ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่าขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมมากกว่าครับ จากคุณ : aimmobile เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 19:55:51

ความคิดเห็นที่ 2 ใครเหรอ? ฮอบส์ กะ วิลเลียมสัน เนี่ย จากคุณ : Ponyo เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 19:58:16

ความคิดเห็นที่ 3 คนอี้โก้สูงมักจะเอาความคิดของตัวเองตัดสินคนทั้งโลก กรณีนี้คนที่เป็นเจ้าของบทความก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:03:14

ความคิดเห็นที่ 4   คห 2 ไม่รู้จักเหรอ งั้นขอเชิญทำความรู้จักกับเขาได้ที่นี่เลยครับ ทอมัส ฮอบส์ ผู้ค้นคิดทฤษฎีสัญญาประชาคม http://www.sarakadee.com/feature/2000/09/thomas.htm จากคุณ : เจ้าของกระทู้ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:07:26 A:118.172.94.138 X: TicketID:232826

ความคิดเห็นที่ 5 จริงครับ  และคนดี ๆ  มีแต่ในละคร d~_~b แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 20:26:04 จากคุณ : Sakuder เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:25:48

ความคิดเห็นที่ 6 นักรัฐศาสตร์ก็จะคิดแบบนี้แหละครับ เพราะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์จากการเมือง การเมืองไม่มองคนเป็นคนดีหรอกครับ ถ้าคนเป็นคนดี ปกครองตัวเองได้ก็ไม่ต้องมีกฏหมาย และผู้ปกครอง โดยส่วนตัวผมเห็นว่าคนเราเห็นแก่ตัวโดยกำเนิดครับ สังเกตว่าเด็กจะเอาแต่ใจ และเอาแต่ได้ อย่างไรก็ตามคนเราก็เปลี่ยนแปลงได้ เพราะความพยายามในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นจะบังคับให้เราเปลี่ยนนิสัย จากคุณ : suman เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:30:55

ความคิดเห็นที่ 7 ก็อาจจะจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละครับ จากคุณ : ปล่อยไก่ (ด้านมืดในใจคุณ) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:31:39

ความคิดเห็นที่ 8 มีทั้งดีและเลวครับ แต่ถ้ามองภาพรวมจะออกไปทางเลวครับ เพราะคนเลวจะทำอะไรเลวๆตามใจชอบ และคนดีชอบเอาแต่อยู่เงียบๆไม่ต่อต้าน (อย่างมากก็แค่มาบ่นในเน็ต) ปล่อยให้ความเลวบดบังความดีจนหมด จากคุณ : Naruse_X เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:45:52

ความคิดเห็นที่ 9 มีส่วน .... ค่อนข้างเห็นด้วย จากคุณ : ฝนฟ้ากะพายุ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 20:48:56

