ทำไม แต่เราคิดบ่อยๆถึงทุ่งสีเขียวกว้างๆ มีแสงอบอุ่น มีสายลม และสามารถวิ่งได้เท่าที่ใจอยากวิ่ง แค่นี้เราก็สุขล้นแล้วล่ะ ถ้าตอบแนวจิตวิทยา ก็อาจจะได้มากมาย แต่คำตอบสำหรับเราจริงๆน่ะ ... ยากเหลือเกินที่จะเรียบเรียงเป็นคำพูดออกมาได้ ปล.วันก่อนดูสารคดีพาเที่ยวเกี่ยวกับรีสอร์ทที่เคยเป็นเหมืองในเมกา เราดันน้ำตาล้นเอ่อออกมาซะงั้น เข้าใจยากจริงๆ.. จากคุณ : หมาป่าเงอะงะ เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 18:07:33

ความคิดเห็นที่ 55 นังจวนมันยังมาเกิดใหม่เป็นหนูยิ้มเลย ในเรื่องนี้มีสรรพนามใหม่ด้วย นะ ...เจ้าคุณแม่ จากคุณ : satitp เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 09:45:36

ความคิดเห็นที่ 56 จริงๆศาสนาพุทธก็กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แค่ผิวเผินเท่านั้น เช่น เวอธิบายสวรรค์วิวาน พรหม ฯลฯ ก็จะอธิบายในเชิงว่ากว้างเท่านั้น ยาวเท่านี้ มีรัศมีอย่างนั้นนี้ มีความเป็นอยู่(คร่าวๆ)อย่างนี้ๆ เป็นต้น เรื่องเวียนว่ายตายเกิดมีคำอธิบายดังนี้ 1. เป็นอจินไตย = ไม่ควรตรึกตรอง คิดถึง เพราะเกินกว่าความเข้าใจได้ และไม่มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรม 2. หาต้นไม่ได้หาปลายไม่เจอ 3. เป็นไปตาม "กรรม" 4. พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วย "นิพพาน" ส่วนตัวขอตอบคำถามบางคำถามที่หลายๆท่านอาจจะถามขึ้นเล่นๆว่า การที่มนุษย์ปัจจุบันเพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ 1. เป็นไปตามเหตุปัจจัย = คนมา "ผลิต" ลูกหลานมาก จำนวนคนก็เยอะขึ้น 2. จำนวนคนในโลกเพิ่ม แต่จำนวนสัตว์ในนรก หรือสวรรค์ หรือภพอื่นๆอาจจะลดลงก็ได้ 3. ไม่จำเป็นที่คนตายแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นคน เช่นเดียวกับสัตว์ในภพภูมิอื่นๆ *ขอย้ำว่าศาสนาพุทธสอนว่าสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าในภพภูมิใด ต่างเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น ปล. ประเด็นอื่นๆมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลในตรรกะของพุทธฯ ส่วมารถศึกษา หรือหาอ่านได้จากอภิธรรมปิฎก จากคุณ : 44SFA1 เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 08:53:37

ความคิดเห็นที่ 57   ประชากรเพิ่มขึ้น เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้อัตราการตายของทารกแรกเกิดน้อยลงกว่าสมัยก่อน ในอดีตมีช่วงที่ประชากรเพิ่มขึ้นในอัตรา%ที่มากกว่าปัจจุบัน นั่นเป็นเพราะประชากรไม่มีความรุ้เรื่องการคุมกำเนิด แต่ปัจจุบันการศึกษาก้าวไกลมากขึ้น + กับความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้การมีบุตรนั้นเราสามารถควบคุมได้ ทั้งนี้อาจจะเป็นไปได้ที่ว่า มีดวงวิญญาณมากมายต้องการที่จะเกิด แต่ยังไม่มีโอกาส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยนั้นๆด้วย จากคุณ : ปลาทะเลน้ำลึก เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 12:02:08