ความคิดเห็นที่ 10   คัดมาบางส่วน เพื่อขยายความให้ได้รายละเอียดมากขึ้น ------------------------------------------------------------------------------------- มีเพียง "ความรักตัวกลัวตาย" (fear of death) เท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ได้คิด สำหรับฮอบส์แล้ว มนุษย์มิได้ต่างจากสัตว์ในแง่ที่มีจิตใจประเสริฐกว่า หากแต่มนุษย์เป็นจักรกลที่รู้จักคำนวณผลได้ผลเสีย จากการกระทำต่างๆ ของตน นั่นคือ รู้จักคิดด้วยเหตุผลมากกว่าสัตว์อื่น มนุษย์จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะแสวงหาสันติภาพร่วมกัน มากกว่าที่จะเบียดเบียน ทำลายล้างกันอยู่เช่นนี้ ในความคิดดังกล่าว ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ก็ยังคงดำรงอยู่เช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็น "ความเห็นแก่ตัวแบบยั่งยืน" เพราะกำกับไว้ด้วยสติปัญญา มิใช่เห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา เอาแต่ได้ จนในที่สุดไม่มีใครได้อะไรเลยอย่างแต่ก่อน ---------------------------------------------------------------------------------- ฮอบส์พบว่ามนุษย์ในสภาพธรรมชาติ มิใช่สิ่งที่โสภาน่าชื่นชม หากกล่าวเปรียบด้วยภาษาแบบปัจจุบัน มนุษย์ก็เป็นเหมือนหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้มุ่งแสวงหาความพึงพอใจใส่ตนอย่างไม่มีขีดจำกัด มนุษย์จึงเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ต่างคนต่างมุ่งเอาเปรียบผู้อื่น บังคับให้ผู้อื่นทำตามใจตน และถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ในสภาพธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ จึงแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ดังฮอบส์กล่าวว่า "หากมนุษย์สองคนปรารถนาในสิ่งเดียวกัน ซึ่งไม่มีวิธีใดที่เขาทั้งสองจะแบ่งปันกันได้ เขาก็ย่อมกลายเป็นศัตรูกัน และในอันที่จะบรรลุเป้าหมายของแต่ละคน ซึ่งได้แก่การธำรงรักษาตน (their own conservation) เป็นหลัก และบางครั้งเพียงเพื่อความสุขสมอารมณ์หมายของตน (their delectation only) ทั้งคู่ก็จะเพียรพยายามทำลายล้าง หรือสยบซึ่งกันและกัน" ตามตรรกะของป่าดงดิบ นี้ ย่อมไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ ทั้งสิ้นว่าอะไรถูก อะไรผิด สิ่งใดเป็นธรรม สิ่งใดไม่เป็นธรรม หรือหากแม้นว่ามีการแยกแยะดังกล่าว ก็คงไม่มีเกณฑ์ที่ใช้เป็นมาตรฐานร่วมกันได้เลย ทั้งนี้เพราะ "ตราบใดที่มนุษย์ยังดำรงอยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง (ซึ่งก็คือภาวะการมุ่งทำลายล้างกัน) เขาก็จะใช้ความปรารถนาเฉพาะตนของเขา เป็นมาตรวัดว่าอะไรดี อะไรเลว" การยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ เป็นเหตุให้เกิดการพิพาทกันในทุกๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ และศักดิ์ศรี มนุษย์จะใช้กำลังแก่งแย่งชิงดี และเบียดเบียนกันอยู่ตลอดเวลา จนหาความสงบสุขมิได้ ความขัดแย้งอันไม่มีที่ยุติดังกล่าว จึงเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความหายนะของทุกคนร่วมกัน กล่าวคือ "หากพฤติกรรมของมนุษย์ถูกชี้นำด้วยความคิดเห็นส่วนตน และความปรารถนาส่วนตนเพียงถ่ายเดียว พวกเขาจะไม่มีทางปกป้องคุ้มครองตนเอง จากศัตรูภายนอก หรือจากการเบียดเบียนกันเองได้เลย" ในภาวะมิคสัญญีที่ "มนุษย์กลายเป็นหมาป่าสำหรับมนุษย์ด้วยกัน" (Homo homini lupus) นี้ มีเพียง "ความรักตัวกลัวตาย" (fear of death) เท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ได้คิด สำหรับฮอบส์แล้ว มนุษย์มิได้ต่างจากสัตว์ในแง่ที่มีจิตใจประเสริฐกว่า หากแต่มนุษย์เป็นจักรกลที่รู้จักคำนวณผลได้ผลเสีย จากการกระทำต่างๆ ของตน นั่นคือ รู้จักคิดด้วยเหตุผลมากกว่าสัตว์อื่น มนุษย์จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะแสวงหาสันติภาพร่วมกัน มากกว่าที่จะเบียดเบียน ทำลายล้างกันอยู่เช่นนี้ ในความคิดดังกล่าว ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ก็ยังคงดำรงอยู่เช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็น "ความเห็นแก่ตัวแบบยั่งยืน" เพราะกำกับไว้ด้วยสติปัญญา มิใช่เห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา เอาแต่ได้ จนในที่สุดไม่มีใครได้อะไรเลยอย่างแต่ก่อน http://www.sarakadee.com/feature/2000/09/thomas.htm จากคุณ : เจ้าของกระทู้ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:02:16 A:118.172.94.138 X: TicketID:232826

ความคิดเห็นที่ 11 อย่างน้อย ผมก็มี ความรัก จากคุณ : 1812Overtureyoot เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:07:31

ความคิดเห็นที่ 12 คนที่เกิดมาเหมือนผ้าขาวไม่จริงแน่ๆ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเสริฐเพราะเราเรียนรู้จากการอบรมสั่งสอน ทำให้รู้จักผิดชอบชั่วดี และมีสมองส่วนที่ยับยั่งการกระทำตามสัญชาตญาณ ลองคิดดูหากเราปล่อยให้เด็กเกิดมาและมีชีวิตโดยไม่มีการสั่งสอน คงคล้ายลิงใหญ่ที่ไม่มีขนและหาง ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ แต่พื้นฐานมนุษย์เป็นสัตว์ช่างเลือก มักจะเลือกอะไรที่เป็นผลประโยชน์ต่อตนให้มากที่สุด เท่าที่สมองจะทำได้ โดยที่ผลประโยชน์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับมุมมองต่อผลประโยชน์นั้น ทำให้คนมาอยู่รวมกันได้ จากคุณ : Megrim เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:15:06

ความคิดเห็นที่ 13   แถมอีกนิด ---------------------------------------------------------------------------------- ฮอบส์มองสรรพสิ่งในโลกว่า ล้วนดำเนินไปตามกลไกที่อาศัยแรงขับเคลื่อน (movement) ทางกายภาพ ซึ่งตัวมนุษย์ก็อยู่ในข่ายของกฎสากลดังกล่าว และมิใช่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกาย (แรงขับเคลื่อนจากการไหลเวียนของโลหิต) แต่ยังรวมถึงส่วนที่เรียกว่า "จิตใจ" (mind) อีกด้วย สำหรับฮอบส์ การรับรู้ด้วยผัสสะ และอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เป็นการตอบสนองด้วยแรงขับเคลื่อนภายใน ต่อแรงกระทำจากภายนอก แรงขับเคลื่อนภายในนี้ ส่งทอดต่อไปยังสมอง ก่อเกิดเป็นความคิด (idea) และทิ้งร่องรอยไว้เป็นภาพ (image) ในความทรงจำ สิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความนึกคิด (thought) ความปรารถนา (desire) หรือเจตจำนง (will) จึงมิใช่อะไรอื่น นอกจากแรงขับเคลื่อนในสมองล้วน ๆ แรงขับเคลื่อนดังกล่าวนี้เอง ที่ไปกระตุ้นให้เกิดอากัปกิริยา การกระทำ และคำพูดต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งมีความพึงพอใจส่วนตนเป็นเป้าหมาย http://www.sarakadee.com/feature/2000/09/thomas.htm จากคุณ : เจ้าของกระทู้ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:34:20 A:118.172.94.138 X: TicketID:232826

ความคิดเห็นที่ 14 เออ  จริงแฮะ  นึกถึงคำพูดของนักชีววิทยาคนนึง ชื่อ Richard Dawkins ที่บอกว่า   สิ่งมีชีวิตคือ เครื่องจักรหรือพาหะสำหรับอยู่รอดที่มีโปรแกรมไว้อย่างไร้เป้าหมาย เพื่อให้รักษาโมเลกุลเห็นแก่ตัว ที่เรียกว่า ยีน จากคุณ : โนริแห่งโนบุ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:45:44

ความคิดเห็นที่ 15 ก็ไม่รู้สิครับ... แต่คำตอบของนักสังคมวิทยา ตามบทความก็ชัดเจนดีครับ เพราะ เวลาที่บางคำถามจี้ไปที่ตัวตนของคุณ ซึ่งไม่มีอะไรปิดซ่อน ไม่มีหน้ากาก ไม่มีสถานะภาพทางสังคมเ็ป็นอาภรณ์ ตัวตนของทุกคนล้วนดำมืด ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณ แต่เนื่องเพราะมนุษย์มีการสั่งสมประสบการณ์ มีการเรียนรู้ในระดับที่สูง รู้จักที่จะซ่อนความต้องการไว้ คนที่ดีใช้ว่าจะเป็นคนที่ดีในทุกขณะ เพียงแต่ภาพที่เห็นดีมากเท่าไหร่ แปลว่าคนผู้นั้นซ่อนความมืดได้ลึกเท่านั้นมากกว่า เท่ากับว่ายังไงก็ตามทุกคนล้วนมีพื้นฐานด้านความเลวครับ แอบเห็นบางคห. สะท้อนภาพนักสังคมวิทยานะครับ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 21:54:17 จากคุณ : Paderewski เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:46:13

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านหัวกระทู้แล้วนึกถึง chaos theory อ่ะค่ะ http://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีความอลวน พูดแบบชาวบ้านๆก็คือทฤษฎีนี้บอกว่าจักรวาลมีแนวโน้มจะเกิดความยุ่งเหยิงมากกว่าความเป็นระเบียบเรียบร้อยอ่ะค่ะ (ไม่ตรงนักหรอก แต่บอกแล้วว่าพูดแบบชาวบ้านๆอะนะ) ถ้าพูดแบบกันกว้างๆแล้วพฤติกรรมมนุษย์ก็น่าจะรวมอยู่ด้วยนะ แต่คุณฮอบส์นั่นก็พูดแรงเกิ๊น แต่เข้าใจอยู่นะว่าอยากจะสื่ออะไร ปล.ทำลิงก์ให้#4นะ http://www.sarakadee.com/feature/2000/09/thomas.htm จากคุณ : Ponyo เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 22:11:29

ความคิดเห็นที่ 17 ลืมไปว่ายังไม่ได้ตอบหัวข้อกระทู้เลย เห็นด้วยค่ะ คำว่า มนุษย์(บาลี), มนุส(สันสกฤต) แปลว่า ผู้มีใจสูง ได้รับการขัดเกลา จึงเป็นมนุษย์ หากไม่ได้รับการขัดเกลา ก็เป็นเพียงสัตว์ชนิดนึง จากคุณ : Ponyo เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 22:22:23

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่เห็นด้วยครับ... มองอะไรด้านเดียวเกินไปหรือเปล่า... จากคุณ : นายอุดม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 22:32:57

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นด้วยว่ามีส่วนจริงครับ พันปีก่อนก็มีสงคราม ห้าร้อยปีก่อนก็มีสงคราม ร้อยปีก่อนก็มีสงคราม ทุกวันนี้ก็มีสงครามทั้งนอกเมืองและกลางเมือง หรือจริงๆแล้ว เราไม่ได้เป็นสัตว์ที่รักสงบเลย? จากคุณ : zoopod เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 22:44:38

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วย เป็น basic assumption ของศาสตร์หลายๆอย่าง เศรษฐศาสตร์ - มนุษย์ทุกคนมีเหตุผล และ กระทำการเพื่อประโยชน์ของตน ทฤษฏีเกม-มนุษย์ทุกคนพยายามแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดภายใต้การกระทำที่ดีที่สุดของฝ่ายตรงข้าม(ดู prisoner dilemma) ตลาดหุ้น - Greed & Fear มนุษย์มันก็เท่านี้เอง ไม่ได้ดีอะไรนักหนาหรอก ทำไมเราด่้าคนที่ทำอะไรไม่ดีว่า ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนล่ะ ? ไม่ใช่เพราะนิสัยดิบที่ไม่ได้รับการขัดเกลามันแย่เหลือจะกล่าวรึไง? จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 23:11:32

ความคิดเห็นที่ 21 มิเห็นด้วย จากคุณ : แกะแหนม เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 23:29:57

ความคิดเห็นที่ 22   เป็นธรรมชาติตัวหนึ่งในธรรมชาติหลาย ๆ ตัว ที่ยัดอยู่ในสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์เท่านั้นแหละครับ แยกแบบหยาบ ๆ ก็แยกได้ กุศลจิต อกุศลจิต อุเบกขา หากส่วนประสมอกุศลจิตมากก็มีแนวโน้มที่ จะก่อทุกข์ก่อโทษให้ตนเองและผู้อื่น หากส่วนประสมกุศลจิตมากก็มีแนวโน้มที่จะเว้นการ ก่อทุกข์ก่อโทษให้ตนเองและผู้อื่น อุเบกขาก็เป็นกลาง ๆ ไป โดยมีตัณหาเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อน หากตัณหามากจิตก็แสวงช่องไปสู่ทางต่ำเรื่อย ๆ คือจับเข้ากับอกุศล อันจะก่อทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่นต่อไป หากตัณหาน้อยลงเรื่อย ๆ จิตก็แสวงช่องไปสู่ทางที่สูงขึ้น คือจับเข้ากับกุศล อันจะก่อทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่นต่อไป แต่หากจิตได้เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ตัณหา(ไม่ใช่การคิด) จิตก็จะเห็นโทษภัยในระดับหยาบไปจนถึงละเอียดที่ตัณหาก่อ(ซึ่งมีรากเหง้ามาจากอวิชชาอีกที) ฉลาดในอกุศลและกุศล จิตจะดีดเข้าสู่ความเป็นกลางเรื่อย ๆ และจะค่อย ๆ ปล่อยอกุศลทิ้งก่อนเพราะเห็นแล้วว่าก่อทุกข์ได้รุนแรงกว่า จากนั้นก็จะค่อย ๆ ปล่อยกุศลทิ้งอีกทีเพราะเห็นว่ายังคงอยู่ภายใต้เชื้อของตัณหาอวิชชาซึ่งพร้อมจะตกไปสู่อกุศลได้เสมอ เรียนรู้ไปเรื่อย จิตก็จะเข้าสู่ อุเบกขาเรื่อย ๆ เมื่อถึงจุดที่จิตเรียนรู้ตนเองอย่างสุดขีดก็จะปล่อย ๆ ทิ้งทั้งหมด เพราะเห็นสามัญลักษณะอันเป็นจุดร่วมของทุกธรรมชาติซึ่งแสดงตัวว่า แปรปรวนเสมอ คงทนในสภาวะใดไม่ได้จริง ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ ก็เข้าถึงจุดที่จิตจะไม่หยิบฉวย ธรรมชาติอันก่อทุกข์อีกต่อไป..ฟัง ๆ พระท่านมาอีกที ส่วนสังคมสงบสุขนั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่มนุษย์แสวงหาสัจจธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น หากคนส่วนใหญ่กระตือรือร้นในการแสวงหาวิธีดับทุกข์ในระดับต่าง ๆ ให้มันสูง ๆ ขึ้นไป ช่วงนั้นสังคมก็สงบสุขหน่อย แต่หากช่วงไหนคนมันเฉื่อยชาต่อการแสวงหาช่วงนั้นก็โกลาหลหน่อย จากคุณ : ก้อนกรวด เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 23:38:44 A:118.172.54.205 X: TicketID:121602

ความคิดเห็นที่ 23 เอามั่ง HME กล่าวว่า "ธรรมชาติของคนนั้น เป็นคนดีกันทุกคน" จากคุณ : Hear ME (เฮียมี่) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 00:03:17

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่เห็นด้วยครับบางส่วนครับ จากคุณ : apiwatrossi เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 00:59:21

ความคิดเห็นที่ 25   เห็นด้วยครับ ในหัวข้อนี้พูดถึงธรรมชาติ"ของมนุษย์ที่ไม่ได้ปรุงแต่ง ถ้ามนุษย์ไม่มีการอบรมสั่งสอน วัฒนธรรม หรือ กฏระเบียบ มันจะวิเศษไปกว่าสัตว์ตามธรรมชาติได้อย่างไร มนุษย์ไม่ได้ลงมาจากสวรรค์ ก็เกิดมาจากธรรมชาติเหมือนสัตว์ ก็ลองปล่อยใจคิดแบบไม่ใช้ความรู้สึกถูกปิดกั้นดูสิ่ครับ จากคุณ : HiiDoL เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 01:43:22

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่รู้จริงป่าว แต่มีในผมหมดเลยT_T จากคุณ : เบิร์ท เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 01:58:16

ความคิดเห็นที่ 27 หนูว่า ธรรมชาติของคนเท่ากับ 0 (ศูนย์) คะ เกิดมาปุ๊บก็ศูนย์และว่างเปล่า เท่าแต่ว่าจะเติม เสริมแต่งอะไรลงไป จากคุณ : jernnrej เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 04:03:32

ความคิดเห็นที่ 28 อืมมม...รู้ตัวจริงเค้าหมดแล้วสินะ... The selfish gene จากคุณ : หญิงป้า เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 07:30:30

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่จริงครับ มนุษย์สัญชาตญาณของความก้าวร้าวก็จริง แต่ในเวลาเดียวกัน มนุษย์ก็มีสัญชาตญาณด้านจริยธรรมด้วย บางคนเห็นคนอื่นอยู่ในอันตราย ก็วิ่งเข้าไปช่วย โดยที่ไม่ได้คิดถึงอันตรายของตัวเอง และไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่ทำไป เพราะสัญชาตญาณ จากคุณ : ดีดลูกคิดแล้ว เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 07:58:09

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยค่ะ ส่วนตัวคิดว่า " มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นละ จะแตกต่างก็อยู่ที่ใครจะควบคุม และแสดงออก ซึ่งความเห็นแก่ตัวของตัวเองอย่างไง  มากกว่า " แล้วที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ไม่มีใครทำอะไรให้คนอื่นอย่างไม่หวังผล หรือ ไม่มีเงื่อนไข หรอก ทุกคนล้วนต้องการการตอบแทนจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้นละ   เพียงแต่ว่า  สิ่งตอบแทนของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แม้แต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ก็ความเป็นแม่-ลูก ไงละที่เป็นเงื่อนไข ถ้าไม่ใช่ แม่-ลูก ยังจะรักไหม ?  ส่วนผลตอบแทน ขนาดแม่บางคน  มีลูกชั่วร้ายขนาดที่ทำร้ายร่างกาย+จิตใจ ขนาดไหนก็ยังรัก ก็เพราะสิ่งที่แม่ได้จากการรักก็คือความสุขในใจแม่เองไง หนูก็มีความสุขเสมอที่ได้รักและได้รับความรักจากแม่ ขอบคุณที่รักหนูค่ะ ลูกสาวของแม่ . จากคุณ : suttimon เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 08:33:20

ความคิดเห็นที่ 31 โดยธรรมชาติพื้นฐานเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง... แต่มนุษย์ สามารถควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ดีพอสมควร จากคุณ : อิทธิพงษ์ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 08:50:10

ความคิดเห็นที่ 32   คนเรามีทั้งด้านมืด ด้านสว่าง ด้านเทาๆ มองแต่ด้านเดียวมันจะแคบไม่หน่อยนะครับ สงสัยเจ้าของทฤษฎีคงมีปมอดีตอันเจ็บปวด จากคุณ : ชายเหงา เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 09:26:50 A:192.168.1.1 X:203.107.154.223 TicketID:230642

ความคิดเห็นที่ 33 ความเห็นแก่ตัว เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิมอยู่แล้วครับ แต่เป็นสัญชาติญาณที่ถูกคัดเลือกมาให้เป็น เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ แต่เมือมนุษย์มีปัญญา สามารถควบคุมธรรมชาติได้ระดับหนึง ความเห็นแก่ตัว ความก้าวร้าวจะค่อยๆลดลงไป ยิ่งความเจริญ อารยธรรมล้ำหน้าไปอีกหลายพันปี เผ่าพันธุ์ที่ก้ารร้าว จะน้อยลงไป เพราะไม่จำเป็นในการอยู่รอด แต่จะพัฒนากลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปัญญา จริยธรรมสูงแทน อีก 20,000.-ปี อาจไม่เหลือพวกก้าวร้าวก็เป็นได้ จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 09:42:52

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นด้วยครับ และมีคนที่รู้เรื่องเหล่านี้ดีกว่า โธมาส ฮอบส์ และ Williamson และพยายามบอกพวกเรา และ หาทางกำจัดปีศาจร้ายออกจากใจมนุษย์ มาเป็นเวลากว่า 2500 ปีแล้วครับ ท่านผู้นั้นคือ เจ้าชายสิทธัตถะ หรือปัจจุบันเราเรียกท่านว่า พระพุทธเจ้า จากคุณ : <<-Logonman<-' เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 09:56:03

ความคิดเห็นที่ 35   คิดว่ใบมีด hob ไว้ตัดเฟือง -.- จากคุณ : SickySick เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 10:42:22 A:124.121.247.148 X:203.144.144.165 TicketID:024216

ความคิดเห็นที่ 36   ไม่เห็นด้วยครับ คนเราทุกคนเกิดมาไม่ได้ชั่วช้าตั้งแต่เกิด แต่เป็นเพราะการอบรมเลี้ยงดู และตัวแบบ ตัวอย่างที่ดีและไม่ดี หากการแยกแยะผิดถูกทำได้ก็ด้วยพื้นฐานทางจิตใจและสิ่งรอบๆตัวทั้งสิ้น เรามีศาสนา ก็เพื่อขัดเกลาจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านเลยเถิดไป จากคุณ : PmV เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 10:55:31 A:190.11.12.100 X:118.173.248.52 TicketID:232243

ความคิดเห็นที่ 37 "มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง" Aristotle ธรรมชาติของคนนั้นป่าเถื่อน เห็นแก่ตัว ขี้โม้โอ้อวดตน ต่ำช้า หยาบคาย เอาแต่ใจตัวเอง ยื้อแย่งแข่งดีกันโดยไม่มีขอบเขต อายุสั้น แต่ถ้าพบกับความทุกยากแล้ว คนจึงจะลดความเห็นแก่ตัวลงและสังคมจะช่วยให้เขาดีขึ้น" ผมเห็นด้วยครับ แต่มนุษย์เลือกที่จะแสดงออกสิ่งเหล่านี้ได้ ระงับได้ หลีกเลี่ยงได้ เบี่ยงประเด็นกลายเป็นหน้ากากที่ดีได้ จากคุณ : ปัจเอนก เจกชน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 10:59:21

ความคิดเห็นที่ 38 สวินจื้อ บอก "ธรรมชาติของคนล้วนเลวร้าย" เม่งจื้อ บอก "ธรรมชาติของคนล้วนดีงาม" ... ไม่ใช่แค่ตะวันตกที่เห็นต่าง ตะวันออกก็เห็นต่างเช่นกันจ้าาา ... แต่เทพมังกรล้วนอวยชัยจ้าาา ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 11:21:13

ความคิดเห็นที่ 39   เคยอ่านโทมัส ฮอป ส่วนตัวคิดว่าเป็น speculation ที่เห่ยมาก เป็นไปไม่ได้เลย เราคิดว่าลิง (มีหาง) ไม่มีวัฒนธรรมไม่มีการสั่งสอน มันยังอยู่กันเป็นฝูงอย่างดี หาเหาหาเห็บให้กัน ฝูงหมาป่าก็เหมือนกัน แล้วคนซึ่งเป็นสัตว์สังคมเหมือนกัน จะไม่สามารถอยู่รวมกันด้วยความสงบสุขโดยไม่มีกฏหมายหรือ เราคิดว่าความรัก และการต้องการความรัก เป็นสัญชาตญาณเด่นในมนุษย์นะ ถึงเราจะไม่รู้อะไรเลย แต่ก็อยากจะเรียนรู้ว่าทำอย่างไร ถึงจะได้ความรัีกมา เพราะสัญชาตญาณการต้องการความรัก มันเป็นลักษณะร่วมกันของสัตว์สังคมทุกชนิด จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 12:00:12

ความคิดเห็นที่ 40   เห็นด้วยครับ ปล.อย่าโกหกตัวเองนะครับว่าไม่ได้เป็น จากคุณ : น้ำค้างเดือนสิบ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 12:23:53

ความคิดเห็นที่ 41   ไม่เกี่ยวครับ ประเด็นนี้เค้าว่าธรรมชาติของมนุษย์ ไม่บอกถึงที่มีการเรียนรู้ แม๊แต่สัตว์ก็สามารถเรียนรู้ได้จากกฏของธรรมชาติ สัตว์ที่อยู่เป็นฝูงก็เรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อผลประโยชน์และความปลอดภัยของตัวเอง หาเหาหาเห็บก็ใส่ปากตัวเองกินมันส์ๆ หมากัดกันลิงกัดกันก็แย่งอาหารแย่งตัวเมียกันทั้งนั้น ฝูงต่อฝูงก็มีการแย่งชิงพื้นที่กัน จากคุณ : HiiDoL เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 23:34:10

ความคิดเห็นที่ 42 เชื่อ แต่ว่าปัจจุบันคนไม่ได้ใช้แค่ธรรมชาติดำรงค์ชีวิต มันเลยไม่เป็นแบบนั้นซะทั้งหมด จากคุณ : DevilDoll เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 04:47:49